เด็กหญิงชาวปัตตานีวัย 3 ขวบถูกหามส่งโรงพยาบาล เหตุเผลอทานบราวนี่ผสมกัญชาเข้าไป ….. จริงหรือ ?

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/sj05emjkcxlg

จริงหรือไม่? วัคซีน #Pfizer เป็นวัคซีนที่มีสารพิษ หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว เสียชีวิต 0.8%

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/1q2xmkfx1kjkm

จริงหรือไม่? ฉีดวัคซีนแล้ว มีแม่เหล็กที่แขน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://cofact.org/article/2guo12it4vycm

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2565

กินแล้วนอน ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ec4z0ibpi78a


ถนนสาย 41 แถวสะพานมะพร้าวต้นเดียว อ.หนองจิก ปัตตานี เกิดเหตุมีผู้ใช้ถนนถูกดักปาก้อนหินใส่กระจกรถ…โปรดระมัดระวัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/227yu1m4h3i7e


ตั้งแต่ 5 กันยายน 2565 นั่งเบาะหลังรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ไม่เช่นนั้นมีความผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xtcva3jise7h


เตือนภัย สลิปปลอมระบาดหนัก มีการแก้ไขข้อมูล เพื่อหลอกว่าโอนเงินแล้ว…พ่อค้าแม่ค้าควรระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x7l8hijn3r44


หากปล่อยที่ดินทิ้งร้างนานเกิน 10 ปี จะโดนรัฐบาลยึดคืน ตามมาตรา 6 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3bjqvexrzllw8


ขับรถบนทางด่วนไม่เกิน 100 กม./ชม. ฝ่าฝืนมีโทษปรับ!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pwnlmtz3szza


กินเค็มระวังความดันขึ้น…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/274spu5l8w2x1


ถอดบทเรียน‘อิสลามโมโฟเบีย’วงเสวนาชี้‘เข้าใจ-เข้าถึง’เรียนรู้ความแตกต่าง-ช่วยเหลือไม่แบ่งแยก ลดอคติได้

13 ส.ค. 2565 ที่สถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ต.ท่าวังตาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีการจัดงานเสวนาค้นหาความจริง “แก้ไขข่าวลวง อิสลามโมโฟเบียในสังคมไทย” ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “ศูนย์ประสานงานเครือข่ายมุสลิมเชียงใหม่” และ “Cofact โคแฟค”

ชุมพล ศรีสมบัติ เครือข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่ กล่าวว่า เคยมีการสำรวจพบคนไทยร้อยละ 40 เชื่อข้อมูลข่าวลวงที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งสะท้อนความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความสามารถในการกลั่นกรองของผู้รับข้อมูลข่าวสาร ขอเป็นเพียงเรื่องที่เห็นแล้วถูกใจก็พร้อมที่จะส่งต่อโดยไม่ได้คิดว่าข้อมูลข่าวสารนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้ ในศาสนาอิสลามมีคำสอนว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากคนชั่วนำข่าวใดๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด หาไม่แล้วเจ้าก็จะก่อกรรมแก่พวกใดพวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป” จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เท่าทัน

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข่าวเท็จ-ข่าวลวงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าสร้างความเสียหาย และบางครั้งอาจถึงขั้นเป็นภัย ก่ออันตรายต่อสังคม การโพสต์ แชร์ คอมเมนต์ ก็เหมือนกับคำพูด ซึ่งทุกการกระทำจะถูกบันทึกไว้และถูกสอบสวน อันนี้ในทางอิสลาม การพูด การกระทำ ในความเชื่อของมุสลิมจะต้องถูกบันทึกและสอบสวน ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้พูด ได้กระทำ ชุมพล กล่าว 

ชาญชัย ศรีสมบัติ ผู้อำนวยการสถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัญหาอิสลามโมโฟเบีย (Islamophobia) หรือการเกลียดหรือกลัวอิสลาม ที่ผ่านมาคนรุ่นก่อนๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ไม่ได้มีความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างกัน ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกว่ายังเป็นเนื้อเดียวกัน กล่าวคือเป็น “มุสลิมล้านนา” ด้านหนึ่งมีอัตลักษณ์แบบศาสนาอิสลาม แต่อีกด้านก็มีอัตลักษณ์แบบล้านนา อันเป็นวัฒนธรรมในกลุ่มจังหวัดทางภาคเหนือของไทย 

แต่ในเวลาต่อมากลับมีคนเข้าใจไปว่ามุสลิมเป็นคนอื่นที่เข้ามาอยู่ในเชียงใหม่หรือจังหวัดภาคเหนือ เช่น เข้าใจว่ามาจากทางภาคใต้ ทั้งที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามจริงๆ แล้วกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งจากการดำเนินงานของสถาบันเรียนรู้อิสลาม พบว่า ความรู้-ความเข้าใจ ในความเชื่อที่แตกต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเกลียดหรือกลัวอิสลาม โดยหลายคนที่มีโอกาสเข้ามาเรียน ได้เล่าว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอิสลามนั้นแตกต่างจากที่เคยได้ยินมา

ทั้งนี้ จากที่เคยสอบถามคนที่เข้ามาเรียน พบว่า 3 เรื่องแรกที่คนทั่วไปมักนึกถึงศาสนาอิสลาม ได้แก่ อันดับ 1 ไม่รับประทานเนื้อหมู อันดับ 2 มีภรรยาได้ 4 คน และอันดับ 3 ผู้ก่อการร้าย ดังนั้นการรับมือความรู้สึกเกลียดหรือกลัวอิสลาม จึงต้องมีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ดังตัวอย่างของคำว่า “จีฮัด (Jihad)” ซึ่งทางโลกตะวันตกอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้ยินคำของอิสลามคำนี้แล้วมักคิดว่าหมายถึงการฆ่าฟันกัน

คำว่าจีฮัดในศาสนาอิสลาม มันไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องไปเข่นฆ่าใครแล้วคุณจะได้เข้าสรวงสวรรค์ด้วยการหลั่งเลือด แล้วคำอธิบายว่าแท้จริงสวรรค์นั้นอยู่ภายใต้คมดาบ มุสลิมนั้นเผยแพร่ด้วยคมหอกและคมดาบ เราลองมาถามกันดูจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดคืออินโดนีเซีย ถามว่าการเข้ามาของมุสลิมในอินโดนีเซียนั้นมันเกิดจากสงคราม มันมีการหลั่งเลือดไปกี่คน? ไม่มี

มุสลิมเข้ามาในจีน ถามว่ามุสลิมยกกองทัพมากี่หมื่นกี่แสนคน ถึงจะทำให้ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศจีนและเส้นทางสายไหมทั้งหมด? ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เราเองจำเป็นจะต้องให้ความรู้-ความเข้าใจตรงนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่เราเอาจะต้องให้ความรู้อย่างถูกต้องกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ชาญชัย กล่าว

วันอิดริส ปะดุกา นักวิชาการศาสนาอิสลาม เล่าว่า ตนใช้ชีวิตอยู่ใน จ.สตูล แม้จะเป็นจังหวัดที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่ในบางอำเภอก็มีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ศาสนิกชนทั้ง 2 ศาสนาก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่เกิดความขัดแย้ง ดังนั้นเรื่องของอิสลามโมโฟเบีย จะเป็นข่าวที่ได้ยินจากพื้นที่อื่นๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในปากีสถานเป็นเวลา 6 ปี พบว่า แม้ปากีสถานจะเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็พบความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เกิดขึ้นได้ทั่วไป

กล่าวคือ ปากีสถานมีประชากรจากหลายชาติพันธุ์ และมีการแบ่งเป็นรัฐตามกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น รัฐปัญจาบ รัฐบาลูจิสถาน รัฐของชาวปาทาน รัฐของชาวซิน เป็นต้น รัฐเหล่านี้มักขัดแย้งกันทั้งด้านอัตลักษณ์และผลประโยชน์ อีกทั้งมีการเลือกปฏิบัติ อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์บาลุจ แม้จะเป็นมุสลิมแต่ก็ถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้น 2 ขณะเดียวกันความขัดแย้งยังนำไปสู่ความรุนแรงทั้งการวางเพลิงและลอบสังหาร นอกจากนั้น ปากีสถานในฐานะประเทศมุสลิม ยังขัดแย้งกับอินเดียซึ่งเป็นประเทศฮินดู 

อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยหากศึกษาประวัติศาสตร์จะเห็นว่า อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ ท้ายที่สุดมักนำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง ในกรณีของอิสลาม จะเห็นได้ชัดในช่วงสงครามครูเสด ซึ่งในขณะที่ศาสนาคริสต์ในทวีปยุโรปมีการแบ่งเป็นตะวันออก (คอนสแตนติโนเปิล) กับตะวันตก (โรม) เพราะขัดแย้งกันในเชิงอัตลักษณ์ว่าใครคือชาวคริสต์ที่แท้จริง และยังเริ่มมีการเกิดขึ้นของแนวคิดปฏิรูปศาสนา (โปรเตสแตนท์) ศาสนาอิสลามกลับเริ่มขยายตัวในพื้นที่ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือและยุโรปใต้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ชาวยุโรปมองศาสนาอิสลามเป็นภัยคุกคาม บรรดาผู้นำศาสนาจึงเริ่มแนวคิดระดมคนในยุโรปในนามของชาวคริสต์ขึ้นต่อสู้กับชาวมุสลิม มีการสร้างข่าวปั่นกระแสขึ้นเพื่อสร้างความกลัวและความเกลียดชาวมุสลิม เช่น สร้างภาพว่าชาวอาหรับเป็นกลุ่มชนที่โหดร้ายเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก และตอกย้ำว่าชาวมุสลิมทุกคนคือชาวอาหรับ ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้นับถือศาสนาอิสลามมาจากประชากรหลายกลุ่ม นอกจากชาวอาหรับ ยังมีชาวเปอร์เซีย ชาวเติร์ก เป็นต้น ซึ่งการสร้างข่าวแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับกระแสเกลียดหรือกลัวอิสลามในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ควรสร้างความเข้าใจระหว่างกันทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่ง “คนไทยที่ไม่ใช่มุสลิมต้องปรับตัวและศึกษา โดยเข้าใจว่าชาวมุสลิมอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยมานานแล้ว” เช่น ตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็มีคำว่า “ปสาน” มาจากคำว่า “บาซาร์ (Bazaar)” ในภาษาเปอร์เซีย ยิ่งในสมัยอยุธยา ก็มีชาวมุสลิมเข้ามารับราชการเป็นใหญ่เป็นโต หรือใน จ.เชียงใหม่ เท่าที่พบหลักฐานก็มีมุสลิมจีนเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ 150 ปีก่อน ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะนานกว่านั้น 

โดย “ในขณะที่ชาวมุสลิมรู้จักวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธ แต่ชาวพุทธกลับไม่ค่อยรู้จักวัฒนธรรมประเพณีของชาวมุสลิม” ในทางกลับกัน “ชาวมุสลิมเองก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้อง และสื่อสารอย่างรู้กาลเทศะ” เรื่องใดพูดกับคนต่างศาสนาได้ เรื่องใดควรพูดเฉพาะกับคนศาสนาเดียวกัน และการเรียกร้องในบางประเด็นควรดูบริบทความเหมาะสมด้วยเพราะไม่ใช่ชนส่วนใหญ่

อิสลามไม่ใช่ศาสนาของเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งต่างจากบางศาสนา เช่น ศาสนาซิกข์ เกือบ 100% ก็เป็นชาวปัญจาบหมด ศาสนายิวก็อาจจะเป็นชาวยิว เป็นอิสราเอลไป แต่อิสลามมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรมที่มาน้อมรับหลักธรรมของอัลเลาะห์ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่มนุษย์มีพื้นฐานมาจากอะไรก็จะนำความเชื่อหรือแนวทางปฏิบัติ หรือวิธีคิด (Mindset) ของตัวเองเข้ามาปะปนกับหลักการทางศาสนา 

ถ้าเราดูมุสลิมที่มาจากเอเชียกลาง เขาจะมีแนวทางปฏิบัติแบบหนึ่ง มุสลิมในตะวันออกกลาง ชาวอาหรับก็จะมองโลกอีกแบบหนึ่ง อย่างเราทำกิจกรรม พี่น้องอาหรับมาที่นี่ บางอย่างเขาก็คิดไม่เหมือนกับเรา ไม่เข้าใจเหมือนกับเราว่าทำไมมุสลิมที่นี่ทำแบบนี้แบบนั้น ในขณะเดียวกัน มุสลิมเราก็มองว่าทำไมมุสลิมของเขาทำแบบนั้น ทีนี้พอคนต่างศาสนิกมองคนเขาจะมองเหมารวมหมด โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เดินทาง ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่อื่นหลากหลาย วันอิดริส กล่าว

ปวิณ แสงซอน สถาปนิกมุสลิม กล่าวถึงส่วนที่ประกอบกันเป็นกระแสเกลียดหรือกลัวอิสลาม ว่า ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร หรือผู้เผยแพร่ส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ 1.ตั้งใจสร้างความเกลียดชัง กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กร มีกระบวนการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเป็นระบบทั้งทางตรงและทางอ้อม 2.ไม่ได้ตั้งใจแต่นิสัยเป็นเหตุสังเกตได้ หมายถึง ชาวมุสลิมเองก็ไมได้เข้าใจการปฏิบัติตนในแต่ละบทบาทในสังคมตามหลักศาสนา ทำให้คนต่างศาสนาที่พบเห็นมองอิสลามในแง่ลบ

และ 3.คิดดีแต่ผีเข้า หมายถึงผู้ที่ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกาลเทศะ เช่น ประเด็นใดเป็นเรื่องส่วนตัว-ส่วนรวม เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบมาก-น้อยต่อสังคม ประเด็นที่สื่อสารในที่สาธารณะได้กับประเด็นที่ควรพูดคุยกันเฉพาะในห้องเรียน กับ “ผู้เสพข่าว” ก็แบ่งได้ 3 ประเภทเช่นกัน คือ 1.หาข้อเท็จจริง ได้ข่าวอะไรมาก็พยายามค้นหาที่มาที่ไป เกิดการปะติดปะต่อเรื่องราวนำไปสู่ทัศนคติของคนคนนั้น 2.จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่มีเหตุผลใดๆ เพราะอยู่กับจินตนาการล้วนๆ และ 3.มีคำตอบในใจแล้ว ต่อให้ฟังข่าวก็ยังคงตัดสินตามที่คิดไว้อยู่ดี 

ทั้งนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจผิดหรือเกลียดชัง มักเป็นคนทั่วไปหรือคนที่มีสถานะอ่อนด้อยในสังคม เช่น คนจน คนยากไร้ ลูกจ้าง มากกว่าคนที่มีชื่อเสียงหรือตำแหน่งในสังคมเพราะคนกลุ่มหลังนี้ยังได้รับความเกรงใจอยู่บ้าง ซึ่งการแก้ปัญหาต้องแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม เพราะใช้วิธีการไม่เหมือนกัน คือ 1.ใช่/ไม่ใช่ เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง กับ 2.ชอบ/ไม่ชอบ เป็นเรื่องของความรู้สึก 

กลุ่มไหนความรู้ก็ไปเคลียร์เขา เขาต้องการข้อเท็จจริง แล้วกลุ่มไหนที่เป็นความรู้สึก ไม่ใช่เกี่ยวกับใช่/ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องชอบ/ไม่ชอบ มันชัดเจน ชอบ/ไม่ชอบนี่ความรู้สึก แต่ใช่/ไม่ใช่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง ฉะนั้นกลุ่มนี้ผมว่ามันต้องโฟกัสเข้ามายังการจำแนก 1-2-3 ผู้ส่งสารมีกี่ประเภท ถ้าเราโฟกัสจะนำไปสู่กระบวนการรับมือบนข้อเท็จจริงว่าเรากำลังรับมือกับความรู้หรือความรู้สึก แยกกลุ่มออกมาแล้วเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรับมือด้วยความรู้ ตัวเราต้องรับมือบนความรู้ก่อน รู้ว่าอะไรจำเป็นต้องทำ อะไรด่วน อะไรสำคัญ โฟกัสให้ตรงกัน 

