พรรคเป็นธรรม ในสมรภูมิวาทกรรม “แบ่งแยกดินแดน”

ทันทีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศหลังชนะการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ว่าได้ทาบทามพรรคเป็นธรรมเข้าร่วมรัฐบาล โซเชียลมีเดียก็เริ่มปรากฏข้อความโจมตีพรรคเป็นธรรมว่า “เป็นพวกแบ่งแยกดินแดน” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นข้อกล่าวหาที่เกิดจากการตีความนโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกระจายอำนาจของพรรคเป็นธรรม ขณะที่บางกลุ่มอาจจงใจใช้วาทกรรมนี้โจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ข้อกล่าวหานี้แพร่หลายในโซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดอยู่แค่พรรคเป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าไปที่พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชาติด้วย กระทั่งกลายเป็นประเด็นที่ผู้สื่อข่าวหยิบยกไปถามในการแถลงข่าวลงนามข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล (เอ็มโอยู) เมื่อ 22 พ.ค. 2566 โดยอ้างว่าเหตุที่ต้องถามจุดยืนในเรื่องนี้เพราะ “สัญญาณของการแบ่งแยกดินแดนค่อนข้างที่จะหนาหู…ประชาชนกังวลว่ารัฐบาลชุดใหม่จะทำให้ด้ามขวานทองหายไป”

พรรคเป็นธรรมในชายแดนใต้

พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่มีนายปิติพงศ์ เต็มเจริญ อดีต ส.ส. กทม. พรรคไทยรักไทยและอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ในการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พรรคเป็นธรรมชูนโยบายเรื่องการ “สร้างสันติภาพในปาตานี” โดยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 11 คนในกรุงเทพฯ นราธิวาส ยะลาและปัตตานี และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 9 คน

ผลการเลือกตั้ง พรรคเป็นธรรมได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้าสภา 1 คน คือ นายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรค

พรรคเป็นธรรมถูกกล่าวหาว่ามีนโยบายสนับสนุน “การแบ่งแยกดินแดน” และ “โจรใต้” มาตั้งแต่ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ส่วนมากเป็นข้อความที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งโพสต์เนื้อหาลักษณะนี้ค่อนข้างถี่ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง เช่น

  • เพจ “เปิดโปง BRN” (ผู้ติดตาม 11,000 บัญชี) โพสต์ข้อความว่าพรรคเป็นธรรม “สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดน” และ “หมกมุ่นแต่กับเอกราชในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้”
  • เพจ “The Truth is Never Died” (ผู้ติดตาม 5,100 บัญชี) โพสต์ภาพป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. พรรคเป็นธรรมพร้อมข้อความว่า “พรรคเป็นธรรมกับนโยบายสนับสนุนผู้ก่อการร้าย”
  • เพจ “กว่าจะรู้ เดียงสา” (ผู้ติดตาม 1,900 บัญชี) โพสต์ภาพที่มีโลโก้พรรคเป็นธรรมพร้อมข้อความว่า “นโยบายเอื้อประโยชน์ให้โจร” รวมทั้งเขียนวิจารณ์นโยบายของพรรคเป็นธรรมว่า “แสดงออกชัดเจนถึงการเอื้อประโยชน์ให้ผู้การร้ายในพื้นที่ในการก่อเหตุกับผู้บริสุทธิ์…อาจแฝงไปสู่การประกาศเอกราชเพื่อแบ่งแยกดินแดน”
เพจเฟซบุ๊ก “เปิดโปง BRN” โพสต์ภาพนี้เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2566

นอกจากนี้ ในช่วงเดือนเมษายน 2566 คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดนราธิวาสยังได้ประสานให้ผู้สมัครของพรรคเป็นธรรมชี้แจงเกี่ยวกับป้ายหาเสียงของพรรคที่มีข้อความว่า “ปาตานีจัดการตนเอง” ซึ่งทางพรรคได้ทำหนังสือชี้แจงทั้งต่อ กกต. นราธิวาสและ กกต. กลางว่า ข้อความนี้หมายถึงนโยบายการกระจายอำนาจ ส่วนคำว่า “ปาตานี” เป็นคำเรียกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สื่อความหมายถึงอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์  

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบข้อความที่โจมตีพรรคเป็นธรรมว่า “สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน” โดยโคแฟคอ้างอิงข้อมูลจากนโยบายของพรรคที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายกัณวีร์ เลขาธิการพรรคและว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม และการตอบข้อซักถามในการแถลงข่าวลงนามข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล (เอ็มโอยู) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2566 สรุปได้ดังนี้

1) นโยบายของพรรคเป็นธรรมด้านสันติภาพและความมั่นคงที่เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ได้แก่ นโยบายกระจายอำนาจหรือ “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด, นโยบาย “พาทหารกลับบ้าน” ซึ่งหมายถึงการถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้, ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายพิเศษทุกฉบับ รวมถึงกฎอัยการศึกและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้, ยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และยกระดับกระบวนการสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่าไม่มีนโยบายที่ระบุถึงการแบ่งแยกดินแดน

2) นายกัณวีร์ให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ยืนยันว่าพรรคเป็นธรรม “ไม่มีนโยบายเรื่องแบ่งแยกดินแดน” และวิเคราะห์ว่าเหตุที่พรรคถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนเพราะเสนอนโยบายที่บางฝ่ายมองว่าหมิ่นเหม่ต่อความมั่นคง โดยเฉพาะข้อเสนอเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง การถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเลือกใช้คำว่า “ปาตานี” ในการเรียกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของสงขลา ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมองว่าเป็นคำที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้

นายกัณวีร์อธิบายต่อว่า นโยบายจังหวัดจัดการตนเองเป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคำว่า “ปาตานี” เป็นคำที่ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะใช้ได้ ไม่ได้เป็นภัยของความมั่นคง

“จังหวัดจัดการตนเองในความหมายของเราคือการบริหารจัดการหรือ management ทั้งด้านเศรษฐกิจและการศึกษา ไม่ใช่การปกครองตนเองหรือ governance ส่วนคำว่า ‘ปาตานี’ นั้นเป็นคำที่สื่อถึงประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ เป็นคำที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการ และได้รับการยอมรับในคณะพุดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” นายกัณวีร์กล่าว

ส่วนนโยบายเรื่องการถอนทหารนั้น นายกัณวีร์ชี้แจงว่า “กระบวนการสร้างสันติภาพต้องมาก่อน…การถอนทหารคือตัวชี้วัดความสำเร็จของกระบวนการสันติภาพ”

ผู้สมัคร ส.ส. และผู้สนับสนุนพรรคเป็นธรรมรวมตัวกันรณรงค์ผลักดันนโยบาย “พาทหารกลับบ้าน” ที่หน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2566 (ภาพจากเฟซบุ๊กพรรคเป็นธรรม)

3) นายกัณวีร์ระบุว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรคเป็นธรรม “ถูกใส่ร้ายป้ายสี” ว่าสนับสนุนโจรใต้และการแบ่งแยกดินแดน เป็นเพราะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเป็นธรรมหลายคนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนเห็นพ่อแม่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมต่อหน้า บางคนถูกดำเนินคดีอาญาจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และหลายคนเป็นอดีตนักกิจกรรมของสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าเป็นองค์กรนักศึกษาที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน แม้ว่า PerMAS จะประกาศยุติความเคลื่อนไหวตั้งแต่ 8 พ.ย. 2564 แล้วก็ตาม

4) ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงจุดยืนของพรรคเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ระหว่างการแถลงข่าวการลงนามเอ็มโอยูร่วมจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค. นายปิติพงศ์ หัวหน้าพรรคเป็นธรรมย้ำว่าพรรคของเขา “ไม่มีการพูดเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และไม่มีความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดน…ขอยืนยันตรงนี้ว่าพรรคเป็นธรรมไม่มีนโยบายด้านนี้” นายปิติพงศ์กล่าวด้วยว่า ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคที่ฝังตัวทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่า “สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือการปกป้องสิทธิมนุษยชนและความช่วยเหลือจากภาครัฐในเรื่องคุณภาพชีวิต…มากกว่าที่จะต้องการแยกตัวออกมาเป็นอิสระ”    

“แบ่งแยกดินแดน” ในมุมมองนักวิชาการ

ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิชาการประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายว่า ผู้ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักถูกมองว่าเป็นฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าฝ่ายขบวนการกำลังดำเนินการตาม “แผนบันได 7 ขั้น” ที่มีเป้าหมายขั้นสุดท้ายอยู่ที่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งการเรียกร้องสิทธิในการจัดการตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้

“นี่เป็นชุดความคิดที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่อ แต่ในหลายพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เมื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพแล้ว ก็ไม่ได้นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน แม้จะเป็นความต้องการของฝ่ายหนึ่งก็ตาม เพราะ [การแบ่งแยกดินแดน] จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากประชาคมโลกซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่อยู่ด้วยกันไม่ได้จริง ๆ อย่างในกรณีของติมอร์ตะวันออกที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และละเมิดสิทธิอย่างรุนแรง จนสหประชาชาติต้องเข้าไปแทรกแซง และนำไปสู่การจัดประชามติ ซึ่งภาคใต้ของไทยยังห่างจากสถานการณ์ระดับนั้นมาก” ดร.รุ่งรวีกล่าว

ข้อสรุปโคแฟค

หากพิจารณาเฉพาะนโยบายด้านสันติภาพและความมั่นคงของพรรคเป็นธรรมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ รวมทั้งคำยืนยันจากผู้บริหารพรรคในการให้สัมภาษณ์กับโคแฟคและในการแถลงข่าวหลังลงนามข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค. สรุปได้ในชั้นนี้ว่า พรรคเป็นธรรมไม่มีนโยบายสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน อีกทั้งในความเป็นจริง การแยกตัวเป็นเอกราชก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ดังที่ ดร.รุ่งรวีให้ความเห็นกับโคแฟค

การตีความและการวิเคราะห์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมือง รวมถึงการเชื่อในชุดความคิดว่าด้วยการแบ่งแยกดินแดน ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ และประชาชนก็มีสิทธิที่จะตั้งคำถามหรือขอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายหรือจุดยืนของพรรคการเมืองในเรื่องนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่ามีการนำวาทกรรมแบ่งแยกดินแดนมาผลิตข่าวลวงและประทุษวาจา (hate speech) เพื่อโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างความเกลียดชังต่อพรรคการเมืองหรือนักการเมืองโดยเจตนาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจึงไม่ควรแชร์เนื้อหาใด ๆ หากไม่มั่นใจในแหล่งที่มาหรือเจตนาของผู้เผยแพร่

เรื่องแนะนำ

‘The Hand Steeple’จากท่ามือเสริมบุคลิกผู้นำ สู่ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยง‘อิลลูมินาติ’

 By : Zhang Taehun

“นี่ไม่บังเอิญหรอกนะ ดูกันชัดๆ สัญลักษณ์ลับการแทรกแซงของแยงกี้ มันคือสัญลักษณ์สมาคมลับอิลลูมินาติผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลังการเมืองการปกครองของโลก โดยมุ่งดำเนินการในทางลับเพื่อก่อตั้ง ‘ระเบียบโลกใหม่’ โดยการแทรกแซงชีวิตประจำวัน การเมือง การปกครอง ของชาติที่เป็นเป้าหมาย”

โพสต์หนึ่งที่ถูกแชร์ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นข้อความข้างต้นพร้อมกับรูปของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เพิ่งชนะเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดยเป็นรูปที่ พิธา ถ่ายกับผู้ที่มาร่วมฟังปราศรัยของพรรคก้าวไกลสักเวทีหนึ่ง แต่ถูกนำมาตั้งข้อสังเกตจากผู้โพสต์ว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกลทำท่ามือที่ดูเหมือนกับเป็น รหัสลับ ขององค์กรลับอย่าง อิลลูมินาติ (Illuminati)” ซึ่งมักจะถูกกล่าวถึงเสมอในทฤษฎีสมคบคิดว่ามีองค์กรลับที่บงการทั้งโลกอยู่เบื้องหลัง

ภาพดังกล่าวยังมีการเปรียบเทียบกับผู้นำอีกหลายชาติ อาทิ อังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี , โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา , เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี เป็นต้น ที่เคยทำท่ามือแบบเดียวกัน บางภาพมีการนำภาพ “Eye of Providence” ที่อยู่ในธนบัตร 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมักถูกผู้ที่เชื่อใน ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)” อ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ขององค์กรอิลลูมินาติ ไปใส่ประกบรวมอยู่ด้วยเพื่อจะบอกกับผุ้รับสารว่า บรรดาผู้นำชาติต่างๆ ล้วนแต่เป็นสมาชิกหรือทำงานให้กับองค์กรนี้

รายงานพิเศษเรื่อง “The Eye of Providence: The symbol with a secret meaning?” ของสำนักข่าว BBC เมื่อปี 2563 อธิบายที่มาที่ไปของสัญลักษณ์ Eye of Providence (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ All-Seeing Eye of God) ว่า เดิมที Eye of Providence เป็นสัญลักษณ์ของชาวคริสต์ และตัวอย่างแรกสุดของการใช้สามารถพบได้ในศิลปะทางศาสนาในยุคเรอเนซองส์เพื่อเป็นตัวแทนของพระเจ้า ตัวอย่างแรกคือภาพวาด Supper at Emmaus ผลงานของ Pontormo ศิลปินชาวอิตาลี ในปี ค.ศ.1525 (พ.ศ.2068) หรือเมื่อเกือบ 500 ปีก่อน แม้ว่าสัญลักษณ์จะถูกวาดในภายหลัง บางทีอาจจะเป็นในช่วงทศวรรษที่ 1600s (พ.ศ.2143-2152) 

