สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mind Up เสริมสร้างสมาธิ พัฒนาความจำ เสริมสร้างพัฒนาการของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

ไม่จริง

เพราะ…อย. ได้ระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวทางเว็บไซต์ และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rszwt0m6xr2j


จริงหรือไม่…? เตียงนอนบำบัดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพาต และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้โลหิตสะอาด

ไม่จริง

เพราะ…เป็นผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริงหลอกลวงผู้บริโภค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gbcafg6n03tf


จริงหรือไม่…?  Nouveau Riche Beta plus ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง เนื้องอก ซีสต์ ไวรัส ลดขนาดก้อนเนื้อได้

ไม่จริง

เพราะ…ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่มีการยื่นข้อมูลประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/z2dcx4yclmh2


จริงหรือไม่…? เตามหาเศรษฐี ช่วยประหยัดเงินได้

ไม่จริง

เพราะ…จากการวิเคราะห์หรือคำนวณพบว่า ในสถานการณ์ราคาค่าแก๊สในปัจจุบัน เตามหาเศรษฐีไม่ได้ช่วยประหยัดเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11h6l5zikyqv9


จริงหรือไม่…?  ข้าวสารบรรจุถุง เตรียมขึ้นราคา ก.ค. นี้

จริง

เพราะ…สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ผู้ประกอบการ เตรียมจะปรับขึ้นราคา ข้าวถุง เนื่องจากสต็อกข้าวสารเก่าหมดแล้ว ขณะที่ข้าวสารล็อตใหม่ มีราคาแพงขึ้นมาก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33vrlbk5s19j8


จริงหรือไม่…?  #สิงคโปร์ ยืนยัน พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกแล้ว นับเป็นรายแรกของอาเซียน

จริง

เพราะ…กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ยืนยัน พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของประเทศแล้ว เป็นรายแรกในย่านอาเซียน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ger4mmv3efu3


จริงหรือไม่…?  สำนักจุฬาราชมนตรีห้าม กัญชง กัญชา เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตทางศาสนาอิสลาม

จริง

เพราะ…ถือเป็นฮารอม (สิ่งต้องห้าม) ฐานเดียวกับการดื่มสุรา แต่การใช้กัญชง กัญชา เพื่อการรักษา เป็นข้อยกเว้นสำหรับการนำมาใช้ในทางการแพทย์การรักษาหากมีความจำเป็น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35rren885knxo


จริงหรือไม่…?  กลโกงของมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนภัยเพจปลอมหลอกลงทุน

จริง

เพราะ…ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะ ไม่ลงทุนตามคำชักชวน ไม่หลงเชื่อการอ้างผลตอบแทนที่สูงเกินจริง ไม่รีบร้อน ต้องตรวจสอบก่อน และไม่โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/37cxg43rfhc44


จริงหรือไม่…?  ภัยออนไลน์ใหม่ คนร้ายใช้ “QR Code” ดูดเงิน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…สแกน QR Code เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถโอนไปให้กับคนร้ายได้ ยกเว้นแต่ QR Code ดังกล่าวนำไปสู่การกดดาวน์โหลดโปรแกรม กรอกข้อมูล หรือทำธุรกรรมใดๆ แนะ ตรวจสอบความถูกต้องในการทำรายการก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7v1je9951bdm


อยู่กับโควิดแบบไม่ใส่แมสก์อย่างไรให้ปลอดภัย และเช็คมาตรการผ่อนคลายโควิดใหม่ COFACT Special Report #28

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติเห็นชอบให้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สาระสำคัญคือการอนุญาตให้ประชาชนไม่ต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยในพื้นที่โล่งแจ้ง รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง เช่นการไม่ต้องวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้พื้นที่ต่างๆ และการไม่ต้องตรวจ ATK หากไม่มีอาการหรือไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้มีเพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวกับความรุนแรงของโรคที่ลดลง และกลับมาใช้ชีวิตปกติให้ได้มากที่สุด

English Summary

The Centre for COVID-19 Situation Administration (CCSA) on June 17 agreed to lift the outdoor mask mandate, along with extending the closing hours of nightclubs and bars to 2 am. These measures come as the daily new COVID-19 cases are lower than the past few months and more people are getting their vaccine boosters. However, some Thais have skepticisms about the lifting of mask mandate and the loosening measures could bring the outbreak back. In this article, we explain what new measures could mean to you and the science behind them.

อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้อาจจะทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เนื่องจากมาตรการหลายอย่างเราใช้กันมาจนเคยชิน และบางคนอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าหากเราผ่อนคลายการปฏิบัติตัวแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่

Q: ทำไมเวลาอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งจึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย?

A: ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นระบุตรงกันว่า พื้นที่โล่งแจ้งที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด-19 ต่ำ ดังนั้นการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การวิ่งในสวนสาธารณะ หรือการเดินบนทางเท้าจึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย หากมีการเว้นระยะห่างที่เหมาะสม

Q: ถ้าฉันอยากสวมหน้ากากอนามัยต่อไปจะได้ไหม?

A: หากเรารู้สึกว่าการสวมหน้ากากอนามัยช่วยให้รู้สึกอุ่นใจก็สามารถสวมใส่ต่อได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายข้อใดระบุว่าประชาชนจะต้องถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้ง การสวมหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งมีข้อดีตรงที่สามารถกรองฝุ่นละออง และเชื้อโรคในอากาศได้ดี

Q: พื้นที่ไหนและกิจกรรมใดบ้างที่ ”ไม่ต้อง” สวมหน้ากากอนามัย?

A: ตามประกาศของ ศบค. ระบุว่า ประชาชนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่โล่งแจ้ง หมายถึง พื้นที่ที่อยู่ภายนอกอาคาร หรือพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ใช่พื้นที่ปิด หรือพื้นที่ที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ส่วนกิจกรรมที่มีความจำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัย เช่น การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การแสดงศิลปะด้วยใบหน้า การถ่ายทำรายการโทรทัศน์, ภาพยนตร์ ประชาชนก็สามารถถอดหน้ากากอนามัยทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ แต่เมื่อเสร็จกิจกรรมแล้วควรสวมหน้ากากอนามัยตามเดิม

Q: พื้นที่ไหนและกิจกรรมแบบใดที่ควรต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่?

A: ศบค. ระบุว่า ประชาชนควรใส่หน้ากากอนามัยตามปกติเมื่อต้องเข้าใช้พื้นที่อาคารต่างๆ หรือสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น ขนส่งสาธารณะ งานแสดงคอนเสริตหรืองานที่จัดในห้องประชุมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ตลาดนัด ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และอาคารที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

Q: ทำไมจึงยกเลิกการวัดอุณหภูมิตามสถานที่ต่างๆ?

A: ปัจจุบันเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น โอมิครอน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักมีอาการไม่มาก หลายคนไม่มีไข้ การคัดกรองด้วยการวัดอุณหภูมิจึงไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 จริง ซึ่งสถานประกอบการสามารถคัดกรองผู้เข้าใช้บริการด้วยวิธีอื่น เช่น การขอตรวจเอกสารการฉีดวัคซีน หรือการตรวจ ATK ได้อยู่หากจำเป็น

Q: ทำไมจึงมีการยกเลิกการตรวจ ATK เป็นประจำ?

A: ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง บวกกับยอดผู้ติดเชื้อที่ลดลง ดังนั้น การตรวจ ATK สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการ หรือไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจึงไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญยังคงแนะนำให้ประชาชนรักษาสุขอนามัย และหมั่นสังเกตอาการของตนเองเป็นประจำ หากรู้ตัวว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็ควรจะตรวจ ATK ด้วยตนเองและแยกตัวจากผู้อื่น

Q: มีการผ่อนคลายมาตรการถึงขนาดนี้แล้ว วัคซีนยังจำเป็นอยู่หรือไม่?

A: วัคซีนยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ชีวิตประจำวันของเราล้วนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในระยะหลังๆ ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างโอมิครอนมีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ประชาชนควรได้รับการฉีดวัคซีน ถึงแม้วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่ก็สามารถลดอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อได้มาก หากประชาชนส่วนมากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าระบบสาธารณสุขจะรองรับผู้ป่วยหนักไม่ไหว เพราะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วหากติดเชื้อก็สามารถรักษาตัวเองได้ที่บ้าน 

Q: ฉันควรต้องไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอีกหรือไม่?

