สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2565

ออมสินและกรุงไทยร่วมกับบริษัทเอกชน ปล่อยสินเชื่อ K+ เงินกู้ฉุกเฉินผ่านไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vurzdf187oke


กระทรวงแรงงานเปิดรับสมัครไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายได้เดือนละ 40,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1vy0zqm5440gi


ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ประกาศปิดสิ้นเดือน ก.ย. หลังลดสถานะโควิด 19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/la3yfdlz4rb8


วัคซีนไข้ทรพิษฉีด ป้องกันโรคฝีดาษลิงได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3b8csl23gv6rt#_=_


ฝีดาษลิงเป็นแล้วหายได้เอง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ypzul72cxz9e#_=_


โชว์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขึ้นรถเมล์ไฟฟ้าสาย 8 เพียง 10 บาทตลอดสายถึงสิ้นปี 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xvgrxpyfnemg


ญี่ปุ่นยกเลิก “ตรวจโควิด” ขาเข้าประเทศ เริ่ม 7 ก.ย.เป็นต้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30p8dddy9d8zs


กัญชาช่วยบรรเทาอาการทางโรคผิวหนังได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jobjg2gkgtoc


Girls In Tech: เสริมพลังเยาวชนหญิงรับมือภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายนักตรวจสอบข้อมูลลวง 

 COFACT (ประเทศไทย) สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัด Girls In Tech: Detecthon ประเทศไทย เสริมพลังเยาวชนหญิงรับมือภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายนักตรวจสอบข้อมูลลวง 

 

เมื่อวันที่ 27-28 สิงหาคม 2565 ณ Samyan Co-op ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด, ร่วมกับภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมจัดงาน Girls In Tech: Detecthon ขึ้นภายใต้แนวคิด “เขาวานให้หนูเป็นสายลับ ภารกิจค้นหานักสืบหญิงรุ่นใหม่” โดยมีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 15-20 ปี เข้าร่วมจำนวนกว่า 40 คน เพื่อฝึกภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลข่าวลวงและสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการสร้างสรรค์เทคโนโลยีออกมาให้ได้ดีที่สุด

พล.ต.ต. ชูฉัตร ธารีฉัตร รองผู้บัญชากาตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ว่าเพื่อเพิ่มทักษะการค้นหา พิสูจน์ และรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นจากแหล่งเปิด หรือ Open-Source Intelligence (OSINT) ซึ่งเป็นเครื่องมือและทักษะสำคัญสำหรับพวกเราเยาวชนรุ่นใหม่ ให้สามารถรู้วิธีการใช้เซิร์จเอนจิ้น โดยเฉพาะการค้นหาขั้นสูง เช่น ทวิตเตอร์และกูเกิลที่เป็นเครื่องมือที่มีเคล็ดลับในการค้นหาขั้นสูง อีกทั้งจะได้เรียนรู้และทำความรู้จักเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ที่ช่วยให้เข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลบนโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยในการหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง เช่น การยืนยันความถูกต้องของรูปภาพและวีดีโอที่พบบนสื่อโซเชียล  ดังนั้นการยืนยันข้อมูลด้วยวิธี OSINT จึงเป็นทักษะที่เยาวชนสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ที่มาของภาพหรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ 

นางญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในปัจจุบันคนไทยต้องเผชิญกับสภาวะข้อมูลข่าวสารท่วมท้นจนไม่สามารถเชื่อได้ว่าข้อมูลไหนเป็นข้อมูลจริงกันแน่ โดยข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ที่ถูกบิดเบือนจะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง สุขภาพ และภัยพิบัติ ซึ่งล้วนส่งผลต่อการรับรู้ของข้อมูลข่าวสาร โดยแบ่งเจตนาออกได้เป็น ข้อมูลที่เกิดจากความเข้าใจผิด ข้อมูลที่จงใจบิดเบือนด้วยแรงจูงใจทางการเมืองหรือธุรกิจ และข้อเท็จจริงแต่มีเจตนาไม่ดีในการใช้ ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกและระดับประเทศ จากการสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2563 โดยศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พบว่าจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างอายุ 12-18 ปี จำนวน 14,945 คน พบว่าร้อยละ 89 เชื่อว่าโลกออนไลน์มีภัยอันตรายหรือความเสี่ยง และร้อยละ 61 เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จัดการได้ อีกร้อยละ 83 เชื่อว่าจะสามารถแนะนำช่วยเหลือเพื่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์บนโลกออนไลน์ได้ ถึงแม้เด็กและเยาวชนในยุคดิจิทัลหรือที่เรียกว่าDigital Native​จะมีความมั่นใจในเรื่องการใช้เทคโนโลยี​ แต่ก็เผชิญความเสี่ยงจากภัยออนไลน์​ โดยไม่สามารถป้องกันหรือจัดการปัญหาได้เมื่อเกิดเหตุเนื่องจากยังขาดทักษะเท่าทันสื่อเป็นภูมิคุ้มกัน  ซึ่งการรู้เท่าทันสื่อนั้นสำคัญและควรให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ เช่น การพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม หรือการล่อลวงเด็กเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น

สสส. ได้สนับสนุนภาคีเครือข่าย ในการพัฒนานักสื่อสารสุขภาวะ พัฒนานวัตกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงออนไลน์ การสื่อสารสาธารณะ การแก้ไขกฎหมายคุ้มครอง การพัฒนาแนวทางของสหวิชาชีพ และการส่งเสริมทุกภาคส่วนในสังคมได้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ส่งผลทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงปัญหาข่าวลวงในปัจจุบันว่า ปัจจุบันข่าวลวงได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือข่าวลวงที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ซึ่งที่ผ่านมาโคแฟคจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา รวมถึงจัดทำกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับข่าวลวงทางด้านสุขภาพ ส่งผลทำให้ผู้คนเข้าใจมากขึ้น เมื่อมีปัญหาข่าวลวงผู้คนก็สามารถมาตรวจสอบข่าวลวงได้ทาง Line: @Cofact ได้ตลอดเวลา 

ในขณะเดียวกัน อีกปัญหาหนึ่งทำให้ส่งผลกระทบในระยะยาว และอาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็คือ ปัญหาข่าวลวงเชิงอาชญากรรม ซึ่งส่งผลทำให้ผิดกฎหมายหรืออาจจะทำให้ผู้ที่แชร์บทความออกไปถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้มีข่าวลวงที่เข้าข่ายค่อนข้างเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวลวงที่เชื้อเชิญให้มายืมเงิน หรือการล่อลวงต่างๆ ในส่วนนี้ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาจากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความตำรวจ โดยมีกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดูแลอยู่ อีกส่วนก็คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเองก็สามารถเข้าไปตรวจสอบก่อนที่จะเชื่อได้ รวมถึงตระหนักและไม่เชื่อข้อมูลที่ไม่ไว้วางใจเด็ดขาด ก็จะสามารถป้องกันตนเองและสังคมโดยรวมได้

นางสันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยร้อยละ 69.5 สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งมากกว่าคนทั่วโลกเสียอีก และร้อยละ 94.2 ของเด็กไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่จำกัดเวลา และใช้เวลามากกว่า 11 ชั่วโมงในการเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งค่าอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยค่อนข้างถูก จึงทำให้เราสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าที่คิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการถูกล่อลวงหรือโดนโกงได้ง่าย นอกเหนือจากนี้ยังเกิดข่าวลวง ซึ่งถ้าหากเกิดการแชร์ออกไปก็อาจจะผิดกฎหมายได้ เช่น ข่าวลวงที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม หรือการส่งต่อภาพลามกก็ผิดกฎหมายได้เช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ เด็กและเยาวชนหลายๆ คนพอเกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะโดนการล่วงละเมิดทางเพศ หรือโดนปัญหาอื่นๆ ก็ไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากไม่ได้มีความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของตำรวจ รวมถึงการที่มีโอกาสสูงที่จะโดนปฏิเสธการแจ้งความ จนส่งผลไปถึงการรีบจบการดำเนินคดีที่สถานีตำรวจได้ง่ายดาย และส่งผลให้สภาพจิตใจของผู้เสียหายย่ำแย่ลงได้เช่นกัน

