ทำไมสื่อต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่น(Trust in Media)ในหลักวารสารศาสตร์

บทความนักคิดดิจิทัล 

ทำไมสื่อต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่น(Trust in Media)ในหลักวารสารศาสตร์ 

ผู้เขียน กุลชาดา ชัยพิพัฒน์  อดีตสื่อมวลชน ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) 

  • รายงานขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติว่าหรือUNESCOเกี่ยวกับแนวโน้มของเสรีภาพในการแสดงออกเมื่อเดือนมีนาคมปี 2565 ได้ออกมาระบุว่าสื่อสังคมออนไลน์กำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่รายงานข่าวหรือสำนักข่าวในปัจจุบัน โดยได้ถูกสื่อสังคมออนไลน์ และอัลกอริทึมช่วงชิงบทบาทในการเป็นผู้คัดกรองข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้สถิติรายได้ของสำนักข่าวต่าง ๆ ทั่วโลกได้ลดลงกว่าครึ่งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่กูเกิ้ล (Google) และเมตา (ชื่อใหม่ของFACEBOOK) ได้รับสัดส่วนงบโฆษณาสื่อดิจิตอลไปเกือบครึ่ง ทาง UNESCO ยังได้ออกมาเตือนด้วยว่าโมเดลทางธุรกิจของสำนักข่าวในปัจจุบันทำให้สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนโดยได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะจากการที่สำนักข่าวต่าง ๆ มุ่งสร้างรายได้โฆษณาจากยอดคลิกหรือยอดคนอ่านจำนวนมากกว่าคุณภาพ
  • รายงาน Edelman Trust Barometer 2022 ก็ได้ระบุแนวโน้มที่สอดคล้องกัน โดยจากการสำรวจความเห็นของประชาชนผ่านการสัมภาษณ์ออนไลน์ ใน 28 ประเทศ กว่า 36,000 คน พบว่า ความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาลและสื่อมวลชนที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญพอๆกันที่ทำให้สังคมแตกแยกและติดอยู่ในวังวนของความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยที่ทั้งรัฐบาลและสื่อได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนและความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ
  • สงครามข้อมูลข่าวสารที่ปะทุขึ้นและเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน และการบิดกั้นข้อมูลข่าวสารจากคู่กรณีในสงครามรัสเซียยูเครนที่ผ่านมากว่า 2 เดือน ถือเป็นแนวรบที่ 4 นอกเหนือจากสงครามทางกายภาพ สงครามเศรษฐกิจและสงครามทางการทูตในเวทีระหว่างประเทศ ในสงครามเย็นยุค 4.0 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของวารศาสตร์ที่มีหลักการมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านแก่คนในสังคมต่อประเด็นการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก  กรณีของสังคมไทยเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนหรือถูกปั่นกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความแยกในสังคมที่มีความขัดแย้งสูงอยู่แล้วให้รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองกำลังร้อนแรงขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นต้นปี พ.ศ. 2566 และย่อมส่งผลกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยในการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APEC Summit ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 ซึ่งจะมีผู้นำจากสมาชิกเอเปค 22 ประเทศ รวมถึงสหรัฐ รัสเซียและจีน และสหภาพยุโรป เข้าร่วมการประชุม 

Trust Media Project และความเคลื่อนไหวในของสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ความไว้วางใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่สับสนอันเกิดจากข้อมูลลวงและบิดเบือน วารสารศาสตร์ที่มีหลักการต้องก้าวออกมายืนอยู่แถวหน้าเพื่อเรียกความไว้วางใจจากสาธารณชนกลับคืนมา”

Trust Media Project เป็นความพยายามที่ริเริ่มโดย Sally Lehrman อดีตผู้สื่อข่าวสายวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่ได้รับรางวัลด้านวารสารศาสตร์มากมายจากสถาบันวิชาการและวิชาชีพสื่อสารมวลชนขั้นนำในสหรัฐ และกลุ่มบรรณาธิการของสำนักข่าวแถวหน้าในตะวันตกที่ต้องการจะกู้ศรัทธาต่อบทบาทสื่อมวลชนกลับคืนมา ท่ามกลางความท่วมท้นและสับสนของข้อมูลข่าวสารที่เต็มไปเนื้อหาที่เป็นเท็จ หลอกลวงและเข้าถึงได้ง่ายผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ (หลังจากถูกกระแสโจมตีลดทอนความน่าชื่อถือจากวาทกรรม Fake News ที่สร้างขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ และ ผลกระทบสำคัญจากข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนอันส่งผลให้อังกฤษตัดสินใจออกจากประชาคมยุโรป)

โดยเบื้องต้น คณะทำงานซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็น consortium หรือภาคีความร่วมมือของหลายภาคส่วน ได้รวบรวมคำตอบจากผู้ทำแบบสอบถามทั่วโลกว่าอะไรทำให้พวกเขาไว้วางใจหรือไม่ไว้ใจสื่อมวลชน โดยนำผลสำรวจเหล่านั้นมาประเมินและสรุปเป็นตัวชี้วัด 8 ประการ (ดูรายละเอียดในหน้าสาม) ที่ทำให้สื่อมีความน่าเชื่อถือ องค์กรสื่อที่เป็นภาคีจะต้องแสดงตัวชี้วัดเหล่านี้บนหน้าแรกของเว็ปหรือข่าวที่ตีพิมพ์

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2560 ได้มีการจัดทำแบบสำรวจความเห็นโดย Reach Plc ซึ่งเป็นสำนักสำรวจความเห็นของศูนย์การสร้างการมีส่วนร่วมในการสื่อสารของมหาวิทยาลัย Austin และผลสำรวจพบว่าผู้อ่านมีความไว้วางใจ The Mirror เพิ่มมากขึ้นร้อยละ 8 รวมทั้งความไว้วางใจใจตัวผู้สื่อข่าวและแหล่งข่าวก็เพิ่มขึ้นในอัตราไล่เลี่ยกัน

ปัจจุบัน Trust Media Project มีเครือข่ายสำนักข่าวอยู่กว่า 200 แห่งทั่วโลก เช่น BBC,  The Mirror, The Globe and Mail,  DPA, La Republica, The Economist, Washington Post, Frontline, Toronto Start, CBA-Radio Canada, La Prensa, และ elPeriodico เป็นต้น ในทวีปเอเชียมีเพียงแห่งเดียวคือ South China Morning Post

ทาง Google, Facebook, Twitter และ Bing ได้แสดงเจตจำนงค์ที่จะให้ความร่วมมือผลักดันให้ตัวชี้วัดเหล่านี้ปรากฎอยู่บนข่าวที่คนดูเข้าไปดูหรือค้นหามากขึ้น

ต่อมาในปี 2563 ทาง BBC ก็ได้สร้างแนวร่วมในทำนองเดียวกันชื่อ Trusted News Initiative (TNI) เพื่อต่อต้านข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนในช่วงเริ่มต้นการระบาดของโควิด19 และ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี2563 นอกจากจะมีสำนักข่าวใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกและองค์กรเอ็นจีโอที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนมาเข้าร่วมเพิ่มมากขี้นแล้ว เช่น  New York Times, Reuters, The Financial Times, The Wall Street Journal และ First Draft ยังกระชับความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีสื่อสารสารสนเทศอย่าง Google/Youtube และ Microsoft ในการสร้างระบบ Project Origin เพื่อแจ้งเตือนข้อมูลบิดเบือนหรือข้อมูลลวง โดยร่วมมือกันค้นหาต้นตอของข้อมูลที่บิดเบือนและแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง พร้อมกับการกำกับว่าเนื้อหาหรือข่าวใดเป็นเท็จหรือไม่มีความน่าเชื่อถือ

ส่วนความร่วมมือของสื่อมวลชน กับภาคประชาสังคมและบริษัทเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นรูปธรรมและเข้มข้น เริ่มจากการรวมตัวขององค์กรต่อต้านข้อมูลบิดเบือน อย่างเช่น Mafindo และสำนักข่าวต่างๆในประเทศอินโดนีเซียเพื่อต่อต้านข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนทั่วไป และ ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2561 และก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Vera Files และ Rappler ก็ได้ริเริ่มโครงการต่อต้านข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนในฟิลิปปินส์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และล่าสุด สื่อมวลชนในฟิลิปปินส์ได้ร่วมมือกับภาคประชาสังคม FactsFirstPH เพื่อเตรียมต่อสู้กับสงครามข้อมูลข่าวสารก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม ศกนี้ สำหรับในประเทศไทย ความตื่นตัวในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนเริ่มจากช่วงสงครามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยมีภาคประชาสังคมเป็นแกนหลัก Cofact Thailand ส่วนสื่อมวลชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในภายหลังแต่ยังอยู่ในวงจำกัด

8 ตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือในสื่อมวลชน

  1. ความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ (Best Practices)
  2. ความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพของผู้สื่อข่าว ต้องเปิดเผยชื่อ ประวัติและความเชี่ยวชาญ ผลงานที่ผ่านมา (Journalist Expertise)
  3. ระบุประเภทของเนื้อหาข่าวให้ชัดเจน โดยแยกให้ชัดว่าเป็นรายงานข่าว บทความแสดงความคิดเห็น บทวิเคราะห์หรือบทความที่มีสปอนเซอร์ (Type of Work)
  4. ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลในข่าว ในกรณี ข่าวสืบสวนสอบสวน หรือข่าวที่มีข้อถกเถียง ต้องระบุแหล่งข้อมูลตั้งต้นทีมาของข้อเท็จจริงและข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่อ้างอิงในข่าวหรือรายงานชิ้นนั้น (Citations and References)
  5. อธิบายกระบวนการทำข่าว เช่น ทำไมข่าวชิ้นนี้ถึงสำคัญ ถ้าเป็นข่าวสืบสวนสอบสวน หรือข่าวที่มีข้อโต้แย้ง ต้องระบุสาเหตุที่ติดตามข่าวนี้ ( Methods)
  6. เป็นข่าวที่ผู้สื่อข่าวรายงานมาจากท้องที่ ผู้สื่อข่าวมีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่นั้น และมีข้อมูลเชิงลึกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือพื้นที่นั้น ๆ (Locally Sourced)
  7. แสดงถึงความพยายามและมุ่งมั่นของกองบรรณาธิการที่จะนำเสนอข่าวรอบด้านในสังคมโดยให้ความสำคัญกับเสียง บทบาทหน้าที่และสถานะของคนทุกเพศ ทุกวัยและกลุ่มในสังคมอย่างเท่าเทียม (Diverse Voices)
  8. ให้พื้นที่ผู้อ่านในการโต้แย้ง เสนอแนะความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงงานข่าวในเชิงประเด็นที่ตอบโจทย์สังคมและให้มีคุณภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ (Actionable Feedback)

ในยุคที่ สื่อมวลชนตกอยู่ในวงล้อมดิจิทัล (Journalism under Digital Siege) หลักวารสารศาสตร์แห่งความจริงยิ่งสำคัญ โดยเฉพาะ วารสารศาสตร์ที่ปราศจากความเกรงกลัว และ ความลำเอียง (Journalism without Fear or Favor) ในการนำเสนอข้อเท็จจริง แม้จะเป็นสิ่งที่เป็นอุดมคติมาก แต่ก็เป็นภารกิจที่จำเป็นและท้าทายยิ่งในการธำรงหลักการความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนไม่ใช่เสื่อมถอยไปตามแรงบีบรัดทางเศรษฐกิจการเมืองและเทคโนโลยีดิจิทัล 


ตรวจสอบมาตรการโควิดใหม่ เดือนพฤษภาคม 2565 มีอะไรบ้าง COFACT Special Report #22

วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ศบค. กำหนดมาตรการรับมือกับโควิด-19 ใหม่ ทั้งมาตรการสำหรับในประเทศและต่างประเทศ สาระสำคัญหลักคือการลดขั้นตอนการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR สำหรับผู้ที่เข้าประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางระหว่างประเทศสะดวกสบายยิ่งขึ้น และยังมีการผ่อนคลายมาตรการสำหรับประชาชนในประเทศมากขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงหลายสัปดาห์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

English Summary:

Thailand lifts more travel restrictions by allowing fully vaccinated visitors into the country without taking RT-PCR test (Test & Go scheme). The government also allows restaurants to serve alcohol beverages until midnight. These measures come as daily new COVID-19 cases have been reduced for the past two weeks. This is a welcome news for both tourists and locals, especially those in tourism sector. However, the government warns that we are not in the endemic stage yet due to the death rate per day is still 0.3%, and less than 40% of Thais still have not received the vaccine booster dose yet.

