ถึงเวลาไทยต้องมีแนวปฏิบัติกำกับดูแล‘AI’เครื่องมือเอื้อ‘ง่าย-เร็ว’ยิ่งต้องสร้างความรู้เท่าทัน

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2568 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ ThaiPBS จัดเสวนา Side-Event “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ที่ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา อาคารมงกุฎสมมุติวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่บอท (Bot) กระจายข่าวได้เร็วกว่านักข่าว และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ลอกเลียนเสียงมนุษย์ได้แม่นยำ บทบาทของนักข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและผู้ใช้สื่อไม่ได้ลดน้อยลงไป แต่ถูกนิยามด้วยอะไรบางอย่าง ส่วนการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ใช่เพียงการลบล้างข่าวปลอม แต่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งความเชื่อมั่น และสร้างพลังให้กับประชาชนคิดอย่างมีวิจารณญาณ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความแน่นอนจำลอง

“AI เองก็มีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยง ถ้าใช้อย่างรับผิดชอบก็จะช่วยยืนยันแหล่งข้อมูล ช่วยวิเคราะห์รูปแบบ และคุ้มครองนักข่าวจากอันตรายที่เกิดจากดิจิทัล แต่ถ้าเกิดปล่อยให้เป็นไปโดยไร้การควบคุมก็อาจบิดเบือนความจริงได้ เวทีในวันนี้จึงสะท้อนพันธะร่วมกันของเราทุกคนในการปกป้องสิทธิของสาธารณชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องความเร็วเท่านั้น แต่ยังต้องทำงานอย่างลึกซึ้ง ซื่อสัตย์และรอบด้านด้วยรศ.ดร.ปรีดา กล่าว

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีการออกแนวปฏิบัติเรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีจริยธรรม มาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 ซึ่งเวลานั้นการใช้ AI ในงานสื่อมวลชนยังไม่แพร่หลายมากเท่าปัจจุบันที่ใช้กันในทุกมิติ เช่น จากที่ใช้เพียงการสร้างภาพสมมติเพื่อประกอบข่าว ก็ใช้ทั้งสรุปข่าว ย่อข่าว เขียนข่าว หาข้อมูล ทำกราฟิก ไปจนถึงสร้างเป็นผู้ประกาศมาอ่านข่าวแทนมนุษย์ 

ซึ่งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติก็เตรียมที่จะทบทวน เพราะตอนออกแนวปฏิบัติก็ทำใจแล้วว่าน่าจะมีการปรับปรุงบ่อยที่สุด เพราะ AI ทั้งตัวเทคโนโลยีและการใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นช่วง 6 เดือน จึงเวลาเหมาะสมที่จะต้องมาทบทวนกันรอบหนึ่ง โดยมอบโจทย์ให้ทางคณะกรรมการจริยธรรมไปดู อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะได้มาทบทวน

ขณะเดียวกันเราพบว่าตัวแพลตฟอร์มซึ่งมีการใช้ AI อยู่แล้ว ก็จะมีผลต่อการทำงานของเรา ทำอย่างไรที่เขาจะเอาข่าวของเราที่มีการตรวจสอบเป็นข่าวจริงต่างๆ มานำเสนอ หรือเขาจะไปเลือกเอาข่าวที่อาจมีความจริงแฝงมาเสนอด้วย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแพลตฟอร์มว่าจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันด้วย ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ปาฐกถา เรื่อง “AI กับจริยธรรมสื่อมวลชน : เมื่ออัลกอริทึมมีอิทธิพลต่อความจริงกล่าวถึงประโยชน์ของ AI ในวงการสื่อ เช่น การผลิตหรือรวบรวมเนื้อหา (Content Creation/Curation) ทำวิดีโอ ตรวจจับข่าวปลอม (Detect Fake News) ทำระบบอัตโนมัติ (Automation) หลังบ้าน แปลภาษา วิเคราะห์ผู้รับสาร ฯลฯ

แต่อีกด้านหนึ่ง AI ก็มีผลกระทบเชิงลบ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright) การนำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด อาทิ Deepfake (ปลอมใบหน้า – แปลงเสียง ซึ่งเชื่อมโยงกับการหลอกลวง) AI ทำงานผิดพลาด (Mistake) ซึ่งเป็นความผิดพลาดโดยไม่มีเจตนาโดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐจะกลัวมากเรื่องความไม่สมบูรณ์ของ AI แล้วไปให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชน รวมถึงการที่ AI จะมาแย่งงานของมนุษย์ (Job Replacement) อย่างที่พูดถึงกันมากคือคนที่ใช้ AI เป็นจะมาแทนคนที่ใช้ไม่เป็น

ทั้งนี้ ในมุมมองของตน ประเด็นปัญญาประดิษฐ์กับจริยธรรมและธรรมาภิบาล (AI Ethics & Governance) แบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ 1.ประเทศ ซึ่งมีการถกเถียงกันว่าจะไปทางใดระหว่างจริยธรรมกับกฎหมาย จึงมีการพูดถึงจุดกึ่งกลางของทั้ง 2 ด้าน คือ มาตรฐาน (Standard) หมายถึงหากผุ้ใช้งานเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่มีมาตรฐาน ก็ทำให้แน่ใจได้ว่า AI จะไม่ผลิตเนื้อหาที่ผิดจริยธรรม  

โดยมาตรฐานแบ่งได้ 3 ด้านหลักๆ คือ 1.ความมั่นคงปลอดภัย (Safety & Security) ผู้ใช้งานใส่ข้อมูลลงไปในเครื่องมือ AI แล้วจะไม่หลุดออกไปที่อื่น 2.ความแม่นยำ (Precision) ไม่ใช่สร้างเนื้อหาผิดเพี้ยน (Hallucinate) และ 3.การใช้ข้อมูล (Data) เครื่องมือ AI นั้นฝึกโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งใด เป็นข้อมูลที่มีอคติ (Bias) มาก – น้อยเพียงใด ละเมิดความเป็นส่วนตัว/ละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่

หรือหากสุดท้ายจำเป็นต้องไปที่กฎหมาย มีตัวอย่างกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU) ที่แบ่งการควบคุมการพัฒนาและการใช้งาน AI ไว้ 4 ระดับ คือ 1.ไม่อาจยอมรับได้ ห้ามทำเด็ดขาด เช่น การให้คะแนนทางสังคม (Social Scoring) 2.ความเสี่ยงสูง ต้องประเมินให้ผ่านมาตรฐานตามที่กำหนดจึงจะอนุญาตให้ผลิตหรือใช้งานได้ 3.ความเสี่ยงปานกลาง ต้องแจ้งผู้ใช้งานว่าเครื่องมือ AI ปฏิบัติตามข้อกำหนดจริยธรรมอย่างไร มีข้อมูลกำกับ และ 4.เสี่ยงน้อย ก็ไม่ต้องมีข้อกำหนดใดๆ เหมือนกับ 3 ระดับข้างต้น   

2.ประชาคม เช่น แนวปฏิบัติของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ในหมวด 3 ว่าด้วยการใช้ AI ในระดับองค์กร และหมวด 4 ว่าด้วยการใช้ AI ในระดับบุคคลที่ประกอบอาชีพ ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือองค์กรสื่อแต่ละแห่ง หากเป็นองค์กรที่ดีมีจริยธรรมก็จะต้องนำไปออกแนวปฏิบัติภายในของตนเอง และ 3.ปัจเจกบุคคล ก็ต้องเข้าใจและระมัดระวังกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นต้น

แต่โดยสรุปแล้วหากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ออกกฎหมายพิเศษเพิ่มเติม โดยยกตัวอย่างกฎหมายดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ด้านการแพทย์ – สาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหลักเกณฑ์ตรวจสอบเครื่องมือแพทย์ที่เข้มงวดมาก ซึ่งรวมถึงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยี AI ด้วย หากไม่ผ่านเกณฑ์ก็ไม่อนุญาตให้นำมาใช้ หรืออย่างเรื่องลิขสิทธิ์ก็มีกฎหมายอยู่ คำถามคือแล้ววงการสื่อเป็นอย่างไร มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้วหรือไม่ เพียงขยายให้ครอบคลุมสิ่งที่ AI จะมีขึ้นก็น่าจะเพียงพอ ไม่ต้องออกกฎหมายพิเศษ

สิ่งที่ควรจะเป็นทางออกในวันนี้ก็คือนโยบาย แนวปฏิบัติ ข้อกำหนดระดับประชาคม อย่างน้อยที่สุดสมาคมหรือสภาของทางสื่อมวลชนเอง กำกับดูแลตัวเองเช่นเดียวกับหลายๆ ภาคส่วน ภาคเอกชนหลายภาคส่วนก็ทำอย่างเดียวกัน ผมคิดว่าที่ดีมากๆ คือการสร้าง Best Practice (แนวปฏิบัติที่ดีผมยกตัวอย่าง ThaiPBS ใช้ AI เยอะมาก แล้วมีวิธีทำ AI Governance (ธรรมาภิบาล AI) อย่างไร ควบคุมได้จริงหรือไม่ ถ้าควบคุมได้จริงเอาขึ้นมาเป็น Best Practice ให้กับหน่วยงานอื่นๆ พิจารณาต่อ อันนี้ผมคิดว่าเป็นทางที่ดีมากๆ ผอ. NECTEC กล่าว 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ ในประเด็นเรื่องสื่อและจริยธรรม AI” โดย น.ส.ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ ThaiPBS เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ThaiPBS ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)สนับสนุนงานข่าวในหลายเรื่อง เช่น แปลงเนื้อหาตัวอักษรเป็นเสียงบรรยาย (Text to Speech) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา หรือผู้ติดตามข่าวสารแต่ไม่สะดวกที่จะอ่าน 

การทำหน้าจอแนวตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่รับชมผ่านโทรศัพท์มือถือ การทดลองทำผู้ประกาศแบบ Virtual เพื่อให้สื่อสารได้หลายภาษาเป็นต้น กระทั่งการเกิดขึ้นของเครื่องมืออย่าง ChatGPT เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ก็เริ่มคิดกันว่าหากในอนาคตจำเป็นต้องใช้ AI ในห้องข่าว (Newsroom) จะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งก็เป็นช่วงที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติก็มีแนวปฏิบัติเรื่องการใช้ AI ออกมา ถือว่ามีประโยชน์มากและ ThaiPBS อาจต้องนำมาใช้เขียนแนวปฏิบัติของตนเอง

แต่ด้วยความที่ AI มีพลวัติและการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว จึงนำ AI มาใช้ใน 2 ส่วน คือ 1.งาน Production เช่น สร้าง Storyboard ช่วยหาแนวคิด พบว่าเกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น กับ 2.ใช้สนับสนุนการแปลภาษา อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า ไม่ได้ใช้ AI ให้มีบทบาทกับห้องข่าวทั้งหมด แต่ใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานข่าว แต่การใช้ AI ก็อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องมีมนุษย์ช่วยดูแล หรืออย่างการให้ AI ช่วยสร้างกราฟิกเพื่ออธิบายข้อมูล หากทักษะไม่เพียงพอ สิ่งที่ AI สร้างขึ้นก็อาจผิดเพี้ยนได้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างสูงมาก