สถาบันนิติวัชร์ มีหน้าที่สร้างองค์ความรู้ในด้านกระบวนการยุติธรรม โดยนำความรู้ทางด้านวิชาการมาทำในเชิงภาคปฏิบัติ และส่งเสริมให้คนไทยเข้าใจกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมให้เกิดการแสดงความคิดเห็น โดยต้องอาศัยความร่วมมือในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดความเท่าเทียมให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

พ.ต.อ. รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศในปัจจุบันยังคงรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่พบการล่อลวงเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันผู้เสียหายก็ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี แม้กระทั่งบางทีคนที่แชร์ก็ไม่ทราบว่าการส่งต่อรูปลามกก็ผิดกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี พยายามสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการถูกล่อลวง ส่งผลต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศในอนาคต

นอกเหนือจากนี้ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยียังเน้นการสร้างความรู้ และส่งเสริม คุ้มครองผู้เสียหาย และดำเนินการเชิงรุกเพื่อทำให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้เรียนรู้และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถดำเนินการร้องเรียนหรือแจ้งความได้ทันที ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาที่ดีนอกเหนือจากทางตำรวจแล้ว ประชาชนหากมีอะไรที่สงสัยหรือรู้สึกว่าเป็นการล่อลวงเยาวชน ก็สามารถแจ้งมาที่ตำรวจได้ทันที และงดการส่งต่อข้อมูล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรืออาจจะผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน

ซึ่งในกิจกรรมก็มีการเวิร์คช็อป โดยเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจในการใช้ Design Thinking โดยนางสาวสิตตา มารัตนชัย กรรมการผู้จัดการ บจก.โกลบอล อิมแพ็คท์ คอนซัลติ้ง ซึ่งได้ให้ข้อมูลถึงการพัฒนาแนวความคิดแบบ Design Thinking ว่าการแก้ไขปัญหาต้องคิดแบบหลากหลายมิติ หลากหลายมุม เพราะทุกปัญหามีความซับซ้อนมากกว่าแค่มุมเดียว ซึ่งต้องใช้วิธีการดำเนินการคิดแบบทีละมิติ ทีละมุม และอย่าคิดสองหมวดพร้อมกัน แต่จงคิดทีละหมวด โดยควรทำให้เข้าใจปัญหา และสามารถระบุปัญหาได้ หลังจากนั้นจึงมาสร้างไอเดีย ออกแบบ และทดสอบการแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยการแก้ไขปัญหาควรคำนึงถึงการใช้งานจริงได้ด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาจริงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการล่วงละเมิดทางเพศ และเกิดปัญหาจากการฟ้องร้อง เนื่องจากการเก็บหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันไปมาขึ้น และทำให้ผู้เสียหายเกิดปัญหาขึ้นในการดำเนินคดี ซึ่งจากกรณีศึกษาเหล่านี้ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการทำ Detecthon = (Detective + Marathon) ครั้งนี้และยังเป็นความรู้ที่นำไปปรับใช้ได้อีกด้วย 

ยังมีการแนะนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการสืบสวนและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเปิด โดย พ.ต.ท. ธนธัส กังรวมบุตร สว.กลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าในปัจจุบันนับตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2565 พบการแจ้งความทางออนไลน์มากกว่า 66,000 เรื่อง และเป็นคดีออนไลน์กว่า 59,000 เรื่อง โดยเป็นเรื่องหลอกให้ทำงานออนไลน์มากที่สุด ร้อยละ 13.16 รองลงมาคือหลอกให้กู้แล้วไม่ได้เงิน ร้อยละ 10.83 และหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ ร้อยละ 8.35 นอกจากนี้ยังพบว่ามีการอายัดบัญชีมากกว่า 2,200 ล้านบาท แต่สามารถนำเงินมาคืนได้เพียง 121 ล้านบาทเท่านั้น

ในช่วงบ่ายยังมีการเรียนรู้ด้านการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ โดย ร.ต.อ.หญิง วรัญญา มรรคนันท์ ผู้วิเคราะห์ ศูนย์อำนวยการกลาง ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทำ Data Visualization ให้ข้อมูลถูกย่อยง่าย จะทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น มองเห็นข้อมูลเชิงลึกได้รวดเร็ว เห็นข้อเปรียบเทียบของข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาในการตีความข้อมูล และเห็นจุดที่น่าสนใจของข้อมูลได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการอบรมเกี่ยวกับการเก็บพยานหลักฐานจาก พ.ต.ต. ณัฐพงศ์ เผือกเนียม สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กล่าวว่าการก่อเหตุของคนร้ายในปัจจุบันจะใช้วิธีการล่อลวง ชักจูงให้เหยื่อทำตามในลักษณะต่างๆ เช่น ถ่ายคลิปลับ ให้เปลื้องผ้า ให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในวิธีต่างๆ และ 4 ข้อที่คนร้ายจะใช้ล่อลวงคือ หลอกจะให้เงิน เชิญเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า และท้าให้เปิดกล้อง ถ้าในกรณีที่ตกเป็นเหยื่อแล้ว ให้ตั้งสติ และห้ามลบประวัติการคุย ห้ามลบสื่อสังคมออนไลน์ที่โดนหลอกลวง ห้ามแจ้งคนร้ายว่าแจ้งตำรวจแล้ว และอย่าปกปิดผู้ปกครอง

หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงการแจกโจทย์ ดำเนินการ Detecthon และนำเสนอในวันถัดมา โดยแต่ละกลุ่มก็สามารถสรรสร้างเนื้อหาและการตรวจสอบจากข้อมูลข้อเท็จจริง เช่น การตรวจสอบข้อมูลจากพยานหลักฐานผ่านแหล่งข้อมูลเปิด โดยโจทย์ที่ได้รับคือการหลอกให้ขายสินค้าทางออนไลน์ ทำให้สูญเงินและไม่ได้รับของ

ในช่วงบ่ายของวันที่สอง (28 สิงหาคม 2565) คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจำนวนห้าคนมาทำหน้าที่ตัดสิน โดยร่วมให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทำงาน ได้แก่ พ.ต.อ. รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ให้ข้อมูลว่า ทุกคนสามารถทำผลงานได้ดีมากๆ ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น และยังอยากให้ทุกคนรู้เท่าทันเกี่ยวกับการล่อลวงเยาวชน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราที่สูงมากขึ้นและถ้าเกิดกับคนรอบตัวก็ช่วยกันเตือน เพื่อจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขั้น นอกจากนั้นคุณธาม ภัคพงษ์พันธุ์ชัย อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าในช่วงที่ผ่านมีมีการตรวจสอบที่ดีมากๆ แต่ยังอาจจะไม่ลึกพอให้สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ซึ่งควรที่จะใช้ความลึกและหลากหลายมิติของข้อมูลในการพัฒนาและหาต้นตอที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้น่าเชื่อถือและสร้างความไว้วางใจในข้อมูลได้จริงๆ หรือแม้กระทั่งชื่อย่อของหน่วยงานที่อาจจะมีความซับซ้อนด้วยเช่นกัน ที่สำคัญต้องตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นข้อมูลจริง