Q: ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย ไม่ต้องตรวจ RT-PCR และ Test & Go แล้วใช่หรือไม่?

A: ใช่ ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ หรือทางอากาศ ที่มีประวัติเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ครบตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเข้ารับการตรวจ RT-PCR แบบ Test & Go อีกต่อไป อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างชาติ จะต้องกรอกข้อมูลการฉีดวัคซีน และที่พักของตนเองบนระบบ Thailand Pass ก่อนเดินทางเข้าประเทศทุกคน สำหรับผู้ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด หรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ยังคงต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนเดินทางไม่เกิน 72 ชั่วโมง และเมื่อเดินทางมาถึงจะต้องเข้ารับการกักตัวที่โรงแรม AQ เป็นเวลา 5 คืน พร้อมกับตรวจ RT-PCR อีกหนึ่งครั้งก่อนจะเดินทางต่อภายในประเทศได้

Q: แล้วคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ยังคงต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 อยู่หรือไม่?

A: สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทย จะต้องศึกษาข้อมูลของประเทศปลายทางว่ายังจะต้องตรวจหาเชื้อหรือไม่ ข้อมูลล่าสุด (วันที่ 1 พฤษภาคม 2022) ประเทศที่คนไทยนิยมเดินทาง เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศเหล่านี้ยังคงต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR (หรือ ATK แบบออกใบรับรองโดยแพทย์) ก่อนเดินทาง แต่เมื่อเดินทางถึงไม่ต้องตรวจหาเชื้ออีก อย่างไรก็ตามก่อนเดินทางเราควรศึกษามาตรการของประเทศปลายทางก่อน เนื่องจากมาตรการเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

Q: มาตรการในประเทศหลังวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ มีอะไรที่ผ่อนคลายเพิ่มบ้าง?

A: ศบค. ปรับระดับสีของทุกจังหวัดทั่วประเทศเหลือเพียง 2 สี คือพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเหลือง) และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) โดยทุกจังหวัดสามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบริโภคในร้านได้ถึงเวลา 24:00 น. สถานบริการที่เป็นผับ บาร์ คาราโอเกะ สามารถปรับการบริการให้เป็นแบบร้านอาหาร และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 

สำหรับผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูง หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ให้ลดวันกักตัวลงเหลือ 5 วัน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยสังเกตอาการด้วยตนเองอีก 5 วัน และหมั่นตรวจหาเชื้อด้วย ATK อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาดังกล่าว

Q: ใกล้เปิดเทอมแล้ว มาตรการผ่อนคลายจะช่วยให้นักเรียนกลับไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติหรือยัง?

A: กระทรวงศึกษาธิการ และ ศบค. เห็นชอบให้มีการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยสถานศึกษาให้ประเมินความพร้อมผ่านระบบ TSC+ และปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้บ่อยครั้ง และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี ATK เมื่อมีอาการหรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หากพบว่ามีนักเรียน หรือบุคลากรในโรงเรียนติดเชื้อโควิด-19 หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะต้องปฏิบัติตามมาตรการ 5+5 (กักตัว 5 วัน และสังเกตอาการ 5 วัน) 

นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังขอความร่วมมือให้นักเรียนอายุ 12-17 ปีที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน เข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้น (เข็ม 3) ก่อนเปิดภาคเรียน ส่วนนักเรียนที่อายุ 5-11 ปีให้เข้ารับการฉีดวัคซีนก่อนเปิดภาคเรียนตามความสมัครใจของผู้ปกครองเช่นกัน ซึ่งการที่นักเรียนได้รับการฉีดวัคซีน และเข็มกระตุ้นก่อนเปิดภาคเรียน จะช่วยลดอาการป่วยหนัก และการติดเชื้อได้ ช่วยให้นักเรียนสามารถไปเรียนที่โรงเรียนได้อย่างมั่นใจ และผู้ปกครองก็จะสบายใจที่บุตรหลานจะมีโอกาสติดเชื้อหรือป่วยจากโควิด-19 น้อยกว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

Q: แล้วตอนนี้เชื้อโควิด-19 ในไทยเป็นโรคประจำถิ่นแล้วหรือยัง?

A: นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ระบุเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาว่า อัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อวันของไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังเฉลี่ยอยู่ที่ 0.3 ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้โควิด-19 จะเป็นโรคประจำถิ่นได้ อัตราการเสียชีวิตต่อวันจะต้องต่ำกว่า 0.1 ดังนั้นปัจจุบันโควิด-19 ยังไม่เข้าสู่โรคประจำถิ่นตามคำจำกัดความของกระทรวงสาธารณสุข

นอกจากอัตราจำนวนผู้เสียชีวิตต่อวันจะต้องน้อยกว่า 0.1 แล้ว การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น โดย พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ประชาชนทั้งประเทศจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 60% ขึ้นไป ถึงจะสามารถผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ตามแผนการเปลี่ยนผ่านเชื้อโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่นได้

โรคประจำถิ่น (Endemic) หมายถึงโรคติดต่อที่แพร่ระบาดตามฤดูกาล เป็นโรคที่มีความรุนแรง แต่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และรักษาหายได้หากได้รับการเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างทันท่วงที โรคประจำถิ่นในปัจจุบันที่เรามักคุ้นเคยได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และเอดส์

ที่มา:

https://tna.mcot.net/politics-928495

https://www.bbc.com/thai/thailand-61185890

https://www.bangkokbiznews.com/social/1000538

https://www.bangkokbiznews.com/social/1001551

https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=31751


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 เมษายน 2565

จริงหรือไม่…? จากการที่มีการโพสต์ในกลุ่ม อสม.ที่อุบลราชธานี ถึงยาแคปซูลชนิดหนึ่งว่าสามารถยับยั้งโควิดลงปอด

ไม่จริง

เพราะ…เป็นข่าวลวงเก่าปี 2563 ที่วนซ้ำกลับมาแชร์ใหม่

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/u5hl1ldsy336


จริงหรือไม่…? อย. แพ้คดี หลังไฟเซอร์ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน

ไม่จริง

เพราะ…รายงานดังกล่าวไม่ได้มีการปิดบังหรือถูกศาลสั่งให้เปิดเผยแต่อย่างใด เพราะมีการเผยแพร่ให้สาธารณะทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ US FDA จะมีการตรวจสอบว่าอาการต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18m5avy3ma8ki


จริงหรือไม่…?  วันที่ 1 พ.ค. 65 สปป.ลาว เปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้ว

จริง

เพราะ…เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว และการเดินทางเข้า-ออกประเทศลาว สำหรับนักธุรกิจ นักลงทุน และบุคคลทั่วไป 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3c1xei6gipt8r


จริงหรือไม่…?  จ่อปลดล็อกเข้าประเทศทุกเงื่อนไข 1 มิ.ย.นี้ เลิก ThailandPass/Test&Go

จริง

เพราะ…เป็นนโยบายผลักดันเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขการเข้าประเทศทั้งหมด ให้เหมือนกับก่อนวิกฤตโควิด-19

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hwpeswgjrxv9


จริงหรือไม่…?  มาเลเซียประกาศผ่อนคลายมาตรการป้องกัน #โควิด19

จริง

เพราะ…ตั้งแต่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป ยกเว้นพื้นที่ภายในอาคาร เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือระบบขนส่งมวลชน ที่ยังบังคับให้ต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1n3zuxjtfjwgg


จริงหรือไม่…?  อันตรายจากละออง แอลกอฮอล์ ที่ใช้ฉีดมือสิ่งของ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่งผลต่อทางเดินหายใจ

จริง

เพราะ…แอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์ ไม่ว่าเซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุ หรือแบคทีเรีย ไวรัส

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1v0d40ugnttmv


จริงหรือไม่…? ก่อนกรอกข้อมูลข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์ต้องมั่นใจว่าระบบที่ใช้มีความปลอดภัย

จริง

เพราะ…ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนใช้บริการ และควรใส่ข้อมูลส่วนบุคคลให้น้อยที่สุด ใส่เท่าที่จำเป็น และควรเลือกเว็บไซต์หรือบริการที่น่าเชื่อถือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ldt4yk0pcs86


จริงหรือไม่…?  รถไฟฟ้าบีทีเอส ขอความร่วมมือ ไม่นั่งไขว่ห้างบนรถไฟฟ้า

จริง

เพราะ…รขาของเราอาจจะไปโดนผู้โดยสารท่านที่ยืนอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2e80ew3420q68


จริงหรือไม่…?  สำนักงานตำรวจแห่งชาติจับมือกับเครือข่ายโทรศัพท์ในการตอบโต้ปัญหา Call center

จริง

เพราะ…เพื่อตัดการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ประชาชนแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเข้าระบบมือถือทั้ง 3 ค่าย เพื่อตรวจสอบและบล็อกเบอร์ดังกล่าว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2415rgn405ya


จริงหรือไม่…? TCAS65 นักเรียนจำนวนพันคน ไม่ได้ฝนเลขชุดในกระดาษคำตอบ ทำให้คะแนนเป็นศูนย์

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…กก. TCAS มีมตินำกระดาษคำตอบที่ลืมฝนมาดำเนินการตรวจให้คะแนนตามเลขที่ระบุไว้ของผู้เข้าสอบโดยจะดำเนินการภายใน30 เมย. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vhmazupcnukv

อาวุโสโซเชียล สร้างความเข้าใจ และเชื่อมโยงผู้สูงวัยเข้าสู่สังคมออนไลน์

ในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ เพราะใคร ๆ ก็สามารถโพสต์เรื่องราวลงบนโลกออนไลน์ได้ ในตอนนี้ซาร่าจะชวนแม่กุ้งไปตรวจสอบเว็บไซต์และข่าวปลอม รวมถึงพาไปฟังคำแนะนำการเช็กก่อนแชร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญกัน

ติดตามชมรายการ อาวุโส โซเชียล วันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. 65 เวลา 09.30 – 10.00 น. ทาง ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุกรับชมได้ทาง #ALTVช่อง4ทีวีเรียนสนุก #ช่องหมายเลข4Website : www.ALTV.tv/AwusoSocialFacebook : www.fb.com/ALTV4เพิ่มเพื่อนทาง LINE : www.ALTV.tv/AddLINEเว็บไซต์ข่าวปลอมออนไลน์แม่กุ้ง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 เมษายน 2565

จริงหรือไม่…? ดื่มแอลกอฮอล์แก้เมาค้างได้

ไม่จริง

เพราะ…การดื่มแอลกอฮอล์กลับยิ่งจะทำให้คุณปวดปัสสาวะมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเมาค้างได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3i63dy09bjgah


จริงหรือไม่…? การแยงจมูก เป็นประจำเป็นการทำลายโพรงจมูก

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์รายงานว่า การ Swab ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ กับระบบประสาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ictndbs2oiuh


จริงหรือไม่…? ทาวุ้นว่านหางจระเข้สดบริเวณจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง ช่วยดับกลิ่น ลดตกขาว ผิวนุ่มชุ่มชื้น