นอกจากนั้นยังมีหนังสือชื่อ Iconologia ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ.1593 (พ.ศ.2136) ในการพิมพ์ครั้งต่อๆ มา Eye of Providence ถูกรวมไว้เป็นคุณลักษณะของการแสดงตัวตนของ “Divine Providence” ซึ่งก็คือ ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ตามชื่อของสัญลักษณ์และการใช้ในช่วงแรก สัญลักษณ์นี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายของการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้ามองมนุษยชาติด้วยความเมตตา

ในเวลาต่อมา สัญลักษณ์ Eye of Providence ถูกนำไปใช้ในหลากหลายความหมายและหลายชาติ หนึ่งในนั้นคือ สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1782 (พ.ศ.2328) อันเป็นช่วงเริ่มก่อตั้งประเทศ โดย ชาร์ลส์ ทอมป์สัน (Charles Thomson) เลขาธิการสภาคองเกรสแห่งภาคพื้นทวีป และ วิลเลียม บาร์ตัน (William Barton) ทนายความ ร่วมกันออกแบบ โดยมีพีระมิด 13 ชั้น แทน 13 มลรัฐแรกเริ่มของการสร้างชาติ แล้วให้ Eye of Providence ลอยอยู่ด้านบนเป็นส่วนยอด สื่อถึง ความแข็งแกร่งและทนทาน (Strength and Duration)” โดยมีพระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้ามองอย่างเห็นอกเห็นใจประเทศเกิดใหม่นี้

อดัม ไวเชิพท์ (Adam Weishaupt)

สำหรับชื่อองค์กรอิลลูมินาติ ในทางประวัติศาสตร์ถูกระบุว่าก่อตั้งโดย อดัม ไวเชิพท์ (Adam Weishaupt) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชาวเยอรมนี บทความ “Meet the Man Who Started the Illuminati” ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สื่อสารคดีชั้นนำอย่าง National Geographic ระบุว่า ไวเชิพท์ เกิดที่เมืองอินกอลสตาดท์ แคว้นบาวาเรีย (ปัจจุบันคือรัฐบาวาเรีย) เมื่อปี ค.ศ.1748 (พ.ศ.2291) เป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตอยู่กับผู้เป็นลุง เมื่อโตขึ้นได้เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายธรรมชาติและกฎหมายศาสนจักร (Natural and Canon Law) และดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ 

ตามประวัติแล้ว ไวเชิพท์ มีนิสัยรักการอ่านหนังสืออย่างมาก โดยเฉพาะหากเป็นงานเขียนของนักปรัชญายุครู้แจ้งชาวฝรั่งเศส ซึ่งบ้านของลุงก็มีห้องสมุดส่วนตัว ยิ่งส่งเสริมการอ่านได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าแคว้นบาวาเรียในเวลานั้นแนวคิดกระแสหลักจะเป็นแบบอนุรักษ์นิยม แต่ ไวเชิพท์ เป็นคนหนึ่งที่มองว่า การปกครองและความเชื่อทางศาสนาที่ดำรงอยู่ไม่อาจตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่ ในตอนแรก เขาคิดจะเข้าร่วมกับสมาคม ฟรีเมสันส์ (Freemasons)” องค์กรที่เผยแพร่คำสอนให้ผู้คนมีเสรีภาพทางความคิด แต่ต่อมาก็ตัดสินใจตั้งสมาคมของตนเอง

ไวเชิพท์ไม่ได้ต่อต้านศาสนา แต่เป็นวิธีที่ปฏิบัติและบังคับใช้ เขาเขียนเสนอแนวคิดเสรีภาพจากอคติทางศาสนาทั้งหมด ปลูกฝังคุณธรรมทางสังคม และทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เป็นไปได้ และรวดเร็วในความสุขสากล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องสร้างสภาวะแห่งเสรีภาพและความเสมอภาคทางศีลธรรม ปราศจากอุปสรรคซึ่งการอยู่ใต้บังคับบัญชา ยศถาบรรดาศักดิ์ และความร่ำรวย ขัดขวางเราอย่างต่อเนื่อง

ผู้ร่วมก่อตั้งอิลลูมินาติกลุ่มแรกทำพิธีสถาปนาองค์กรกันในคืนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) ในป่าใกล้กันเมืองอินกอลสตาดท์ มีการตั้งกฎขององค์กร รวมถึงการรับสมาชิกใหม่ต้องได้รับการยินยอมสมาชิกก่อนหน้า ในตอนแรกสมาชิกใหม่จะมาจากบรรดาลูกศิษย์ของ ไวเชิพท์ แต่ภายหลังได้ขยายออกไปในหลากหลายสาขาอาชีพ กระทั่งในปี ค.ศ.1784 (พ.ศ.2327) เมื่อทางการเริ่มรับรู้การมีตัวตนและเริ่มมาตรการกวาดล้าง ว่ากันว่าเวลานั้นมีสมาชิกราว 2,000-3,000 คน โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1787 (พ.ศ.2330) ที่ใช้ยาแรงถึงขั้นออกประกาศว่าการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมที่ก่อตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต 

หลังสมาคมอิลลูมินาติถูกเปิดโปง ไวเชิพท์ สูญเสียงานที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ และต้องหลบหนีไปอยู่ที่เมืองโกธา แคว้นแซกโซนี (ปัจจุบันอยู่ในภาคกลางของเยอรมนี) แต่ยังได้งานสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเก็น แต่ถึงองค์กรอิลลูมินาติภายใต้การก่อตั้งของ ไวเชิพท์ จะจบลง ชื่อของอิลลูมินาติก็ได้กลายเป็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเวลาจะกล่าวถึงทฤษฎีสมคบคิดเรื่องมีสมาคมลับคอยบงการความเป็นไปของโลกอยู่เบื้องหลัง มาจนถึงปัจจุบัน 

The Illuminatus! Trilogy : จากนิยายสู่เรื่องที่คนเชื่อว่าจริง

รายงานข่าว กำเนิด อิลลูมินาติจากเรื่องแต่งเสียดสีสังคม สู่ทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนหลงเชื่อมากที่สุดในโลก โดยสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ในเวอร์ชั่นภาษาไทย เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2562 ระบุว่า สิ่งที่ทำให้อิลลูมินาติกลายเป็นชื่อที่โด่งดังของยุคใหม่ในฐานะองค์กรลับเบื้องหลังทุกสิ่งอย่าง คือนิยายไตรภาค “The Illuminatus! Trilogy” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) เนื้อหาเป็นการจับโยงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น การลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ. เคเนดี (JFK) ไปโยงเข้ากับงอิลลูมินาติ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นนิยายขายดี ยังทำให้คนอ่านเชื่อไปด้วยว่าองค์กรลับที่ว่านี้มีอยู่จริง

กลับมาที่ภาพการวางมือของผู้นำทางการเมืองที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับองค์กรอิลลูมินาติ ท่ามือแบบนี้เรียกว่า The Hand Steeple โดยสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง Insider (Business Insider) เผยแพร่บทความ 5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2561 อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ The Dictionary of Body Language (ฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า “พจนานุกรมอ่านคนตั้งแต่หัวจรดเท้า”) ซึ่งเขียนโดย โจ นาวาร์โร (Joe Navarro) อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้อธิบายความหมายของ The Hand Steeple ไว้ว่า

“The Hand Steeple คือการทำท่ามือโดยวางประกบปลายนิ้วของมือทั้งสอข้างเข้าด้วยกัน กางฝ่ามือสองข้างออก แล้วงอมือเพื่อให้ปลายนิ้วมือดูเหมือนยอดแหลมของโบสถ์ นี่เป็นการแสดงความมั่นใจแบบสากลและมักใช้โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งเป็นท่าที่ อังเกลา แมร์เคิล นายกฯ เยอรมนี มักใช้บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าความมั่นใจไม่ได้รับประกันความถูกต้องเสมอไป บุคคลอาจผิดในข้อเท็จจริงแต่มั่นใจในขณะที่พูด อย่างไรก็ตาม ท่าดังกล่าวก็มีประโยชน์ในการโน้มน้าวผู้อื่นถึงความมุ่งมั่นของคุณต่อสิ่งที่คุณกำลังคิดหรือพูด” 

17 พ.ค. 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในท่า The Hand Steeple ขณะถ่ายรูปร่วมกับผู้นำพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่ร้าน Chez Miline 

ทั้งนี้ หากนำคำว่า The Hand Steeple (หรือ The Hand Steeple Gesture , Steepling Hands) ไปค้นหาใน Google จะมีบทความมากมายระบุว่า เป็นท่ามือยอดนิยมของบรรดา ผู้นำ ไม่ว่าทางการเมืองหรือทางธุรกิจ อาทิ บทความ 7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION” บนเว็บไซต์ sandygerber.com ของ แซนดี เกอร์เบอร์ (Sandy Gerber) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารชาวแคนาดา อธิบายไว้ว่า

“Steepling Hands เป็นคำที่บัญญัติโดย ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล (Prof.Ray Birdwhistell) เป็นท่าที่นิ้วของมือข้างหนึ่งกดเบาๆ กับนิ้วของมืออีกข้างและก่อตัวเป็นยอดแหลมของโบสถ์ เบิร์ดวิสเทล ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มองว่าตัวเองมีชื่อเสียงและอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงจะใช้ท่าทางที่เรียบง่าย และมักจะใช้ตำแหน่งนิ้วชี้ที่จำกัดเพื่อแสดงทัศนคติที่มั่นใจ” 

สำหรับ ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล นั้นเป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษากายของมนุษย์ ทั้งนี้ บทความยังกล่าวอีกว่า ท่า The Hand Steeple ยังมี 2 รุปแบบ คือ “Raised Steeple” เมื่อยกนิ้วขึ้นที่ด้านหน้าของหน้าอก ผู้พูดกำลังแสดงความคิดเห็นและความคิด ขอแนะนำให้ใช้ท่านี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากท่านี้อาจสื่อถึงความเย่อหยิ่งหรือทัศนคติที่รู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศีรษะของบุคคลนั้นเอียงไปด้านหลัง กับ “Lower Steeple” เมื่อนิ้วอยู่ในตำแหน่งท่อนล่างรอบเอว บุคคลนั้นมักจะฟังมากกว่าพูด ที่น่าสนใจคือ การวิจัยระบุว่าผู้หญิงมักจะใช้ท่า Lower มากกว่า Raised

อนึ่ง ท่าวางมือของ อังเกลา แมร์เคิล มีคำเรียกเฉพาะว่า “Merkel-Raute” หรือในสื่อที่ใช้ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า สามเหลี่ยมแห่งอำนาจ (Triangle of Power)” โดยเว็บไซต์ The Local สำนักข่าวออนไลน์ร่วมของหลายประเทศในยุโรป เผยแพร่บทความ “German words you need to know: Die Merkel-Raute” เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2564 ระบุว่า ท่าทางนี้มีลักษณะเฉพาะคือวางมือไว้ด้านหน้าท้องเพื่อให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือแต่ละข้างมาบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม 

บรรดานักรัฐศาสตร์มองว่า ท่า Merkel-Raute เป็นสัญญาณภาพที่มีประสิทธิภาพที่แสดงถึงชื่อเสียงของ Merkel ในฐานะผู้นำที่เชื่อถือได้ สงบนิ่ง และมั่นคง ช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวที่กระสับกระส่ายหรือกระวนกระวายใจในระหว่างการพูดในที่สาธารณะและห่อหุ้มความมั่นคงขอแมร์เคิลไว้ในขณะที่แสดงความเปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กล่าวหาว่าเธอใช้ท่าทางดังกล่าวเพื่อส่งเสริมลัทธิบูชาตัวบุคคล (Cult of Personality) โดยกล่าวหาว่าเธอให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของความมั่นคงและความสุขุมเหนือชุดนโยบายเฉพาะ

อังเกลา แมร์เคิล (ขวา) ผู้นำหญิงแห่งเยอรมนี กับท่าประจำของเธอ “Merkel-Raute”

โดยสรุปในเบื้องต้น เท่าที่ค้นหาทางอินเตอร์เน็ต (ณ ค่ำคืนวันที่ 22 ล่วงเข้าวันที่ 23 พ.ค. 2566) ผู้เขียนก็ยังไม่พบชุดข้อมูลใดที่จะอธิบายได้ว่า ท่า The Hand Steeple หรือ Merkel-Raute ถูกนำไปเกี่ยวข้องในฐานะการทำมือเป็นรหัสลับของสมาชิกองค์กรอิลลูมินาติได้อย่างไร แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าองค์กรลับที่เคยมีตัวตนอยู่เมื่อกว่า 200 ปีก่อนยังดำเนินการอยู่ (ไม่ว่าจะโดยสมาชิกสืบทอดจากกลุ่มเดิม หรือมีการตั้งกลุ่มใหม่แล้วนำชื่อมาใช้) 

อย่างน้อยก็ค่อนข้างเชื่อได้ว่า ท่ามือชนิดนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่ากลยุทธ์การใช้ภาษากายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้พบเห็น ซึ่งเป็นทักษะหนึ่งที่บรรดาผู้นำต้องมี!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.bbc.com/culture/article/20201112-the-eye-of-providence-the-symbol-with-a-secret-meaning (The Eye of Providence: The symbol with a secret meaning? : BBC 13 พ.ย. 2563) 

https://www.nationalgeographic.com/history/history-magazine/article/profile-adam-weishaupt-illuminati-secret-society (Meet the Man Who Started the Illuminati : National Geographic)

https://www.bbc.com/thai/international-50892736 (กำเนิด ‘อิลลูมินาติ’ จากเรื่องแต่งเสียดสีสังคม สู่ทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนหลงเชื่อมากที่สุดในโลก : BBC 23 ธ.ค. 2562)

https://www.insider.com/body-language-how-to-improve-confidence-2018-8#hand-steepling-2 (5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence : Inseder 29 ส.ค. 2561)

https://sandygerber.com/7-hand-gesture-body-language-tips-to-influence-communication/ (7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION)

https://www.thelocal.de/20210726/german-words-you-need-to-know-die-merkel-raute (German words you need to know: Die Merkel-Raute : 26 ก.ค. 2564)


‘SMSปลอม’ ตีเนียนแทรกซึมในชื่อธนาคารจริง มิจฉาชีพทำได้อย่างไร?