ในขณะที่ คุณธนภณ เรามานะชัย Teaching Fellow, Google News Lab กล่าวว่า ในการตรวจสอบหาข้อมูลนั้นยังใช้เพียงแค่ Facebook ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของข้อมูลได้ และทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือเพียงเพราะการหาข้อมูลเพียงแค่มิติเดียว อยากให้หาข้อมูลให้ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้นได้ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลผ่านการตรวจสอบสื่อก่อนว่ามีการนำเสนอแบบไหนบ้าง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคุณมณธิรา รุ่งจิตรานนท์ นักข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศไทย สำนักข่าว AFP ที่กล่าวว่า ควรใช้รูปภาพในการค้นหาข้อมูลผ่าน Google Image ได้อีกทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการนำเสนอและค้นหาข้อมูลเพียงแค่ด้านเดียว หรือการค้นหาต้นตอในการนำเสนอข่าวให้ชัดเจนและหาต้นตอแรกสุดให้เจอ รวมถึงควรเชื่อในสำนักข่าว (คนผลิตข่าว) มากกว่าบริษัทข่าว (คนซื้อข่าว) เพราะมีแนวโน้มของความเที่ยงตรงมากกว่า

นอกเหนือจากนี้ คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวว่า จากการนำเสนอของน้อง ๆ ที่ผ่านมานั้น ข้อมูลบางอย่างอาจจะเชื่อง่ายมากจนเกินไป จะต้องคิดว่าข้อมูลไหนที่ใช้ได้และสามารถเปิดเผยได้ น้องบางคนอาจจะไม่ทราบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และอาจจะต้องอธิบายในการหาข้อมูลและใช้เครื่องมือให้เหมาะสมเช่นกัน ที่สำคัญคือต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน และเข้าใจง่าย อาจจะต้องให้น้อง ๆ ตรวจสอบและลองนำเสนอกันเองให้แน่ใจไว้ก่อนที่จะนำเสนอจริงอีกครั้ง นอกจากนี้การมีแหล่งเยอะก็ยิ่งทำให้ความซับซ้อนของเนื้อหามีมากขึ้น และส่งผลต่อการตรวจสอบข่าวลวง จึงอาจจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือด้วยเช่นเดียวกัน อาจจะต้องแยกข้อมูลออกมาให้ชัดเจน เพื่อตามสืบเรื่องราวและสรุปได้ชัดเจน

และทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศในโครงการ Girls In Tech: Detecthon คือทีมที่ 1 ซึ่งนางสาวอิงฟ้า ชัยยุทธศุภกุล นักเรียนจากโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตัวแทนทีมที่ชนะเลิศ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกดีใจที่ตนเองได้รับรางวัลชนะเลิศ และพอสอบถามถึงการให้คะแนนก็ได้ทราบว่าเขาหาวิธีการนำเสนอว่าถูกต้องมากน้อยแค่ไหน และมีความหลากหลายแค่ไหน ซึ่งเหตุผลที่ทีมเราชนะเพราะเราหาได้ลึกกว่าและหลากหลายกว่า นอกจากนี้ยังรู้สึกสนุกกับการเข้าร่วมค่ายนี้ เราได้รับการสนับสนุนจากค่ายค่อนข้างมาก ทำให้เราสามารถมีเวลาในการคิดและสร้างสรรค์ได้เต็มที่ และทางเพื่อนๆ เอง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงล้วนและอายุที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้เราสามารถค้นหาข้อมูลและถกเถียงกันได้ดีขึ้น จนนำไปสู่การหาแนวทางในการพัฒนาได้ต่อไปอีกด้วย

ในขณะที่นางสาวอารียา นาแพง นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี ตัวแทนผู้ที่เข้ามาร่วมอบรมในครั้งนี้ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มาร่วมกิจกรรมว่า ตนเองรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทุกๆ อย่างในค่ายนั้นเจ๋งและตัวงานมีการวางแผนให้ครอบคลุมกับตัวน้องทุกๆ คนมาก และพอถึงกระบวนการหาข้อมูลนั้นทางค่ายได้มีการให้เตรียมตัวโดยวิทยากร จึงทำให้สามารถเข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้จริง นอกจากนี้เพื่อนๆ ในทีมยังให้การต้อนรับที่ดีและช่วยเหลือในทีมกันได้ดีมากเลยทีเดียว มีการแบ่งงานได้ดีเลยทีเดียว จึงทำให้ตัวงานเป็นไปด้วยความราบรื่น

ทุกท่านสามารถติดตามและตรวจสอบข่าวลวง หากไม่แน่ใจในข่าวไหนนำไปตรวจสอบได้ทาง www.cofact.org หรือ Line @cofact และติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Facebook: Cofact โคแฟค


เตรียมจัดงาน ‘APAC Trusted Media Summit’20-21กย.นี้ ‘ไทย’ชูประเด็น‘ข้อมูล’น่าห่วง มุ่งส่งเสริมสื่อที่สังคมเชื่อถือได้

เตรียมจัดงาน APAC Trusted Media Summit’20-21กันยานี้ ไทยชู3ประเด็นข้อมูลน่าห่วง มุ่งส่งเสริมสื่อที่สังคมเชื่อถือได้ 

25 ส.ค. 2565 ที่โรงแรมแอทสยาม ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ โคแฟค (ประเทศไทย) ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน ร่วมกับ Google News Initiative จัดงานแถลงข่าวการประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 ซึ่งงานแถลงข่าวครั้งนี้ยังถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “Cofact โคแฟค” ไปพร้อมกันด้วยอีกช่องทางหนึ่ง

การประชุมสุดยอดประจำปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 ก.ย. 2565 ในรูปแบบผสมผสาน โดยมีการจัดประชุมออนไลน์ระดับภูมิภาคในวันที่ 20 ก.ย. 2565 และแบบตัวต่อตัวในสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยภายในงานจะเป็นการรวมตัวกันของนักข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง นักวิชาการ นักวิจัย นักเคลื่อนไหว ตลอดจนผู้กำหนดนโยบายที่ต่อสู้กับข้อมูลเท็จทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยมุ่งหวังให้เกิดการสร้างเครือข่าย รวมทั้งแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง การพิสูจน์ความจริง การรู้เท่าทันสื่อ

ญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ข้อมูลจากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในปี 2563 พบผู้ใช้สื่อออนไลน์ ร้อยละ 94.7 เคยพบเห็นข่าวลวง เช่นเดียวกับการสำรวจของโคแฟคในปี 2564 พบผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 97 พบเห็นข่าวลวงเป็นเรื่องปกติ ขณะเดียวกัน แม้พื้นที่ออนไลน์สาธารณะจะพบการเผยแพร่ข่าวลวงลดลง แต่ยังน่าเป็นห่วงในพื้นที่ปิด เช่น กลุ่มเฟซบุ๊กหรือไลน์ ซึ่งจัดการได้ยาก

“การจัดการปัญหาข่าวลวง ต้องอาศัยคนจากหลากหลายศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาชีพด้านสื่อมวลชน ประชาสังคม นักพัฒนาเทคโนโลยี หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือเภสัชกร กลไกการทำงานแบบสหวิชาชีพ ก็จะเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในชุมชนการตรวจสอบช่าวลวงทั้งระดับโลกและระดับประเทศ-ระดับชุมชน” ญาณี กล่าว