A: ผลการศึกษาจากหลายประเทศระบุตรงกันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงตามเวลา กระทรวงสาธารณสุขของไทยแนะนำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 3 เดือนขึ้นไปให้ไปรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) และ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอีกเข็ม (เข็มที่ 4) หลังจากฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้ว 4 เดือนขึ้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนเชื้อตาย (ซิโนแวค หรือ ซิโนฟาร์ม) ให้ฉีดเข็มกระตุ้นเป็นแอสตราเซเนกา หรือวัคซีน mRNA (ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา) ส่วนวัคซีนเข็มที่ 4 ควรเป็นวัคซีนประเภท mRNA หรือถ้าไม่สะดวกที่จะรับวัคซีนชนิดนี้ก็สามารถเลือกเป็นแอสตราเซเนกาก็ได้ (เฉพาะในกรณีที่เข็ม 3 เป็นแอสตราเซเนกามาก่อน) การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายมากขึ้น 

สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังระยะเวลาติดเชื้อ 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจากเชื้อที่ได้จากธรรมชาติถึงแม้จะให้ภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ภูมิคุ้มกันดังกล่าวก็จะลดลงตามธรรมชาติเช่นกัน การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้น


ที่มา:

https://thaigov.go.th/news/contents/details/55826?fbclid=IwAR2CPBUZZRep-mxQm9RhvUAVnSI7NIgzPzOzo-U3CMdszP-UTvdbfyuBduE

https://www.bbc.com/thai/thailand-61064816

https://www.prachachat.net/general/news-907753

https://www.springnews.co.th/news/825839


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


เคล็ดลับการตรวจสอบตัวตนผู้ใช้งานบนสื่อโซเชียล COFACT Special Report#27

ปัจจุบันข่าวลวงจำนวนมาถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ หรือ สื่อโซเชียล (Social Media) โดยผู้ใช้งานที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการ หรือผู้ที่มีนัยแอบแฝง ชื่อผู้ใช้งาน (User Name) บางคนเป็นชื่อที่อาจจะไม่ได้สร้างขึ้นจากผู้ใช้งานจริง แต่เป็นการสร้างอวตารขึ้นมาเพื่อใช้ในการปล่อยข้อมูลลวง หรือใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยเฉพาะ

English Summary 

Often we see misinformation coming from unverified social media accounts. This article will guide readers step-by-step on verifying who is behind the social media account they see. Basic tools such as reverse image searches and search engines are free tools readers can use to get to the primary sources, then verify whether the account they see is a real person or not.

การอ่านเนื้อหาของผู้โพสเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่เราจะทราบได้ว่าผู้โพสเป็นบุคคลจริง นำเสนอเนื้อหาจริงหรือไม่ เราอาจจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะเชื่อเนื้อหาเหล่านั้น 

หากเป็นบุคคลสาธารณะ หรือสื่อมวลชน ควรเป็นชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้ว

โดยปกติ บุคคลสาธารณะ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ สามารถขอรับการยืนยันชื่อบัญชีของตนเองได้ เราจะสังเกตเครื่องหมายถูก หรือเครื่องหมายวงกลมท้ายชื่อ นั่นหมายถึงชื่อบัญชีนั้นได้รับการยืนยันตัวตนแล้วว่าเป็นบุคคล หรือองค์กรนั้นจริง ดังนั้นก่อนจะแชร์ข้อมูลใดๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้อมูลข่าว ควรแชร์จากชื่อบัญชีของสำนักข่าวที่ได้รับการยืนยันแล้ว หรือถ้าเป็นบุคคลสำคัญๆ เช่นนักการเมือง ก็ควรมาจากชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน

ความสมเหตุสมผลของเนื้อหา กับตัวเจ้าของบัญชี

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบัญชีที่จะได้รับเครื่องหมายยืนยันจากแพลตฟอร์ม หากเราต้องการตรวจสอบชื่อบัญชีที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เราสามารถดูได้หลายวิธี วิธีแรกก็คือการดูเนื้อหาย้อนหลังของเจ้าของบัญชีที่โพสลงบนแพลตฟอร์มนั้นว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานที่เขาทำอยู่หรือใหม่ เช่น เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ก็ควรโพสด้วยเจ้าของบัญชีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือถ้าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ควรโพสด้วยบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ทั้งนี้เราก็ควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข้อมูลด้วยว่าสิ่งที่เขาโพสเป็นข้อเท็จจริง หรือความเห็น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นเพิ่มเติมจากการค้นหาบนเซิร์จเอนจิ้น เช่น Google 

ชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันโดย Facebook

ชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันโดย Twitter

ระยะเวลาที่เจ้าของบัญชีเปิดใช้งาน

สิ่งที่จะช่วยระบุได้ว่าชื่อบัญชีที่เราเห็นมีเจ้าของจริง หรือเป็นชื่อบัญชีปลอม เราสามารถดูได้จากระยะเวลาที่ชื่อบัญชีนี้เปิดใช้งาน หากเป็นชื่อบัญชีที่เปิดใช้งานมาไม่นาน โพสข้อความเพียงไม่กี่ข้อความ และเมื่อเราตรวจสอบเนื้อหาแล้วเป็นข่าวลวง เราควรตั้งข้อสงสัยว่าชื่อบัญชีนี้อาจเข้าข่ายชื่อบัญชีปลอม หลายครั้งเราจะพบว่าชื่อบัญชีเหล่านี้มักแอบอ้างว่าเป็นสำนักข่าว หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง โพสข้อความเพียงไม่กี่ครั้ง ต่อมาโพสเนื้อหาที่เป็นกระแส (ไวรัล) แล้วก็ลบชื่อบัญชีนั้นไป ดังนั้นหากเราพบสัญญาณเหล่านี้ เราควรไม่หลงเชื่อ และไม่แชร์ตั้งแต่แรก

ตรวจสอบภาพโปรไฟล์ด้วยการค้นหาภาพย้อนกลับ

อีกวิธีการตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้บัญชีโซเชียลก็คือการใช้เทคนิคตรวจสอบภาพย้อนกลับ (Reverse Image Search) ตรวจสอบภาพโปรไฟล์ของเจ้าของบัญชี หลายครั้งเรามักจะเห็นการสวมรอยนำภาพของบุคคลอื่นมาใช้สร้างบัญชีโซเชียลใหม่ เราสามารถใช้เทคนิคนี้ตรวจสอบบน Google Images หรือ Yandex เพื่อให้ทราบว่าภาพบุคคลดังกล่าวในโปรไฟล์เป็นใครกันแน่ เป็นบุคคลชื่อเดียวกันกับบัญชีโซเชียลนั้นหรือไม่ เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าใบหน้าดังกล่าวเป็นบุคคลใด เราก็เอาชื่อของบุคคลนั้นไปค้นหาบนเซิร์จเอนจิ้น เช่น Google อีกครั้งเพื่อดูว่าบัญชีโซเชียลหลักที่เขาใช้มีอะไรบ้าง ตรงกับหน้าโปรไฟล์ที่เราเปิดอ่านแต่แรกหรือไม่

เจ้าของบัญชีมีบัญชีโซเชียลอื่นๆ อีกหรือไม่

โดยปกติแล้ว บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือสำนักข่าวชั้นนำ มักจะมีชื่อบัญชีโซเชียลมากกว่า 1 บัญชี ดังนั้นการตรวจสอบชื่อบัญชีที่หลากหลายจะช่วยให้เราระบุตัวตนของผู้ใช้งานคนดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น วิธีการค้นหาเพียงเข้าไปในเซิร์จเอนจิ้น พิมพ์ชื่อของบุคคลดังกล่าว แล้วต่อด้วยคำว่า Facebook, Twitter, Instagram, หรือ TikTok แล้วดูว่ารูปภาพใบหน้าหรือเนื้อหามีความสอดคล้องกันในแต่ละแพลตฟอร์มหรือไม่ เรายังสามารถใช้วิธีที่ระบุก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบว่าแต่ละแพลตฟอร์มเปิดใช้งานมานานแค่ไหน ค้นหาภาพโปรไฟล์ย้อนกลับ หรือแม้แต่การตรวจสอบยอดผู้ติดตามของแต่ละแพลตฟอร์มว่ามีมากน้อยแค่ไหน หากเป็นบุคคลสาธารณะ หรือหน่วยงานที่มีชื่อเสียง ชื่อบัญชีโซเชียลควรจะต้องมียอดผู้ติดตามจำนวนมาก หากเป็นบัญชีที่เปิดใช้งานมาไม่นาน ไม่มีการโพสเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำ หรือยอดผู้ติดตามไม่มาก เราอาจจะสันนิษฐานคร่าวๆ ว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีปลอม และหลีกเลี่ยงที่จะแชร์เนื้อหาจากบัญชีนั้นไปให้กับผู้อื่น หรือบนบัญชีโซเชียลของเราเอง