By : Zhang Taehun

เมื่อเร็วๆ นี้ มีมิตรสหายส่งคำถามมาให้ผู้เขียนลองค้นหาข้อมูลดูว่า มิจฉาชีพทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? โดยเป็นเนื้อหาที่แชร์ต่อๆ กันในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า มิจฉาชีพสามารถส่ง SMS ปลอม แทรกเข้าไปในกล่องข้อความชื่อเดียวกับธนาคารจริงมีเสียงร่ำลือกันไปต่างๆ นานา ว่าแม้แต่สถาบันการเงินชั้นนำก็ยังถูกแฮ็ค แล้วจะหาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างไร โดยเมื่อค้นแล้วก็พบว่า มีทั้งวิธีเก่าและวิธีใหม่ ที่บรรดามิจฉาชีพนำมาใช้ก่ออาชญากรรม 

ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) อธิบายกลโกงของมิจฉาชีพไว้ในรายการ หนุ่ยทอล์ก ทางช่องยูทูบของสำนักข่าวไอที แบไต๋ (Beartai) เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566 ว่า 1.หมายเลขโทรศัพท์ (Sender) สามารถถูกปลอมแปลงได้ มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชั่นประเภท Fake SMS Sender ที่สามารถทำให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้อยู่เหมือนกับหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลหรือหน่วยงานอื่น ซึ่งเมื่อหมายเลขปลอมส่ง SMS มาก็มีโอกาสที่โทรศัพท์ของเราจะสับสน และมีข้อความปลอมไปปนในกล่องข้อความจริงได้ วิธีการแบบนี้พบเห็นมาหลายปีแล้ว

2.False Base Station (FBS) Attack เป็นวิธีการที่ค่อนข้างใหม่ โดยมิจฉาชีพจะเช่าห้องพัก อาคาร หรือแม้แต่ดัดแปลงยานพาหนะสำหรับตั้งเป็นฐานปฏิบัติการ รอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านเข้ามาในรัศมีทำการของอุปกรณ์แล้วจัดการยิง SMS ปลอมชื่อธนาคารหรือหน่วยงานเข้าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานตามปกติ (เช่น ในประเทศไทยคือ AIS , DTAC , TRUE) และเช่นเดียวกับกรณีแรก ที่มีโอกาสที่โทรศัพท์ของเราจะจำสับสน จับข้อความปลอมไปปนในกล่องข้อความจริงได้ แต่มิจฉาชีพที่จะใช้วิธีการนี้ก็ต้องลงทุนสูงพอสมควร

ส่วนกรณีของเหยื่อที่เปลี่ยนรหัส (PIN) แล้วเหตุใดยังโดนโจมตีอีก เรื่องนี้มิจฉาชีพสามารถทำได้ด้วยการที่เมื่อเหยื่อเผลอกดคลิก Link ที่มาจาก SMS ปลอมแล้วก็มักถูกชวนให้ทำบางอย่าง เช่น กรอกข้อมูล ติดตั้งโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหลายครั้งมิจฉาชีพจะสร้างบัญชีไลน์ขึ้นมาให้กดรับเป็นเพื่อนแล้วทักมาพูดคุยโน้มน้าวให้เหยื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นที่มิจฉาชีพวางแผนไว้ โดยเฉพาะการติดตั้งโปรแกรม หากทำตามที่มิจฉาชีพบอกผลคือมิจฉาชีพจะรู้การใช้งานทุกอย่างในโทรศัพท์มือถือของเรา รวมถึงการเปลี่ยนรหัสผ่านหรือการพิมพ์ข้อความต่างๆ ด้วย

 “แบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) จึงได้ออกระเบียบว่าจะโอนเงินเกิน 5 หมื่นต้องยืนยันใบหน้าเท่านั้น อันนี้จะแก้ปัญหาได้ ก็คือต่อให้ควบคุมเครื่องได้ก็โอนเงินไม่ได้ เพราะถ้าจะโอนออกไป 5 หมื่นต้องเอาหน้ายืนยัน การที่ยืนยันด้วยหน้า จะปกป้องทรัพย์สินของเราในแบงก์นั้นๆ เท่านั้น แต่ว่าระบบอะไรที่มีการกู้เงินยืมเงินโอนเงิน แล้วไม่มีการใช้หน้ามายืนยัน มันจะกันไม่ได้ แบงก์ชาติยังออกกฎใหม่ด้วยว่า หลังเดือนมิถุนายนนี้ไปแล้วทุกธนาคารจะต้องไม่ส่ง SMS แนบ Link มาแล้ว ดังนั้นวันไหนถ้าได้ SMS จากธนาคารอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามี Link แบบนี้ ให้เป็นที่รู้กันเลยว่าเขาจะเลิกแล้ว ไม่มีการส่งอะไรแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ก็คือปลอม 100% ไม่ต้องไปคิดว่ามาจาก False Base Station Attack หรือปลอม Sender แม้กระทั่งธนาคารจริงก็จะไม่ทำแล้ว” ปริญญา กล่าว

รวมถึงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2566 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ นสพ.โพสต์ทูเดย์ อ้างการเปิดเผยของ พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ว่า ปัจจุบันพบเทคนิคการส่ง SMS ปลอมของมิจฉาชีพไปยังประชาชนรูปแบบใหม่โดยไม่ผ่านเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเรียกว่า False Base Station (FBS) หรือ Fake Base Station เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับข้อความหลงเชื่อว่าเป็น SMS จากหน่วยงานจริง สามารถปลอมชื่อ และหลอกให้คลิกลิงก์หรือแอดไลน์เพื่อหลอกลวงเงินจากประชาชน

โดย พล.อ.ต.อมร อธิบายการทำงานของ FBS ว่า เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ดักฟัง ดักสัญญาณ SMS เนื่องจากเป็นระบบเก่าแก่ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอุปกรณ์ดังกล่าวจึงสามารถทำงานส่ง SMS ได้ แต่ไม่สามารถดักฟังได้เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากเทคโนโลยีก้าวกระโดดไปถึง 4G และ 5G แล้ว หากต้องการดักฟังระบบต้องถูกลดเครือข่ายเหลือ 2G ซึ่งทำได้ยากและผู้ใช้งานหรือโอเปอเรเตอร์จะรู้ทันที 

แต่การส่ง SMS นั้นรวดเร็วมาก และผู้ให้บริการมือถือไม่สามารถรู้ได้ เพราะใช้เวลาไม่นาน รวมถึงการจับกุมก็เป็นไปได้ยาก เพราะอุปกรณ์นี้สามารถพกพาได้จึงเคลื่อนย้ายได้อย่างเร็ว ทั้งนี้ เคยมีรายงานการจับกุมมิจฉาชีพใช้อุปกรณ์ FBS ที่ประเทศจีนเมื่อปี 2557 ส่วนประเทศไทยเพิ่งพบเมื่อช่วง 2-3 เดือนล่าสุด และยังพบการจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัวของชาวจีนอย่างแพร่หลาย

สำหรับวิธี False Base Station อาจจะดูใหม่ในสังคมไทย แต่เคยใช้กันมาแล้วในต่างประเทศ ดังรายงานข่าวของ Naked Security สำนักข่าวออนไลน์ในเครือ Sophos บริษัทสัญชาติอังกฤษซึ่งทำธุรกิจฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รายงานเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2557 ว่า ตำรวจจีนจับกุมผู้ต้องหาได้มากถึง 1,530 คน ซึ่งมีพฤติกรรมใช้รถยนต์เป็นพาหนะขับตระเวนไปทั่วพร้อมกับใช้อุปกรณ์ FBS ส่ง SMS ปลอมใส่โทรศัพท์มือถือของผู้คนในรัศมีทำการ 

รายงานข่าวยังระบุว่า ชุดอุปกรณ์ตั้งสถานีปลอม หรือ FBS นั้นประกอบด้วย คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ GSM กล่องเซิร์ฟเวอร์ SMS เสาส่งสัญญาณ และสายเคเบิลข้อมูล USB ซึ่งชุดอุปกรณ์ติดตั้งสถานีปลอมนี้ขายในตลาดมืด (ตามรายงานข่าว ณ เดือน มี.ค. 2557) ราคาประมาณ 45,000 หยวน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 22,000 บาท) เป็นเซิร์ฟเวอร์ SMS ขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งมิจฉาชีพจะส่งข้อความปลอมให้ดูเหมือนว่ามาจากหมายเลขของผู้ส่งจริง เช่นหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ บริการสาธารณะ หรือธนาคารที่ถูกกฎหมาย

อนึ่ง เครื่องมือปลอมแปลงชื่อเพื่อส่ง SMS นอกจากจะใช้เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วนในหมู่ผู้คนหรือสังคมได้ด้วย ตั้งแต่ระดับ ขำๆ อำกันเล่น ดังที่ ปริญญา ยกตัวอย่างในรายการหนุ่ยทอล์กข้างต้น กรณีการใช้แอปฯ Fake SMS Sender อาจมีเพื่อนในกลุ่มแกล้งปลอมเบอร์โทรศัพท์แฟนของเพื่อนอีกคน แล้วส่ง SMS ไปบอกว่าเลิกกันเถอะ จนถึงการทำ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO)” ดังรายงานข่าวของ Naked Security เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2560 ว่า มี SMS ไม่ทราบที่มา ถูกส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของทหารยูเครนที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซีย บริเวณดินแดนภาคตะวันออกของยูเครนในช่วงปี 2557 ที่เกิดเหตุขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับประเทศไทย มีข่าวประชาสัมพันธ์จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.หรือแบงก์ชาติ) ​​ข่าว ธปท. ​ฉบับที่ 10/2566 เรื่อง  ธปท. ออกมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566 กล่าวถึงแนวนโยบายของ ธปท. ที่เป็นชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ดูแลตลอดเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำให้สถาบันการเงินทุกแห่งปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารจัดการความเสี่ยงกับการส่งเสริมบริการทางการเงินดิจิทัล

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มาตรการป้องกันเพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ประกอบด้วย 1. ให้สถาบันการเงินงดการส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS อีเมล และงดส่ง Link ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) 2.จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละสถาบันการเงิน ให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น โดยสถาบันการเงินต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา 

และ 3.ยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า (biometrics) เช่น สแกนใบหน้า ในกรณีลูกค้าขอเปิดบัญชีโดยผ่านแอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงิน (non-face-to-face) หรือทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้ จะกำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

ในเบื้องต้นเท่าที่สืบค้นได้ รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 มีสถาบันการเงิน 10 แห่ง ประกาศยกเลิกบริการส่ง SMS แนบ Link ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขณะที่รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส วันที่ 1 พ.ค. 2566 ระบุว่า บรรดาธนาคารต่างๆ กำลังทยอยปรับปรุงระบบเพื่อเตรียมพร้อมใช้มาตรการโอนเงินตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไปต้องสแกนใบหน้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 2566

สำหรับผู้เปิดบัญชีธนาคารที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 10 สถาบันการเงินข้างต้น ผู้เขียนแนะนำว่าให้สอบถามไปที่สาขาของธนาคารที่ใช้บริการอยู่ หรือสายด่วนอย่างเป็นทางการของธนาคารนั้นว่าได้ยกเลิกบริการส่ง SMS แนบ Link แล้วหรือยัง ในทุกครั้งที่ได้รับ SMS ทำนองดังกล่าว..ตั้งสติและยอมเสียเวลาสักหน่อยดีกว่าถูกหลอกดูดเงินเสียหายจนหมดตัว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=OJa5SKasfpE (แฉกลโกง SMS ปลอมเป็นธนาคาร ทำได้ยังไง? l #หนุ่ยทอล์ก : beartai แบไต๋ , 1 พ.ค. 2566 นาทีที่ 20.45-27.25)

https://www.posttoday.com/business/694050 (ทำความรู้จัก False Base Station ปลอมเอสเอ็มเอส ไม่ผ่านเครือข่ายมือถือ : โพสต์ทูเดย์ 4 พ.ค. 2566)

https://nakedsecurity.sophos.com/2014/03/26/chinese-cops-nab-1530-mobile-sms-spammers-in-raid-on-fake-base-stations/ (Chinese cops nab 1,530 mobile SMS spammers in raid on fake base stations : Naked Security 26 มี.ค. 2566)

https://nakedsecurity.sophos.com/2017/05/12/soldiers-sent-hate-sms-messages-from-rogue-base-stations/ (Soldiers sent hate-SMS messages from rogue base stations : Naked Security 12 พ.ค. 2560)

https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2023/Pages/n1066.aspx (ข่าว ธปท. ​ฉบับที่ 10/2566 เรื่อง ธปท. ออกมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน : ธนาคารแห่งประเทศไทย 9 มี.ค. 2566  , หมวดการค้นหา ข่าว ธปท.-นโยบายและการกำกับสถาบันการเงิน)

https://www.matichon.co.th/economy/news_3891445 (เจออย่าคลิก! แบงก์ชาติเปิดลิสต์ชื่อธนาคาร ยกเลิกส่งลิงก์ผ่าน SMS-E-mail แล้ว : มติชน 24 มี.ค. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/327208 (แบงก์สแกนหน้าโอนเกิน 50,000 บาท เริ่ม มิ.ย.นี้ : ThaiPBS 1 พ.ค. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2566

บ่งต้อด้วยหนามหวาย แก้ได้ทุกโรคต้อโรคตา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1j6dz54hkx06d


กรมที่ดินเตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดหนัก ปลอมเว็บไซต์-ไลน์กรมที่ดินหลอกดูดเงินหมดบัญชี ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/s5flgrj7rcrr


หยุดส่งต่อข้อความนโยบายพรรคก้าวไกล ที่อาจสร้างความเข้าใจผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2jkvzk6mc13mx


สมอ. อนุมัติกระดาษสัมผัสอาหาร และแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เป็นสินค้าควบคุม มีผลปี 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2u1uiczx77vg3


ตร.ไซเบอร์เตือนภัยมิจฉาชีพหลอกให้ทำงานเสริมออนไลน์ ออกอุบายให้โอนเงินเกลี้ยงบัญชี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6pxh8cggbmff


“พรรคก้าวไกล” สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ได้ กัญชาสันทนาการได้ แต่ต้องมีการควบคุมโซนนิ่ง ควบคุมบริหารจัดการไม่มีอะไรที่เสรี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qb7s0rv1kjmx#_=_


 “ลาว-จีน” จดปากกาเซ็น MOU ขยายหน้าต่างให้ “หยวน” ไหลเข้าประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1534a71alfv1o#_=_


5 Cases of Political Disinformation during the 2023 General Election Campaign

COFACT discovers widespread use of Islamophobia, false claims, accusations, conspiracy theories and false connections, and false or misleading information about opponents’ policies are the common political tactics during the 2023 general election campaigns.