เฟรดเดอริก ชปอร์ หัวหน้าสำนักงาน ประเทศไทย มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) กล่าวว่า คำว่า Trust หรือความไว้วางใจ เป็นคำที่ใหญ่มาก แต่สามารถแยกได้ 3 ประเด็น คือ 1.สังคมต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้สื่อมวลชนรายงานข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นอิสระ รวมถึงกฎหมายที่สนับสนุนให้สื่อสามารถทำงานได้โดยปราศจากแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง 

2.การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) และรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นทักษะที่ทุกคนต้องมีไว้ว่าจะเป็นผู้ส่งสารหรือผู้รับสาร เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามานั้นอะไรจริง-เท็จ ซึ่งจุดนี้โคแฟคก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้แต่ละได้ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง และ 3.อคติมีผลต่อการเลือก-ไม่เลือกรับข้อมูลข่าวสาร แต่การเข้าใจสังคมมากขึ้นจะทำให้รับข้อมูลข่าวสารได้ดีขึ้น พร้อมกับยกตัวอย่าง การมองสื่อนั้นเป็นฝ่ายเดียวกัน สื่อนี้เป็นฝ่ายตรงข้าม ก็เป็นอคติแรกของผู้รับสาร 

ธนภณ เรามานะชัย, Thailand Teaching Fellow, Google News Lab กล่าวว่า Google News Initiative เป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านข่าวในประเทศไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่ง กูเกิล (Google) ให้ความสำคัญกับงานข่าว เพราะเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น กูเกิลจึงทำงานเพื่อสนับสนุนสื่อมวลชน ผ่าน 3 แกน คือ 1.พัฒนาคุณภาพงานข่าว โดยเฉพาะข่าวในแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทเรียนออนไลน์ให้คนทำงานสื่อ นักศึกษาที่เรียนด้านสื่อสารมวลชน รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจได้เข้าไปเรียนรู้กันได้ที่ g.co/newstraining

2.สร้างพันธมิตรในการพัฒนารูปแบบสื่อใหม่ มีการสนับสนุนสื่อมวลชนโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นสื่อออนไลน์ และ

3.สนับสนุนและสร้างชุมชนนักข่าวระดับโลก ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งาน Trusted Media Summit เป็นต้น ดังนั้น เป้าหมายของ Google News Initiative คือ การสร้างอนาคตของสื่อสารมวลชนที่เข้มแข็งไปด้วยกัน ส่วนงาน Trusted Media Summit จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2561 โดย Google News Initiative ร่วมมือกับ First Draft และ IFCN และจัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี

สำหรับการจัดงาน APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 หรือครั้งนี้ มีภาคีเครือข่ายหลากหลายชาติ ประกอบด้วย AJI (อินโดนีเซีย) , data LEADS (อินเดีย) , FactCheck Initiative Japan (ญี่ปุ่น) , Taiwan FactCheck Center (ไต้หวัน) และ โคแฟค (ไทย) เป็นผู้ร่วมจัดงานในรูปแบบออนไซต์ (Onsite) โดยปีนี้มีหลายหัวข้อน่าสนใจ ได้แก่ 1.Big Narrative การใช้ข้อมูลข่าวสารเชิงมวลชน 2.Pre-Bunking การป้องกันไม่ให้เกิดข้อมูลบิดเบือนตั้งแต่แรก เพื่อที่จะไม่ต้องมาแก้ไขในภายหลัง (Debunking) เมื่อข้อมูลเผยแพร่ไปแล้ว 3.Polarization ความแตกต่างทางความคิด เช่น ความเชื่อทางการเมือง 4.Role of Technology บทบาทของเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการด้านนี้ด้วย ว่าส่งเสริมให้เกิดข้อมูลบิดเบือนหรือไม่ 5.Trust ความไว้วางใจการทำงานของสื่อ 6.Rise of Micro-Influencer ในอินเตอร์เน็ตจะพบบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีคนจำนวนมากติดตามความเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ในโลกจริงก็จะมีบุคคลที่คนอื่นๆ ในชุมชนให้ความเชื่อถือ โดยคนเหล่านี้เป็นอีกกลุ่มที่มีบทบาทด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความเสี่ยงในการเผยแพร่ข่าวลวงโดยเฉพาะในกลุ่มปิด 7.Collaboration การทำงานร่วมกัน และ 8.Who is a Fact-Checker? บทบาทขององค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ในการตรวจสอบข้เท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ ไฮไลท์ในวันที่ 20 ก.ย. 2565 ซึ่งเป็นการจัดงาน APAC Trusted Media Summit ได้รับเกียรติจากวิทยากร 2 ท่าน ร่วมกล่าวปาฐกกา คือ มาเรีย เรสซา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และผู้ก่อตั้งสำนักข่าว Rappler ในฟิลิปปินส์ กับ เอเลียต ฮิกกินส์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Bellingcat ซึ่งโดดเด่นในการใช้ Open Source Intelligence ตรวจสอบข่าวลวง

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่เรากลับมาจัดงานในรูปแบบออนไซต์กันอีกครั้ง คือโดยปกติแล้ว ช่วงก่อนโควิด ช่วงปี 2018-2019 (2561-2562) เราจะจัดงานที่สิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์เป็น Asia Headquarter (สำนักงานใหญ่ประจำทวีปเอเชีย) ของกูเกิล แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด และบางประเทศยังไม่สามารถเดินทางได้ทันที อย่างญี่ปุ่น จะไปก็ต้องพึ่งบริษัททัวร์ไป ก็จะค่อนข้างมีความยากลำบาก หรืออย่างไต้หวัน ฮ่องกง ยังต้องมีการกักตัวกันเวลาเดินทาง เพราะฉะนั้นแล้วในปีนี้ทางทีมงานก็เลยคิดว่า อย่างนั้นเราปรับรูปแบบการจัดงาน เป็นแบบให้แต่ละประเทศเป็นผุ้จัดงานในประเทศด้วยกันเอง” ธนภณ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับการจัดงานในประเทศไทย วันที่ 21 ก.ย. 2565 โดย โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ Google News Initiative นั้น จะเป็นการนำเสนอ 3 ประเด็นสำคัญในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.ความรู้เท่าทันเรื่องสุขภาพ (Health Literacy) ซึ่งล่าสุดเพิ่งจัดเสวนาหัวข้อ “จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย” ไปเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยพูดคุยกันถึงหลากหลายเรื่องราวข่าวลวงด้านสุขภาพ ตั้งแต่มะนาวโซดา วัคซีนโควิด-19 ไปจนถึงกัญชา

2.อาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Crime) เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ SMS ชักชวนให้สมัครอะไรสักอย่างหนึ่ง หากหลงเชื่อก็จะเสียเงินเสียทองได้ ซึ่งล่าสุด ในวันที่ 27-28 ก.ย. 2565 โคแฟค ได้ร่วมกับตำรวจและอัยการ จัดกิจกรรมอบรมวัยรุ่นหญิงให้รู้เท่าทันการหลอกลวงหลายรูปแบบบนโลกออนไลน์ อาทิ มิจฉาชีพแสร้งรัก (Romance Scam) หรือการหลอกขายอาหารเสริม หรือหลอกลวงไปเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์ เช่น เมื่อมีคนใช้เฟซบุ๊กทักเข้ามาชวนพูดคุย จะตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบัญชีเฟซบุ๊กนั้นได้อย่างไร เป็นต้น

