สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2565

ธนาคารออมสิน ยืนยันว่าไม่ได้ส่ง SMS ให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอสินเชื่อ GSB จำนวน 60,000 บาท…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dat5d1siew7x


ไม่ชัวร์ อย่าแชร์ “ข้อมูลส่วนตัว”   ให้กับมิจฉาชีพที่ปลอมตัวหรือโฆษณาเป็นบริษัทให้กู้เงิน สามารถ ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อจากแบงก์ชาติ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z0ytnx3mzrs2


อย่าเพิ่งรีบโอน ถ้าเพื่อนแชทยืมเงิน ระวังโดนมิจฉาชีพหลอกได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3mtr24r2bbge6


เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติถึงแก่ชีวิต ฟรีทุกสิทธิ์รักษาได้ทุกที่ (UCEP)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qpu8i9ow0gzt


หากตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด อาการไม่รุนแรง มีสิทธิบัตรทอง สามารถรับยารักษาโควิดฟรี ที่ร้านยาใกล้บ้าน “เจอ แจก จบ”

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/3iykbwhghocch


รัฐล้มเหลว-เศรษฐกิจล่มสลาย’ เหลียวมอง‘ศรีลังกา’อะไรพามาถึงจุดนี้?

รายงานพิเศษ ข่าวนานาชาติ #01
Factual review on global news
เขียนโดย Zhang Taehun – Cofact contributor

สถานการณ์ประท้วงขับไล่รัฐบาลของชาวศรีลังกาที่ยาวนานมาหลายเดือนจนลุกลามไปถึงขั้นเหตุจลาจล การบุกสถานที่ราชการต่าง ๆรวมทั้งทำเนียบประธานาธิบดี และการหลบหนีออกนอกประเทศของ ประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา เมื่อวันพุธ (13 กค.) ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลกและสื่อสังคมออนไลน์ โดยในประเทศไทย

ทางโคแฟคได้สรุปสาเหตุหลักที่นำพาศรีลังกาเข้าสู่วิกฤตครั้งนี้ โดยนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ บทความและงานวิจัยของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งบทวิเคราะห์จากสำนักข่าวที่หลากหลายและมีความน่าเชื่อถือ พร้อมกับให้ข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยย่อเกี่ยวกับประเทศนี้

ทั้งนี้เพื่อหาคำตอบว่าศรีลังกาเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและอธิบายวาทกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญหาการกู้ยืมเงินและหนี้สินที่ท้วมท้นของรัฐบาลศรีลังกา ซึ่งบางครั้งเป็นการตัดตอนข้อมูลหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน นำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนกลายเป็นชนวนหนึ่งของเหตุจลาจลในครั้งนี้

‘รัฐล้มเหลว-เศรษฐกิจล่มสลาย’ เหลียวมอง‘ศรีลังกา’อะไรพามาถึงจุดนี้?

รัฐล้มเหลว (Fail State)” เป็นคำที่ใช้เรียกสภาวะของประเทศที่กลไกของรัฐไม่สามารถควบคุมและบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้บริการสาธารณะที่จำเป็น ขณะเดียวกันประชาชนก็ไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลและลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้าน ซึ่งขณะนี้ ศรีลังกา อาจเรียกได้ว่าเข้าข่ายรัฐล้มหลวไปแล้ว เมื่อเศรษฐกิจล่มสลาย พลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซและไฟฟ้าแทบไม่เหลือให้ใช้ในประเทศ และประชาชนก็พากันขับไล่รัฐบาลถึงขั้นบุกยึดบ้านพักของประธานาธิบดี 

คำถามคือ ศรีลังกาเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ซึ่งก็ต้องเข้าใจบริบทของประเทศนี้เสียก่อน ศรีลังกาตั้งอยู่ในเอเชียใต้ ภูมิภาคที่ประกอบด้วย ศรีลังกา อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน และมัลดีฟส์ ศรีลังกามีพื้นที่ 65,610 ตร.กม. เล็กกว่าประเทศไทยที่มีพื้นที่ 513,120 ตร.กม. เกือบ 8 เท่า มีประชากร 22.156 ล้านคน ขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) อยู่ที่ 84.52 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ประเทศไทยมีประชากร 69.950 ล้านคน GDP อยู่ที่ 505.98 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลจากธนาคารโลก World Bank ปี 2564) 

ข้อมูลจาก CIA Factbook ซึ่งเป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลประเทศต่างๆ ที่รวบรวมโดยสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐอเมริกา (CIA) อธิบายสภาพของศรีลังกา ว่า นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 ก็ต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชน 2 กลุ่ม คือชาวสิงหลและชาวทมิฬ จนยกระดับกลายเป็นสงครามกลางเมืองในปี 2526 ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มติดอาวุธพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (LTTE) กระทั่งปี 2552 สงครามจึงสงบโดยฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบปรามกลุ่ม LTTE ได้อย่างเด็ดขาด ถึงกระนั้น ศรีลังกายังต้องเผชิญสารพัดวิกฤติ ทั้งการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ การฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศจำนวนมากทำให้ขาดความมั่นคง กระทั่งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ซ้ำเติมให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลง จนมาถึงจุดที่เป็นข่าวในปัจจุบัน

Harvard International Review วารสารด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ เผยแพร่บทความ The Sri Lankan Civil War and Its History, Revisited in 2020 เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2563 เขียนโดเย นิทยานี อนันทคุกัน (Nithyani Anandakugan) นักเขียนประจำของวารสารดังกล่าว เล่าเรื่อง “ความขัดแย้งของชาวสิงหลกับชาวทมิฬ” ว่า ประชากรศรีลังกาเป็นชาวสิงหล ร้อยละ 74.9 และชาวทมิฬร้อยละ 11.2 ชาวสิงหลนั้นนับถือศาสนาพุทธ ส่วนชาวทมิฬนับถือศาสนาฮินดู  แม้จะมีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่จุดที่ทำให้ความขัดแย้งยกระดับสู่ความเกลียดชัง เกิดขึ้นเมื่อศรีลังกาตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ 

โดยในยุคอาณานิคม ชาวสิงหลซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกว่าชาวทมิฬได้ประโยชน์จากอังกฤษมากกว่าทั้งที่เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย เช่น การเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้รับการส่งเสริมในพื้นที่ของชาวทมิฬมากกว่าพื้นที่ของชาวสิงหล ส่งผลให้ชาวทมิฬมีโอกาสในการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่า เมื่อประกอบกับการที่ชาวทมิฬยังมีชุมชนในประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ที่ขณะนั้นก็เป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่นกัน การค้าขายโดยอาศัยเครือข่ายเหล่านี้ก็เป็นอีกด้านที่ชาวทมิฬได้ประโยชน์

หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ชาวสิงหลเริ่มมีโอกาสขึ้นสู่อำนาจในตำแหน่งระดับสูงของรัฐบาล พวกเขาเริ่ม เอาคืน ชาวทมิฬ จากความรู้สึกที่ชาวสิงหลเสียเปรียบมานานในยุคอาณานิคม อาทิ ในปี 2499 รัฐบาลออกกฎหมายกำหนดให้ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว ส่งผลให้ชาวทมิฬจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐรวมถึงการหางานทำ อย่างไรก็คาม จันดรีกา กุมารตุงกา (Chandrika Kumaratunga) อดีตประธานาธิบดีศรีลังกา ยืนยันว่า แนวทางดังกล่าวซึ่งผลักดันโดย โซโลมอน เวสต์ ริดจ์เวย์ ดิแอส บันดาราไนเก (Solomon West Ridgeway Dias Bandaranaike) นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นเพียงความต้องการฟื้นฟูอัตลักษณ์ของศรีลังกา ที่จางหายไปในช่วงที่ศรีลังกาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังกำหนดนโยบายให้ชาวสิงหลมีแต้มต่อด้านการศึกษา กล่าวคือ มีการกำหนดเกณฑ์คะแนนสอบผ่านเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยสำหรัยชาวทมิฬสูงกว่าชาวสิงหล แม้เจตนาของกฎหมายคือการเพิ่มโอกาสให้ชาวสิงหลที่เคยเป็นผู้ด้อยโอกาส อยู่ในสถานะเสียเปรียบในยุคอาณานิคมให้ได้ลืมตาอ้าปากแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นนโยบานที่สนับสนุนให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับชาวทมิฬ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ต่อมาชาวทมิฬกลุ่มหนึ่งเริ่มไม่พอใจและก่อความรุนแรงขึ้น และลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา เมื่อกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม ชิงการนำในหมู่ชาวทมิฬจากกลุ่มหรือขั้วการเมืองอื่นๆ ได้

และแม้การสู้รบจะสิ้นสุดลงในปี 2552 แต่ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นผู้ชนะ ยังคงนโยบายที่ชาวทมิฬมองว่ากดขี่ข่มเหงพวกตนต่อไป เช่น ยังคงมีการสอดส่องบุคคลที่เคยมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม กองทัพศรีลังกายังคงกำลังทหารควบคุมพื้นที่ของชาวทมิฬในฐานะพื้นที่ความมั่นคงสูงแม้จะเข้มงวดน้อยกว่ายุคสงครามก็ตาม อีกทั้งยังเดินหน้าทำให้อัตลักษณ์ของชาวสิงหลเข้าแทนที่อัตลักษณ์ของชาวทมิฬ อาทิ การเปลี่ยนชื่อถนนและหมู่บ้าน การส่งเสริมให้ก่อสร้างวัดพุทธในพื้นที่ของชาวทมิฬ เป็นต้น

เมื่อมาดูทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมามีการพูดถึงกันมากว่า ศรีลังกายืมเงินจีนมาแล้วไม่มีปัญญาใช้คืนจนอาจต้องสูญเสียอธิปไตยให้จีน เรื่องนี้เบื้องต้นอาจต้องให้ความเป็นธรรมกับจีนเสียหน่อย เพราะข้อมูลของทางการศรีลังกาเอง ระบุสัดส่วนการก่อหนี้ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) ไว้ดังนี้ อันดับ 1 Market Borrowing หรือการกู้ยืมจากตลาดทุน ร้อยละ 47 รองลงมาคือ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ร้อยละ 18 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่น ศรีลังกากู้เงินจาก 2 ชาตินี้ในสัดส่วนร้อยละ 10 เท่ากัน ดังนั้นหนี้จีนจึงไม่ใช่หนี้ส่วนใหญ่ของศรีลังกาอย่างที่หลายคนเข้าใจ

The Atlantic นิตยสารเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ The Chinese ‘Debt Trap’ Is a Myth เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564 บทความนี้เขียนโดยนักวิชาการ 2 ท่าน คือ ศ.เดโบราห์ บรอติกัม (Prof.Deborah Brautigam) ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ วิทยาลัยการศึกษาชั้นสูงด้านระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินสฺ์ สหรัฐฯ กับ รศ.เม็ก ริธไมร์ (Assoc.Prof.Meg Rithmire) โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ชี้ว่าเรื่องที่พูดกันกรณีศรีลังกาติดหนี้จีนนั้นเกินเลยจากความเป็นจริงไปมาก หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ ท่าเรือแฮมบันโตตา (Hambantota Port)” ที่ลือกันว่าจีนให้เงินศรีลังกากู้ไปสร้างท่าเรือ

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงของท่าเรือดังกล่าวคือ สำนักงานพัฒนาระหว่างประเทศของแคนาดา (CIDA) ให้ทุนบริษัทด้านวิศวกรรมยักษ์ใหญ่ของแคนาดาอย่าง SNC-Lavalin เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง โดยในปี 2546 มีข้อสรุปว่า ท่าเรือแฮมบันโตตาสามารถก่อสร้างได้ แต่โครงการยังไม่คืบหน้าเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนในประเทศ 

ในยุคสมัยของ มหินตา ราชปักษา (Mahinda Rajapaksa) ประธานาธิบดีศรีลังกา ที่ครองอำนาจช่วงปี 2548-2558 ซึ่งมีพื้นเพเป็นชาวเมืองแฮมบันโตตา ต้องการผลักดันโครงการท่าเรือนี้ให้เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของบ้านเกิด รวมถึงฟื้นฟูความเสียหายที่เมืองแห่งนี้ได้รับจากเหตุการณ์คลื่นสึนามิในปี 2547 โดยในปี 2549 Ramboll บริษัทวิศวกรรมสัญชาติเดนมาร์ก เผยแพร่ผลการศึกษาซึ่งเนื้อหาคล้ายกับของ SNC-Lavalin แคนาดา ที่ชี้ว่าโครงการท่ารือแฮมบันโตตาสามารถก่อสร้างได้ และแนะนำให้แบ่งโครงการเป็น 2 ระยะ

ในเวลานั้น สินค้าจากประเทศจีนเริ่มเป็นที่ต้องการของครัวเรือนในอินเดียรวมถึงทวิปแอฟริกา ขณะที่เวียดนามก็กำลังเติบโตและต้องการทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น นี่คือโอกาสของศรีลังกาในการก่อสร้างท่าเรือ โครงการแฮมบันโตตาถูกนำไปขออนุมัติจากแหล่งเงินทุนทั้งสหรัฐฯ และอินเดีย แต่ 2 ชาติดังกล่าวปฏิเสธ ตรงข้ามกับจีนที่เห็นความไปได้ จึงสนับสนุนโครงการผ่านเงินกู้ และได้รับอนุมัติเงินกู้ในปี 2550 ก่อนหน้าที่ สีจิ้นผิง (Xi Jinping) ผู้นำสูงสุดของจีน จะประกาศยุทธศาสตร์ 1 แถบ 1 เส้นทาง (Belt and Road Initiative) เสียด้วยซ้ำไป

ซึ่งต้องเข้าใจบริบทของศรีลังกาขณะนั้น ที่ยังมีความขัดแย้งจากสงครามกลางเมืองอยู่ จึงเป็นข้อจำกัดในการหารายได้จากภาษี การพึ่งพาแหล่งเงินกู้จึงสมเหตุสมผลแล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจศรีลังกาที่เติบโตสูงขึ้นหลังสงครามสิ้นสุดในปี 2552 ภาระหนี้สินก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากู้นำศรีลังกาไปกู้เงินมาเพิ่มอีก 757 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อก่อสร้างเฟส 2 โดยไม่รอให้เฟส 1 สร้างรายได้ก่อนตามคำแนะนำของ Ramboll 

ต่อมาในปี 2557 เพื่อให้การบริหารจัดการท่าเรือมีประสิทธิภาพ การท่าเรือแห่งประเทศศรีลังกา (SLPA)  มีแผนลงนามร่วมกับ China Harbor ซึ่งบริหารท่าเรือในกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของศรีลังกาอยู่แล้ว และ China Merchants Group ที่ลงทุน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ Colombo Port City ก่อนที่ในปี 2558 การเมืองศรีลังกาเปลี่ยนขั้ว ไมตรีปาล สิริเสนา (Maithripala Sirisena) ชนะเลือกตั้งได้เป็น ปธน.ศรีลังกา ในยุคนี้เองที่ศรีลังกาต้องเริ่มทยอยใช้หนี้ที่ไปกู้ยืมแหล่งทุนต่างๆ 

ถึงกระนั้น สัดส่วนหนี้ที่ศรีลังกาไปกู้ยืมมาจากจีนนั้นน้อยกว่าที่ไปกู้ยืมจากแหล่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และการชำระหนี้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือแฮมบันโตตา เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากอดีตผู้บริหารธนาคารกลางของศรีลังกา ทั้งในยุคของ มหินตา ราชปักษา และ ไมตรีปาล สิริเสนา ว่า การกู้เงินจากจีน และโครงการท่าเรือแฮมบันโตตา ไม่ใช่สาเหตุหลักของวิกฤติทางการเงินในศรีลังกา สุดท้ายในเวลาต่อมา ศรีลังกาได้ทำสัญญากับ China Merchants Group ให้เช่าท่าเรือแฮมบันโตตา เป็นเวลา 99 ปี ได้เงินมา 1.12 พันล้านเหรียญสหรัฐ เงินส่วนนี้ถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ไมได้นำไปใช้หนี้ China Eximbank แหล่งทุนที่ศรีลังกาไปกู้เงินมาก่อสร้างท่าเรือแต่อย่างใด 

และเอาเข้าจริงๆ แล้ว ศรีลังกาเพิ่งมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ในปี 2565 นี่เอง ซึ่งปีนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ทันฟื้นตัวจากโรคระบาดโควิด-19 มากนัก กลับต้องมาเจอวิกฤติครั้งใหม่จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ลากเอาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพขึ้นราคากันหมดโดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2565 เป็นวันแรกที่ศรีลังกาผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศขึ้น