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีผลวิจัยใดๆพิสูจน์ได้ว่าว่านหางฯช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tpjgereb9yww


จริงหรือไม่…? กินอาหารเสริมบำรุงสมองก่อนสอบ ช่วยเพิ่มความจำได้

ไม่จริง

เพราะ…อาหารเสริมไม่ช่วยในการเพิ่มความจำ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2owqat4bi90wj


จริงหรือไม่…? ญี่ปุ่นมีตู้หยอดเหรียญน้ำแร่มหัศจรรย์ฆ่าเชื้อโควิด

ไม่จริง

เพราะ…เป็นเครื่องฟอกอากาศ และไม่ได้ระบุว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3p0krs6oth41j


จริงหรือไม่…? อาการเหงื่อออกมือ เป็นสัญญาณของโรคหัวใจ

ไม่จริง

เพราะ…โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน มักมาด้วยอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย อาจมีอาการใจสั่น หรือเหงื่อออกร่วมด้วยได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/22vstqofu9cyl


จริงหรือไม่…? แถลงการณ์สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ความจำเป็นของการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น

จริง

เพราะ…องค์การอนามัยโลก ประกาศสนับสนุนประชาชนเข้ารับวัคซีน #โควิด19 เข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ #Omicron

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/106w6uvi8osk3


จริงหรือไม่…? ฟ้าทะลายโจรกับยาฟาวิพิราเวียร์ ห้ามทานร่วมกัน

จริง

เพราะ…มีโอกาสเป็นพิษต่อตับและผลกระทบขัางเคียงอื่นๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nabs9wsbg7eo


จริงหรือไม่…? คนไทย 7 กลุ่มเสี่ยง ทุกสิทธิการรักษา เริ่มฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ฟรี 1 พ.ค.นี้

จริง

เพราะ…ไม่ต้องจอง ไปก่อนได้ก่อน 1 พค. – 31 สค.65 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด ค้นหาสถานพยาบาลใกล้บ้านผ่านกระเป๋าสุขภาพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rl283zpug3l5


จริงหรือไม่…?  เปลี่ยนรองเท้าให้เป็นทุนการศึกษาปันรองเท้ากัน

จริง

เพราะ…ร้านปันกันรับบริจาครองเท้าสภาพดี เพื่อนำมาจำหน่าย รายได้ทั้งหมดมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับน้องๆ ที่ขาดโอกาส ใน มูลนิธิยุวพัฒน์ได้เรียนหนังสือต่อ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3mys3koupn9t2


จริงหรือไม่…? โรงเรียนอนุบาลปัตตานี สามารถคลุมฮิญาบไปโรงเรียนได้แล้ว

จริง

เพราะ…หลังศาลปกครองยะลาอ่านคำตัดสินคดีให้สามารถคลุมฮิญาบไปเรียนได้ ศาลให้ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/vtn6f38uycnb


ติดตาม…สรุปกิจกรรม สัปดาห์ค้นหาข้อเท็จจริง ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2565

รายงานสรุปกิจกรรม

สัปดาห์ค้นหาข้อเท็จจริง ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก

วันที่ 28 มีนาคม – 2 เมษายน พ.ศ. 2565


📢 #รู้ทันข่าวลวง ผ่านงานสัปดาห์ค้นหาข้อเท็จจริง ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2565 

ระหว่างวันที่ 28 มี.ค. – 2 เม.ย. 65

📌 สัปดาห์วันตรวจสอบข่าวลวงโลก  มีกิจกรรม ดังนี้ 

  • กิจกรรมที่ 1   วันจันทร์ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2565 . : เสวนาออนไลน์ เวทีนักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 20 “รับมือมิจฉาชีพยุค 5G ถึงเวลาวาระแห่งชาติ”
  • กิจกรรมที่ 2   วันอังคาร ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565 : กิจกรรมฉายหนังสั้นจาก 8 ประเทศ พร้อมเสวนาทำไมสิทธิดิจิทัลจึงสำคัญ ณ  Doc Club & Pub. โดย Engagemedia Cofact Thailand  มูลนิธิผสานวัฒนธรรม Doc Club
  • กิจกรรมที่ 3   วันพุธ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2565 : เสวนาออนไลน์ Media Forum ครั้งที่ 14 “บทบาทอัลกอริทึมกับการเข้าถึงข้อเท็จจริงในยุคดิจิทัล”
  • กิจกรรมที่ 4   วันพฤหัส ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2565 และ วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565 : Verification Training workshop in Ampawa ฝึกอบรมการตรวจสอบข่าวลวง
  • กิจกรรมที่ 5   วันเสาร์ ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565  : กิจกรรม FactCollabTH ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2565 International Fact-Checking Day 2022   Hybrid event  ณ The Sukosol Hotel

ถ่ายทอดสดทางออนไลน์
• Facebook : Thai PBS , Cofact โคแฟค, สภาองค์กรของผู้บริโภค, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ , สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
• YouTube : www.youtube.com/ThaiPBS #ThaiPBS


ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม คลิก

ประมวลภาพกิจกรรม

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 เมษายน 2565

จริงหรือไม่…? ดื่มแอลกอฮอล์สามารถแก้เมาค้างได้

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มียาลดการเมาใดๆ หรือยาสูตรสำเร็จแก้อาการเมาค้างได้ผล 100% ดีที่สุดคือดื่มแต่น้อย และมีสติ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18k8bq205p3dr


จริงหรือไม่…? การแช่น้ำเกลือช่วยลดอาการตกขาว

ไม่จริง

เพราะ…อาจเสี่ยงอันตรายได้ ทั้งในเรื่องของความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้นั่งแช่ และหากมีการเข้าใจผิดนำน้ำเกลือเข้าล้างภายในช่องคลอดก็จะทำให้เสียสมดุล อาจเกิดการติดเชื้อต่างๆ ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2t7ygzrsvei2b


จริงหรือไม่…? มะนาวสามารถไล่งูได้

ไม่จริง

เพราะ…เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น ไม่สามารถไล่งูได้จริง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3iq7ztkhedcoh


จริงหรือไม่…? แผ่นกอเอี๊ยะสามารถรักษาสิวให้หายได้

ไม่จริง

เพราะ…แผ่นแปะกอเอี๊ยะช่วยบรรเทาอาการอักเสบในบริเวณที่แปะแผ่นกอเอี๊ยะชนิดแก้อักเสบเท่านั้น สิวควรรักษาที่ต้นเหตุ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mo4je665609o


จริงหรือไม่…? การกินยาถ่ายพยาธิสามารถทำให้อ้วนขึ้นได้

ไม่จริง

เพราะ…ยาถ่ายพยาธิมีผลต่อการกำจัดพยาธิแต่ไม่ได้มีผลต่อน้ำหนักตัว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14ilos2b5lzlu


จริงหรือไม่…? ชาเขียวสามารถช่วยป้องกันฟันผุ

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ชาเขียวมีสารพอลิฟีนอลส์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แต่เครื่องดื่มชาเขียวมักมีสารให้ความหวาน หากบริโภคปริมาณมากทำให้ฟันผุได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/k8xawg9wzyjs


จริงหรือไม่…? มะนาวสามารถช่วยรักษาสิวได้

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ขึ้นอยู่กับสภาพผิว แนะควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yicimp4ce77m


เช็ครายชื่อสื่อของรัฐบาลรัสเซีย และการตรวจสอบแยกแยะที่มาของข่าวสงครามยูเครน COFACT Special Report #21

ข่าวการร่วมมือนำเสนอข่าวสารจากสื่อของรัสเซีย นำโดยสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ทำให้ประชาชนไทยให้ความสนใจถึงการทำหน้าที่สื่อมวลชน และการนำเสนอข่าวสารภายใต้สภาวะสงครามของรัสเซีย และสื่อของชาติตะวันตก เนื่องจากสื่อของรัสเซียส่วนมากจะนำเสนอข้อมูลข่าวสารไปในทางสนับสนุนรัฐบาลของตน ขณะที่สื่อฝั่งตะวันตกจะนำเสนอภาพความสูญเสีย และความเสียหายจากการบุกรุกของกองทัพรัสเซียในยูเครนมากกว่า

English Summary

Russian state media have been well-known in the Western countries as the primary sources for war propaganda. However, not many Thai people know which Russian media outlet is a state-owned or operate independently. This article provides a basic guideline on who are the Russian state-owned media, how they operate, and how to be cautious before believing in information from these outlets. 

หนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลายประเทศ​ก็คือการแบนการนำเสนอข้อมูลจากสื่อของรัฐบาลรัสเซีย หรือสื่อที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย เช่นอังกฤษมีการระบุให้สื่อของรัฐบาลรัสเซียเป็นสื่อประเภทโฆษณาชวนเชื่อ ขณะที่ผู้ให้บริการสื่อโซเชียล เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และยูทูบมีฟังค์ชั่นแจ้งคำเตือนผู้ใช้งานในเนื้อหาที่นำเสนอโดยสื่อของรัฐบาลรัสเซีย 

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ปัจจุบันรัสเซียเป็นประเทศที่สื่อหลัก เช่น โทรทัศน์​ และหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล หรือบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยโทรทัศน์ยังคงเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แทบทุกครัวเรือนจะรับชมข่าวผ่านโทรทัศน์ และรายการข่าวส่วนใหญ่ผลิตโดยสื่อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล

ทีวี สื่อกระแสหลัก คนรัสเซียชมมากที่สุด เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อมากที่สุด

ถึงแม้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะเข้าถึงประชาชนชาวรัสเซียจำนวนมาก แต่การชมข่าวสารผ่านโทรทัศน์ หรือติดตามข่าวผ่านทางเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ก็ยังคงเป็นวิธีการรับข่าวสารยอดนิยม โดยสถานีโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามรายงานของสำนักข่าวบีบีซี คือสถานีที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ เช่น Channel One และ Rossiya 1 ทั้งสองสถานีล้วนมีแนวทางการนำเสนอข่าวสนับสนุนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ขณะที่ NTV เป็นสถานีโทรทัศน์เอกชนที่บริหารโดยกลุ่มบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ Gazprom ซึ่งมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 

ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์เอกชนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับ หรือบริหารโดยรัฐบาลรัสเซียได้ปิดตัวลงไปแล้วทั้งหมด เนื่องจากกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่จำกัดสิทธิ์ไม่ให้พวกเขานำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกับรัฐบาล โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลสงครามยูเครน จะต้องเป็นไปในแนวทางที่รัฐบาลกำหนดเท่านั้น ดังนั้นสถานีโทรทัศน์ที่เหลือ ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐ หรืออาจจะเป็นสถานีของเอกชน แต่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นหน่วยงานของรัฐก็มักจะนำเสนอข่าวไปในทางเดียวกัน คือสนับสนุนการทำงานและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล

RT ช่องข่าวภาษาอังกฤษ ตัวแทนรัฐบาลรัสเซียนำเสนอโฆษณาชวนเชื่อไปทั่วโลก

สถานีโทรทัศน์ของรัสเซียที่หลายคนทั่วโลกมักจะคุ้นเคยคือ RT สถานีข่าวภาคภาษาอังกฤษที่สามารถรับชมผ่านระบบจานดาวเทียมและเคเบิลทั่วโลก RT ถือเป็นสำนักข่าวชั้นนำของรัสเซียที่มีผู้สื่อข่าวประจำตามประเทศต่างๆ คล้ายกับ CNN และ BBC แต่สิ่งที่ต่างจากสองสถานีนี้คือ RT เป็นสำนักข่าวที่บริหารภายใต้งบประมาณของรัฐบาลรัสเซีย ไม่ใช่รูปแบบทีวีสาธารณะ (เช่น BBC) หรือโทรทัศน์เอกชน (เช่น CNN) ดังนั้นรูปแบบการนำเสนอข้อมูลข่าวสารก็จะเน้นไปทางสนับสนุนการทำงานและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลรัสเซีย และขัดแย้งกับรายงานข่าวในสื่อฝั่งตะวันตก หรือสื่อชั้นนำระดับโลกที่อยู่ในประเทศเสรีประชาธิปไตย