และ 3.การบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง (Political Disinformation) ซึ่งเป็นปัญหาทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น ประเด็นวัคซีนโควิด-19 แม้จะเป็นเรื่องสุขภาพ แต่บางแง่มุมก็เชื่อมโยงกับเรื่องการเมืองเช่นกันอาทิ ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐถูกสังคมตั้งข้อสงสัย โดยความจริงอาจไมได้มีเพียงชุดเดียว ขณะเดียวกัน สังคมไทยยังมีความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน และการตัดสินว่าเรื่องใดจริง-ไม่จริงในประเด็นทางการเมืองนั้นก็ไม่ง่ายเพราะมีข้อมูลหลายชุด จึงต้องอาศัยการพูดคุยกันเพื่อหาทางออก

นอกจากนี้ ยังมีปาฐกถาหลายหัวข้อ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรหลายท่าน อาทิ หัวข้อ “Why trusted-media matters in a zero-trust world?” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) , หัวข้อ “Tech for Journalism : How to boost more accuracy?” โดย ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ร่วมก่อตั้ง ZTRUS , หัวข้อ การกำกับสื่อร่วมสมัยควรเป็นเช่นไร โดย ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 

อีกทั้งยังมีเสวนาหลายหัวข้อ เช่น หัวข้อ ต้นทุนและทักษะในการนำเสนอข่าวที่น่าเชื่อถือ โดยวิทยากรจากแวดวงสื่อมวลชน อาทิ กิตติ สิงหาปัด รายการข่าวสามมิติ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 HD33 , มณฑิรา รุ่งจิตรานนท์ สำนักข่าว AFP , พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ สำนักข่าวออนไลน์ The Matter และ ระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ดำเนินรายการโดย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รวมทั้งไฮไลท์สำคัญที่จะมีตัวแทนสื่อมาเล่าผลงานเด่นในการทำข่าวและตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งการเสวนาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งที่เป็นสื่อดั้งเดิม (วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์) และสื่อใหม่ รวมถึงตัวแทนจากสภาองค์กรของผู้บริโภค , หัวข้อ สรุป 3 ประเด็นปัญหาในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมีการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนที่เสียงไม่ค่อยถูกได้ยิน (Voice of Voiceless) ได้มีโอกาสสะท้อนมุมมองด้วย เช่น กลุ่มสื่อท้องถิ่น กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มสื่อมุสลิม คนชายชอบ ฯลฯ 

ท่านใดอยากจะมาส่งเสียง (Voice) ในเวทีช่วงนี้ หรือนำเสนอว่าสื่อที่น่าเชื่อถือกระทบต่อเขาอย่างไรหรือควรจะเป็นอย่างไร ก็จะเป็น Panel (วงเสวนา) ที่เราจะให้กลุ่มประชาชนที่หลากหลายได้มาสะท้อนความเห็น นอกนั้นที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งคือช่วง Lightning Talk ซึ่งเราจะเชิญสื่อมาพูดสไตล์ TED Talk สรุปไฮไลท์ มาสเตอร์พีซตรวจสอบข่าวที่เขาภาคภูมิใจ เขาอยากโชว์ของ โชว์ผลงาน ซึ่งรายละเอียดเดี๋ยวเราจะเปิดเผยต่อไป สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปในช่วงเสวนาในตอนท้ายของการแถลงข่าวครั้งนี้ ว่า จากการทำงานของโคแฟคตลอด 3 ปีที่ผ่านมา 3 ประเด็นข้างต้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยให้ความสนใจ โดยบนเว็บไซต์ cofact.org พบข่าวเรื่องสุขภาพมาเป็นอันดับ 1 เช่น เป็นมะเร็งกินอะไรรักษาได้ ก็มีตั้งแต่มะนาวโซดาจนถึงน้ำมันกัญชา แต่ผู้รับข้อมูลข่าวสารบางทีก็ไม่รู้ว่าข้อมูลจำนวนมากที่ส่งต่อกันนั้นอะไรเชื่อได้-ไม่ได้ และการที่ใครสักคนเลือกเชื่ออะไรสักอย่าง สาเหตุมีมากกว่าความไม่รู้ อาทิ เรื่องหนึ่งมีข้อเท็จจริงหลายชุด ซึ่งเข้ากับภารกิจของโคแฟค คือการหาความจริงร่วม

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ส่งผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารประเด็นการเมือง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ อีกทั้งเป็นประเด็นที่ทำได้ยาก ดังนั้นในงาน APAC Trusted Media Summit ครั้งนี้จะมีการมาพูดคุยกันว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีองค์กรหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ที่เป็นอิสระและเป็นกลางครอบคลุมทุกฝ่าย สุดท้ายคือเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ล้ำเส้นจากเรื่องข้อมูลข่าวสารไปเป็นการก่ออาชญากรรมจริงๆ

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ผู้แทนจาก Centre for Humanitarian Dialogue (HD) กล่าวว่า ที่ผ่านมา HD ทำงานส่งเสริมการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์และปลอดภัยในการพูดคุยประเด็นการเมืองหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ลามไปจนถึงสื่อเป็นประเด็นที่มีมานานแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปี 2565 มีผลการศึกษาหนึ่งที่สำรวจความคิดเห็นของผู้คนในหลายประเทศ พบว่า ผู้คนเชื่อมั่นใจภาครัฐและสื่อลดลง โดยไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในการศึกษานี้ 

ความกังวลของคนทั่วไปในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน ประเทศไทยถือว่าเยอะที่สุดเลย 82% จากรายงานนั้น แล้วเขาก็มองว่าทั้งภาครัฐเองแล้วก็สื่อ ในบางมุมก็อาจได้รับประโยชน์จากการที่มันมีการเผยแพร่ข้อมูลลวงออกไปด้วย อันนั้นทำให้เรามาคิดว่า ในฐานะโคแฟคและองค์กรภาคี เราควรจะทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือเปล่า มันก็เลยเป็นที่มาที่ต้องมานั่งคุยกัน แล้วทำอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อมั่นของสื่อมาได้ อันนั้นก็จะเป็นเรื่องที่เราเอามาคุยกันกุลชาดา กล่าว 

ดร. พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ สำนักงานประเทศไทย มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) กล่าวว่า FNF เป็นองค์กรที่ส่งเสริมเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เชื่อเสมอมาคือ คนต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่รอบด้าน เพราะข้อมูลจะช่วยในการตัดสินใจได้ในทุกเรื่อง และการเมืองก็เป็นเรื่องที่มีผลต่อคนทุกคน คำถามคือประชาชนจะมีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจได้อย่างไร ดังนั้นสือจึงมีบทบาทมาก แต่ในขณะเดียวกัน สังคมที่แบ่งขั้ว (Polarize) ก็ทำให้แต่ละคนเลือกรับเฉพาะข้อมูลข่าวสารในฝั่งที่ตนเองเชื่อเท่านั้น

อาจไม่ใช่เฉพาะสังคมไทยเท่านั้นที่มันแตกแยก แล้วเราก็เลือกที่จะรับข้อมูลจากช่องทางที่เราอยากรับ ดังนั้นเราก็อาจจะไม่ได้แคร์ว่าข้อมูลนั้นมันจริง-ไม่จริง แต่พอเราไม่แคร์ เพียงแต่เราสนใจว่าช่องทางไหนอยากจะรับ มันก็จะทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือในปลายทาง เราไม่ได้สนว่ามันจริง-ไม่จริง เราอยากจะเชื่อในช่องทางนี้เท่านั้น ดังนั้นบทบาทของสื่อ คิดว่าสื่อที่มีคุณภาพมีความสำคัญยิ่งมากขึ้นกว่าสมัยเดิม ดร. พิมพ์รภัช กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2565

โครงการ “คนละครึ่งเฟส 5” ที่จะเริ่มให้ลงทะเบียน เริ่มในวันที่ 19 สิงหาคม 2565และต้องยืนยันสิทธิฯ ภายในเวลา 22.59 น. วันที่ 14 กันยายน 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32wc2wd6q8846


องค์กรมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ เรียกร้องให้นำกัญชา กลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดเหมือนเดิม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/52iurfdmpt08


อย่าหลงเชื่อ! กดลิงก์รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แอบอ้าง ปตท.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1anrq1w8xq8n6


“กัญชา” แต่ละสายพันธุ์ “ลักษณะ-คุณสมบัติ” ต่างกัน…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26eeyesog6nar#_=_


หอยนางรมมีเชื้อ vibrio vulnificus เป็นเหตุทำให้ตับแข็ง และติดเชื้อที่ผิวหนังกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1n5rxeqbe5fvq#_=_


5 กันยายน บังคับใช้กฏหมายจราจรใหม่ คนนั่ง”แคปกระบะ” ต้อง “คาดเข็มขัด’…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33z4c197lsl2s#_=_


23 ส.ค. ชวนร่วมงาน #นักคิดดิจิทัล : จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

เวทีสัมมนาไฮบริด นักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 23 

จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.30 – 12.00 น. 