ในวันดังกล่าว สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานโดยอ้างคำพูดของ พี นันดลาล วีระสิงห์ (P Nandalal Weerasinghe) ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งชาติศรีลังกา ที่ยืนยันว่า หากไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ก็ไม่สามารถชำระเงินคืนได้ ขณะที่ ศ.มิค มัวร์ (Prof.Mick Moore) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซัสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเชี่ยวชาญประเด็นเศรษฐกิจในอินเดียและศรีลังกา ให้ความเห็นว่า ปัญหาของศรีลังกาสะสมมายาวนาน เพราะรัฐบาลชุดก่อนๆ ไปกู้ยืมเงินมาทำโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งที่น่าตำหนิคือพฤติกรรม ฝืนทำเป็นเข้มแข็ง (Insisted in this very macho fashion)” ยืนยันว่า จ่ายหนี้ไหว โดยไม่ยอมขอเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ รัฐบาลศรีลังกาทำแบบนี้ตลอดจนถึงเมื่อ 6 เดือนก่อน (ประมาณปลายปี 2564-ต้นปี 2565) สัญญาณวิกฤติก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น

คำถามต่อมา แล้วอะไรทำให้ศรีลังกาต้องหาแหล่งเงินกู้จากทุกทิศทางขนาดนั้น? บทความ Fallacies in Sri Lanka’s external debt patterns เผนแพร่บนเว็บไซต์ของ Observer Research Foundation (ORF) องค์กรคลังสมองด้านนโยบายเศรษฐกิจในอินเดีย เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2565 โดย ซุมยา โภวมิค (Soumya Bhowmick) นักวิจัยของ ORF ผู้สนใจประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เศรษฐศาสตร์โลกาภิวัตน์ และเศรษฐศาสตร์อินเดีย อธิบายที่มาที่ไปก่อนศรีลังกาจะเดินมาถึงจุดวิกฤติด้านหนี้สิน ดังนี้

1.ศรีลังกาปรับตัวไม่ทันกับการถูกเลื่อนสถานะของประเทศ  ในยุค 2000s (ปี 2543-2552) เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และยังเป็นสหัสวรรษใหม่ ความเปลี่ยนแปลงที่ศรีลังกาได้รับคือ ธนาคารโลก (World Bank) เลื่อนชั้นศรีลังกาจากประเทศยากจน (low-income country) ขึ้นมาเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้ต่ำ (low-middle-income country) ส่งผลให้จากเดิมที่ศรีลังกาสามารถพึ่งพาแหล่งทุน เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย รวมถึงองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (ร้อยละ 1 หรือน้อยกว่านั้น) และให้เวลาผ่อนชำระได้ยาวนาน (25-40 ปี) เมื่อประเทศเลื่อนชั้นขึ้นมาการจะหาแหล่งทุนลักษณะนี้ก็ทำได้ยากขึ้น

นั่นทำให้ศรีลังกาต้องเริ่มพึ่งพากลไกตลาดทุน (Market Borrowing) หรือสินเชื่อเชิงพาณิชย์ (Commercial Loans) ด้วยการออกพันธบัตรระหว่างประเทศ ตราสารประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยสูง (ร้อยละ 6) มีกำหนดชำระหนี้สั้น (5-10 ปี) และไม่มีเวลาผ่อนผัน โดยเริ่มออกพันธบัตรตั้งแต่ปี 2550 มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในปี 2547 สินเชื่อเชิงพาณิชย์ของศรีลังกามีเพียงร้อยละ 2.5 แต่ในปี 2562 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 56 ของสินเชื่อต่างประเทศทั้งหมด ส่งผลให้หนี้ต่างประเทศต่อ GDP เพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ร้อยละ 30 ในปี 2557 เพิ่มเป็นร้อยละ 42.6 ในปี 2562 ส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้เชิงพาณิชย์

2.ศรีลังกากู้หนี้ยืมสินจนเกินตัวเพื่อไปลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนสูง แต่ประเด็นนี้ก็น่าเห็นใจไม่น้อย เพราะศรีลังกาบอบช้ำสะสมจากสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ (ระหว่างปี 2526-2552) ซ้ำร้ายยังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2550-2551 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤติซับไพรม์) ควบคู่ไปกับการขาดดุลการเงินและบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และเม็ดเงินจากแหล่งทุนต่างๆ ที่ไหลเข้าศรีลังกา ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้เพียงเพื่อรักษาเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนที่สืบเนื่องมาจากในอดีต  

 (หมายเหตุ : ซุมยา โภวมิค ผู้เขียนบทความดังกล่าว ค่อนข้างระแวงบทบาทของจีนในการให้กู้เงินอยู่พอสมควรในประเด็นกับดักหนี้ โดยยกกรณีท่าเรือแฮมบันโตตา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ 1 แถบ 1 เส้นทาง ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง พร้อมกับเรียกร้องให้ทางการศรีลังกาพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะขอกู้เงินจากจีนอีกในอนาคต แม้ว่าหนี้ที่ศรีลังกาติดจีนอยู่นั้นคิดเป็นเพียงร้อยละ 9.83 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ตามข้อมูลในปี 2562 ก็ตาม)

อนึ่ง ยังมีเรื่องของ นโยบายเกษตรอินทรีย์ 100% แบบก้าวกระโดดสุดโต่ง ซึ่งพบว่าพอใช้จริงแล้วส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในศรีลังกาอย่างมาก อาทิ รายงานข่าว Photos: For Sri Lankan farmers, president’s escape is bittersweet โดยสำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2565 ที่ไปพูดคุยกับเกษตรกร อาทิ โรฮัน ติลัค คุรุสิงห (Rohan Thilak Gurusinghe) ผู้ปลูกใบชา เล่าว่า เกษตรกรเคยทักท้วงไปแล้วว่าการแบนปุ๋ยเคมีแบบชั่วข้ามคืนจะส่งผลกระทบต่อราบได้ของเกษตรกร แต่รัฐบาลไม่ฟัง กระทั่งผ่านไป 6 เดือน จึงค่อยรู้ว่าผิดพลาด

ไม่ต่างจาก อนินดา วีรสิงห (Anindha Weerasinghe) ผู้ปลูกผัก วิจารณ์นโยบายแบนเกษตรเคมีแบบไมได้เตรียมแผนรองรับไว้ว่าเป็นเรื่องโง่เขลาอย่างมากที่รัฐบาลทำ เช่น ก่อนหน้านี้ตนใช้เมล็ดพันธุ์ผสมที่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี ทั้งนี้  โกตาบายา ราชปักษา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีศรีลังกา ได้ออกประกาศแบนปุ๋ยเคมีและสารเคมีทุกประเภทในเดือนเมษายน 2564 ส่งผลให้ปริมาณข้าวที่ผลิตได้ลดลงร้อยละ 40 กระทั่งในเดือนเมษายน 2565 ปธน. โกตาบายา จึงค่อยยอมรับว่าตนเองทำผิดพลาดไป 

อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า เกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นปัญหาในตัวเอง..แต่มาจากนโยบายของรัฐบาลศรีลังกาที่ขาดความเข้าใจและไม่เตรียมความพร้อม โดยนิตยสาร Civil Society สื่อของภาคประชาสังคมในกรุงนิวเดลี ซึ่งก่อตั้งในปี 2546 เผยแพร่บทความ Lanka could learn from Sikkim how to go organic ณ วันที่  29 เม.ย. 2565 (แก้ไขเพิ่มเติม วันที่ 27 พ.ค. 2565) อ้างอิงความเห็นของ ราช สีลัม (Raj Seelam) ผู้ก่อตั้งบริษัท เศรษฐา ออร์แกนิต (Srestha Organic) เจ้าของแบรนด์สินค้เออร์แกนิก “24 มันตรา (24 Mantra)” ที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรหลายเหมื่นคนในอินเดีย ว่า..

จำเป็นต้องมีการเตรียมการจำนวนมากสำหรับการทำเกษตรอินทรีย์ เพราะไม่ใช่แค่ถามเรื่องการหยุดใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเท่านั้น เป็นระบบทางเลือก เราต้องหาวิธีการต่างๆ ในการสร้างดินและความอุดมสมบูรณ์ ประการที่สองคือการสร้างสมดุลตามธรรมชาติเพื่อที่จะไม่จำเป็นต้องทำการแทรกแซงทางเคมี (A lot of preparation is required for going organic because it is not just a question of stopping use of fertilizers and pesticides. It is an alternative system. We have to figure out different means of building up soil and fertility. Second is creating a natural balance so that you don’t need to make chemical interventions)”

สีลัม เล่าต่อไปว่า การทำงานของบริษัทกับเกษตรกรใช้เวลาเฉลี่ย 3-4 ปี ซึ่งก็เป็นเวลาพอดีกับที่สามารถให้การรับรองได้ ลำพังเพียงการโน้มน้าวเกษตรกรเพื่อให้ลงทะเบียนก็ต้องลงพื้นกัน 3-4 ครั้งแล้ว จากนั้นก็ต้องมีพนักงานไปดูแลประจำ เช่น กรณีของ เศรษฐา ออร์แกนิต เจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลเกษตรกร 200-300 คน ทำหน้าที่ตั้งแต่ฝึกอบรมและช่วยอธิบายข้อสงสัยต่างๆ แต่หากเกินความสามารถของพนักงานเหล่านี้ ก็จะสอบถามมายังนักปฐพีวิทยาทันที ซึ่พนักงานทุกคนมีแอปพลิเคชั่น ซึ่งสามารถนำปัญหาที่พบเห็นมาปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญได้ 

อีกทั้งมีการลงพื้นที่เยี่ยมชมฟาร์มเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่อง และยังย้ำด้วยว่า ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านมาทำเกษตรอินทรีย์ ระยะแรกๆ ปริมาณผลผลิตย่อมลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 10-15 ในปีแรก และในเมื่อเกษตรอินทรีย์ไม่สามารถชดเชยให้กับเกษตรกรได้ ตนแนะนำให้ทยอยปรับเปลี่ยนไปเป็นระยะๆ เช่น ผู้มีที่ดิน 10 เอเคอร์ อาจทยอยทำไปทีละ 2 เอเคอร์ เป็นต้น  

เช่นเดียวกับสำนักข่าวออนไลน์อย่าง Firstpost ในเครือ Network18 Group สื่อยักษ์ใหญ่ของอินเดีย เผยแพร่บทความ Is organic farming really to blame for Sri Lanka’s ongoing food crisis? เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2565 อ้างความเห็นของ วันทนา ศิวะ (Vandana Shiva) นักสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงในอินเดีย ชี้ว่า วิกฤติอาหารในศรีลังกามีรากฐานที่ลึกกว่าการห้ามนำเข้าเคมีเกษตรเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งนโยบายระยะสั้นของการห้ามนำเข้าไม่ถือเป็นนโยบายเกษตรอินทรีย์

บทความเดียวกันยังอ้างความเห็นของ  สิราช ฮุซเซน (Siraj Husain) อดีตปลัดกระทรวงเกษตรของอินเดีย ที่มองว่า ลำพังการห้ามนำเข้าปุ๋ยเคมีในเดือนพฤษภาคม 2564 ไม่น่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจศรีลังกาเกิดวิกฤติ แต่ต้องถามว่าเกิดจากความผิดพลาดในการบริหารหรือไม่ ประเทศหนึ่งไม่สามารถกลายเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น หากการผลิตทั้งหมดเป็นออร์แกนิก สินค้าพรีเมียมของเกษตรอินทรีย์จะเล้มเหลวและเกษตรกรจะเหลือกำลังผลิตที่น้อยลง

การผูกขาดอำนาจยาวนานจนเอื้อต่อปัญหาคอร์รัปชั่น ก็เป็นอีกปัจจัยที่นำพาศรีลังกาดำดิ่งมาสู่วิกฤติในวันนี้ รายงานข่าวเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 โดย The Washington Post หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่และเก่าแก่ฉบับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เล่าเรื่องราวของตระกูลราชปักษา โดยเฉพาะ 2 พี่น้อง คือ มหินดา และ โกตาบายา ที่ครองอำนาจสูงสุดบนแผ่นดินศรีลังกามายาวนาน อาทิ ในช่วงที่ มหินดา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานระหว่างปี 2548-2558 ได้แต่งตั้ง โกตาบายา ซึ่งขณะนั้นเป็นนายทหารในกองทัพศรีลังกา ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมและการพัฒนาเมือง โดยอยู่ในตำแหน่งในห้วงเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นยังแต่งตั้ง เบซิล (Basil) และ ชามัล (Chamal) ดูแลงานชลประทานและการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามลำดับ ในทางกลับกัน ช่วงปี 2562-2565 ที่ โกตาบายา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ได้แต่งตั้งให้ มหินดา เป็นนายกรัฐมนตรี

สันคิธา กุนารัทนี (Sankhitha Gunaratne) รองผู้อำนวยการบริหารของ องค์กรเพื่อความโปรงใสสากล (Transparency International) ประจำศรีลังกา กล่าวว่า มหินดา กับ เบซิล เผชิญข้อกล่าวหามากมาย ทั้งการยักยอกเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ รวมถึงกองทุนสาธารณะไปซื้อที่ดิน ขณะที่ในปี 2564 เอกสารลับที่ถูกเผยแพร่ในโครงการ Pandora Papers โดย เครือข่ายสื่อมวลชนสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ICIJ) ว่าด้วยพฤติกรรมซุกซ่อนทรัพย์สินของบรรดาบุคคลที่เป็นชนชั้นนำของประเทศต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบหรือเลี่ยงภาษี พบว่า หลานของพี่น้องตระกูลราชปักษา มีเงินหลักหลายล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ในบัญชีต่างประเทศ 

และแม้เส้นทางการครองอำนาจในศรีลังกาของตระกูลราชปักษา มีการขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พี่น้อง แต่เรื่องหนึ่งที่ทั้งตระกูลสนับสนุนเต็มที่ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดบทบาทอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนการทุจริต (CIABOC ทำหน้าที่คล้ายกับ ป.ป.ช. ของประเทศไทย) และเพิ่มบทบาทอำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อศาล เช่นเดียวกับ Human Rights Watch องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เผยแพร่รายงาน Human Rights Watch Submission to the UN Human Rights Committee in advance of its review of Sri Lanka เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ตอนหนึ่งกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 20 ของศรีลังกา ในเดือนตุลาคม 2563 

สาระสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้คือให้ประธานาธิบดีมีอำนาจจควบคุมการแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโส ตลอดจนกรรมการบริหารในองค์กรอิสระต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) , สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , คณะกรรมการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , สำนักงานคณะกรรมการสืบสวนการทุจริตและสินบนแห่งชาติ (CIABOC – ป.ป.ช.) รวมถึงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหลักนิติธรรม เช่น อัยการสูงสุด หัวหน้าผู้ตรวจสอบบัญชี (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) และจเรตำรวจ

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า..กว่าศรีลังกาจะเดินมาถึงจุดต่ำสุดในปัจจุบันประกอบด้วยหลากหลายเหตุปัจจัย บางเรื่องก็น่าเห็นใจจากข้อจำกัดของประเทศ แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เรื่องราวของศรีลังกา คงจะเป็นอุทาหรณ์หรือบทเรียนให้กับประเทศไทย (และประเทศอื่นๆ) ได้บ้างไม่มากก็น้อย!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.mfa.go.th/th/country/LK?page=5d5bcb3915e39c3060006816&menu=5d5bd3c715e39c306002a882 (สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (Sri Lanka) : กระทรวงการต่างประเทศ)

https://data.worldbank.org/indicator/SP.POP.TOTL?locations=LK (Sri Lanka Population : World Bank)

https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD?locations=LK (Sri Lanka GDP : World Bank)

https://data.worldbank.org/indicator/SP.POP.TOTL?locations=TH (Thailand Population : World Bank)

https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD?locations=TH (Thailand GDP : World Bank)

https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/sri-lanka/ (Sri Lanka : CIA Factbook)

https://hir.harvard.edu/sri-lankan-civil-war/ (The Sri Lankan Civil War and Its History, Revisited in 2020)

http://www.erd.gov.lk/index.php?option=com_content&view=article&id=102&Itemid=308&lang=en (Foreign Debt Summary : Department of External Resources , Sri Lanka)

https://www.theatlantic.com/international/archive/2021/02/china-debt-trap-diplomacy/617953/ (The Chinese ‘Debt Trap’ Is a Myth : The Atlantic)

https://www.orfonline.org/expert-speak/fallacies-in-sri-lankas-external-debt-patterns/ (Fallacies in Sri Lanka’s external debt patterns : ORF)

https://www.bbc.com/news/business-61505842 (Sri Lanka defaults on debt for first time in its history : BBC)

https://edition.cnn.com/2022/07/12/asia/sri-lanka-crisis-gotabaya-rajapaksa-airport-intl/index.html (Sri Lanka’s prime minister appointed President, calls state of emergency as Rajapaksa flees to Maldives : CNN)

https://www.aljazeera.com/gallery/2022/7/14/photos-for-sri-lanka-farmers-presidents-escape-is-bittersweet (Photos: For Sri Lankan farmers, president’s escape is bittersweet , Aljazeera)

https://www.civilsocietyonline.com/agriculture/lanka-could-learn-from-sikkim-how-to-go-organic-happily/ (Lanka could learn from Sikkim how to go organic  , Civil Society)

https://www.firstpost.com/opinion/is-organic-farming-really-to-blame-for-sri-lankas-ongoing-food-crisis-10555881.html (Is organic farming really to blame for Sri Lanka’s ongoing food crisis? , Firstpost)

https://www.washingtonpost.com/world/2022/05/22/sri-lanka-rajapaksa-mahinda-gotabaya/ (Inside the collapse of the Rajapaksa dynasty in Sri Lanka : The Washington Post)

https://www.hrw.org/news/2022/06/01/human-rights-watch-submission-un-human-rights-committee-advance-its-review-sri