สิ่งสำคัญเมื่อเราเห็นเนื้อหาใดๆ ก็ตามที่แชร์จากบัญชีโซเชียล หากเราสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นเนื้อหาจริงหรือไม่ เราควรตรวจสอบจากแหล่งที่มาอื่นๆ ให้แน่ใจก่อนเสมอ เช่น การค้นหาเนื้อหาที่คล้ายกันในแพลตฟอร์ม หรือเว็บไซต์อื่นๆ การตรวจสอบภาพย้อนกลับไปยังที่มาของภาพต้นฉบับ หรือแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ การค้นหาข้อมูลแบบนี้ทำได้ง่ายๆ ผ่านเซิร์จเอนจิ้นอย่าง Google, Bing, และ Yandex เป็นต้น


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? เหล้าขาวผสมมะนาว ฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มีรายงานทางงานวิจัยยืนยันว่า เหล้าขาวผสมมะนาว สามารถฆ่าเชื้อโควิดได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/33m44u0oz22e8


จริงหรือไม่…? ดื่มน้ำอุ่นแช่มะนาว ช่วยรักษามะเร็ง

ไม่จริง

เพราะ…การดื่มน้ำอุ่นแช่มะนาวฝานไม่ได้มีคุณสมบัติในการที่จะไปยังยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20zlufwhz2uz6


จริงหรือไม่…? ไข่ต้ม ไข่พะโล้ปลอมระบาดในไทย เมื่อรับประทานแล้วเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

ไม่จริง

เพราะ…#กรมปศุสัตว์ ยืนยัน ประเทศไทยไม่มีไข่ไก่ปลอม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eqai889721uz


จริงหรือไม่…?  ศบค.ปลดล็อกบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็นโรงแรมขายแอลกอฮอล์ได้ เริ่ม 1 ก.ค.นี้

จริง

เพราะ…เฉพาะในพื้นที่โรงแรมทั่วประเทศ ในช่วงเวลาบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/115hfj0at3ytk


จริงหรือไม่…?  ขาดส่งบ่อย อาจขาดสิทธิผู้ประกันตน “ประกันสังคม”

จริง

เพราะ…  สำนักงาน “ประกันสังคม” แนะผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถหักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคาร เพื่อป้องกันขาดส่งบ่อยๆ อาจขาดสิทธิผู้ประกันตน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1chz75oqqqebw


จริงหรือไม่…?  เบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย +697 เป็นเบอร์ที่โทรจากต่างประเทศและเป็นมิจฉาชีพ

จริง

เพราะ…#กสทช. ออกมาตรการให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย ใส่เครื่องหมาย + นำหน้าเบอร์ที่โทรมาจากต่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนสังเกตและระมัดระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tewwu5617hq3


จริงหรือไม่…?  ศบค. ปลดล็อก 77 จังหวัดเป็น “พื้นที่สีเขียว” ให้ถอดหน้ากากในที่โล่งแจ้ง

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…#ศบค มีมติให้ถอดหน้ากากได้ในที่โล่งแจ้ง ตามความสมัครใจของประชาชน และยังไม่กำหนดวันเริ่มใช้มาตรการนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sxiwo2ucxmbl


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? ผู้ประกันตน ม.33,39,40 รับเงินเยียวยา เข้าบัญชีสิ้นเดือนพ.ค. 65 คนละ 5,000 บาท

ไม่จริง

เพราะ…สำนักงานประกันสังคมไม่มีนโยบายแจกเงินเยียวยาดังกล่าวแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2g5uw4pfusrn5


จริงหรือไม่…? เติมน้ำมันตอนเช้าจะได้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าเติมตอนบ่าย

ไม่จริง

เพราะ…น้ำมันที่เติมจากสถานีบริการน้ำมันนั้นอยู่ในระบบปิด เติมเวลาใดก็ตามปริมาณน้ำมันก็จะถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนลิตรที่เติมไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dmbc415p703r


จริงหรือไม่…? ปวดเข่า ไม่ต้องผ่า ใช้วิธีปั่นเลือดฉีดหัวเข่าได้

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ข่าวชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ทั้งหมดทั้งปวง ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ซึ่งยังสามารถรายงานออกมาได้ว่าได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1h5i48q20xsc7


จริงหรือไม่…? กรุงไทยให้ยืม 30,000 บาท” สมัครง่าย รับเงินผ่านตู้ ATM

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารกรุงไทยไม่มีการให้บริการสินเชื่อฉุกเฉินผ่านบัตร ATM สำหรับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์แต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xdykh3k7468n


จริงหรือไม่…?  ขายสับปะรดสีชมพูในไทยผิดกฎหมาย

จริง

เพราะ…เป็นพืชตัดต่อพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ (GMO) ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย พรบ.กักพืช พ.ศ. 2507

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3cstixtw7ozoo


จริงหรือไม่…?  อย่าสนับสนุน จับ “หมาน้ำ” ย้อมสีผิดธรรมชาติ เสี่ยงตายเร็ว

จริง

เพราะ…”อาโซลอต” (axolotl) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในตระกูลซาลาแมนเดอร์ การย้อมสีไม่ใช่การปรับปรุงสายพันธุ์เป็นการใช้สารเคมี สัตว์จะเจ็บแล้วตายเพื่อให้สีถูกใจคน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e6y1400cb7kw


จริงหรือไม่…?  เตือนนักช็อปออนไลน์หลอกสแกนคิวอาร์โค้ดดูดเงิน

จริง

เพราะ…คนร้ายได้พัฒนาวิธีการหลอกลวง ให้เหยื่อสแกนคิวอาร์โค้ด ที่มีการตั้งค่าเป็นการชำระเงินเอาไว้ หากผู้เสียหายไม่มองที่แถบเมนูด้านบน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/kzt8rf0m8pax


จริงหรือไม่…?  กฎหมายปลดล็อกกัญชา ออกจากยาเสพติด เริ่มวันที่ 9 มิถุนายน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…กัญชาและกัญชงจะถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2563 ฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/issi056vcrky


เงินกู้ออนไลน์’ความหวังยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ตรวจสอบอย่างไรไม่เป็นเหยื่อ‘มิจฉาชีพ’

โดย Windwalk_Jupiter


เกือบกลายเป็น “เหตุสลดรับเปิดเทอม” เสียแล้ว เมื่อตำรวจ สภ.ปากเกร็ด รับแจ้งเหตุหญิงสาวพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากสะพานลอย บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ เมเจอร์ฮอลลีวูด ปากเกร็ด ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เหตุเกิดเวลาสี่ทุ่มเศษโดยประมาณของคืนวันที่ 12 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่โชคยังดี เมื่อตำรวจพร้อมด้วยอาสากู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนหญิงสาวรายนี้ใจเย็นลงและลงมาจากสะพานลอยในที่สุด



สำหรับแรงจูงใจในความพยายามฆ่าตัวตายครั้งนี้ เจ้าตัวเล่าว่า ไปติดต่อกู้เงินจากบริษัทแห่งหนึ่งที่หามาจากทางอินเตอร์เน็ตจำนวน 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) โดยทางบริษัทแจ้งว่าจะต้องโอนเงินจำนวน 8,000 บาทเพื่อเป็นค่ามัดจำในการทำเรื่องตนจึงตัดสินใจขับขี่รถ จยย.มาจากคลองเตย โดยมากับแฟนคนละคันเพื่อนำรถ จยย.ที่ตนขับมานั้นมาจำนำกับชายคนหนึ่งที่รับจำนำรถ โดยนัดกันที่ห้างแห่งหนึ่งบนถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีการตกลงรับจำนำกันที่ 15,000 บาทมีการหักค่าใช้จ่ายดำเนินการไปประมาณ 3,000 เศษ ตนได้เงินสดกลับมา 11,200 บาท


หลังจากนั้นตนจึงนำเงิน 8,000 บาทโอนไปยังบริษัทที่นัดทำเรื่องกู้ไว้โดยบัญชีดังกล่าวเป็นชื่อบุคคล ไม่ใช่นามบริษัท หลังจากนั้นทางบริษัทได้ส่งแบบฟอร์มมาให้ตนกรอกแต่ตนกรอกหมายเลข 0 ของบัตรประชาชนเกินไป 1 ตัวระบบเลยล็อก ทางบริษัทแจ้งกลับมาว่าไม่สามารถดำเนินการต่อได้จะต้องโอนเงินอีกจำนวน 15,000 บาทเพื่อไปปลดล็อกระบบ AI ถึงจะสามารถทำเรื่องกู้ต่อได้ ซึ่งตนไม่มีเงินแล้วจึงหมดหนทาง


อีกทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะกับแฟนอีกทำให้แฟนปล่อยตนทิ้งไว้ตรงนี้ก่อนที่จะขับรถออกไป ทำให้ตนเครียดหาทางออกไม่ได้จึงจะกระโดดสะพานลอย ทั้งนี้ สาเหตุที่จำเป็นต้องตัดสินใจกู้เงิน เพราะวันหนึ่งจะนำเงินมาลงทุนค้าขาย พร้อมกับจะไปนำรถ จยย.ที่ไปจำนำไว้ออกมา อีกส่วนจะไปซื้อชุดนักเรียนให้น้องที่กำลังจะเปิดเทอม โดยเบื้องต้นตำรวจได้พาหญิงสาวรายได้ ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ปากเกร็ด ไว้ก่อน


ด้านหนึ่งแม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงได้โดยไม่เกิดเหตุสลดขึ้น แต่สิ่งที่หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องควรติดตามสืบสวนกันต่อไปคือ “บริษัทปล่อยเงินกู้ที่ผู้ (เกือบ) ฆ่าตัวตาย อ้างว่าได้ข้อมูลมาจากอินเตอร์แน็ตและพยายายามจะไปกู้เงิน เป็นบริษัทปล่อยเงินกู้จริงหรือไม่? หรือเป็นมิจฉาชีพกันแน่?” เนื่องจากก่อนหน้านี้ เคยมีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้น ถึงขนาดที่มีการเตือนกันมาแล้วไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อ



ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2565 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ กรณีที่ปรากฎในสื่อออนไลน์ กรณีที่หญิงสาวรายหนึ่ง ผูกคอตายหลังถูกมิจจฉาชีพหลอกให้โอนเงินจนหมดตัวเนื่องจากต้องการกู้เงินผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ จำนวนเงิน 100,000 บาท โดยแม่ผู้ตายเล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการหลอกให้โอนเงิน เพื่อทดสอบว่าผู้ยืมจะสามารถโอนเงินคืนได้ตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งทางผู้ตายก็ได้มีการโอนเงินไปทั้งหมด 10 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ยอดรวม 38,200 บาท


จึงฝากเตือนประชาชนว่า 1.หากมีความจำเป็นต้องกู้เงิน แนะนำให้กู้ผ่านธนาคาร แอปพลิเคชันที่เป็นทางการของธนาคาร หรือช่องทางที่หน้าเชื่อถือเท่านั้น พร้อมทั้งตรวจสอบเสมอหากกู้ผ่านแอปพลิเคชั่น เพราะมิจฉาชีพมักสร้างแอปพลิเคชั่นปลอมที่มีชื่อคล้ายกับธนาคารมาหลอกลวง 2.หากผิดพลาดไปแล้วให้รีบเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งขอคำปรึกษาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 3.ควรหาข้อมูล อ่านคำอธิบายรายละเอียดของแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชั่นดังกล่าวให้ถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด



4.ควรตรวจสอบข้อมูลของนักพัฒนาแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชั่นดังกล่าว รวมถึงรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้ง ว่าเคยมีประวัติหรือมีการรีวิวในด้านที่ไม่ดีหรือไม่ 5.ควรดูจำนวนผู้ดาวน์โหลด หรือใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชันดังกล่าวว่ามีผู้ใช้งานมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการตัดสินใจ และ 6.ไม่ควรหลงเชื่อการชักชวนในรูปแบบ ลงทุนน้อยได้กำไรมาก หรืออะไรที่ทำง่ายแต่ได้รับผลตอบแทนสูง นอกจากนี้ หากพบเห็นเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ในวันที่ 19 ก.พ. 2565 เว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เผยแพร่บทความ “ตร.เตือนภัยประชาชน 14 ข้อกลโกงมิจฉาชีพ มักใช้ในการหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์” โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึง “เงินกู้ออนไลน์ ที่ไม่มีจริง (เงินกู้ทิพย์)” พฤติการณ์ของมิจฉาชีพประเภทนี้ จะหลอกผู้เสียหายว่าก่อนได้รับเงินกู้ จะต้องเสียค่าบริการ ค่ามัดจำ หรือค่าดำเนินการต่างๆ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินให้เรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้รับเงินกู้จริงตามที่กล่าวอ้าง


บทความ “กู้ออนไลน์…ต้องรู้ทันโจร” ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แบ่งประเภทแอปพลิเคชั่นที่มีการโฆษณาบนโลกออนไลน์ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.เงินกู้ในระบบ มีลักษณะให้เงินกู้เต็มจำนวน และอัตราดอกเบี้ยไม่เกินที่ทางการกำหนด 2.เงินกู้นอกระบบ มักให้เงินกู้ไม่เต็มจำนวน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน แต่เมื่อคืนเงินกู้ต้องจ่ายเต็มจำนวนบวกกับดอกเบี้ยหรือค่าปรับที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด หากจ่ายช้าจะถูกข่มขู่ หรือไปทวงกับบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในโทรศัพท์ของผู้กู้ ทำให้อับอาย เพราะผู้ให้กู้นอกระบบบางรายจะให้ผู้กู้ดาวน์โหลดแอปซึ่งให้คลิกอนุญาตเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ


และ 3.มิจฉาชีพ เป็นแอปฯ ที่ไม่ได้ให้บริการเงินกู้จริงๆ โดยมีข้อสังเกตคือ จะใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น โฆษณาบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ส่ง SMS หรือแม้แต่โทรหาโดยตรง หากผู้ที่ได้รับการติดต่อสนใจ มิจฉาชีพก็จะส่ง SMS มาให้คลิกลิงก์เพื่อดาวน์โหลดแอป หรือให้แอดไลน์คุยกัน จากนั้นจะสอบถามข้อมูลส่วนตัว ให้ทำสัญญาเงินกู้ และขอเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีเงินฝาก คล้ายกับการขอกู้ที่ธนาคาร ทำให้เหยื่อเริ่มเชื่อใจ จากนั้นจะโน้มน้าวให้โอนเงินเป็นค่าค้ำประกัน โดยบอกว่าจะคืนให้พร้อมกับเงินกู้ หากหลงกลก็จะหลอกล่อให้โอนเพิ่มอีกเรื่อย ๆ เช่น อ้างว่าโอนเงินไม่ได้เพราะเหยื่อกรอกเลขที่บัญชีผิด มีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขเอกสารเพื่อปลดล็อก หรือต้องจ่ายค่าลัดคิวจึงจะได้เงินเร็วขึ้น หากเหยื่อเริ่มรู้ทันก็จะถูกบล็อก ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้อีก


บทความดังกล่าวยังได้แนะนำว่า 1.ตรวจสอบรายชื่อแอปฯ และชื่อผู้ให้บริการ นำข้อมูลชื่อแอปฯ และชื่อผู้ให้บริการไปเทียบกับรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต โดยสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “เช็กแอปเงินกู้” ที่รวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตในส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแล และยังมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์กระทรวงการคลัง ซึ่งรวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ไว้ในที่เดียว จากนั้น 2.ติดต่อสอบถามตามที่อยู่ /เบอร์โทรศัพท์ที่ได้จากข้อ 1 เพราะบางครั้งมิจฉาชีพหรือแอปเงินกู้นอกระบบจะตั้งชื่อแอปฯคล้ายคลึงกับผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต หรือสวมรอยเป็นผู้ได้รับอนุญาต เราจึงควรสอบถามหรือหาข้อมูลด้วยตัวเองจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ว่าเป็นแอปของผู้ให้บริการจริงหรือไม่


สำหรับผู้ต้องการตรวจสอบข้อมูลบริษัทที่อ้างว่าให้บริการเงินกู้หรือสินเชื่อ เป็นบริษัทที่ให้บริการจริง มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้โดย 1.เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย 2.ที่มุมขวาบนจะมีช่องให้พิมพ์คำค้นหา ให้พิมพ์ว่า “เช็กแอปเงินกู้” แล้วกดค้นหา 3.ระบบจะขึ้น Link และชื่อเนื้อหาขึ้นมา ให้เลือกคลิกเนื้อหาชื่อ “ระวังถูกหลอกให้กู้เงิน ตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่โดนหลอกแน่!” ระบบจะนำกลับเข้ามาสู่หน้าเว็บของ ธปท. อีกครั้ง โดยในหน้านี้จะมีรายชื่อของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อ ทั้งที่เป็น Non-bank ที่ได้รับอนุญาต สถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาต และผู้ให้บริการที่ปิดดำเนินการไปแล้ว


อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอยากเสนอแนะว่า เว็บไซต์ทางการของ ธปท. อย่าง https://www.bot.or.th/ ควรปรับปรุงให้มีหัวข้อ “เช็กแอปเงินกู้” อยู่ในหน้าหลักของเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูรายชื่อและสถานะของผู้ให้บริการทางการเงินได้เลย แทนที่จะต้องให้ผู้ใช้งานพิมพ์คำดังกล่าวในช่องค้นหา ซึ่งยุ่งยากกว่าโดยเฉพาะกับประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือใครก็ตามที่ยังไม่เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยี และกลุ่มนี้เองที่เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ



ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ หลายคน “ร้อนเงิน” ทั้งในการนำไปประกอบอาชีพ ดูแลคนในครอบครัว เมื่อมาบรรจบกับเทคโนโลยีที่สะดวกรวดเร็ว ก็อาจเข้าทาง “มิจฉาชีพ” หลอกลวงให้ต้อง “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” นอกจากไม่ได้เงินเพิ่มแล้วยังต้องเสียเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดไปอีก..โปรดระวัง!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-



อ้างอิง
https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220106141643036 (สตช.เตือนภัย! กู้เงินออนไลน์อาจถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ซ้ำเติมความเดือดร้อน สร้างความเสียหายในหลายรูปแบบ : สำนักข่างกรมประชาสัมพันธ์)
https://www.sbpolice.go.th/news/_592.html (ตร.เตือนภัยประชาชน 14 ข้อกลโกงมิจฉาชีพ มักใช้ในการหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์ : กองบัญชาการตำรวจสันติบาล)
https://www.1213.or.th/th/Pages/finresilience/fakeloanapps.aspx (กู้ออนไลน์…ต้องรู้ทันโจร : ศคง.)
https://www.bot.or.th/Thai/ConsumerInfo/Fraud/Pages/BOTLicensedLoan.aspx (ระวัง ถูกหลอกให้กู้เงิน ตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่โดนหลอกแน่! : ธนาคารแห่งประเทศไทย)




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/653227 สาวเครียด!กู้เงินเกือบ 2 แสนหวังค้าขาย-ซื้อชุดนร.ให้น้องไม่ได้จะกระโดดสะพานลอย


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกัญชาเพื่อสุขภาพ และการปลูกกัญชาในบ้าน COFACT Special Report #26

9 มิถุนายนนี้ กระทรวงสาธารณสุขประกาศถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถปลูกกัญชาเสมือนเป็นพืชสมุนไพรสำหรับใช้บริโภคภายในบ้านได้ และยังสามารถใช้กัญชาทั้งใบและดอกเพื่อการบริโภค อย่างไรก็ตามยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังสับสนว่าการบริโภคต้องใช้ในปริมาณเท่าไรจึงจะไม่ผิดกฎหมาย รวมทั้งหากจะปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมายจะต้องลงทะเบียนอย่างไร

English Summary:

Cannabis is scheduled to be removed from the Category 5 narcotic list this Thursday June 9. It will allow Thai people to grow unlimited amount of cannabis plants at home. However, extracting more than 0.2% of Tetrahydrocannabinol (THC) for consumption is still illegal. In this article, we answer some of the questions people may have on what to do and not to do once cannabis consumption becomes legal in Thailand.   

Q: ทำไมกัญชาถึงถูกถอดจากบัญชียาเสพติดประเภท 5?

A: ปัจจุบันมีผลการศึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ พบว่าการใช้กัญชาในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยรักษาโรคได้หลายประเภท และผลข้างเคียงจากการใช้กัญชามีน้อยกว่ายาสูบหลายประเภท หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการถอดกัญชาจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีทั้งประเทศที่ค่อนข้างเสรีและจำกัดเงื่อนไขการใช้ รวมทั้งของไทยที่จำกัดเงื่อนไขการใช้ ทั้งนี้ในประเทศมองว่าการเปิดเสรีกัญชาเป็นนโยบายทางการเมือง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาสังคมที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากบุคลากรทางการแพทย์ และข้อกังวลจากเภสัชกร องค์กรผู้บริโภค ถึงผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน และการใช้ในเชิงสารเสพติดมากกว่าแนวทางการแพทย์ที่เหมาะสม ล่าสุดมีการล่ารายชื่อแพทย์และศิษย์เก่ารามาธิบดี ล่ารายชื่อถึงผลกระทบต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจากกรณีการใช้กัญชาแบบเสรี ส่วนไทยมีการปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเมืองที่สัญญาไว้กับสังคม ซึ่งนโยบายนี้ก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน

Q: การปลูกกัญชาในบ้านถูกกฎหมายหรือไม่?

A: ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนเป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปสามารถปลูกกัญชาเพื่อบริโภคภายในที่พักอาศัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในปริมาณเท่าใดก็ได้ 

Q: กัญชา กับ กัญชง ต่างกันอย่างไร?

A: กัญชง (Hemp) และกัญชา (Marijuana) ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายๆ กัน แต่ที่จริงแล้วเป็นพืชคนละชนิดกัน ทั้งสองชนิดเป็นพืชสายพันธุ์เดียวกัน แต่จะต่างกันตรงที่ใบของกัญชงจะเรียวกว่า เรียงตัวห่างกันกว่า มีแฉกประมาณ 7-11 แฉก ลำต้นสูงเรียว ส่วนกัญชาใบจะหนากว่า เรียงตัวชิดกันมากกว่า และมีแฉกประมาณ 5-7 แฉก ลำต้นเตี้ยและเป็นพุ่ม 

สิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างคือดอกกัญชา เมื่อนำมาสกัดเป็นสารมึน หรือ THC (Tetrahydrocannabinol) จะได้ปริมาณสูงถึง 1-20% แต่ดอกกัญชงจะมีปริมาณสารตัวนี้น้อยกว่าดอกกัญชา (สกัดออกมาได้ไม่ถึง 1%) สารตัวนี้มีคุณสมบัติในการลดการปวด คลื่นใส้ และช่วยให้ผ่อนคลาย แต่จะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการมึนเมา 

อย่างไรก็ตามดอกกัญชงจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัญชาในการสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ซึ่งไม่มีอาการเมาเคลิ้มเหมือนกับ THC แต่สามารถใช้บรรเทาอาการปวดและอักเสบได้ เราสามารถสกัดสารตัวนี้ออกมาจากดอกกัญชงได้มากกว่า 2% ส่วนในกัญชามีสารตัวนี้น้อยกว่า 2%

นอกจากกัญชงจะได้รับความนิยมในการสกัดเป็นยาแล้ว เกษตรกรจำนวนมากยังนิยมนำกัญชงมาใช้ทำเส้นใยผ้า เนื่องจากให้ปริมาณมากกว่าการปลูกฝ้าย และใช้ยากำจัดศัตรูพืชน้อยกว่า 

Q: หากจะปลูกกัญชาที่บ้านอย่างถูกกฎหมาย จะต้องทำอย่างไร?

A: ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปที่ต้องการจะปลูกกัญชา สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ http://plookganja.fda.moph.go.th/  หรือแอพพลิเคชั่น “ปลูกกัญ” ของกระทรวงสาธารณสุข โดยกระทรวงฯ จะขอข้อมูลเพียงเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และวัตถุประสงค์ของการปลูก เมื่อได้รับการอนุมัติ กระทรวงฯ จะส่งเอกสารยืนยันแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ ถือเป็นอันเสร็จสิ้น

Q: เราสามารถบริโภคใบกัญชาอย่างเดียวเท่านั้น? ถ้าจะบริโภคดอกกัญชาสามารถทำได้หรือไม่?

A: หลังวันที่ 9 มิถุนายนเป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปสามารถบริโภคได้ทั้งใบและดอกกัญชาภายในที่พักอาศัย โดยจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อน หรือส่งกลิ่นรบกวนเพื่อนบ้าน การนำใบกัญชา หรือกัญชงประกอบอาหารสามารถใช้ในปริมาณเท่าใดก็ได้ แต่การนำดอกมาสกัดเพื่อใช้ในการสูบแบบสันทนาการจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถขอสุ่มตรวจได้ว่ามีปริมาณสารดังกล่าวเกินหรือไม่ ถ้าเกินจะถือว่าเป็นการเสพยาเสพติด ส่วนการใช้กัญชาในประมาณสาร THC ที่มากกว่า 0.2% อย่างถูกต้องตามกฎหมายจะต้องได้รับการยินยอมจากแพทย์ว่าเป็นการใช้เพื่อการรักษาโรค ไม่ใช่การใช้เพื่อสันทนาการ โดยเจ้าหน้าที่สามารถขอตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ได้ตลอดเวลา

Q: กฎหมายควบคุมปริมาณการบริโภคดอกกัญชาหรือไม่?

A: ปัจจุบันกฎหมายควบคุมให้การบริโภคสารสกัดจากดอกกัญชาจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% หากเกินจะถือว่าเป็นการใช้สารเสพติดให้โทษ เว้นแต่จะเป็นการใช้เพื่อการรักษาโรค ซึ่งผู้ใช้จะต้องมีเอกสารยืนยันโดยแพทย์ว่าได้รับอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากดอกกัญชาเกิน 0.2% 

Q: เราสามารถสกัดดอกกัญชาเองได้หรือไม่?