ณ. ห้องประชุม 201 ชั้น 2  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  (สสส.) 

ถ่ายทอดสดผ่านเพจ Cofact โคแฟค 

9.30 – 10.00 น.        กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม  โดย 

คุณญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.00 – 10.30  น.     นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกข่าวลวงด้านสุขภาวะในรอบปีที่ผ่านมา  โดย 

คุณสุนิตย์ เชรษฐา  ผู้อำนวยการสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น

10.30 – 12.00 น.         เสวนานักคิดดิจิทัล  จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการ

รับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

  • คุณสันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย 
  • เภสัชกรหญิงผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
  • คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์  ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท
  • คุณสุชัย  เจริญมุขยนันท  Ubonconnect 
  • คุณเชลศ ธำรงฐิติกุล  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ตำบลหนองหญ้าไซ            จ.สุพรรณบุรี  

ดำเนินการเสวนาโดย

 คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย)  

12.00-12.30 น.     สรุปและกล่าวปิดการเสวนา  โดย 

ผศ.ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์  ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

☑️ ตั้งแต่ 5 กันยายน 2565 นั่งเบาะหลังรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ไม่เช่นนั้นมีความผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xtcva3jise7h

สัมมนาภาคตะวันออก ‘อย่าด่วนเชื่อ-ไม่ชินชา-ร่วมตรวจสอบหาความจริง’ หลักคิดสู้ปัญหาข่าวลวง

15 ส.ค. 2565 สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับ โคแฟค (ประเทศไทย) จัดงานสัมมนา เรื่อง “ข่าวลวงกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก” ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี พร้อมกับถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “CC BUU X Cofact” 

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา ในฐานะประธานโครงการข่าวลวงกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก กล่าวว่า สืบเนื่องจาก โคแฟค (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ตราด ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การพัฒนาทักษะตรวจสอบข้อมูลให้กับคนรุ่นใหม่และเครือข่ายภาคพลเมือง เพื่อเพิ่มอาสาสมัครในการตรวจสอบข่าวลวงที่เกิดขึ้นในชุมชนต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึงจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวลวงกับภาคีเครือข่าย 

“ศูนย์ข่าวลวงภาคตะวันออกเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในวันนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมในการตรวจสอบข่าวลวงในสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป” รศ.ดร.สุชาดา กล่าว

ดร.สุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ข่าวลวงหรือข่าวปลอม เมื่อได้ยินแล้วก็สร้างความสับสน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผลกระทบต่อทัศนคติ ความเชื่อ และสร้างความเข้าใจที่บิดเบือนในเรื่องต่างๆ เช่น เคยมีการแชร์ข่าวกันว่า แถบสีท้ายหลอกยาสีฟันสามารถบอกได้ว่ายาสีฟันยี่ห้อนั้นผลิตจากวัตถุดิบอะไร โดยหากเป็นสีเขียวคือวัตถุดิบธรรมชาติ แต่หากเป็นสีดำคือสารเคมี ข่าวนี้มีผลกระทบด้านสุขภาพ อาจทำให้ผุ้บริโภคเลิกใช้ยาสีฟันยี่ห้อที่มีแถบสีดำ ทั้งที่อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีก็ได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตยาสีฟันอีกยี่ห้อหนึ่งได้ประโยชน์ ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม

“ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง ก็คือก่อนที่เราจะเชื่อฟังสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของข่าวปัจจุบัน ถ้ามีการกรอง มีการหยุดคิด ก็จะเป็นการช่วยมากๆ” คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.บูรพา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) ปาฐกถาในหัวข้อ สถานการณ์ข่าวลวงและการตรวจสอบข่าวลวงในสังคมไทยโดยกล่าวว่า ข่าวลวงมีปรากฏมากมาย ตั้งแต่เรื่องนำข้าวสุกไปแช่ตู้เย็นแล้วจะส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด มะนาวโซดารักษามะเร็ง มาจนถึงเรื่องของกัญชาและวัคซีน ไปจนถึงในแต่ละพื้นที่ที่มีการต่อสู้กันในเชิงความคิดและข้อมูล 

จึงจำเป็นต้องค้นหา ความจริงร่วมซึ่งข้อเท็จจริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังกัน การรู้ข้อเท็จจริงก็จะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น หรือหลีกเลี่ยงอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยแนวคิดของโคแฟค (Cofact) หรือ Collaborative Fact-checking คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนร่วมค้นหาความจริง โดยมีนวัตกรรมทั้งเว็บไซต์ cofact.org และ Line Chatbot @cofact เป็นเครื่องมือสืบค้นข่าว แต่มากไปกว่านั้นคือการสร้างพื้นที่พูดคุย นำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ จนหาความจริงร่วมที่ยอมรับกันได้ 

ทั้งนี้ ต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก โดยหลายคนยึดเอาความคิดเห็นและความรู้สึกเป็นสัจธรรม เมื่อพบใครที่คิดไม่เหมือนตนเองก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่น่าโกรธกัน เพราะความคิดเห็นและความรู้สึกเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ห้ามกันไมได้และไม่ได้มีข้อยุติอย่างข้อเท็จจริง เช่น วัคซีน แม้จะมีแพทย์บอกว่าฉีดได้ แต่การที่ใครจะไม่เชื่อและไม่ฉีดพราะกลัวก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่หากกลัวแล้วเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดก็ต้องตักเตือนกัน

เมื่อมองไปในระดับโลก รายงานในปีนี้ของ Edelman Trust Barometer ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 36,000 คน ใน 28 ประเทศ พบผู้คนให้ความเชื่อถือสื่อมวลชนและรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบางส่วนของสื่อและรัฐบาลก็ได้ประโยชน์จากข้อมูลบิดเบือน ไม่ว่าด้านการเมืองหรือธุรกิจ ขณะที่สังคมก็ติดอยู่ในวังวนของความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เช่น ล่าสุดกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นความท้าทายของสื่อมวลชนที่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาพหรือวีดีโอที่ถูกส่งต่อกันเป็นภาพจริงในเวลาจริงที่เกิดสงครามนั้นจริงๆ หรือเปล่า 

แต่นอกจากจะให้กำลังใจและสนับสนุนบทบาทของสื่อมวลชนในการฟื้นความเชื่อมั่นของสังคมแล้ว ในยุคนี้แต่ละคนก็ต้องปรับตัวให้เป็นพลเมืองดิจิทัล เพราะนับตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงก่อนนอน ต่างคนต่างก็ใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างสมาร์ทโฟนที่แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตกันแทบจะตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลข่าวสารไหลบ่าเข้าสู่สมองและความคิดแทบจะตลอดเวลาเช่นกัน ลำพังจะหวังบทบาทสื่อ นักวิชาการหรือพ่อแม่ผู้ปกครองก็คงไม่เพียงพอ ทุกคนจึงต้องเริ่มที่ตนเอง เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ หรือหากจะให้ดีกว่านั้นคือกลายเป็นผู้ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลที่ถูกแชร์กันอย่างผิดๆ ในสังคม

ไม่เพียงแต่การแชร์ข่าวลวงที่ส่งผลกระทบ ยังมีเรื่องของ มิจฉาชีพออนไลน์ที่คนยุคนี้ต้องรู้เท่าทัน เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการหลอกให้รัก (Romance Scam) ที่ผู้ตกเป็นเหยื่อจะเสียเงินเสียทองกันมากมาย เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกันทุกวันจนหน่วยงานภาครัฐดำเนินการไม่ไหวหรือไล่ปราบปรามไม่ทัน และที่ซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นคือความขัดแย้งทางการเมือง ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งยากในการค้นหาความจริง เพราะเป็นเรื่องราวที่แฝงด้วยชุดความคิดหรืออุดมการณ์ เช่น แนวคิดด้านการพัฒนา 

ซึ่งประเด็นทำนองนี้มักปนเปมาพร้อมกันเสมอทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนจริงในวันนี้ วันหน้าอาจจะไม่จริงก็ได้ จากหลากหลายปัจจัย เช่น มีการปล่อยข่าวโยนหินถามทางออกมาก่อนแล้วค่อยตามแก้ข่าวทีหลัง หรือแม้แต่เป็นข่าวจริงแต่ผู้เกี่ยวข้องปฏิเสธเพราะกลัวได้รับผลกระทบ วิธีการแสวงหาความจริงจึงไม่อาจทำได้เพียงไปสอบถามนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการแล้วจบ แต่ต้องมาเปิดใจคุยกันด้วยเหตุผล และมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน

“เราจัดเรื่องความขัดแย้ง ข่าวลวงด้านศาสนา ก็จะมีพี่น้องมุสลิม เขาก็จะรู้สึกทุกข์ใจมาก เพราะทุกวันจะมีข่าวลือในไลน์ ทำให้คนเกลียดกลัวมุสลิม ที่เรียกว่า Islamophobia อย่างไม่มีข้อเท็จจริงเลย แล้วคนก็เชื่อ แล้วมันทำให้คนที่เป็นมุสลิมเขาก็ทุกข์ใจไปด้วย อันนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เราก็ต้องฝึกการเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิพากษาไปก่อน ในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาแล้วมันอาจจะไม่ตรงกับความคิดของเรา หรืออาจตรงกับอคติของเรา เราก็ต้องลดการตัดสินตรงนี้ แล้วพยายามเปิดใจกว้างๆ ให้มากที่สุด” สุภิญญา กล่าว

ยังมีการเสวนา เรื่อง “ข่าวลวงกับพื้นที่ภาคตะวันออก” โดยมี ผศ.ดร.ตวงทอง สรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาาวิทยาลัยบูรพา เป็นผู้ดำเนินรายการ และมีวิทยากร 3 ท่าน ประกอบด้วย จักรกฤษณ์ แววคล้ายหงส์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชามติตราด จ.ตราด และยังเป็นผู้สื่อข่าวภูมิภาคให้กับสื่อมวลชนส่วนกลางหลายสำนัก กล่าวว่า ในอดีตที่มีเพียงสื่อดั้งเดิม (โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์) ซึ่งรวมๆ แล้วไม่กี่สำนัก ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่นั้นสามารถตรวจสอบและแยกแยะข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นทางได้ไม่ยาก

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคออนไลน์ มีผู้เล่นในวงการข้อมูลข่าวสารมากขึ้นจากทั่วโลก อีกทั้งสื่อสังคมออนไลน์ยังมีหลายแพลตฟอร์ม การตรวจสอบข้อเท็จจริงจากต้นทางจึงทำได้ยาก ขณะเดียวกัน ยังมีข้อความน่าสงสัย เช่น อ้างว่าจะให้เงินไปเล่นการพนันออนไลน์ก่อน หรือบอกว่าได้รับเงินกู้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ หรือช่วงพรมแดนด้านตะวันออกถูกปิด ก็ยังมีการชักชวนให้ข้ามแดนไปทำงานในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้หลายคนหลงเชื่อ กระทั่งตำรวจต้องตามไปช่วยเหลือกลับมา หรือแม้แต่เรื่องมีการแชร์ภาพคนอยู่เพิงพักสภาพทรุดโทรม ทำเอาส่วนราชการลงพื้นที่กันใหญ่โต แต่ท้ายที่สุดตรวจสอบแล้ว จริงๆ ผู้ที่อยู่ในเพิงนั้นมีบ้านอย่ด้านหลัง เป็นต้น

อย่างเรื่องฝีดาษลิง จู่ๆ ก็บอกฝีดาษลิงเกิดขึ้นที่ จ.ตราด มีนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์แล้วก็เข้ามาที่โรงแรม จะให้เขาตรวจปรากฏเขาไม่ยอม แล้วน่าจะเป็นคนในโรงพยาบาลที่ไปบอกนักข่าว นักข่าวก็บบอกว่าระวังนะฝีดาษลิงเกิดขึ้นที่ จ.ตราด เป็นรายที่ 4 รายที่ 5 ปรากฏว่าก็เกิดฮือฮา เรายังไม่เอาข่าวลง เช้ามาผมสัมภาษณ์นายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั้ง 2 โรงพยาบาล แล้วก็สัมภาษณ์นายแพทย์รองสาธารณสุข 

เขาก็บอกว่ามันก็แค่สงสัย คือ 1.สงสัย 2.เข้าข่าย 3.เป็น ระดับมันอย่างนี้ แต่นักข่าวไปเขียนไว้หมดแล้ว เราก็สามารถได้ข้อเท็จจริง แต่รอจนกระทั่งนายแพทย์โอภาส (โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค) แถลงออกมา คนนี้ไมได้เป็นฝีดาษลิง แต่ข่าวมันออกไปแล้วจักรกฤษณ์ กล่าว

ดร.ปาจารีย์ ปุรินทวรกุล อาจารย์สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า เมื่อให้โจทย์นักศึกษาไปค้นหาข่าวลวง พบว่า เรื่องสุขภาพเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งเรื่องโควิด-19 และข่าวลวงอื่นๆ ทีเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น กินหรือทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะสวยมีรูปร่างดี ส่วนข่าวที่เกี่ยวกับภาคตะวันออก เช่น การปนเปื้อนของอาหารทะเลจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วใน จ.ระยอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆ อาทิ ความปลอดภัยในการลงทุนเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) 

แต่ความท้าทายสำคัญคือ เมื่อเป็นการตรวจสอบก็ต้องไปให้ถึงต้นทาง (ข้อมูลปฐมภูมิ) ซึ่งก็มีข้อจำกัดเพราะไม่ใช่สื่อมวลชนจึงไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้โดยง่าย ถึงกระนั้น บทเรียนที่ได้คือการฝึกกระบวนการคิด เช่น เมื่อเสนอเข้ามาก็จะมีคำถามจากอาจารย์ว่าเรื่องนี้เชื่อหรือไม่เชื่อเพราะอะไร เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ใครคือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวมถึงอาจยังมีแหล่งข่าวที่ให้คำตอบได้มากกว่า 1 แหล่ง อาทิ เรื่องอาหารทะเลปนเปื้อน เนื่องจากเหตุน้ำมันรั่วใน จ.ระยอง แน่นอนว่ายากเกินไปที่จะเข้าถึงแหล่งข่าวต้นทาง 