รอยเตอร์เพิ่งเผยแพร่รายงาน ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่รู้สึกสะดวกสบายกับการใช้ AI แล้วก็ไม่รู้สึกว่า AI เป็นความเสี่ยงในการใช้ พอเรามานั่งดูการใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ เราก็พบว่าเป็นอย่างนั้น แต่จากการสำรวจก็พบว่าผู้ชมของเราเขาจะรู้สึกว่าถ้าเอา AI มาใช้เป็นหลักแล้วมนุษย์แค่ Approve (รับรองให้ถูกสร้างออกมาจาก AI คนที่เป็นผู้ชมอาจรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไร ในทางกลับกันถ้ามนุษย์เป็นคนนำแล้วเอา AI มาช่วยสนับสนุน ผู้ชมของเราจะรู้สึก Comfortable (สะดวกสบายหรือปลอดภัยมากกว่าใช้ AI เป็นตัวนำ ตรงนี้น่าสนใจว่าแล้วจริงๆ การใช้ AI ในห้องข่าวหรือในมุมมองของสื่อมวลชนเอง ผู้ชม – ผู้อ่านเขารู้สึกอย่างไร น.ส.ชุตินธรา กล่าว

นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การมาของ AI ทำให้คนทำงานคุณภาพออกจากอุตสาหกรรมสื่อไปเป็นจำนวนมากเพราะปรับตัวไม่ทัน ถ่ายรูป – ถ่ายวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือไม่เป็นบ้าง ใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่เป็นบ้าง หรือชอบที่จะฟังคลิปเสียงสัมภาษณ์แล้วแกะถอดความด้วยตนเองมากกว่าจะใช้ AI ช่วยถอดเสียงเป็นตัวหนังสือ จะทำอย่างไรที่จะเข็นให้คนกลุ่มนี้อยู่ในอุตสาหกรรมต่อไปได้ ซึ่งระยะหลังๆ ก็มีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคสื่อว่าเหตุใดคุณภาพข่าวจึงลดลง   

ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยพบคนที่ออกจากอุตสาหกรรมสื่อแล้วไปเปิดช่องทางออนไลน์ของตนเอง แล้วบอกว่าสนุกมากกับการใช้ AI มาช่วยทำงานเพราะแทบไม่มีต้นทุน มีข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ให้นำไปใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงใส่คำสั่งให้ AI เรียบเรียงเนื้อหาขึ้นมาใหม่ (Rewrite) เท่านั้น ได้เนื้อหาไปนำเสนอในช่องทางออนไลน์ เท่านี้ก็มีรายได้แล้ว หรือการแปลข่าวต่างประเทศก็แปลไปโดยที่ไม่รู้บริบทหรือความสะเอียดของภาษา ก็ไม่รู้ว่าที่แปลมานั้นถูก – ผิดอย่างไร

อย่างในงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก สื่อถูกตั้งคำถามว่าเหคุใดคุณภาพงานลดลง ที่ลดก็เพราะองค์กรปรับคนทำงานคุณภาพออกไปแล้วแทนที่ด้วย AI มองว่าจ่ายค่าบริการรายปีดีกว่าจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่วนคนที่ยังอยู่ในองค์กรก็จะเหมือนเป็ดที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง หรือมีกรณีไปฟังแถลงข่าว นักข่าวพูดใส่โทรศัพท์มือถือตามที่แหล่งข่าวให้สัมภาษณ์โดยที่อาจไม่เข้าใจสิ่งที่แหล่งข่าวนำเสนอ ความลึกและความแม่นของข่าวจึงหายไป มีแต่ข่าวฉาบฉวย เน้นความง่ายและความเร็วหรือใช้ AI ถอดข้อความจากเอกสารเข้ามาอยู่ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่ตรวจก่อนก็จะไม่รู้ว่า AI อาจถอดให้มาแบบผิดๆ ก็ได้  

อีกมิติหนึ่งขอสะท้อน ในเชิงสมาคมนักข่าวฯ อบรมนักศึกษา คนที่จะเข้าสู่วิชาชีพนักข่าวทุกปีเลย สิ่งที่เราเจอเรื่องหนึ่งคือเหมือนคนใช้สมองคิดน้อยลง สมมติมีโจทย์ ผมว่าทั้งนักศึกษา ทั้งนักข่าวปัจจุบัน นักข่าวใหม่เอง ถ้าเขาอยากทำอะไรขาไม่ได้หาแหล่งข้อมูลเหมือนเราแล้ว ไม่มีความสามารถในการโทรเช็คกับแหล่งข่าว ไม่รู้ว่าต้นทางของข้อมูลฉบับนี้ต้องหาที่หน่วยงานไหน เขียนแค่ Prompt ว่าฉันต้องการสถิติใน AI มันเอามาจากไหนก็ไม่รู้ ถูก – ผิดก็ไม่รู้ ด้วยความง่าย สะดวก เร็ว ทำให้คุณภาพลดลง นายจีรพงษ์ กล่าว

นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า ตนเพิ่งได้เป็นสมาชิกของ World Association of Newspapers and News Publishers มีการแชร์ข้อมูลกัน ซึ่งมีข้อมูลที่พบว่าประเทศไทยเป็นดาวเด่นในการเชื่อและตื่นเต้นกับการใช้ AI เป็นลำดับแรกๆ ของโลก ในขณะที่อีกหลายประเทศไม่ได้ตื่นเต้น เพราะรู้ว่าการใช้ต้องมีจริยธรรมและการรู้เท่าทัน (Ethics & Literacy) คนไทยพร้อมจะเชื่อโดยไม่รู้ว่าข้อมูลที่ AI ใช้นั้นมาจากสำนักข่าวหรือไม่

หรืออย่างที่รอยเตอร์สำรวจความเชื่อมั่นสำนักข่าวแล้วไปพบนักเล่าข่าวในแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งข้อมูลชี้ว่าคนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่เชื่ออะไรก็ได้ ไม่ได้สนว่าจะเป็นสำนักข่าวหรือไม่ อินฟลูเอนเซอร์หยิบข่าวจากสำนักข่าวไปเล่าแล้วมียอดคนดูมากกว่าตัวสำนักข่าวเจ้าของชิ้นงาน คือเราไม่มีการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ซึ่งน่ากังวลและประเทศไทยยังขาดความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Quotient หรือ DQ) ว่าควรรู้เท่าทันและระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างไร 

ปัญหาอยู่ที่การศึกษาให้ข้อมูลความรู้ ถ้าภาษาเดิมเรียกว่ารู้เท่าทันสื่อ ประเด็นคือเรายังไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี เราใช้แต่ยังไม่รู้เท่าทันเนื้อหาของมันจริงๆ พอไม่รู้เท่าทันสุดท้ายพอเราได้รับเนื้อหาบางเนื้อหา มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอันนั้นจริง – ปลอม มันขึ้นอยู่กับใครส่งให้ มันยังเป็นวัฒนธรรม มันไม่เป็นการไตร่ตรอง มันก็เหมือนย้อนกลับไปที่พูดเรื่องข่าวปลอมบ่อยๆ ทำไมข่าวปลอมยังวิ่งอยู่ ทุกวันนี้ AI ก็ข่าวปลอมเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องไม่ได้อยู่ที่ผู้ผลิต ต้องไปเป็นระดับกระทรวงที่ต้องให้ความรู้ตั้งแต่เด็กจนไปถึงผู้ใหญ่เลย นายระวี กล่าว

นายนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าเรากำลังพูดถึงธุรกิจสื่อซึ่งมีเรื่องกำไร – ขาดทุน แต่ปัญหาของธุรกิจสื่อคือรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นความจริงหนึ่งที่ค้นพบคือ สำนักข่าวผลิตเนื้อหาคุณภาพออกมานำเสนอ แต่มีอินฟลูเอนเซอร์หยิบเนื้อหานั้นไปเล่าในพื้นที่ออนไลน์แล้วได้ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงกว่าสำนักข่าว บริษัทโฆษณา (เอเจนซี่) กลับเลือกจ่ายเงินโฆษณากับอินฟลูฯ เพราะดูที่ยอด Engagement ดังนั้นคนที่อยู่ในธุรกิจสื่อจึงเลือกทำข่าวที่ได้ Engagement ดีก็เพื่อให้องค์กรยังอยู่ต่อไปได้

รวมถึงการมาของ AI จึงถูกมุ่งไปที่การหาข่าวหรือการพาดหัวที่สร้าง Engagement ดังนั้นหากจะทำให้สื่ออยู่ได้ก็ต้องมีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามา เพราะหากเนื้อหาต้นฉบับ (Original Content) ที่สร้างไว้มีมูลค่า และที่บอกว่าคนไทยเชื่อ AI เพราะทุกคนเอาข้อมูลไปเล่าเนื่องจากได้เงินง่าย และการใช้ AI ก็ไม่มีต้นทุน กวาดรวมข้อมูลหรือเนื้อหามาแล้วก็ได้เงิน แต่เงินนั้นมาจากเนื้อหาต้นฉบับที่คนอื่นสร้างไว้ ดังนั้นเรื่องลิขสิทธิ์ต้องมาก่อน คนทำแอปพลิเคชั่นใช้ AI กวาดข้อมูลต้องซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อให้ผู้ผลิตเนื้อหาต้นฉบับอยู่ได้และ AI ก็ยังไปต่อได้  

ภายใต้ธุรกิจสื่อ สิ่งสำคัญคือรายได้ต้องอยู่ได้ด้วย จึงจะสามารถผลักดันออกไปได้ต่อ ฉะนั้นถ้าเราได้รับการสนับสนุนจากเอเจนซี่ ไม่ได้ให้คะแนนหรือตั้ง Engagement กับคนที่ผลิตเนื้อหาจาก AI หรือใช้การเล่าจาก AI เพียงอย่างเดียว ผมว่าอันนี้น่าจะช่วยสนับสนุนได้ เพราะอย่างหนึ่งผมก็เชื่อว่าเนื้อหาหรือข่าวหลายๆ เนื้อหามันไม่ได้ต้องการ Engagement แต่ต้องการ Awareness (สร้างความตระหนักรู้) ให้คนตื่นตัว อย่างข่าวการศึกษา แต่จะไปทำอย่างไรให้มัน Impact (ส่งผลมากกว่า ให้คนเข้าใจข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้น นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า AI ช่วยทำให้งานของนักข่าวรวดเร็วขึ้นจากการช่วยรวบรวมข้อมูล หรือประกอบสร้าง (Generated) จากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แต่คำถามคือข้อมูลที่มีอยู่แล้วนั้นมาจากแหล่งใด ซึ่งการมาของ AI ก็เป็นการสอบทวนด้วยว่าเราได้ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact – Checking) ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานหรือไม่