ตรวจสอบข้อเท็จจริง โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 อันตรายแค่ไหน COFACT Special Report #32

ไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดยสายพันธุ์ที่กำลังแพร่กระจายอย่างกว้างขวางคือสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน โดยสหรัฐฯ ยุโรป และหลายประเทศในเอเชียกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์นี้เหมือนๆ กัน ขณะที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มรู้สึกวิตกกังวลกับการแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดทั่วโลกมองว่าปัจจุบันเรามีเครื่องมือที่พร้อมสำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์นี้ ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป

โอมิครอน BA.5 เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้เร็วที่สุดในบรรดาสายพันธุ์ย่อยทั้งหมด

ผลการศึกษาในสหรัฐฯ และยุโรประบุตรงกันว่า โอมิครอน BA.5 แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยก่อนหน้านี้หลายเท่า ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสองทวีป รวมทั้งในประเทศที่พบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ติดเชื้อมีทั้งผู้ที่ไม่เคยเป็นโควิดมาก่อน และผู้ที่เคยฉีดวัคซีนมาแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อโอมิครอน BA.5 เช่นกัน เพียงแต่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วจะมีอาการของโรคน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีน

โอมิครอน BA.5 หลบภูมิคุ้มกันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ารุนแรงกว่า

ผลการศึกษาในยุโรป สหรัฐฯ และแอฟริกาใต้ระบุตรงกันว่า โอมิครอน BA.5 มีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ รวมทั้งยังแพร่กระจายได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายพื้นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผลการศึกษาดังกล่าว โดยเฉพาะในแอฟริกาใต้พบว่า BA.5 ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการรุนแรงไปกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เคยได้รับภูมิคุ้มกันมาก่อนและติดเชื้อสายพันธุ์นี้ก็มีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีน หรือเคยติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ มาก่อนอยู่ดี แต่เมื่อเราดูจากยอดผู้ป่วยหนักและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของบางประเทศ เช่น โปรตุเกส พบผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอันเนื่องมาจากการติดเชื้อโอมิครอน BA.5 จำนวนมาก รวมทั้งในสหรัฐฯ บางรัฐก็พบยอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้ามาดูปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะพบว่า โปรตุเกสมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าแอฟริกาใต้ และในสหรัฐฯ บางรัฐมียอดการฉีดวัคซีนต่ำ สองปัจจัยนี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งสิ้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงยังไม่สามารถสรุปหรือฟันธงได้ว่า BA.5 จะมีความรุนแรงจนส่งผลเสียต่อระบบสาธารณสุขเหมือนการแพร่ระบาดครั้งก่อนๆ เพราะปัจจัยชี้วัดในปัจจุบันกับอดีตแตกต่างกัน

หลายประเทศยังยืนยันว่ายอดผู้ป่วยหนัก-เสียชีวิตจาก BA.5 ยังต่ำ

นพ.แอนโธนี ฟัลชี หัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่า ถึงแม้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.5 จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยอดผู้เสียชีวิตกลับไม่เพิ่มขึ้นตาม และเมื่อเปรียบเทียบกับยอดผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจากระลอกก่อนๆ ก็พบว่าระลอกนี้ตัวเลขต่ำกว่าจริง ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนกถึงจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่สูง แต่ให้ดูศักยภาพของระบบสาธารณสุขว่าสามารถรองรับผู้ป่วยหนักได้หรือไม่ ขณะที่หลายๆ ประเทศที่พบการแพร่ระบาดของ BA.5 มาก่อนไทย โดยเฉพาะในยุโรป ก็ยังไม่พบรายงานว่าระบบสาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นไม่สามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยหนักจาก BA.5 

ความเข้าใจเรื่องโควิดในปัจจุบันเปลี่ยนไป ยารักษา+วัคซีน คือตัวเปลี่ยนเกม

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในหลายประเทศระบุตรงกันว่า ถึงแม้โอมิครอน BA.5 จะเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้เร็วที่สุด ผู้ติดเชื้อจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุด แต่ปัจจุบันเรามีอาวุธที่จะช่วยต่อกรกับมัน นั่นก็คือการเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น เราทราบดีว่าวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อ แต่มันช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยหนักและเสียชีวิต ผลการศึกษาหลายชิ้นพบว่า วัคซีนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะวัคซีนประเภท mRNA มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ถึงแม้ BA.5 จะเป็นสายพันธุ์ย่อยใหม่ที่แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่า หลบภูมิได้ดีกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าวัคซีนในปัจจุบันจะไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักหรือเสียชีวิต ดังนั้นการเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นย่อมดีกว่าการไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 

นอกจากนี้ บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนหลายเจ้า เช่น โมเดอร์นา ก็กำลังเตรียมยื่นขออนุมัติวัคซีนสำหรับฉีดกระตุ้นสำหรับโอมิครอนโดยเฉพาะ ซึ่งผลการศึกษาพบว่ามีประสิทธิภาพป้องกันการป่วยหนัก และการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ดีกว่าวัคซีนรุ่นเก่า คาดว่าเราจะสามารถใช้วัคซีนตัวนี้ได้ภายในปลายปีนี้

สำหรับผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน BA.5 ในปัจจุบันก็มีตัวเลือกทางการรักษาที่หลากหลาย ในผู้ป่วยทั่วไปที่อาการไม่รุนแรงสามารถรับประทานยาตามอาการจนอาการหายดีเป็นปกติ ส่วนผู้ที่มีอาการรุนแรงปานกลาง และผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ ก็สามารถรักษาด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส เช่น โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) หรือ แพซโลวิด (Paxlovid) ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA ของสหรัฐฯ ว่าสามารถใช้รักษาโควิด-19 ได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะต้องรับประทานยาในปริมาณเท่าใด 

การใช้ชีวิตอย่างสมดุล จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตินี้ไปได้

หน่วยงานสาธารณสุขในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ต่างระบุตรงกันว่า ปัจจุบันโอมิครอน BA.5 กำลังกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนการติดเชื้อก่อนหน้า ยิ่งทำให้ BA.5 มีความน่ากังวล แต่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญยังคงยืนยันก็คือ การฉีดวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยหนักและเสียชีวิต รวมทั้งการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีในปัจจุบันนั้นช่วยให้ยอดผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตนั้นไม่เยอะจนเกินประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขจะรองรับได้ ซึ่งเราทุกคนมีส่วนช่วยให้ประเทศและสังคมเดินต่อไปได้โดยไม่กลับไปเหมือนเมื่อ 1-2 ปีที่แล้วด้วยการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะการฉีดเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้สวมหน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention อย่างที่เราเคยทำกันมา 


ที่มา:

https://www.nytimes.com/2022/07/12/us/politics/ba5-omicron-variant-white-house.html

https://www.cnbc.com/2022/07/12/covid-hospitalizations-have-doubled-since-may-as-omicron-bapoint5-sweeps-us-but-deaths-remain-low.html

https://www.nbcboston.com/news/local/clearing-up-misconceptions-about-the-omicron-ba-5-subvariant/2769042/

https://health.ucdavis.edu/coronavirus/news/headlines/how-to-protect-yourself-from-covid-subvariant-ba5/2022/07

https://www.healthline.com/health-news/omicron-ba-5-experts-see-increase-in-mild-cases-vaccines-continue-to-be-effective#The-bottom-line:

https://time.com/6187762/ba-4-ba-5-omicron-subvariants-symptoms-risk/


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2565

จริงหรือไม่…? “ฉีดวัคซีนโควิด” ทำให้เลือดมีสีดำคล้ำ

ไม่จริง

เพราะ…ฉีดวัคซีนจะเปลี่ยนแปลงเป็นภูมิคุ้มกัน ไม่ได้ทำให้โลหิตหรือเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงสีแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2efyxo6971ip6


จริงหรือไม่…? ลดหรือยกเลิกจ่ายเงินบำนาญแก่ข้าราชการบำนาญ

ไม่จริง

เพราะ…กรมบัญชีกลางยังไม่ได้รับนโยบายให้ลดหรือยกเลิกการจ่ายเงินบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jbi9oz7jdl7j


จริงหรือไม่…? อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน สามารถทำให้ยานพาหนะประหยัดการใช้พลังงานขึ้นได้

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการหลอกลวง หรือโฆษณาเกินจริง อุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถประหยัดน้ำมันได้ตามที่มีการอ้างสรรพคุณ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37xb56gh6wa2p


จริงหรือไม่…?  เฝ้าระวัง “สึนามิ” 5 จังหวัด หลังแผ่นดินไหว กว่า 30 ครั้ง ใกล้ภูเก็ตราว 400 กม.

จริง

เพราะ…พบแผ่นดินไหวที่เกาะอันดามัน 4-5 ก.ค.65 แต่ยังไม่มีผลกระทบไทย มีการเตรียมความพร้อมใน พังงา ระนอง  กระบี่ ภูเก็ต สตูล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28d1l2vb8rkhq


จริงหรือไม่…?  สธ.เตือนภัย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อ้างเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลติดตามอาการหลังฉีดวัคซีนโควิด หลอกถามข้อมูลส่วนตัว

จริง

เพราะ…โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือน อย่าหลงเชื่อให้ข้อมูลส่วนตัวใดๆหรือโอนเงินเด็ดขาด หากสงสัยหรือไม่แน่ใจให้สอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงโดยตรง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/164vao0cs3bde


จริงหรือไม่…?  สปสช.ให้สิทธิประโยชน์ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และการป้องกันและชะลอภาวะไตวายเรื้อรังในชุมชน

จริง

เพราะ…โครงการ “ชะลอไตเสื่อม” และ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่” จัดสิทธิประโยชน์ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ ตั้งแต่ 2 พ.ค. 65 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ป่วย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26fxzbd6pi2gi


จริงหรือไม่…?  มิจฉาชีพแจกข้าวสารแลกบัตรประชาชน เตือนภัยอย่าตกเป็นเหยื่อ

จริง

เพราะ…เป็นกลโกงของมิจฉาชีพที่หลอกจะลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด นำข้าวสารมาแจกให้ชาวบ้านคนละ 1 ถุง โดยขอถ่ายสำเนาบัตรประชาชน แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/21rmvwekbk3y9


จริงหรือไม่…? หากสแกน QR Code จากใบนัดนำจ่ายสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ สามารถถูกดูดเงินในบัญชีได้

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ใบนัดเป็นของทางไปรษณีย์ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่อยู่บ้าน โดยสามารถสแกน QR Code เพื่อนัดหมายวันให้ไปส่งใหม่ ซึ่งไม่สามารถดูดเงินในบัญชีได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zpdsdlwh506d


ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ “กัญชา” COFACT Special Report #31

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสการบริโภคกัญชา ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคดอกหรือใบเพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม กฎหมายควบคุมยาสูบฉบับใหม่ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทหนึ่ง ส่งผลให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชาได้เองที่บ้านอย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตามประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความเชื่อว่ากัญชาเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ แต่การใช้กัญชาโดยไม่ผ่านการปรึกษากับเภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชาอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด

บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2022 ระบุถึง 5 ความเชื่อเกี่ยวกับกัญชาที่หลายคนอาจเข้าใจผิดดังนี้ 

1) กัญชาเป็นจุดเริ่มต้นของการติดยาเสพติดประเภทอื่น?

ก่อนหน้าที่การแพทย์แผนปัจจุบันจะให้ความสนใจในการใช้กัญชาเพื่อการรักษาพยาบาลอย่างแพร่หลาย นักการเมืองและผู้มีอำนาจหลายประเทศมักใช้ทฤษฎีที่ระบุว่า ผู้ที่เคยสูบกัญชามาก่อนจะมีพฤติกรรมลองสารเสพติดประเภทอื่นๆ ทำให้กัญชาถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ที่ติดสารเสพติดในระยะยาว แต่ผลการศึกษาพบว่าการบริโภคกัญชาไม่มีความเชื่อมโยงกับการใช้สารเสพติดประเภทอื่น นอกจากนี้ผลการสำรวจของ Smart Approaches to Marijuana ยังพบว่า ถึงแม้ผู้ที่ติดสารเสพติดบางส่วนจะเคยบริโภคกัญชามาก่อน แต่ก็เหมือนกันกับผู้ที่ติดสารเสพติดบางคนสูบบุหรี่ หรือดื่มสุราเช่นกัน ดังนั้นความเชื่อนี้จึงไม่สมเหตุสมผล

2) กัญชาทำให้ประสาทหลอน คนที่ประสาทหลอนมักจะก่ออาชญากรรม ดังนั้นคนเสพกัญชาจึงมักจะก่ออาชญากรรม?

เป็นที่ทราบกันดีว่า สาร THC ในกัญชาทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้หากใช้ในปริมาณมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากระบุว่าอาการประสาทหลอนจากกัญชาไม่ได้ส่งผลให้ผู้เสพก่ออาชญากรรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในทางกลับกัน กัญชามีประสิทธิภาพในการผ่อนคลายในผู้มีโรคทางระบบประสาทหากใช้อย่างเหมาะสม และผลการศึกษาโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ พบว่า กัญชาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะรัฐที่มีกฎหมายกัญชาเสรีก็ไม่พบว่ามีการก่ออาชญากรรมโดยผู้ที่เสพกัญชาอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ที่เสพกัญชามีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมน้อยกว่า เนื่องจากกัญชาจะออกฤทธิ์ทางระบบประสาทไปในทางผ่อนคลายมากกว่ากระตุ้นให้เกิดความคึกคะนอง

3) กัญชาที่ปลูกกันในปัจจุบันสามารถสกัดสาร THC ได้มากกว่ากัญชาในสมัยก่อน?

เป็นเรื่องจริง ผลการเก็บข้อมูลของหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ นับตั้งแต่มีการออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติดต้องห้ามในช่วงยุคปี 1960 ผู้ที่ลักลอบปลูกกัญชาจะคัดเลือกสายพันธุ์ที่สามารถสกัดสาร THC ได้ในปริมาณมาก เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าการสกัดสาร THC ในปริมาณมากจะช่วยให้ผู้สูบสามารถสูบในปริมาณที่น้อย แต่มีอาการมึนเมาได้เร็วกว่าการสูบกัญชาที่สกัดสาร THC ได้น้อย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเตือนว่าความเชื่อนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง ถึงแม้ปัจจุบันหลายรัฐเริ่มเปิดกัญชาเสรี แต่กัญชาสายพันธุ์ที่สกัดสาร THC ความเข้มข้นสูงยังคงสามารถหาได้แพร่หลายอยู่ 

ผลการศึกษาจากสำนักงานสาธารณสุขรัฐโคโลราโด สหรัฐฯ เมื่อปี 2020 พบว่าผู้ที่สูบกัญชาที่มีสาร THC ที่มีความเข้มข้นสูงเกินไปจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทมากกว่าผู้ที่สูบกัญชาที่มีประมาณความเข้มข้นของสาร THC ต่ำ ดังนั้นการออกกฎหมายกำหนดปริมาณความเข้มข้นของสาร THC สำหรับการสูบเพื่อสันทนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ

4) กัญชาแต่ละสายพันธุ์ออกฤทธิ์ต่อร่างกายไม่เหมือนกัน?

ในสหรัฐฯ และหลายประเทศที่มีการเปิดให้มีการบริโภคกัญชาเสรี มักจะมีโฆษณาปรากฎตามที่ต่างๆ ถึงคุณสมบัติเด่นของกัญชาแต่ละสายพันธุ์ และกัญชาสายพันธุ์พิเศษที่มีการผสมข้ามสายพันธุ์ เช่น หากบริโภคแล้วจะรู้สึกหลับสบาย รู้สึกร่างกายสดชื่น หรือเป็นยาสารพัดประโยชน์ โดยอ้างว่าสรรพคุณเหล่านี้มาจากการผสมกัญชาสายพันธุ์พิเศษ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าก่อนที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อกัญชาควรศึกษาให้ดี และควรตั้งคำถามกับการโฆษณาเกินจริง เนื่องจากผลการศึกษาหลายฉบับยังไม่มีการฟันธงว่ากัญชาแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเป็นพิเศษ ผลการศึกษาเมื่อปี 2019 พบว่าการผสมข้ามพันธุ์ของกัญชาสองสายพันธุ์หลักอย่าง Indica และ Sativa ไม่พบความแตกต่างทางพันธุกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ได้คือกัญชาที่มีการผสมข้ามพันธุ์ก็ยังคงให้คุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัญชาทั่วไป นั่นก็คือสาร THC ที่ออกฤทธิ์ทางระบบประสาท ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็จะออกอาการประสาทหลอนได้ 

ถึงกระนั้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากบอกว่า สารประกอบทางเคมีหลายประเภทในกัญชายังคงเป็นปริศนาที่ยังต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นผู้บริโภคควรศึกษาถึงคุณสมบัติต่างๆ ของกัญชาจากผู้เชี่ยวชาญ และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงได้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีที่โฆษณาคุณสมบัติกัญชาเกินจริง

5) อัตราการเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้นหากเปิดกัญชาเสรี?

บทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสระบุว่า หนึ่งในเหตุผลของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายกัญชาเสรีก็คือการอ้างผลเสียต่อสุขภาพเกินจริง เช่นการเสพเกินขนาดทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น กัญชาทำให้จำนวนผู้ติดยาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น หรือกัญชาจะทำให้ระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับกับจำนวนผู้ป่วยจากการติดสารเสพติดได้ เรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์จาก Montana State University และ The University of Colorado ในสหรัฐฯ ทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่บางรัฐในสหรัฐฯ มีกฎหมายเสรีกัญชา พวกเขาพบว่าผู้ที่บริโภคกัญชาจะลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาสุราแล้วขับรถในรัฐดังกล่าวยังคงสูงกว่าผู้ที่สูบกัญชาแล้วขับรถ ที่สำคัญผู้ที่สูบกัญชาจะหลีกเลี่ยงไม่ขับรถมากกว่าผู้ที่ดื่มสุรา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลสำรวจเฉพาะในรัฐที่มีการเปิดกัญชาเสรีเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในระดับสากลที่บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูบกัญชากับสมรรถภาพในการขับขี่ยานพาหนะ

หลังจากที่หลายๆ รัฐในสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายมาตรการการบริโภคกัญชา รวมถึงผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มพูดถึงคุณประโยชน์ของกัญชามากขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ในด้านลบของกัญชาในสังคมของสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง อย่างไรก็ตามการบริโภคกัญชาในปริมาณมากเกินไปก็ยังคงส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นการศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจบริโภคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพียงแต่กัญชาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ยา และสมุนไพรอื่นๆ ด้วย


ที่มา:

https://www.washingtonpost.com/outlook/five-myths/five-myths-about-marijuana/2021/07/14/7cc2046a-e426-11eb-8aa5-5662858b696e_story.html

https://www.leafly.com/news/cannabis-101/sativa-indica-and-hybrid-differences-between-cannabis-types

https://www.forbes.com/sites/petersuciu/2020/02/07/cannabis-misinformation-spreading-on-social-media/?sh=70ebef292345


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

5 มายาคติที่ทำให้เข้าใจผิด เนื่องในวันพูดความจริง (ร่วม)

เขียนโดย    กฤตนัน ดิษฐบรรจง / วิลาสินี เย็นเชย

กราฟิก        ทินวุฒิ ลิวานัค

เรียบเรียง    ทีมกองบรรณาธิการ Modernist

‘มายาคติ’ คือสิ่งที่มีอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างช้านานและกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก และแน่นอนว่ามายาคตินั้นหมายถึง ‘ความเข้าใจผิดๆ’ ที่ถูกก่อร่างขึ้นโดยคนในสังคมเอง ซึ่งในปัจจุบันมีคนหลายกลุ่มมากๆ ที่ถูกกดทับด้วยมายาคติดังกล่าว และย่อมส่งผลต่อการถูกส่งต่อข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด ความเชื่อผิดๆ และบางครั้งก็มาในรูปของทัศนคติที่ผิดๆ แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันที่ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการปล่อยข่าวลวงอีกด้วย

เนื่องในโอกาส “วันพูดความจริง (ร่วม)” หรือ Tell the Truth Day ซึ่งตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี วันนี้ Modernist และ Cofact Thailand จึงเชิญตัวแทน 5 กลุ่มคนที่ถูก ‘มายาคติ’ ของสังคมกดขี่ ไม่ว่าจะด้วยการสร้างความเข้าใจผิดหรือด้วยข่าวลวงเกี่ยวกับพวกเขา เราเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ได้พูดถึง แบ่งปันประสบการณ์ และเสนอแนวทางแก้ไขมายาคติดังกล่าวด้วยความจริงจังและจริงใจ 

ซึ่ง 5 ตัวแทนที่เราเชิญมาพูดคุยกันวันนี้ ได้แก่ ตัวแทนของชาวมุสลิม ตัวแทนผู้ติดเชื้อ HIV ตัวแทน LGBTQ ตัวแทนผู้ชาย และตัวแทนผู้หญิง ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพูดคุยเกี่ยวกับมายาคติที่สังคมมีต่อกลุ่มคนดังกล่าวในวัน “พูดความจริงร่วม” ครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่มากก็น้อย 

มุสลิมไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ชุมพล ศรีสมบัติ เครือข่ายมุสลิมเชียงใหม่ พูดถึงมายาคติที่ทั่วโลกมีต่อชาวมุสลิมว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ มายาคติดังกล่าวถุกส่งต่อผ่านสื่อ โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งทฤษฎีเหมารวมที่กลุ่ม Islamophobia มีต่อชาวมุสลิมทั่วโลก “กระแสของ Islamophobia (โรคเกลียดกลัวอิสลาม) จะรุนแรงขึ้นก็ตอนเหตุการณ์ 911 ที่ตึก World Trade ถล่ม แล้วก็เริ่มมีปัญหา สร้างความรุนแรง มีผู้ก่อการร้ายมากขึ้น ตะวันออกกลางก็จะมีพวกอัลกออิดะฮ์ ISIS ตาลีบัน ภาพที่ชาวโลกเห็นแล้วน่ากลัว ส่วนในประเทศเราจะเป็นพวกโจรในชายแดนภาคใต้ เขาบอกว่าพวกนี้ฆ่าพี่น้องชาวพุทธ ก็เกิดความไม่ไว้วางใจกัน แล้วมันก็กระทบสู่พี่น้องมุสลิมทั่วพื้นที่เพราะจริงๆ”k

ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าชาวมุสลิมทุกคน ‘คลั่งศาสนา’ คุณชุมพลได้ให้คำตอบว่า “คำว่า “คลั่ง” กับ “เคร่ง” ต้องแยกกันให้ออก มันไม่ใช่ว่ามุสลิมทุกคนจะคลั่งศาสนา จริงๆ แล้วหลักธรรมคำสอนของอิสลามก็ไม่ได้สอนให้คลั่งหรือเคร่งครัดจนเกินไป แต่ให้มาในระดับสายกลาง เช่น คำสอนที่ว่า “จงทำดีกับเพื่อนบ้าน” “ศาสนาของท่านคือศาสนาของท่าน” คือต่างกันต่างอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมเราเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน”

และจากการเข้าใจผิดต่างๆ นี้เอง ทำให้ข่าวลวงเกี่ยวกับมุสลิมถูกส่งต่อมากมายจนทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติในระดับชุมชน ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐ “ข่าวลวงที่ออกมาทำให้รู้สึกว่าเขาคิดกับเราเปลี่ยนไป เวลาคุยกับเราต่อหน้าเขาก็คุยอีกแบบหนึ่ง แต่เวลาเข้าไปอยู่ในโซเชียลมีเดียแล้วเขาเป็นอีกแบบหนึ่ง  จากที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขก็มีความรู้สึกว่าเราถูกแบ่งแยกว่าไม่ใช่คนไทย หรือเราเป็นประชากรชั้นสอง นี่เป็นผลกระทบที่เราได้รับตั้งแต่ระดับชุมชน บางทีเขาบอกว่า “เฮ้ย ทำไมพวกนี้ไม่กลับใต้” เราเป็นคนเชียงใหม่แต่เขาให้เรากลับใต้”

เขาเสนอวิธีแก้ปัญหามายาคติที่สังคมมีต่อมุสลิม นั่นก็คือการพูดคุยถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา “คนเคยมีอคติต่ออิสลาม พอได้พูดคุยกันก็หมดอคติ มันจบด้วยการพูดคุยครับ วันนี้เราไม่เอาปัญหามาตั้งตรงกลาง เราเอาแพะมา โทษคนนั้นโทษคนนี้ แทนที่จะถามว่ามุสลิมมีปัญหาตรงนี้จริงไหม เขาเชื่อตามๆ กันไปโดยไม่ถาม”

คนมีเชื้อ HIV ไม่ใช่คนสำส่อนทางเพศ

เราเดินทางมาพูดคุยต่อกับ กฤตนัน ดิษฐบรรจง (ปังปอนด์) อดีตแกนนำกลุ่มเยาวชนอาสา ทำงานกับกลุ่มวัยรุ่นผู้ติดเชื้อเอชไอวี เกี่ยวกับความเข้าใจผิดที่สังคมมีต่อผู้ติดเชื้อ HIV มาอย่างช้านาน “จริงๆ แล้ว HIV ติดเชื้อได้ 3 ช่องทาง คือ จากแม่สู่ลูก อันที่ 2 คือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน  เช่น การใช้สารเสพติดหรือการเปลี่ยนถ่ายเลือด อันที่ 3 คือจากการมีเพศสัมพันธ์ ทีนี้คนจะเข้าใจว่าการติดจากการมีเพศสัมพันธ์จะติดเฉพาะชาย-ชายหรือเปล่า จริงๆ แล้วตอบได้เลยว่าไม่”

ซึ่งมายาคติของคนหลายคน มักจะมองว่า HIV เป็น “มะเร็งเกย์” และโรคของคนสำส่อนทางเพศ “มันมีมายาคติว่าคนติดเชื้อ HIV ต้องผอม ต้องโทรม ต้องดำ ต้องสำส่อน เป็น Sex Worker หรือ LGBT เท่านั้น เรารู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะทุกคนมีโอกาสเป็นได้หมด เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เดินผ่านหน้าเราใครติดเชื้อ HIV บ้าง”

ปังปอนด์ยังพูดถึงการเผยแพร่ภาพจำที่ผิดของผู้ติดเชื้อ HIV ใครเป็นผู้รับผิดชอบ “ทุกคนในสังคม แต่จริงๆ ถ้าจะโบ้ยแบบสุดแรงสะท้านมือก็ต้องเป็นภาครัฐก่อน เพราะภาครัฐในสมัย 30-40 ปีก่อนนั้นให้มายาคติกับ HIV ในทางที่ผิด แล้วพอคนรู้สึกไม่มีความหวังก็เริ่มมีข่าวลวงว่าการใช้ยาบางอย่างที่ไม่ใช่ยาต้านสามารถทำให้หายขาดจาก HIV ได้ เยอะมาก มีคนส่งต่อ มาถามเราเรื่อยๆ ว่ายาตัวนี้กินแล้วหายจริงเหรอ ซึ่งมันไม่มียาตัวไหนในโลก ณ ตอนนี้ที่สามารถรักษา HIV ให้หายขาดได้ครับ”

LGBTQ ไม่ใช่ตัวตลก

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์ (อาร์ตี้) บรรณาธิการบริหาร Modernist และนักกิจกรรม Young Pride Club พูดคุยเกี่ยวกับมายาคติที่ทำให้สังคมมอง LGBTQ เป็น ‘ตัวตลก’ “ภาพในสื่อโทรทัศน์ที่เราเห็นมันก็จะขายว่ากะเทยต้องเป็นตัวสร้างเสียงหัวเราะ พยายามโวกเวกโวยวาย แต่ในความเป็นจริงเราก็มีเพื่อนหลายคนมากที่เป็นคนเงียบๆ เป็นคนเรียบร้อยหรือไม่ใช่คนที่ตลกขบขัน แต่หลายครั้งเราก็โดนยัดเหยียดเวลาไปกินข้าว คนก็จะบอกให้เราเต้นแรงๆ ให้ดูหน่อย เต้นโป๊ะๆ ไปยั่วผู้ชาย ทำอะไรให้มันตลกเกินจริง หรือเวลานั่งกินข้าวก็จะถูกล้อด้วยรูปลักษณ์ภายนอกบ้าง เรื่องการแต่งตัว เจ็บสุดคือการโดนล้อจากพวก LGBT ด้วยกันเอง ซึ่งมันควรเข้าใจด้วยกันเองหรือเปล่า”

หลายคนคิดว่า LGBTQ โหยหาการถูกยอมรับ แต่อาร์ตี้บอกกับเราว่า “เรารู้สึกการจะยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศของเราไม่ต้องมีเงื่อนไข ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆเราจะไม่เห็นสตอรี่ของ LGBT ที่พยายามผลักดันตัวเองให้หน้าตาดี ให้รูปลักษณ์ดี ให้มีฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคมและหน้าที่การงานที่ดี เรื่องแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่หลายคนใฝ่หาอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็แล้วแต่ แต่เรารู้สึกว่าทำไมพวกฉันต้องถูกประโคมให้ทำแต่เรื่องแบบนู้นแบบนี้ เพื่อจะได้รับการยอมรับ เพื่อที่จะได้ปกปิดปมในใจว่าฉันไม่ได้ชอบเพศตามกรอบ ไม่ได้เกิดตามเพศที่กำเนิดที่ถูกต้อง”

“ทำไมฉันจะต้องมีงาน มีเงินในบัญชีเจ็ดหลัก ในขณะเดียวกันวันนี้ฉันขึ้นวินมอไซค์ ฉันกินอาหารข้างทาง เป็นมนุษย์เงินเดือนปกติแล้วไม่ได้หน้าตาดี ฉันจะเป็นคนที่ชีวิตเฮงซวยหรอก็ไม่ จะแก้มายาคติเกี่ยวกับ LGBTQ อย่างไร”

จะทำอย่างไรกับมายาคติที่สังคมมีต่อ LGBTQ ซึ่งอาร์ตี้ให้ข้อเสนอแนะมาว่า “การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเราแค่อยากให้ทุกคนเปิดใจยอมรับ คิดว่าเราเป็นคนปกติคนหนึ่ง ถ้าเราจะบอกว่าทุกวันนี้อยากให้คนเท่าเทียมกันนะง่ายสุดเห็นคนเป็นคนทุกคน ไม่ว่าเขาจะมีอุปสรรคในชีวิตขนาดไหน เป็นคนพิการ เป็นคนติดเชื้อ HIV เป็นโควิด-19 เป็น LGBT เห็นคนเท่ากันทุกอย่างคือจบ” 

มองในมุมกลับ ถ้าวันนี้ความรักของชายหญิงถูกมองว่าผิดแปลก และจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้สังคมยอมรับ ‘ความเป็นชาย’ และ ‘ความเป็นหญิง’ บ้าง คุณจะทำอย่างไร

ผู้ชายก็ร้องไห้เป็น

เราพามาพูดคุยกับ ณัฐภัทร มาเดช ศิษย์เก่าจากภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการปกครอง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับมายาคติที่กดทับผู้ชายในสังคมให้เข้มแข็งทั้งกายและใจ การที่จะแสดงความอ่อนไหวให้สังคมเห็นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย 

“ผู้ชายถูกกดทับด้วยค่านิยมนักรบ ต้องแข็งแรง ส่วนผู้ชายที่ผอมหรือแรงน้อยก็จะถูกไม่ให้ค่า แล้ววันหนึ่งก็ต้องไปเล่นกล้าม ไปออกกำลังกายเพื่อให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น แล้วเรื่องความแข็งแรงมันก็กดทับในแง่ที่เด็กวัยรุ่นผู้ชายต้องทำอะไรที่มันแข็งแรงเพื่อการยอมรับ เช่น กีฬาเป็นตัววัดความแข็งแรงของผู้ชาย แล้วกีฬาบางอย่างเช่น ฟุตบอล เป็นกีฬาที่รุนแรง หรือเราที่ชอบวิ่ง แต่การวิ่งมันดูไม่มีการปะทะ ไม่มีการใช้กำลัง เราก็ไม่ดู Masculine เท่าไหร่ มันก็มีบางจุดที่เราพยายามเล่นหรือดูบอลเพื่อให้รู้สึกว่า “ฉันเป็นชาย” แต่จริงๆ แล้วมัน Toxic” 

และเมื่อผู้ชายร้องไห้ก็จะมีคนคอยบอกว่า “เฮ้ย เป็นผู้ชายอย่าร้องไห้นะ” แต่ณัฐภัทรก็ได้ปลดล็อคมายาคติดังกล่าวผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของละครเวที แต่มายาคตินี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเพื่อนผู้ชายรอบตัวเขา “มันก็มีประสบการณ์ที่เพื่อนนักแสดงด้วยกันเข้าเวิร์คช็อปแล้วไม่กล้าร้องไห้ เพราะเรื่องความอ่อนแอ บวกกับผู้ชายถูกมองว่าเป็นเพศที่ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เพราะฉะนั้นผู้ชายหลายคนที่เข้ากระบวนการละครในช่วงแรกจะไม่เวิร์คเพราะรู้สึกว่าเป็นผู้ชายไม่ควรจะแสดงด้านอ่อนไหวออกมา”