นอกจาก RT จะเป็นช่องโทรทัศน์ที่สามารถรับชมได้ทั่วโลกแล้ว RT ยังมีบริการเนื้อหาให้กับสำนักข่าวต่างๆ ทั่วโลกสามารถซื้อเนื้อหานำไปใช้ในการนำเสนอข่าวให้กับประชาชนในประเทศของตัวเอง ถึงกระนั้นหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ต่างแบนการนำเสนอข้อมูลของ RT และไม่อนุญาตให้สำนักข่าวต่างๆ นำเนื้อหาของ RT ไปนำเสนอ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสงครามยูเครน เพราะอาจมีเนื้อหาเชิงโฆษณาชวนเชื่อ และข่าวลวงที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ 

สื่อออนไลน์ของรัสเซีย ควรอ่านด้วยความระมัดระวัง

ปัจจุบันชาวรัสเซียจำนวนมากนิยมติดตามข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ประชาชนเข้าถึงสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพาแทบทุกพื้นที่ ถึงกระนั้นด้วยกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ทำให้ประชาชนในรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากภายนอกประเทศได้ รัฐบาลรัสเซียปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศชาติตะวันตก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมนี ทำให้ประชาชนที่ติดตามข่าวสงครามในยูเครนจะได้รับข้อมูลข่าวสารจากฝั่งของรัฐบาลเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามประชาชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตอาจจะใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ แต่นั่นก็มีจำนวนน้อย และไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในประเทศได้

เว็บไซต์ข่าวยอดนิยมในรัสเซียส่วนใหญ่จะคล้ายกับสถานีโทรทัศน์ เป็นสำนักข่าวที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐ หรือเป็นบริษัทเอกชนที่มีบริษัทของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ดังนั้นเนื้อหาของเว็บไซต์เหล่านี้ก็จะมีทิศทางไปในด้านสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล แต่ก็ยังมีเว็บไซต์ยอดนิยมบางเว็บที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง แต่เป็นแค่ตัวกลางในการเผยข้อมูลในรัสเซียซึ่งบางครั้งเว็บไซต์ในต่างประเทศอาจจะมีไม่เพียงพอ

ตัวอย่างเว็บไซต์ยอดนิยมในรัสเซีย:

  • TASS – เว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษ อยู่ภายใต้กำกับของรัฐ
  • Interfax – เว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษ ดำเนินการโดยเอกชน 
  • Lenta.ru – เว็บข่าวออนไลน์ยอดนิยม เนื้อหาเป็นภาษารัสเซีย
  • The Moscow Times – เว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษ ใช้ชื่อเดียวกันกับหนังสือพิมพ์ที่เคยได้รับความนิยม
  • Sputnik – เว็บไซต์ที่ให้บริการเนื้อหาหลากหลายประเภท มีให้เลือกหลากหลายภาษา บริหารงานโดยรัฐ
  • Yandex.ru – เว็บเซิร์จเอนจิ้นยอดนิยมในรัสเซีย มีฟังค์ชั่นทั้งภาษารัสเซีย และภาษาอังกฤษ
  • VKontakte – สื่อโซเชียลยอดนิยมของคนรัสเซีย

หากคุณใช้งานเว็บไซต์เหล่านี้ หรือพบว่ามีเนื้อหามาจากเว็บไซต์เหล่านี้ อาจจะต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบเนื้อหา วิธีการที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง หรือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลรัสเซีย ก็คือการตรวจสอบเนื้อหาเดียวกันในหลายๆ สื่อ เช่น ตรวจสอบเนื้อหาเดียวกันในสื่อต่างประเทศ สำนักข่าวอื่นๆ อย่างน้อย 2-3 แห่ง เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการนำเสนอ และตัดสินในข้อมูลที่มีการรายงานตรงกัน 


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-europe-17840134

https://www.indexoncensorship.org/2013/12/brief-history-russian-media/

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 เมษายน 2565

จริงหรือไม่…? ตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง โดยการกลั้นหายใจ

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยัน วิธีกลั้นหายใจสามารถใช้เช็กการติดเชื้อโควิด-19 ได้ รวมถึงขณะนี้การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ยังไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/22edha3fs01p5


จริงหรือไม่…? การรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดช่วยลดน้ำหนักได้

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอที่เชื่อถือได้มาสนับสนุนแนวคิดการรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ww0pm82dedqf


จริงหรือไม่…? นำ “กบตบปาก” ช่วยให้ลูกพูดเร็วขึ้น

ไม่จริง

เพราะ…ส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก และอาจได้รับเชื้อโรคจากสัตว์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8equptqi2kmb


จริงหรือไม่…? สาวข้ามเพศที่เทคฮอร์โมนไม่ควรกินอาหารประเภทแตงเพราะจะไปล้างฮอร์โมนเพศหญิงและเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย

ไม่จริง

เพราะ…ปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27b3d2p9631y3


จริงหรือไม่…? การนำเส้นผมมาปั่นหู แคะหู อันตราย

ไม่จริง

เพราะ…เส้นผมค่อนข้างอ่อนนุ่มไม่แข็ง ไม่ทำให้มีรอยแผล แต่อาจเกิดจากปัจจัยอื่นได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/o1tmlovn2hph


จริงหรือไม่…? ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทำให้เป็นโรคมะเร็ง

ไม่จริง

เพราะ…ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่สามารถป้องกันฟันผุ ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียในช่องปากได้ จึงไม่ใช่สาเหตุของการทำให้เป็นโรคมะเร็ง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29svdrjbo1w0k


จริงหรือไม่…? WHO ประเทศไทย แนะ 8 ข้อปฏิบัติ ฉลองสงกรานต์ปลอดภัยจาก “โควิด”

จริง

เพราะ…เป็นแนวทางในการป้องกันคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2irxt9r3bzt3i


จริงหรือไม่…?  3 ภัยไซเบอร์ที่คนไทยถูกหลอกมากที่สุด

จริง

เพราะ…มิจฉาชีพบน Social Media, อีเมลหลอกลวง และ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล มักจะเป็นการขโมยข้อมูลจากการซื้อขายของผ่านทางออนไลน์แบบไม่ผ่านคนกลาง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26nt2fsd7zd8o


จริงหรือไม่…? รับบริจาคของเพื่อ “ถุงปันสุข” สามารถร่วมสมทบทุนได้ที่บัญชี “มูลนิธิอิสรชน”

จริง

เพราะ…เพื่อแบ่งปันให้กับกลุ่มคนเปราะบาง คนลำบาก คนเร่ร่อน คนตกงาน อ่านรายละเอียดการสมทบทุนได้ที่เฟซบุ๊ก มูลนิธิอิสรชน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2a33xto6eq2zx


เชิญชวนเยาวชน 15-24 ปี สมัครแข่งขันตรวจสอบข่าวลวงชิงรางวัล พร้อมพัฒนาทักษะนักสืบดิจิทัล

เชิญชวนเยาวรุ่นร่วมสมัครเข้าแข่งขันตรวจสอบข่าวลวงชิงรางวัล
หากคุณอายุ 15-24 ปีต้องการพัฒนาทักษะนักสืบดิจิทัล ร่วมกิจกรรม Youth Verification Challenge
กับ Google News Initiative ชัวร์ก่อนแชร์ Cofact
พร้อมรับของรางวัลจาก Google
ลงทะเบียนภายใน 16 เม.ย. 65
อ่านรายละเอียด
verificationchallenge.com/th
ชมเพิ่มเติมในชัวร์ก่อนแชร์ x โคแฟค ไลฟ์ทอล์กที่
เพจชัวร์ก่อนแชร์ https://fb.watch/camaG37gDL/
เพจนักสืบสายชัวร์ x ชัวร์ก่อนแชร์สโมสร https://fb.watch/cam0Os1zmw/
เพจโคแฟค https://fb.watch/calwNHpd6v/


เปิดโครงการ‘Youth Verification Challenge’ ชวนเยาวรุ่นอายุ 15-24 ปี ฝึกอบรม-ประลองทักษะตรวจสอบข่าวลวง

Google news Initiative  ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ MCOT เปิดตัวโครงการ “Youth Verification Challenge” ชวนเยาวชนร่วมฝึกทักษะการตรวจสอบข่าว และร่วมแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับเอเชีย  

นายธนภณ เรามานะชัย Trainer Google News Initiative (GNI) กล่าวว่า โครงการ Youth Verification Challenge เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปี เข้าร่วมฝึกอบรมทักษะการตรวจสอบข่าวหรือข้อมูลลวงต่างๆ กับทีมงานของ GNI พร้อมด้วยพันธมิตรที่เป็นผู้สื่อข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) ทั่วทั้งเอเชีย กิจกรรมนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะ มีทั้งการเล่นเกมตอบคำถาม การฝึกอบรม ไปจนถึงการแข่งขันในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เปิดรับสมัครวันนี้ -16 เมษายนเท่านั้น  

ทำไม GNI อยากจัดโครงการนี้ ถ้ามองจากประสบการณ์ของผม น้องๆ เยาวชน ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกันให้ทางบ้าน ถ้าเราจะสอนเรื่องการตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวเท็จ บางทีถ้าเราคุยกับผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุอาจจะไมได้มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นแล้วน้องๆ เยาวชน น่าจะมีความคล่องแคล่วในเรื่องการใช้เครื่องมือตรวจสอบข้อมูลลวงมากกว่า และน้องๆ ยังสามารถเอาไปบอกต่อกับคุณพ่อคุณแม่ ไปบอกต่อญาติผู้ใหญ่ทางบ้านได้ด้วย นายธนภณ กล่าว

นายธนภณ กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมนี้นอกจากจะทำให้เยาวชนมีทักษะตรวจสอบข่าวหลอกลวงในชีวิตประจำวันได้แล้ว ยังเป็นการปูทางไปสู่การมีงานทำในอนาคตด้วย Fact Checker นั้นปัจจุบันเป็นอาชีพใหม่ในแวดวงสื่อสารมวลชน โดยระหว่างการอบรมจะมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้คำแนะนำตลอดโครงการ ซึ่ง Youth Verification Challenge ในครั้งนี้จัดเป็นปีที่ 2 แล้ว กิจกรรมในภาพรวมจะคล้ายกับปีก่อน แต่จะแตกต่างกันบ้างในเนื้อหาและรายละเอียด

โดยกิจกรรม ระยะที่ 1 เป็นการเรียนรู้ทักษะง่ายๆ รวม 8 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที ในรูปแบบ Youtube Live ว่าด้วยเทคนิคการตรวจสอบข้อมูลบนโลกออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ข้อความตัวอักษร ซึ่งมักพบบ่อยๆ ในการแชร์ผ่านกลุ่มไลน์ จะตรวจสอบได้อย่างไร รูปภาพหรือคลิปวีดีโอที่แชร์กันมาจะหาต้นตอได้จากที่ไหน เริ่มเรียนครั้งแรก 18 เม.ย. 2565 เป็นต้นไป ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยท้ายการเรีบนแต่ละครั้งจะมีชุดคำถามให้ตอบเพื่อเก็บสะสมคะแนน ให้เวลา 3-5 นาทีในการตอบ 