แยกสิ่งที่จำเป็นต้องทำกับควรทำออกจากกันให้ชัดเจน อะไรต้องไม่ทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ อยู่กับสถานการณ์ให้เหมาะสม แยกให้ออก รู้เท่าทันข้อเท็จจริง สถานการณ์ กลุ่มเป้าหมาย รู้ตรงนี้แล้วมันก็เกิดกลยุทธ์ขึ้นมา พอเราเข้าถึงข้อเท็จจริง เข้าถึงข้อมูลชัดเจน จะเกิดกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ ถ้าในส่วนบริหารจัดการเรียกว่า 4W1H โฟกัสไปเลย เคสนี้ต้องใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ให้ชัดเจน อันนี้คือกระบวนการของกลยุทธ์ แล้วส่งสิ่งเหล่านี้ออกไปเป็นงานศิลปะ ก็คืออย่างจรรยามารยาทที่งดงาม ปวิณ กล่าว 

สุจินดา คำจร นักวิชาการชาวพุทธผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับชุมชนมุสลิม กล่าวว่า ความรู้สึกเกลียดหรือกลัวอิสลามมีมาก่อนเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเป็นเหตุก่อการร้ายอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้เกิดการผลิตซ้ำขึ้น “เมื่อติดตามข่าวสารจะพบว่าสื่อพยายามประโคมข่าวความรุนแรง และขณะเดียวกันความเข้าใจของคนทั่วไปต่อมุสลิมก็มักเป็นแบบเหมารวม” เช่น ในระดับโลก จะคิดว่ามุสลิมคือชาวอาหรับตะวันออกกลาง หรือในประเทศไทย จะคิดว่ามุสลิมคือชาวมลายูในภาคใต้

ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วจะพบว่าความจริงไม่ได้เป็นช่นนั้น อย่างกรณีประเทศไทย แม้มุสลิมเชื้อสายมลายูจะเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็ยังมีมุสลิมกลุ่มอื่นๆ อาทิ ในภาคเหนือ มีทั้งกลุ่มเอเชียใต้ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีกหลายกลุ่ม เช่น ปาทาน เบงกาลี โบรา สุไลมานี ปัญจาบี ฮินดูสตานี จูเลีย หรือกลุ่มมุสลิมเชื้อสายจีน ก็ยังมีกลุ่มย่อยตามการเข้ามา เช่น กลุ่มพ่อค้าที่มากับกองคาราวาน กลุ่มที่เข้ามาหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน และยังมีกลุ่มอื่นที่มาหลังจากนั้นอีก

จากข้อค้นพบข้างต้นทำให้คิดได้ว่า เมื่อรับข้อมูลข่าวสารต้องตั้งคำถามก่อน ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ยิ่งสงสัยยิ่งต้องค้นหาข้อมูลแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น พื้นที่ทางวิชาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างกรณีของตนเอง การที่เปิดใจยอมรับก็มาจากการศึกษาค้นคว้า แต่หากรีบเชื่อหรือด่วนสุด ก็จะเห็นแต่ภาพเหมารวมอย่างที่เกิดขึ้น เข้าใจ-เข้าถึง การมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ผิด การเรียนรู้จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ 

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) กล่าวคือ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าว จ.เชียงใหม่ มีมัสยิดมากถึง 200 แห่ง เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามได้ยินแล้วคงตกใจ แต่หากเชื่อในทันทีโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเป็นการผลิตซ้ำ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับข่าวจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะแหล่งข่าวจากทางออนไลน์ยิ่งต้องระมัดระวังเพราะอาจไมได้กลั่นกรองอย่างเพียงพอ แต่อีกด้านหนึ่ง หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องนั้นๆ ก็สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องได้เช่นกัน 

เรามี กอจ. (คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด) สามารถดูข้อมูลจากหน่วยงานนั้นได้ มัสยิดจริงๆ มันมีเท่าไร หรือถ้าขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับ กอท. (คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย) อันนี้ก็จะมีการจดทะเบียนเอาไว้ แน่นอนว่าถ้ามีข่าวเชียงใหม่มีมัสยิดเกือบ 200 มัสยิด เอาเข้าจริงถ้าเราเช็คข่าวไปเราจะพบว่าไม่เป็นความจริง เพราะข้อมูลอย่างของ กอจ. ก็จะแจ้งมาเลยว่ามีทั้งหมด 17 มัสยิด แบ่งเป็นจดทะเบียนแล้ว 14 แล้วอีก 3 คือยังไมได้จด ตรงนี้ก็จะเห็นแล้วว่ามันเป็นตัวเลขที่โอเวอร์ หรือว่าเกินความจริงไป สุจินดา กล่าว 

อันธิกา (ยามีละห์) เสมสรร ประธานศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ความเห็นว่า องค์กรของชาวมุสลิมเองก็ต้องปรับวิธีคิดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย เช่น ใน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดน้ำท่วมเป็นระยะๆ องค์กรของชาวมุสลิมที่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ มักถามเสมอว่ามีชุมชนมุสลิมได้รับผลกระทบมาก-น้อยเพียงใด และอยู่ตรงไหนบ้าง อยากให้เปลี่ยนเป็นคำถามว่า พื้นที่นี้มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบอยู่ตรงไหนบ้าง โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าผู้ได้รับผลกระทบนับถือศาสนาใด

เพราะการช่วยเหลือโดยแบ่งแยกศาสนา คนภายนอกที่มองเข้ามาก็จะเห็นการเลือกปฏิบัติ เช่น ไปพูดกันว่าพวกแขกก็ช่วยแต่แขก ดังนั้นหากไม่ใช่แขกก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะอย่างไรก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ เป็นต้น ซึ่งจุดเล็กๆ นี้ก็อาจไปเพิ่มความไม่พอใจในความคิดของคนที่ไม่ใช่มุสลิมได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนพยายามประสานให้เกิดภาพดังกล่าวขึ้น อาทิ ชาวมุสลิมไปช่วยวัดพุทธที่ถูกน้ำท่วมและหน่วยงานของรัฐเข้าไม่ถึง แม้จะต้องคอยอธิบายกับองค์กรมุสลิมที่เข้ามาช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้งก็ตาม เพราะภาพเหล่านี้สามารถลดความรู้สึกเกลียดหรือกลัวมุสลิมลงได้ 

เราอาจจะทำได้ไม่ทั้งหมดที่จะทำให้คนมุสลิมทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยสามารถที่จะมีมุมมองแนวคิดเดียวกัน แต่คิดว่าองค์กรที่เป็นภาคประชาสังคม องค์กรต่างๆ จะเป็นตัวที่จะสื่อสาร ที่จะทำให้ช่วยลดความเกลียดกลัวลงได้เยอะที่สุด แทนที่เราจะไปบอกว่าอิสลามเป็นอย่างนี้นะ ทำไมเราไม่ใช้การปฏิบัติแล้วบอกว่านี่คือการช่วยเหลือ อิสลามให้เราช่วยเหลือ อิสลามให้เราเป็นผู้ให้ อิสลามให้เราเป็นผู้บริจาค แล้วเราก็ไมได้เลือกผู้รับบริจาค นอกจากอันนั้นเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ที่กำหนดว่าผู้รับต้องเป็นพวกนี้ 