มายาคติที่ว่าผู้ชายต้องไม่อ่อนแอ ส่งผลต่อปฏิกิริยาของผู้ชายที่เป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศด้วยเช่นกัน “ด้วยความที่ผู้ชายไม่กล้าแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมา มันทำให้ผู้ชายที่โดนกระทำไม่ค่อยออกมาอยู่แล้ว และภาพของการล่วงละเมิดทางเพศในสังคมมันมักจะมีมายาว่าผู้ชายเป็นผู้กระทำและผู้หญิงเป็นผู้ถูกกระทำ เพราะฉะนั้นมันเลยรู้สึกว่าผู้ชายในสมัยก่อนจินตนาการไม่ได้กับการที่ต้องพูดว่า “ฉันก็โดนกระทำ” หรือบางทีเขาโดนกระทำอยู่เขาไม่รับรู้ว่าโดนกระทำอยู่”

ความเจ็บปวดที่ผู้หญิงไม่ได้เลือกเอง 

สุดท้ายเราก็มาแลกเปลี่ยนแง่มุมกับ แภทริเซีย ดวงฉ่ำ จากกลุ่ม GIRLxGIRL เกี่ยวกับมายาคติที่สังคมมีต่อผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่กดทับพวกเขามาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเด็กผู้หญิงถูกปลูกฝังตั้งแต่ให้ไว้ผมยาว ใส่กระโปรง พูดไพเราะ และต้องมีบุคลิกเรียบร้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทที่สังคมสร้างไว้จนกลายเป็น ‘ภาพจำ’ ของผู้หญิงที่ยากจะลบเลือน “เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ทรงผม ผู้หญิงควรไว้ผมยาว ถ้าไว้ผมสั้นคืออยากเป็นผู้ชายหรือทอมบอย อย่างแพทชอบใส่กางเกง ถูกพี่ๆ ที่ทำงานถามว่าเราอยากเป็นผู้ชายหรือเปล่า ชอบผู้หญิงใช่ไหม ส่วนเรื่องกระโปรงก็มีผลต่อว่าถ้าใส่กระโปรงยาวจะเป็นผู้หญิงเรียบร้อยตามบทบาทที่สังคมปลูกฝังผู้หญิงมา มันเป็นบทบาทที่สังคมปลูกฝังมาให้เราตั้งแต่กำเนิดโดยที่เราไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วการเป็นผู้หญิงมันต้องเป็นไปตามที่สังคมกำหนดหรือเปล่า แล้วถ้าเราไม่ได้เป็นตามบทบาทที่สังคมกำหนดมันแสดงว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ”

ปวดท้องประจำเดือน ความเจ็บปวดที่ผู้หญิงไม่ได้เลือกเอง “เราบอกไม่ได้ว่าทุกคนที่ปวดท้องเป็นการโกหกหรือเรียกร้องความสนใจไหม แต่เราเข้าใจว่ามันเป็นอาการของร่างกายอย่างหนึ่งที่คุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ถ้าคุณไม่ได้เป็นเขา เราก็อยากให้เคารพอาการที่เขาไม่ได้อยากให้เกิด แล้วมันเกิดทุกเดือนไม่ว่าจะเป็นในด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนไป การปวดหัว หรือการขยายตัวของอวัยวะภายนอกอย่างหน้าอก เราก็อยากให้เข้าใจ เราไม่ได้อยากให้คุณมาปวดกับเรานะแต่อย่างน้อยก็เปิดใจว่าอาการป่วยทุกเดือนมันไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกเอง”

อยากให้สังคมแก้ไขมายาคติที่มีต่อผู้หญิงอย่างไร “เราว่าการที่ผู้หญิงจะถูกรับเลือกให้ทำตำแหน่งสูงๆ นั้นยากกว่าผู้ชาย หลายบริษัทยังมีความกีดกันเรื่องเพศอยู่ อยากให้มีการเปิดรับมากขึ้น รวมถึงยอมรับความแตกต่างทางยุคสมัยที่พูดถึงผ้าพับไว้ของผู้หญิง อยากทลายมายาคติที่ผูกบทบาทกับเพศออกจากกันค่ะ ถ้ามันแยกออกจากกันปุ๊บเราจะเห็นความสามารถของผู้หญิงมากขึ้นค่ะ”

สุดท้ายแล้ว ปัญหามายาคติที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อการเข้าใจที่ผิด การบิดเบือนความจริง หรือแม้กระทั่งการส่งต่อข่าวลวงทั้งทางวาจาและออนไลน์ และย่อมส่งผลที่ไม่ดีต่อกลุ่มบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ เราต่างได้รับผลกระทบจากการเกิดอคติและมายาคติกันทั้งนั้น ฉะนั้นเนื่องในวันพูดความจริงร่วม เราจึงอยากให้ 5 ตัวแทนเสียงเหล่านี้เป็นตัวแทนคนไทยที่ตระหนักและเข้าถึงความเข้าใจเหล่านี้มากขึ้นนั่นเอง

FACTS OF CANNABIS FOR HEALTH AND GROWING CANNABIS AT HOME COFACT SPECIAL REPORT #26

English Summary:

Cannabis is scheduled to be removed from the Category 5 narcotic list this Thursday June 9. It will allow Thai people to grow unlimited amount of cannabis plants at home. However, extracting more than 0.2% of Tetrahydrocannabinol (THC) for consumption is still illegal. In this article, we answer some of the questions people may have on what to do and not to do once cannabis consumption becomes legal in Thailand.   



Q: Why has Cannabis been removed from the Category 5 narcotic?


A: Nowadays, there are medical and scientific studies found that cannabis could be helpful for disease treatment, but the quantity must be appropriated following the medical instruction by doctors, pharmacists, and specialists. Apart from Thailand, many countries have begun to remove cannabis from the list of narcotics under the same reason. Therefore, Thai law has been amended to be in the line with the new research that has been found. 


Q: Is growing cannabis plants at home legal? 

A: From June 9th, 2022, onwards, the public can grow cannabis plants for consuming at home legally with unlimited size of growing 

Q: What is different between Hemp and Cannabis? 

A: Between Hemp and Cannabis, they are different kind of plant although they look quite similar, but they are the same species. Their differences are at leaves. The leaves of hemp are slender, arranging in bigger gap with 7-11 lobes roughly, and the stems are taller and slender. While the leaves of cannabis are thicker, arranging closer with 5-7 lobes roughly, and the stems are shorter and bushier.

Another difference between them is their flower. When the flower of cannabis was extracted or THC (Tetrahydrocannabinol), the amount could be as high as 1-20%. Whereas, the hemp flower contains less, (it could be less than 1% extracted). This substance has properties to reduce pain, nausea and in therapy helping to get relaxing. However, the amount must be appropriated to be used, as if it was used in too much quantity, it may be caused to intoxication.

Nevertheless, the flower of hemp is more effective than cannabis for extracting CBD (Cannabidiol), that has not reflected to intoxication as THC, but it is helpful to relieve pain and inflammation. We can extract more than 2% of this substance from the hemp flower, and less than 2% in cannabis.

Lastly, cannabis extracts are popular for medicinal purposes, there are many agriculturists trend to make fabric fiber by hemp because it can be produced more quantity than growing cotton plant and less cost of pesticide. 

Q: How can we grow cannabis at home legally? 

A: From June 9th, 2022, onwards, the public who prefer to grow cannabis can register through the website: http://plookganja.fda.moph.go.th/ or the application: “cannabis cultivation” under the Ministry of Public Health. The one who would like to register would be requested by the ministry to provide only ID number, address, and purpose of planting. Once the registration approved, the ministry will send an electronic verification to the one who sent the request. This part is the last step that the registration has been completed.

Q: Can we only consume only cannabis leaves? Can we also consume cannabis flowers?

A: From June 9th, 2022, onwards, the public can consume both cannabis leaves and flowers for household purpose at home, but they must not be caused to trouble or smell disturbing the neighbors or others. The quantity of cannabis can be unlimited consuming, whereas the extraction of flowers for recreational purpose must not contain over 0.2% of THC and the officials can randomly investigate in case they wonder if the quantity may be excess. If the quantity exceeds, this will be considered as a drug. To consume cannabis with more than 0.2%THC legally, must be guaranteed by the consent of a physician as a medicinal purpose, not for recreational. With this, the official can ask for checking the documents any time.

Q: Is any law regulation to control the quantity of cannabis flower consumption? 

A: Currently, the law restricts consumption of cannabis flower extracts to not contain over 0.2% of THC, the portion that excess will be considered as toxic substance. However, if it was consumed for medicinal purposes that must be supported by document which was issued by doctors. The document must be indicated that the cannabis flower extract can be consumed more than 0.2%. 

Q: Can we extract the cannabis flower by ourselves? 

A: Yes, we can. With the new law, people are allowed to extract substances from the cannabis flower by themselves. However, the recreational purpose of cannabis flower extract which is containing more than 0.2% of THC is illegal, unless only licensed healthcare professionals can extract the substance from the cannabis flower in amount greater than 0.2% of THC.

Q: Can we consume cannabis outside the home? Is it the same as regular smoking? 

A: The council is currently considering a regulation of law relating to recreational consuming of cannabis. With this, the people who are not felling comfortable with the smell of cannabis in public areas, they can file a complaint against the cannabis consumers or famers. Any consumers or farmers who were found to have done the guilty, they will be liable to imprisonment for three years, a fine of 25,000 baht, or both. Nevertheless, the cannabis consuming does not address restrictions on places. Therefore, if anyone who were to smoke cannabis in public, they can do it possibly, but they must do it in a smoking area or the place that not disturbing the public. 


Reference:

https://www.bbc.com/thai/thailand-61703618

https://www.hfocus.org/content/2022/06/25236

https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/sites/default/files/public/pdf/column/AtRama34_c02.pdf

https://www.bangkokbiznews.com/social/1007009

https://www.cannhealth.org/content/8317/cannhealth


About the writer:

Thanaphon Raomanachai (Mike), 

Fact-Checker and the columnist of Cofact Thailand

Present: Guest Speaker of review of news information and digital tool for Google News Initiative 

Previous: A technology news anchor of Voice TV and a former board member of the Foreign Correspondents Association in Thailand (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 กรกฎาคม 2565

จริงหรือไม่…? สธ. เตือนประชาชนระวัง ไข้หวัดใหญ่ ระบาด! แนะอย่าขาดน้ำ และงดการเดินทางและกิจกรรมทุกประเภทที่ไม่จำเป็น

ไม่จริง

เพราะ…กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจง เป็นข่าวปลอม ไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงกว่าปกติ  ไม่พบอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gm8eg0y8bops


จริงหรือไม่…? มีสายโทรเข้าจากธนาคารแจ้งเตือนว่า มีใบสั่งตกค้าง มีสินค้าโดนอายัด ถูกระงับบัตรเครดิต

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารต่างๆ ไม่มีนโยบายส่ง SMS, LINE หรือ facebook messenger เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t9scb9spb9r9


จริงหรือไม่…?  DSI เตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่

จริง

เพราะ…มีมิจฉาชีพโทรศัพท์หาผู้เสียหายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อและโอนเงินให้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/j35zbh9oy946


จริงหรือไม่…?  ลงทะเบียนขอรับสิทธิเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

จริง

เพราะ…สำหรับผู้มีสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน ตั้งแต่เดือนตค. 64 ถึง กย.65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9kkg4pqiksf3


จริงหรือไม่…?  “แบงก์ชาติอังกฤษ” ยกเลิกธนบัตรกระดาษ 20 และ 50 ปอนด์ เปลี่ยนเป็นโพลิเมอร์

จริง

เพราะ…วันสุดท้ายที่มีสถานะตามกฎหมายคือ วันที่ 30 กย.65 โดยจะเปลี่ยนเพื่อทำให้ธนบัตรปลอมได้ยากขึ้น และธนบัตรมีความทนทาน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hprtgeqrqzx8


จริงหรือไม่…?  โรคหลอดเลือดในสมอง (Stroke Fast Track) โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…หากเกิดฉับพลัน ขาดเลือดมาเลี้ยงสมอง ทำให้สมองเสียหาย เป็นเหตุภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตรวดเร็ว แนะ หมั่นสังเกตอาการต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3p1ouoa19iecv


จริงหรือไม่…? โควิด โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีโอกาสลงปอดมากขึ้น แพทย์วอนหลัง 1ก.ค.ใส่แมสก์ต่อ

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…เป็นการคาดการณ์แต่ยังไม่มีตัวชี้บ่งว่า จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมาก เหมือนช่วงปีก่อนๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/goedzwqshlg7


เหลียวมองแดนมังกร ‘จีน’คุมเข้ม‘อินฟลูเอนเซอร์’ทำคอนเทนต์ต้องรู้จริงเรื่องนั้น หวังแก้ปัญหาข้อมูลผิดพลาด

27 มิ.ย. 2565 “ใครๆ ก็เป็นสื่อได้” คือนิยามของยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น สร้างและเผยแพร่เนื้อหาได้ง่ายดายผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นำมาซึ่งการเกิดขึ้นของ “อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือผู้มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลทางความคิดของผู้คน อย่างไรก็ตาม การมีแนวคิดและข้อมูลที่เผยแพร่กันอย่างมหาศาลบนโลกออนไลน์ ก็นำมาซึ่งคำถามว่า “อะไรคือข้อมูลที่ถูกต้อง” นำไปสู่ปัญหา “ข่าวปลอม (Fake News)-ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation)-ข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation)” สร้างความสับสนแก่สังคม


ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่ฮือฮามากและถูกเผยแพร่จากสื่อมวลชนหลายประเทศ นั่นคือ “รัฐบาลจีนคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ..ใครจะนำเสนอเรื่องใดต้องรู้จริงในเรื่องนั้นด้วย” เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดย South China Moring Post หนังสือพิมพ์เจ้าดังของฮ่องกง เสนอข่าว China’s new live-streaming guidelines set to change the influencer business known for its ‘low threshold, high income’ อ้างอิงบทความจาก People’s Daily หนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่แสดงความกังวลกับปัญหาที่เหล่าคนดังบนโลกออนไลน์ก่อขึ้น


“การสตรีมสดไม่ใช่งานที่คุณจะทำได้เพียงแค่เตรียมอุปกรณ์และเรื่องตลก ซึ่งนักสตรีมบางคนที่ขายสินค้าออนไลน์ได้นำปัญหามาสู่พวกเขาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ บทเรียนนั้นลึกซึ้ง (Live-streaming was not a job which you can do just by preparing some equipment and jokes. Some live-streamers who sell products online have accidentally brought trouble on themselves , The lesson is profound) ในการเป็นผู้ถ่ายทอดสด คุณต้องเคารพกฎ อย่าทดสอบข้อจำกัดเพื่อให้ได้ยอดคนดูมากขึ้น อย่าท้าทายกฎหมายเพื่อสร้างรายได้ และการเล่นอะไรที่หมิ่นเหม่มากไปก็ไม่เป็นที่ยอมรับ (To be a live-streamer, you must respect the rules. Don’t test the limits in order to get more traffic, [don’t] challenge the law to make money, playing too close to the edge was also not acceptable)” ตอนหนึ่งจากบทความของ People’s Daily ระบุ


บทความจากสื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เผยแพร่หลังจากที่ทางการจีนออกข้อกำหนดของการเผยแพร่เนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์ โดยเน้นไปที่การจัดรายการแบบถ่ายทอดสด (Live-streaming) โดยมีข้อห้าม 31 ประการ อีกทั้งกำหนดเนื้อหาบางประเทศที่ผู้นำเสนอต้องเป็นผู้รู้ในด้านนั้นจริงๆ เช่น กฎหมาย การเงิน การแพทย์ การศึกษา เป็นต้น โดยแนวปฏิบัติรวม 18 ข้อ ได้รับการเผยแพร่โดยสำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว


มาตรการใหม่ของทางการจีนเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเติบโตของการจัดรายการสดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2563 พบว่าวงการนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือราว 6 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์และกักตัว แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการหาเงินกันแบบ “มาตรฐานต่ำแต่รายได้สูง (low threshold and high income)” นำไปสู่การที่อินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการนำเสนอเนื้อหาในบางสาขา จำเป็นต้องมีหลักฐานรับรองด้วยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้จริงในสาขานั้น


เชลซี ทัม (Chelsey Tam) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Morningstar หนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก ให้ความเห็นว่า กฎระเบียบใหม่จะยังไม่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับบริษัทอินเตอร์เน็ตของจีน โดยจะมีหน้าที่จำเพาะเจาะจงมากขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มภาพและเสียงทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนด อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบนี้ไม่มีบทลงโทษเป็นการเฉพาะหากรัฐบาลเห็นว่าแพลตฟอร์มปล่อยปละละเลย ดังนั้นนักแสดงหรือผู้ดำเนินรายการก็อาจพบความเสี่ยงมากขึ้น