แต่อีกด้านหนึ่ง ต่อให้คนทำข่าวตั้งใจตรวจสอบและทำอย่างมีจริยธรรม แต่ก็มีความท้าทายคือมักไปจบที่ความต้องการยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ซึ่ง AI ช่วยให้เกิด Engagement ได้ง่ายมาก ส่วนคำถามว่าเหตุใดคนจึงเชื่อ AI ได้ง่ายมาก อาจเป็นเพราะ AI เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น – จับต้องไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่ส่งมาดูน่าเชื่อถือ หรือบางทีผู้รับสารอาจต้องการเพียงข้อมูล (Informational) ไม่ได้ต้องการองค์ความรู้ (Knowledge) หรือข่าว (News) ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้รับสารตั้งคำถาม หรือทำให้ผู้รับสารฉลาดขึ้น

หรือสิ่งที่กังวลมากๆ คือการกระจายของข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน (Spread of Misinformation) หรือข่าวที่ไม่ได้ถูกคัดกรอง หรือการที่มนุษย์ใช้เหตุผล (Reasoning) คิดเชิงวิเคราะห์น้อยลง คำถามคือคนที่ใช้ AI รู้สึกตรงนี้ด้วยหรือไม่ จำเป็นต้องกลับไปหาจุดกำเนิดของข้อมูล (Originate) หรือไม่ เพราะเพราะข้อมูลทั้งหมดที่ได้จาก AI ที่ Generated ก็คือข้อมูลที่ถูกผลิตมาแล้ว แล้วก็รีไซเคิลซ้ำกัน

อย่างถ้าวันนี้ผมบอกว่าสิ่งที่กำลังพูดมาจาก ChatGPT อาชีพผมจบเลย แต่บอกว่าคิดเอง คัดกรองเอง แต่ใช้ ChatGPT ในการ Generated เราจะไปถึงขั้นไหนการใช้ ผมคิดว่าคงปฏิเสธไม่ได้ เพราะ AI อยู่เป็นอวัยวะที่ 33 34 45 และอื่นๆของเรา คราวนี้การใช้อย่างมีจริยธรรม หรือแนวปฏิบัติ คงเป็นเรื่องที่ต้องคุยกัน เพราะเราก็กังวลกับการได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่โปรงใส รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว

ในช่วงท้ายยังมีการยื่นข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.ต่อรัฐบาล  ดังนี้ 1.1 กำหนเกรอบนโยบายแห่งชาติว่าด้วย AI กับภาคส่วนต่างๆ 1.2 เตรียมความพร้อมต่อการกำกับดูแลโดยกฎหมาย 1.3 ให้ความสำคัญกับกฎหมายลิขสิทธิ์ที่จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับเนื้อหาดั้งเดิม 1.4 สร้างการมีส่วนร่วมจากภาคผู้เชี่ยวชาญในการกำหนดความเสี่ยงจาก AI เพื่อนำไปสู่การกำกับดูแล 1.5 ส่งเสริมการร่วมมือระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัยและองค์กรสื่อ ในการพัฒนา AI ที่รับผิดชอบและให้ความสำคัญต่อนโยบายพัฒนาการรู้เท่าทัน AI ต่อประชาชน

2.ต่อ Global Platform และผู้สนับสนุนรายได้ (ทั้งค่าย AI สือสังคมออนไลน์และเอเจนซี่โฆษณา)ดังนี้ 2.1 ให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพ แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจากความนิยมเพียงอย่างเดียว และ AI ควรเรียนรู้เรื่องจริยธรรมและสิ่งที่ควรระวังด้วย 2.2 ควรนำเข้าข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือเท่านั้นเข้าสู่ระบบ Machine Learning ไม่นำข้อมูลที่สร้างจาก AI มาเรียนรู้ซ้ำ

2.3 จัดให้มีระบบ Warning ที่จะป้องกันปัญหาจากข้อมูลบิดเบือน 2.4 ร่วมพัฒนาแนวทางการใช้ AI ตรวจสอบข่าวปลอมกับองค์กรสื่อ โดยยึดหลักโปร่งใส เปิดเผยโมเดล และไม่ลำเอียงต่อกลุ่มความเชื่อใดๆ 2.5 ให้ผู้ผลิตข่าวสามารถปิดกั้นการดัดแปลงโดย AI ได้ เช่น การห้าม Large Language Model (LLM) นำบทความไปฝึกโมเดลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือต้องมีการซื้อ – ขายข้อมูลให้ถูกต้องในเรื่องลิขสิทธิ์

3.ต่อองค์กรสื่อมวลชน ดังนี้ 3.1 สร้างแนวปฏิบัติและเครื่องมือการบังคับใช้แนวปฏิบัติการใช้ AI ในองค์กรข่าว ซึ่งถือเป็นระดับ Community Level ในการกำกับดูแลกันเองด้านการใช้ AI เช่น การตั้งคณะทำงานภายในองค์กร ตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างสม่ำเสมอ 3.2 สร้างแนวปฏิบัติที่ดีของธรรมาภิบาล AI ในองค์กรสื่อ และแสวงหาแนวทางการรักษางานของมนุษย์ 3.3 อบรมสื่อมวลชนเรื่องการรู้เท่าทัน AI กำหนดนโยบายจริยธรรม AI เช่น การใช้ AI เรียบเรียงข่าว ตรวจคำผิด สร้างภาพ ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ 

ให้ความรู้เรื่องข้อจำกัดของ AI ความลำเอียงของโมเดล และการตรวจสอบข้อมูลจาก AI 3.4 ยึดถึงในคุณค่าของวารสารศาสตร์ รวมถึงระมัดระวังไม่ใช้ AI แทนมนุษย์ในกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม เช่น การพิจารณาเผยแพร่ข่าว่อ่อนไหวภาพรุนแรง หรือข้อมูลส่วนบุคคล 3.5 รณรงค์ให้สื่อมวลชนรักษาคุณภาพของเนื้อหา โดยระมัดระวังเรื่องการใช้ AI อย่างขาดการกำกับดูแลที่ดี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจของสื่อ

และ 4.ต่อผู้บริโภคสื่อและภารวิชาการ ดังนี้ 4.1 พัฒนาทักษะของตนเองในการใช้และอยู่กับ AI 4.2 สร้างองค์ความรู้และพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัล และการรู้เท่าทัน AI แก่สื่อมวลชนและประชาชนที่เป็นทั้งผู้บริโภคสื่อและผู้สร้างเนื้อหาบนสื่อออนไลน์ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน 4.3 ภาคประชาชนต้องรวมพลังกันเพื่อส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคในการรับรู้ว่าเนื้อหานั้นมาจาก AI หรือมนุษย์ 4.4 เสริสร้างทักษะการรู้เท่าทัน AI แก่สาธารณะ ให้รู้เท่าทันการดัดแปลงเนื้อหา เช่น Deepfake , Chatbot , Voice clone 4.5 เรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องเปิดช่องทางร้องเรียนหรือรายงานเนื้อหา AI ที่ผิดจริยธรรม และให้แพลตฟอร์มหรือสื่อดำเนินการแก้ไขอย่างโปร่งใส.


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2568

“บอแรกซ์” ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนทางเพศ และดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qvzcdr5t6s8e


ไข่ต้มไข่แดงขอบสีเขียวมีพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2d39l7s0ymwqa


ผงชูรสเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29u3q7b75lx6p


กาแฟลดน้ำหนักแบบชงดื่ม ลดพุงได้โดยไม่ต้อง ออกกำลังกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eyze93v0wvi3


วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลอดเลือดสมองอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nagp1o19izpv


ดื่มเบียร์ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qq3nhtvwmucj


 รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงศาลยา – ตลิ่งชัน – ศิริราช คาดพร้อมใช้งานปี 2573

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/tv7qwbcom6ye


 ไต้หวันฟรีวีซ่าให้คนไทยเพิ่มอีก 1 ปี เริ่ม 1 สิงหาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nsfqv4icdfff


ใช้หูฟังนานๆ ทำให้สมองเสื่อมได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9s248ifdswnj


วิดีโอทดลองด้วยการเอาเนื้อทุเรียน มาผสมกับสารละลาย “เบตาดีน” กลายเป็นใส นี่คือฤทธิ์ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qi9tk57xzjn1


ฝุ่นตลบชายแดนไทย-กัมพูชา: คนไทยเช็กข่าว

ขอบคุณที่มา Ubon Connect

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว EP.5 ได้นำเสนอประเด็นร้อน “ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี?” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ“พี่กบ” คนเช็กข่าว ร่วมด้วย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ เพื่อชวนผู้ชมวิเคราะห์วิธีการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลมีเดีย

คุณสุภิญญา กล่าวเปิดประเด็นว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เต็มไปด้วย “สงครามข้อมูลข่าวสาร” โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความสับสนให้ประชาชนทั้งสองประเทศ “ตอนนี้คนไทยสับสนมาก เพราะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอมปะปนกัน สงครามข้อมูลออนไลน์กำลังหนักหน่วง ทุกฝ่ายต่างนำเสนอข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง บางครั้งมีการบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลาย” 

เธอย้ำว่า ประชาชนต้องมีสติและตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนเชื่อหรือแชร์ เพื่อลดอคติและป้องกันการตกเป็นเครื่องมือของปฏิบัติการข้อมูล (IO) ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างมีกลยุทธ์นี้ “เราต้องตั้งหลัก อย่าให้อารมณ์ความรักชาติครอบงำจนขาดเหตุผล เป้าหมายคือสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่สงบและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย”

พี่กบ เปิดประเด็นถามถึง ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี? โดย ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งติดตามประเด็นชายแดนมาโดยตลอด ได้แนะนำวิธีการตรวจสอบข่าวสารอย่างเป็นระบบ 

“สำหรับคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ควรเริ่มจากติดตามเพจทางการของรัฐบาล เช่น เพจนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมักมีข้อมูลใกล้เคียงความจริงมากที่สุด และสามารถเปรียบเทียบมุมมองจากเพจทางการของกัมพูชาได้ ด้วยฟังก์ชันแปลภาษาของโซเชียลมีเดียที่แม่นยำขึ้น” 

เขายังแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง เช่น การสังเกตการใช้ชีวิตประจำวันของคนกัมพูชาที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งยังคงมีอยู่แม้สถานการณ์จะตึงเครียด 

ผมไปโรงพยาบาลยังได้ยินภาษากัมพูชา แม้จะบางลง แต่ก็ยังมีคนมาใช้บริการ แสดงว่าสถานการณ์ในพื้นที่อาจไม่รุนแรงเท่าส่วนกลางมอง”