จากนั้น ระยะที่ 2” ประมาณเดือน พ.ค. 2565 จะได้เรียนรู้การทำงานของวิทยากรหรือพี่เลี้ยง (Mentor) 4 ท่าน เพื่อให้เห็นว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงในแต่ละนั้นทำอย่างไรกันบ้าง โดยในส่วนของวิทยากร เป็นกิจกรรมที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้ จากเดิมปีก่อนที่เน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการตอบคำถามมากกว่า ระยะที่ 3 ประมาณกลางปี 2565 เป็นการให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการและผ่านระยะที่ 1-2 มาแล้ว มารวมทีมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันระดับชาติ และ ระยะที่ 4 เฟ้นหาตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันต่อในระดับเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน ก.ย. 2565 ในงาน Trusted Media Summit ของ GNI เพื่อให้ได้สุดยอดนักตรวจสอบข้อเท็จจริงรุ่นเยาวชนของเอเชีย-แปซิฟิก 

นายพีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ MCOT กล่าวว่า โครงการ Youth Verification Challenge มีความสำคัญกับคนที่ในอนาคตต้องการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง ประโยชน์ที่ได้รับของเยาวชนผู้เข้าร่วมนอกจากจะได้เห็นว่าคนที่ทำงานด้านนี้ต้องมีทักษะและใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ได้ลงมือทำเพื่อฝึกฝนทักษะเนื่องจากวิชานี้ไม่มีการสอนในห้องเรียน ได้พบกับทีมงานที่ปกติอาจเข้าถึงได้ยาก เช่น ทีม GNI ของกูเกิ้ล ตลอดจนคนที่ทำงานด้านตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 

“เป็น Shortcut (ทางลัด) หรือก้าวกระโดดสำหรับน้องๆ ที่มีความสนใจ โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องอนาคตของวงการข่าว อนาคตของวารสารศาสตร์ น้องๆ คนที่เป็นครีเอเตอร์ คนที่อยากสร้างสรรค์สื่อแต่ไม่อยากทำสื่อบันเทิงอย่างเดียว อยากจะทำสื่อที่มันเสริมสร้างบางอย่างให้สังคม หรืออยากจะทำสื่อที่มีแต่ความจริง สื่อที่ทำให้ข้อเท็จจริงมันมีความสำคัญขึ้นในสังคมไทย อะไรแบบนี้ โอกาสนี้จะเป็นหนึ่งในโอกาสที่ดีมากๆ” นายพีรพล กล่าว

นายพีรพล กล่าวอีกว่า ทักษะการตรวจสอบข้อมูลบนสื่อออนไลน์ หลายคนอาจทำเป็นอยู่แล้ว หรือใช้เครื่องมือเป็นแล้วในบางส่วน แต่การมาอบรมครั้งนี้เหมือนกับการทำความเข้าใจโครงสร้างใหญ่ของชุดเครื่องมือทั้งหมด โดยจะได้รู้ว่าคนที่ทำงานด้านนี้จริงๆ ใช้เครื่องมือกันอย่างไร และมองเครื่องมือเหล่านี้อย่างไร ถือว่าเป็นเนื้อหาที่ต่อยอดได้อย่างมาก ส่วนคนที่ยังทำไม่เป็นจะยิ่งได้ความรู้ หรือคนที่บอกว่าทุกวันนี้สงสัยอะไรก็ค้นหาในกูเกิ้ลอยู่แล้วทำไมยังต้องมาเรียนอีก ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่จะได้เรียนไม่เหมือนกับที่ค้นหากันอง

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงสากล (International Fact-Checking Network : IFCN) กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็นวันตรวจสอบข้อมูลสากล (International Fact-Checking Day) โดยวันที่ 2 เมษายน นั้นเป็นวันถัดมาจากวันที่ 1 เมษายน ที่เป็นวันโกหก (April Fool’s Day) ในวันดังกล่าวหลายคนอาจถูกหลอกกันได้ง่ายๆ แต่ในยุคนี้มีโอกาสถูกหลอกกันได้ทุกวัน 

ดังนั้นทักษะในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจึงสำคัญมากในยุคดิจิทัล เพื่อที่จะได้รู้ทันไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวลวงและอาชญากรรมต่างๆ บนโลกไซเบอร์ ซึ่ง Youth Verification Challenge เป็นโครงการที่เชิญชวนเยาวชนเข้าร่วมแข่งขันตรวจสอบข่าวลือ-ข่าวลวง ริเริ่มโดยทาง Google News Initiative โดยมี โคแฟค (ประเทศไทย) และ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ MCOT ร่วมสนับสนุน

เท่าที่เราตามตอนนี้ จะเห็นว่า เยาวรุ่นก็ตื่นตัวเรื่องการตรวจสอบข้อมูลกันมาก เราจะมีนักสืบโซเชียลเยอะแยะไปหมดเลยเวลามีอะไรต่างๆ จริงๆ ถ้าได้มาเข้าร่วมโครงการนี้ ได้อบรม ได้ร่วมแข่ง ก็เพิ่มทักษะตรงนี้มากขึ้นด้วย ก็ฝากทุกท่านประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ใครที่มีน้องๆ ลูกๆ หลานๆ หรือญาติๆ คนไหนที่สนใจ เป็นโครงการที่น่าสนุก น.ส.สุภิญญา กล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://www.verificationchallenge.com/th

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

กรณีศึกษา‘ชายแดนใต้’ เหตุใดสังคมไทยต้องตระหนัก‘สิทธิดิจิทัล’ ชี้ข่าวลวง-มิจฉาชีพออนไลน์แก้ยากหากรัฐไม่ปรับท่าทีให้ประชาชนเชื่อมั่น

วงเสวนายกกรณีศึกษา‘ชายแดนใต้’ เหตุใดสังคมไทยต้องตระหนัก‘สิทธิดิจิทัล’ ชี้ข่าวลวง-มิจฉาชีพออนไลน์แก้ยากหากรัฐไม่ปรับท่าทีให้ประชาชนเชื่อมั่น

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ Doc Club & Pub ย่านศาลาแดง กรุงเทพฯ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับ โคแฟค (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมฉายหนังสั้น 8 เรื่อง และการเสวนาหัวข้อ สิทธิดิจิทัลในประเทศไทยคืออะไรทำไมจึงสำคัญ? และควรเริ่มต้นที่ตรงไหน?” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัปดาห์ค้นหาข้อเท็จจริง ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2565 ระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-2 เม.ย. 2565

นุรอาซีกีน ยูโซ๊ะ เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า ในพื้นที่ชายแดนใต้ เนื่องด้วยอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษที่เข้มงวดกว่าพื้นที่อื่นๆ การแสดงออกหรือวิพากษ์วิจารณ์จึงทำได้ยากกว่า ขณะเดียวกันก็มีปัญหาข่าวลือ-ข่าวลวงจำนวนมาก เช่น เมื่อมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น ในฐานะคนทำงานในพื้นที่ก็ต้องค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ซึ่งน่าเป็นห่วงสำหรับคนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้ค้นหาข้อมูลในระดับเดียวกัน แต่เลือกที่จะเชื่อข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงแหล่งเดียว ก็ยิ่งสร้างความแตกแยกในสังคมมากขึ้น

โดยในเหตุการณ์เดียวกันจะมีการสื่อสารทั้งจากหน่วยงานความมั่นคง องค์กรภาคประชาชน และอื่นๆ อีกมากมายผ่านบัญชีบุคคลหรือเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งหากเป็นคนที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องก็พอจะแยกออกว่าบัญชีบุคคลใดหรือเพจใดอยู่ฝ่ายไหน แต่การรายงานให้ระงับบัญชีหรือเพจที่สร้างข่าวปลอมก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เนื่องจากมีบัญชีหรือเพจใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีก ซึ่งมักเป็นบัญชีหรือเพจอวตารที่ไม่แสดงตัวตนจริง หรือการจะไปไล่แก้ข่าวในทุกเพจก็เป็นเรื่องเกินกำลัง หลายครั้งยังถูกตอบกลับด้วยถ้อยคำรุนแรงจนกระทบต่อสภาพจิตใจ นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องมาตรการลงทะเบียน 2 แชะ หรือบังคับลงทะเบียนอัตลักษณ์บุคคลในการใช้ซิมโทรศัพท์มือถือ ที่หมายเลขใดไม่ลงทะเบียนจะถูกระงับสัญญาณด้วย

“ลงทะเบียน 2 แชะ ตอนนี้หยุดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คือสัญญาณให้กับหมายเลขเดิมที่ถูกตัดไปก่อนหน้านี้ ณ ตอนนี้ขอให้ข้อมูลที่มีคนลงทะเบียนเข้าไปแล้ว เราก็อยากจะได้คำชี้แจงว่าใครเป็นคนเก็บข้อมูล แล้วถ้าข้อมูลเหล่านั้นถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบในส่วนเสียหายที่เกิดขึ้น อันนี้เราก็อยากได้คำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่ต้องการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ 2 แชะ ในพื้นที่เรา” นุรอาซีกีน กล่าว

สฤณี อาชวานันทกุล สมาชิกเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า สิทธิดิจิทัลมี 2 ความหมาย ด้านหนึ่งคือทุกวันนี้ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา หมายถึงเราใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ ดังนั้นจึงคาดหวังการคุ้มครองสิทธิต่างๆ เฉกเช่นที่มีการคุ้มครองบนโลกออฟไลน์ อาทิ สิทธิในการแสดงออก การรวมกลุ่ม ความเป็นส่วนตัว แต่อีกด้านหนึ่ง ในโลกดิจิทัลก็มีบางแง่มุมที่ไม่เหมือนกับโลกออฟไลน์ อาทิ รอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint) ที่เราทิ้งไว้มากมายบนโลกออนไลน์โดยไม่รู้ตัวผ่านการใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ ดังนั้นการคำนึงถึงมาตรฐานเรื่องความเป็นส่วนตัว จะมีความเข้มข้นแตกต่างกันระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์

เมื่อพูดถึงโลกออนไลน์ จะมีมุมมอง 2 ฝั่ง ระหว่างฝั่งที่คิดว่าโลกออนไลน์ช่วยยกระดับ (Enhance) เรื่องสิทธิ เช่น การรวมกลุ่ม ซึ่งยุคก่อนโลกออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากที่เราจะเจอคนอื่นๆ ที่สนใจเรื่องเดียวกัน ฝั่งนี้ก็จะเห็นว่าสิทธิดิจิทัล รวมถึงการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเป็นสิทธิมนุษยชน กับฝั่งที่เห็นว่า แม้สิทธิดิจิทัลจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็มองว่าการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเป็นเพียงการเสริมสร้างสิทธิดั้งเดิมอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบัญญัติเพิ่มว่าเป็นสิทธิมนุษยชน ถึงกระนั้น ทั้ง 2 ฝั่งก็เห็นว่าสิทธิดิจิทัลต้องได้รับการคุ้มครอง

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่กฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ จะพบสิทธิเสรีภาพหลายอย่างมีข้อยกเว้นไว้เสมอด้วยการเขียนต่อท้ายไว้ว่าตามที่กฎหมายบัญญัติ นำไปสู่การที่กฎหมายหลายฉบับเขียนอารัมภบทไว้ก่อนว่าจะมีการละเมิดสิทธิบางอย่าง ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิดิจิทัล เช่น เสรีภาพในการแสดงออก จะมีกฎหมายหลายฉบับเกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แม้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้จัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น ในมาตรา 14 ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลเท็จ หมายถึงการปลอมแปลงเป็นบุคคลหรือหน่วยงานอื่นโดยมิจฉาชีพ อาทิ การทำเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกเหยื่อให้ใส่ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง มาตราดังกล่าวกลับถูกนำไปตีความอย่างบิดเบือนเพื่อใช้จัดการกับการแสดงออก คำว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ จึงถูกตีความอย่างกว้างว่าข้อมูลอะไรก็ได้ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต แทนที่จะตีความอย่างเคร่งครัดว่าข้อความที่เครื่องประมวลผลเท่านั้น จึงกลายเป็นกฎหมายที่คุกคามการแสดงออกหรือใช้กลั่นแกล้งกันได้ง่าย ซึ่งไม่ใช่แต่รัฐที่ใช้ในลักษณะนี้ แต่ประชาชนก็ยังใช้กันเองด้วย นอกจากนี้ยังมี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งออกมาแล้วแต่ยังไม่มีการบังคับใช้ โดยรัฐบาลอ้างสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ว่าควรให้เวลาหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนได้ปรับตัว จึงเลื่อนการบังคับใช้มาแล้ว 2 รอบ และหากไม่เลื่อนอีกก็จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2565