แต่ด้วยความที่ไม่ได้เพิ่งเกิดเหตุการณ์นี้ในพื้นที่เป็นครั้งแรก อย่างน้อยก็มีฐานข้อมูลเดิมให้สืบค้นในระดับหนึ่ง หรือหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างน้อยให้ถามแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ ไม่ต้องถึงขั้นโฆษกหน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคนมักจะอยู่กับข่าวลวงแบบเคยชินไม่รู้สึกอะไร กระทั่งเจอผลกระทบกับตนเอง เช่น มีญาติผู้ใหญ่ไปทำตามข่าวลวงแล้วเสียชีวิต แต่ก็ยังจะเป็นผลกระทบส่วนบุคคล คนอื่นๆ ในสังคมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย

ความท้าทายเรื่องข่าวลวงมันยังจะอยู่กับเราตลอดไป เพียงแต่ ณ ตอนนี้ หลายๆ ภาคส่วนในสังคมได้พยายามกันเต็มที่แล้ว คนเล็กคนน้อย ประชาชนทั่วไปต้องทำอย่างไร ในขณะเดียวกันก็มีสื่อมวลชนช่วยเช็คให้ มีรัฐบาลที่ตั้งองค์กรต่างๆ ขึ้น ฟังก์ชั่นบ้างไม่ฟังก์ชั่นบ้างแต่ก็พยายามทำ ฉะนั้นก็คือไม่เชื่อแล้วก็ไม่ชิน อย่าไปชินกับมัน แล้วก็ขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ปลูกฝังกระบวนการคิด หรืออย่าคิดว่าธรรมด ไม่เป็นไร ปล่อยมันไป ก็จะช่วยให้เราอยู่กับข่าวลวงได้เท่าทันมากขึ้น ดร.ปาจารีย์ กล่าว

บุปผาทิพย์ แช่มนิล ตัวแทนกลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง กล่าวว่า จากที่เคยสอบถามผู้คนหลากหลายในพื้นที่ เช่น แม่บ้าน แม่ค้าในชุมชน นักพัฒนารุ่นใหม่ นักพัฒนาอาวุโส ฯลฯ เกี่ยวกับข่าวลวงในมุมมองของแต่ละคน ทุกคนเคยมีประสบการณ์พบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (ไม่ว่าสุดท้ายจะหลงเชื่อโอนเงินไปให้หรือไมก็ตาม) สะท้อนให้เห็นว่าข่าวลวงนั้นเข้าถึงระดับบุคคลแล้ว 

ขณะเดียวกัน เมื่อไปถามคนทำงานด้านสุขภาพ ก็พบความเห็นทำนองเดียวกันว่า ไลน์ของผู้สูงอายุเป็นพื้นที่อันตรายด้านข่าวลวงมากที่สุดเพราเป็นทั้งข่าวที่ส่งมาโดยไม่มีการตรวจสอบ และกลุ่มเป้าหมานก็น่าเป็นห่วง หรือในส่วนประเด็นทางการเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าโพลล์บางสำนักที่ถามประเด็นประชาชนอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี มีการเลือกคำถามในเชิงชี้นำ แบบนี้จะเข้าข่ายเป็นข่าวลวงได้หรือไม่

ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาคตะวันออก นับตั้งแต่การขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ นำไปสู่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่ Eastern Seaboard มาจนถึง EEC สิ่งที่พบคือการปะทะกันของชุดความคิดหรือความเชื่อ 2 แนวทาง ระหว่างฝ่ายสนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเชื่อว่าจะนำพาไปสู่ความมั่งคั่ง กับฝ่ายคัดค้านที่มองว่าการพัฒนาแบบนี้มีแต่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน  

หรือความเชื่ออื่นๆ เช่น เมื่อมีช้างป่าเข้ามารบกวนวิถีชีวิตของมนุษย์ ก็มีผู้ที่เชื่อว่าให้สร้างกำแพงคอนกรีตสูง 4 เมตรกั้นแนวระหว่างพื้นที่ของช้างกับมนุษย์แล้วจะแก้ปัญหาได้ เรื่องนี้ก็น่าตรวจสอบว่ามันใช้ได้จริงหรือ หรือแนวคิดการเปลี่ยนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้เป็นอ่างเก็บน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกผลไม้ เนื่องจากภาคตะวันออกถูกขนานนามเป็นดินแดนแห่งผลไม้ แต่ก็มีคำถามว่าโครงการนี้คุ้มค่าตามที่เชื่อกันหรือไม่ หรือสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนใครกันแน่ระหว่างเกษตรกรกับนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

ประเด็นใหญ่ๆ ในส่วนของภาคตะวันออกทุกคนควรจะได้รับรู้ และในขณะเดียยวกันยังบอกว่า ไม่ได้ยืนยันว่านี่คือความจริง แต่ยังรอการตรวจสอบอยู่ เพาะฉะนั้นมันจะใช่ข่าวลวงหรือไม่ยังต้องอาศัยน้องๆ แล้วเราก็พูดแบบไม่ได้ผลักภาระให้ใคร เพราะส่วนของประชาสังคมภาคตะวันออกก็พยายามตรวจสอบตรงนี้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นเราจะตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ของการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกไปพร้อม กัน บุปผาทิพย์ กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/all/02/177142/ (กรมควบคุมโรค เผยขณะนี้ยังพบผู้ป่วยในไทย 4 ราย ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสผลตรวจเป็นลบ – สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 8 ส.ค. 2565)


จริงหรือไม่.? กัญชาหากสูบเพื่อความสันทนาการหรือความบันเทิง ผิดพรบ. สาธารณสุข มีโทษทั้งจำและปรับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/z3c5jmft621n

เด็กหญิงชาวปัตตานีวัย 3 ขวบถูกหามส่งโรงพยาบาล เหตุเผลอทานบราวนี่ผสมกัญชาเข้าไป ….. จริงหรือ ?

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/sj05emjkcxlg

จริงหรือไม่? วัคซีน #Pfizer เป็นวัคซีนที่มีสารพิษ หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว เสียชีวิต 0.8%

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/1q2xmkfx1kjkm

จริงหรือไม่? ฉีดวัคซีนแล้ว มีแม่เหล็กที่แขน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://cofact.org/article/2guo12it4vycm

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2565

กินแล้วนอน ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ec4z0ibpi78a


ถนนสาย 41 แถวสะพานมะพร้าวต้นเดียว อ.หนองจิก ปัตตานี เกิดเหตุมีผู้ใช้ถนนถูกดักปาก้อนหินใส่กระจกรถ…โปรดระมัดระวัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/227yu1m4h3i7e


ตั้งแต่ 5 กันยายน 2565 นั่งเบาะหลังรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ไม่เช่นนั้นมีความผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xtcva3jise7h


เตือนภัย สลิปปลอมระบาดหนัก มีการแก้ไขข้อมูล เพื่อหลอกว่าโอนเงินแล้ว…พ่อค้าแม่ค้าควรระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x7l8hijn3r44


หากปล่อยที่ดินทิ้งร้างนานเกิน 10 ปี จะโดนรัฐบาลยึดคืน ตามมาตรา 6 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3bjqvexrzllw8


ขับรถบนทางด่วนไม่เกิน 100 กม./ชม. ฝ่าฝืนมีโทษปรับ!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pwnlmtz3szza


กินเค็มระวังความดันขึ้น…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/274spu5l8w2x1