ดร.ธนเชษฐ ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมุมมองของคนในพื้นที่ชายแดนและส่วนกลาง “คนชายแดนเห็นการค้าขายและการไปมาหาสู่เป็นเรื่องปกติ แต่คนในส่วนกลางที่ถูกปลูกฝังเรื่องอธิปไตยอาจมองว่าแผ่นดินตารางนิ้วเดียวเสียไม่ได้ เมื่อเกิดความขัดแย้ง คนชายแดนจะกังวลเรื่องผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น ชาวบ้านในบุรีรัมย์ต้องพาวัวหนีหากเกิดสงคราม เพราะวัวคือทรัพย์สินสำคัญ” 

อาจารย์ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากงานวิจัยชายแดนไทย-ลาวว่า คนในพื้นที่มองชายแดนเป็นเรื่องยืดหยุ่น เช่น การข้ามฝั่งไปจับปลา แต่เมื่อมีผลประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว ชายแดนก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างมูลค่า “มุมมองของคนชายแดนและส่วนกลางจึงต่างกัน ประชาชนต้องเข้าใจบริบทนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่บิดเบือน”

เมื่อถูกถามถึงวิธีสังเกตข่าวปลอม ดร.ธนเชษฐ แนะนำให้ดูที่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจกองบัญชาการกองทัพไทย หรือเพจไทยคู่ฟ้า ซึ่งมักตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบจากชุมชนท้องถิ่น เช่น กลุ่มไลน์ของอบต. ที่มักแจ้งเตือนสถานการณ์จริงในพื้นที่ นอกจากนี้ เขายังแนะนำแหล่งข้อมูลวิชาการ เช่น ผลงานของอาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน อาจารย์อัครพล ค่ำคูณ และอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นกลางและไม่ปลุกอารมณ์โกรธแค้น  รวมถึงพอดแคสต์อย่าง Point of View และ Average History ที่ให้ความรู้สั้นกระชับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

“พี่กบ” กล่าวเสริม ถึงความท้าทายในการรับข้อมูลที่ถูกต้องในยุคที่โซเชียลมีเดียรวดเร็วและรุนแรง “กระแสชาตินิยมมักมีนัยยะซ่อนเร้น บางครั้งข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนมีอารมณ์ร่วม ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ประชาชนสองฝ่ายมีการไปมาหาสู่และค้าขายเป็นปกติ” เขาเสนอว่า ประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อมูล โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศหรือภายในประเทศ “เราต้องแยกให้ออกว่านี่เป็นเรื่องของผู้นำหรือประชาชน ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจบริบทและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่วมกัน”

คุณสุภิญญา ปิดท้ายด้วยคำเตือนว่า “ในภาวะความขัดแย้ง ความจริงคือสิ่งแรกที่ถูกทำลาย ทุกฝ่ายมีปฏิบัติการข้อมูล (IO) เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประชาชนต้องรู้เท่าทันว่าโซเชียลมีเดียถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึมที่ทำให้เราอยู่ใน ‘ห้องแห่งเสียงสะท้อน’ เห็นแต่ข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของเรา” เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งคำถามและมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก “ทางออกที่ดีที่สุดคือทางที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ อย่าเพิ่งอินกับข้อมูลมากเกินไป ต้องเช็กให้ชัวร์ ใช้เหตุผล และสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่เป็นเสียงของความจริงและมนุษยชาติ

จากรายการ โคแฟคสนทนา วิทยากรแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของรัฐบาลทั้งไทยและกัมพูชา รวมถึงเพจนักวิชาการที่มีข้อมูลเป็นกลาง เช่น อาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน หรือพอดแคสต์ Point of View ประชาชนในพื้นที่ชายแดนควรลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน ต้องระวังอคติและอารมณ์ชาตินิยมที่อาจถูกปลุกผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในยุคที่อัลกอริทึมขับเคลื่อนข้อมูลให้อยู่ใน “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” สุดท้าย ควรยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งทั้งในโลกออนไลน์และพื้นที่จริง


สวิตเซอร์แลนด์สั่งแบน ‘แมมโมแกรม’: ข่าวลวงแชร์วนซ้ำจากต่างประเทศก่อนมาถึงเมืองไทย

By : Zhang Taehun

ด่วน: สวิตเซอร์แลนด์ห้ามทำแมมโมแกรม — และได้เปิดโปงกลุ่มมาเฟียทางการแพทย์!

พาดหัวข้อความที่ถูกส่งเข้ามาสอบถามในระบบของ Cofact เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2568 โดยเนื้อหาของโพสต์ดังกล่าวอ้างว่า โดยอ้างว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามทำแมมโมแกรม ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม  และระบุด้วยว่า การตรวจด้วยวิธีดังกล่าวทำให้เกิด ผลบวกปลอมหมายถึงได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านมทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้ป่วย แถมยังอ้างว่าพบผลบวกปลอมสูงถึงร้อยละ 60 อีกต่างหาก และยังระบุด้วยว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นความจงใจของอุตสาหกรรมยาที่ต้องการสร้างกำไรจากสถานการณ์นี้

– แมมโมแกรมคืออะไร?

บทความ การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี ที่เผยแพร่ตั้งแต่เมื่อปี 2559 โดย รังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า แมมโมกราฟฟี (Mammography) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สร้างภาพภายในเนื้อเยื่อของเต้านมโดยใช้รังสีเอ็กซ์ขนาดกำลังต่ำ การตรวจแมมโมกราฟฟีหรือที่เรียกกันว่า แมมโมแกรม นั้นเป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งทำให้มีโอกาสรักษาหายขาดมากที่สุด ทั้งนี้การตรวจด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี่แบ่งได้คร่าวๆ 2 แบบ คือ 

1.การตรวจในผู้ที่ไม่มีอาการ (Screeningmammography) เป็นการตรวจที่สำคัญในการคัดกรองหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น เพราะมะเร็งบางชนิดอาจใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อเต้านมเป็น ปีหรือ 2 ปีก่อนที่ผู้ป่วยหรือแพทย์จะสามารถคลำส่วนที่ผิดปกตินี้ได้ ล่าสุดวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา  แนะนำให้เริ่มทำการตรวจ screening mammogram  ปีละครั้งเมื่อสตรีมีอายุ 40 ปีขึ้นไป สำหรับผู้หญิงที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีความเสี่ยงสูงเช่น มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรรับการตรวจก่อนอายุ 40 ปีหรือไม่ หรือควรตรวจอะไรเพิ่มเติม เช่น Breast MRI

2.การตรวจในผู้ที่มีอาการ (Diagnosismammography) เช่นคลำก้อนได้ที่เต้านม มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังบริเวณเต้านม หรือมีสารคัดหลั่งผิดปกติออกมาจากหัวนม (เลือด,หนอง) การตรวจนี้มักเป็นการตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบความผิดปกติจาก Screening mammogram

เครื่องแมมโมแกรมมีส่วนที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งใส่หลอดเอกซเรย์ และมีส่วนประกอบที่ช่วยให้รังสีผ่านเฉพาะเต้านมที่ทำการตรวจ เป็นเครื่องที่สร้างมาเพื่อใช้ตรวจเฉพาะเต้านมเท่านั้น โดยจะมีแผ่นรองรับเต้านมและกดเนื้อเต้านมในมุมต่างๆเพื่อการถ่ายภาพ การตรวจ Breast tomosynthesis  ต้องใช้เครื่อง Digital mammography เท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเครื่อง Digital mammography จะสามารถตรวจด้วยวิธี tomosynthesis ได้

เครื่องจะให้กำเนิดรังสีเอกซ์ในขนาดที่พอเหมาะ ผ่านอวัยวะที่จะทำการตรวจ รังสีที่ผ่านจะถูกเก็บไว้ในแผ่นรับรังสีซึ่งจะได้รับการแปลเป็นภาพผ่านระบบคอมพิวเตอร์ให้แพทย์แปลผลอีกครั้งหนึ่ง ในอดีตแผ่นรับรังสีเป็นแผ่นฟิล์มแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นแผ่นรับรังสีที่เป็นระบบอิเล็คทรอนิกส์แทน แต่แผ่นฟิล์มก็ยังคงใช้อยู่ ทั้งนี้ การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี เป็นการตรวจที่ไม่ต้องเข้าพักในโรงพยาบาล (ตรวจแบบผู้ป่วยนอก) เจ้าหน้าที่รังสีเทคนิคที่ผ่านการอบรมเฉพาะจะเป็นผู้ทำการถ่ายภาพ โดยเริ่มต้นด้วยการจัดตำแหน่งของเต้านมให้พอเหมาะที่แผ่นรองรับที่ตัวเครื่องและใช้แผ่นใสแข็งอีกแผ่นค่อยๆกดเต้านมเพื่อให้เนื้อเยื่อแผ่ออก และไม่ขยับระหว่างทำการถ่ายภาพ

– สวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเมมโมแกรมจริงหรือไม่?

คำตอบคือ ไม่จริ แถมเรื่องนี้ยังเคยเป็นข่าวลวงในต่างประเทศและถูกหักล้างไปแล้ว ก่อนจะถูกแปลเป็นภาษาไทยและเข้ามาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ของไทยอีกต่างหาก อาทิ ในวันที่ 13 มิ.ย. 2567 เว็บไซต์ นสพ. USA Today สหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ Mammograms don’t cause cancer, aren’t banned in Switzerland | Fact check โดยอ้างถึงโพสต์หนึ่งที่ถูกแชร์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2567 ระบุว่า สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่ห้ามการตรวจแมมโมแกรม และอ้างว่า ผลการตรวจที่เป็นบวกราวร้อยละ 50-60 ไม่ถูกต้องและกระบวนการคัดกรองกระตุ้นการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเนื้องอก โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์มากกว่า 100 ครั้งในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ แถมยังถูกนำไปแชร์บนแพลตฟอร์มอื่น เช่น X (ทวิตเตอร์เดิม)

(ภาพ 01) โพสต์ที่ USA Today อ้างถึง (ในภาพเป็นวันที่ 3 มิ.ย. 2567 เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของโซนเวลา)

ในเวลานั้น ผู้สื่อข่าวของ USA Today ได้สอบถามไปยัง เซลีน เรย์มอนด์ (Celine Reymond) โฆษกสำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับคำยืนยันว่า ในระดับประเทศไม่มีนโยบายห้ามการตรวจเอกซเรย์ด้วยแมมโมแกรม โดยโปรแกรมการตรวจคัดกรองนั้นจัดทำขึ้นโดยรัฐต่างๆ

ขณะที่ คอร์เนเลีย ลีโอ (Cornelia Leo) หัวหน้าแพทย์ของ Interdisciplinary Breast Center ของ Cantonal Hospital Baden ในเมืองบาเดิน (Baden) ของสวิตเซอร์แลนด์ ให้ข้อมูลว่า การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมมีให้บริการใน 14 รัฐจากทั้งหมด 26 รัฐในสวิตเซอร์แลนด์ และอีก 4 รัฐกำลังดำเนินการนำโปรแกรมดังกล่าวไปปฏิบัติ ส่วนในรัฐอื่นๆ ก็มีการตรวจแมมโมแกรมด้วยเช่นกัน แต่ในระดับบุคคล เรียกว่าการตรวจคัดกรองแบบตามโอกาส ทั้งนี้ โปรแกรมการตรวจคัดกรองแมมโมแกรมเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสูงที่ได้รับการตรวจสอบเป็นประจำ