มาร์ค แทนเนอร์ (Mark Tanner) กรรมการผู้จัดการของ China Skinny บริษัทที่ปรึกษาด้านการทำการตลาดกับจีน มองว่า กฎระเบียบใหม่ไม่น่าจะทำให้คนหนุ่ม-สาวละทิ้งอาชีพนักจัดรายการสดทางออนไลน์ เพราะอาชีพนี้นั้นค่อนข้างเปิดกว้าง อีกทั้งยังมีปัญหาการว่างงานของคนรุ่นใหม่อีกเกือบร้อยละ 20 โดยพบว่า ในเดือน พ.ค. 2565 คนรุ่นใหม่แดนมังกรว่างงานร้อยละ 18.4 ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 ที่ทางการจีนเริ่มเปิดเผยข้อมูล


ศ.หวังซิซิน (Prof.Wang Sixin) นักวิชาการจาก Communication University of China กล่าวว่า โดยเฉพาะสาขาที่ต้องการเฉพาะทาง ความต้องการคุณภาพของคนหนุ่ม-สาวในการเป็นนักจัดรายการสดจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังมีสาขาที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นมืออาชีพเฉพาะทาง ที่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้


ขณะที่ India Today นิตยสารดังในอินเดีย เผยแพร่บทความ China says influencers and streamers need to have professional qualifications to talk about something ยกตัวอย่างข้อกังวลของทางการจีนจนนำมาสู่การออกระเบียบใหม่เพื่อควบคุมบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ เช่น หากเป็นผู้ขายอาหารเสริมก็ต้องตระหนักถึงผลข้างเคียงและผลกระทบต่อผู้คนอย่างเพียงพอ อาทิ ควรเป็นผู้ที่ใช้งานจริงหรืออย่างน้อยต้องรู้จักส่วนผสมต่างๆ ในผลิตภัณฑ์นั้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง พบบรรดาคนดังบนโลกออนไลน์แนะนำวิธีการรักษาสารพัดอย่าง ซึ่งแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิตัวอย่างระบุว่า วิธีการจำนวนมากที่แนะนำกันนั้นไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตาม แม้แนวทาง 18 ข้อของจีน จะแนะนำว่าการให้ข้อมูลหรือความเห็นในบางสาขา อาทิ กฎหมาย การเงิน การแพทย์ การศึกษา ต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ แต่ก็ไมได้ระบุอย่างชัดเจนว่าหมายถึงอะไร


อังคิตา จักรวารตี (Ankita Chakravarti) ผู้เขียนบทความของ India Today ให้ความเห็นไว้ในตอนท้ายว่า แนวทางของจีนข้างต้นน่าจะนำมาใช้ในอินเดียด้วยเช่นกัน เพราะบนโลกออนไลน์มีความเห็นและผู้มีอิทธิพลทางความคิดมากเกินไป อาทิ มีคนดังที่มียอดผู้ติดตามหลัก 7-8 ล้านราย ระบุในโพสต์หนึ่งว่า การทำ “ฮาวัน (Hawan)” ซึ่งเป็นพิธีกรรมหนึ่งในศาสนาฮินดู สามารถลดมลพิษในอากาศได้ แต่สิ่งนี้ไม่มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ บุคคลที่มีชื่อเสียงจึงไม่ควรนำมากล่าวถึง หากอินเดียเริ่มปราบปรามบัญชีสื่อออนไลน์ที่ให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชน ก็จะช่วยจำกัดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จได้เป็นอย่างดี
ด้าน Yahoo ผู้ให้บริการ Search Engine ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้เปิดตัวสำนักข่าวออนไลน์ของตนเองขึ้น เสนอข่าว Chinese influencers now required to prove qualifications to talk about topics like finance, medicine ระบุว่า กฎระเบียบใหม่ของทางการจีนที่ออกมาในวันที่ 21 มิ.ย. 2565 เรียกร้องมาตรฐานความเป็นมืออาชีพที่สูงขึ้นในเนื้อหาบางประเภท กับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มที่จัดรายการสด ซึ่งแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของอินฟลูเอนเซอร์ และเนื้อหาก่อนออกอากาศ ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกห้ามจัดรายการสดอย่างถาวร รวมถึงอาจถูกขึ้นรายชื่อประจานต่อสาธารณะ


รายงานข่าวจากสื่อหลายสำนัก ยังระบุด้วยว่า มาตรการล่าสุดของทางการจีนที่ควบคุมอินฟลูอินเซอร์ เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดระเบียบโลกออนไลน์ โดย Yahoo News รายงานว่า ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่ออกมา ทั้งในด้านการเมือง เช่น ห้ามวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือห้ามนำเสนอเนื้อหาที่กระทบความมั่นคงของชาติ และในด้านสังคม เช่น ห้ามวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมจีน ห้ามเนื้อหาที่ส่อไปในเรื่องเพศจนเกินสมควร เนื้อหาที่สยดสยองมากเกินไป ห้ามส่งเสริมการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคแบบกินทิ้งกินขว้าง หรือการมีส่วนร่วมกับเรื่องอื้อฉาวและเรื่องซุบซิบนินทา


ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2565 หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน เผยแพร่นโยบายต่อต้านการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ และเนื้อหาอื่นๆ ที่ผิดกฎหมาย เช่น สื่อลามกอนาจาร การฆ่าตัวตาย ความรุนแรง และหากย้อนไปเมื่อเดือน พ.ค. 2565 ทางการจีนออกประกาศห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ซื้อของขวัญทางออนไลน์ให้กับอินฟลูเอนเซอร์ และห้ามรับชมการจัดรายการสดหลังเวลา 22.00 น.


ขณะที่ CNBC สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เสนอข่าว Chinese influencers must now have a qualification to talk about certain topics like law and medicine ระบุเพิ่มเติมในส่วนของการคุมเข้มเนื้อหาด้านการเมืองด้วยว่า ห้ามใช้เทคโนโลยี “ดีปเฟค (Deep Fake)” ซึ่งสามารถตัดต่อภาพและเสียงของบุคคลขึ้นมาได้ เพราะหวั่นเกรงจะนำไปใช้เลียนแบบภาพและเสียงของผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญทางการเมือง เผยแพร่เป็นคลิปวีดีโอโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดหรือทำสิ่งนั้นจริงๆ
Fortune นิตยสารดังของสหรัฐฯ เสนอข่าว livestreamers prove they’re qualified to promote certain products ในตอนหนึ่งได้อธิบายประเด็น Deep Fake ว่า สืบเนื่องจากการจัดระเบียบโลกออนไลน์ของทางการจีนที่มีมาตรการเข้มงวดมากมาย ทำให้หลายกิจการหันไปใช้ “อวตารเสมือนจริง (Virtual Avatar)” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาแทนมนุษย์ จึงต้องมีกฎห้ามใช้เทคโนโลยี Deep Fake ปลอมแปลงเป็นผู้นำทางการเมือง

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวมาตรการคุมเข้มโลกออนไลน์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงล่าสุดถึงขั้นต้องควบคุมมาตรฐานของบรรดา “กูรูออนไลน์” กันแล้ว ที่หยิบยกมาบอกเล่าเป็นเกร็ดความรู้ ส่วนสังคมไทยจะว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องให้คนไทย (ที่ขึ้นชื่อเรื่องใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก) ช่วยกันพิจารณา!!!


-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง
https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3182968/chinas-new-live-streaming-guidelines-set-change-influencer-business (China’s new live-streaming guidelines set to change the influencer business known for its ‘low threshold, high income’ : SCMP 24 มิ.ย. 2565)
https://www.indiatoday.in/technology/news/story/china-says-influencers-and-streamers-need-to-have-professional-qualifications-to-talk-about-something-1966208-2022-06-24 (China says influencers and streamers need to have professional qualifications to talk about something : India Today 24 มิ.ย. 2565)
https://news.yahoo.com/chinese-influencers-now-required-prove-002253798.html (Chinese influencers now required to prove qualifications to talk about topics like finance, medicine : Yahoo News 24 มิ.ย. 2565)
https://www.cnbc.com/2022/06/23/china-livestreamers-need-qualifications-for-certain-topics-regulators.html (Chinese influencers must now have a qualification to talk about certain topics like law and medicine ; CNBC 22 มิ.ย. 2565)
https://fortune.com/2022/06/23/china-livestreaming-law-medicine-ecommerce-regulation-crackdown/ (livestreamers prove they’re qualified to promote certain products : Fortune 23 มิ.ย. 2565)

ประชาชนตื่นตัวกฎหมาย‘PDPA’ แต่ยังสับสน-เข้าใจผิด ห่วงช่องโหว่สุดท้ายใช้ไม่ได้จริง

วงเสวนาชี้ประชาชนตื่นตัวกฎหมาย‘PDPA’ แต่ยังสับสน-เข้าใจผิด ห่วงช่องโหว่สุดท้ายใช้ไม่ได้จริง

30 มิ.ย. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักข่าวไทยพีบีเอส สภาองค์กรของผู้บริโภค  เครือข่ายพลเมืองเน็ต  สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย   สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  Thai PBS   ChangeFusion  มูลนิธิฟรีดิชเนามัน และ Centre for Humanitarian Dialogue (HD)  จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 22 “สิทธิดิจิทัล กับ การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว ภายใต้ PDPA” โดยเป็นงานรูปแบบออนไลน์ ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Cofact โคแฟค” , Thai PBS” , และ “สภาองค์กรของผู้บริโภค”

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หัวข้อที่หยิบยกมาพูดคุยกันในครั้งนี้ว่าด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่และมีความซับซ้อน และหากนับจากวันแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ คือวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ก็จะครบ 30 วันพอดี เวทีนี้จึงเป็นการระดมมุมมองเกี่ยวกับปัญหาและข้อคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การเปิดมุมมองใหม่ๆ รวมถึงเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายถึงผู้เกี่ยวข้อง เป็นโอกาสดีในการสร้างความเข้าใจกับสังคม เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและพลเมือง

“หัวข้อในวันนี้ตั้งไว้กว้างมาก สิทธิดิจิทัล กับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหม่ที่บางทีอาจยังไม่มีบทสรุปในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นเรื่องที่เราอาจต้องหาจุดสมดุล ในการที่เราจะปกป้องคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลิดรอนเสรีภาพที่จะใช้หรือนำเสนอข้อมูลข่าวสารในภาพรวมในยุคดิจิทัล ซึ่งก็เป็นความท้าทายของทุกประเทศ ว่าแล้วจุดสมดุลมันอยู่ตรงไหน? อย่างไร?” น.ส.สุภิญญา กล่าว

นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นกฎหมายป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 เป็นต้นมา หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลบ้าง ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่าย บัญชีธนาคาร ฯลฯ ซึ่งในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็เป็นเวลาได้เตรียมตัว เพราะการทำงานและการประชุมต่างๆ ดำเนินการผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล

เช่น ในอดีตเวลาไปติดต่อหน่วยงานของรัฐ จะมีเพียงการถ่ายสำเนาและเซ็นรับรองสำเนา แต่ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ เริ่มส่งเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น มีการถ่ายภาพดูหน้าในการยืนยันตัวบุคคล จากนั้นพอเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 หลายองค์กรก็เริ่มตื่นตัว เริ่มมีการดูข้อมูลพื้นฐาน เรื่องเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีอย่างไรบ้าง แต่ละองค์กรมีการตั้ง Data Controller หรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทำหน้าที่เหมือนผู้ดูแลระบบ โดยจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการยิมยอม 

นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส.

“สสส. ร่วมกับพหุภาคี ทั้งโคแฟค คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ก่อตั้ง PDPA Thailand  คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงสภาองค์กรผู้บริโภค มีอีกหลายภาคี ร่วมกันจัดเวทีครั้งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน สอบถามและซักถามเพื่อทำให้เรามีความเข้าใจ แล้วก็สามารถสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือชุมชนที่เราทำงานร่วมกันอยู่ได้  จะทำให้เกิดสังคม ในการสร้างสังคมที่มีสุขภาวะในยุคของข้อมูลข่าวสาร และยุคที่เราจะเป็นพลเมืองที่มีการตื่นรู้ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน”

นางเบญจมาภรณ์ กล่าว

จากนั้นเป็นการเผยแพร่ ผลการวิเคราะห์สื่อสังคมออนไลน์ ประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดย นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์ดังกล่าวเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-20 มิ.ย. 2565 ผ่านโปรแกรม Zocail Eye ซึ่งพัฒนาเพื่อรวบรวมข้อมูลการพูดคุยหรือกระแสที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ สำหรับให้ลูกค้าหรือประชาชนเข้าใจบริบทของสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง โดยหัวข้อนี้เก็บรวบรวมข้อความที่มีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ประมาณ 14,000 ข้อความ

พบว่า การพูดคุยประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA เริ่มพบในวันที่ 10 พ.ค. 2565 เป็นต้นมา เพราะในเวลานั้นค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะไม่มีการเลื่อนกำหนดการเริ่มบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก จากนั้นวันที่ 27 พ.ค. 2565 หรือราว 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันกฎหมายมีผลบังคับใช้ เพจต่างๆ เริ่มให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA 

ต่อมาวันที่ 1 มิ.ย. 2565 อันเป็นวันแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ จะเห็นท่าทีขององค์กรต่างๆ ในการปรับตัวรับกฎหมายมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มมีกรณีที่เป้นปัญหาตามมา เช่น กรณีพลเมืองดีไปถ่ายคลิปวีดีโอชายหนุ่มทำร้ายร่างกายแฟนสาวแล้วเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ทั้งนี้ โดยสรุปแล้วนับตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ค.-20 มิ.ย. 2565 การเติบโตของกระแสความสนใจประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 90 ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเป็นเรื่องใหม่

เมื่อดูช่องทางในการสื่อสารประเด็นกฎหมาย PDPA พบว่า เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ เป็น 2 แพลตฟอร์มที่ครองสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 80 ที่ผู้คนเลือกใช้ในการสื่อสารเรื่องนี้ โดยบุคคลทั้งที่เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคมและคนธรรมดาทั่วไป ครองสัดส่วนการพูดถึงกฎหมาย PDPA รวมกันที่ร้อยละ 75 ขณะที่ระดับองค์กรอยู่ที่ร้อยละ 25 ส่วนความคิดเห็นต่อกฎหมายก็มีทั้งเชิงบวก ที่มองว่ากฎหมายช่วยคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล และเชิงลบ เช่น ทำให้ผู้ประกอบการบังคับยินยอมให้เก็บข้อมูลก่อนแล้วค่อยไปยกเลิกภายหลัง หรือส่งผลกระทบต่อพลเมืองดี เป็นต้น 

นายกล้า กล่าวต่อไปว่า ในประเด็นความคาดหวังของประชาชนต่อภาคส่วนต่างๆ ในประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หากเป็นสื่อมวลชน ประชาชนคาดหวังให้สื่อผลิตเนื้อหาให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจกฎหมายนี้มากขึ้น เพราะมีเรื่องที่ผู้คนเข้าใจผิดเกิดขึ้นจำนวนมาก ในขณะที่องค์กรภาคเอกชน ประชาชนคาดหวังให้ทุกองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เพราะถาคเอกชนเป็นองค์กรที่มีโอกาสละเมิดกฎหมายนี้มากที่สุด ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงประเด็นต่างๆ ที่สังคมสงสัย ซึ่งควรถูกทำให้กระจ่างโดยเร็วเพื่อไม่ให้เรื่องที่เข้าใจผิดลุกลามบานปลาย 

“ประชาชนตื่นตัวเรื่องกฎหมาย PDPA แน่นอน มีการพูดถึงชัดเจน แล้วก็การตื่นรู้ แต่เขาอาจจะไม่ได้รู้อย่างถูกต้อง เขารู้แค่ว่า PDPA ถูกบังคับใช้แล้ว ประชาชนบางส่วนยังเกิดความเข้าใจผิด และบางคำถามไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องด้วย มันก็จะทำให้สังคมไปทางไหนก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าเราจะไปกันถูกทางหรือเปล่า องค์กรที่เกี่ยวข้องสามารถสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ได้ แต่ยังตอบข้อสงสัยเรื่องกฎหมาย PDPA ค่อนข้างน้อย”

นายกล้า ระบุ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ยังกล่าวอีกว่า การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ยังทำได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการอธิบายประเด็นที่ประชาชนสงสัย สุดท้ายสื่อมวลชนถูกคาดหวังให้เป็นแหล่งความรู้ เพราะประชาชนยังหวังพึ่งบทบาทสื่อในการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ รวมถึงการไขข้อข้องใจหรือแก้สิ่งที่เข้าใจผิด นอกจากนี้ยังพบปฏิกิริยาของสังคม ที่เมื่อเกิดข้อสงสัยขึ้นแต่ไม่มีผุ้ใดให้ความกระจ่างได้ ก็จะมีการทำ “มีม (Meme)” หรือภาพล้อเลียนตลกขบขัน ซึ่งสะท้อนความคาดหวังที่ไม่ได้รับการตอบสนอง