Political disinformation refers to false or misleading information deliberately created to cause misunderstanding for political gain. In fact, political disinformation has been used as a tool to defeat political opponents or influence voters’ decision-making in many countries, such as the United States and the Philippines. This undermines the democratic process as people’s decisions are based on false, distorted, and misstating information. 

COFACT’s monitoring of political disinformation in the past two months, starting from when the Election Commission set May 14 as the date for the general election, found at least five common types of false and misleading information.  

1. Stirring up “Islamophobia”

False and distorted information is being used to stoke fear and hatred towards Islam (Islamophobia). This tactic is reportedly utilised to launch political attacks, creating a false narrative that politicians or political parties prioritise Islam over Buddhism or accusing them of being a ‘ national assimilation movement’ that aims to destroy Buddhism and transform Thailand into an “Islamic state.”

For example, false information had been circulating on social media and chat applications for at least seven years that Prime Minister Prayut Chan-o-cha, and his wife are Muslims. This false information 

COFACT has found that the false information regarding the former Prime Minister’s religion is part of a larger pattern of disinformation that aims to create fear and hatred towards Islam– often disseminated by Facebook accounts and YouTube channels linked to the Association for the Protection of Buddhism for National Security (APBNS) and the Thai Buddhist Association (TPBA). These organisations are known for opposing policies and laws that they perceive as supporting and expanding the influence of Islam, such as the Administration of Islamic Organisations Act, Hajj Affairs Promotion Act or promoting the Halal food industry.

In early April 2023, a video clip regarding the 76th-anniversary celebration of the founding of the Democrat Party (DP) was widely shared. According to the video, the DP allegedly held an Islamic religious ceremony without a Buddhist tradition, which raised the question of whether Buddhists would still vote for the party in the upcoming election. However, the party spokesperson later refuted the claims, clarifying that the event included both Buddhist and Islamic ceremonies.

Read more : ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย” 

2. False claims

The selective and partial presentation of facts about state projects or policies to mislead the public to believe certain state projects and policies were initiated or achieved during their tenure is a common tactic employed by politicians across the political spectrum to sway voters during elections.

COFACT found examples of such claims during the election period, such as the construction of the Bang Yai-Kanchanaburi Motorway, the Bang Pa-In-Nakhon Ratchasima Motorway, and the Benjakitti Park construction project.

Both the Pheu Thai Party and former Prime Minister Prayut Chan-o-cha have taken credit for the construction of the Bang Yai-Kanchanaburi and Bang Pa-in-Nakhon Ratchasima motorways, claiming them as their achievements. However, using online government-related sources, the COFACT team found that both projects were part of a government plan for developing the expressway network approved by former Prime Minister Chuan Leekpai in 1997. The construction of these highways, thus, has been a continuous effort for over two decades under the purview of various governments, making it incorrect to attribute them solely to any single political party or government and creating a false understanding among the public.

Similar to former Prime Minister Prayut Chan-o-cha’s recent claim on a stage at a United Thai Nation Party (UTN) rally that he was responsible for initiating the construction of Benjakitti Park and overseeing its completion, a fact-check conducted by COFACT revealed that the project was actually approved for construction in 1991 during Anand Panyarachun’s tenure as Prime Minister.

Moreover, the park had been developed consistently under various administrations, while Prayut’s government played a part in the creation of the “Forest Park” section, which was executed in three phases from 2016 to 2021.

Read more :

มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี ผลงานรัฐบาลไหน?

เลือกตั้ง 2566: ตรวจสอบ 3 ประโยคของประยุทธ์บนเวทีปราศรัยรวมไทยสร้างชาติ 

3. False Accusations

One concrete evidence of spreading misleading information to accuse political opponents of a particular problem is exemplified by the UTN’s leading figures, who alleged that the Yingluck Shinawatra government was to blame for the current surge of electricity prices, pointing to the government’s hasty approval of the Electricity Generating Authority of Thailand’s procurement of 5,000 megawatts of electricity from Gulf Energy Development, a major private power producer, back in 2012.

According to COFACT’s fact-checking, the power purchase agreement for 5,000 megawatts of electricity with Gulf Energy Development was signed during the Yingluck Shinawatra administration. However, it may only partially be accurate to attribute the currently high electricity prices solely to this agreement, as other factors, such as fuel prices and electricity usage during different times of the day, also play a significant role. This case highlights the tendency of political parties to use partially accurate information to attack their opponents during election campaigns instead of focusing on their own policy formulation and proposals.

Read more : ค่าไฟแพงเพราะอะไร คำตอบไหนเชื่อถือได้? 

4. Conspiracy Theories and False Connections

In the past few years, there has been widespread dissemination alleging that the United States had been interfering in Thai politics through the civil society organisations that receive funding from the US government. This belief has been propagated again in connection with the upcoming Thai general election on 14 May 2023.

COFACT has found that these accusations originate from the analysis of Brian Berletic, an American independent geopolitical analyst based in Thailand. According to Berletic, the US government has been meddling in Thai politics in order to remove governments that obstruct US interests and replace them with ones that are more “compliant.” Berletic claimed that this interference is carried out through funding civil society organisations that promote human rights and democracy, such as the Internet Law Reform Dialogue (iLaw), the Thai Lawyers for Human Rights, and the Union for Civil Liberty. He specifically singles out the National Endowment for Democracy (NED) as a “Civic version of the CIA” using human rights and democracy as a cover for covert operations of the US government to interfere in the internal affairs of other countries.

Berletic also claimed the partnership between the Election Commission of Thailand (ECT) and iLaw in election monitoring would allow US-affiliated organisations to intervene in Thailand’s elections.

His analysis was then spread through social media platforms by pro-Prayuth news outlets and organisations, such as Top News and the Thai Move Institute, as well as political figures like Mr Somchai Swangkarn. 

While individuals are entitled to express their political views and analysis, the allegation that the United States is interfering in Thailand’s elections through NGOs like iLaw is unsubstantiated and based on conspiracy theories. It is essential to distinguish between opinions and facts before accepting or sharing information.

Read more : กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”  

5. Creating false or misleading information

Spreading false or misleading information is commonplace in politics, with information being created to tarnish the reputation and credibility of opponents during elections and the policies of political parties being twisted to undermine their popularity. 

For example, there has been an allegation that the Move Forward Party (MFP) plans to launch a policy to cut retirement benefits for civil servants and that their policy to abolish mandatory military service would leave Thailand defenceless.

In mid-April 2023, false news spread regarding Cambodia’s military drills near the Thai border and a clip of Prime Minister Hun Sen’s speech warning of war with neighbouring countries if his government was not in power. COFACT has confirmed that the clips of the military drills and the Prime Minister’s speech were old but repurposed and shared as new. Meanwhile, the embassy of Cambodia in Bangkok confirmed that no military exercises were conducted along the border. The content circulating on social media regarding the military drills is thus false.

It is possible that people behind the fabrication and disinformation of the fake news regarding Cambodia’s military exercises, as well as the alteration of Cambodian Prime Minister Hun Sen’s statements, may have intended to mislead the public and create a false perception towards MFP’s policy to reform the military and abolish mandatory military service. This could also be a response to the party leader’s question, “Why do we still have a military?

The dissemination of this false information is an explicit example of how politically-driven motives can exploit sensitive issues concerning national security and international relations without considering the broader and far-reaching consequences beyond the results of an election.

Read more: คลิป “กัมพูชาซ้อมรบ” และ “ฮุน เซนขู่สงครามปะทุ” มาจากไหน เกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยอย่างไร

COFACT predicts that using distorted information and disseminating political disinformation will continue even after the general election on May 14, 2023, with more diverse and widespread content. While blocking and controlling the source of false information is challenging, the public can keep up with the news by distinguishing between opinions and facts and assessing the accuracy and credibility of the information before believing or sharing it, regardless of its source, from either government or non-governmental organisations.

ABOUT COFACT THAILAND

Cofact project or COFACT (Collaborative Fact Checking) was inspired by the efforts of the civil society network in Taiwan, who believe in people’s power in dealing with the dark side of information by creating an open platform that anyone from any sector can help in fact-finding, preventing any side to hold the absolute truth alone. It is because facts could change over time and other relevant factors.

In mid-2019, the civil society in Thailand held the “International Conference on Fake News” led by the association of eight organisations such as the Thai Media Fund, the Thai Health Promotion Foundation, Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF), the Thai Public Broadcasting Service, the National Press Council of Thailand, SONP, the Faculty of Communication Arts of Chulalongkorn University, and the Faculty of Journalism and Mass Communication of Thammasat University.  

At this conference, all eight organisations signed the declaration to join forces in fighting disinformation. This event was attended by  Taiwan’s Digital Minister Audrey Tang, the Digital Minister of Taiwan, who was a keynote speaker and shared her experience in prototyping Cofact of Taiwan. This led to the cooperation and consequently led to Thailand’s Cofact project.

Follow COFACT on:

Website: https://blog.cofact.org/

Facebook: https://www.facebook.com/CofactThailand

Twitter: @CofactThailand

TikTok:  @cofactthailand


ข้อความทางไลน์อ้างสภาสูงสหรัฐฯ ผ่านสาระสำคัญร่างข้อมติแทรกแซงกิจการการเมืองไทยเป็นข้อมูลคลาดเคลื่อน งดแชร์!

ตามที่ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ข้อความทางบัญชีส่วนบุคคลในไลน์ส่งต่อกันมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ว่าสาระสำคัญของร่างข้อมติของรัฐสภาสหรัฐ S-Res. 114 และ ร่างข้อมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ H-Res.369 ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยของพลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา ให้ความคุ้มครองและเคารพประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และเสรีภาพในการแสดงออก ได้ผ่านความเห็นชอบจากทางวุฒิสภาสหรัฐทั้งสองร่างแล้ว ทั้งยังเรียกร้องให้มีการส่งข้อความต่อไปในเชิงปลุกกระแสชาตินิยมว่า “ส่งต่อคนไทยหัวใจรักชาติด่วน”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของรัฐสภาสหรัฐและได้สอบถามกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคำยืนยันว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ร่างข้อมติทั้งสองร่างยังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ยังไม่มีการพิจารณาหรือผ่านข้อมติแต่อย่างใด โดยกระทรวงการต่างประเทศ และ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน กำลังติดตามพัฒนาการในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

กรมสารนิเทศชี้แจงว่าร่างข้อมติฯ ทั้งสอง ยังคงเป็นการแสดงท่าทีส่วนบุคคลของ ส.ส. และ ส.ว. สหรัฐฯ บางราย มิใช่ท่าทีทางการของรัฐสภา รัฐบาลสหรัฐฯ หรือท่าทีของสหรัฐฯ ในภาพรวมแต่อย่างใด ทั้งยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ข้อมติในลักษณะนี้ไม่ได้สร้างพันธะผูกพันทางกฎหมายให้รัฐบาลสหรัฐต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

สาระสำคัญของร่างข้อมติทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน โดย ร่างข้อมติ S.Res.114 ซึ่งนำเสนอโดยวุฒิสมาชิก เอ็ดเวิร์ด เจ มาร์คีย์ และ วุฒิสมาชิก ดิ๊ก เดอร์บิน สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศวุฒิสภาสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องคุ้มครองประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสันติ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และวัตถุประสงค์อื่นๆ

ส่วน ร่างข้อมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ H.RES.369 ซึ่งนำเสนอโดย ส.ส.ซูซาน ไวลด์ สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่  5 พฤษภาคม 2566 เน้นย้ำความสัมพันธ์ทวิภาคีของไทยและสหรัฐฯ และมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมเรื่องจากร่างแรกในเรื่องให้ปกป้อง คุ้มครองและเคารพสิทธิประชาชนข้างตัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยด้วย  นอกจากนี้ร่างทั้งสองยังมีการเท้าความถึงสถานการณ์ทางการเมือง ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่าถดถอยลงภายหลังการเลือกทั่วไปปี 2562 รวมถึงวิพากษ์รัฐบาลไทย กองทัพและบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงที่อาจส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดความไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตามโคแฟคได้ติดตามการนำเสนอข่าวและความเห็นเกี่ยวกับเรื่องร่างข้อมติดังกล่าวในสื่อกระแสหลักและบัญชีบุคคลในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า