นอกจากนั้น ข้อมูลที่ทางเว็บไซต์ของโรงพยาบาลซูริก ยังระบุด้วยว่า โรงพยาบาลได้เชิญชวนสตรีที่มีสุขภาพแข็งแรง อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และไม่มีอาการมะเร็งเต้านม ให้เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมทุกๆ 2 ปีในบางรัฐ แต่การตรวจคัดกรองจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านคุณภาพที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย 

ในเวลาต่อมา วันที่ 20 ก.พ. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ เผยแพร่บทความ Fact Check: Switzerland has not banned mammograms, contrary to online claims ระบุว่า พบโพสต์เนิ้อหาทำนองเดียวกันกับUSA Today เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2567 บนแพลตฟอร์ม X และเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม จากคำตอบที่ได้รับทางอิเมล ซึ่งผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ได้สอบถามไปยัง สำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีนโยบายห้ามการตรวจแมมโมแกรม

ทางสำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า คำกล่าวอ้างที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ เป็นการตีความรายงานปี 2557 ผิด โดยคณะกรรมการการแพทย์สวิส (SMB) ซึ่งตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และ SMB ถูกยุบไปตั้งแต่เมื่อปี 2565 ทั้งนี้ ในสวิตเซอร์แลนด์แนะนำให้ทำการตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป และโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจะจัดตั้งขึ้นโดย แคนตัน (Canton)” ต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารในสวิตเซอร์แลนด์ที่คล้ายกับเทศมณฑล (County) หรือมลรัฐ (State)

จากแผนที่ 26 รัฐของสวิตเซอร์แลนด์ มี 15 รัฐที่เสนอโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างเป็นระบบและเป็นระเบียบ โดยรัฐอื่นๆ อีก 3 รัฐมีแผนที่จะแนะนำโครงการในอนาคต โครงการที่เป็นระบบคือโครงการที่ผู้หญิง – มักจะอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป – ได้รับเชิญให้เข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำนอกจากนี้ ยังมีอีก 8 รัฐที่มีโครงการเฉพาะกิจ โดยที่ผู้หญิงจะถูกส่งไปตรวจแมมโมแกรมหลังจากได้รับการแนะนำจากแพทย์ รายงานการตรวจสอบของรอยเตอร์ ระบุ

– ผลบวกปลอมจากการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมสูงถึงร้อยละ 50  60 จริงหรือ?

คำตอบคือ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในวันที่ 24 มี.ค. 2568 สำนักข่าว Euronews ของฝรั่งเศสเผยแพร่รายงาน No, Switzerland hasn’t banned mammograms นอกจากจะยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องสวิตเซอร์แลนด์แบนการตรวจด้วยแมมโมแกรมนั้นไม่เป็นความจริงแล้ว ยังไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญในประเด็นผลบวกปลอมนี้ด้วย

ปาร์ธา บาซู (Partha Basu) หัวหน้าสาขาการตรวจจับในระยะเริ่มต้น การป้องกัน และการติดเชื้อของสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในเมืองลียงของฝรั่งเศส อธิบายว่า แม้ผลบวกปลอมจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดกรอง แต่การได้รับผลบวกปลอมเพียงครั้งเดียวก็ไม่เหมือนกับการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย โดย ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการตรวจคัดกรอง (Screening Test) และการตรวจวินิจฉัย (Diagnostic Test) โดยการตรวจวินิจฉัยก็เหมือนกับการตัดชิ้นเนื้อ ซึ่งคาดหวังว่าจะมีความแม่นยำสูงมาก

การตรวจคัดกรองเป็นเพียงการระบุว่าใครมีความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำที่จะเป็นโรค และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงแนะนำเสมอว่าผู้หญิงที่ผลการตรวจแมมโมแกรมเป็นบวกควรเข้ากระบวนการสอบสวนโรค (Investigated) โดยเร็วที่สุด บาซูกล่าว  

รายงานข่าวของ USA Today อ้างอิงข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า ผู้หญิงมากกว่าร้อยละ 50 ในสหรัฐฯ ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปีเป็นเวลา 10 ปี จะได้รับผลบวกปลอมในบางช่วงเวลา ซึ่งหมายความว่าพบความผิดปกติในภาพเอกซเรย์แต่ไม่พบมะเร็งซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์กร Susan G. Komen ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ทำงานด้านมะเร็งเต้านมในสหรัฐฯรายงานในทำนองเดียวกันว่าโอกาสเกิดผลบวกปลอมอยู่ที่ร้อยละ 50-60 หลังจากทำแมมโมแกรม 10 ปี โดยผลบวกปลอมเกิดขึ้นบ่อยกว่าเล็กน้อยในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า

ขณะที่รายงานของรอยเตอร์ อ้างอิงคำอธิบายของ คริส เดอ วูล์ฟ (Chris de Wolf) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและประธานองค์กรอ้างอิงยุโรปด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและบริการวินิจฉัยคุณภาพ ที่กล่าวว่า ในยุโรป สัดส่วนของผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมาตรวจเพิ่มเติมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10-12 ในครั้งแรก และร้อยละ3-5 ในการตรวจครั้งต่อไป ซึ่งตัวเลขหลังนี้หมายความว่าผู้หญิง 30-50 คนในทุกๆ 1,000 คนถูกเรียกตัวกลับมาตรวจเพิ่มเติมหลังการตรวจแมมโมแกรม และในจำนวนผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมา ประมาณ 7 คนจะเป็นมะเร็ง 

ดังนั้น ในจำนวนผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมา 23  43 คน หรือ 76  86% ให้ผลบวกปลอม แต่เมื่อพิจารณาเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั้งหมดที่ได้รับการคัดกรอง จะพบว่าอยู่ที่ 23  43 ใน 1,000 คน หรืออยู่ที่ 2.3  4.3% โดยโพสต์ดังกล่าวอาจหมายถึงความเสี่ยงสะสมของผลบวกปลอมด้วย ตัวอย่างเช่น หากอัตราผลบวกปลอมอยู่ที่ 5% และผู้หญิงเข้ารับการตรวจคัดกรอง 12 ครั้งตั้งแต่อายุ 50 ปี ความเสี่ยงสะสมโดยประมาณของผลบวกปลอมในช่วงเวลาดังกล่าวจะอยู่ที่ 60% เดอ วูล์ฟ ระบุ

อัตราการตรวจซ้ำเฉลี่ยของสวิตเซอร์แลนด์สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-69 ปีอยู่ที่ 31 ต่อ 1,000คนในปี 2562 – 2564 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้หญิงทั้งหมดที่ได้รับการตรวจคัดกรอง ทั้งนี้ ตามรายงานที่จัดทำขึ้นสำหรับ Swiss Cancer Screening อัตราผลบวกปลอมอยู่ที่ 26 ต่อผู้หญิง 1,000 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 2.6 ของผู้ที่ได้รับการตรวจคัดกรองทั้งหมด อัตราดังกล่าวสูงขึ้นสำหรับผู้ที่เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมครั้งแรกในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราการตรวจซ้ำอยู่ที่ 110.8 ต่อ 1,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของผู้ที่ได้รับการตรวจคัดกรองทั้งหมด อัตราการตรวจพบผลบวกปลอมอยู่ที่ 105 รายต่อผู้เข้ารับการตรวจ 1,000 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 10.5 ของผู้เข้ารับการตรวจทั้งหมด

– ตรวจแมมโมแกรมทำให้เกิดเนื้องอก? 

เป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาถามในระบบของ Cofact และมีการระบุด้วยว่า ยิ่งแย่ลงไปอีก: แมมโมแกรมอาจทำให้เนื้องอก(ถ้ามี)แพร่กระจายได้ การศึกษาวิจัยใหม่ยืนยันว่าการกดทับเนื้อเยื่อที่บอบบางอาจกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจาย และการทดสอบอาจเพิ่มโรคก็ได้

คำตอบคือ ไม่จริง  โดยรายงานการตรวจสอบจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ยืนยันโดยอ้างคำพูดของปาริสา ล็อตฟี (Parisa Lotfi) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยาและการถ่ายภาพทางชีวการแพทย์ที่ศูนย์มะเร็งเยล (YCC) ในสหรัฐฯ ที่กล่าวกับ USA Today ว่า โพสต์ที่ว่าแมมโมแกรมกระตุ้นการเติบโตของเนื้องอกและการแพร่กระจายนั้นไม่เป็นความจริง ไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บ่งชี้ว่าแมมโมแกรมทำให้เกิดมะเร็ง การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ทั้งแรงกดจากแมมโมแกรมและปริมาณรังสีของมะเร็งเต้านมไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดย พ.ร.บ.คุณภาพและมาตรฐานแมมโมแกรม(Mammography Quality and Standards Act) ขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) รับรองว่าปริมาณรังสีอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยและต่ำกว่าค่ามาตรฐานของรังสีเอ็กซ์

เอวานโดร เดอ อาซัมบูจา (Evandro de Azambuja) หัวหน้าทีมสนับสนุนทางการแพทย์ของสถาบัน Jules Bordet ในเมืองอันเดอร์เลชท์ของเบลเยียม อธิบายกับ Euronews ว่า หากปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคร่งครัดตามคำแนะนำของหน่วยงานต่างๆ ปริมาณรังสีก็จะต่ำ ดังนั้นจะไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งจากการฉายรังสีแมมโมแกรม

สรุปแล้วการตรวจแมมโมแกรมมีประโยชน์หรือไม่?