ในช่วงของการเสวนา ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะออกมาตั้งแต่ปี 2562 และตามกำหนดการเดิมจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ค. 2563 แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งมีข้อจำกัดต่างๆ รัฐบาลจึงประกาศเลื่อนการบังคับใช้ 

ทำให้ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีการแต่งตั้ง คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งที่ในช่วง 2 ปีนี้ ควรเป็นเวลาที่ผู้เกี่ยวข้องได้ทำความเข้าใจและสร้างความตระหนักในกฎหมาย กระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่มี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยระหว่างที่ยังไม่มีนั้นกฎหมายให้ สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ทำหน้าที่ไปพลางก่อน 

ซึ่งการจะมี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับสำนักงาน มีการประชุมเพื่อออกกฎระเบียบหรือประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กร ขณะเดียวกัน กฎหมายยังมีความซับซ้อนเพราะกล่าวถึงคณะกรรมการไว้หลายชุด นอกจาก คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นคณะกรรมการเชิงนโยบาย ทำหน้าที่ออกระเบียบและวินิจฉัยตีความ แล้วยังมีคณะกรรมการกำกับสำนักงาน ที่มีหน้าที่กำหนดกฎระเบียบขององค์กร และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ทำหน้าที่พิจารณาข้อร้องเรียน

ขณะเดียวกัน สำนักงานปลัดกระทรวงดีอีเอส ซึ่งทำหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ต้องออกกฎหมายลูก หรือกฎหมายลำดับรอง ซึ่งปัจจุบัน คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพือกลั่นกรองร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งทางสำนักงานได้เตรียมร่างไว้ ที่ผ่านมามีการประชุมกันแทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 แต่ก็อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเหตุที่ต้องใช้เวลาเพราะการพิจารณากฎหมายต้องทำอย่างรอบคอบ 

ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้มีเสียงเรียกร้องให้เลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ออกไปอีก 1 ปี เนื่องนี้คณะกรรมการก็มีทั้งข้อถกเถียงและการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งผู้ที่มองว่าเวลายังไม่เหมาะสมเพราะกิจการต่างๆ เพิ่งเผชิญปัญหาทั้งจากโควิด-19 และเศรษฐกิจ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายลูกจึงอาจไม่มีความพร้อม และผู้ที่มองว่าหากเลื่อนออกไปเท่ากับยังไม่มีกฎหมายมาปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจากการละเมิด แต่ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าจะไม่เลื่อนอีก 

“คณะกรรมการตกลงกันว่า Tone (ความเข้ม) ของการบังคับใช้จะไม่ได้เข้มข้น ต้องขอทำความเข้าใจว่าเราพิจารณาตามเหตุและผล ต่อข้อจำกัดต่างๆ หากมีอะไรที่เป็นข้อร้องเรียนเกิดขึ้นมา มีอะไรที่ไม่ได้เป็นเจตนาทำอะไร ยกตัวอย่างอะไรที่มันดูน่าเกลียด เช่น เจตนาเอาข้อมูลไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาจจะดูน่าเกลียดชัดเจน แต่ถ้าไม่ใช่กรณีแบบนั้น ก็คงเป็นกรณีแบบที่เราเข้าใจได้ว่าการบังคับใช้อาจจะเป็นการตักเตือน หรือการสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง มากกว่าจะไปลงโทษปรับ ลงโทษอะไรต่างๆ”

ดร.นพ.นวนรรน กล่าว

น.ส.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า เหตุที่เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดขึ้นในประเด็นการบังคับใช้กฎหมาย PDPA เพราะ 1.ความซับซ้อนของกฎหมาย ต้องยอมรับว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ค่อนข้างซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับกฎหมายอีกหลายเรื่อง 2.กฎหมายใช้บังคับกับทุกภาคส่วนแบบเดียวกัน ทั้งที่รูปแบบการจัดเก็บและใช้ข้อมูลของแต่ละอาชีพแตกต่างกัน เช่น คนทำงานในห้องแล็บ ในกิจการโทรคมนาคม ในภาคการตลาด เป็นต้น

3.ในความเป็นจริงสังคมไทยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความเป็นส่วนตัว (Privacy)” มากนัก แม้จะรู้สึกรำคาญบ้างแต่ก็ไม่ได้คุ้นชินกับการเคารพความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน แต่กฎหมาย PDPA ที่ออกมาใหม่นั้นคาดหวังกับสังคมอย่างมาก นอกจากเข้าใจกฎหมายแล้วยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปฏิบัติต่อกัน 4.ความไม่มั่นใจของประชาชนที่มีต่อการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ PDPA แต่เป็นภาพรวมว่าด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรมในบ้านเมือง ที่ต้องยอมรับว่าถูกตั้งคำถามตลอดมา เพราะมีตัวอย่างทั้งการกลั่นแกล้ง หรือการลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน

และ 5.การอธิบายกฎหมายแบบ ขู่ให้กลัว หมายถึงการอธิบายโดยเน้นว่าหากฝ่าฝืนจะต้องเจอบทลงโทษอย่างไรบ้าง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความเคยชินของสังคมไทยที่ผู้คนเติบโตมากับการใช้อำนาจ เช่น การเลี้ยงด้วยไม้เรียว ดังนั้นเมื่อมีกฎหมายใหม่ๆ ออกมา สิ่งแรกที่แต่ละคนจะคิดก่อนคือทำอย่างไรจะไม่ถูกตีหรือถูกลงโทษ แทนที่จะคิดว่ากฎหมายใหม่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ กับตัวเราได้อย่างไรบ้าง หรือทำให้คนในสังคมเคารพกันและกันได้อย่างไรบ้าง โดยสรุปคือการอธิบายแบบขู่ให้กลัว ทำให้คนมองกฎหมายในแง่ลบมากกว่าแง่บวก

น.ส.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสต

“ทำอย่างไรจะไม่ให้คนรู้สึกลบหรือระแวงกฎหมายจนเกินไป ก็มีข้อเสนอ 1.องค์กรผู้บังคับใช้ต้องพยายามสื่อสารให้ดีว่ามันจะทำอย่างไร 2.เวลาต้องบังคับใช้ ถ้ามันจะต้องใช้ไม้เรียวกันจริงๆ ไม้เรียวไม่ใช่ Option (ทางเลือก) แรก มันต้องเป็น Option ว่าทำผิดแล้วแก้ไขได้ไหม ทำอย่างไรจะแก้ไขได้ แล้วเรามี Lesson Learn (บทเรียน) ร่วมกันว่าต้องแก้แบบนี้ แล้วบริษัทหรือองค์กรอื่นๆ ที่ทำพลาดเหมือนกันก็แก้ไปพร้อมกัน คือมันต้องอาศัยความเข้าใจของ Regulator (หน่วยงานกำกับดูแล) แต่คิดว่า Regulator เข้าใจแล้วว่าในช่วงต้นๆ ของการบังคับใช้กฎหมาย มันต้องเน้นเรื่องของการ Educate (ให้ความรู้) กัน เรียนรู้ไปด้วยกัน” น.ส.ฐิติรัตน์ กล่าว

ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร ผู้ก่อตั้งสื่อ PDPA Thailand / CEO บริษัท ดิจิทัล บิสิเนส คอนซัลท์ จำกัด / CEO สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะดิจิทัล DDTI ตั้งข้อสังเกตว่า ในมุมของประชาชนนั้น ประชาชนยังไม่ได้รับความรู้ด้านการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ทั้งการเข้าถึงและการร้องเรียน โดยหาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่มีกลไกรองรับ และประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิได้เนื่องจากไม่มีช่องทางหรือวิธีการ ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้ก็จะถูกลืม

อีกด้านหนึ่ง ในมุมของผู้ประกอบการ วันนี้แม้กฎหมายบังคับใช้และบทลงโทษและกลไกต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่มีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำคัญมาก ดังนั้นแม้ต่อไปจะออกกฎหมายลูกว่าด้วยมาตรการและโทษทางปกครองก็ไม่มีประโยชน์ตราบใดที่ไม่มี คกก.ผู้เชี่ยวชาญ อนึ่ง ที่ผ่านมาด้วยความเข้าใขผิดของภาคธุรกิจ ทำให้มีความพยายามต่างๆ เช่น การขอเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ออกไปอีก การขอให้งดเว้นโทษทางอาญาไว้ก่อน ไปจนถึงการหาทางเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกคณะกรรมการ 

ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร ผู้ก่อตั้งสื่อ PDPA Thailand

“คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ก็น่าจะเป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่คิดว่าทุกฝ่ายพยายามเข้าไปมีบทบาทในนั้น เพราะถ้าดูจากกฎหมายแล้วอำนาจ คกก.ผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นคนชี้ขาดว่าท้ายที่สุดแล้วการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จะเป็นไปแบบไหน-อย่างไร ไม่ใช่ชุด คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่ชุด คกก.กำกับสำนักงาน แต่เป็น คกก.ผู้เชี่ยวชาญ ผมคิดว่าในส่วนของภาคประชาชนเองหรือนักวิชาการ น่าจะต้องติดตามเรื่องนี้และเอาใจใส่ ไม่เช่นนั้นเราอุตส่าห์ได้กฎหมายที่ดีๆ ฉบับหนึ่งแล้ว แต่กฎหมายจะดีต่อไปได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ดร.อุดมธิปก กล่าว

ดร.สลิลธร ทองมีนสุข อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย PDPA คือต้องการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ข้อมูลกับการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวไม่ให้ถูกละเมิดมากจนเกินไป ขณะเดียวกันในประเด็นโทษทางอาญา จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกลงโทษทางอาญาตามกฎหมายนี้ เพราะมีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่เข้าข่าย เช่น ข้อมูลประเภทที่มีความอ่อนไหว ซึ่งหากหลุดรั่วออกไปอาจทำให้บุคคลถูกดูหมิ่นเกลียดชัง 

ขณะที่ประเด็นความสนใจของภาคธุรกิจ จากประสบการณ์ที่เข้าไปช่วยงานของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ทำคู่มือสำหรับธุรกิจขนส่งในการปฎิบัติตามกฎหมาย PDPA เมื่อปี 2564 พบว่า หากเป็นกิจการขนาดใหญ่และขนาดกลาง ผู้ประกอบการจะตื่นตัวมาก เพราะหวั่งเกรงบทลงโทษ เช่น ตั้งคณะทำงานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมาภายในองค์กร จัดอบรมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ให้กับพนักงานในองค์กร หรือบางองค์กรถึงขั้นลงทุนส่งพนักงานไปฝึกอบรมกับหลักสูตรของต่างประเทศ

ดร.สลิลธร ทองมีนสุข อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มีการสำรวจและประมวลผลว่าในองค์กรมีการจัดเก็บข้อมูลอะไรบ้าง หรือข้อมูลส่วนบุคคลถูกจัดเก็บไว้ที่ใดบ้าง อ้างฐานประมวลผลใดบ้าง วางมาตรการทั้งทางเทคนิคและการบริหารองค์กร ตลอดจนพัฒนาเว็บไซต์สำหรับเปิดเป็นช่องทางร้องเรียน ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่ดี แต่ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังขาดความเข้าใจ เช่น เคยได้รับคำถามว่าการแจ้งกับความยินยอมต่างกันอย่างไร หรือมีผู้ที่เข้าใจว่าต้องขอความยินยอมในทุกกรณี เป็นต้น

ดร.สลิลธร ยังยกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องที่มีความกังวลกันมากคือ “ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด (CCTV)” เช่น ติด CCTV ไว้ในบ้าน ต้องติดป้ายคำเตือนว่ามีกล้องหรือไม่ หรือในกิจการภาคขนส่ง มีการใช้ CCTV อาทิ สถานีรถไฟฟ้า ทางด่วน ทั้งเพื่อการรักษาความปลอดภัยและการจัดเก็บค่าบริการ การที่ผู้ให้บริการจัดเก็บและใช้ข้อมูลจาก CCTV ต้องขอความยินยอมหรือไม่ แต่หากมาดูข้อกฎหมายที่ระบุเงื่อนไขที่ไม่ต้องขอความยินยอม ใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 24 จะมีการกล่าวถึงฐานประโยชน์โดยชอบธรรมของผู้ควบคุมข้อมูลหรือบุคคลที่ 3 

ถ้าจะเข้าฐานนี้ได้ มันจะต้องดู 3 อย่าง 1.เจ้าของข้อมูลเขาคาดหมายได้ไหม เช่น เมื่อผ่านทางด่วนก็ต้องคาดหมายได้อยู่แล้วว่ามันมีกล้องติดอยู่ หรือไปเดินห้าง ไปสถานีรถไฟฟ้า คนที่ใช้บริการเขาก็คาดหมายได้อยู่แล้วว่ามันมีการเก็บข้อมูลผ่าน CCTV 2.ความเสี่ยง เจ้าของข้อมูลมีความเสี่ยงอะไรหรือไม่ที่ CCTV มันติดและจับ ที่ดูมันก็ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรมากมาย และ 3.ที่สำคัญคือผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประกอบการ ต้องดูว่ามีมาตรการอะไรไหมที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลดร.สลิลธร ระบุ

ดร.สลิลธร อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นกล้องวงจรปิดว่า แม้ไม่ต้องขอความยินยอมแต่ก็ต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย ซึ่งหากไปดูแนวปฏิบัติในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) หรือในประเทศสิงคโปร์ ว่าด้วยการใช้ CCTV อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสรุปคือ หากเป็นพื้นที่สาธารณะ การติดตั้งกล้องวงจรปิดสามารถทำได้โดยให้ติดป้ายเตือนในจุดที่มองเห็นได้ง่ายว่าบริเวณนี้มีการติด CCTV ในจุดก่อนเข้าสู่พื้นที่นั้น แต่ไม่ต้องถึงขั้นบอกละเอียดว่าติดกล้องไว้จุดใดบ้าง 

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต / อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องให้ประชาชนร้องเรียนผ่านกลไกต่างๆ ที่มี หากไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ เช่น กรณีสินค้าและบริการ ร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งการร้องเรียนเป็นประโยชน์ 1.ผู้ประกอบการรับทราบปัญหา 2.เป็นการทดสอบกลไกกำกับดูแลว่ามีข้อบกพร่องต้องปรับปรุงหรือไม่ ดังนั้นอยากเห็นภาพแบบเดียวกันกับช่องทางของกฎหมาย PDPA 

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต / อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค

“ใครอยู่วงการพัฒนาซอฟท์แวร์ หรือวงการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ มันจะมีไอเดียของการทดสอบกันตั้งแต่เนิ่นๆ คือไม่ต้องรอให้ผลิตภัณฑ์สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ มันไม่มีคำว่าสมบูรณ์ คือทุกอย่างมันก็ค่อยๆ พัฒนากันไป ถ้าอยากให้เห็นจุดบกพร่องเร็วขึ้นเราก็ต้องรีบใช้งานมันเสียแต่เนิ่นๆ แล้วพอเราทดลองใช้งานมันไป พบว่ากลไกร้องเรียนแบบนี้ร้องเรียนไปแล้วล่าช้ามาก หรือแบบฟอร์มที่ให้กรอกไม่ครอบคลุมสิ่งที่เราประสบพบเจอมา สิ่งเหล่านี้มันเป็น Feedback (เสียงสะท้อน) เพื่อนำไปสู่การพัฒนากลไกร้องเรียนได้”

นายอาทิตย์ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม นายอาทิตย์ แสดงความกังวล กรณี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 4 ที่เปิดช่องให้มีการออกพระราชกฤษฎีกา มาเพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้เป็นรายกิจการหรือกิจกรรม ซึ่งผู้มีอำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกา คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งการออกพระราชกฤษฎีกายังไม่ต้องรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 

ซึ่งใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 4 ด้านหนึ่งตัวกฎหมายฉบับนี้ระบุข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎหมายไว้แล้ว 6 ข้อ แต่อีกด้านหนึ่งกลับให้อำนาจรัฐมนตรีสามารถออกข้อยกเว้นเพิ่มได้อีก ทำให้แม้จะบอกว่า คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระ แต่ขอบเขตการทำงานก็สามารถถูกบีบให้แคบลงเมื่อใดก็ได้ด้วยอำนาจของรัฐมนตรี ในอนาคตกฎหมายก็อาจไม่เหลือสภาพที่สามารถใช้งานได้อีก 

ผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตราย นี่เป็น พ.ร.บ. ที่ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งโดยไอเดียก็คือผู้แทนปวงชน คือเลือกตั้งเข้ามา เป็นอำนาจนิติบัญญัติ แต่ฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีสามารถใช้กฎหมายลำดับรอง พระราชกฤษฎีกาเป็นการออกกฎหมายโดยฝ่ายบริหาร มาทำให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติไม่เหลือสภาพการใช้ไปทั้งหมดเลย ถ้าเรายอมให้มีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นกับกฎหมายฉบับนี้ คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นไปได้เหมือนกันว่ากฎหมายฉบับใดๆ ในอนาคตก็จะถูกใช้เทคนิคนี้ได้อีกเหมือนกัน เท่ากับไอเดียเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ ตุลากร นิติบัญญัติ บริหาร มันไม่เหลือแล้ว นายอาทิตย์ ระบุ