1) ข้อมูลที่ถูกนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่วนใหญ่อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสมาชิกและประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โดยมีเนื้อหาและความเห็นไปในทางที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดที่ว่า ภาคประชาสังคมไทยร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ แทรกแซงการเมืองไทยและการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ พร้อมสรุปสาระของร่างข้อมติทั้งสองร่างด้วย ทั้งนี้แนวคิดเรื่องสหรัฐแทรกแซงการเมืองไทยอยู่ในกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมาก่อนหน้าการเลือกตั้งแล้ว เช่นเดียวกับทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงทางการเมืองของจีนและรัสเซียที่ถูกพูดถึงในพื้นที่การเมือง สื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565

2) มีการนำเสนอเรื่องร่างข้อมติของรัฐสภาสหรัฐ ผ่านสื่อที่มีทัศนะในเชิงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลและต่อต้านฝ่ายค้านและการสื่อสารช่องทางอื่นๆ ของสื่อเหล่านี้ อย่างชัดเจน ในขณะที่การถกเถียงเรื่องนี้ในพื้นที่สื่อกระแสหลักทั่วไปมีน้อยมาก ยกเว้นไทยพีบีเอส

3) ช่วงเวลาที่มีการนำเสนอเรื่องนี้เกิดขี้นก่อนการเลือกตั้งประมาณสามอาทิตย์ และถี่ยิ่งขึ้นก่อนวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566

4) การตอกย้ำความคิดเรื่องทฤษฎีสมคบคิดกลับมาอีกครั้งหลังการเลือกตั้งผ่านไป ผ่านบทความและข่าวที่นำเสนอโดยสื่อกลุ่มเดิม

5) การพาดหัวข่าวของบางสื่อในกลุ่มนี้ ยังใช้คำที่ปลุกกระแสชาตินิยม เช่น  “…คนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง” หรือ “ …ร้ายสุดมีคนไทยสมคบคิด เปิดบ้านให้ต่างชาติเผาเมือง”

โคแฟคเคารพในหลักการสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในระบอบประชาธิปไตย และแม้ว่าเรื่องร่างข้อมติฯ ดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง แต่การสื่อสารของฝ่ายไทยที่ไม่เห็นด้วยกับร่างข้อมติดังกล่าวออกมาในเชิงให้ความเห็นฝ่ายเดียวในช่วงก่อนการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนประเด็นที่สหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโอที่ทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีคบคิดที่ยังไม่มีข้อสรุป และต้องการพื้นที่สาธารณะเพื่อถกเถียงกันกันอย่างรอบด้านและให้ความรู้ความกระจ่างโดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น การเมือง การทูตและ รัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเมืองที่มีความอ่อนไหวและล่อแหลม

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อความดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าร่างข้อมติทั้งสองร่างได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ แล้ว  ขอให้ผู้ใช้สื่อสังออนไลน์หยุดแชร์ และเปิดรับฟังความเห็นจากแหล่งข่าวที่หลากหลาย และทางโคแฟคจะติดตามความคืบหน้าของร่างข้อมติทั้งดังกล่าวและนำเสนอข้อถกเถียงในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดดอย่างรอบด้าน ผ่านรายงานและบทความอย่างต่อเนื่องในลำดับต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง

  • ส.ว. สหรัฐอเมริกาเสนอมติเข้าวุฒิสภาอเมริกา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย 20 เม.ย. 66, https://tlhr2014.com/archives/55359
  • ส.ส.สหรัฐอเมริกา เสนอมติสภาผู้แทนราษฎรเข้ารัฐสภา เรียกร้องรัฐบาลไทยรักษาหลักการประชาธิปไตย-จัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและเป็นธรรม, 11 พ.ค. 66, https://tlhr2014.com/archives/55940
  • ส.ว.ไทยกังวล “สหรัฐอเมริกา” แทรกแซงเลือกตั้ง | มุมการเมือง | 10 พ.ค.66, https://www.youtube.com/watch?v=w9F80I_OKf4“ส.ว.สมชาย”เตือนสติกกต.หยุดทันที ดึงไอลอว์ตรวจสอบเลือกตั้งไทย, 24 เม.ย. 66 https://www.topnews.co.th/news/676966
  • ‘ส.ว.สมชาย’ เปิดหน้าคุยทูตสหรัฐฯ รับรู้ขบวนการใส่ร้ายสถาบัน ผ่านกองทุน NED, 4 พ.ค. 66  https://www.thaipost.net/politics-news/371804/
  • “ส.ว.สมชาย” แฉกลุ่มคนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง 11 พ.ค. 66, https://news1live.com/detail/9660000043752
  • “ส.ว.สมชาย” แฉกลุ่มคนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง, 11 พ.ค. 66, https://mgronline.com/onlinesection/detail/96000043752
  • “ส.ว.สมชาย”แฉหลักฐานซ้ำอเมริกา พร้อมแทรกแซงอธิปไตย ร้ายสุดมีคนไทยสมคบคิด เปิดบ้านให้ต่างชาติเผาเมือง, 12 พ.ค. 66,  https://www.topnews.co.th/news/698585
  • USA หยุด เผือก การเมืองไทย I กวนน้ำให้ใส I 15 พ.ค 66,   https://www.naewna.com/politic/columnist/55134
  • ทูตสหรัฐออกตัวแรงอยากเห็นผลเลือกตั้งไทย ปั่นแทรกแซงพม่าไม่สำเร็จ ลุ้นก้าวไกลเป็นเครื่องมือ | STALKER I 16 พ.ค. 66 https://www.youtube.com/watch?v=sNAeuRf3F6I

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพ ใช้เบอร์ 082-810-3575 โทรหลอกให้ล็อกอินเข้าเพจกระทรวง หลงเชื่อมาหลายราย ถูดดูดเงินเกลี้ยงบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/46tbbn2d6hru


ไม่ควรรับประทานหน่อไม้ดิบ มันฝรั่งดิบ และมันสำปะหลังดิบ โดยเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/110p7vvnkxaml


น้ำผึ้งช่วยรักษาแผลในช่องปากได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dfqxfzt1jay3


กระโดดเชือก สามารถช่วยลดน้ำหนักได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q50qntygk9sy


‘เลือกตั้ง 2566’ สื่อพยายามทำหน้าที่เป็นกลาง-สร้างความโปร่งใส แต่คำถามใหญ่อยู่ที่บทบาทของ ‘กกต.’

10 พ.ค. 2566 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ โคแฟค (ประเทศไทย) จัดงานเสวนา Media Forum #19 ในวาระวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก (World Press Freedom Day) หัวข้อ “โค้งสุดท้าย สื่อกับการเลือกตั้ง ปี 66 : แนวปฏิบัติ vs ความเป็นจริง” โดยเป็นการจัดงานในรูปแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom ถ่ายทอดผ่านเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ,สภาองค์กรของผู้บริโภค และ Ubon Connect 

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวเปิดงาน ระบุว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ประกาศใช้แนวปฏิบัติเรื่องการนำเสนอข่าว ภาพข่าวการเมืองและการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา  ทั้งที่คิดทำตั้งแต่ช่วงยุบสภา แต่กระบวนการยกร่างใช้เวลา เพราะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญจะเน้นที่การนำเสนอข่าวต้องครบถ้วนรอบด้าน ทั้งนี้คณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีความกังวลกับการที่สื่อนำเสนอเนื้อหาจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และพรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ว่าสื่อได้มีการตรวจสอบเนื้อหามาก-น้อยเพียงใด ทั้งยังมีประเด็นการทำหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกวิพากษ์จารณ์อย่างมากทั้งในส่วนที่มีหลักฐานชัดเจนและที่อาจจะกล่าวหาจนเกินจริง ซึ่งสื่อก็ต้องติดตามตรวจสอบเช่นกัน รวมทั้งการจัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ (ดีเบต) ของตัวแทนจากแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งมีหลายเวทีและประชาชนยังสามารถเข้าไปรับชมย้อนหลังได้ ไปจนถึงการสำรวจความคิดเห็น (โพล) โดยรวมค่อนข้างทำได้ดี แม้หลายโพลจะไม่ได้ทำตามหลักสถิติ เช่น สำรวจผ่านกลุ่มไลน์ แต่ผู้จัดทำโพลก็ พยายามอธิบายวิธีการทำโพลและความน่าเชื่อถือ ไม่ได้นำเสนอแต่ผลอย่างเดียวจนอาจบิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็นเพราะไม่ได้ทำแบบวิทยาศาสตร์

“วันนี้ที่เชิญแต่ละท่านมา อยากเชิญมาช่วยตรวจการบ้านว่าที่เราทำแนวปฏิบัติออกไป สื่อพี่น้องของเราทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิกสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัตินี้หรือไม่-อย่างไร อันนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักที่อยากจะรับฟัง แล้วส่วนอื่น ๆ ก็อยากจะฟังความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย อาจจะช่วยวิเคราะห์-วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อ เพื่อส่งเสียงสะท้อนไปยังพี่น้องสื่อของเราให้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสื่อมวลชนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้” ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

ผศ.ดร.ประกายกาวิล ศรีจินดา วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เลขานุการคณะยกร่างแนวปฏิบัติสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่องการนำเสนอข่าว ภาพข่าวการเมืองและการเลือกตั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่มีการเลือกตั้ง องค์กรวิชาชีพสื่อ ยังไม่เคยมีแนวปฏิบัติเรื่องการรายงานข่าวเรื่องนี้มาก่อน ในขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีแนวปฏิบัติเรื่องเดียวกันออกมาอาจด้วยเหตุที่ใกล้ถึงวันเลือกตั้ง 

ทั้งนี้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เห็นว่า แนวปฏิบัติทีเกิดจากการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพ น่าจะมีความชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่าการกำกับดูแลร่วม อีกทั้งปัจจุบันสื่อมีรูปแบบหลากหลายและควบคุมได้ยาก การมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนไปในทางเดียวกันก็น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงอยากให้สื่อมวลชนร่วมกันใช้แนวปฏิบัตินี้ ที่ร่างโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งผู้ประกอบวิชาชีพสื่อและนักวิชาการจากภายนอก แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ควรทำและส่วนที่ต้องทำ 

“ใน 2 ประเด็นนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ควรนำเสนอ หรือประเด็นที่ต้องนำเสนอก็ตาม อย่างเช่นการนำเสนอหรือเผยแพร่โพล หรือนำเสนอข้อมูลอย่างที่ผ่านมา อาจจะนำเสนอแค่ผล จำนวนอาจจะไม่ครบถ้วนตามหลักวิชาการ เช่น ไม่ได้บอกว่าข้อมูลการสำรวจมีความน่าเชื่อถือ หรืออ้างแหล่งข้อมูลของประชากร แต่การรายงานการสำรวจทุกครั้งควรจะชัดเจน เพื่อให้ผู้เห็นผลรู้ว่ามาจากแหล่งประชากรที่หลากหลายหรือน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่” ผศ.ดร.ประกายกาวิล กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ที่ปรึกษาพิเศษ บริษัท เนชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน กล่าวว่า ย้อนไปในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ในครั้งนั้น กกต. มีความร่วมมืออย่างหลวมๆ กับสื่อมวลชน โดยบทบาทหลักอยู่ที่ กกต. ในขณะที่สื่อแทบจะทำเพียงรับทราบเท่านั้น ซึ่งก็เป็นอย่างที่ทราบกันว่าเป็นฝันร้ายทั้งของสื่อและสังคม ทำให้ผลคะแนนเลือกตั้งที่ออกมาขาดความน่าเชื่อถือ ส่วนการเลือกตั้งในปี 2566 กกต. ประกาศแต่แรกแล้วว่าไม่ทำแอปพลิเคชั่น แต่ก็มีระบบรวบรวมคะแนนเป็นการภายใน และจะประกาศผลภายใน 5 วัน 

ซึ่งก็มีคำถามว่าระหว่าง 5 วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งก่อนๆ สื่อมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพื่อรายงานผลเลือกตั้งแบบ Real Time กันอยู่แล้วตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีโทรทัศน์ระบบดิจิทัล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น สถาบันการเงิน บริษัทด้านโทรคมนาคม กระทั่งล่าสุดในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับรายงานคะแนนแบบ Real Time ขึ้นมา โดยผู้ใช้งานสามารถกดบันทึกคะแนนได้ทันทีที่ผู้นับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งขานคะแนนจากบัตรเลือกตั้ง

จากการทดลองใช้กับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม. ในวันเดียวกัน พบว่า ไม่มีปัญหาระบบล่ม และไม่กี่ชั่วโมงก็พอจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการแล้ว แต่ความท้าทายอยู่ที่การเลือกตั้ง ส.ส. มีความใหญ่กว่าในแง่ของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง โดยในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นั้นมีอาสาสมัครช่วยบันทึกคะแนนจำนวน 2,500 คน จาก 8,000 หน่วยเลือกตั้ง เฉลี่ย 3-4 หน่วยต่ออาสาสมัคร 1 คน แต่เอาเข้าจริงก็มีอาสาสมัครได้เพียงครึ่งหนึ่งจากที่ต้องการเท่านั้น ขณะที่การเลือกตั้ง ส.ส. จะมีหน่วยเลือกตั้งมากถึง 95,000 หน่วย

“กกต. ชุดนี้ทั้ง 6 ท่าน สื่อไม่ทราบเลยว่าแบ่งหน้าที่อย่างไรกัน เวลาติดต่อก็ไม่รู้จะถามใคร แล้วผมคิดว่า กกต. ยุคนี้สื่อเข้าถึงข้อมูลได้น้อยมาก ยกเว้นว่า กกต. จะเปิดให้ ถึงจะได้ สื่อพยายามถามทุกปัญหา แต่ยากที่จะได้ถามได้พบได้เห็นหน้า กกต. ทั้ง 6 คน ยกเว้นเห็นรูปข่าวกรณีไปทัวร์ต่างประเทศ นอกนั้นไม่เคยเจอ จะเจอท่านประธานอิทธิพร (บุญประคอง) ออกมาเป็นครั้งๆ บ้าง” อดิศักดิ์ กล่าว

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการบริหาร โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ขอร่วมเป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้งแล้วกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่ง หากบ้านเมืองเป็นปกติ กกต. ตั้งใจทำงาน ก็คงไม่ต้องมีภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่า iLaw , Vote62 หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องระดมกำลังกันเพื่ออุดช่องโหว่ปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องย้ำว่า การเลือกตั้งในปี 2566 ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างที่ไม่ปกติ 3 ประการ คือ 

1.ระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไป-มาถึง 5 ครั้ง เรียกว่ากว่าจะมีกฎหมายเลือกตั้งต้องรอถึงวันที่ 28 ม.ค. 2566 และกว่าจะได้มาก็เกิดปัญหาการประชุมสภาล่มอยู่หลายครั้ง การแบ่งเขตเลือกตั้งก็ต้องทำใหม่ถึง 3 รอบ กว่าจะเรียบร้อยก็เป็นวันที่ 17 มี.ค. 2566 หรือไม่ถึง 2 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. จะเตรียมตัวกันไม่ทัน 

2.ยังเป็นโครงสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะคณะกรรมการในองค์กรอิสระ เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่ คสช. เลือกมา จึงต้องจับตาในประเด็นการตีความว่าอะไรทำได้-ไม่ได้ และ 

3.การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งก็ไม่ง่าย เพราะการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อีก 250 คน นอกจากนั้นยังมีการต่อรองหลังม่านที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมองไม่เห็นและไม่มีส่วนร่วม ดังนั้นอาจมีเงื่อนไขพิเศษที่ไม่ได้เขียนในกฎหมายและไม่ได้ประกาศก่อนการเลือกตั้งเข้ามาเกี่ยวข้อง

ขณะที่ระบบการนับคะแนนของ กกต. ในครั้งนี้ จะให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนับคะแนนให้เสร็จแล้วเขียนลงในใบสรุปผลคะแนนที่เรียกว่าใบ ส.ส.5/18 เป็นกระดาษ A4 1 แผ่น แล้วคนที่หน่วยไม่ต้องกรอกหรือส่งคะแนน แต่ให้นำเอกสารดังกล่าวไปส่งที่สำนักงาน กกต. เขต แล้วจะมีคนกลุ่มเล็กๆ ในสำนักงาน กกต. เขต กรอกข้อมูลเข้าระบบ Google Drive เพื่อแชร์ต่อให้สื่อมวลชน ตั้งแต่เวลา 18.30-23.00 น. ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียงอย่างละ 3 ประการ

“ข้อดี 3 ประการ 1. ลดจำนวนคนทำหน้าที่กรอก จึงลดโอกาสเสี่ยงผิดพลาด 2. จะใช้ Google Drive อย่างน้อยก็น่าจะอ้างระบบล่มไม่ได้ หวังว่าคงไม่มีใครแฮ็ก Google Drive 3.มีการเขียนในระเบียบว่าหลังจากเลือกตั้ง 5 วันจะเปิดเผยเอกสารส.ส.5/18 ที่เป็นคะแนนทุกหน่วยขึ้นเว็บไซต์

 ส่วนข้อเสีย 3 ข้อ 1. เนื่องจากคนกรอกมีจำนวนลดลง ดังนั้นโอกาสทุจริตก็ง่ายขึ้น เพราะจำนวนคนน้อยและไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นหน้าตาเป็นอย่างไร 2.กกต. แจ้งแล้วว่าในการรายงานผลตั้งแต่ 18.30-23.00 น. ไม่รายงานบัตรเสียและบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน  ไม่มีเหตุผลอธิบาย และเข้าใจไม่ได้ว่าอีก 2 ช่องทำไมไม่กรอกลงไป 3.กกต. ยืนยันว่าจะรายงานผลคะแนนในคืนวันเลือกตั้งแค่ 94% ส่วนอีก 6% คือประมาณ 2 ล้าน จะเก็บไว้ก่อนแล้วก็ไม่บอกว่าเมื่อไรจะบอก ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันออกไปดูการนับคะแนนหน้าหน่วย”  ยิ่งชีพ กล่าว 

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างระหว่างการเลือกตั้งปี 2562 กับปี 2566 คือในการเลือกตั้งปี 2562 ขั้วการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายมีจำนวนผู้สนับสนุนใกล้เคียงกันวัดจากผลคะแนนเลือกตั้งที่ออกมา แต่การเลือกตั้งปี 2566 กระแสชี้ว่าประชาชนมีแนวโน้มไม่สนับสนุนขั้วการเมืองที่เป็นรัฐบาลปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้ดูเหมือนสื่อมวลชนจะขยับไปทางพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมากขึ้น แม้สื่อจะพยายามทำหน้าที่อย่างเป็นกลางด้วยการให้พื้นที่กับพรรคการเมืองทุกขั้วก็ตาม

โดยข้อสังเกตจากการเลือกตั้งปี 2566 มี 4 เรื่อง คือ 1.มีการจัดเวทีดีเบตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากสื่อต้องแข่งขันชิงเรตติ้ง ข้อดีคือกระตุ้นการมีส่วนร่วมอีกทั้งหากพลาดช่วงออกอากาศสดก็ยังรับชมย้อนหลังได้ แต่ประเด็นชวนคิดคืออะไรเป็นโจทย์ของการดีเบต สื่ออาจไม่ได้ตั้งคำถามว่าอะไรคือเป้าหมายที่ต้องการ ระหว่างการให้ความรู้และข้อมูลกับประชาชนในแง่นโยบายกับการกระตุ้นความสนใจด้วยเรตติ้งถึงขนาดที่บางสื่อทำเหมือนเกมโชว์หรือตั้งคำถามก่อดราม่า

2.การทำโพล ในอดีตโพลมักมาจากมหาวิทยาลัย แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มีโพลมาจากสื่อหลายสำนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่สื่อจะทำโพล และทุกสำนักก็ให้ความจริงใจในการเปิดเผยว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้อสังเกตคือการนำผลโพลไปเสนอข่าว การพาดหัวซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้กลายเป็นการชูบางพรรคมากเกินไป ซึ่งทั้งสื่อและโพลมีผลโน้มน้าวการตัดสินใจของประชาชนได้ จึงอยากให้ใช้ความระมัดระวัง

3.ความเป็นกลาง เห็นได้ชัดว่าสื่อมีความพยายามอย่างมาก ทั้งการไม่ค่อยพบการสาดโคลนใส่กัน แต่มีการเปิดพื้นที่ให้มาก ซึ่งบางครั้งก็ทราบว่าบางพรรคได้พื้นที่น้อยเพราะไม่ส่งตัวแทนมาร่วมเวทีดีเบต แต่อีกมุมหนึ่งกับการที่สื่อขยับตามกระแสสังคมที่หันไปเชียร์พรรคฝ่ายค้าน ก็ทำให้สามารถมองเห็นการนำเสนอไปในทางนั้น หากตรงกับใจเราก็อาจไม่ได้คิดมาก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องทบทวน เห็นจากบางเวทีของสื่อบางสำนัก รู้ได้เลยว่าผู้สมัครจากบางพรรครู้สึกอึดอัด และทราบว่ามีบางพรรคปฏิเสธไปร่วมรายการจากเหตุเพราะพิธีกรผู้ดำเนินรายการ 

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าสื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง สื่อมีสิทธิ์เลือกเชียร์ได้แต่ต้องชัดเจน แต่ที่เห็นคือสื่อพยายามให้พื้นที่พรรคการเมืองเท่ากันซึ่งก็เป็นสิ่งที่ชื่นชม และคิดว่า ณ วันนี้สื่อไทยพัฒนาขึ้นไปเยอะมาก และ

 4.อยากเห็นสื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้มากขึ้น เช่น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิภาพและความจริงใจในการทำงานของ กกต. หรือเหตุใดการเข้าถึงกรรมการ กกต. ทั้ง 6 ท่านจึงยากมาก โดยปัจจุบันเมื่อพูดถึง กกต. จะเห็นแต่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เสียมากกว่า

“เราเห็นข่าวคุณชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์) ซึ่งก็ไม่รู้จะทำหน้าที่เป็นสื่อหรือเป็นอะไร ออกมาเปิดโปงเรื่องการขนคนสูงอายุออกมาเลือกตั้งล่วงหน้าในบางพื้นที่ ซึ่งจริงๆ เป็นคนติดพื้นที่อยู่ ทำไมต้องเลือกตั้งล่วงหน้า แต่เราไม่เห็นการสานต่อของการทำข่าวแบบนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่อยากเห็น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าขอมากไปหรือเปล่าเพราะสื่อก็ทำหน้าที่เยอะแล้ว” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว

ในช่วงท้าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวปิดการเสวนา ว่า การเลือกตั้งทุกครั้งมีมิติใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างครั้งนี้คือบทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2562 และแม้วงเสวนาวันนี้จะเน้นจับตาบทบาทของสื่อมืออาชีพ แต่ตัวแปรสำคัญอยู่ที่สื่อสังคมออนไลน์ อย่างล่าสุดมีสงครามเรื่องเล่าผ่านคลิปวีดีโอในยูทูบ หรือในฟิลิปปินส์ที่คลิปวีดีโอในติ๊กต๊อกมีผลกับการแพ้-ชนะการเลือกตั้ง เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องดูกันต่อไป

“ในมหาสมุทรของข้อมูลข่าวสาร มันมีเยอะแยะไปหมด สังคมก็คาดหวังสื่อที่ตัวเองเชื่อถือได้ สื่อมืออาชีพ หรือเราจะเรียกว่าสื่อเดิมหรือสื่อหลักในการที่จะกลั่นกรอง ปัญหาข้อมูลลวงอันนี้คือเกิดขึ้นเยอะมาก แล้วอาจมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งได้เหมือนกัน แต่สื่ออาจจะรู้สึกว่าคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริง แต่จริงๆ มันก็ลำบากเหมือนกันเพราะว่าเขาก็อาจจะนำเสนอกันในแต่ละแพลตฟอร์ม เวทีวันนี้อาจจะไม่ได้เน้นที่สื่ออย่างเดียว เน้นที่การตรวจสอบ กกต. ไปด้วย ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเปิดมุมมองและสะท้อนแนวคิด” สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

กต.-โคแฟค ร่วมต้านข่าวปลอม

กรมสารนิเทศ กระทรวงต่างประเทศ หารือ โคแฟค (ประเทศไทย) พร้อมร่วมมือต้านข่าวปลอม

10 พค. 2566

นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ พร้อมด้วยผู้บริหารกรมสารนิเทศ หารือกับน.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) บรรณาธิการ ที่ปรึกษาโคแฟค และทีมงาน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและแสวงหาความร่วมมือในการจัดการกับปัญหาข่าวปลอม โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น การทูตดิจิตอล การร่วมกันต่อต้านข่าวปลอมที่อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน  และภาพลักษณ์ของประเทศ การพิจารณาแนวโน้มในอนาคตต่อการจัดการกับความท้าทายจาก AI โดยเฉพาะข่าวที่ผลิตโดย AI การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็นดิจิตัล การป้องกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย การป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอมเพื่อลวงล่อคนไปทำงานต่างประเทศ การป้องกันการยุยงให้เกิดความเกลียดชังข้ามวัฒนธรรมหรือข้ามชาติผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้แบ่งปันข้อมูล และประสบการณ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีด้านการป้องกันและต่อต้านข่าวปลอมทั้งในไทย และในต่างประเทศของฝ่ายรัฐ ภาคประชาสังคม และสำนักข่าวต่างประเทศ

อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า ความสำคัญของการป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอม การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งกรมสารนิเทศและโคแฟค (ประเทศไทย) จะร่วมมือกันอย่างแข็งขันต่อไป.-สำนักข่าวไทย        


ขอบคุณที่มาข่าว : สำนักข่าวไทย

‘ปลอมเสียงคนรู้จัก’ เทคโนโลยี‘AI’ก้าวหน้า..เอื้อ ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยหลอกเหยื่อแนบเนียน

By : Zhang Taehun

“ฟังนะ! ฉันจับตัวลูกสาวของแกไว้ แล้วถ้าแกโทร.หาตำรวจหรือใครก็ตาม ฉันจะอัดยาให้หล่อนแบบจัดเต็มแล้วจะเอาหล่อนไปทิ้งไว้ที่เม็กซิโกแน่”

“แม่! ช่วยหนูด้วย..ช่วยด้วย”

เรื่องเล่าจาก เจนนิเฟอร์ เดสเตฟาโน (Jennifer DeStefano) คุณแม่ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชน โดยสถานีโทรทัศน์ WMTV Channel15 สื่อท้องถิ่นเมืองเมดิสัน มลรัฐวิสคอนซิน ได้รายงานข่าวนี้เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 เตือนสังคมไว้เป็นอุทาหรณ์ เมื่อจู่ๆ เดสเตฟาโน ก็ได้รับสายโทรศัพท์หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายคนหนึ่งกำลังตะคอกใส่เด็กสาวที่มีน้ำเสียงหวาดกลัว