ดังนั้นจะเห็นว่า กฎหมายที่ควรจะคุ้มครอง ถึงที่สุดมันมีปัญหาการใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้กฎหมายคอมพิวเตอร์ ลำพังการใช้กฎหมายนี้เพื่อกลั่นแกล้งกัน เพื่อคุกคามก็แย่อยู่แล้ว แต่การใช้ระยะหลังที่เป็นการไปเชื่อมโยงกับคำว่า Fake News มันยิ่งทำให้คนสับสนไปอีก คำว่า Fake News ตามความหมายที่เราเข้าใจกัน คือรวมไปถึงข่าวปล่อย ข่าวบิดเบือน ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดเลยคือส่งเสริมสิทธิสื่อมวลชน เพราะโดยอาชีพแล้วเป็นหน้าที่และเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมไปถึงสนับสนุนสื่อพลเมือง โครงการภาคประชาชน ที่จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checking) แล้วใครก็ทำก็ต้องทำให้ได้มาตรฐานสากล 

ซึ่งประเด็นสิทธิดิจิทัล โดยสรุปแล้วต้องกลับไปที่ 1.ต้องมีหลักการรับผิด กับ 2.หลักการได้สัดส่วน โดยทั้ง 2 ข้อนั้นเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่ารัฐจะไม่สามารถแตะต้องสิทธิใดๆ ของประชาชนได้เลย แต่ต้องมีเหตุผลจำเป็นเพียงพอ เช่น การโดยสารเครื่องบิน ผู้โดยสารรับได้กับการเอ็กซเรย์กระเป๋าเพื่อป้องกันการซุกซ่อนระเบิดขึ้นเครื่องบิน แต่คงไม่ยินยอมหากวันหนึ่งมีกฎว่าต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นๆ ก่อนขึ้นเครื่อง และคงมีคำถามตามมา เช่น ผู้ก่อการร้ายมีวิธีการวางระเบิดแบบใหม่หรือไม่? เครื่องเอ็กซเรย์แบบเดิมใช้ไม่ได้ผลอย่างไร? เป็นต้น

“ในสังคมหรือในยุคที่หน่วยงานรัฐไม่ต้องรับผิดกับประชาชน เขาก็ยิ่งไม่ต้องรับผิดกับเรื่องเหล่านี้ อยากฝากไว้ตรงนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราสามารถกลับมาให้เขามีความรับผิดที่ชัดเจน ความรับผิดชอบต่อมาตรการต่างๆ เขาก็จะต้องกลับมาคิดถึงหลักการที่เป็นหลักการพื้นฐานเหล่านี้มากขึ้น เพราะว่าเอาเข้าจริง นักกฎหมายก็จะบอกว่าหลักความจำเป็นและได้ส่วนมันพื้นฐานมากๆ เลยนะเวลาเราคุยกันเรื่องสิทธิ คือเราย่อมคาดหวังว่าสิทธิเราต้องได้รับการคุ้มครองเป็นเบื้องต้น ถ้าจะมาละเมิดหรือละเว้นต้องอธิบายให้ชัดว่าจำเป็นหรือไม่? อย่างไร? แล้วถ้าเกิดปัญหาใครจะรับผิดชอบ? แล้วเมื่อหมดความจำเป็นก็จะต้องกลับมาคุ้มครองตามเดิม” สฤณี กล่าว

สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ข่าวปลอม (Fake News) นั้นแยกได้ไม่ยาก นั่นคืออะไรก็ตามที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง (Fact) ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ Fake News นั้นก็มีหลายประเภท เช่น การเสียดสี (Parody) การแกล้ง (Bully) หรือการสื่อความให้เข้าใจผิดในเชิงสองแง่สองง่าม ทำให้แยกแยะได้ยาก 

อาทิ คน 2 คน สนิทกัน คนหนึ่งไปพูดจาบางอย่างกับอีกคนในลักษณะล้อเลียน คำถามคือทำได้หรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่ควรใช้คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายได้รับผลกระทบเจ็บปวด ซึ่งก็เป็นเรื่องของจริยธรรมด้วย เนื่องจากการใช้เพียงกฎหมายอย่างเดียวกับทุกเรื่องนั้นทำได้ยาก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการดำเนินการกับ Fake News ส่วนใหญ่จะเป็นการตักเตือน ให้ลบโพสต์และชี้แจง โดยการดำเนินคดีจะใช้กับ Fake News ที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างเท่านั้น เช่น ข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ที่ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนก คนไม่กล้าไปฉีดวัคซีน ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจของประชาชนและการเปิดประเทศ 

ทั้งนี้ ในการทำงานแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ด้านการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นเรื่องของตำรวจและศาล ส่วนศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองข้อมูลว่าข่าวใดจริงหรือปลอม โดยทุกข่าวที่ศูนย์ฯ หยิบยกมากล่าวถึงต้องอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเสมอ เพื่อเป็นการตรวจสอบย้อนกลับไปยังเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานนั้นที่ออกมาให้ข้อมูล หากต่อมามีผู้แย้งว่าข้อเท็จจริงเป็นอีกแบบหนึ่งและมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าไม่เป็นไปตามที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานชี้แจง

ประเด็นต่อไปคือการระบุตัวตน ซึ่งประชาชนยินดีที่จะให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด ฯลฯ ทั้งที่เป็นบริษัทในต่างประเทศ แต่เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้น เช่น ข้อมูลรั่วไหล กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทางกระทรวงฯ จึงต้องการหารือกับทางแพลตฟอร์ม เช่น เฟซบุ๊ก เพื่อเก็บข้อมูลนี้ด้วย เพราะหากมองในมุมผู้เสียหาย อาทิ หากมีลูกแล้วลูกถูกปล่อยภาพอนาจารแล้วจะต้องไปตามจับใคร

อันนี้เป็นมุมมองส่วนตัว คนไทยมีเสรีภาพ ไม่ได้ระวังกับต่างชาติมากพอสมควร หมายถึงว่าเรารู้สึกว่าถ้าเป็นภาครัฐฉันระแวง แต่ถ้าเป็นเฟซบุ๊กฉัน OK หรือบางเรื่องที่เราหลุดง่ายๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่ยิ่งเห็นบ่อย บัตรประชาชนกับถุงกล้วยแขก ที่มันมีนานแล้ว อย่างนี้เราไม่เคยระวังเลย แต่พอวันนี้มันมีดิจิทัลเข้ามา ทำให้สิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์มันเปลี่ยนไป ซึ่งกฎหมายกับภาครัฐไทย อันนี้ก็บอกได้ว่าในการจะเคลื่อนไหวหรืออะไรมันก็จะมีช่วงของการลองผิดลองถูก มันไม่สามารถที่จะปรับตัวได้ทันที ซึ่งเหมือนกัน ในการที่เราเข้ามาอยู่บนโลกออนไลน์ บางทีเราก็ยังอาจปรับตัวได้ไม่เต็มร้อย อันนี้ผมว่ามันต้องใช้เวลาอีกสักนิดในการที่จะจูนและก้าวไปพร้อมกัน สันติภาพ กล่าว

สุธิดา บัวคอม ตัวแทนทีม บอทผู้ชนะการแข่งขัน FACTkathon หักล้างข้อมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจเรื่องของ Fake News และมองว่าเป็นปัญหาของผู้สูงอายุ เพราะห็นว่าคนรุ่นใหม่เกิดมาในยุคที่มีเครื่องมือดิจิทัลพร้อมในการตรวจสอบ แต่พอมาร่วมโครงการ FACTkathon ก็ได้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ซึ่งนิยมใช้ทวิตเตอร์ หลายครั้งมีการแชร์หรือรีทวิตแบบตามๆ กัน โดยที่ไม่รู้ว่าทวิตต้นทางเป็นข้อมูลจริงหรือไม่

แต่ในบริบทของประเทศไทย Fake News มีพลังในการทำลายล้างเพราะคนไม่เชื่อมั่นในรัฐหรือข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นการสื่อสาร 2 ทาง อีกทั้งยังทำให้ผู้ใช้งานได้เห็นข้อมูลต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเมื่อคนเราต้องประมวลข้อมูลว่าอะไรจริงหรือเท็จ การที่แต่ละคนมีความคิดเห็น มีอคติ (Bias) ไม่เหมือนกัน ทำให้ข้อมูลที่ประมวลออกมาอาจไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งก็ไม่รู้จะไปพึ่งพาการตรวจสอบได้จากที่ไหน เพราะเกิดความรู้สึกว่าไม่มีแหล่งใดที่เชื่อใจได้ ถึงกระนั้น การที่รัฐจะปรับปรุงเพื่อเรียกความน่าเชื่อถือก็ไม่ง่ายอีกเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาได้กลายเป็นภาพจำไปแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งก็เห็นการช่วยกันตรวจสอบกันเองของประชาชนมากขึ้น

“อย่างในทวิตเตอร์ คนก็ทำในสิ่งที่จริงๆ ตัวเองไม่ต้องทำก็ได้ อย่างกรณีของคุณแตงโม ที่ผ่านมาแล้วก็ยังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ คือพอมันมีข่าวปลอมเกิดขึ้นมาก็จะมีคนไปแก้ทันที มันไม่จริง มันมีแหล่งข่าวบอกว่าอย่างนี้ ทั้งที่เขาเองก็อาจจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรก็ได้แต่เขารู้สึกว่ามันต้องแก้ไขในความผิดพลาดนี้ เรารู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงไปของนิสัยคนก็ทำให้สังคมมันดีขึ้น” สุธิดา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงงานวิจัยที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพบว่า แม้ประเทศไทยจะมีผู้เผยแพร่ข่าวลวง หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน (Disinformation) อยู่มาก แต่ปริมาณการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็มีมากเช่นกัน ส่วนประเด็นเสรีภาพที่ด้านหนึ่งอันดับของไทยถดถอยลง แต่อีกด้านก็พบคนไทยใช้งานสื่อสังคมออนไลน์กันมาก กรณีของประเทศไทยจึงน่าสนใจ และคนไทยเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับปัญหามากนักเพราะยังมีแง่มุมดีๆ ให้มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้คิดว่าสถานการณ์ในไทยนั้นเลวร้ายมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ

ทั้งนี้ แม้จะเชื่อว่าการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเป็นสิทธิเสรีภาพที่ควรได้รับการปกป้อง แต่หลายปีที่ผ่านมาก็มองเห็นด้านมืดบนอินเตอร์เน็ตค่อนข้างมาก ความท้าทายจึงอยู่ที่จะมีหนทางแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนหนึ่งคือทุกคนต้องกลับมาดูแลตนเอง ต้องตื่นรู้เท่าทัน แต่อีกส่วนหนึ่ง สมดุลระหว่างกฎหมายหรือกฎกติกามารยาทต่างๆ ก็เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ละคนอาจเห็นไม่เหมือนกัน และเป็นเรื่องยากในการหาจุดสมดุล

เมื่อมองไปยังอนาคต ยังมีความท้าทายใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการทำคลิปวีดีโอที่ปลอมแปลงใบหน้าและเสียงจนแยกแยะได้ยาก (Deepfake) ด้านหนึ่งต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันเพราะใครๆ ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ แต่อีกด้านหนึ่งกฎหมายหรือนโยบายก็ต้องปรับแก้ให้เอื้อต่อการรับมือด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีข้อสังเกตว่า การดำเนินการทางกฎหมายของไทยจะรวดเร็วหากเป็นเรื่องที่กระทบความมั่นคงของรัฐ แต่ก็อาจเกินสัดส่วนไป อาทิ กรณี 3 จังหวัดชายแดนใต้ หรือเรื่องการเมือง เมื่อเทียบกับเรื่องที่กระทบต่อประชาชน เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

พอเกิดเหตุอย่างนี้ ถ้าเราไปถามหน่วยงานรัฐจะผลักมาที่ผู้บริโภค ประชาชนก็อย่าโง่สิ อย่าทำตัวให้ถูกหลอกสิ พอมาเจอเรื่องอาชญากรรมออนไลน์จริงๆ ภาครัฐจะโยนกลับไปให้ผู้บริโภค แต่พอเจออะไรที่มันกระทบความมั่นคงของรัฐ รัฐจะบอกต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็ง ฉะนั้นมันก็ไม่สมดุลแล้วคนก็ไม่เชื่อในหลักนิติธรรม หรือ Rule of Law มันก็นำไปสู่การที่คนเลือกที่จะ Support บริษัท Tech Company ขนาดใหญ่ มากกว่าที่จะ Support นโยบายของรัฐ เพราะฉะนั้นก็ต้องสลับตรงนี้เพื่อที่จะรับมือกับโลกยุค Metaverse ยุค 5G 6G แล้วก็ยุค Deepfake” สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

วงเสวนาชี้แก้ปัญหาข่าวปลอมเรื่องของทุกฝ่ายไม่ใช่แค่ภารกิจสื่อมวลชน แต่ทั้งแหล่งข่าว-ผู้รับสารต้องร่วมมือกัน

2 เม.ย. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ สำนักข่าว ThaiPBS FNF Thailand และภาคีเครือข่าย จัดเสวนา “บทบาทสื่อไทยในการสกัดข่าวปลอม: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ที่ รร.เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัปดาห์ค้นหาข้อเท็จจริง ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2565 ระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-2 เม.ย. 2565 

ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส กล่าวว่า เมื่อพูดถึงคำว่าข่าวปลอม (Fake News) จะนิยามอย่างไร ความผิดพลาดทางวารสารศาสตร์จะนับเป็นข่าวปลอมหรือไม่ หรือแค่ไหนจึงเรียกว่าข่าวปลอม แต่สำหรับตนแล้ว ข่าวปลอมนั้นต้องดูที่ผู้สร้างว่ามีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือของคนใดคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง 

โดยในอดีตนั้นไม่ค่อยมีปัญหาข่าวปลอม แต่จะเป็นข่าวผิดพลาดคลาดเคลื่อนเสียมากกว่า ซึ่งเกิดจากการเร่งรีบในกระบวนการผลิต ทั้งนี้ สื่อมวลชนมีคำว่า Gatekeeper หมายถึงบทบาทในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนเผยแพร่ ปัจจุบันคนทำงานสื่อก็ยังต้องทำหน้าที่นี้อยู่ ดังนั้นคำถามที่ว่าสื่อจะต่อสู้กับปัญหาข่าวปลอมได้มาก-น้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของกองบรรณาธิการ สำหรับกระบวนการตรวจสอบก็คือการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล เช่น ใครเป็นแหล่งข่าว เป็นแหล่งข่าวประเภทปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ วิธีนี้ก็ยังไม่เก่า

แต่ปัจจุบันสื่อต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากทั้งจากผู้รับสารปกติทั่วไป และผู้มีส่วนได้-เสียกับข้อมูลข่าวสาร การที่สื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารแล้วไม่ตรงกับความต้องการของผู้มีส่วนได้-เสีย ก็อาจถูกตีตราได้ว่าเป็นผู้นำเสนอข่าวปลอม แม้ว่าข้อมูลนั้นจะมีปัญหามาจากแหล่งข่าวต้นทางก็ตามแต่จะไม่ค่อยถูกพูดถึง ดังนั้นการแก้ปัญหาข่าวปลอมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรู้เท่าทัน ทั้งคนทำงานสื่อ แหล่งข่าวซึ่งเป็นต้นทางของการสื่อสาร และผู้รับสาร ซึ่งยุคนี้กรอบจริยธรรมสื่อเป็นวิชาที่ทุกคนควรได้เรียน

“ผู้รับสารซึ่งปัจจุบันเป็นผู้สื่อสารแล้ว ทันทีที่รับข้อมูล ใช้เวลากะพริบตาไม่เกิน 3 นาที ก็เป็นผู้ส่งสารได้ทันที ก็คือแชร์ ทำอย่างไรคนเหล่านี่จึงตระหนักว่าสถานะของเขาไม่ใช่แค่ผู้รับสาร พวกเธอทั้งหลายตรวจสอบให้ฉันแน่นอน ถ้าเธอไม่ทำคือเธอไม่ทำหน้าที่ แต่พอถึงตัว ได้มาปุ๊บส่งต่อเลย ทำอย่างไรจึงสร้างความตระหนักว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณแชร์หรือส่งต่อ คุณควรมีกระบวนการคิดและตรวจสอบสารเช่นกัน ตั้งคำถามสักนิดว่าตกลงอันนี้ใช่ไหม 

ขณะเดียวกันมันต้องย้อนไปถึงต้นทางด้วย ผมถามหน่อยทุกวันนี้เราเข้าใจว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจรป้องกันโรคโควิดได้ไหม หน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือบอกไม่ได้ อย่าไปคิดว่าป้องกันได้นะ แต่มีอาการแล้วก็ให้รีบรักษา แต่บางอัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรื่องนี้ บอกใช้วันละ 2,000 มิลลิกรัม 5 วัน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน คุณตีความว่าอย่างไร เขาไม่ได้บอกว่าป้องกัน แต่เพิ่มภูมิต้านทาน คุณเข้าใจว่าอย่างไรในบริลบทของโควิด-19 ก่อเขต กล่าว

นพปฏล รัตนพันธ์ รองเลขาธิการ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า สื่อหนังสือพิมพ์ไม่เจอปัญหาข่าวปลอม แต่เป็นปัญหาข่าวสารที่ไม่ครบถ้วน ณ เวลานั้น โดยการปิดต้นฉบับหากเป็นฉบับที่ไปจำหน่ายในจังหวัดไหลๆ ก็ต้องปิดเร็ว แต่หากเป็นฉบับที่จำหน่ายในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือภาคกลาง ก็จะปิดช้า โดยยึดว่าหนังสือพิมพ์จะต้องไปอยู่บนแผง ณ จังหวัดปลายทาง ในเวลา 05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ดังนั้นวิธีการที่กอง บก. หนังสือพิมพ์ใช้กันคือ หากเรื่องใดไม่มั่นใจก็จะยังไม่ฟันธง

สำหรับข่าวปลอมนั้นในอดีตตนมองว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง แต่การจะมาผ่านพื้นที่สื่อนั้นเป็นไปได้ยากเพราะกอง บก. ของสื่อหลักไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ จะตรวจสอบก่อนเสมอ เช่น การกล่าวอ้างว่าคนนั้นพูดคนนี้พูด ก็จะต้องยืนให้ได้ก่อนว่าบุคคลดังกล่าวพูดเรื่องนั้นจริง ต่างจากปัจจุบันที่เทคโนโลยีทำให้การส่งต่อหรือกระจายข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว ซึ่งหากใช้ประโยชน์ในทางที่ดีก็ดีไป แต่หากใช้ในทางที่ไม่ดี บิดเบือนเพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะสร้างความปั่นป่วนทั้งผู้บริโภคข่าวสาร คนทำสื่อ และผู้เกี่ยวข้องไม่ว่ารัฐหรือเอกชน

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีปัญหาก็มาจากแหล่งข่าว เช่น กรณีสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกับโควิด-19 แพทย์ท่านหนึ่งบอกช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แพทย์อีกท่านบอกให้ใช้เพื่อรักษาโรค ส่วนอีกหน่วยงานหนึ่งบอกว่ายังไม่มีผลวิจัยรองรับ โอกาสที่สื่อจะนำข้อมูลจากทั้ง 3 แหล่งมาใส่รวมกันแทบเป็นไปไม่ได้ และแหล่งข่าวแต่ละแหล่งอาจให้ข้อมูลคนละวัน รวมไปถึงคำนิยามอีก อะไรคือสร้างภูมิคุ้มกัน แล้วการไม่มีผลงานวิชาการยืนยัน เท่ากับที่ผ่านมาหลอกลวงผู้ประชาชนหรือเปล่า ความคลาดเคลื่อนจึงเกิดขึ้นได้ แต่ที่แน่ๆ คือคนพากันกว้านซื้อฟ้าทะลายโจรแล้ว

ต้องตรวจสอบตัวแหล่งข่าวให้ชัด หรือไม่ถ้าเอาชัวร์ๆ ไม่ให้ถูกด่า แต่จริงๆ เป็นสื่ออย่างไรก็โดนด่าอยู่แล้ว ก็ว่ากันไป แต่เราก็ทำให้มันชัดเจนมากที่สุด หาข้อมูลประกอบให้มันมากที่สุดในการที่จะนำเสนอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าจะเพลย์เซฟหน่อยก็โควตคำพูด เอาคำที่หมอคนนั้นหรือแหล่งข่าวคนนั้นมาใส่ แค่นั้นไม่ต้องมีการแต่งเติม เพราะบางทีการเข้าใจของเรากับคำพูดของเขา บางทีคนที่ฟังคนที่ 3 อาจจะเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง สมมติมีญาติพี่น้องกำลังลงทุนเรื่องฟ้าทะลายโจร สุดท้ายใช้ไม่ได้แล้วก็มาโทษสื่อเขาบอกมา ฟังสื่อมา 

ก็คือเพลย์เซฟที่สุด แหล่งข่าวว่าอย่างไรเราก็ว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เราจะช่วยผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร ก็คือการหาข้อมูบเพิ่มเติม ว่ามันอาจจะ อาจจะเฉยๆ นะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ตรวจสอบกับหน่วยงานที่เชื่อถือได้  ซึ่งมันก็ตรวจสอบยากนะ เพราะหน่วยงานรัฐบางทีก็เข้าถึงยาก อย่างศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไม่รู้ประชาชนทั่วไปจะเข้าได้มากน้อยแค่ไหน บางทีสื่อจะขอข้อมูล หรือไปทำอะไรด้วยกันสักนิดสักหน่อย ขั้นตอนก็ยากอยู่” นพปฏล กล่าว

ระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่การรับข้อมูลข่าวสารเป็นแบบตามเวลาจริง (Real Time) แต่ปัญหาคือเมื่อเกิดข่าวปลอมขึ้น เช่น มีข้อมูลที่น่าสงสงสัยว่าจริงหรือไม่ถูกเผยแพร่ในวันที่ 1 เมื่อสื่อพยายามสอบถามไปยังแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบเรื่องนั้นโดยตรง (Direct Source) กลับถูกบอกให้ทำหนังสือมาแล้วให้รอ 2 เดือนบ้าง 2-3 สัปดาห์บ้างแล้วจะชี้แจง ในช่วงที่ต้องรอดังกล่าว ข่าวปลอมก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางนับแสนข้อความแล้ว 

ผมเคยเจอเคสตอนโควิดมาเวฟ 2 ผมมีโอกาสได้รับเชิญไปทำเนียบ ไปคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองหลายๆ ท่าน หลายๆ สื่อ หลายๆ สมาคมสื่อเข้าไป สิ่งที่เราพยายามบอกคือเวลานั้นมีปัญหาเตียงไม่พอ แล้วปัญหาเตียงไม่พอมันมีคำถามเยอะมากเลยว่าแล้วที่ไหนมีเตียง แล้วเวลาป่วยที่ไหนมีเตียง ช่วยบอกหน่อย สิ่งที่เราได้รับข้อมูลทุกวันคือตอนแถลง 11 โมง ว่าไปเท่าไรแล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ก็มีกรณีศึกษาจากสิงคโปร์ เขามีเว็บไซต์กลางที่รายงานตามเวลาจริงว่าเตียงถูกใช้ไปเท่าไรในพื้นที่ไหนบ้าง ก็มีเรียนถามผู้เกี่ยวข้องไป เขาก็บอกทำไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่มันสร้างความทุกข์กับประชาชนคือข่าวที่ออกในเวลานั้นคือเตียงเต็มทั้งประเทศ ดังนั้นคนป่วยตื่นตระหนกหมด แล้วมันไปเปลี่ยนคำว่าตื่นตระหนกให้กลายเป็นข่าวปลอม เช่น โรงพยาบาลนี้ต่อคิว 100 คิว โรงพยาบาลนี้ต่อคิว 200 โรงพยาบาลนี้มีคนตายแล้ว ไทม์ไลน์มันมีปัญหาหมด นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ MCOT กล่าวว่า เริ่มทำชัวร์ก่อนแชร์มาตั้งแต่ปี 2558 พบว่าระยะหลังๆ ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวได้ดีขึ้น ซึ่งหลายคนก็เคยตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมมาก่อนแล้วเกิดการเรียนรู้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนที่เติบโตมาในยุคที่การสร้างและเผยแพร่สื่อทำได้ง่าย หากไม่เข้าใจธรรมชาติของอินเตอร์เน็ตอาจได้รับผลกระทบ ทั้งการรับข้อมูลโดยที่ไม่รู้ว่าใครๆ ก็สร้างเว็บไซต์ได้หรือใครๆ ก็ตัดต่อภาพได้ ก็อาจจะถูกหลอก และการส่งที่ไม่รู้ว่าส่งไปแล้วข้อมูลสามารถกระจายเป็นวงกว้างมาก แล้วอาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้

แต่เมื่อหันมาดูการทำงานของสื่อก็พบข้อจำกัดหลายครั้งอยู่ที่แหล่งข่าว เช่น บางคนไม่อยากออกสื่อเพราะจะมีปัญหาตามมาแม้เป็นการพูดความจริง หรือเรื่องที่แชร์กันอยู่บนโลกออนไลน์บางเรื่องแหล่งข่าวที่เป็นนักวิชาการมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่อยากพูดถึง หรือบางคนก็มีเวลาน้อย หรือเรื่องของสายการบังคับบัญชา ถ้าคนนี้ไม่พูดตนเองก็ยังพูดไม่ได้ แต่ในทางกลับกันก็จะมีแหล่งข่าวบางคนที่ใช้ช่องทางเฟซบุ๊กในการสื่อสารโดยตรง เพราะดีกว่าให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้วไม่รู้ว่าสื่อจะไปนำเสนออย่างไร จะเกิดการตีความผิดพลาดหรือนำเสนอไม่ครบถ้วนหรือไม่

ถ้าแหล่งข่าวเขาเชื่อว่าการให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนโดยเร็วที่สุดมันคือทางออกของการแก้ปัญหาทั้งปวง เป็นการปิดการทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ถ้าเขาเชื่อแบบนี้มันก็จะเป็นการแสดงออกมา เช่น แถลงข่าวทันทีเมื่อสำคัญ เป็นการทำให้เอกสารมันถูกเข้าถึงได้โดยเร็ว ทำให้เอกสารที่มันควรเป็นเอ็กเซลก็ควรมาเป็นตารางที่สื่อเอาไปใช้ต่อได้ เชื่อในมาตรฐานข้อมูลเปิด ซึ่งถ้ามีความเชื่อและผลของความเชื่อในลักษณะแบบนี้ออกมา มันก็จะไปบรรจบกันพอดีกับเรื่องของเทคโนโลยีในอนาคต พีรพล กล่าว 

มณธิรา รุ่งจิรจิตรานนท์  ผู้สื่อข่าว ตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักข่าว AFP ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในอดีตการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนจะมาจากสื่อมวลชนหรือสำนักข่าว ทำให้การนำเสนอไม่เป็นไปตามเวลาจริง เช่น เหตุการณ์เกิดตอน 3 ทุ่ม แต่หนังสือพิมพ์ปิดต้นฉบับไปแล้ว แต่ปัจจุบันในยุคสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ใครเจอเหตุการณ์อะไรก็นำเสนอผ่านช่องทางดังกล่าวได้ ไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นกระแสแล้ว ดังนั้นข่าวปลอมจึงเกิดได้ง่าย โดยข่าวปลอมนั้นมี 2 ความหมาย คือข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแต่ผู้ส่งข่าวไม่มีเจตนาร้าย (Misinformation) กับข้อมูลที่นำมาใช้เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามหรือสร้างความเกลียดชังในสังคม (Disinformation)

สำหรับ AFP นั้น เริ่มต้นแผนกตรวจสอบข้อเท็จจริงในปี 2560 ซึ่งมองเห็นอันตรายจากข่าวปลอมในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเวลานั้นมีคนทำงานตรวจสอบเพียงคนเดียว แต่ปัจจุบันในปี 2565 มีทีมงานอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก ทำการตรวจสอบข้อมูลเหตุการณ์สำคัญที่แชร์กันในโลกออนไลน์มาแล้วหลายเรื่อง ทั้งการชุมนุมประท้วงในไทย กลุ่มตาลีบันยึดอำนาจในอัฟกานิสถาน มาจนถึงล่าสุดคือสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

โดยเลือกข้อมูลที่หากพบว่าเป็นข่าวปลอมจะสร้างความเสียหายต่อสังคมอย่างมาก เช่น เกิดการจลาจล หรือเกิดอันตรายต่อสุขภาพ มาตรจสอบ ขณะเดียวกันก็ต้องดูศักยภาพตนเองด้วยว่าสามารถตรวจสอบได้ลึกหรือละเอียดเพียงใด หากไม่มากพอก็จะไม่ทำเด็ดขาดเพราะต้องการให้เมื่อนำเสนอแล้วทุกอย่างจบสิ้น ไม่มีช่องโหว่ให้ใครตั้งข้อสงสัยใดๆ ได้อีก

แต่นอกจากบทบาทของสื่อแล้ว ประชาชนก็ต้องเข้าใจด้วยว่าการแชร์ข้อมูลข่าวสารที่ดูเป็นเรื่องตลกแต่บางครั้งก็อาจเป็นอันตรายต่อคนอื่นได้ โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์เป็นเหยื่อของข่าวปลอม แต่ระยะหลังๆ ก็พบความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น ตัวอย่างจากแม่ของตน  ที่แต่ก่อนมีอะไรก็ส่งต่อ แต่ปัจจุบันมีการตรวจสอบก่อนส่งว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่ อีกทั้งยังไปบอกกับเพื่อนบ้านด้วยว่าเรื่องไหนจริง-ไม่จริง ถือว่าพัฒนาขึ้นหากเทียบกับเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่ไม่มีแนวคิดนี้อยู่เลย

ในขณะที่สื่อเอง แม้ต้องการทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่แชร์กันในสังคม อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งข่าว เช่น เรื่องโควิดที่บางครั้งหาแหล่งข่าวในไทยไม่ได้ก็ต้องไปพึ่งแหล่งข่าวในต่างประเทศ  รวมถึงลำดับชั้น (Hierarchy) ที่ต้องรอผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นให้ข้อมูล หรือให้ผู้บริหารนั้นมอบหมายเจ้าหน้าที่คนใดคนหนึ่งให้ข้อมูล เป็นต้น

เนื่องจากว่าตอนนี้ประชาชนก็รับข่าวสารกันแบบ Real Time ส่วนตัวคิดว่าทุกภาคส่วนในสังคมควรที่จะปรับตัวเข้าสู่ระบบ Real Time ด้วยเช่นกัน ขอยกตัวอย่างกรณี AFP ที่ตอนนั้นมันมีข่าวว่ารัฐมนตรีต่างประเทศของเมียนมาพบกับท่านนายกฯ ประยุทธ์ แล้วก็มีคลิปอันหนึ่งออกมาแล้วก็ถูกแชร์โดยสื่อหลักและเพจ Activist หลายๆ เพจ ทีนี้ทาง AFP ก็เลยได้ไปสอบถามกับโฆษกของตำรวจ ก็ได้รับความร่วมมืออย่างเร็วเลย ตอนนั้นก็คิดว่าสังคมของเราเริ่มเข้าสู่ Real Time มากกว่าในอดีต ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ เป็นบุคคลที่เป็นผู้ติดตามของท่านนายกฯ ส่วนตัวคิดว่าทุกภาคส่วนควรปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ควรมีประสิทธิภาพและขณะเดียวกันก็รวดเร็ว เพื่อจะได้ตามทันยุคสมัย มณธิรา กล่าว

ในช่วงท้ายของการเสวนา บายบาร์ ออร์เซ็ค (Baybars Orsek) ผู้อำนวยการ International Fact-Checking Network (IFCN) ได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยกล่าวว่า IFCN ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ต่อมาในปี 2559 เฟซบุ๊กหรือปัจจุบันคือเมตา META ได้ประกาศใช้ชุดประมวลหลักการของ IFCN ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ภารกิจของ IFCN คือการให้องค์กรต่างๆ เข้ามาเรียนรู้ในการพัฒนามาตรฐาน ความถูกต้องและโปร่งใส ตลอดจาการนำเสนอข้อมูล สนับสนุนทรัพยากรและจัดประชุมต่างๆ ปัจจุบันมีสมาชิก 110 องค์กร จาก 54 ประเทศ

สำหรับองค์กรที่อยากเข้าร่วมเป็นสมาชิกคือต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองหรือขั้วอำนาจทางการเมืองใด เพราะหลักการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checking) ต้องไม่เข้าข่ายฝ่ายใดอยู่แล้ว ต้องนำเสนอข่าวสารในประเด็นที่สนใจของสาธารณะ และนำเสนออย่างเป็นธรรม มีการจัดทำมาตรฐานการนำเสนอข่าวอย่างโปร่งใส ที่มาแหล่งข่าวต้องสามารถตรวจสอบและเปิดเผยได้  เมื่อผู้รับสารมีข้อสงสัยองค์กรต้องสามารถชี้แจงได้ และหากนำเสนอข่าวผิดพลาดต้องอธิบายต่อสาธารณะด้วยว่าผิดพลาดในส่วนใด

เราต้องการให้ทุกๆ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงสามารถเป็นองค์กรที่ตรวจสอบได้นั่นเอง เพื่อที่จะสามารถคุ้มครองความน่าเชื่อถือของเราได้โดยการทำงานอยู่บนหลักการที่ตั้งอยู่บนความเปิดเผย และสุดท้ายหลักการข้อนี้เป็นหลักการที่มีความสำคัญมากที่สุด องค์กรต้องสามารถบอกได้ว่าวิธีการทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเขาเป็นอย่างไร เพราะมันไม่มีวิธีการที่เป็นวิธีการเดียวถูกต้องเหมือนกันทั่วทุกประเทศทั่วโลก ผอ.IFCN กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์  ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวปิดการเสวนา ว่า ปีนี้เป็นการจัดกิจกรรมแบบผสมผสาน (Hybrid) มีทั้งในห้องประชุมและรับชมหรือร่วมกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้ฟังมุมมองจากวิทยากรมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้เห็นสถานการณ์ที่เผชิญกันอยู่ ไม่ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การไหลเวียนของข้อมูลหลอกลวง ไปจนถึงสงครามและความรุนแรง เป็นความท้าทาย

“ข้อสรุปของการพูดคุยวันนี้ได้พูดถึงความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะสื่อมวลชน ไม่เฉพาะสื่อออนไลน์ เป็นความร่วมมือของผู้ที่ร่วมใช้ออนไลน์ทุกคน” ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-