รายงานของ Euronews อ้างความเห็นของ จูเลีย ชวาร์ตซ์ (Julia Schwarz) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับระยะเริ่มต้นจาก Swiss Cancer League ในเมืองเบิร์น (Bern) ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ระบุว่า ผู้หญิงควรได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับผลบวกปลอมก่อนเข้ารับการตรวจแมมโมแกรม โอกาสนั้นไม่มากนัก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นคือโอกาสในการรักษาให้หายจะสูงขึ้น

เช่นเดียวกับ คอร์เนเลีย ลีโอ หัวหน้าแพทย์ของ สถาบันรักษาเต้านมแบบบูรณาการ (Interdisciplinary Breast Center) ของ Cantonal Hospital Baden ในเมืองบาเดินของสวิตเซอร์แลนด์ ที่กล่าวกับ USA Today ว่า ข้อดีของการตรวจแมมโมแกรมนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ผลการศึกษาในระดับนานาชาติและในสวิตเซอร์แลนด์แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ มะเร็งเต้านมจะถูกตรวจพบในระยะเริ่มแรก ทำให้การรักษามีภาระน้อยลงด้วย ลีโอกล่าว 

ขณะที่ประเทศไทย เท่าที่สืบค้นได้ มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ห่างกันประมาณ 1 ปี โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 รายการ ชัวร์ก่อนแชร์ ทางช่อง MCOT HD ได้สอบถามไปยัง ศ.พญ.ชลทิพย์ วิรัติพันธ์ หัวหน้าศูนย์วินิจฉัยเต้านม ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้รับคำยืนยันว่า จากการวิจัยทั่วโลกที่ทำกันมากว่า 30 ปี ชี้ว่า แมมโมแกรมเป็นวิธีเดียวที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้มากกว่าร้อยละ 20

และแม้จะมีการตรวจพบผลบวกลวง ก็ไม่ได้แปลว่าจะหักล้างและสรุปว่าไม่ควรตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรม ซึ่งหากเทียบกันระหว่างการตรวจหามะเร็งเต้านมตั้งแต่แรกๆ กับการเจอผลบวกลวง โดยเป็นการเจอชิ้นเนื้อแต่ยังบอกไม่ได้ว่าคืออะไร ขั้นตอนต่อไปก็จะแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อ และการตรวจชิ้นเนื้อนั้นแล้วพบว่าไม่ใช่มะเร็ง ก็เท่ากับว่าเราสามารถเก็บชิ้นเนื้อนั้นไว้กับร่างกายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ดีกว่าไม่รู้แล้วต้องมาคอยลุ้นว่าชิ้นเนื้อจะโตขึ้นหรือไม่ นอกจากนั้นยังควบคุมปริมาณรังสีที่ใช้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย  

การทำแมมโมแกรมยังไม่กระตุ้นให้เกิดเนื้องอก เพราะไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปที่ไหนหรือทำให้ลุกลามมากขึ้น ส่วนที่บอกว่าผู้หญิงแข็งแรงทำแมมโมแกรมแล้วตรวจเจอมะเร็ง เรื่องนี้เป็นไปได้ว่าเป็นการเจอมะเร็งที่ซ่อนอยู่เงียบๆ ยังไม่แสดงอาการ สุดท้ายคือสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้ห้ามการตรวจแมมโมแกรม เพียงแต่ที่นั่นรัฐบาลไม่ได้บรรจุให้เป็นสิทธิประโยชน์ และไม่ได้สนับสนุนหรือเชิญชวนให้มาตรวจ 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานโดยอ้างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงแนะนำและให้บริการตรวจแมมโมแกรม ซึ่งการตรวจแมมโมแกรมถือเป็นวิธีตรวจคัดกรองมาตรฐาน (gold standard) สำหรับการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป 

ปัจจุบันมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่า แมมโมแกรมสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหายและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในยุโรป พบว่า การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ 20-40% ในกลุ่มสตรีที่เข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังแนะนำให้ประเทศที่มีทรัพยากรเพียงพอดำเนินโปรแกรมการตรวจแมมโมแกรมอย่างเป็นระบบโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการสุขภาพและลดภาระของโรคในระยะยาว แม้ว่า การตรวจแมมโมแกรมจะมีความเสี่ยงบางประการ เช่น การได้รับรังสีในปริมาณเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ของการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นซึ่งช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตแล้ว การตรวจแมมโมแกรมจึงให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

รวมถึงเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute” ก็ยังโพสต์คลิปวีดีโอพร้อมคำบรรยาย ข่าวดีของหญิงไทย…. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์  ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0 22026800 ต่อ 1127

บทสรุปคือ สวิสเซอร์แลนด์สั่งแบนแมมโมแกรมเป็นอีกหนึ่งข่าวลวงที่เข้าข่าย แชร์วนซ้ำ” มีการหักล้างไปแล้วก็ยังกลับมาใหม่ได้อีก!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://cofact.org/article/3ceijwwvsa336

https://www.radiologythailand.org/th/การตรวจเต้านมด้วยเครื่/ (การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี่ : รังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย)

https://www.usatoday.com/story/news/factcheck/2024/06/13/mammograms-banned-switzerland-fact-check/74005275007/ (Mammograms don’t cause cancer, aren’t banned in Switzerland | Fact check : USA Today 13 มิ.ย. 2567)

https://www.reuters.com/fact-check/switzerland-has-not-banned-mammograms-contrary-online-claims-2025-02-20/ (Fact Check: Switzerland has not banned mammograms, contrary to online claims : รอยเตอร์ 20 ก.พ. 2568)

https://www.euronews.com/my-europe/2025/03/24/no-switzerland-hasnt-banned-mammograms (No, Switzerland hasn’t banned mammograms : Euronews 24 มี.ค. 2568)

https://www.youtube.com/watch?v=gD9c4bIQMew (ชัวร์ก่อนแชร์ : แมมโมแกรม อันตราย กระตุ้นให้เป็นมะเร็ง จริงหรือ? : ชวร์ก่อนแชร์ 20 พ.ค. 2567)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/การทำแมมโมแกรมอาจกระตุ้นให้เนื้องอกลุกลาม/ (การทำแมมโมแกรมอาจกระตุ้นให้เนื้องอกลุกลาม : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 3 มิ.ย. 2568)

https://www.facebook.com/NationalCancerInstitute.Thailand/videos/1606874680006528


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ดื่มน้ำต้มแพงพวยฝรั่งตากแห้ง แก้เบาหวาน ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง ถอนพิษ แก้หนองใน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2p0qtqfznujri


นั่งชักโครกสาธารณะติด HPV…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/yds7bjvclr94


ภาพวิดีโอ สมเด็จฮุน เซน ลูบหัว รมว.กลาโหมไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/300tcdrx850vh


จัดพื้นที่สูบบุหรี่ในสนามบิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5evm4yrwmlbc


ลาวผ่อนปรนนำเข้าโค กระบือ และหมูจากไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uifxt130fjp


13-16 มิ.ย. 68 พายุดีเปรสชันกระทบไทย ทำมรสุมแรง ฝนตกหนัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vy1hcanvl8pp


เชื้อ HIV ทำลายเม็ดเลือดขาว หากไม่รักษาจะเข้าสู่ระยะโรคเอดส์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jxzpjxgbghq9


การจูบลงไปบริเวณที่มีแผลของโรคซิฟิลิส มีโอกาสที่จะติดโรคได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zdsc5l6r2a20


กัมพูชา โต้กลับให้ คนไทย เข้าประเทศได้แค่ 7 วัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36hfv1876acey


รู้ได้ไง “AI” หรือ “ภาพจริง”? เจาะลึกการตรวจสอบข่าวลวงในยุคความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

ขอบคุณที่มา ubonconnect

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้นบนโซเชียลมีเดีย การแยกแยะระหว่างภาพจริงและภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์(AI) กลายเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังร้อนระอุ รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าวEP.4” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ได้พูดคุยถึงวิธีการตรวจสอบข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือน พร้อมชวนทุกคนรู้เท่าทันสื่อ ด้วยการสนทนานำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ, สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, กุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จากโคแฟค และ พี่ช้าง ธรรมชาติ ทานตะวันสดใส ตัวแทนคนเช็กข่าวที่นำประเด็นมาเสนอ

สุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ความร้อนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงปัญหาข้อมูลบิดเบือนที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเกลียดชัง เธอกล่าวว่า“ข้อมูลที่บิดเบือนหรือตั้งใจปั่น เพื่อประโยชน์ทางการเมืองสามารถจุดชนวนความโกรธเกลียดได้ง่าย” 

โดยเฉพาะในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพและคลิปที่เหมือนจริงได้อย่างน่ากลัว เธอเน้นย้ำว่า ทุกคนต้องรู้เท่าทันข้อมูล โดยตั้งคำถามว่าเป็น “AI หรือ IO (Information Operation)” ซึ่งหมายถึงปฏิบัติการข้อมูลที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม สุภิญญายังชวนผู้ชมส่งภาพหรือคลิปที่น่าสงสัยมาให้ทีมโคแฟคตรวจสอบ เพื่อช่วยกันแยกแยะความจริง

พี่ช้าง นำเสนอกรณีตัวอย่างคลิปที่แชร์กันในโซเชียลมีเดีย ซึ่งแสดงภาพบุคคลที่หน้าคล้ายนักการเมืองไทยกำลังยกมือไหว้ผู้นำกัมพูชา พร้อมซาวด์ตลกขบขันเขาตั้งคำถามว่า “คลิปนี้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงการแชร์เพื่อความขบขัน แต่ทำให้คนเข้าใจผิด?” พี่ช้างยอมรับว่า ความสมจริงของภาพและคลิปที่สร้างจาก AI ทำให้ผู้บริโภคสื่ออย่างเขาแยกแยะได้ยากและจำเป็นต้องพึ่งพาการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

กุลธิดา สามะพุทธิ อธิบายวิธีการตรวจสอบภาพและคลิปอย่างละเอียด กรณีแรกคือภาพนิ่งที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งหน้าตาคล้ายนักการเมืองไทยและผู้นำกัมพูชา เธอเล่าว่า ทีมโคแฟคใช้วิธี Reverse Image Search เพื่อค้นหาที่มาของภาพใน Google แต่ไม่พบแหล่งที่มา จึงค้นหาข่าวเพิ่มเติมและพบว่าไม่มีรายงานการพบปะระหว่างบุคคลทั้งสองในช่วงเวลาดังกล่าวต่อมาเมื่อตรวจสอบใน TikTok พบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์พร้อมแฮชแท็ก #AI ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ และถูกแชร์ต่อใน Facebook โดยไม่ระบุว่าเป็น AI ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวาง กุลธิดายังชี้จุดสังเกตภาพ AI เช่น ความผิดปกติของเส้นผม ลายธงกัมพูชา และเข็มกลัดที่ขาดรายละเอียด ซึ่งสามารถช่วยระบุว่าเป็นภาพปลอม

กรณีที่สองที่กุลธิดานำเสนอคือภาพป้ายหน้าร้านที่ระบุว่า “ไม่รับคนงานเขมร” ซึ่งถูกแชร์ใน X และแพลตฟอร์มอื่นๆ เธอวิเคราะห์ว่า ป้ายดูตึงเกินไปและขาดรอยยับตามธรรมชาติ รวมถึงมือของบุคคลในภาพที่เบลอ และแสงเงาที่ไม่สอดคล้องกัน

บ่งชี้ว่าเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรืออาจถูกแต่งด้วยPhotoshop กุลธิดาเตือนว่า แม้ภาพจะเป็นของจริง ก็อาจถูกนำมาใช้ในบริบทที่ผิด (False Context) เช่นภาพจากอดีตที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อสร้างความเข้าใจผิด