“ไสหัวแกไปนั่งข้างหลังเลย แล้วก้มหัวลงด้วย”

ด้วยความที่ลูกสาววัย 15 ปีเพิ่งออกไปเล่นสกี ผู้เป็นแม่อย่าง เดสเตฟาโน กลัวว่าลูกจะเกิดอุบัติเหตุ จึงรับสายนั้นและฟังสิ่งที่ปลายสายพูด ชายปริศนาบอกว่าได้จับตัวลูกสาวของเธอไว้พร้อมกับเรียกค่าไถ่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อคุณแม่บอกว่าไม่มีเงิน คนร้ายก็ลดลงมาเหลือที่ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ โดยในเวลานั้น เดสเตฟาโน อยู่ในชั้นเรียนเต้นรำที่ลูกสาวอีกคนกำลังเรียนอยู่ 

และเมื่อคุณแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ ได้ยิน ก็พยายามช่วยกันตรวจสอบ มีบางคนแจ้ง 911 (สายด่วนตำรวจของสหรัฐฯ เหมือนกับ 191 ของไทย) อีกหลายคนก็พยายามติดต่อสามีของเดสเตฟาโน จนสุดท้ายก็โล่งอกเพราะ การลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ลูกสาววัย 15 ของเธอยังปลอดภัยสบายดีในห้องพัก แต่สิ่งที่ยังค้างคาในใจของคุณแม่รายนี้คือ เสียงปลายสายที่ขอความช่วยเหลือนั่นเหมือนกับเสียงของลูกสาวมาก จนทำให้ไม่เอะใจใดๆ 

ก่อนหน้านั้นเพียง 1 เดือน ในวันที่ 5 มี.ค. 2566 หนังสือพิมพ์ The Washington Post หนึ่งในสื่อเก่าแก่และมีชื่อเสียงในสหรัฐฯ เผยแพร่เรื่องราวของ รูธ คาร์ด (Ruth Card) หญิงชราวัย 73 ปี ชาวเมืองเรจินา รัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ที่วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์ ปลายสายบอกว่าตนเองคือ แบรนดอน (Brandon) หลานชายของเธอ กำลังย่ำแย่เพราะถูกจับและถูกควบคุมตัวในห้องขัง และต้องการเงินมาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการยื่นขอประกันตัว 

หญิงชราเดินทางไปถอนเงินจำนวน 3,000 เหรียญแคนาดา หรือ 2,207 เหรียญสหรัฐ ในสาขาแรกของธนาคาร จากนั้นพยายามไปสาขาที่สองเพื่อขอถอนเงินเพิ่ม แต่ผู้จัดการธนาคารได้เข้ามาขัดจังหวะ พร้อมกับเล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยมีลูกค้ารายหนึ่งได้รับโทรศัพท์ลักษณะเดียวกัน แต่มั่นใจว่าเสียงนั้นน่าจะถูกปลอมแปลงขึ้น จากคำเตือนของผู้จัดการธนาคาร คาร์ดเริ่มเอะใจว่าบางทีคนที่โทรศัพท์หาตนเองอาจไม่ใช่หลานชายก็ได้ โชคยังดีที่ไม่เสียเงิน แต่ก็รู้สึกอับอาย กระทั่งตัดสินใจออกมาให้ข้อมูลกับสื่อเพื่อเตือนภัยกับคนอื่นๆ ในสังคม

ข้อมูลจาก คณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าแห่งสหพันธรัฐ  (FTC) ของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา การหลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นคนใกล้ชิด ญาติสนิทมิตรสหายของเหยื่อ มีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ โดย FTC ได้รับรายงานมากถึง 36,000 ครั้ง ในจำนวนนี้ 5,100 ครั้งเป็นการก่อเหตุทางโทรศัพท์ มูลค่าความเสียหายโดยรวมสูงถึง 11 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่น่าเป็นห่วงคือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าขึ้นแต่มีราคาที่ถูกลง นั่นทำให้มิจฉาชีพสามารถนำมาใช้ปลอมเสียงได้อย่างแนบเนียน 

มิจฉาชีพค้นหาเสียงของเป้าหมายจากไหน? ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล ศาสตราจารย์ฮานี ฟาริด (Prof.Hany Farid) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (UC Berkeley) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย อธิบายการทำงานของซอฟต์แวร์ AI สร้างเสียงเลียนแบบ ว่า AI จะวิเคราะห์สิ่งที่ทำให้เสียงของบุคคลนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ สำเนียง และค้นหาฐานข้อมูลเสียงขนาดใหญ่เพื่อค้นหาเสียงที่คล้ายกันและทำนายรูปแบบต่างๆ จากนั้นจึงสามารถสร้างระดับเสียง เสียงต่ำ และเสียงเฉพาะบุคคลของเสียงคนคนหนึ่งเพื่อสร้างเอฟเฟกต์โดยรวมที่คล้ายคลึงกันตัวอย่างเสียงนั้นสามารถหาได้จากหลายๆ แหล่ง ไม่ว่าจะเป็นยูทูบ พอดแคสต์ โฆษณา ติ๊กต๊อก อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก เมื่อ 2 ปีก่อน แม้กระทั่งปีที่แล้ว คุณยังต้องการตัวอย่างเสียงจำนวนมากเพื่อเลียนแบบ แต่ตอนนี้แค่คุณมีเพจเฟซบุ๊ก หรือหากคุณบันทึกวีดีโอในติ๊กต๊อก และเสียงของคุณอยู่ในนั้นเป็นเวลา 30 วินาที ผู้คนก็สามารถลอกเลียนแบบเสียงของคุณได้แล้วฟาริดระบุ

รายงานของ The Washington Post ยังได้กล่าวถึงกรณีของ เบนจามิน เพอร์กิน (Benjamin Perkin) ชายวัย 39 ปี ถูกมิจฉาชีพปลอมเสียงโทรศัพท์ไปหลอกพ่อแม่ อ้างว่าเป็นทนายความกำลังหาทางช่วยเขาที่เป็นผู้ต้องหาคดีอุบัติเหตุขับรถชนนักการทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต โดยต้องการเงินจำนวน 21,000 เหรียญแคนาดา หรือ 15,449 เหรียญสหรัฐ เป็นค่าธรรมเนียมในกระบวนการยุติธรรม และแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโอนเงินไปตามที่ปลายสายกล่าวอ้าง ก่อนจะมารู้ในภายหลังว่าถูกหลอก เมื่อเพอร์กินโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ในคืนวันเดียวกัน

หลังทราบเรื่อง ครอบครัวได้เข้าแจ้งความกับสำนักงานตำรวจของรัฐบาลกลางแคนาดา แต่ก็ไม่ได้เงินคืน อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวไม่ระบุชัดว่ามิจฉาชีพได้ตัวอย่างเสียงของเพอร์กินมาจากที่ใด แต่ก็พบว่า ชายหนุ่มเคยโพสต์คลิปวีดีโอบนเว็บไซต์ยูทูบ พูดถึงงานอดิเรกคือการขี่สโนว์โมบิล ขณะที่ วิล แม็กสัน (Will Maxson) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกการตลาดของ FTC กล่าวว่า การติดตามมิจฉาชีพหลอกลวงด้วยเสียงนั้น “ยากเป็นพิเศษ” เพราะคนเหล่านี้ใช้โทรศัพท์ทำปฏิบัติการจากที่ใดก็ได้ในโลก จึงยากที่จะระบุว่าหน่วยงานใดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ

หากคนที่คุณรักบอกคุณว่าพวกเขาต้องการเงิน ให้พักสายนั้นไว้และลองโทรหาสมาชิกในครอบครัวของคุณแยกกัน หากมีสายที่น่าสงสัยมาจากหมายเลขของสมาชิกในครอบครัว โปรดทราบว่าก็สามารถถูกปลอมแปลงได้เช่นกัน อย่าจ่ายเงินให้ผู้อื่นด้วยบัตรของขวัญ เพราะบัตรเหล่านั้นติดตามได้ยาก และระวังการขอเงินสด แม็กสัน กล่าวเตือน

เช่นเดียวกับรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ Fox News สหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่อ้างความเห็นของ มอร์แกน ไรท์ (Morgan Wright) หัวหน้าที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ SentinelOne บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ความรวดเร็วของการหลอกลวง และความเหมือนของเสียงที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี AI ทำให้มิจฉาชีพได้เปรียบเหยื่อ โดยยกกรณีของ เจนนิเฟอร์ เดสเตฟาโน ที่ถูกหลอกว่าลูกสาวของเธอโดนคนร้ายจับตัวเรียกค่าไถ่ เป็นตัวอย่าง

มิจฉาชีพพบเสียงไม่ว่าจะเป็นบนติ๊กต๊อก เฟซบุ๊ก หรืออะไรก็ตาม เสียงที่มากพอจะสร้างเสียงของลูกสาวขึ้นมาใหม่ได้ แม้ว่านั่นไม่ใช่ลูกแต่มันเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองเชื่อ พวกเขากันคุณออกไปและจะไม่ให้เวลาผู้ปกครองในการตอบสนอง คุณกำลังได้ยินเสียงที่คุณเชื่อว่าเป็นลูกของคุณ และตอนนี้พวกเขามีอำนาจแล้ว เพราะคุณไม่รู้ว่าลูกของคุณอยู่ที่ไหน ไรท์ กล่าว

ความอันตรายของเทคโนโลยี AI ปลอมแปลงเสียงบุคคล ไม่ได้หยุดอยู่แต่เพียงการหลอกลวงทรัพย์สินเงินทองจากปัจเจกเฉพาะราย แต่อาจก่อความปั่นป่วนโกลาหลได้อย่างกว้างขวางในสังคม รายงานจากสำนักข่าว Euronews เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของยุโรปที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2566 ยกตัวอย่างการทดลองใช้เทคโนโลยีนี้เลียนแบบเสียงของ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ให้อ่านออกเสียงข้อความในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf)” งานเขียนของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมัน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

บรรดาผู้เชี่ยวชาญเริ่มเป็นกังวลกับการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การทำให้เชื่อว่านักการเมืองออกแถลงการณ์ที่น่าตกใจทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง หรือเพื่อหลอกลวงผู้คนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่ง แมทธิว ไรท์ (Matthew Wright) ประธานสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า ที่น่าห่วงคือมิจฉาชีพไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างเสียงของเป้าหมายเป็นจำนวนมาก 

คุณลองจินตนาการดูว่าพวกเขาแค่โทรหา แสร้งทำเป็นเป็นพนักงานขาย และบันทึกเสียงให้เพียงพอเพื่อให้ใช้งานได้ และนั่นอาจเป็นเพียงทั้งหมดที่พวกเขาต้องการเพื่อหลอกใครสักคน แมทธิว กล่าว

สำหรับคำเตือนถึงประชาชนทั่วไป แมทธิว แนะนำว่า จงระมัดระวังสายโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิดและพยายามเร่งเร้าเพื่อเพื่อให้โอนเงินเช่น อาจลองถามคำถามที่เป็นส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตน หรืออาจอ้างว่าเดี๋ยวขอติดต่อกลับเอง เพื่อเปิดช่องให้ได้ตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลหรือช่องทางอื่นๆ อาทิ การโทรศัพท์ไปสอบถามบุคคลที่อ้างว่ามาขอให้โอนเงินว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่เราทราบอยู่แล้วก่อนหน้านั้น

ทั้งนี้ เรื่องของมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี AI ปลอมเสียงหลอกเงินเหยื่อนั้นไม่ไกลตัวคนไทยอีกต่อไป โดยเริ่มมีการรายงานผ่านหน้าสื่อ อาทิ สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 พาดหัวข่าว เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน วันที่ 26 ก.ย. 2565 ว่าด้วยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เล่าว่า มีคนอ้างเป็นเพื่อนโทรศัพท์มาขอยืมเงิน 15,000 บาท แถมยังขอให้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้โทร.มา และลบหมายเลขเดิมที่บันทึกไว้ออกด้วย โดยอ้างว่าเปลี่ยนหมายเลขแล้ว

ด้วยความที่ได้ฟังแล้วเชื่อว่าเป็นเสียงของเพื่อน ในตอนแรกผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ก็หลงเชื่อลบหมายเลขโทรศัพท์เก่าออก แต่ก็เริ่มเอะใจเมื่ออีกฝ่ายส่ง SMS มาเป็นบัญชีธนาคารชื่อบุคคลอื่น และเคราะห์ดีที่ยังมีไลน์ของเพื่อนคนดังกล่าวตัวจริง จึงโทรศัพท์ผ่านไลน์ไปสอบถาม จนรู้ว่าถูกหลอกแล้วเพราะเพื่อนคนที่ว่านอกจากจะไม่ได้ขอยืมเงินแล้วยังไม่ได้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์อีกต่างหาก ทำให้ไม่พลาดท่าเสียเงิน และเมื่อนำข้อมูลไปแจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าในไทยมีเหยื่อโดนแบบนี้แล้วหลายราย 

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2566 ในกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานภาพยนตร์สนทนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี โดย 2 นายตำรวจจากกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มาเป็นวิทยากรในงานดังกล่าว คือ พ.ต.ท.ธนธัส กังรวมบุตร และ พ.ต.ท.วัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง ได้ฝากแนวทางรับมือมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นคนรู้จักหลอกยืมหรือขอเงิน ดังนี้