ในช่วงท้ายของงานเสวนา ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วง 1 เดือนของการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีหลายองค์กรจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว แต่การเสวนาในครั้งนี้ให้มุมมองที่น่าสนใจ และเป็นมุมมองด้านการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งก็คือประชาชนทั่วไป ทั้งในมิติความรู้ เข้าใจชัดเจนและมีรูปธรรมตามมา และแม้จะพบจุดอ่อนของกฎหมายนี้อยู่บ้าง เช่น เข้าใจยาก ต้องตีความ หรือมีข้อสังเกตในบางมาตรา แต่ในภาพรวมถือเป็น พ.ร.บ. ที่มีความสำคัญและจำเป็น 

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

สิ่งที่มีความรู้สึกในนามส่วนตัวและในนามโคแฟคด้วย ฟังท่านพูดกันแล้วประหนึ่งว่า ความมีประโยชน์ของ พ.ร.บ. นี้จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง ดังนั้นเป็นเหมือนกับความต้องการของสังคมหรือผู้บริโภคในทีเหมือนกัน จะมีใครที่ไปตามดูว่าเมื่อมีการประกาศบังคับใช้แล้ว ตัวที่ให้คุณให้โทษต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนคนทั่วไปเป็นอย่างไรบ้าง ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-




หาข้อมูลได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ด้วยคำสั่งพิเศษบน Google : COFACT Special Report #30

เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ใช้อินเทอร์เน็ต เมื่อจะหาข้อมูลอะไรสักอย่างก็มักจะพุ่งตรงไปที่เว็บไซต์ Google เป็นอันดับแรกๆ จากนั้นก็พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา แต่หลายครั้งก็มักจะพบว่า สิ่งที่ต้องการค้นหาอาจจะไม่ขึ้นมาในผลการค้นหาอันดับแรกๆ เช่น ผลการค้นหาที่ปรากฎอาจจะเก่าเกินไป หรือไม่ใช่ผลการค้นหาที่มาจากหน่วยงานที่ตนต้องการ ในเว็บ Google มีเครื่องมือค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) ที่ช่วยกำหนดคุณสมบัติการค้นหาให้ละเอียดและแม่นยำขึ้น ช่วยให้ได้ผลการค้นหาที่ต้องการจริงๆ

English Summary

People often use Google to search for information, but only a few know how to use Advance Searches to get the exact information they need. In this article, we explain readers how get specific files and articles from official sources, using search operators and advanced search tools. 

ตั้งค่าช่วงเวลา เพื่อค้นหาข้อมูลล่าสุด หรือข้อมูลในอดีต

เมื่อเราพิมพ์คำค้นหาในช่องค้นหาของ Google แล้ว แต่ต้องการเห็นข้อมูลล่าสุด หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังค้นหาในวันหรือเวลาที่กำหนด ให้คลิกที่ Tools (เครื่องมือ) ซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาของจอ จากนั้นสังเกตตรงคำว่า Any Time ให้คลิกที่ตรงนั้น และกำหนดวัน เวลาที่ต้องการ เราสามารถเลือกจากตัวเลือกที่ Google กำหนดมาให้ หรือถ้าต้องการจะกำหนดวันและเวลาด้วยตนเอง ให้ไปที่ Custom Range และเลือกกำหนดได้จากเมนูปฏิทินที่ปรากฎขึ้น

แก้ไขปัญหาคำพ้องรูปด้วยการเพิ่ม หรือตัดตัวกรองออกไป’

คำค้นหาหลายคำที่เราคุ้นเคย มักเขียนเหมือนกัน แต่อาจมีหลายความหมาย หรือที่เรารู้จักกันว่า “คำพ้องรูป” ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษเรามีคำพ้องรูปจำนวนมาก และหลายครั้งเซิร์จเอนจิ้นอย่าง Google ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าผู้ใช้งานต้องการค้นหาคำที่มีความหมายใดกันแน่ ดังนั้นการใช้คำสั่งพิเศษจะช่วยให้ระบบเข้าใจได้ละเอียดขึ้นถึงคำที่เราต้องการค้นหาจริงๆ ด้วยการใส่เครื่องหมายลบ (-) ตามด้วยประเภทของตัวกรองที่ต้องการตัดทิ้ง และเครื่องหมายบวก (+) ตามด้วยประเภทของตัวกรองที่ต้องการให้แสดง เช่น หากต้องการค้นหา จากัวร์ ที่เป็นรถยนต์ ให้ใส่ “จากัวร์ +รถ” แต่ถ้าต้องการค้นหาจากัวร์ที่เป็นเสือ ให้ใส่ “จากัวร์ -รถ” เป็นต้น

ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะ ด้วยการค้นหาเฉพาะเว็บ/โดเมน

เราสามารถใช้คำสั่งพิเศษสำหรับคัดกรองข้อมูลเฉพาะเว็บไซต์ หรือโดเมนที่เราต้องการจะเห็น เช่น หากเราต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 จากหน่วยงานของภาครัฐในประเทศไทยโดยเฉพาะ เราสามารถใช้คำสั่ง “site:go.th” แล้วตามด้วยคำค้นหาที่ต้องการ จากนั้น Google ก็จะแสดงข้อมูลที่มาจากเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น โดยโดเมนที่เรามักจะคุ้นเคยกันบ่อยๆ ได้แก่ .go.th สำหรับเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐของไทย .co.th สำหรับบริษัทเอกชนในไทย .or.th สำหรับหน่วยงานไม่แสวงหากำไรในไทย .ac.th สำหรับสถาบันการศึกษาในไทย เป็นต้น

การใช้คำสั่งนี้ยังใช้ได้กับเว็บไซต์เต็มๆ เช่น หากเราต้องการค้นหาข่าวเกี่ยวกับผู้ว่าฯ กทม. เฉพาะบนเว็บไซต์ของไทยพีบีเอส ก็สามารถพิมพ์ “site:thaipbs.or.th ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ระบบก็จะแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่มาจากเว็บไซต์ไทยพีบีเอสโดยเฉพาะ 

ค้นหาไฟล์ต่างๆ และ เอกสารราชการ ด้วยการระบุนามสกุลไฟล์

Google ยังมีคุณสมบัติในการค้นหาไฟล์ที่มีการโพสเอาไว้บนหน้าเว็บต่างๆ (ที่เปิดให้อ่านได้แบบสาธารณะ ไม่ใช่อยู่ในระบบคลาวด์) เราสามารถใช้คำสั่ง “filetype:” แล้วตามด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เช่น หากเราต้องการค้นหาไฟล์ PDF ที่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เราก็พิมพ์ “filetype:PDF วัคซีนโควิด-19” ระบบก็จะแสดงไฟล์ PDF ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมา 

นำตัวกรองต่างๆ มาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ผลการค้นหาแม่นยำขึ้น

เราสามารถนำตัวกรองต่างๆ ที่ระบุมาด้านบนมาใช้รวมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแสดงผลการค้นหามากขึ้น เช่น หากเราต้องการค้นหาประกาศราชกิจจาฯ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา รูปแบบไฟล์ PDF ที่ประกาศภายในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เราก็สามารถพิมพ์ “site:ratchakitcha.soc.go.th filetype:PDF ไวรัสโคโรนา” ในช่องค้นหา จากนั้นก็ไปที่เมนู Tools (เครื่องมือ) ไปตรง Any Time แล้วปรับเป็นเวลา 30 วันที่ผ่านมาจาก Custom Range เราก็จะได้เอกสารราชกิจจาฯ ไฟล์ PDF ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาในช่วง 30 วันที่ผ่านมาอย่างที่เราต้องการ

เราสามารถใช้วิธีนี้กับเว็บไซต์ หรือโดเมนอื่นๆ ที่เราต้องการ และปรับคำสั่งไปตามสิ่งที่เราต้องการค้นหา โดยประเภทของไฟล์ที่เรานิยมใช้มีหลากหลาย นอกจาก PDF เรายังสามารถค้นหาไฟล์ Power Point (PPT หรือ PPTX), Word (DOC หรือ DOCX) หรือแม้แต่ไฟล์รูปภาพ เช่น JPEG, GIF หรือ PNG นอกจากนี้คำสั่งการค้นหาขั้นสูงยังมีอีกมากมาย เราสามารถไปปรับแต่งการค้นหาขั้นสูงเพิ่มเติม ในเมนู Advance Searches ซึ่งอยู่บริเวณมุมด้านล่างขวาของหน้าแรกบนเว็บไซต์ Google.com หรือ Google.co.th ได้อีกด้วย


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

ข้อเท็จจริง โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 น่ากังวลจริงหรือ? COFACT Special Report #29

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเราจะพบข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มากขึ้น ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยกำลังเริ่มแพร่ระบาดมากในยุโรป และสหรัฐฯ และผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน รวมทั้งมีข้อมูลระบุว่าสองสายพันธุ์ย่อยนี้สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกกลับมาวิตกกังวลอีกครั้งว่าจะเกิดการแพร่ระบาดหนักอีกหรือไม่

English Summary

Two new fast-spreading subvariants of Omicron (BA.4 and BA.5) are causing new surges of Covid cases across the world, especially Europe and the US. These two subvariants were first identified in South Africa and may soon be the next dominant variants across the globe. According to the World Health Organization and infected disease experts agree that these two variants can spread faster and can escape the immunity from previous infection or vaccination. However, many studies suggest that the current vaccines we have still prevent people from hospitalization and deaths. In this article, we answer some of the questions people may concern about these new subvariants, and why we are in the better situation now compared to the last two years.

จากข้อมูลของบทความทางวิทยาศาสตร์หลายบทความระบุว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีลักษณะทางโครงสร้างที่คล้ายกับโอมิครอนก่อนหน้า แต่จะมีบางส่วนที่แตกต่าง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยมีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือจากการติดเชื้อก่อนหน้า ดังนั้นโอกาสที่ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนอาจจะติดเชื้อสองสายพันธุ์ย่อยนี้

BA.4 และ BA.5 กำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในยุโรปและสหรัฐฯ

สำนักข่าว CNN รายงานว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 กำลังเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเพิ่มขึ้นในยุโรป และสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับสหรัฐฯ ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คิดเป็น 35% ของผู้ติดเชื้อโควิดทั้งหมดในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และในไทยเองก็พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว จากการสุ่มตรวจของกรมควบคุมโรคพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่ก็มีชาวไทยจำนวนหนึ่งที่ได้รับเชื้อนี้แล้ว 

BA.4 และ BA.5 อันตรายแค่ไหน? ลงปอดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าจริงหรือ?

ผลการศึกษาเบื้องต้นที่ตีพิมพ์บน New England Medical Journal of Medicine และผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ระบุตรงกันว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีคุณสมบัติในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้ามาก ทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือแม้จะเคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ ส่วนผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการที่กรุงโตเกียวทดลองการแพร่กระจายเชื้อของโควิดสองสายพันธุ์ย่อยกับสัตว์ พบว่าเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ดีในปอด แต่นั่นเป็นผลการศึกษาที่ทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลจากการแพร่เชื้อในคนจริงว่าความรุนแรงของเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ถึงแม้จะมีรายงานในยุโรปหลายประเทศว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อโควิดมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นเพราะความรุนแรงจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นอายุของผู้ติดเชื้อ โรคประจำตัว และจำนวนวัคซีนที่ฉีด ดังนั้นเราจึงยังสรุปในเวลานี้ไม่ได้ว่า BA.4 และ BA.5 จะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดหนักจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผลการศึกษาใน New England Medical Journal of Medicine ยังย้ำว่า การฉีดวัคซีน และการฉีดเข็มกระตุ้นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังคงช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ได้อยู่ 

แอฟริกาใต้พบผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจาก BA.4 และ BA.5 ไม่มากอย่างที่คิด

เว็บไซต์วารสารทางการแพทย์ Nature รายงานโดยอ้างอิงจากกรมควบคุมโรคของแอฟริกาใต้ ระบุว่า ทวีปแอฟริกาเป็นพื้นที่แรกๆ ของโลกที่พบการแพร่ระบาดของโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 พบว่ายอดผู้เสียชีวิตจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ยังน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม และอาการของโรคก็ยังน้อยกว่า และคาดว่าแอฟริกาใต้ได้ผ่านพ้นการระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โปรตุเกสยอดผู้ป่วยหนักจาก BA.4 และ BA.5 สูง เพราะมีผู้สูงอายุเยอะกว่า

แต่หากดูจากประเทศอื่นอย่างโปรตุเกส ที่ตอนนี้กำลังเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ พบว่ายอดผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนมากขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่โอมิครอนระบาดในช่วงแรกๆ ผู้เชี่ยวชาญผู้ให้ข้อมูลกับวารสาร Nature ระบุว่า สาเหตุหลักที่อาจจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่โปรตุเกสมีมากขึ้น เนื่องจากโปรตุเกสเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าแอฟริกาใต้ และผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวต่างๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อและป่วยหนักจากสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ในโปรตุเกสมากกว่าในหลายๆ ประเทศ 

ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่า เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าแต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้มากน้อยเท่าไร เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พอจะสรุปได้ก็คือ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดระลอกใหม่คือการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะการฉีดเข็มกระตุ้น รวมทั้งจำนวนของประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่นกลุ่ม 608 และกลุ่มที่มีโรคประจำตัวนั้นมีมากน้อยเพียงใด ระบบสาธารณสุขรองรับประชาชนกลุ่มนี้ได้หรือไม่

วัคซีนยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะป้องกันความรุนแรงจาก BA.4 และ BA.5

ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ และอังกฤษระบุตรงกันว่า วัคซีนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังสามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้อยู่ ถึงแม้จะยังไม่มีผลการศึกษาว่าระดับของภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและการป่วยหนัก/เสียชีวิตในระดับใด แต่ภูมิคุ้มกันที่ได้อยู่ในระดับเพียงพอที่จะช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม และการฉีดเข็มกระตุ้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ณ​ เวลานี้ในการต่อสู้กับโควิดไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำอยู่เสมอว่า วัคซีนไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าผู้ที่รับการฉีดจะไม่มีโอกาสติดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนก็มีโอกาสติดเชื้อซ้ำอีก ทั้งสองกลุ่มนี้ยังควรต้องรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในการลดการป่วยหนักและเสียชีวิต 

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับโอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยโดยเฉพาะ

โมเดอร์นา ผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยได้ดี ผลการทดสอบในขั้นสุดท้ายพบว่าวัคซีนตัวนี้ยังมีคุณสมบัติป้องกันการติดเชื้อ และอาการป่วยหนัก/เสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้ แต่อาจจะน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ตัววัคซีนยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ และลดอาการป่วยหนัก/เสียชีวิต จากโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้าได้ด้วย วิธีการฉีดจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 โดส โดสละ 50 ไมโครกรัม ขณะนี้โมเดอร์นากำลังอยู่ระหว่างส่งข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติ และคาดว่าจะได้ใช้งานจริงภายในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคมปี 2022 

โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์ต่อไปไม่หยุด เราต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดมองว่า โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์และแพร่ระบาดอีกสักระยะ ไม่มีทางที่เราจะยุติการแพร่ระบาดได้ทันที เราจะยังคงต้องอยู่กับมันต่อไปอีกนาน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ป่วยจากเชื้อโควิด-19 ก็คือการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับการหวาดระแวงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมากจนเกินไป ควรปรับการใช้ชีวิตให้สมดุลกับการแพร่ระบาดของโรค เพราะเป็นเรื่องยากที่เราจะป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อโรคได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นักวิจัยผู้เขียนบทความใน New England Medical Journal of Medicine ย้ำด้วยว่า ณ เวลานี้ เราโชคดีที่เรามีเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างวัคซีน และความเข้าใจในเรื่องการรักษาโรคมากขึ้น ต่างจากช่วงที่เกิดการระบาดใหม่ๆ เมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นอยากให้ประชาชนสบายใจว่าเราคงจะไม่เห็นภาพการป่วยหนักและเสียชีวิตเหมือนกับที่เราเคยเห็นเมื่อช่วงระบาดใหม่ๆ เมื่อปีสองปีก่อนอีก


ที่มา: 

https://www.bbc.com/news/health-55659820

https://edition.cnn.com/2022/06/22/health/ba4-ba5-escape-antibodies-covid-vaccine/index.html

https://www.nature.com/articles/d41586-022-01730-y

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/omicron-sub-variants-ba4-ba5-account-21-covid-variants-us-cdc-2022-06-14/

https://www.nytimes.com/2022/06/08/science/omicron-ba4-ba5-variant.html

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/early-omicron-infection-unlikely-protect-against-current-variants-2022-06-17/

https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2206576


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com