A: ได้ กฎหมายฉบับใหม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถสกัดสารจากดอกกัญชาเองได้ อย่างไรก็ตามการนำสารสกัดจากดอกกัญชาที่มีสาร THC เกิน 0.2% ไปใช้เพื่อการสันทนาการยังถือว่าผิดกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถสกัดสารจากดอกกัญชาในปริมาณสาร THC ที่มากกว่า 0.2% ได้

Q: เราสามารถบริโภคกัญชานอกบ้าน เหมือนกับการสูบบุหรี่ทั่วไปได้หรือไม่?

A: ขณะนี้สภาฯ กำลังพิจารณาอนุมัติร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสูบกัญชาเพื่อการสันทนาการ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ประชาชนทั่วไปที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับกลิ่นของกัญชาในพื้นที่สาธารณะสามารถแจ้งความเอาผิดผู้สูบ หรือผู้ปลูกได้ โดยผู้ปลูกหรือผู้สูบที่พบการกระทำผิดจะต้องถูกระวางโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุเรื่องการจำกัดสถานที่สูบ ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปจะสูบกัญชาในที่สาธารณะก็ย่อมจะทำได้ แต่ต้องสูบในสถานที่สูบบุหรี่ หรือที่ที่จัดไว้ โดยไม่รบกวนประชาชนทั่วไป


ที่มา:

https://www.bbc.com/thai/thailand-61703618

https://www.hfocus.org/content/2022/06/25236

https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/sites/default/files/public/pdf/column/AtRama34_c02.pdf

https://www.bangkokbiznews.com/social/1007009

https://www.cannhealth.org/content/8317/cannhealth

https://www.prachachat.net/economy/news-624445

https://www.nationtv.tv/category/nationtv


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? รับประทานผักกาดขาวหมัก รักษาตับอักเสบ

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่าการกินผักกาดขาวตามแบบสูตรดังกล่าว จะรักษาอาการตับอักเสบในคนได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/yy0dezv5quc1


จริงหรือไม่…?  ธนาคารกรุงไทยให้ยืม 100,000 บาท ผ่อนเดือนละ 300 บาท ไม่ต้องมีผู้ค้ำ

ไม่จริง

เพราะ…ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งได้อ้างอิงมาจากชื่อสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำของธนาคาร โดยมีการใช้ชื่อที่คล้ายคลึงกัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z6d9aui1llpe



จริงหรือไม่…?  #ตุรกี เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “ตุรเคีย”

จริง

เพราะ…องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เปลี่ยนชื่อประเทศของสาธารณรัฐตุรกี เป็น “ตุรเคีย” หรือ ตูร-คีย์-เย (Turkiye) ตามคำร้องเป็นทางการแล้ว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/34atlqv3f0w7m


จริงหรือไม่…?  #กสทช เตือน ระวังมิจฉาชีพ ใช้เบอร์โทรศัพท์ปลอม บัญชีปลอม ติดต่อเข้ามาหลอกลวง

จริง

เพราะ…กสทช. ไม่มีนโยบายตัดสัญญาณโทรศัพท์และไม่มีการให้ประชาชนโอนเงินมาให้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/21qvpi9efcfv2


จริงหรือไม่…?  เช็กก่อนโอน SOS Animal แนะตรวจสอบเพจก่อนบริจาคช่วยสัตว์

จริง

เพราะ…ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือขององค์กรนั้น ๆ ก่อน ชื่อเจ้าของเพจ เจ้าของบัญชีว่าได้มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องหรือไม่ ปัจจุบันสามารถตรวจสอบข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rpybv2hnpqgp


จริงหรือไม่…? หากผู้เยาว์อายุยังน้อย ย่อมไม่สามารถดำเนินคดีเองได้ “ผู้แทนโดยชอบธรรม” จะต้องเป็นผู้ฟ้องหรือดำเนินคดีแทน

จริง

เพราะ…ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตอนนี้ได้เปิดทำการแผนกคดีซื้อขายออนไลน์โดยเฉพาะ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2jmdy07pusgco


จริงหรือไม่…? อย่าหลงเชื่อ หลอกลวงให้ร่วมลงทุน เล่นหุ้น โดยใช้แบบฟอร์มคำขอออกใบตราสารที่ใช้ในงานบริการด้านพันธบัตรของแบงค์ชาติ

จริง

เพราะ…โปรดตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงินทุกครั้ง แจ้งเบาะแส/ร้องเรียน โทร. 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i4qx374za9du


จริงหรือไม่…?  เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ใช้สิทธิ UCEP รักษาฟรี 72 ชม.

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ในกรณีที่เกิดภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรง สามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ ณ จุดเกิดเหตุที่สุดได้ทันที ฟรีไม่มีค่ารักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1hl65ta81esgk


ตรวจสอบข้อเท็จจริง “ฝีดาษลิง” COFACT Special Report #25

“ฝีดาษลิง” โรคระบาดใหม่ที่ทั่วโลกและไทยกำลังจับตา เป็นโรคระบาดทางผิวหนังในตระกูลฝีดาษ หรือไข้ทรพิษที่เคยหายจากโลกไปกว่า 40 ปี แต่กลับมาแพร่ระบาดใหม่อีกครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงมองว่าฝีดาษลิงยังคงเป็นโรคระบาดที่ควบคุมได้ง่ายกว่าโควิด-19 เนื่องจากเป็นโรคติดต่อผ่านทางการสัมผัสร่างกาย เชื้อไม่ลอยอยู่ภายในอากาศ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้น และหายได้เอง

English Summary

Many countries around the world are watching the spread of monkeypox closely. Many health experts say it is too soon to tell whether monkeypox outbreak could lead to a global pandemic. On the good news, monkeypox causes less severe symptoms compare to smallpox and the current smallpox vaccine is 85% effective against monkeypox. We look at most frequently asked questions on monkeypox and the current measures to prevent the spread of the disease in Thailand.

Q: โรคฝีดาษลิงคืออะไร?

A: ฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับฝีดาษคน และไข้ทรพิษ พบครั้งแรกในประเทศแถบแอฟริกา ลักษณะอากาศประกอบไปด้วย ไข้ ปวดหัว หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย รวมทั้งมีผื่นและตุ่มตามตัว ส่วนใหญ่จะพบที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ผื่นจะมีอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง ในระยะสุดท้ายผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง จากนั้นจะเป็นสะเก็ดแห้งและหลุดออกมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการราว 2-4 สัปดาห์จากนั้นจะหายเอง

Q: ฝีดาษลิงแพร่กระจายได้ด้วยวิธีใดบ้าง?

A: ฝีดาษลิงแพร่กระจายได้ด้วยการสัมผัสสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะหลากหลายชนิด เช่น หนู กระรอก กระต่าย โดยเชื้อจะติดมาตามสารคัดหลั่งของสัตว์ เช่น เลือด น้ำลาย หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเชื้อสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ แต่โอกาสติดเชื้อในลักษณะนี้จะต่ำกว่าการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน

Q: ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดโรคฝีดาษลิง?

A: ผลการศึกษาในแอฟริกาพบว่า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะมีโอกาสติดโรคฝีดาษลิงมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 10 นอกจากนี้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เช่น แอฟริกาตะวันตก และมีประวัติสัมผัสสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะในพื้นที่ดังกล่าวก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเช่นกัน

Q: ปัจจุบันเราพบการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงในไทยหรือยัง?

A: ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 พบผู้ป่วยต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อฝีดาษลิงเป็นชาวต่างชาติ เดินทางมาเปลี่ยนเที่ยวบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เบื้องต้นมีการเฝ้าสังเกตอาการผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 12 คนซึ่งเดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกัน แต่ยังไม่พบว่ามีการแพร่ระบาดในประเทศ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกระบุด้วยลักษณะของเชื้อทำให้เชื่อได้ว่าโรคฝีดาษลิงจะไม่แพร่กระจายจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว และทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับโควิด-19 บวกกับเรายังคงมีวัคซีนและวิธีการรักษาโรคฝีดาษอยู่เดิม ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกเพราะเรายังมีวิธีการจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดได้

Q: การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมีโอกาสติดโรคฝีดาษลิงมากกว่าจริงหรือไม่?

A: ปัจจุบันยังไม่มีผลการศึกษาใดที่ยืนยันว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันจะเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อฝีดาษลิง และฝีดาษลิงไม่ใช่โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้การสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ก็ตาม ล้วนเสี่ยงต่อการติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 

Q: ปัจจุบันเรามียารักษาโรคฝีดาษลิงหรือยัง?

A: ปัจจุบันเรายังไม่มียารักษาโรคฝีดาษลิงโดยตรง แพทย์จะใช้วิธีรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ แก้ปวด และยารักษาผิวหนังบริเวณที่พบตุ่มหนอง ซึ่งพบว่าการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ได้ผลดี 

Q: การปลูกฝี หรือการฉีดวัคซีนฝีดาษ สามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้หรือไม่?

A: การปลูกฝี หรือการใช้วัคซีนฝีดาษสามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้สูงถึง 85% อย่างไรก็ตามไทยเรา รวมทั้งหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้มีการฉีดวัคซีนฝีดาษ หรือปลูกฝีมานานกว่า 40 ปีแล้ว เนื่องจากโรคฝีดาษได้สูญหายไปจากโลกมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของโรคฝีดาษลิงทำให้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มกลับมาผลิตวัคซีนฝีดาษอีกครั้ง ซึ่งวัคซีนฝีดาษที่เคยใช้รักษาฝีดาษคนอยู่เดิมมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้ดี เนื่องจากเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกัน 

Q: เราควรจะต้องไปรับการฉีดวัคซีนฝีดาษในเวลานี้หรือไม่?

A: ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขของไทยยังไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษ เนื่องจากยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทย และปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงแล้ว บวกกับธรรมชาติของเชื้อที่จะติดต่อกันผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่ง อัตราการเสียชีวิตต่ำ และผู้ป่วยสามารถหายเองได้ ทำให้ฝีดาษลิงยังเป็นโรคที่ไม่น่ากังวลมากนักเมื่อเทียบกับโรคระบาดทางระบบทางเดินหายใจเช่นโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ที่มีความรุนแรงของโรคมากกว่า 

Q: เราจะป้องกันตัวเองจากโรคฝีดาษลิงได้อย่างไร?

A: กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศ ที่พบการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงเช่นประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตก ยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา ให้เฝ้าสังเกตอาการตัวเอง หากพบว่ามีไข้ ปวดเมื่อร่างกาย มีผื่นและตุ่มตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์ ส่วนประชาชนทั่วไปให้รักษาสุขอนามัย เช่นหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์พาหะ เช่นลิง และสัตว์ประเภทฟันแทะ เช่น หนู กระรอก ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์หลังสัมผัสกับสัตว์เหล่านี้ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก และรับประทานอาหารปรุงสุก  


ที่มา:

https://www.bbc.com/thai/international-61522154

http://nih.dmsc.moph.go.th/login/showimgdetil.php?id=904

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/monkeypox

https://www.cnbc.com/2022/05/30/monkeypox-who-says-there-is-a-window-of-opportunity-to-limit-outbreak.html

https://www.cnbc.com/2022/05/23/cdc-officials-sound-alarm-for-gay-and-bisexual-men-as-monkeypox-spreads-in-community-.html

https://news.ch7.com/detail/572704


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


ตรวจสอบภาพลวง ด้วยวิธี “ค้นหาย้อนกลับ” ง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ COFACT Special Report#24

ภาพถ่ายและภาพข่าวต่างๆ ที่ถูกแชร์บนโลกโซเชียล ที่เราเห็นกันทั่วไปนั้น บ่อยครั้งมักจะเป็นภาพตัดต่อ หรือภาพลวงที่สร้างความเข้าใจผิด บางภาพถูกบิดเบือนจากเหตุการณ์จริง บางภาพเป็นการสร้างเหตุการณ์สมมุติ หลายครั้งภาพเหล่านี้เป็นภาพสะเทือนขวัญ หรือมีเนื้อหาหวือหวาชวนให้เรากดแชร์​หรือส่งต่อไปให้กับเพื่อนๆ และญาติพี่น้อง ก่อนที่เราจะเชื่อในภาพเหล่านั้น เราควรตรวจสอบภาพให้ดีเสียก่อนว่าที่มาของภาพมาจากไหน เป็นภาพต้นฉบับหรือไม่ และเป็นภาพที่นำเสนอจากสื่อที่น่าเชื่อถือได้ มีความเป็นไปได้จริงๆ หรือไม่ที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น

English Summary

Many online misinformation comes with a form of manipulated photos and videos. Reverse image search is one of the several tools we can use to verify image sources or find out where are similar images on the internet. Google, Yandex, Microsoft Bing provide reverse image search function in their search engine, and they are free to use. This article will guide you how to reverse image search using these search engines, and tips to get the best result out of these tools.

วิธีหนึ่งที่จะช่วยเราสืบหาที่มาของภาพต้นฉบับ หรือภาพที่คล้ายๆ กัน ก็คือการค้นหาภาพแบบย้อนกลับ หรือ Reverse Image Search เป็นวิธีที่เราใช้ไฟล์ภาพที่เรามีบนอุปกรณ์ หรือภาพที่เราเจอบนอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการค้นหา โดยเว็บเซิร์จเอนจิ้นที่มีฟังค์ชั่นนี้จะช่วยค้นหาภาพที่มีลักษณะคล้ายกันว่ามีในเว็บไซต์ไหนอีกบ้าง นอกจากนี้ระบบยังอาจช่วยระบุได้ด้วยว่าสิ่งของ สถาปัตยกรรม หรือบุคคลในภาพเป็นใคร ชื่ออะไร และตั้งอยู่ที่ไหน ช่วยให้เรารู้ถึงต้นตอและที่มาของภาพได้ง่ายขึ้น

ค้นหาภาพแบบย้อนกลับด้วย Google

เว็บไซต์เซิร์จเอนจิ้นยอดนิยม Google มีฟังค์ชั่นค้นหาภาพย้อนกลับ วิธีการใช้งานเริ่มจากการเข้าไปยังเว็บไซต์ images.google.com หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ google.com แล้วคลิกเมนู Images

ในหน้าของ Google Images เราจะเห็นช่องที่เราสามารถพิมพ์คำค้นหา บริเวณด้านขวาของช่องเราจะเห็นปุ่มกล้องถ่ายรูป เมื่อเราคลิกที่ปุ่มนั้น เราจะเห็นคำสั่งให้เราอัพโหลดไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์ หรือใส่ URL ของรูปภาพที่ต้องการจะค้นหา

หากเราต้องการจะค้นหาย้อนกลับภาพสักภาพที่เราเจอบนโซเชียลมีเดีย เราสามารถกดเซฟภาพนั้นลงบนเครื่อง จากนั้นก็ไปที่ Google Images แล้วอัพโหลดภาพนั้นที่ปุ่มกล้องถ่ายรูป หรือคัดลอก URL ของภาพโดยกดคลิกขวาที่รูป จากนั้นเลือก Copy Image URL แล้วเอาไปวางที่ปุ่มกล้องถ่ายรูปบน Google Images ตามที่ปรากฏในภาพ

เมื่อเรากดปุ่มค้นหา ระบบก็จะค้นหาภาพลักษณะคล้ายๆ กัน พร้อมกับเว็บไซต์ที่ปรากฎภาพเหล่านั้น นอกจากนี้เรายังสามารถดูผลการค้นหาประเภทรูปภาพเพื่อดูว่าภาพเหล่านี้มีความคล้าย หรือแตกต่างจากภาพที่เราเจอมากน้อยแค่ไหน 

อย่างไรก็ตามการใช้ฟังค์ชั่นนี้อาจจะไม่ได้นำคุณไปสู่ภาพต้นฉบับโดยตรง คุณจะต้องใช้วิจารณญาณ และประสบการณ์ส่วนตัวในการวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์เหล่านี้มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เป็นเว็บที่นำเสนอข้อมูลถูกต้องรอบด้านหรือไม่ เพราะ Google ไม่สามารถให้คำตอบแบบสูตรสำเร็จว่าภาพที่คุณได้มาเป็นภาพจริงหรือภาพปลอม คุณจะต้องใช้วิจารณญาณของคุณเองในการตรวจสอบว่าผลการค้นหาที่ปรากฎนั้นสอดคล้อง หรือขัดแย้งกับภาพที่เราค้นหา

Yandex เซิร์จเอนจิ้นรัสเซียใช้ค้นหาภาพย้อนกลับได้ดี

Yandex เว็บไซต์เซิร์จเอนจิ้นจากรัสเซียเป็นอีกเว็บที่มาพร้อมฟังค์ชั่นตรวจสอบภาพย้อนกลับ คุณสมบัติเด่นของ Yandex คือความแม่นยำในการตรวจสอบภาพใบหน้าบุคคล และรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง และยังมีคลังข้อมูลภาพขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก

เมื่อเราเข้าไปใน Yandex.com แล้วกดปุ่ม Images เราจะเห็นไอคอนกล้องถ่ายรูปข้างๆ กับปุ่ม Search ให้เรากดปุ่มดังกล่าวเพื่อเข้าสู่ฟังค์ชั่นค้นหาภาพแบบย้อนกลับ เราสามารถเลือกอัพโหลดไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์ หรือวางลิงค์ภาพบริเวณ Enter Image URL คล้ายๆ กับบน Google Images 

แต่ฟังค์ชั่นพิเศษของ Yandex ที่ Google ไม่มีก็คือการเลือกครอปบริเวณพื้นที่ในรูปที่เราต้องการค้นหาโดยเฉพาะ เช่น ถ้าเราอยากค้นหาเฉพาะรูปตึก หรือบุคคลในภาพคนใดคนหนึ่งในภาพหมู่ เราสามารถเลือกครอปบริเวณใบหน้าของคนคนนั้น หรือตึกตึกนั้น โดยไม่จำเป็นต้องเซิร์จทั้งรูป

การตรวจสอบภาพในหลายๆ เว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญ

นอกจาก Google และ Yandex แล้ว เว็บไซต์เซิร์จเอนจิ้นอย่าง Microsoft Bing และ Baitu (จากประเทศจีน) ก็มีฟังค์ชั่นค้นหาภาพแบบย้อนกลับเช่นกัน ทั้งสองเว็บมาพร้อมกับฟังค์ชั่นที่คล้ายๆ กัน เราสามารถทดลองค้นหาภาพย้อนหลับจากหลายๆ เว็บไซต์ เพื่อเปรียบเทียบผลการค้นหา บางเว็บไซต์ เช่น Baitu และ Yandex อาจจะค้นหาภาพที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียและจีนได้ดีกว่า Google และ Bing ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับรูปภาพที่เราต้องการจะตรวจสอบ

การใช้เครื่องมือตรวจสอบภาพถึงแม้จะช่วยให้เราทราบที่มาของภาพได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการใช้วิจารณญาณของเราในการคิด วิเคราะห์ผลการค้นหาของภาพนั้นๆ เพราะเครื่องมือเหล่านี้ไม่สามารถตอบเราได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าภาพที่เราตรวจสอบเป็นภาพจริงหรือภาพปลอม บางครั้งเราอาจจะต้องอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับภาพ รวมทั้งตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ถ่ายภาพนั้น รวมทั้งองค์ประกอบต่างๆ ในภาพว่าตรงกับสถานที่ที่มีการแอบอ้างหรือไม่ ดังนั้นการเป็นคนช่างสังเกต บวกกับการใช้เครื่องมือตรวจสอบภาพ จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2565

จริงหรือไม่…?  ใบกระท่อมสามารถต้านโควิด-19 ได้

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีการพบรายงานการวิจัยของฤทธิ์ต้านเชื้อโควิด-19 ในใบกระท่อม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3o1w4qzzhmq0v


จริงหรือไม่…?  เจ้าหน้าที่อุทยานเกาะช้าง และ เจ้าหน้าที่เกาะล้าน เป็นโรคฝีดาษลิง

ไม่จริง

เพราะ…กรมควบคุมโรค ยืนยันว่า โรคที่พบการติดต่อไม่ใช่ฝีดาษลิง แต่เป็นโรคไข้มาลาเรียชนิดโนว์ไซ ที่สามารถถ่ายทอดจากลิงสู่คนได้ โดยมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2gnnas7nns0ov


จริงหรือไม่…? โมเดอร์นา เดือน พ.ค. หมดแล้ว ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อแจ้ง

จริง

เพราะ…จากนี้ศูนย์ฯจะให้บริการ วัคซีนไฟเซอร์/แอสตร้าเซเนก้า เป็นวัคซีนหลัก หากได้รับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่ม จะประกาศให้ทราบต่อไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1v9if4ggesh6n


จริงหรือไม่…? WHO ยืนยัน 15 ประเทศพบผู้ป่วยติดเชื้อ “ฝีดาษลิง”

จริง

เพราะ…แพทย์ระบุว่า ฝีดาษลิงไม่ได้แพร่ระบาดง่าย ๆ ระหว่างมนุษย์ และอาการก็มักจะไม่รุนแรงแนะนำผู้ที่สงสัยว่าอาจสัมผัสกับเชื้อ หรือมีอาการเข้าข่าย เช่น มีตุ่มผื่นและไข้ ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lyo8p5pmx1ol


จริงหรือไม่…? หน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัย ช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้

จริง

เพราะ…ขึ้นอยู่กับประเภทและประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันสุขภาพแบบต่างๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q0mc246i0hrg


จริงหรือไม่…? PDPA พ.ร.บ. จะประกาศใช้วันที่ 1 มิ.ย. นี้

จริง

เพราะ…พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 62 หรือ  Personal Data Protection Act จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิ.ย. 2565 กฎหมาย PDPA นี้ให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร อีเมล ไอดีไลน์ ฯลฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30xmzgwi3v7pa


จริงหรือไม่…?  เตือนเกษตรกร ระวังโดนแอบอ้างหาผลประโยชน์โครงการสานฝันสร้างอาชีพ

จริง

เพราะ…รมช. เตือน โครงการนี้ ไม่ได้ทำข้อตกลงหรือความร่วมมือกับกลุ่มบุคคล/บริษัทใดบริษัทหนึ่ง ให้เข้ามาช่วยเหลือ และเรียกเก็บค่ามัดจำล่วงหน้าใดๆ ทั้งสิ้น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/o0yyq8nla09f


จริงหรือไม่…? เชียงใหม่ ห้ามเผา ห้ามเข้าป่าสงวนฯ ฝ่าฝืนจำคุก 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท

จริง

เพราะ…ผู้ว่าฯ ออกประกาศห้าม เข้า-เผา ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าสันทราย” และป่าสงวนแห่งชาติ”ป่าแม่ออน” ฝ่าฝืนโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3sfjyt14sjal3


จริงหรือไม่…? หลังติดเชื้อโควิด19 อาจเกิดอาการสมองเสื่อมถอย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…บางผู้ป่วยมักพบในช่วง 1-6 เดือน หลังติดเชื้อ ซึ่งเป็นภาวะที่สมรรถภาพการทำงานของสมองถดถอย ส่วนมากในด้านสมาธิ ทักษะในการตัดสินใจ การวางแผน และความจำระยะสั้น

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2gx0gf3nedo2g


จริงหรือไม่…?  สธ.เตรียมพิจารณาถอดหน้ากากอนามัย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ… จะมีการพิจารณาหลังโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตเป็นหลัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bcida21iwmdk


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2565

จริงหรือไม่…?  นักเรียนต้องตรวจ ATK ก่อนไปโรงเรียนทุกวัน

ไม่จริง

เพราะ…ตรวจ ATK เมื่อมีความเสี่ยงหรือเมื่อมีอาการ เพื่อให้นักเรียนให้มีความปลอดภัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18n1mb4b7ds0s


จริงหรือไม่…?  จังหวัดยะลามีทะเล

ไม่จริง

เพราะ…เป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตทางใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย เป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่ไม่ติดทะเล และเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hquyo75cxyk9


จริงหรือไม่…? ราชกิจจาฯ ประกาศ “ยกเว้นภาษีเงินได้”โครงการเยียวยาผลกระทบโควิด-19

จริง

เพราะ…โครงการมาตรการการลดภาระ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา โครงการส่งเสริมและ รักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs ในปีภาษี พ.ศ. 2564 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3h7nnfofilajd


จริงหรือไม่…? ศบค.อนุมัติ ยกเลิก Thailand Pass สำหรับคนไทย เริ่ม 1 มิย. 65

จริง

เพราะ…ยกเลิกสำหรับคนไทย ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2565 แต่สำหรับชาวต่างชาติยังคงต้องลงทะเบียนต่อไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/158f4nz7466cz


จริงหรือไม่…? #เวียดนาม ยกเลิกตรวจโควิดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่ม 15 พ.ค.นี้

จริง

เพราะ…เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิดและผู้เสียชีวิตในประเทศลดลง โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2b36mjslwul3d


จริงหรือไม่…? ไม่ควรซื้อฟลูออไรด์เม็ดให้ลูกกินเอง

จริง

เพราะ…ควรให้ทันตแพทย์ประเมินความเหมาะสมในเด็กเป็นรายบุคคล และวิธีการรับประทานให้ได้ประสิทธิภาพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mykdttdh5ub8


จริงหรือไม่…?  7 อาหารกินบ่อยๆ ช่วยบำรุงข้อเข่าให้เสื่อมช้า

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ในอาหารต่างๆ จะมีแคลเซียม วิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงกระดูก ทั้งนี้ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20f5z7e4xq3a1