กรณีต่อไปเป็นคลิปที่แชร์ใน Facebook, LINE Open Chat และ TikTok ซึ่งแสดงภาพทหารกัมพูชานอนบนผ้า พร้อมคำบรรยายที่ล้อเลียนว่าเป็นการ “ซ้อมห่อศพ” กุลธิดาค้นพบว่า คลิปนี้มาจากบัญชี TikTok ของหน่วยงานสาธารณสุขกัมพูชา ซึ่งระบุว่าเป็นการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ไม่ใช่การฝึกห่อศพอย่างที่เข้าใจผิด น่าเสียดายที่สื่อหลักบางช่องนำคลิปนี้ไปรายงานโดยไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน สร้างความเข้าใจผิดเพิ่มขึ้น

กรณีสุดท้ายที่กุลธิดานำเสนอคือคลิปจาก YouTube ที่ถูกแชร์ข้ามแพลตฟอร์ม โดยยูทูบเบอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากอ้างว่า สหรัฐฯ คว่ำบาตรศาลโลก(International Court of Justice – ICJ) เนื่องจากเห็นใจประเทศไทยที่ถูก “รังแก” โดยกัมพูชาในกรณีพิพาทชายแดน

กุลธิดาตรวจสอบพบว่า ข้อมูลนี้บิดเบือนความจริงเพราะสหรัฐฯ คว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ(International Criminal Court – ICC) ไม่ใช่ศาลโลกที่เกี่ยวข้องกับคดีพิพาทเขตแดน

เธอตั้งข้อสังเกตว่า ความผิดพลาดนี้อาจเกิดจากความเข้าใจผิดของยูทูบเบอร์ หรือจงใจบิดเบือนเพื่อเรียกยอดวิวและกระแส โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชากำลังเป็นที่สนใจ กุลธิดาย้ำว่า ข้อมูลเช่นนี้สามารถตรวจสอบได้จากสื่อที่น่าเชื่อถือ ซึ่งควรรายงานข่าวการคว่ำบาตรศาลโลกอย่างกว้างขวางหากเป็นเรื่องจริง

สุชัย เจริญมุขยนันท เสริมว่า สื่อกระแสหลักควรเป็นที่พึ่งของประชาชน และไม่ควรนำข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบไปเผยแพร่ เขายังชี้ว่า ผู้บริโภคสื่อควรระวังการแชร์ข้อมูลด้วยอคติ (Confirmation Bias) ซึ่งอาจทำให้แชร์ข้อมูลลวงโดยไม่ตั้งใจ

บทสรุป รายการนี้เรียกร้องให้ทุกคนเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยตั้งคำถามว่า “เป็น AI หรือIO?” ก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง สุภิญญาแนะนำให้ใช้ความช่างสังเกตและวิจารณญาณ รวมถึงส่งข้อมูลที่น่าสงสัยให้ทีมโคแฟคช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง

สุชัยทิ้งท้ายว่า บางภาพอาจจับแพะชนแกะ “อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ จนกว่าจะเช็กให้ชัวร์” เพื่อสร้างสังคมที่รู้เท่าทันสื่อและลดการจับแพะชนแกะที่อาจสร้างความแตกแยก


สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ศาลอาญาโลก” ถูกนำมาสร้างความเข้าใจผิดในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓เนื้อหาที่ตรวจสอบ: สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรศาลโลก

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน หยุดแชร์**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 7 มิ.ย. 68 ยูทูเบอร์คนไทยที่เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาโพสต์วิดีโอเล่าข่าวหัวข้อ “ไทยเฮ..ทรัมป์จัดหนักศาลโลกหลังเขมรขย่มไทย ลั่น..ศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณา” อ้างว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา “ประกาศคว่ำบาตรศาลโลก” เนื้อหานี้ถูกนำไปแชร์ต่อในติ๊กต็อกและกลุ่มไลน์โอเพนแชท

โคแฟคตรวจสอบจากสำนักข่าวต่างประเทศที่เชื่อถือได้และเว็บไซต์ทำเนียบขาวพบว่า ศาลที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรคือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court – ICC) ไม่ใช่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (International Court of Justice – ICJ) ซึ่งเป็นศาลที่วินิจฉัยข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชากรณีปราสาทพระวิหาร และล่าสุดทางการกัมพูชามีมติจะนำข้อพิพาทพื้นที่ปราสาทตาเมือนและบริเวณใกล้เคียงรวม 5 จุดเข้าสู่การพิจารณาของศาลนี้

ส่วนศาลอาญาระหว่างประเทศหรือศาลอาญาโลกดำเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ซึ่งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 68 ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อศาลอาญาโลก และ 5 มิ.ย. 68 ประกาศคว่ำบาตรผู้พิพากษาศาลอาญาโลก 4 คน เพื่อตอบโต้การออกหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ และการสอบสวนสหรัฐฯ ในข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามในอัฟกานิสถาน

สรุปว่าการคว่ำบาตรศาลอาญาโลกของสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยนำมาบิดเบือนและโยงมั่วเข้ากับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการรับรู้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2568

จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2q2psvfv57g9


สนามแม่เหล็กโลกระดับ G4 อาจส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย ง่วง และอารมณ์แปรปรวน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2igaaer08jiu9


ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/309uao7aaa6fo


ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3f1pnzh0e2yel


ความดันสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถึงอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ngrqlpd7wnro


จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2q2psvfv57g9


กยศ. เปิดลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับเงินคืน กรณีคำนวณหนี้ใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24xveytq08bqi


ดื่มเหล้า ไม่แปรงฟัน ทำให้ฟันผุ จนเกิดการติดเชื้อฝีหนองที่รากฟันและปอด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/117w4rm2t951q


หมอยง ยันโควิด NB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักของไทยแล้ว ย้ำแพร่เร็ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3beb2cgmzge8p


มะพร้าวเจาะรูทิ้งไว้ ก่อให้เชื้อรา ทำให้สมองบวม เสียชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e1109swvid58


 รับประทานเนื้อวัวเสี่ยงเป็นโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4fnraj6j7o67


คลิปฝึกปฐมพยาบาลของทหารกัมพูชา ถูกผู้ใช้โซเชียลมีเดีย-สื่อไทย บิดเบือนว่าเป็นการ “ซ้อมห่อศพ”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารกัมพูชาฝึกซ้อมห่อศพและเคลื่อนย้ายร่างทหารที่เสียชีวิต

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน หยุดแชร์**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ผู้ใช้โซเชียลมีเดียไทยจำนวนมากแชร์คลิปวิดีโอทหารกัมพูชายืนชมการสาธิตการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ โดยทหารคนหนึ่งแสดงเป็นผู้บาดเจ็บนอนบนผ้าขาว โพสต์เหล่านี้เขียนคำบรรยายเชิงล้อเลียนและบิดเบือนว่าทหารกัมพูชากำลังฝึกห่อศพและเคลื่อนย้ายทหารที่เสียชีวิต คลิปและภาพนิ่งที่แคปเจอร์จากวิดีโอนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางทั้งในเฟซบุ๊กติ๊กต็อก และมีการนำไปรายงานต่อในสื่อโทรทัศน์

โคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางเฟซบุ๊กของบุคคลากรสาธารณสุขกัมพูชาช่วงเช้าวันที่ 31 พ.ค. 68 โดยเขาเขียนคำบรรยายเป็นภาษาเขมร แปลเป็นไทยได้ว่าภาพการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทหารสำหรับ ปฏิบัติการช่วยเหลือและอพยพผู้ประสบภัยพิบัติ จัดที่จังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากหน่วยงานเดียวกันโพสต์คลิปนี้ในติ๊กต็อกโดยให้ข้อมูลว่าการอบรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 พ.ค. 68  

คลิปนี้มีความยาวเกือบ 3 นาที มีทั้งการทำซีพีอาร์ การปฐมพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บด้วยการอุ้ม พยุงเดินและการใช้ผ้า แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียไทยตัดตอนเฉพาะส่วนที่เจ้าหน้าที่สาธิตการใช้ผ้าผืนใหญ่เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บและบิดเบือนข้อมูลว่าเป็นการฝึกห่อผ้าและเคลื่อนย้ายร่างทหารที่เสียชีวิต

ภาพ “ภูมิธรรม” ก้มศีรษะไหว้ “ฮุน เซน” เป็นภาพที่สร้างด้วย AI

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพ “ภูมิธรรม” ก้มศีรษะไหว้ “ฮุน เซน” 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพจากเอไอ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามเกือบ 2 แสนบัญชีโพสต์ภาพบุคคลคล้ายนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก้มศีรษะไหว้สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขณะที่สมเด็จฮุน เซนวางมือบนศีรษะของอีกฝ่าย

ภาพนี้ถูกเผยแพร่ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2568 โพสต์นี้มีผู้แชร์ต่อกว่า 3.4 พันครั้งและเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากกว่า 12,000 ข้อความ ส่วนใหญ่โจมตีนายภูมิธรรม เช่น “คนไทยหัวใจเขมร” และ “ปกป้องธุรกิจผู้นำจนลืมรักษาประเทศชาติ”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกแคปหน้าจอมาจากคลิปติ๊กตอกเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 โดยผู้โพสต์ใส่แฮชแทก #AI เพื่อระบุว่าเป็นคลิปที่สร้างจากเอไอ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2568

เมฆหลากสี เกิดจากสารเคมีที่พ่นทิ้งไว้บนน่านฟ้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1drui5ok48c8m


น้ำเต้าหู้ ผสมมะนาวรักษาโรคสารพัด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1drui5ok48c8m


ติดโควิดให้ติดต่อโครงการ “โทร จ่าย จบ” เพื่อรักษาฟรีทุกอย่าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2das6kvy4ie08


พายุสุริยะรุนแรง อาจทำให้ระบบธนาคารล่ม เงินหายหมดบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x89h5sgeomgx


ฉีดวัคซีนโควิด ทำให้ติดเชื้อ HIV…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ofg70h0gbz55


วัคซีนโควิด ทำให้เกิด มะเร็งเทอร์โบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jqggwx3k9enl


อุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wlbuta5qjoso


กระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวรถตรวจสุขภาพเคลื่อนที่สำหรับผู้สูงวัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vrashzm0p9c7


ปลายพฤษภาคมนี้ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสานตอนบน และภาคตะวันออก เสี่ยงน้ำท่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1btfp2wcobgv4


สหรัฐฯ สั่งระงับ นัดขอวีซ่านักเรียน และวีซ่าแลกเปลี่ยนทั้งหมด พร้อมจ่อตรวจเข้มบัญชีโซเชียลฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t7zbllk193r1


EU เปลี่ยนระบบตรวจคนเข้าเมือง เริ่มใช้ ต.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nwpaxxlrqc9m


Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

อิสลามเป็นศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น, ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลามและอยู่เบื้องหลังนโยบายเอื้อคนมุสลิม – นี่คือตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามด้วยการใช้ข้อมูลเท็จและบิดเบือน (Islamophobic disinformation) ที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมานานหลายปี และเมื่อ TikTok เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อกลางปี 2561 เนื้อหาเหล่านี้ก็ตามมาปรากฏตัวในแพลตฟอร์มนี้ด้วย