1.โทรศัพท์ไปถามเจ้าตัวก่อนโอน อาจจะเสียเวลา (หรืออาจเจออีกฝ่ายบ่นบ้าง) ก็ยังดีกว่าเสียเงินให้มิจฉาชีพ และย้ำว่า ให้โทรด้วยหมายเลขโทรศัพท์เดิมที่เคยจดไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น อย่าโทรไปหมายเลขใหม่ที่บัญชีนั้นเพิ่งให้มา หรืออย่าโทรโดยผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพราะยังเสี่ยงเจอมิจฉาชีพให้หมายเลขโทรศัพท์หรือบัญชีไลน์ปลอมอีก กับ 2.อย่าโอนเงินถ้าชื่อคนขอเงินกับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน เจอแบบนี้คิดไว้ก่อนได้เลยว่ามิจฉาชีพแน่นอน

ทุกวันนี้เรามีไลน์ ปัญหาที่ตามมาคือเราไม่ค่อยจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันแล้ว สมัยก่อนเราบอกเพื่อน เฮ้ย! ขอเมมเบอร์ไว้หน่อย ปีใหม่-สงกรานต์ก็ส่ง SMS ให้เพื่อน แต่ทุกวันนี้ส่งไลน์ ส่งให้เป็นกลุ่ม โดยที่เราไม่รู้ว่าเพื่อนเราเบอร์โทรอะไร ฉะนั้นกลับไปเมมเบอร์เพื่อน เมมเบอร์ลูกหลานไว้ เผื่อฉุกเฉินได้คุยกัน นายตำรวจวิทยากรทั้ง 2 ท่าน ฝากข้อคิด


อ้างอิง

https://www.nbc15.com/2023/04/10/ive-got-your-daughter-mom-warns-terrifying-ai-voice-cloning-scam-that-faked-kidnapping/ (‘I’ve got your daughter’: Mom warns of terrifying AI voice cloning scam that faked kidnapping : WMTV nbc15.com 11 เม.ย. 2566)

https://www.washingtonpost.com/technology/2023/03/05/ai-voice-scam/ (They thought loved ones were calling for help. It was an AI scam. : The Washington Post 5 มี.ค. 2566)

https://www.foxnews.com/tech/scammers-are-using-your-snapchat-and-tiktok-posts-in-their-ai-schemes (How scammers are using your Snapchat and TikTok posts in their AI schemes : Fox News 23 เม.ย. 2566)

https://www.euronews.com/next/2023/03/25/audio-deepfake-scams-criminals-are-using-ai-to-sound-like-family-and-people-are-falling-fo (Audio deepfake scams: Criminals are using AI to sound like family and people are falling for it : Euronews 25 มี.ค. 2566)

https://www.thaich8.com/news_detail/112669 (เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน : ช่อง 8 26 ก.ย. 2565)

https://blog.cofact.org/forum6604042/ (ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด : เพจ ‘Cofact โคแฟค’ 14 เม.ย. 2566)


5 ประเด็นข่าวลวงการเมืองช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566

สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม, อ้างผลงาน, โยนความผิดให้รัฐบาลในอดีต, ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงแบบผิดๆ และให้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนนโยบายของคู่แข่ง เป็นเนื้อหาของข่าวลวงทางการเมืองที่โคแฟคพบว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566

ข่าวลวงทางการเมือง (political disinformation) หมายถึง ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนที่สร้างขึ้นโดยเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ประสบการณ์จากการเลือกตั้งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์พบว่า ข่าวลวงทางการเมืองถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเอาชนะคู่แข่งในการเลือกตั้ง หรือเพื่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเป็นการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย เนื่องจากการตัดสินใจของประชาชนอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ผิด บิดเบือนและไม่เป็นความจริง

จากการติดตาม เฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวลวงการเมืองนับตั้งแต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้วันที่ 14 พ.ค. 2566 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป โคแฟคพบว่าเนื้อหาของข่าวลวงและข้อมูลที่บิดเบือนที่พบบ่อยมีอย่างน้อย 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ปลุกกระแส “เกลียดกลัวอิสลาม”  

ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ถูกนำมาใช้โจมตีทางการเมืองเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองนั้นให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ รวมทั้งกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการกลืนชาติ” ที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเพื่อให้ไทยกลายเป็น “รัฐอิสลาม”

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเท็จที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยา นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่ไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันสนทนามาไม่ต่ำกว่า 7 ปี แต่ถูกนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การเลือกตั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าข้อมูลเท็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลามที่มักเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กและยูทูปที่มีความเชื่อมโยงกับองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) และสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายและกฎหมายที่พวกเขามองว่าเอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์ การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เป็นต้น

นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2566 มีการส่งต่อคลิปวิดีโองานครบรอบ 76 ปี การก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อ 6 เม.ย. 2565 พร้อมให้ข้อมูลเท็จว่า ปชป. จัดพิธีทางศาสนาอิสลามโดยไม่มีพิธีทางศาสนาพุทธ และตั้งคำถามว่า “การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า ชาวพุทธยังจะเอาพรรคนี้อีกหรือไม่” ส่งผลให้โฆษก ปชป. ออกมาชี้แจงว่าเนื้อหานี้เป็นเท็จและงานดังกล่าวมีการจัดพิธีทั้งศาสนาพุทธและอิสลาม

อ่านเพิ่มเติม: ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย”

2. อ้างผลงาน

การให้ข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเกี่ยวกับโครงการหรือนโยบายของรัฐเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผลงานความสำเร็จของรัฐบาลหรือพรรคการเมือง เป็นข้อมูลบิดเบือนที่นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกขั้วการเมืองนิยมนำมาใช้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

การกล่าวอ้างผลงานในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่โคแฟคนำมาตรวจสอบ ได้แก่ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี การก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และการก่อสร้างสวนสาธารณะเบญจกิติ

ทั้งพรรคเพื่อไทยและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างอ้างว่าการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมาเป็นผลงานของตน ซึ่งจากการสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานรรัฐที่เกี่ยวข้อง โคแฟคพบว่าทั้งสองโครงการอยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อนุมัติเมื่อปี 2540 จากนั้นรัฐบาลอีกหลายชุดได้ดำเนินงานต่อเนื่องมายาวนานกว่า 20 ปี คำกล่าวอ้างว่าโครงการเหล่านี้เป็นผลงานของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการให้ข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

พล.อ.ประยุทธ์ถ่ายภาพที่สวนเบญจกิติในวันที่เขาร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกการส่งมอบและรับมอบสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 บางส่วนให้กรุงเทพมหานครดูแลเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564

เช่นเดียวกับการกล่าวอ้างของ พล.อ.ประยุทธ์ บนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่สวนเบญจกิติเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2566 ที่อ้างว่าเขาเป็นคนผลักดันโครงการก่อสร้างสวนสาธารณะเบญจกิติมาตั้งแต่ต้นจนก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่าโครงการสวนสาธารณะเบญจกิติได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2534 สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ และมีการพัฒนาต่อเนื่อง รัฐบาลแต่ละชุดจึงมีส่วนร่วมในระดับที่แตกต่างกันไป สำหรับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสร้างส่วน “สวนป่า” ซึ่งมีทั้งหมด 3 ระยะ ดำเนินการระหว่างปี 2559-2564 

อ่านเพิ่มเติม:

3. โยนความผิด

กรณีที่ชัดเจนที่สุดของการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเพื่อกล่าวหาพรรคการเมืองคู่แข่งว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาบางอย่าง คือ การเผยแพร่ข้อมูลโดยแกนนำ รทสช. ที่ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาแพง เนื่องจากเร่งอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซื้อไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์จากบริษัท กัลฟ์ เอนเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่เมื่อปี 2555

โคแฟคตรวจสอบพบว่า การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์กับบริษัทกัลฟ์ฯ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์จริง แต่การสรุปว่าการเซ็นสัญญานี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงในปัจจุบันอาจไม่ถูกต้องนัก เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้า เช่น ราคาเชื้อเพลิง ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างของการที่พรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงเพียงบางส่วนเพื่อโจมตีคู่แข่งในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งเน้นที่การนำเสนอนโยบายของพรรคตน

อ่านเพิ่มเติม: ค่าไฟแพงเพราะอะไร คำตอบไหนเชื่อถือได้?

4. ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงแบบผิดๆ  

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยโดยใช้องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือ ซึ่งความเชื่อนี้ถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งอย่างเป็นระบบโดยเชื่อมโยงกับการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อกล่าวหานี้มีต้นตอมาจากบทวิเคราะห์ของนายไบรอัน เบอร์เลติก (Brian Berletic) ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ในไทย โดยเขาระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อกำจัดรัฐบาลที่ขัดขวางผลประโยชน์และแทนที่ด้วยรัฐบาลที่ “พร้อมรับใช้” อเมริกา การแทรกแซงนี้กระทำผ่านการให้เงินสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งนายไบรอันเปรียบว่าเป็น “ซีไอเอภาคพลเรือน” ที่ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมาบังหน้าปฏิบัติการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ

นายไบรอันยังได้อ้างถึงความร่วมมือระหว่าง กกต. และไอลอว์ในการสังเกตการณ์การเลือกตั้งว่า เท่ากับ กกต. “เปิดช่อง” ให้องค์กรที่สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของไทย

บทวิเคราะห์ของนายไบรอันถูกนำมาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียโดยสื่อมวลชนและองค์กรแสดงตัวชัดว่าสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เช่น Top News และสถาบันทิศทางไทย รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาอย่างนายสมชาย แสวงการ

โคแฟคเห็นว่าการวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องที่บุคคลจะกระทำได้ แต่ข้อกล่าวหาว่าสหรัฐฯ กำลังแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโออย่างไอลอว์ ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับ และเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลตามแนวทางทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ประชาชนจึงต้องแยกแยะระหว่างความคิดเห็นกับข้อเท็จจริงก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์

อ่านเพิ่มเติม: กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”

5. สร้างข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน

ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนเป็นเนื้อหาข่าวลวงทางการเมืองที่พบได้บ่อย ทั้งข้อมูลเท็จที่สร้างขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง และการบิดเบือนนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อทำลายความนิยม อย่างเช่นกรณีข่าวลวงเรื่องพรรคก้าวไกลมีนโยบายตัดบำนาญข้าราชการ และการบิดเบือนว่านโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคก้าวไกลจะทำให้ประเทศไทยไม่มีกองทัพปกป้องประเทศ เป็นต้น 

กลางเดือนเมษายน 2566 มีการเผยแพร่ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรบใกล้ชายแดนไทยและคลิปคำพูดของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เตือนว่าจะเกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหากเขาไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่า คลิปการซ้อมรบและคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นคลิปเก่าที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่ ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ยืนยันว่าไม่มีการซ้อมรบตามแนวชายแดนในช่วงเวลาดังกล่าว เนื้อหาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียว่ามีการซ้อมรบประชิดชายแดนไทยในขณะนี้จึงไม่เป็นความจริง

คลิปวิดีโอซ้อมรบที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก @military4karmy โพสต์คลิปความยาวเกือบ 5 นาทีเมื่อ 11 เม.ย. 2566 พร้อมคำบรรยายว่า “กองทัพกัมพูชาระดมพลซ้อมรบครั้งใหญ่ที่ จ.พระตะบอง ห่างจากชายแดนเพียง 20 กว่ากิโล” ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ตรวจสอบแล้วพบว่า เนื้อหาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการซ้อมรบนั้นไม่เป็นความจริง

มีความเป็นไปได้ว่า ผู้ที่สร้างและเผยแพร่ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรบและการนำคำพูดของนายกฯ กัมพูชามาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิด อาจมีเจตนาเพื่อโจมตีนโยบายปฏิรูปกองทัพและข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคก้าวไกล และเป็นการตอบโต้คำพูดของหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ตั้งคำถามบนเวทีปราศรัยว่า “ทหารมีไว้ทำไม”

ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรับใกล้ชายแดนไทย เป็นการนำประเด็นด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีความละเอียดอ่อน มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่ใหญ่เกินกว่าผลแพ้หรือชนะการเลือกตั้ง

อ่านเพิ่มเติม: คลิป “กัมพูชาซ้อมรบ” และ “ฮุน เซนขู่สงครามปะทุ” มาจากไหน เกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยอย่างไร

โคแฟคคาดว่า หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 การใช้ข้อมูลบิดเบือนและการปล่อยข่าวลวงทางการเมืองจะยังดำเนินต่อไป มีเนื้อหาที่หลากหลายและเผยแพร่อย่างเป็นระบบมากขึ้น ขณะที่การรับมือกับข่าวลวงด้วยการสกัดกั้นที่ต้นทางการเผยแพร่เป็นเรื่องยาก สิ่งที่ประชาชนทำได้ก็คือการรู้เท่าทันปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทั้งของภาครัฐและองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ แยกแยะระหว่างเนื้อหาที่เป็นความคิดเห็นกับข้อเท็จจริง รวมทั้งพิจารณาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2566

“ผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” ผู้ป่วยในรับการรักษาได้เลยไม่ต้องขอใช้สิทธิ #ระบบใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dxkyb6qb5zt8#_=_


ไม่ควรรับประทานหน่อไม้ดิบ มันฝรั่งดิบ และมันสำปะหลังดิบ โดยเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/110p7vvnkxaml


ปิดหีบเลือกตั้งล่วงหน้า 7 พ.ค. กกต. ยอมรับ จนท. “ผิดพลาด” เขียนรหัสหน้าซองผิด 100 คนที่นนทบุรี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38whwy4ei5jml


วันกาชาดโลก 8 พฤษภาคม 2566 ร่วมรำลึกถึงนายอังรี ดูนังต์ ผู้ก่อตั้งองค์กรกาชาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rfrdh0ethbtq


เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14jeg6gseatuq#_=_


ไทยผจญคลื่นความร้อนเอเชีย อุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียส…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zw0xn8ordg47#_=_