อันนี้เราเลือกที่จะปฏิบัติได้ว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทำไมเราถึงเลือกปฏิบัติเฉพาะที่เป็นพวกเรา อันนี้เป็นประเด็นที่คิดว่าทำอย่างไรให้เรารับมือ แล้วกลุ่มที่เป็นผู้รับจากเรา กลุ่มที่ไม่ใช่มุสลิม กลุ่มนี้เชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่จะสื่อสาร ไปแก้ข่าวที่มันผิดๆ ให้เราเอง อันธิกา กล่าว

ในช่วงท้าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวปิดการเสวนา ว่า โจทย์ที่ใหญ่ว่าการพูดคุยกันในครั้งนี้ คือเรื่องของความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร (Information Disorder) ทั้งหมดของประเทศไทยที่มากับความท้าทายของเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งข่าวลวง-ข่าวลือมีมานานแล้ว แต่ยุคนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและการแก้ไขข่าวบางครั้งก็ตามไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องช่วยกัน คือการเปลี่ยนจากผู้แพร่กระจาย (Spreader) เป็นผู้ตรวจสอบ (Corrector) โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงในสังคม ต้องไม่เป็นผู้กระจายข่าวลวงเสียเอง

เราต้องค่อยๆ สร้างและเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ เป็น New Normal (วิถีปฏิบัติใหม่) จากเห็นอะไรก็แชร์ ก็ต้องยับยั้งชั่งใจ เปลี่ยนมาเป็น Corrector ไม่ใช่ Spreader คือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการทำบทบาทของพลเมืองที่ Active (กระตือรือร้น) ขึ้นอีก ชัวร์ก่อนแชร์อันนี้เป็นพื้นฐาน คือเช็คข้อมูลก่อน แล้วถ้าให้ดีกว่านั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่ถูกต้องก็ช่วยกันแก้ไขด้วย เว็บไซต์โคแฟคก็เป็นพื้นที่นวัตกรรมหนึ่งที่เราทุกคนสามารถช่วยกันแก้ไขข้อมูล และช่วยกันเผยแพร่ต่อได้ สุภิญญา กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

หมายเหตุ : ข่าวเรื่องผลสำรวจพบคนไทยร้อยละ 40 หลงเชื่อข่าวลวงในสื่อสังคมออนไลน์ มีที่มาจากรายงานของสื่อบางสำนัก รายงานในเดือน ต.ค. 2560 อ้างแหล่งข้อมูลผลสำรวจของ กันตาร์ ทีเอ็นเอส (Kantar TNS) บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ 


อ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/business/777247 (ผู้บริโภคไทยวางใจ“คอนเทนท์-แบรนด์”ช่องทางออนไลน์ : กรุงเทพธุรกิจ 16 ต.ค. 2560)

https://www.brandbuffet.in.th/2017/10/kantartns-research-connected-life/ (ใจดี โลกสวย เชื่อคนง่าย!!! คนไทย 40% เชื่อข่าวปลอมบนโซเชียลสูงสุดในภูมิภาค : Brandbuffet 18 ต.ค. 2560)

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2565


ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38u0m6yqyf5qt#_=_


กสทช.โทรแจ้งระงับสัญญาณโทรศัพท์เนื่องจากถูกร้องเรียน/ติดแบลกลิสต์..จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s0isp5vfxtin#_=_


ราชกิจจานุเบกษา ประกาศต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน อีก 2 เดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24irxkhmqkqjp


ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มอาการไม่ได้รุนแรง (สีเขียว) สามารถรับยาฟรี รักษาตัวได้ที่บ้าน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36neoqczgc49t


งีบบ่อย ส่อสมองเสื่อม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n1tmawdy73vz


รักษาโรคเก๊าต์ได้ด้วยสมุนไพร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3s4z83r5hm6yp

ระวัง false claim ภาพและวิดีโอเก่า จากข่าวไต้หวัน COFACT Special Report #34

เรียบเรียงจาก Taiwan Fact-Check Center

โดย ทีม บก.โคแฟค

ขณะที่ แนนซี เปโลซี (Nancy Pelosi) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา เดินทางถึงไต้หวันในคืนวันที่ 2 ส.ค. 2565 ตามเวลาท้องถิ่นของไต้หวัน ความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับจีนก็เพิ่มขึ้น โดยในคืนวันเดียวกัน จีนประกาศว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซึ่งเป็นกองทัพของจีน จะดำเนินการฝึกซ้อมทางทหารและซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใน 6 ภูมิภาครอบๆ ไต้หวัน รวมถึงบริเวณช่องแคบไต้หวันด้วย

การเดินทางเยือนเอเชียของ เปโลซี และปฏิกิริยาตอบโต้ของจีนได้จุดชนวนให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่คลาดเคลื่อนบนสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ได้ว่าจะมีข้อมูลทำนองเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกมากในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น ซึ่ง “ศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในไต้หวัน (Taiwan FactCheck Center)” ได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่ส่งต่อบนอินเตอร์เน็ตที่พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ ดังนี้

1.คลิปวีดีโอที่อ้างว่าจีนเริ่มซ้อมรบรอบๆ ไต้หวันด้วยกระสุนจริง ตั้งแต่เริ่มมีข่าวว่า เปโลซี ประกาศจะเดินทางเยือนไต้หวัน  : วันที่ 31 ส.ค. 2565 มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอพร้อมข้อความเป็นภาษาอังกฤษผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า จีนซ้อมรบด้วยการยิงปืนใหญ่โดยใช้กระสุนจริงบริเวณช่องแคบไต้หวัน ขณะที่ไต้หวันก็ส่งเครื่องบินขับไล่ออกจากฐานทัพอากาศเฉียอี้ (Chiayi Air Base) แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า คลิปวีดีโอดังกล่าวเป็นการซ้อมรบของกองทัพไต้หวัน ไม่ใช่กองทัพจีนแต่อย่างใด อีกทั้งเหตุการณ์ในคลิปยังเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2563 โดยอ้างอิงข้อมูลจากกองทัพไต้หวัน ที่ระบุว่า เป็นการซ้อมรับมือเมื่ออากาศยานของข้าศึกพยายามลงจอด

2.คลิปวีดีโอที่อ้างว่าเรือรบและอากาศยานทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ เข้าคุ้มกันการเยือนไต้หวันของ เปโลซีจากการถูกโจมตี ถูกแชร์ผ่านทวิตเตอร์และเทเลแกรม : วันที่ 2 ส.ค. 2565 บัญชีทวิตเตอร์สำนักข่าว Yahoo News ประจำประเทศญี่ปุ่น อ้างว่า เครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางมาไต้หวันถูกยิง โดยสัญญาณการติดต่อหายไปขณะอยู่ที่ช่องแคบไต้หวัน และจีนถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับเรื่องนี้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า บัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวเป็น บัญชีปลอม ที่แอบอ้างว่าเป็นบัญชีของสำนักข่าว Yahoo News ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากในระบบของทวิตเตอร์ บัญชีของบุคคลผู้มีชื่อเสียง ตลอดจนองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หากเป็นบัญชีจริงจะมีเครื่องหมายวงกลมสีน้ำเงินกับเครื่องหมายถูกสีขาวอยู่ด้านหลังชื่อบัญชีเพื่อเป็นสัญลักษณ์รับรอง ซึ่งบัญชีปลอมดังกล่าวเริ่มสมัครเข้าระบบทวิตเตอร์ตั้งแต่ มี.ค. 2565 

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบเทียบกับบัญชีจริงของสำนักข่าว Yahoo News ญี่ปุ่น ก็ไม่พบข่าวเครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางไปไต้หวัน ถูกโจมตีแต่อย่างใด รวมถึงสำนักข่าวที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันตกอย่าง รอยเตอร์ AFP นิวยอร์กไทมส์ ฯลฯ และฝั่งจีนอย่าง ซินหัว ,  CCTV , People’s Daily ตลอดจนเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานภาครัฐในสหรัฐฯ ทั้งทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่มีข่าวนี้เช่นกัน

3.ทางการสหรัฐฯ ประกาศว่า เปโลซี ใช้เครื่องบิน แอร์ฟอร์ซวันไปเยือนไต้หวัน และระยะความปลอดภัยที่ต้องอยู่ห่างเครื่องบินดังกลาวคือ 185 กิโลเมตร หากล้ำเข้าไปอาจถูกยิงได้  : เรื่องนี้พบการโพสต์ในเว๋ยป๋อ (Weibo) สื่อสังคมออนไลน์ของจีนที่มีลักษณะคล้ายเฟซบุ๊ก (Facebook) ของตะวันตก เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2565 อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบกับทาง Flightradar24 ผู้ให้บริการแผนที่การบินของเที่ยวบินต่างๆ ทั่วโลกตามเวลาจริง (Real Time) พบว่า เครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางคือ C-40 เป็นเครื่องบินขนส่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ

ในขณะที่ แอร์ฟอร์ซวัน (Air Force One) ถูกเรียกว่า VC-25A ซึ่งในเว็บไซต์ทางการของทำเนียบขาว ระบุว่า แอร์ฟอร์ซวันมีสถานะเป็น สำนักงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บนอากาศ โดย แอร์ฟอร์ซวัน เป็นชื่อเรียกเครื่องบินใดๆ ก็ตามของกองทัพอากาศที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษสำหรับการเดินทางของ ปธน.สหรัฐฯ โดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงเครื่องโบอิ้ง 747-200B 2 ลำ ที่มีรหัส 28000 และ 29000 ด้วย 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารในไต้หวันอย่าง หวังกวงเล่ย (Wang Guanglei) จาก Youth Daily หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของไต้หวัน ยังระบุว่า เครื่องบิน C-40 ที่ เปโลซี ใช้เดินทางนั้น เป็นการดัดแปลงมาจากเครื่องโบอิ้ง 737 และมีชื่อเรียกว่า SPAR19 เช่นเดียวกับ สือเสี่ยวเว่ย (Shi Xiaowei) จากสำนักข่าวในไต้หวันอย่าง Military & Aviation News ที่เน้นนำเสนอเนื้อหาด้านการทหารและการบิน ที่ย้ำว่า แอร์ฟอร์ซวันเป็นเครื่องบินสำหรับ ปธน.สหรัฐฯ เท่านั้น อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ยืนยันว่า ไม่เคยได้ยินสหรัฐฯ เตือนระยะปลอดภัยของ เปโลซี ไว้ที่ 185 กิโลเมตร

ทั้งนี้ Taiwan FactCheck Center จะเฝ้าระวังและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งต่อกับบนโลกออนไลน์ เกี่ยวข้องกับการเยือนไต้หวันของ แนนซี เปโลซี อย่างต่อเนื่องต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7958

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7968

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7963

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2565

มีการแจกข้าวสาร เพียงแลกบัตรประจำตัวประชาชนและสแกนใบหน้า…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vbvhjg2qa5c0


อวัยวะเพศชายสั้นลงหลังหายจากการติดเชื้อโควิด 19…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jzz2ghb5aot


 #มาเลเซีย เตือนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในไทย ให้ระวังการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27atfsyppyd04


ดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำสุขภาพพัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4oejvpdmxp3d


มีงานศึกษาของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NIH) พบว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอจะดึงดูดยุงให้บินเข้าไปหา หรือยุงชอบกัดมากสุด…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ji6t2ijr4oo2


หนังตากระตุก ไม่ใช่ลางร้าย แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gz9cr6iok7y4


ห้ามนำเข้า “กัญชา-กัญชง”  หากโดนประเทศนั้นๆตรวจเจอสารในร่างกาย หรือของในของฝากโดยวิธีใดๆจะกลายเป็นผู้ เสพ หรือนำเข้า…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1uvqphrq137hi


#โควิด BA.5 สายพันธุ์ที่ต้องจับตา ติดเชื้อง่าย ไวกว่าเดิม…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ptdlna55g4gi


วิธีรับมือมิจฉาชีพดิจิทัลง่ายๆ ด้วยตนเอง : COFACT Special Report #33

เมื่อไม่นานมานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สรุปประเภทอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนตกเป็นเหยื่อมากที่สุด โดยมิจฉาชีพมักจะใช้การติดต่อผ่านโทรศัพท์ การส่งข้อความ หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ตโฟนในการจูงใจให้ผู้ใช้งานโอนเงินให้ ซึ่งในหลายสถานการณ์เราสามารถใช้เทคนิคดังต่อไปนี้ในการป้องกันไม่ให้ถูกหลอกจากเหล่ามิจฉาชีพได้

ซื้อสินค้าออนไลน์แต่ไม่ได้รับสินค้า หรือได้สินค้าไม่ตรงกับที่สั่ง

ปัจจุบันร้านค้ามากมายต่างปรับรูปแบบการขายมาอยู่บนระบบออนไลน์มากขึ้น แต่หลายครั้งผู้ซื้อมักจะตกเป็นเหยื่อของร้านค้าปลอม หรือร้านค้าที่ไม่ส่งสินค้าตรงตามที่เราสั่ง ดังนั้นก่อนจะสั่งซื้อสินค้าควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าร้านค้าดังกล่าวมีตัวตนจริงหรือไม่ เช่น มีที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรที่ติดต่อได้ มีหน้าร้านที่เป็นหลักแหล่ง มีเว็บไซต์ หรือระบบชำระสินค้าแบบบัตรเครดิต (การซื้อสินค้าด้วยบัตรเครดิตเราสามารถกดยกเลิกรายการสั่งซื้อ หรือทำเรื่องยกเลิกรายการผ่านธนาคารได้ ปลอดภัยกว่าการโอนเงินสด) ไม่ควรซื้อสินค้ากับผู้ขายที่ไม่มีตัวตนชัดเจน หากซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น (เช่น Lazada หรือ Shopee) ควรเลือกซื้อกับร้านค้าที่ผ่านการรับรองจากแอพพลิเคชั่น หากไม่มีบัตรเครดิต ควรเลือกตัวเลือกแบบชำระเงินเมื่อรับของเรียบร้อยแล้ว

หลอกให้ทำงานออนไลน์

หนึ่งในกลลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พบกันบ่อย ก็คือการส่งข้อความ หรือโทรศัพท์มาชักชวนให้ไปทำงานออนไลน์เพราะเราเป็นผู้ใช้งานโปรไฟล์ดี หากมาร่วมงานด้วยจะให้ค่าตอบแทนสูงๆ แต่สุดท้ายมิจฉาชีพเหล่านี้ก็จะบอกให้เราโอนเงินไปให้ก่อน ดังนั้นหากมีผู้ใดชักชวนมาทำงานในรูปแบบส่งข้อความผ่านระบบ SMS หรือโทรศัพท์มาชักชวน โดยที่เราไม่รู้จักเขามาก่อน ให้ปฏิเสธไป การสมัครงานออนไลน์ที่ปลอดภัยควรเป็นการสมัครผ่านทางเว็บไซต์จัดหางานที่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ของบริษัทที่เปิดรับสมัครงานโดยตรงเท่านั้น

หลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ 

อีกหนึ่งรูปแบบของมิจฉาชีพในการหลอกล่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ก็คือการหลอกให้ลงทุนผ่านทางสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโต) หลายครั้งมิจฉาชีพจะปลอมตัวโดยการใช้โปรไฟล์ของบุคคลที่บุคลิกดี หน้าตาดี ส่งข้อความผ่านทางสื่อโซเชียลให้เราหลงเชื่อแล้วชวนให้ไปลงทุนในคริปโต หากพบเจอควรตั้งข้อสังเกตไว้ก่อน และควรปฏิเสธไปหากไม่ใช่คนที่เรารู้จัก และควรตรวจสอบยืนยันตัวตนของบุคคลที่เรากำลังพูดด้วย หากบุคคลดังกล่าวติดต่อเรามาผ่านทางสื่อโซเชียล ให้ตรวจสอบภาพย้อนกลับรูปโปร์ไฟล์ หรือค้นหาชื่อของบุคคลคนนั้นบน Google ดูวิธีตรวจสอบได้จากบทความนี้

ทั้งนี้การลงทุนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เราควรสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ เช่น นักลงทุนมืออาชีพ หรือสถาบันการเงินที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่ควรปรึกษากับบุคคลแปลกหน้าที่ชักชวนเราผ่านช่องทางโซเชียล

ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว (แก๊งคอลเซ็นเตอร์)

วิธีนี้เป็นวิธีที่เราพบเห็นกันบ่อยที่สุดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มิจฉาชีพจะโทรศัพท์มาหาเราโดยตรง โดยอ้างว่ามีพัสดุติดที่ศุลกากร หรือมีใบสั่งค้างปรับ ผู้ที่ไม่ทราบมาก่อนว่าหมายเลขโทรศัพท์เหล่านี้เป็นมิจฉาชีพก็จะหวาดกลัว และตัดสินใจโอนเงินไปเพราะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งผู้ให้บริการไปรษณีย์รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น DHL, FedEx หรือไปรษณีย์ไทยไม่ใช้วิธีให้ลูกค้าโอนเงินให้กับพนักงานโดยตรงผ่านโทรศัพท์ หรือแม้แต่การส่งใบสั่งก็จะใช้วิธีส่งผ่านทางไปรษณีย์ จะไม่มีการโทรศัพท์มาให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ใด วิธีที่ดีที่สุดหากเจอสายโทรศัพท์เหล่านี้ก็คือการปฏิเสธไม่พูดคุย หรือสอบถามและยืนยันตัวตนของผู้ที่เรากำลังสนทนาอยู่ และตั้งข้อสงสัยรวมทั้งปฏิเสธการขอให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวทุกครั้ง

หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หรือลงทุน

เทรนด์ใหม่ของมิจฉาชีพบนอินเทอร์เน็ตที่กำลังได้รับความสนใจในช่วงนี้ก็คือการสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอพพลิเคชั่นหาคู่ต่างๆ ภาพโปรไฟล์จะเป็นบุคคลหน้าตาดี มีฐานะ หรือการศึกษา หลอกเข้ามาพูดคุยและให้เราโอนเงิน หรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโต) หลายคนสูญเสียเงินจำนวนมากเพียงเพราะหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนในภาพจริง และเขาจะไม่รักเราถ้าเราไม่ลงทุนหรือโอนเงินให้ หากเจอผู้ที่เข้ามาทักเราด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ควรหลีกเลี่ยง ไม่พูดคุย หรือถ้าไม่มั่นใจว่าเป็นบุคคลตัวจริงหรือไม่ ให้สังเกตว่าโปรไฟล์ดังกล่าวได้รับการยืนยันโดยแพลตฟอร์มแล้วหรือยัง เช่น ในแอพพลิเคชั่น Tinder จะมีระบบยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน โดยผู้ที่ได้รับการยืนยันโปรไฟล์ว่าเป็นบุคคลจริง จะมีเครื่องหมายถูกกำกับไว้ตรงชื่อ หากไม่มีให้ลองใช้วิธีตรวจสอบภาพย้อนกลับ (Reverse Image Search) บน Google หรือ Yandex เพื่อตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร ใช่ชื่อเดียวกับคนที่แอบอ้างบนแอพหรือไม่ ดูวิธีการตรวจสอบภาพย้อนกลับได้จากบทความฉบับนี้

เรียกค่าไถ่ผ่านระบบดิจิทัล (แรมซัมแวร์)

วิธีการเรียกค่าไถ่ผ่านแรนซัมแวร์ เป็นวิธีที่มิจฉาชีพเจาะระบบเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของผู้ที่ต้องการจะรีดไถเงินผ่านการติดตั้งมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ผู้ใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ บนเครื่องได้จนกว่าจะโอนเงินไปให้กับมิจฉาชีพ วิธีป้องกันไม่ให้แรมซัมแวร์ติดเข้ามาในเครื่องของเรา ก็คือการใช้ระบบปฏิบัติการที่ถูกลิขสิทธิ์ อัพเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้งานอยู่ และควรสำรองข้อมูลบนระบบคลาวด์ เนื่องจากหากเครื่องของเราติดแรนซัมแวร์ เราสามารถเลือกที่จะลบข้อมูลบนเครื่องทั้งหมดเพื่อติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ได้โดยที่ข้อมูลสำคัญของเรายังอยู่ ระบบคลาวด์เป็นวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย เนื่องจากผู้ให้บริการส่วนใหญ่ (เช่น Google, Microsoft หรือ Apple) มีการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลขั้นสูง ข้อมูลที่จัดเก็บบนคลาวด์จะไม่มีไวรัส หรือมัลแวร์

ที่มา: https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3457852


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.co

มองเหตุลอบสังหารอดีตผู้นำญี่ปุ่น สะท้อนการทำงานสื่อไทย-ห่วงพื้นที่ออนไลน์บ่มเพาะความเกลียดชัง

ค่ำวันที่ 22 ก.ค. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) จัดเสวนา (ออนไลน์) Cofact Live Talk หัวข้อ “เราเรียนรู้อะไรจากข่าวการลอบยิงผู้นำญี่ปุ่น ความเร็ว vs. ความถูกต้อง ความเชื่อ vs. ความจริง ความชอบ vs. ความชัง” โดยถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Cofact โคแฟค” และ “Ubon Connect อุบลคอนเนก”

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในฐานะผู้บริโภคสื่อ เมื่อได้ยินข่าวก็อยากรู้รายละเอียด แต่ในช่วงแรกของข่าวเป็นเรื่องของเหตุการณ์ ซึ่งสำหรับสื่อไทยก็คงต้องตามข่าวจากที่สื่อต่างประเทศส่งมา ส่วนบริบทของสังคมญี่ปุ่น เท่าที่ทราบคือเป็นสังคมที่ผู้คนมีความระมัดระวัง สื่อก็เช่นกัน จึงไม่มีข่าวแบบหวือหวา หรือข่าวที่ไม่ใช่จากแหล่งข่าว 

เมื่อไล่ตามช่วงเวลา ซึ่งเหตุการณ์เกิดในช่วงกลางวัน มีสื่อออนไลน์รายงานไปก็มีความก้าวหน้า กระทั่งมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ เสียชีวิต แต่เมื่อถึงช่วงหัวค่ำ เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นว่า สื่อหลักนำเสนอเหตุการณ์ลอบสังหารจนถึงการเสียชีวิต ซึ่งตามหลังสื่อออนไลน์ เรื่องนี้สื่อหลักไมได้ผิดอะไร แต่เรื่องของจังหวะก็เป็นความท้าทายการทำงานของสื่อหลักเหมือนกัน 

ทั้งนี้ ความรู้สึกส่วนตัว 3 ประการเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวของสื่อไทยในประเด็นการลอบสังหารอดีตนายกฯ อาเบะ 1.สื่อที่มีศักยภาพกลับไม่เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศญี่ปุ่นมาให้ความรู้ ซึ่งมีหลายประเด็นน่าสนใจ เช่น ทำไมนักการเมืองญี่ปุ่นหาเสียงแบบนั้น หรือทำไมถูกลอบสังหารได้ง่าย 2.ดูเหมือนสื่อไทยจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก ทั้งที่ตนขนาดไม่ใช่คอการเมืองก็ยังสนใจ 

และ 3.เมื่อมีรายงานข่าวว่า แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นปมในใจเกี่ยวกับลัทธิทางศาสนา ตนรอดูว่าจะมีสื่อไทยเทียบเคียงกับเรื่องราวแนวเดียวกันหรือไม่ เพราะประเทศไทยก็มีการระดมทุนทางศาสนาเหมือนกัน แต่สุดท้ายกลับไปออกในทำนองว่า เสียดายคนถูกยิงน่าจะเป็นบุคคลอื่น ขณะที่ทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์ในไทยกลับนำเหตุการณ์นั้นมาเชื่อมโยงกับปมที่ตนเองสนใจ ใช้เหตุการณ์สื่อสารความรู้สึกของตนเอง

ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าวต่อไปว่า สำหรับสื่อไทยในภาพรวม อาจมีวิธีการทำข่าวที่เรียกกันว่าดรามา (Drama) หรือทำข่าวแบบเร้าใจ แต่ต้นเรื่องเป็นญี่ปุ่นซึ่งข้อมูลที่ออกมาน่าจะถูกกลั่นกรองพอสมควร ขณะเดียว ตนสังเกตว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยรักษากิริยา ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เช่น เมื่อไปดูภาพภรรยาของอดีตนายกฯ อาเบะ จะเห็นแต่ความนิ่งสงบ แต่สื่อไทยกลับไปบรรยายภาพว่าภรรยาใจสลาย 

แน่นอนเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องเสียใจ แต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นดูนิ่ง เช่นเดียวกับพิธีศพที่บรรยากาศดูเรียบและนิ่งไปหมด แต่เข้าใจได้ว่าเป็นการแสดงความเคารพ แต่ก็อาจเป็นเพราะสื่อไทยเคยชินกับการเสียชีวิตไม่ว่าคนธรรมดาหรือบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่มีมุมให้นำเสนอ แต่เมื่อไปเจอมุมนิ่งสงบจากต้นเรื่อง รวมถึงความระมัดระวังจากสื่อญี่ปุ่น สื่อไทยก็อาจรู้สึกได้ว่าไม่มีมุมนำเสนอ ทั้งที่จริงๆ แล้วมีหลายแง่มุม ตั้งแต่พิธีศพ ปมของผู้ก่อเหตุ ฯลฯ ทำให้สำหรับสื่อไทย ในส่วนของข่าวจะมาเร็วไปเร็ว เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตของคนดังในอดีตจากประเทศอื่นหรือในไทยเอง 

“บางทีความเป็นข่าวและคุณค่าของข่าว มันไม่ใช่ความหวือหวา เร้าใจ เร้าอารมณ์เสมอไป ในฉากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องที่เรียบง่ายนั้นมันก็บอกอะไรบางอย่างเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือความสูญเสียไม่ได้ต่างกัน ความน่าเสียใจไมได้ต่างกัน” ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

รศ.ดร.มาลี บุญศิริพันธ์ อดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า 1.การนำเสนอของสื่อไทยเน้นความเร็วมากกว่าความถูกต้อง เช่น ในตอนแรกชื่อของผู้ก่อเหตุไปซ้ำกับอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง สื่อก็ไปเปิดประวัติของอาจารย์ท่านนี้อย่างละเอียดทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน เรื่องนี้เป็นความผืดพลาดอย่างรุนแรง อีกทั้งแม้ในเวลาต่อมา สื่อญี่ปุ่นจะชี้แจงว่าเป็นคนละคน แต่สื่อไทยก็ไม่ได้แก้ไข

2.สื่อไทยขาดการหาข้อมูลโดยรอบมาประกอบ เช่น ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ แต่กลับไปนำเสนอในเชิงดรามา อาทิ บอกไปก่อนแล้วว่าเสียชีวิตหลังถูกยิงไม่นาน ทั้งที่ในความเป็นจริงกว่าจะเสียชีวิจกินเวลาอีกหลายชั่วโมงหลังไปโรงพยาบาลแล้ว ทั้งที่ข่าวนี้สำคัญและต้องการความเที่ยงตรงมาก หรือข้อบกพร่องด้านมาตรการรักษาความปลอดภัย สื่อไทยก็ไม่พูดถึง กระทั่งตำรวจญี่ปุ่นออกมาแถลงแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งสื่อไทยระยะหลังๆ ขาดระบบกองบรรณาธิการ ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สามารถหยิบยกมาใช้ได้ทันที

แม้กระทั่งการเชื่อมโยงระหว่างลัทธิในญี่ปุ่นที่ถูกพาดพิงว่าเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุของคนร้าย กับองค์กรศาสนาที่มีลักษณะคล้ายกันในสังคมไทย สื่อไทยก็ไมได้นำเสนอแบบเจาะลึกลงไป กระทั่งผู้นำลัทธิในญี่ปุ่นต้องออกมาชี้แจงภารกิจขององค์กร และปฏิสธว่าแม่ของผู้ก่อเหตุไม่ได้บริจาคเงินจำนวนมากให้องค์กร ซึ่งสื่อสามารถทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน เปรียบเทียบองค์กรลักษณะนี้ของทั่วโลก เพราะเรื่องนี้น่าสนใจที่จะถูกพูดถึง 

“ของเรายังขาดการเจาะและการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างทันทีทันใดไปมาก แล้วตอนนี้ชักจะเกิดวัฒนธรรมในการเล่นดรามา ไม่ว่าข่าวนั้นจะเป็นข่าวที่ละเอียดอ่อนขนาดไหน ข่าวที่มีผลกระทบต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหน ท่านเล่นเป็นดรามาไปหมด เล่นเป็นของเล่น ที่ประชาชนควรรู้ก็จะไมได้รู้” รศ.ดร.มาลี กล่าว

ผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในฐานะที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น พบสังคมญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเนื้อเดียวสูง กล่าวคือ ชนชั้นกลาง (Middle Class) ในญี่ปุ่นมีขนาดใหญ่มาก ตัวอย่างหนึ่งคือการใช้บริการรถไฟ ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงานหรือผู้บริหารก็มักเดินทางด้วยรถไฟไม่ต่างกัน จึงดูเป็นสังคมที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน ดังนั้นการก่อเหตุรุนแรงที่ผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจจากการถูกกดทับทางอำนาจจึงเกิดขึ้นน้อยมาก

แม้กระทั่งเรื่องการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยของเหตุลอบสังหาร โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าเกี่ยวข้องเพราะการเมืองญี่ปุ่นไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น ขณะเดียวกัน แม้อดีตนายกฯ อาเบะ มีความคิดแบบฝ่ายขวา แต่พวกฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนสันติภาพก็คงไม่คิดใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ถึงญี่ปุ่นจะมีอาชญากรรมน้อย แต่เกิดมาทีหนึ่งก็น่าตกใจมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้มีพเพราะหาได้ง่ายกว่าปืน

ส่วนภูมิหลังของผู้ก่อเหตุ ทราบว่าเดิมเป็นครอบครัว มีแม่และน้อง แต่เมื่อเกิดมรสุมในชีวิตแล้วคนเป็นแม่ต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจแล้วไปเจอกับลัทธิดังกล่าว  นำไปสู่การทุ่มบริจาคเงินให้ลัทธิ ซึ่งตัวเลขที่ปรากฏในข่าวสูงเกือบ 30 ล้านบาท ทำให้ผู้ก่อเหตุและน้องต้องดิ้นรนส่งตนเองเรียนมหาวิทยาลัย หากมองในมุมนี้ก็เข้าใจผู้ก่อเหตุได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้ก่อเหตุตั้งใจจะไปสังหารเจ้าลัทธิ แต่เมื่อพบว่าเข้าถึงยากก็หันมาเลือกอดีตนายกฯ อาเบะ ที่เข้าถึงง่ายกว่า ซึ่งก็ประกอบกับเป้นช่วงที่อดีตนายกฯ อาเบะ ไปช่วยหาเสียงพอดี อีกทั้งสังคมญี่ปุ่นมีเหตุคนถูกทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นน้อยมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่มาตรการรักษาความปลอดภัยไม่ได้เข้มงวดมากนัก 

“กรณีของผู้ก่อเหตุเขาก็ไมได้ไปซื้อปืนที่ไหน เขาประดิษฐ์ปืนเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีประวัติการซื้อขายปืนใดๆ หรือเอามาจากไหน ไม่ได้หาปืนผิดกฎหมาย มันห็ไม่ใช่ ดังนั้นถ้ามองจากมุมของตำรวจญี่ปุ่น จะเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยก็ไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาจรงิๆ” ผศ.ดร.เจษฎา ระบุ

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นแพทย์ ขอให้ความรู้กับสื่อและสังคมไทย เรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อกรณีบุคคลใดหัวใจหยุดแต้นหมายถึงเสียชีวิต เห็นได้จากข่าวการถูกยิงของนอดีตายกฯ อาเบะ ในตอนแรกสื่อญี่ปุ่นบรรยายว่าหัวใจหยุดเต้นแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเสียชีวิตในภายหลัง แต่สื่อไทยเมื่อเห็นสื่อญี่ปุ่นใช้คำว่าหัวใจหยุดเต้นก็ตีความว่าเสียชีวิตในทันทีซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการทีคนคนหนึ่งหัวใจหยุดเต้น ยังสามารถกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นได้ 

ซึ่งแนวปฏิบัติทางการแพทย์คือการปั๊มและนวดหัวใจ (CPR) ประกอบกับให้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยแนวปฏิบัติจะอยู่ที่ 20 นาที-1 ชั่วโมง หากพ้นเวลานี้ไปแล้วผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บยังไม่ฟื้น แพทย์ที่ดูแลจะประกาศเวลาการเสียชีวิตซึ่งจะถูกบันทึกในใบมรณบัตร เช่นเดียวกับการจับชีพจรไม่เจอก็อาจไมได้หมายถึงเสีนชีวิตแล้วเสมอไป เพราะอาจเกิดจากชีพจรเต้นผิดจังหวะทำให้เบามากจนจับไมได้ โดยแพทย์ต้องดูสัญญาณอื่นประกอบด้วย เช่น ร่างกายขยับได้หรือไม่ ม่านตาตขยายรือไม่ ตอบสนองต่อแสงหรือไม่ เป็นต้น

นพ.นิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า อีกด้านหนึ่ง ในมุมสุขภาพจิต กรณีลอบสังหารอดีตนายกฯ อาเบะ เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่ผลที่ออกมาคือรุนแรงถึงชีวิต อีกทั้งผู้ก่อเหตุมีความตั้งใจก่อเหตุเห็นได้จากปืนที่ใช้เป็นอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ประเด็นนี้ต้องวิเคราะห์ไปให้ถึงการรับรู้ ซึ่งการรับรู้ที่นำไปสู่การมีสุขภาพจิตผิดเพี้ยน ในทางการแพทย์หมายถึงการขาดการรู้เท่าทันสุขภาพ (Health Literacy) และการรับรู้อาจมาจากสื่อ สิ่งแวดล้อมหรือบุคคลรอบข้าง ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่าปัจเจกบุคคลมีอำนาจทำลายล้างสูงเพียงใด 

เมื่อเทียบกับสังคมไทยในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาในประเด็นความคิดที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดความขัดแย้ง สังคมไทยก็มีการแบ่งฝ่ายเป็นคู่ตรงข้าม ประกอบกับสื่อก็มีบทบาทมาก เห็นได้จากใครเลือกข้างไหนก็มักจะรับข้อมูลข่าวสารเฉพาะจากสื่อฝั่งเดียวกัน และไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้การนำเสนอของสื่อหรือการแสดงออกของคนเป็นแบบทิศทางเดียว ซึ่งชี้นำการรับรู้และนำไปสู่การตัดสินใจทางจิต ที่ทางการแพทย์นับเป็นสุขภาพอย่างหนึ่งผิดไปด้วย จึงเห็นปฏิบัติการใช้ความรุนแรงของมวลชนเกิดขึ้นในสังคมไทย

“ความแตกต่างระหว่างความเป็นปัจเจกที่ใช้ความรุนแรง กับความเป็นมวลชนที่ใช้ฝูงชนเข้าไปแล้วใช้ความรุนแรงต่อกัน ในอดีต 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สังคมไทยปัจจุบันต้องเข้าไปคิดแล้วว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันสามารถตัดสินปัญหา แล้วจริงๆ มันควรจะเกิดขึ้นไหม? เรามีมาตรการอย่างไรในการที่จะไปปกป้อง” นพ.นิรันดร์ กล่าว

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุอาจไม่เกี่ยวกับการเมืองโดยตรง แต่มาจากปัจจัยจากประวัติในอดีต หรือปัจจัยด้านศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ที่ทำให้ความอึดอัดคับข้องใจระเบิดออกมา เมื่อประกอบกับการได้รับข้อมูลที่ส่งต่อกันมาซึ่งอาจจะไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เพราะอดีตนายกฯ อาเบะ ก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้ก่อเหตุตั้งใจลอบสังหารแต่แรก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุไปได้ข้อมูลจากที่ใด แต่ได้รับข้อมูลที่ทำให้ดข้าใจผิดว่าอดีตนายกฯ อาบะเกี่ยวข้องกับองค์กรลัทธิศาสนาดังกล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลข่าวสารที่ส่งต่อกันทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มีผลต่อการตัดสินใจของคนไม่มากก็น้อย ซึ่งประเทศไทยก็มีมากเช่นกัน อาทิ ทฤษฎีสมคบคิดที่ส่งต่อข้อมูลจับแพะชนแกะเพื่อกล่าวหาคนนั้นคนนี้ เรื่องนี้อันตรายเพราะเป็นกรสั่งสมความเกลียดชังโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดและไม่ทราบที่มาแต่ถูกส่งต่อกันไป เป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ผู้ก่อเหตุอาจมีปมอยู่ก่อนแล้ว แต่การได้รับข้อมูลทำให้วินาทีนั้นแล้วตัดสินใจ บุคคลสาธารณะก็ตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย

อยากจะรณรงค์ให้คนระมัดระวังมากขึ้นในการส่งต่อข้อมูลที่มันเป็นทฤษฎีสมคบคิด จับแพะชนแกะ ว่าคนนั้นคนนี้ คนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลังซึ่งมันอาจจะไม่จริง 100% นำไปสู่ความเกลียดชัง บังเอิญมันไปเจอกับคนที่เขามีปมพอดี มันอาจจะกระตุ้นทำให้เขาตัดสินใจทำอะไรที่มันมีความรุนแรงก็ได้ เราก็ไม่รู้ ก็น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญอันหนึ่งที่คนทั่วไปน่าจะได้ใช้และตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วย น.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

“เทพปัญญาโคแฟค” ล่ะกอนก้อมกำเมียง

รับชม ล่ะกอนก้อมกำเมียง เรื่องเทพปัญญาโคแฟค จากสถานีสื่อชุมชน เมืองสวดชาแนล จังหวัดน่าน ภาคีสื่อชุมชนโคแฟค

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2565

มีแก๊งค์แทงหม้อน้ำรถ ทำงานเป็นขบวนการ…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24dp672ochbbg


มีการไลน์ขอยืมเงินจากบุคคลมีชื่อเสียง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของภาครัฐ…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g1ojgchjlcra


กินนมวัวจะกระตุ้นทำให้ประจำเดือนมาเร็ว และร่างกายจะหยุดสูงทันที…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2gmj9fnuw5r4s


หมอเตือน วัยรุ่นผงพิเศษ อย่าหาทำใช้อุดฟัน อันตรายถึงตายได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39mdheupm66p7


กรมอุตุฯ ประกาศเตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 20 – 24 กรกฎาคม 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ot4qifallrbs


ประกาศกระทรวงฯ “กัญชา” สมุนไพรควบคุม ห้ามใช้ในผู้อายุน้อยกว่า 20 ปี และหญิงตั้งครรภ์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1baf66zvjkg1w


เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุพิเศษงวดแรกเข้าแล้ว หลัง ครม.อนุมัติ 10.94 ล้านคน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3m112xdpmuph5


จะมีการสร้างสนามบินที่จังหวัดพะเยา คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารคือใช้เครื่องบิน 180 ที่นั่งให้บริการวันเว้นวัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29fllvzky1ehv