ในวาระที่ TikTok ให้บริการในไทยครบรอบ 7 ปี ในปี 2568 นี้ โคแฟคซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการตรวจสอบข่าวลวงและรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเรื่อง “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok” โดยวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ 250 ชิ้นที่มีเนื้อหาต่อต้านอิสลามที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ TikTok 30 บัญชี วิดีโอเหล่านี้มีทั้งเนื้อหาล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย ไปจนถึงเนื้อหาเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอนของอิสลามและคนมุสลิม

เพื่อให้เห็นภาพของการใช้เนื้อหาเท็จและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ผู้เขียนได้เลือกวิดีโอ TikTok 3 ชิ้น มาตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) และนำเสนอผลการตรวจสอบในรายงานชิ้นนี้

1. ประเทศญี่ปุ่นปฏิเสธอิสลาม-คนมุสลิม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพย่านธุรกิจในญี่ปุ่น (ลิงก์บันทึก) ความยาว 5 นาที พร้อมเสียงบรรยายในประเด็น “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร” สรุปใจความได้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ข้องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิมโดยเด็ดขาด มีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อชาวมุสลิมและศาสนาอิสลาม เช่น ไม่ให้สัญชาติคนต่างชาติที่เป็นมุสลิม ไม่ให้คนมุสลิมพำนักอย่างถาวร ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้สอนภาษาอาหรับ ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอ่านเข้าประเทศ ไม่ให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์ วิศวกร หรือผู้บริหารบริษัทต่างชาติ บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎไม่รับคนมุสลิมเข้าทำงาน ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้ ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิม หญิงชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นที่รังเกียจและสังคมไม่ยอมรับ และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานทูตของประเทศอิสลามอยู่น้อยมาก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เสียงบรรยายนี้นำมาจากวิดีโอที่เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนราย ปัจจุบันไม่พบวิดีโอเรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร?” ในช่องยูทูบนี้แล้ว แต่เนื้อหาวิดีโอที่ถูกตัดมาบางช่วงยังคงถูกเผยแพร่ซ้ำโดยบัญชีผู้ใช้ TikTok อย่างน้อย 10 ราย

เมื่อถอดเสียงคำบรรยายและนำไปค้นหาในกูเกิลพบว่าเนื้อหาเดียวกันนี้ถูกเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2558 เช่น ในเว็บไซต์พันทิป Blogspot และเฟซบุ๊กเพจของ อปพส.

คลิปจากช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” เรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำใน TikTok

โคแฟคตรวจสอบจากฐานข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นและสื่อมวลชนญี่ปุ่นพบว่าเนื้อหาว่าด้วย “ญี่ปุ่น ‘แบน’ อิสลาม” ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในรูปแบบของข้อเขียนและคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์มานานนับสิบปี มีเนื้อหาที่เป็นเท็จ กล่าวคืออิสลามไม่ใช่ศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีผู้ที่นับถืออิสลามอยู่หลักแสนคน มีมัสยิดอยู่นับร้อยแห่ง มีตั้งศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศญี่ปุ่น (Islamic Center of Japan) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2509 มหาวิทยาลัยชั้นนำมีการสอนภาษาอาหรับ และรัฐบาลญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหลายประเทศ และผู้นำระดับสูงของประเทศเหล่านั้นก็เคยมาเยือนญี่ปุ่น ตามข้อมูลต่อไปนี้

  • สำนักข่าว Nikkei และ Asahi Shumbun รายงานตรงกันว่าจำนวนประชากรมุสลิมในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ Nikkei ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ญี่ปุ่นมีชาวมุสลิมอยู่ราว 350,000 คน เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวในเวลา 18 ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่น แต่ในจำนวนนี้ก็มีคนสัญชาติญี่ปุ่นที่นับถืออิสลามอยู่ด้วย Asahi Shimbun รายงานว่ามัสยิดในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนจากสิบกว่าแห่งในปี 2542 เป็น 113 แห่งในปี 2564
  • มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐและเอกชนในญี่ปุ่นเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษา เช่น Center for Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยเกียวโต, Middle Eastern and Islamic Studies ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และ Institute of Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยโซเฟีย
  • เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลาม เช่น การเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอิหร่าน (ปี 2543) และรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน (ปี 2566) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีอินโดนีเซียประชุมทวิภาคีพัฒนาความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (ปี 2566) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและปากีสถานประชุมทวิภาคีว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ปี 2567
  • ประเทศที่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลในญี่ปุ่นในฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมีประเทศมุสลิมอยู่หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ซาอุดิอารเบีย และตุรกี

ข้อมูลของทางการญี่ปุ่นและรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่หยิบยกมานี้ยืนยันได้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ห้าม ปิดกั้นหรือปฏิเสธศาสนาอิสลาม และมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหรือมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม  

2. ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นโดยตัดต่อภาพของชายมุสลิมคนหนึ่งเข้าไปด้วย และฝังข้อความว่า “แขกมาอยู่ขอนแก่นสั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูปที่มีรูปพระราชาออก ระวังเขาจะไม่ต้อนรับนะมุส” (ลิงก์บันทึก) โพสต์นี้มียอดการดูเกือบ 4.8 แสนครั้ง นอกจากนี้ยังมีบัญชีผู้ใช้ TikTok อีกรายหนึ่งโพสต์เนื้อหาประเด็นเดียวกันเมื่อ 18 มิถุนายน 2566 โดยโพสต์คลิปภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นที่มีเสียงบรรยายประกอบว่า “ซุ้มประตูเมืองขอนแก่น อิสลามจะเอาลง มีพระพุทธรูปของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนักปกป้องชาวพุทธได้รวมตัวกันต่อต้านและขอไว้ มิเช่นนั้นก็โดนสอยร่วง…”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง

เนื้อหาของโพสต์ TikTok นี้กล่าวหาว่าผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งน่าจะหมายถึงบุคคลในภาพ สั่งให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ออกจากซุ้มประตูเมือง

ประตูเมืองขอนแก่น ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2549 ด้วยงบประมาณ 15.5 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของเทศบาลนครขอนแก่น 14.5 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 1 ล้านบาท เมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญ “พระพุทธพระลับ” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดขอนแก่น จากวัดธาตุ พระอารามหลวง จำนวน 2 องค์ ขึ้นประดิษฐานบนมณฑปประตูเมืองขอนแก่นหลังใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล

โคแฟคตรวจสอบพบว่าชายมุสลิมในภาพคือ พ.ต.อ.สมหวัง เนตรทิพยานนท์ อดีตประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่น ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ว่ามีผู้นำภาพของเขาไปใช้เพื่อสร้างความเข้าใจผิด พร้อมกับยืนยันว่าเนื้อหาในวิดีโอ TikTok นี้ไม่เป็นความจริง เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงซุ้มประตูเมือง

พ.ต.อ.สมหวังยืนยันว่าไม่เคยมีกรณีที่คนมุสลิมในจังหวัดขอนแก่นเรียกร้องให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง และตนก็ไม่มีอำนาจหน้าที่จะทำเช่นนั้นได้

เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหานี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกราวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น คาดว่าผู้ที่ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จนี้ต้องการสร้างความเข้าใจผิดต่อคนมุสลิมในขอนแก่นเพื่อให้คนทั่วไปร่วมคัดค้านการจัดตั้งมัสยิด

โคแฟคสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไม่พบรายงานข่าวของสื่อมวลชนหรือข้อมูลอื่นว่ามีความพยายามในการนำพระพุทธรูปประจำเมืองและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น เมื่อประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.สมหวังจึงสรุปในเบื้องต้นได้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเนื้อหาในโพสต์ TikTok นี้เป็นความจริง

3. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลาม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์คลิปนายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) สนทนากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ระบุว่าเป็น “อดีตสาวมุสลิม” เรื่องการใช้ระบอบการปกครองแบบอิสลามในประเทศไทย ความยาวเกือบ 5 นาที มีภาพประกอบและข้อความที่ชักนำให้เข้าใจว่าระบบการเมืองการปกครองของไทยถูกกำหนดและครอบงำโดยอิสลามและคนมุสลิม หนึ่งในนั้นคือภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยกมือดุอาในวาระต่าง ๆ พร้อมข้อความว่า “พิธีเข้ารับอิสลาม” นอกจากนี้ยังมีภาพและข้อความที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์นับถือศาสนาอิสลามจึงมีนโยบายและอนุมัติงบประมาณจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมโดยไม่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ (ลิงก์บันทึก)

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เนื้อหาเท็จว่าด้วย พล.อ.ประยุทธ์และนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา นับถือศาสนาอิสลามถูกผลิตและเผยแพร่ในเฟซบุ๊กมานานกว่า 6 ปี และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื้อหาเท็จนี้ก็มาปรากฏอยู่ใน TikTok ด้วยเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างน้อย 2 ครั้งระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกเมื่อ 8 มีนาคม 2559 หลังจากมีผู้โพสต์ภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่ได้รับจากกลุ่มชาวมุสลิมและภาพนางนราพรยืนอยู่กับผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม

“(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เดือนธันวาคม 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม พล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาชี้แจงอีกครั้งเมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ว่า “…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นยังได้โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 แต่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของเขาและภรรยาก็ยังคงถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในทุกแพลตฟอร์ม 

สำหรับภาพและข้อความที่ถูกเผยแพร่ใน TikTok ที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าพิธีรับอิสลามนั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพการปฏิบัติภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การเข้าร่วมพิธีเปิดและปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2561 และภาพจากการร่วมรับประทานอาหารค่ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนพระราชทานเลี้ยงเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ภาพทั้งหมดไม่ใช่พิธีเข้ารับอิสลามตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง

เปรียบเทียบภาพ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จใน TikTok และภาพจากเหตุการณ์เดียวกันที่นำเสนอโดยสื่อมวลชน

โดยสรุป จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาจาก TikTok ทั้ง 3 ชิ้น พบว่าเรื่องญี่ปุ่นแบนศาสนาอิสลามและ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพิธีรับอิสลามมีเนื้อหาเป็นเท็จ ส่วนเรื่องการปลดพระพุทธรูปจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น บุคคลที่ถูกนำภาพมาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้เสนอให้นำพระพุทธรูปลงจากซุ้มประตูเมืองยืนยันว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

โพสต์ TikTok 3 ชิ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน (disinformation) เพื่อสร้างความเข้าใจผิดที่นำไปสู่ความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิม เนื้อหาเหล่านี้เป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเนื้อหาเท็จ-บิดเบือน ไม่เพียงปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชัง แต่ส่งผลในระดับที่ลึกกว่านั้น คือสร้างความเข้าใจผิด ทำให้ผู้คนหลงเชื่อและแยกไม่ออกว่าอะไร “จริง-ไม่จริง” เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง