เมื่อคนไร้เสียงลุกขึ้นมาส่งเสียงจากการทำงานแสวงหาความจริงร่วม ในงาน Trusted Media Summit APAC 2022

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 Google News Initiative ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ จัดการประชุม Trusted Media Summit APAC 2022 ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเจตจำนงในการรวมตัวของคนทำงานด้านสื่อ เพื่อค้นหาแนวทางและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ข่าวออกไป และทำให้ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย โดยอีกช่วงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือช่วง Voice of the Voiceless: เสียงสะท้อนจากภาคสังคมในการแสวงหาความจริงร่วม ซึ่งเป็นการรวมพลังเสียงของภาคประชาสังคมและคนที่ไม่ได้มีโอกาสเปล่งเสียง ให้มีพื้นที่เพื่อส่งเสียงไปยังสื่อมวลชน นักการศึกษา และนักวิชาการให้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสื่อสารประเด็นอื่นๆ มากขึ้น

เริ่มต้นด้วย กมล หอมกลิ่น – อีสานโคแฟค เริ่มต้นกล่าวว่า เสียงของคนไร้เสียงมีอยู่จริง แต่เราพยายามที่จะสร้างผู้บริโภคที่รู้เท่าทันสื่อและเป็นนักสื่อสารไปพร้อมๆ กันได้ เราเจ็บปวดเหลือเกินเวลาที่ไปตามชุมชนต่างๆ เห็นผู้สูงวัยใช้โทรศัพท์มือถือเล่นไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ของเขา และจากที่เขาเคยเชื่อรัฐบาลในวันนั้น วันนี้เขาเชื่อโทรศัพท์มือถือ แต่เขาก็โดนหลอกอยู่ดี ผมคิดว่าวันนี้ถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาร่วมกันทำงาน มันเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นไม่น้อยกว่าการเมือง เพราะสื่อก็มีทั้งข่าวลวง และการหลอกหลวง นั่นคือความจำเป็นที่เราต้องออกมาทำงาน ย้ำว่าทุกคนจงเชื่อว่าเราสามารถดึงคนที่ไร้เสียงขึ้นมาเป็นผู้บริโภคได้ในที่สุด

เชลศ ธำรงฐิติกุล – ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหนองหญ้าไซ กล่าวว่า ชุมชนของตนเองนั้นทำวิทยุชุมชนในกลุ่มประเภทไม่แสวงหาผลกำไร เน้นการทำวิทยุเพื่อเข้าถึงชุมชนและสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ควรรับทราบให้ประชาชนในพื้นที่ สิ่งสำคัญในการทำวิทยุคือการส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันในทุกๆ เรื่อง โดยการสร้างคุณค่าให้กับสื่อนั้นใช้เวลามามากกว่า 19 ปี เราใช้เครื่องมือวิทยุชุมชนในการส่งเสริมให้ประชาชนออกมาตรวจสอบข่าวลวง เพื่อปกป้องตนเองและครอบครัว รวมถึงการใช้ประเพณีในการส่งเสริมและหนุนเสริมร่วมกันสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงสื่อใหม่ ยิ่งเราสามารถสร้างและทำหน้าที่สื่อชุมชนอย่างเข้มแข็ง ก็จะยิ่งได้รับความร่วมมือมากขึ้นเท่านั้น

มะรูฟ เจะบือราเฮง – Digital4Peace (Deep South Cofact) กล่าวว่า ความรุนแรงในสังคมแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือความรุนแรงโดยตรง ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง และความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม เราในฐานะของคนทำสื่อจะทำอย่างไรที่ทำให้เขามีพลังในการออกไปใช้ชีวิตและไม่ต้องพบเจอกับความรุนแรงทั้ง 3 ประเภทได้ เช่น การที่ประชาชนสามารถใช้เครื่องมือในการแบ่งปันสื่อ และสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นได้ด้วยมือของเขาเอง ซึ่งการสร้างสรรค์สื่อให้ทรงพลังไม่ได้เกิดได้แค่คนเดียว แต่เกิดขึ้นจากหลากหลายพลังร่วมกัน

กฤษณเดช โสรส – สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย จังหวัดเลย กล่าวต่อว่า เรามีความเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุถ้าเขาได้รับการเรียนรู้ที่ดี และในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลอกหลวงในเรื่องสุขภาพเช่นเดียวกัน โดยผมและภาคีเครือข่ายและ สสส. ได้ริเริ่มการจัดหลักสูตร “สูงวัยเท่าทันสื่อ” เพื่อวิเคราะห์สื่อและสร้างการรู้เท่าทันสื่อ โดยได้กลั่นออกมาเป็น 3 ข้อที่เป็นคาถาป้องกันข่าวลวง คือจำเป็นไหมในการนำเสนอ หาข้อมูลมาประกอบการู้เท่าทัน และเดือดร้อนใครไหมในการนำเสนอข่าว โดยจากการอบรมนี้จะส่งผลทำให้เกิดการเฝ้าระวังสื่ออย่างน้อย 20 จังหวัดๆ ละ 20 คน รวมกันประมาณ 400 คน

อิงฟ้า ชัยยุทธศุภกุล – ผู้แทน Girls in Tech Detecthron กล่าวว่า สื่อในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าสมัยก่อน แต่ด้วยความที่ง่าย เราก็ต้องระมัดระวังในการค้นหาข้อมูลมากขึ้นเหมือนกัน ซึ่งเราในฐานะผู้เสพสื่อก็ต้องใช้วิจารณญาณในการเสพสื่อเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ข่าวลุงพลที่สื่อมีการกระพือในการนำเสนอจนหลุดจากต้นทางที่ควรนำเสนอ สิ่งนี่เองทำให้ตนเองรู้สึกว่าสื่อไม่ได้มีความซื่อตรงขนาดนั้น กลับกันตนเองยังตั้งคำถามว่าจริยธรรมสำคัญอย่างไรในวันที่เรตติ้งก็สำคัญเช่นกัน

พระมหานภันต์ สนติภทโท – มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวปิดท้ายในงานว่า เราเวลาทำเรื่องดีๆ สื่อมักจะไม่สนใจ และพอเราไม่ระวังเรื่องสันติภาพกับเสรีภาพ ก็อาจจะส่งผลต่อการนำเสนอข้อมูลข่าวสารได้ ฉะนั้น Trusted Media ในความหมายที่แท้จริงคือมันไม่มีอยู่จริง เพราะมันสร้างปัญหาจากการที่เรามัวแต่สนใจว่าแบรนด์ไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน วันนี้เรามีแต่ Trusted Mindset คือตั้งหลักก่อนที่จะเชื่อมั่นอะไรก็ตาม ใช้หลักกาลามสูตร 10 ประการในการรู้เท่าทันตนเองและสื่อได้ แน่นอนว่าทุกท่านสามารถช่วยกันได้ในการสร้างสันติภาพและการรู้เท่าทันสื่อให้ได้


มอง3ข้อมูลผิดปรกติในสังคมไทย‘สุขภาพ-การเมือง-อาชญากรรมไซเบอร์’ผลร้ายมีมากแต่จัดการไม่ง่าย

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

21 ก.ย. 2565 วิทยากรจากสถาบันพระปกเกล้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมสรุปประเด็น “ข้อมูลผิดปรกติ (Information Disorder) ในสังคมไทย” ในเวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI) ที่ชั้น 6 อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค สุขุมวิท 101/1 ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ


ญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา คนไทยเผชิญกับปัญหาข่าวลวง (Fake News) อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีคำ 2 คำเดินทางมาพร้อมกัน คือ Pandemic ที่แปลว่าโรคระบาด กับ Infodemic ที่หมายถึงการระบาดของข่าวลวง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นช่วงวิกฤติของการสื่อสาร และเน้นย้ำความสำคัญของการเปิดพื้นที่เพื่อค้นหาข้อมูลร่วมของสังคม


ซึ่งความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นทักษะที่จะช่วยให้คนไทยมีชีวิตแบบมีสุขภาวะ รอดพ้นภยันตรายจากข้อมูลลวงด้านสุขภาพ โดยองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีตั้งแต่การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์และประเมินสื่อ สามารถตัดสินใจจัดการกับตนเองในเรื่องของสุขภาพ ตลอดจนการเท่าทันสื่อและสื่อสารข้อมูล ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ที่มีหลักคิดว่า ต้องไม่เชื่อไว้ก่อนจนกว่าจะหาข้อมูลมายืนยันได้ว่าเรื่องนั้นถูกต้อง


ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีข่าวลวงด้านสุขภาพเกิดขึ้นหลายประเด็น เช่น โควิด-19 วัคซีน ฟ้าทะเลายโจรและสมุนไพรรักษาโรค กัญชา รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งมีทั้งข่าวลวง (Fake News) และข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) โดยมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น การสื่อสารในพื้นที่ปิด ปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) วัฒนธรรมเกรงใจไม่กล้าเตือนกัน ไปจนถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencer) เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เสียเอง


อนึ่ง สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น เคยสรุปข้อค้นพบเกี่ยวกับข่าวลวงด้านสุขภาพในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า แม้จะมีความถี่ของข่าวลวงมากในแพลตฟอร์มเปิดเป็นสาธารณะ แต่เจ้าของแพลตฟอร์มก็พยายามใช้อัลกอรึทึมเพื่อปิดกั้นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ที่น่าห่วงคือในกลุ่มปิด เช่น กลุ่มไลน์ กลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งมีข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนอย่างสูง เนื่องจากเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบ ส่วนผู้เผยแพร่ข่าวลวงก็มีตั้งแต่พวกทำเพราะสนุก พวกที่หวังผลทางธุรกิจบ้างการเมืองบ้าง หรือพวกแอบอ้างว่าเป็นคนวงใน

ประเด็นข่าวลวงที่ต้องระวังคือเรื่องที่อาจสร้างความแตกแยกในสังคม เช่น โรคฝีดาษลิงกับกลุ่มชายรักชาย วัคซีนโควิด-19 กับศาสนา ข่าวลวงยังมีแนวโน้มเผยแพร่แบบข้ามพรมแดน มีการแปลจากภาษาหนึ่งไปเป็นภาษาอื่นๆ สุดท้ายคือการมีพื้นที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแสวงหาความจริงร่วม แต่มีความท้าทายคือ บางอย่างก็ไมได้เป็นเท็จหรือจริงทั้งหมด โดยเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน เช่น การรักษาโรคด้วยสมุนไพร หากภาครัฐไปบอกว่าเป็นข่าวลวงโดยไม่ระมัดระวัง อาจผลักให้ประชาชนไปสู่การเชื่อในโฆษณาชวนเชื่อได้

“ทางออกในการแก้ข้อมูลผิดปรกติในสังคมไทย รัฐต้องสนับสนุนให้เกิดระบบข้อมูลที่เป็น Open Data (ข้อมูลเปิด) ควบคู่ไปกับการสร้างแพลตฟอร์ม เรียกว่าการสนับสนุนของแพลตฟอร์มในการสร้างแพลตฟอร์มที่มีอัลกอริทึมที่จะช่วยบล็อกข้อมูลข่าวลวงต่างๆ รวมถึงการที่สื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อจะทำหน้าที่ในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบข้อมูลแล้วก็เป็นที่พึ่งของสังคม และสร้าง Solution (แนวทางแก้ไขปัญหา) ให้กับสังคมได้ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของประชาชน ให้เป็นประชาชนที่เป็นพลเมืองดิจิทัล ช่วยกันตรวจสอบข้อมูล และสร้างวัฒนธรรทในการตรวจสอบข้อมูลร่วม เพื่อที่จะนำไปสู่สังคมแห่งปัญญาและสังคมแห่งสุขภาวะ” ญาณี กล่าว


สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง (Political Disinformation) หนึ่งในกรณีอื้อฉาวคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ครั้งล่าสุด มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทรัมป์เป็นฝ่ายแพ้ ทำให้ในวันที่ โจ ไบเดน ผู้ชนะเลือกตั้ง ปธน. ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดดังกล่าว ประกอบพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ก็เกิดเหตุจลาจลขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา


การบิดเบือนข้อมูลกับการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่พบได้ปกติมาก เช่น ในช่วงเลือกตั้งที่พบการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งกับการโอ้อวดตนเองเกินจริง แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังสามารถถูกควบคุมได้โดยกฎหมาย ที่น่าห่วงกว่าคือการที่ข้อมูลชุดเดียวกันแต่มองได้หลายมุม และไม่สามารถฟันธงได้ว่าบิดเบือนหรือไม่ เช่น เมื่อพูดถึวอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร จะมีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี กับฝ่ายที่บอกว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายประชานิยมและมีผลประโยชน์ทับซ้อน


หรือเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 ก็มีทั้งฝ่ายสนับสนุนที่นำดอกไม้ไปให้ทหาร และฝ่ายต่อต้านที่ถึงขั้นขับรถแท็กซี่ชนกับรถถัง มาจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ กับเหตุการณ์ยุบพรรคอนาคตใหม่ นำมาซึ่งการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักเรียน-นักศึกษา ครั้งนี้ประเด็นข้อมูลค่อนข้างอ่อนไหวกว่าครั้งก่อนๆ เพราะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่น ซึ่งคนเราจะเติบโตมากับชุดความรู้หนึ่ง และเมื่ออายุมากขึ้นชุดความรู้นั้นก็กลายเป็นความเชื่อและเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคนอีกรุ่นหนึ่งที่ตีความอะไรใหม่ๆ แตกต่างไปจากเดิม


“ปัญหาของข้อมูลที่ไปใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง คือเราใช้คำว่าการตีความกฎหมาย จริงๆ ปกติการตีความกฎหมายน่าจะเป็นทางออกให้กับข้อมูลที่มันหลากหลายชุดความคิด หลากหลายการตีความ ให้มันได้ความจริงเพียงหนึ่งเดียวและเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบันท่านก็จะเห็น กฎหมายอะไรก็ไม่รู้ เรื่องแค่ว่า 8 ปีหรือไม่ 8 ปี อธิบายกันได้อย่างน้อยๆ 3 แบบ 3 ทาง ซึ่งจริงๆ อาจจะ 4 หรือ 5 ว่ามันครบ 8 ปีเมื่อไร


แล้วบทสรุปของมันอาจจะกลายเป็นว่า การตีความจนเป็นคำตอบมันอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับก็ได้นะ แต่มันน่ากลัวตรงที่มันมีสภาพบังคับทุกองค์กร ไม่มีใครล่วงละเมิดได้ อันนี้น่ากลัว มันเป็นชุดความจริงที่ใช้เครื่องมือที่ชอบธรรมมากในทางการเมือง มาจัดการให้มันถูกต้องชอบธรรมโดยที่มันไมได้รับความชอบธรรมทางสังคม” ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า นับตั้งแต่การก่อตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค เรื่องที่ได้รับร้องเรียนอยู่บ่อยครั้งคือการถูกหลอกขายสินค้าทางออนไลน์ หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชั่นหลอกลวงก็ยังเข้าไปอยู่ในสโตร์ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งประชาชนไม่สามารถไว้วางใจแพลตฟอร์ม และหากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยังเห็นแก่เม็ดเงินโฆษณาของคนเหล่านี้ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้


นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังมีการพัฒนากลยุทธ์ในการหลอกลวง ตั้งแต่การหลอกให้กดลิงค์ต่างๆ ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อมิจฉาชีพก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินได้ หรือมีแม้กระทั่งมิจฉาชีพรู้ว่าผู้สูงอายุรายหนึ่งมีเงินเก็บจำนวนมาก ก็ทำทีลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนให้ใช้แทนโทรศัพท์แบบปุ่มกด แถมยังสอนการใช้แอปพลิเคชั่นธุรกรรมการเงินอีก แต่ผู้สูงอายุรายนี้ไม่รู้เลยว่า มือถือสมาร์ทโฟนที่ได้มาใช้นั้นฝังโปรแกรมที่สามารถมองเห็นและควบคุมเครื่องจากระยะไกลไว้ มารู้อีกทีก็ถูกถอนเงินไปเกลี้ยงบัญชีแล้ว เป็นต้น


โดยข้อมูลจาก ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Thai Police Online-สอท.) ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.-11 ก.ย. 2565 พบว่า มีการแจ้งความออนไลน์กันกว่า 8 หมื่นเรื่อง โดยมีการหลอกลวงให้ทำงาน และหลอกลวงให้กู้เงินมาเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะเรื่องการหลอกลวงให้กู้เงินแต่เหยื่อนอกจากจะไม่ได้เงินแถมยังเสียเงินเพิ่มไปอีก ซึ่งมิจฉาชีพอ้างว่าอนุมัติเงินกู้แล้วแต่ต้องจ่ายค่าดำเนินการบางอย่าง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะโอนให้ 500 บาทบ้าง 1,000 บาทบ้าง จนบางรายเสียหายไปเป็นหลักหมื่นบาท
และการจะอายัดเงินให้ทันก่อนที่มิจฉาชีพจะโอนย้ายถ่ายเทไปหมดนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก ดังข้อมูลจากทางตำรวจที่ระบุว่า ยอดเงินที่ขออายัดมีรวมกันมากกว่า 3 พันล้านบาท แต่อายัดได้ทันจริงๆ เพียงร้อยละ 7.6 ของจำนวนเงินดังกล่าว อนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามทำความร่วมมือกันระหว่างตำรวจกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อนำรายชื่อบัญชีที่ถูกอายัดเนื่องจากมีพฤติกรรมเป็นมิจฉาชีพออกมาเปิดเผย


“ทุกวันนี้โจรมันพัฒนาเป็นดิจิทัลไปหมดแล้ว มีการอัพเลเวลในการที่จะโกงต่างๆ แต่ระบบราชการ กว่าจะไปแจ้งความได้ ไปท้องที่ที่เกิดเหตุ เสร็จปุ๊บท้องที่บอกว่ามันเป็นงานออนไลน์ ต้องไปที่ สอท. ผู้เสียหายก็ไปที่ สอท. แจ้งความเรียบเร้อยเสร็จ ด้วยความเข้าใจว่าเราถูกหลอกลวงเงินก็อยากจะได้เงิน จะเอาใบแจ้งความไปอายัดบัญชี ก็กลับไปที่ สน.อีก บอกว่าคุณไม่ได้แจ้งความที่นี่” ภัทรกร กล่าว


-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2565

เครื่องปรุงรสลดโซเดียมดีต่อผู้ป่วยโรคไต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mn19wkr0kfrf


สารซักฟอกในสบู่เหลว ถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน จะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rhqk4us84es2


ดื่มเหล้าติดต่อกัน 7 วัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และหากดื่มขณะตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1guegswugmq6c


“มิจฉาชีพ” ปลอมเสียง ปลอมแชต ปลอมคลิป “ดีอีเอส” เผยมีผู้เสียหายแล้วหลายราย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2w49kxp3uwh8d


6 สัญญาณอันตรายที่อาจบอกได้ว่าเราเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pk3x574g2s5j


อาการตาล้าอาจมีความรุนแรงมากขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hu22ixyou8w2


เปิดแอปฯ Totale Telemed ให้บริการตรวจรักษาโควิด 19 ทุกสิทธิ์รักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1a8tur3jijrxl


ซื้อรถ EV ได้ส่วนลด 5-8 แสน รัฐอัดฉีด 4 หมื่นล้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i4lid7sr489l


6 อิริยาบถอันตราย ที่ผู้สูงวัยต้องระวัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/21v61crkhtgyf


9 นักข่าว – นักวิชาการ ร่วมแบ่งปันไอเดียพัฒนาวงการสื่อผ่านงาน Trusted Media Summit APAC 2022

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 Google News Initiative ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ จัดการประชุม Trusted Media Summit APAC 2022 ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเจตจำนงในการรวมตัวของคนทำงานด้านสื่อ เพื่อค้นหาแนวทางและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ข่าวออกไป และทำให้ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในช่วงที่น่าสนใจคือช่วง Lighting Talk เป็นช่วงที่นำเสนอผลงานหรือผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือของสื่อ ผ่านกองบรรณาธิการข่าว นักวิชาการสื่อ และนักข่าว

เริ่มต้นจาก พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ซึ่งมาแบ่งปันการทำงานของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ โดยการทำงานเริ่มต้นจากการทำงานแบบ “เนรมิต” ตั้งแต่การตั้งศูนย์ขึ้นมาตรวจสอบข่าวลวง และทำให้เกิดเนรมิตต่อๆ มา เช่น การปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ การเปิดช่องทางให้คนเข้ามาถามตอบ การเพิ่มการทำอินโฟกราฟิก การปรับรูปแบบการทำวีดิโอ และการทำงานร่วมกัน ซึ่งความสำคัญในการทำงานไม่ใช่แค่ทำคอนเทนต์ แต่กลับเป็นการปูการศึกษาเพื่อทำให้ทุกคนสามารถรู้เท่าทันสื่อได้

คนต่อมาคือ ธนกร วงษ์ปัญญา – บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard ซึ่งได้มาแบ่งปันเรื่องราวการเป็นนักข่าวของตนเอง โดยเริ่มจากการได้ทำงานที่มติชนในสายงานการเมือง จนกระทั่งเห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อมากมาย ทำให้ต้องปรับตัวและพัฒนางานข่าวมากขึ้น แน่นอน สิ่งหนึ่งที่ค้นหาพบก็คือความน่าเชื่อถือ ซึ่งในบางครั้งเราอาจจะต้องไปพบเจอเพื่อนๆ ที่เป็นแหล่งข่าว ตรงนี้เราก็ต้องมีเส้นกั้นระหว่างความเป็นเพื่อนและความเป็นแหล่งข่าว เพื่อหาตรงกลางของข้อมูลโดยไม่มีอคติ แต่เหนือจากความสนิทนั้นความยากมากที่สุดก็คือความท้าทายที่เกิดจากภาครัฐ ซึ่งท้ายที่สุดเราในฐานะสื่อมวลชนก็ควรที่จะเป็นกระบอกเสียง เพราะประชาชนเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมากพอ เราในฐานะสื่อมวลชนก็ควรที่จะเป็นตัวแทนประชาชนในการส่งเสียที่ดังกว่าออกไปให้ได้มากที่สุด

ชัยวัฒน์ จันทิมา – บรรณาธิการพะเยาทีวี กล่าวต่อในเรื่องการผลักดันของสื่อชุมชนว่า สื่อชุมชนมีหน้าที่ในการกระจายข่าวให้กับชุมชน ซึ่งพะเยาทีวีเป็นพื้นที่ต้นแบบที่พยายามเป็นพื้นที่ตรงกลางในการแบ่งปันและพัฒนาเนื้อหาให้ตรงกับคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข่าวลวง โควิด-19 แม้กระทั่งการนำเสนอประเด็นในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเด็กไร้สัญชาติที่สามารถผลักดันสวัสดิการได้ เป็นต้น แน่นอนว่าการมีสื่อในพื้นที่เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาทั้งคน ความรู้ และสื่อในการร่วมบูรณาการไปร่วมกัน

ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงการพัฒนาโครงการ “เยาวชน การเมือง ข่าวปลอม” ว่าการพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการสนใจของตนเองต่อการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ จึงได้เริ่มตั้งแต่ศึกษาความต้องการของคนรุ่นใหม่ ซึ่งพบว่าข่าวบันเทิงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ผู้คนสนใจ ในขณะที่ข่าวการเมืองตกไปอยู่อันดับที่ 3 นั่นหมายถึงคนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่ไม่ได้ติดตามข่าวการเมืองเป็นหลักนั่นเอง และจากการทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ได้เรียนรู้ว่าคนรุ่นใหม่ก็ต้องการพื้นที่ปลอดภัย และเขาก็ต้องการฟังแบบลึกๆ จริงๆ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม

ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุล อาจารย์ประจำคณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวถึงการสร้างสรรค์งานของโคแฟคว่า ในปัจจุบันโคแฟคแสงเหนือ (ภาคีเครือข่ายโคแฟคภาคเหนือ) ได้ขยายการรับรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วม Hackathon ด้านการตรวจสอบข่าวลวง และสร้างทีมกองบรรณาธิการโคแฟคขึ้นมา ซึ่งการพัฒนางานเน้นความเข้าใจภายใต้ 3 เป้าหมาย คือ เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวงในภูมิภาค เชื่อมโยงกลุ่มเยาวชนและผู้คนต่างวัย ขยายฐานข้อมูลของโคแฟคให้มีเนื้อหาข่าวลวงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคมากขึ้น และพัฒนาทักษะการตรวจสอบข้อมูลให้กับเครือข่ายภาคพลเมืองให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ จนส่งผลให้โคแฟคสามารถขยายได้หลากหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นคือ TikTok ที่ร่วมผลิตโครงการ #โปรดใช้วิจารณญาณในการไถฟีด จนมีผู้เข้าถึงมากกว่า 1.2 พันล้านครั้ง

หลังจากนั้นในช่วงที่ 2 ของ Lightning Talk เริ่มต้นด้วย อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ – รองประธานกรรมการบริหาร เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) กล่าวถึงการสร้างความเชื่อมั่นของกลุ่มเนชั่นว่า ในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างนั้น เนชั่นประสบปัญหาความน่าเชื่อถือ เนื่องจากการปล่อยให้ผู้ประกาศข่าวอยู่เหนือกองบรรณาธิการ ทำให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นจนกระทบไปถึงการหารายได้ สิ่งที่เนชั่นทำคือการปรับโครงสร้างใหม่ในการทำงาน โดยให้ความสำคัญกับระบบกองบรรณาธิการมากขึ้น จนสามารถนำเนชั่นกลับคืนสู่ผิวโลกได้ในที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวในการกอบกู้ความน่าเชื่อถือกลับมา

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย – ผู้ก่อตั้ง The Reporters กล่าวถึงการสร้างตัวตนและความน่าเชื่อถือว่า ความเป็นตัวเองนั้นเกิดขึ้นจากการทำข่าวและลงพื้นที่อย่างหนัก ทำให้เวลาที่เกิดปัญหาต่างๆ คนมักจะเชื่อถือข่าว 3 มิติอยู่เสมอๆ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดในสถานีโทรทัศน์ ทำให้เราต้องหาแนวทางการนำเสนอเพิ่มเติม และเรามีความตั้งใจอยากได้สนามข่าวสำหรับการเล่าเหตุการณ์สดจากพื้นที่ จึงทำให้เกิดเพจ The Reporters เพื่อให้นักข่าวที่ลงพื้นที่สามารถได้รับข้อเท็จจริงแบบปฐมภูมิในพื้นที่จริง ซึ่งตอบสนองความตั้งใจของตนเองที่อยากให้ The Reporters ไม่ใช่ฐปณีย์ แต่เป็นของนักข่าวในพื้นที่ทุกคนที่รายงานสดจากพื้นที่จริง และทุกคนก็เป็นนักข่าวได้เช่นกัน

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล – อาจารย์ประจำคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงการระบาดทางข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ปัญหาสำคัญในช่วงโควิด-19 คือการแพร่ระบาดของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และข้อมูลที่รับมีความล้นทะลักจนทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ไม่สามารถเลือกประเมินข้อมูลได้ เกิดความวิตกกังวลและเลือกเชื่อข้อมูลที่ผิด จนทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ปฏิเสธที่จะรับข้อมูล และส่งผลทำให้เกิดการเกลียดกลัว แบ่งแยกกันในสังคม ซึ่งพอแกะต้นตอของปัญหาก็ทำให้พบว่ามีปัญหาภายในที่ซ่อนอยู่ 

โสภิต หวังวิวัฒนา – ผู้จัดการ ThaiPBS Podcast กล่าวถึงการพัฒนาสื่อเสียงของ ThaiPBS Podcast ว่า ก่อนหน้านี้ไทยพีบีเอสต้องเผชิญกับปัญหาการไม่มีคลื่นวิทยุออกอากาศ เนื่องจากการมาของ ThaiPBS อยู่ในช่วงรอยต่อการปฏิรูปของ กสทช. ทำให้ไม่สามารถจัดสรรคลื่นวิทยุให้ได้ หลังจากนั้น ThaiPBS จึงเห็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาสื่อเสียง จึงต่อยอดเป็น ThaiPBS Podcast ซึ่งมีรายการในปัจจุบันกว่า 8 หมวดหมู่ 40 รายการ ซึ่งเราได้ใช้ข้อจำกัดจากการที่เราเกิดใหม่ในการสร้างสรรค์รายการที่แปลกใหม่ เพื่อทำให้ตรงโจทย์มากที่สุด ไทยพีบีเอสเน้นการสร้างจินตนาการและบรรยากาศให้กับคนฟังให้ได้มากที่สุด


Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact แถลงเปิดตัว Trusted Media Summit 2022

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact แถลงเปิดตัว Trusted Media Summit 2022

วันที่ 25 สิงหาคม 2565 Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact และภาคีเครือข่าย แถลงข่าวงาน Trusted Media Summit 2022 Thailand Press Conference ซึ่งจะจัดในสถานที่จริงเป็นครั้งแรกในวันที่ 20-21 กันยายน 2565 หลังจัดงานแบบออนไลน์มากว่า 2 ปีจากสถานการณ์โควิด-19

งาน Trusted Media Summit เกิดขึ้นครั้งแรกปี 2561 จากความร่วมมือของ First Draft, the International Fact-Checking Networks at Poynter (IFCN) และ Google News Initiative โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุมชน Fact-Checker และเชื่อมร้อยกับผู้สื่อข่าว นักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย ตลอดจนภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร่วมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล การสร้างความตื่นรู้ในการรับรู้ข่าวสารและการวิจัยพฤติกรรมการรับข่าวสารในภูมิภาค การจัดงานจะมีทั้งรูปแบบออนไลน์และในสถานที่จริง ที่ Google Space ที่ True Digital Park กรุงเทพมหานครฯ

โปรแกรมงานดังกล่าวในวันที่ 20 กันยายน 2565 จะเป็นการพูดคุยภายในเวทีระดับภูมิภาค หนึ่งในผู้กล่าวปฐกถาได้แก่ มาเรีย เรสซา เจ้าของรางวัลโนเบิลสันติภาพปี 2564 และเอเลียต ฮิกกินส์ ผู้ก่อตั้ง Bellingcat ขณะที่การพูดคุยตลอดทั้งวันจะครอบคลุมเรื่อง การส่งต่อข้อมูลในภาพใหญ่ (Big Narrative) การตรวจเช็กล่วงหน้าเพื่อดักข้อมูลเท็จ (Pre-Bunking) การจับขั้วทางการเมือง (Polarization) บทบาทของเทคโนโลยี (Role of Technology) ความน่าเชื่อถือของสื่อ (Trust) การเบ่งบานของไมโครอินฟลูเอนเซอร์ การแสวงหาความร่วมมือ และใครควรเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking)

ด้านวันที่ 21 กันยายน 2565 จะเป็นเวทีที่ Co-fact จัดร่วมกับ Google News Initiative โดยเชิญปฐกถาจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นต้น ส่วนภาคบ่ายประกอบด้วยการเสวนาของ องค์กรวิชาชีพสื่อ และ สื่อท้องถิ่น ผู้เคลื่อนไหวในประเด็นต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยทอล์กจากสื่อสารมวลชนเพื่อขยายมุมมองสุขภาพข้อเท็จจริงในระบบนิเวศสื่อไทย

ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัว ยังมีการเสวนาในประเด็นการต่อสู้ข้อมูลเท็จ ทั้งในประเด็นสุขภาพ อาชญากรรมออนไลน์ และการปล่อยข้อมูลเท็จเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ร่วมพูดคุยโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ก่อตั้ง Co-fact ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ จาก Centre for Humanitarian Dialogue โดยมี ธนภณ เรามานะชัย จาก Google News Lab เป็นผู้ดำเนินรายการ


ขอบคุณที่มาข่าว workpointtoday

คนกรุงเทพฯไว้วางใจสื่อข่าวการเมืองในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.22 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน)

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Cofact Thailand: Trusted Media Survey Thailand 2022

21 กันยายน  2565

โคแฟค ประเทศไทยร่วมกับเครือข่ายฯได้จัดทำรายงานการสำรวจเชิงปริมาณเกี่ยวกับทัศนะคติ ความคิดเห็นและความไว้วางใจของคนกรุงเทพฯ ที่มีต่อสื่อมวลชนไทยในการรายงานข่าวการเมืองเป็นครั้งแรกพบว่า คนกรุงเทพฯไว้วางใจในกระบวนการและเทคนิคการทำข่าวและวิธีการนำเสนอข่าวมากที่สุด (3.42) และ ความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อน้อยที่สุด (2.91)

โดยมีค่าเฉลี่ยของความไว้วางใจโดยรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง และเรียงลำดับความไว้วางใจตามดัชนีชี้วัด 8 ตัวจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1. กระบวนการและเทคนิคการทำข่าวและวิธีการนำเสนอข่าว Methods (3.42) 2. ความเชี่ยวชาญของผู้สื่อข่าว Journalist expertise (3.38) 3. การสะท้อนเสียงที่หลากหลายในข่าว Diverse voices (3.36) 4. ความเข้าใจสถานการณ์/การลงพื้นที่และอ้างแหล่งข่าวที่รู้จริง Locally sourced (3.27) 5. การอ้างอิงข้อมูลและแหล่งที่มาของข่าว Reference (3.26) 6. การระบุประเภทของข่าว Labels (3.25) 7. การสะท้อนเสียงจากผู้บริโภคสื่อ Actionable feedback (3) และ 8. ความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมสื่อ Best practices (2.91) 

อย่างไรก็ตามดัชนีกระบวนการการทำข่าวที่ได้รับคะแนนความไว้วางใจสูงสุด ยังถือว่าอยู่ระดับปานกลาง ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเยาวชนเพศชายอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแนวโน้มที่จะมีทัศนะในเชิงบวกต่อการทำงานของสื่อฯ โดยมองว่าสื่อฯมีการพัฒนารูปแบบในการนำเสนอข่าว และรู้ที่มาที่ไปของข่าวที่นำเสนอ (ค่าเฉลี่ย 3.63และ3.23 ตามลำดับ)  แต่ในกลุ่มผู้หญิงอายุ 30 – 45 ปี และจบปริญญาตรีให้เหตุผลที่ไม่ไว้วางใจสื่อฯว่ารูปแบบการนำเสนอของสื่อยังซ้ำกัน คือ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ หรือสคริปต์ และไม่ระบุแหล่งที่มาของข่าวชัดเจน

ส่วนดัชนีความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อข่าวการเมืองที่ได้คะแนนความไว้วางใจน้อยที่สุด แยกย่อยเป็นคุณสมบัติดังนี้ นำเสนอข่าวด้วยความน่าเชื่อถือ (3.48) มีจริยธรรมในการนำเสนอข่าว (3.23) นำเสนอข่าวด้วยความถูกต้อง (3.17) ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนในเรื่องความซื่อตรงในการนำเสนอข่าว (2.85) ความมีอิสระในการนำเสนอข่าว (1.83) ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยให้เหตุผลว่า นำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวโดยเฉพาะจากฝ่ายรัฐบาล และ ถูกแทรกแซงจาก “ผู้อิทธิพลในสังคม”  เช่นนักการเมือง ผู้มีชื่อเสียง คนร่ำรวย กลัวผิดกฎหมายควบคุมการนำเสนอข่าว โดยกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 มีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในการทำงานของสื่อฯเกือบทุกคุณสมบัติ ส่วนกลุ่มตัวอย่างวัยทำงาน (20-45 ปี) ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีความคิดเห็นที่ตรงกันข้าม

สำหรับทัศนคติและความไว้วางใจด้านอื่นตามลำดับข้างต้น พบแนวโน้มเช่นเดียวกันคือกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในวัยทำงานและมีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีความไววางใจต่อสื่อมวลชนในการรายงานข่าวการเมืองน้อยกว่ากลุ่มเยาวชน นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือไว้วางใจในระดับต่ำ โดยรวมมาจากการที่สื่อฯยังนำเสนอข่าวตาม“กระแส” สร้างภาพ นำเสนอข่าวด้านเดียว ให้น้ำหนักกับรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพล แหล่งข่าวไม่หลากหลาย ใส่ความเห็นของตนเองมากเกินไป และขาดการคัดกรองตรวจสอบซึ่งส่งผลทำให้มีข้อมูลผิดพลาดหรือข้อมูลที่บิดเบือนในข่าว

จากการสำรวจความเห็นยังพบว่า เมื่อประชาชนนึกถึงสื่อมวลชน มักนึกถึงสื่อออนไลน์เป็นหลัก และมองภาพสื่อฯไปที่ตัวบุคคล เช่นผู้ประกาศข่าว หรือผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยม หรือบุคคลที่เป็นข่าวบ่อย หรืออยู่ในกระแสข่าว 

รายงานการสำรวจความเห็นข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงทัศนคติ ความคิดเห็นและความไว้วางใจของประชาชนไทยที่มีต่อ “สื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมือง” ผลที่ได้จากการวิจัยนี้จะสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงศักยภาพของ “สื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมือง” เพื่อสร้างบรรทัดฐาน “ความเป็นมืออาชีพ” และยกระดับมาตรฐานความไว้วางใจของสังคมต่อสื่อในอนาคต และเพื่อส่วนเสริมบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนในการลดทอนความขัดแย้งในสังคม โดยเป็นโครงการหนึ่งที่ทางโคแฟคจะทำงานร่วมกับเครือข่าย โดยเฉพาะสื่อมวลชนในอนาคตเพื่อต่อยอดการพัฒนาการศักยภาพสื่อ การรู้เท่าทันสื่อ เพื่อลดการแชร์ข่าวหรือข้อมูลผิดพลาดบิดเบือน และข้อมูลที่สร้างความเกลียดชัง ที่สร้างความแตกแยกและส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน 

ทั้งนี้ทางโคแฟคได้นำดัชนีชี้วัดความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน 8 ตัว The 8 Trust Indicators ที่สำนักข่าวมืออาชีพทั่วโลกใช้เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน ภายใต้โครงการ The Trust Project ที่ริเริ่มโดยกลุ่มสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกา มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำแบบสำรวจครั้งนี้ โดยกระบวนการทำงานเป็นการสำรวจความคิดเห็นเชิงปริมาณ มีการลงพื้นที่จริงระหว่างวันที่ 28-31 สิงหาคม เพื่อสัมภาษณ์ประชาชน 200 ตัวอย่าง ครอบคลุม 15 เขต ในกรุงเทพมหานคร แบ่งตามเพศในสัดส่วนที่เท่าๆกัน และครอบคลุม ช่วงอายุ สาขาอาชีพ และสถานะทางเศรษฐกิจ โดยเน้นกลุ่มคนที่มีอุปกรณ์สื่อสารอิเล็คทรอนิกส์ เช่นสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต เป็นตันและเป็นผู้สนใจและติดตามข้อมูลข่าวสาร บนแพลตฟอรม์ที่หลากหลาย และทางสื่อดั่งเดิมและสื่อออนไลน์อย่างน้อย3-4ครั้งต่อสัปดาห์

=======================

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 กันยายน 2565


น้ำต้มใบกระท่อม สามารถรักษาเบาหวานหายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tail5i01izo9


 เกิดเหตุ! กดลิงก์เว็บฯ อ้างเป็น “กรมสรรพากร” เงินหาย 1.4 ล้านบาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qfyz50e4mjg7


เจ้าหน้าที่ตรวจสอบถังผ้าป่า-ถังกฐิน วางเกลื่อนแยกบางพลู นนทบุรี หวั่นเป็นแก๊งเรี่ยไร

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/paois0mnhxem


เตือนอันตรายจากการย้อมผมบ่อยๆ อาจเกิดการกระตุ้นเส้นเลือดขาว ทำให้เกิดการแพ้ หรืออักเสบได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cpcqtfofeyf6


มีงานวิจัยผู้หญิงย้อมผมบ่อยเสี่ยงเกิดการเปลี่ยน DNA เป็นสาเหตุมะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27kkh89mqflwv


ชวนคิด! ฟื้นความเชื่อมั่นต่อสื่อยุคดิจิทัล  ในเวทีประชุมสุดยอดสื่อที่สังคมไว้ใจได้ (Trusted Media Summit Thailand 2022) 

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

3 องค์ปาฐก ชวนคิดเรื่อง การฟื้นความเชื่อมั่นต่อสื่อยุคดิจิทัล  ในเวทีประชุมสุดยอดสื่อที่สังคมไว้ใจได้ (Trusted Media Summit Thailand 2022) 

21 ก.ย. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI) เวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 ที่ชั้น 6 Academy Bangkok, Google Space กรุงเทพฯ โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน มีเสียงสะท้อนออกมาว่าไม่รู้จะเชื่อใครดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สื่อ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม (NGOs) ก็ดูไม่น่าเชื่อไปหมด

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 ปีก่อน เคยมีคนถามคำถามแบบเดียวกันนี้กับ ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน ซึ่ง ออเดรย์ ถัง ได้ให้ความเห็นไว้ว่า บางครั้งการเชื่ออย่างมืดบอดก็อันตรายกว่าการไม่เชื่อ (Sometimes blind trust is worse than no trust)” ดังนั้นแล้วการไม่เชื่อหรืออย่างเพิ่งเชื่อก็อาจได้ไม่เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะทำให้เกิดการฉุกคิดและตั้งคำถาม แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนช่วยหาคำตอบ ซึ่งคนที่ช่วยหาคำตอบให้ก็ควรจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ และนั่นก็ควรจะเป็นสื่อมวลชน

“นี่คือเจตนารมณ์ของเวที Trusted Media Summit ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง GNI แล้วก็ภาคีโคแฟค ซึ่งหมายความรวมทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ด้วย เพราะโคแฟคไม่ได้เป็นองค์กร แต่โคแฟคเป็นแนวคิด เป็นซอฟท์แวร์ เป็นแนวคิดในเรื่องของการหาความจริงร่วม หรือ Collaborative Fact-Checking แล้วก็เป็น Community ก็คือชุมชน ฉะนั้นภาคีโคแฟคประเทศไทย ก็หมายความรวมทุกท่าน ทุกองค์กร ที่มีแนวคิดตรงกันว่าจะมาคนหาความจริงร่วมกัน ในยุคดิจิทัลที่สับสนอลหม่าน” สุภิญญา กล่าว

ในงานนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านร่วมปาฐกกถา โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ทำไมต้องมีสื่อที่สังคมเชื่อใจได้ในโลกที่ไม่น่าไว้ใจ (Why trusted-media matters in a zero-trust world?)” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของคำว่า “ความไว้วางใจ (Trust)” เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เวลาเราจะทำมาค้าขายกับใครก็คงต้องเชื่อใจคนคนนั้น ซึ่งก็มีนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล 2 ท่าน มองความไว้วางใจเป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญ

โดย โรนัลด์ คอส นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ปี 1991 (พ.ศ.2534) เคยตั้งคำถามง่ายๆ แต่แหลมคมว่า ถ้าตลาดสำคัญมากแล้วทำไมเราต้องมีบริษัท? เวลาจะจ้างคนทำงานต่างๆ เหตุใดจึงไม่จ้างเป็นรายครั้งคราวไป?  ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว การทำธุรกรรมส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริษัทมากกว่าในตลาด และบทสรุปของคำถามข้างต้น โรนัลด์ คอส ได้ให้คำตอบไว้ว่า การมีบริษัทก็เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกรรม ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ลดต้นทุนนั้นก็คือความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เช่น คนทำงานอยู่ในองค์กรเดียวกัน ได้พบปะกันอย่างสม่ำเสมอ ความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้ง่าย หากเทียบกับการจ้างเป็นครั้งคราว วันนี้จ้างคนนี้ อีกวันจ้างอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็อาจต้องระแวงว่าคนที่จ้างมาไว้ใจได้หรือไม่ 

บล็อกเชนยังถูกนำไปใช้กับการซื้อ-ขายเพชร เพื่อการันตีว่าเพชรนั้นเป็นของจริง และไม่ใช่เพชรที่ได้มาจากกระบวนการทำเหมืองที่พัวพันการความรุนแรงหรือสงคราม (Blood Diamond) แต่ข้อจำกัดคือ บล็อกเชนเป็นเพียงเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูล ซึ่งในกรณีของเพชรนั้นหมายถึงข้อมูลใบรับรอง (Certification) และการจะออกใบรับรองก็ต้องมีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นทางนับจากการขุดเพชรขึ้นมาจากเหมือง การเจียระไน ฯลฯ กว่าจะมาถึงหน้าร้านขายเครื่องประดับ ตลอดจนตำหนิของเพชรแต่ละเม็ด การสร้างความไว้วางใจจึงต้องมีตลอดทุกขั้นตอนของกระบวนการ

ขณะที่ โอลิเวอร์ วิลเลียมสัน นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ปี 2009 (พ.ศ.2552)  ตั้งคำถามที่น่าสนใจ ทำไมบางบริษัทถึงทำธุรกิจร่วมกันบ่อยๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ค่ายรถยนต์แต่ละเจ้าก็จะมีบริษัทซัพพลายเออร์ที่ทำธุรกรรมร่วมกันเป็นประจำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์จะผลิตอะไหล่สำหรับใช้กับรถยนต์ ดังนั้นบริษัทที่เป็นค่ายรถยนต์ก็ต้องไว้วางใจซัพพลายเออร์ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายทำธุรกรรมร่วมกันบ่อยๆ จึงเกิดความสัมพันธ์ที่ไปไกลกว่าการเป็นคนละบริษัทแบบต่างคนต่างอยู่ แต่กลายมาเป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วมกัน 

ทั้งนี้ เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็เกิดความพยายามนำมาใช้เพื่อสร้างความไว้วางใจกันด้วย เช่น สกุลเงินดิจิทัลที่มีชื่อเสียงอย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin)” มีการนำเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain)” มาใช้ โดยใส่ข้อมูลลงไปซึ่งไม่สามารถลบได้ เพื่อการันตีว่าเงินบิตคอยน์ที่แต่ละคนใช้จ่ายซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการนั้นเป็นเงินจริงใช้แลกเปลี่ยนได้จริง วิธีคิดแบบนี้ก็คือ Zero Trust หรือการไม่เชื่อใจใคร เนื่องจากอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตอาจสุ่มเสี่ยงกับการถูกหลอกลวงปลอมแปลงได้ จึงนำบล็อกเชนที่ถูกมองว่าเป็นการสร้างความโปร่งใสแบบสุดขีดมาใช้

นอกจากนี้ สินค้าแต่ละชนิดก็ยังแตกต่างกัน เพชรอาจจะมีลักษณะเฉพาะคือแต่ละเม็ดมีตำหนิไม่เหมือนกันทำให้แยกแยะได้ง่ายและปลอมแปลงได้ยาก แต่หากเป็นยาหรือผลไม้จะทำอย่างไร หรือเรื่อที่สื่อนำเสนอข่าวนั้นข้อมูลที่มาตั้งแต่ต้นทางเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน การคิดแต่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสร้างความไว้วางใจ ยังเป็นการลงทุนที่สูงมากอีกทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เครือข่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในกระบวนการทำเหมืองดิจิทัลของสกุลเงินบิตคอยน์ ใช้ไฟฟ้ามากถึง 96 TWh ต่อปี มากกว่าการใช้ไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ทั้งประเทศ 

สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ในความเป็นจริง โลกไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ไม่สามารถเชื่อใจใครได้เลย และกระบวนการในการสร้างความไว้วางใจในสังคมก็ไม่ได้มีแต่การใช้เทคโนโลยีเพียงวิธีเดียว แต่ทำได้ผ่านกลไกทั้งของภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม แม้กระทั่งสื่อมวลชน ซึ่งมีผลการสำรวจในปี 2564 ของสถาบันพระปกเกล้า ว่าด้วยความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆ ในสังคมไทย พบว่า อันดับ 1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันดับ 2 โทรทัศน์ อันดับ 3 กองทัพ อันดับ 4 ตำรวจ อันดับ 5 หนังสือพิมพ์ อันดับ 6 วิทยุ ขณะที่พรรคการเมืองนั้นรั้งท้าย

ช้อมูลข้างต้นชี้ว่า แม้กระทั่งองค์กรที่ถูกมองว่าภาพลักษณ์ไม่ดีอย่างตำรวจหรือนักการเมือง เมื่อดูระดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ร้อยละ 70-80 ก็ยังถือว่าสูงอยู่ ขณะที่พรรคการเมืองแม้ความน่าเชื่อถือจะน้อย แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนกลับเชื่อถือมาก คำอธิบายสำคัญคือ สังคมมองว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นเข้าถึงได้ง่าย ได้พบเจอคนตัวเป็นๆ มีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้า (Face-to-Face Interaction) แตกต่างจากโลกออนไลน์ที่ข้อมูลต่างๆ ใครเป็นผู้นำเสนอก็ไม่รู้ ซึ่งนี่คือกลไกทางสังคมในการสร้างคามไว้วางใจระหว่างกัน 

ขณะที่การสร้างสื่อที่เชื่อถือได้ (Trusted Media) ก็เป็นสิ่งจำเป็น และทำได้หลายวิธี เช่น สื่อของรัฐที่ไม่อยู่ในระบบราชการอย่าง Thai PBS ซึ่งเป็นสื่อสาธารณะที่ออกแบบกลไกให้ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ หรือสื่อเอกชนเดิมๆ อย่างโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ก็ยังได้รับความเชื่อถืออยู่พอสมควร แม้กระทั่งโลกออนไลน์ที่ถูกมองว่าหาความน่าเชื่อถือไมได้ (Zero Trust) ก็ยังมีสื่อออนไลน์ที่น่าเชื่อถืออยู่ รวมถึงองค์กรอย่างโคแฟคที่ตรวจสอบข้อมูลจริง-เท็จ 

เราไม่ได้อยู่ในโลก Zero Trust โลกทั้งโลกเป็นโลกที่มี Trust พอสมควร วิธีการที่เราจะสร้าง Trust มันต้องตลอด Value Chain (ห่วงโซ่คุณค่า) ตั้งแต่การผลิต ก็คือผลิตเนื้อหาของสื่อ ไปจนถึงการสื่อสารต่อไป เทคโนโลยี อัลกอริทึม มันช่วยได้เพียงบางส่วน เช่น ตัวข้อมูลข่าวสารระหว่างส่งว่ามันไม่ถูกปลอม แต่ถ้าข่าวมันเป็นข่าวปลอมตั้งแต่ต้น อัลกอริทึมไม่สามารถช่วยได้ 

อย่างมากก็เป็นเครื่องมือเล็กๆ ในองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งยังต้องใช้มนุษย์ ยังต้องใช้ความเชื่อใจ และสังคมของเรามีกลไกในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะว่า Trust เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และมีวิธีการสร้าง Trust ได้ ไม่มี Trust แบบสมบูรณ์ 100% แต่โลกก็ไม่ใช่ Zero-Trust World” ประธาน TDRI กล่าว

พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ร่วมก่อตั้ง ZTRUS ปาฐกถาเรื่อง “เทคโนโลยีกับการเข้าถึงวารสารศาสตร์แห่งความจริง (Tech for Journalism: How to boost more accuracy?)” ฉายภาพเทคโนโลยีที่เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ซึ่งรวมถึงการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ตั้งแต่ Search Engine หรือ Web Crawling ที่ช่วยค้นหาข้อมูลและนำมาเปรียบเทีบบกัน , Robot & Drone ช่วยในการถ่ายภาพจากมุมใหม่ๆ ที่ในอดีตไม่สามารถทำได้

Fact Checking ปัจจุบันมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยตรวจสอบการปลอมแปลงคลิปวีดีโอ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อตรวจจับเทคโนโลยี Deep Fake หรือ AI ที่ทำคลิปวีดีโอปลอม ไปจนถึงตรวจสอบว่าบทความที่เผยแพร่มีการลอกเลียนผลงานอันเป็นการละมิด (Plagiarism) หรือไม่ , Robo-Reporting เทคโนโลยีที่ช่วยเรียบเรียงประเด็นเมื่อผู้สื่อข่าวต้องการเขียนบทความ เพื่อให้บทความที่ออกมาน่าสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจการสะกดคำผิด-ถูก เป็นต้น และเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ยังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่มีความแม่นยำ (Accuracy) 100%” ดังนั้นแล้วจึงกลับมาที่คำถามว่ามนุษย์จะยอมรับความไม่แม่นยำได้มาก-น้อยเพียงใด เช่น ในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รุนแรง นโยบายของประเทศไทยกำหนดว่าผู้ที่จะเข้าระบบการรักษาได้ต้องมีผลตรวจแบบ PCR ยืนยันว่าติดเชื้อเท่านั้น ผลตรวจแบบ ATK ไม่สามารถใช้ได้ เพราะมีความแม่นยำต่ำกว่า PCR 

แต่นโยบายแบบนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายคนเสียชีวิตเนื่องจากเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล กรณีนี้เป็นตัวอย่างของการรอความจริงที่แม่นยำที่สุดแต่ไมได้ช่วยในการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น หรือสมมติว่า วันหนึ่งมีผู้คิดค้นเครื่องมือที่พยากรณ์ได้ว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะมีอาคารหลังไหนเกิดเพลิงไหม้บ้าง โดยเครื่องมือนี้มีความแม่นยำร้อยละ 70 ซึ่งทั้งกรณีการตรวจโควิดแบบ ATK และเครื่องมือพยากรณ์ไฟไหม้ ต่างก็เป็นข้อมูลที่เป็นความจริง จึงต้องกลับมาที่มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีว่าต้องการผลลัพธ์อะไรจากความจริงที่เทคโนโลยีให้มา 

หรือการปล่อยให้เทคโนโลยีพัฒนาต่อไปจนเกินความเข้าใจของมนุษย์ เช่น AI ที่เล่นหมากล้อมไปเรื่อยๆ และร่วมกับ AI ที่แข่งหมากล้อมด้วยกัน เกิดพัฒนาเกมบางอย่างขึ้นมาเล่นกันเองโดยที่มนุษย์ไม่เข้าใจ หรือ AI ที่สร้างภาพหรือคลิปวีดีโอปลอม แข่งขันกับ AI ที่ตรวจสอบภาพหรือคลิปวีดีโอปลอม จนวันหนึ่งเกิดภาพหรือคลิปวีดีโอที่ปลอมได้อย่างแนบเนียนจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้ ในวันนั้นแม้มนุษย์จะถูกตัดออกจากวงจรการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี

นอกจากที่ AI จะเรียนรู้เนื้อหาของมนุษย์แล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ผลลัพธ์ที่มันให้เราด้วย เพราะตัว AI ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้น วันที่มันทำผิด มันคงไม่เสียใจแล้วบอกว่าอย่าปิดไฟผมเลย ผมกลัวคุณจะมาปิดไฟผม คนที่ถูกด่าคือคนที่เลือกผลตรงนี้มาสู่สังคม เลือกผลลัพธ์นี้มาสู่สื่ออีกที ฉะนั้น Human Oversight (การกำกับดูแลโดยมนุษย์) จึงเป็นแนวคิด เราคิดว่า AI ไม่ได้มาแทนมนุษย์ AI เข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์ และมนุษย์ยังต้อง Oversight (กำกับดูแล) AI เพื่อให้ AI พาตัวมันไปสู่จุดที่มันส่งผลลัพธ์กับเราในแบบที่เราต้องการ พณชิต กล่าว

ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ปาฐกถาหัวข้อ “การกำกับสื่อร่วมสมัยควรเป็นเช่นไร” โดยคำว่าสื่อร่วมสมัย หมายถึงปัจจุบันสื่อมีความหลากหลายสูง แต่ขณะเดียวกันก็มีความเหลื่อมซ้อนกันทั้งในแง่การทำเนื้อหาและแพลตฟอร์มในการเผยแพร่ ซึ่งการปาฐกถาครั้งนี้จะกล่าวถึง “สื่อโทรทัศน์” เพราะยังมีความเป็นสื่อร่วมสมัย แม้เป็นสื่อที่มีมานานแต่ปัจจุบันก็ยังมีคนหลากหลายช่วงวัยที่ดูโทรทัศน์อยู่

โทรทัศน์ยังเป็นสื่อที่สังคมไทยเปิดรับอย่างกว้างขวาง แม้ระยะหลังๆ จะเปลี่ยนแปลงการออกอากาศไปยังรูปแบบอื่นๆ เช่น สตรีมมิง (Streaming) ก็ตาม แต่โทรทัศน์ที่หมายถึงสื่อภาคพื้นดิน หรือทีวีดิจิทัล ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ก็ยังจัดเป็นสื่อหลักอยู่ โดย กสทช. มีอำนาจทางปกครองตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 ว่าด้วยเนื้อหาที่สื่อโทรทัศน์ห้ามนำเสนอ เช่น การล้มล้างการปกครอง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือลามกอนาจาร

อย่างไรก็ตาม กสทช. ไม่มีอำนาจเซ็นเซอร์เนื้อหาของสื่อ แต่เป็นการดำเนินการตรวจสอบ ตักเตือนและลงโทษตั้งแต่ปรับเงินไปจนถึงพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ หลังจากที่เนื้อหาถูกเผยแพร่ไปแล้วและมีผู้ร้องเรียนเข้ามา หรือมีกรรมการ กสทช. หยิบยกขึเนมาพิจารณา แต่ที่ผ่านมา กสทช. ก็ถูกตั้งคำถามว่ามีการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวมากเกินไป และบางครั้งก็มีกรณีสื่อฟ้อง กสทช. อีกทั้งยังชนะคดีด้วย เพราะการใช้อำนาจในครั้งนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาที่สื่อนำเสนอส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีอย่างไร

แต่นอกจากเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องผิดจริยธรรมสื่อด้วย ยังมีเนื้อหาที่ไม่ผิดกฎหมายแต่หมิ่นเหม่ในเชิงศีลธรรม และ กสทช. มักถูกตั้งคำถามเสมอว่าเหตุใดยังปล่อยให้เนื้อหาแบบนี้ออกอากาศอยู่ได้ เช่น รายการข่าวที่จากเดิมเป็นการอ่านข่าว ต่อมาเปลี่ยนเป็นการเล่าข่าว และปัจจุบันไปถึงขั้น ขยี้ข่าวซึ่งหากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหานั้นผิดกฎหมาย กสทช. ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะ กสทช. ก็ต้องทำตามกฎหมายเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง กสทช. ยังมีหน้าที่ส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพสื่อและการรวมกลุ่มขององค์กรสื่อ แต่ด้านนี้ กสทช. ยังทำค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับด้านการกำกับดูแล ทั้งนี้ กสทช. คาดหวังว่า สื่อซึ่งมีอยู่มากมาย ลำพังสื่อโทรทัศน์ก็มีทั้งทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม รวมถึงในอนาคตอาจมีทีวีชุมชนเกิดขึ้นอีก จะมีการกำกับดูแลกันเองภายใต้มาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งก็มีเสียงสะท้อนว่ากลไกองค์กรวิชาชีพสื่อไม่มีประสิทธิภาพแม้จะตั้งกันมานาน 

แต่เรื่องนี้ กสทช. ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะ กสทช. ใช้อำนาจทางปกครองมากเกินไป (Overused) บวกกับ กสทช. เป็นองค์กรที่มีทรัพยากรมากกว่าและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากกว่า สังคมจึงคาดหวังมาที่ กสทช. จึงเกิดภาวะที่เรียกว่า เมื่อกลไกกำกับดูแลของรัฐ (State-Regulation) กว้าง กลไกกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulation) จึงแคบ การเติบโตของการกำกับดูแลตนเองจึงเป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องทำให้มีประสิทธิภาพให้ได้ เพราะในสังคมประชาธิปไตยนั้นไม่อยากให้รัฐเข้าไปแทรกแซงการทำงานของสื่อ 

โดยที่ผ่านมา กสทช. มีการพูดคุยกับองค์กรวิชาชีพสื่อ ในแนวทางร่วมกันกำกับดูแลมากขึ้น (Co-Regulation) พยายามลดช่องว่างระหว่างกัน โดย กสทช. ก็ต้องไปดูด้วยว่าปัญหาขององค์กรสื่อหรือนักวิชาชีพสื่อคืออะไร เรื่องใดที่ไม่จำเป็นก็ลดการควบคุมลง เว้นแต่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ เช่น ความรุนแรง เพศ ภัยต่อเด็กและเยาวชน เป็นต้น อนึ่ง เคยมีคำถามกันภายใน กสทช. ว่า ควรเผยแพร่รายชื่อสื่อที่มีปัญหาในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารหรือไม่ แต่ก็มีอนุกรรมการบางท่านคัดค้านบอกว่าเกรงใจสื่อ จะไปประณามสื่อได้อย่างไร

ความท้าทายสำคัญอีกประการคือ สื่ออยู่ได้ด้วยระบบเรตติ้ง ยิ่งมีคนติดตามมากเม็ดเงินจากโฆษณาก็เข้ามาก นำมาสู่การเผยแพร่เนื้อหาที่หมิ่นเหม่ ซึ่งมีผู้ใช้คำว่าเนื้อหาแตกต่าง แต่แตกต่างในทางที่ดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดย กสทช. พยายามส่งเสริม ซึ่งที่ผ่านมาดำเนินการผ่านช่องทาง กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 

แต่เร็วๆ นี้ กสทช. จะมีการสร้างประกาศฉบับใหม่ ว่าด้วยการส่งเสริมเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 52 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการ กสทช. สามารถส่งเสริมรายการที่มีคุณภาพได้ ทั้งนี้ เมื่อดูตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ที่นั่นองค์กรกำกับดูแลของรัฐไม่ต้องทำอะไรมากนัก เพราะองค์กรวิชาชีพสื่อกำกับดูแลกันเองได้อย่างดีแล้ว และมีมาตรฐานสูงกว่าการกำกับดูแลโดยรัฐ เพราะการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมเป็นความภูมิใจของวิชาชีพ

“เราก็คงต้องกลับมาถามว่า สื่อไทยให้คำนิยามของคุณค่าผ่านเนื้อหาที่จะส่งไปสู่ประชาชนอย่างไร? ท้ายที่สุดองค์กรวิชาชีพสื่อที่บอกเป็นตัวแทน คุณบอกได้ไหมว่านิยามของคุณค่าสื่อคืออะไร? การสร้าง Trust ให้กับประชาชนเป็นความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติอย่างหนึ่งของวิชาชีพอยู่หรือไม่? กสทช. ก็พร้อมจะทำงานกำกับดูแลร่วมกัน อันนี้เป็นโมเดลที่เรามองไว้ แล้วก็น่าจะเป็นแบบที่ 1 คือเชื่อมโยงกันในแง่มาตรฐานจริยธรรม 

เพราะว่าถ้าเป็นแบบที่ 2 ที่เขาทำกันในสากล คือสร้างองค์กรกำกับดูแลขึ้นมาอีกอันหนึ่ง เรียกว่า Co-Regulator (องค์กรกำกับดูแลร่วม) ไปเอาผู้พิพากษามา เอาองค์กรภาคเอกชนมา แล้วมามีอำนาจ ให้อำนาจในการเป็น Co-Regulator แต่เราไม่อยากสร้างองค์กรเพิ่มมาแล้ว แต่เราจะสร้างกระบวนการอย่างไรที่มีการทำงานแบบระนาบเดียวกัน การทำงานแบบมีเป้าหมายเดียวกัน ลดช่องว่างระหว่างกัน แล้วก็เชื่อมโยงกันด้วยเรื่องของการ Enforce  (บังคับใช้) มาตรฐานจริยธรรม ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

จาก ‘HIV’ถึง ‘โควิด’และ“ฝีดาษลิง’ มองอดีตถึงปัจจุบัน‘สื่อสารไม่ตีตรา’สำคัญอย่างไรกับการรับมือโรคระบาด?

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Think-Piece by Digital Thinkers
บทความนักคิดดิจิตอล
โดย Windwalk_Jupiter

โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อที่แพร่ผ่านผิวหนังสู่ผิวหนังบริเวณที่มีรอยถลอก (เนื้อเสียดสีเนื้อจนเกิดบาดแผล) จากสารคัดหลั่ง ของเหลว และวัสดุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส (เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว) เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือบาดแผล รวมทั้งสามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุต่างๆ เช่นเยื่อบุในปาก เยื่อบุโพรงจมูก เยื่อบุดวงตา เยื่อบุช่องคลอด เยื่อบุทวารหนัก ฯลฯ ไวรัสฝีดาษลิงขณะนี้มีการแพร่ระบาดคล้ายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted diseases; STD) แต่ไม่ใช่โรค STD เพราะพบการติดต่อในเด็กเล็ก ผู้ชาย และ ผู้หญิง โดยการสัมผัสซึ่งมิใช่การมีเพศสัมพันธ์ ได้เช่นกัน 

โรคฝีดาษลิงไม่ใช่โรคของเกย์ (gay) หรือ ชายรักชาย (Men who have sex with men; MSM) เพราะในแอฟริกาซึ่งโรคฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ติดจากการสัมผัสกับสัตว์ ถูกสัตว์กัด ข่วน รับประทานเนื้อสัตว์ป่าปรุงไม่สุก ไม่ใช่ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ การระบาดของฝีดาษลิงในปี 2022 นอกทวีปแอฟริกา เริ่มต้นจากงานชุมนุมกลุ่มชายรักชายเป็นกลุ่มแรกและพบผู้ติดเชื้อมากกว่ากลุ่มอื่นทำให้อาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคของชายรักชาย

การเหมารวมว่าโรคฝีดาษลิงเป็นโรคของชายรักชายอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าบาดแผลทางสังคม หรือ social stigma ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมโรค ชุมชนอื่นเช่น ชุมชนรักต่างเพศ (heterosexual) และชุมชนเด็กจะคิดว่าตนเองปลอดภัยจนการ์ดตก และเป็นผลลบกับกลุ่มชายรักชาย หรือ LGBTQ+ โดยรวม ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนจากกรณีของโควิด-19 คือการกล่าวว่าชาวจีนเป็นผู้แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้เกิดการเกลียดชังและทำร้ายคนเอเชียในอเมริกาและยุโรปเป็นต้น

คำอธิบายจาก ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจของศูนย์ฯ “Center for Medical Genomics” เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2565 ให้ความรู้เกี่ยวกับช่องทางการติดต่อของโรค ฝีดาษลิง (Monkeypox)” ซึ่งเป็นเวลา 1 วันหลังจาก กรมควบคุมโรค แถลงข่าวพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง (หรือฝีดาษวานร) รายที่ 2 ในประเทศไทย โดยเป็นชายไทยที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชายชาวต่างชาติ 

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สื่อไทยและต่างชาติต่างยังรายงานข่าวโดยอ้างถ้อยแถลงของ เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ออกมาเตือนบรรดาชายรักชาย ขอให้ลดจำนวนคู่นอนลง รวมถึงพิจารณาให้ดีก่อนคิดจะมีคู่นอนรายใหม่ ซึ่งด้านหนึ่งแม้จะเป็นการเตือนตามข้อมูลที่พบการระบาดของโรค แต่อีกด้านหนึ่ง ผอ.อนามัยโลก ก็เน้นย้ำให้ประเทศต่างๆ คำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะการตีตราหรือเลือกปฏิบัติอาจเป็นอันตรายไม่น้อยไปกว่าโรคที่กำลังระบาด

เรื่องของการตีตรา (Stigma) หรือเลือกปฏิบัติ (Discrimination) มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีข่าวการระบาดของโรคติดต่อ อาทิ ย้อนไปในยุค 1980s (ช่วงปี 2523-2532) ที่โรคเอดส์ (AIDS) หรือเชื้อเอชไอวี (HIV) เริ่มระบาดใหม่ๆ และสถานการณ์ยังค่อนข้างรุนแรง ด้วยความที่พบความชุกของการระบาดที่กลุ่มชายรักชายจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ในเวลานั้นคนกลุ่มดังกล่าวถูกมองในแง่ลบจากสังคม และในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่ใช่ชายรักชายก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะความเข้าใจผิดไปด้วย 

บทความ “HIV/AIDS and Education: Lessons from the 1980s and the Gay Male Community in the United States” เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ UN Chronicle วารสารดิจิทัลขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งเขียนโดย นีล คิง (Neal King) นักจิตวิทยา อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยแอนติออค (Antioch University) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เล่าย้อนไปในช่วงแรกๆ ที่เชื้อ HIV เริ่มระบาดในสหรัฐฯ เวลานั้นมีการตั้งชื่อโรคอุบัติใหม่นี้ว่า Gay-Related Immune Deficiency (GRID) หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื่อมโยงกับความเป็นเกย์ 

เวลาอันมีค่าสูญเสียไปกับการตอบสนองต่อวิกฤติ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองปลอดภัยไม่มีความเสี่ยง เพราะเหยื่อช่วงแรกๆ เป็นเกย์ การตีตราที่ยึดติดกับการเป็นคนรักเพศเดียวกันทั้งทางการแพทย์ การปกครอง การบังคับใช้กฎหมาย ไปจนถึงสถาบันศาสนา ได้กลายเป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจ การป้องกันและการรักษา (valuable time was lost in responding to the crisis because most felt safe in the belief that they were not at risk. Since early victims were predominantly gay men, the stigma attached to homosexuality in the medical, governing, law enforcement and ecclesiastical institutions became a barrier to understanding, prevention, and treatment.)” คิง กล่าวถึงช่วงเวลานั้น ซึ่งตนเองเพิ่งเริ่มทำงานในฐานะผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต

หรือหากย้อนไปในช่วงต้นปี 2563 ที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งต่อมาจะถูกตั้งชื่อว่า โควิด-19 (COVID-19) ด้วยความที่ประเทศจีน โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เป็นพื้นที่แรกของโลกที่มีรายงานผู้ติดเชื้อ ทำให้ชาวจีนตลอดจนชาวเอเชียอีกหลายชาติที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายชาวจีน ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องความเกลียดชัง (Hate Crimes) เช่น ในโลกตะวันตก มีรายงานชาวจีนและชาวเอเชียถูกเหยียดด้วยคำพูดทำนองว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้แพร่เชื้อโรค หรือหนักเข้าก็ถึงกับลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย

ในเดือน พ.ค. 2563 ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติว่าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (NCBI) หอสมุดแพทย์แห่งชาติ (NLM) สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ “Lessons learned from HIV can inform our approach to COVID19 stigma” ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.คาร์เมน ล็อกกี (Assoc. Prof. Carmen Logie) จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ระบุว่า การที่องค์การอนามัยโลก เรียกไวรัสชนิดใหม่นี้ว่าโควิด-19 ก็เพื่อไม่ให้ตอกย้ำภาพจำระหว่างเชื้อโรคกับแหล่งกำเนิด 

สืบเนื่องจากในเวลานั้นมีการเรียกว่าไวรัสจีน (Chinese Virus) บ้าง หรือไวรัสอู่ฮั่น (Wuhan Virus) บ้าง รวมถึงยังคาดการณ์ต่อไปอีกว่า ในขั้นต้นการตีตราเกิดขึ้นกับชุมชนชาวเอเชีย แต่ในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่าจะย้ายไปยังชุมชนชายขอบในสังคม เช่น คนไร้บ้าน ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน ตลอดจนใครก็ตามที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการดูแลรักษาหรือไม่? 

ซึ่งในเวลาต่อมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังกรณีของประเทศไทย ในการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 จากข่าวที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อวันเดียวหลายร้อยคน ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2563 ครั้งนี้ศูนย์กลางการระบาดอยู่ที่ สมุทรสาคร จังหวัดที่มีอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานข้ามชาติจำนวนมาก และกลุ่มแรงงานข้ามชาติก็มีความชุกของการระบาดสูง จึงทำให้แรงงานข้ามชาติถูกมองอย่างหวาดระแวงจากสายตาคนไทยไปด้วย

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวในการประชุม (ออนไลน์) ของ สช. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 ให้ความเห็นว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงและสร้างผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ อย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยต้นทางของการแพร่ระบาดเกิดในตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีแรงงานข้ามชาติทำงานอยู่จำนวนมาก 

“ภายหลังเกิดการแพร่ระบาด ปรากฏว่าสังคมได้ตีตราแรงงานข้ามชาติว่าเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค จนนำไปสู่การต่อต้านและความรู้สึกเกลียดชังคนกลุ่มนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือแรงงานข้ามชาติเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และในแรงงานข้ามชาติก็มีทั้งผู้ที่รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวดและผู้ที่หละหลวมการ์ดตกเช่นกัน” นพ.ประทีป ระบุ 

รายงานพิเศษ แรงงานข้ามชาติผู้ถูกตีตราเป็น พาหะนำโรคกับชีวิตที่ถูกด้อยค่าในรัฐไทย โดยนิตยสาร Way Magazine กล่าวถึงงานศึกษาโดยการสนับสนุนของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (ศมส.) หัวข้อ ชีวิต ความทุกข์ และความหวังของแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาในพื้นที่ควบคุมโรคโควิด-19” ของ สรานนท์ อินทนนท์ ผู้ลงพื้นที่สำรวจชีวิตแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร แล้วพบว่า สภาพความเป็นอยู่ของแรงงานข้ามชาติที่แออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ และปราศจากสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ดีใดๆ เป็นกระบวนการที่ก่อตัวอย่างยาวนานไม่ต่ำกว่า 20 ปี เป็นระเบิดเวลาซึ่งในที่สุด โควิด-19 ก็ได้กลายเป็นตัวจุดชนวนของระเบิดลูกนี้

เป็นเพราะการประกอบสร้างประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมไทย ซึ่งถูกถ่ายทอดและผลิตซ้ำในสื่อต่างๆ เพื่อปลุกความเกลียดชังอยู่เสมอ จนทำให้ชาวเมียนมามิได้ถูกมองในสถานะความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในสังคมไทย ไม่มีใครใส่ใจความเป็นอยู่ของพวกเขา และมักถูกเลือกปฏิบัติอยู่เสมอ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อเกิดการระบาดในตลาดกุ้งมหาชัย ชาวเมียนมายังถูกตีตราจากสังคม (social stigma) ว่าเป็นต้นตอของการระบาดครั้งนี้ จนกระแสต่อต้านคนเมียนมาลุกลามไปทั่ว แม้ในบางพื้นที่จะยังไม่พบผู้ติดเชื้อก็ตาม

สิ่งที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญคือ ความทุกข์ทางสังคม (social suffering) ซึ่งเป็นความเจ็บป่วยอันเกิดจากความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างของสังคม แม้ว่าเชื้อไวรัสโควิดจะสามารถแพร่ระบาดไปยังทุกผู้คนได้โดยไม่เลือกชนชั้นหรือเชื้อชาติ แต่กลุ่มคนชายขอบในแต่ละสังคมมักได้รับผลกระทบหนักหน่วงกว่าเสมอ ยิ่งเมื่อถูกซ้ำเติมจากการตีตรา ยิ่งทำให้แรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ติดเชื้อและผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อไม่เพียงต้องทนทุกข์ทรมานทางร่างกายเท่านั้น หากยังต้องทุกข์ทางใจอันเกิดจากความรังเกียจ หวาดกลัว และหวาดระแวงจากสายตาคนอื่นๆ ในสังคมอีกด้วย สรานนท์ กล่าว 

วันที่ 14 มี.ค. 2559 เว็บไซต์ HIV.gov ฐานข้อมูลความรู้ด้านเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ในความดูแลของกระทรวงสาธารณสุขและการบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ “Words Matter: Communicating to End HIV-Related Stigma” ซึ่งเขียนโดย ริชาร์ด เจ. โวลิทสกี (Richard J. Wolitski) ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุข สำนักงานนโยบายเอชไอวี/เอดส์ และโรคติดเชื้อ (OIDP) กล่าวถึงยุทธศาสตร์เอชไอวี/เอดส์แห่งชาติ (NHAS) ที่เน้นย้ำความสำคัญถึงการขจัดการตีตราและเลือกปฏิบัติ เพื่อลดอุปสรรคในการป้องกันการติดเชื้อ การตรวจคัดกรองหาเชื้อ และการดูแลผู้ที่ติดเชื้อแล้ว

โวลิทสกี ยกตัวอย่างสิ่งที่ควรทำ เช่น การยกย่องผู้ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาเพร็พ (PrEP) หรือการใช้กลยุทธ์อื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ไปจนถึงผู้ติดเชื้อที่รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการดูแลตนเองจนแน่ใจว่าจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ซึ่งการเน้นย้ำความพยายามเหล่านี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการลดการตีตรา

(หมายเหตุ : บทความ “PrEP กับ PEP คืออะไร ทำความเข้าใจก่อนใช้ โดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายว่า ยาเพร็พ หรือ PrEP หมายถึงการกินยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดชื้อ HIV ในผู้ที่มีผลเลือดลบหรือยังไม่ติดเชื้อ เพื่อเตรียมไว้ก่อนจะมีโอกาสสัมผัสเชื้อ ขณะที่บทความ ข้อเท็จจริง : เรื่อง U = U” โดย สภากาชาดไทย ระบุ ข้อค้นพบว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ปริมาณไวรัสในเลือดจะต่ำมากในระดับที่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บทความ ยังคงแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ตลอดจนการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์) 

วันที่ 24 ก.พ. 2563 ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีสัญญาณการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศนอกจากจีน องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยแพร่บทความ “Social Stigma associated with COVID-19” ชี้ให้เห็นว่า การตีตราทางสังคมเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมโรคระบาดได้อย่างไร ดังนี้ 1.ผู้คนที่เจ็บป่วยอาจหลบซ่อนตัวเพราะกลัวการถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม 2.ผู้คนอาจไมได้เข้าไปสู่บริการดูแลสุขภาพอย่างทันท่วงที และ 3.ขัดขวางผู้คนจากโอกาสที่จะได้ปรับเปลี่ยนสู่พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ

บทความดังกล่าวให้ข้อสรุปเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อลดปัญหาการตีตราและเลือกปฏิบัติไว้ว่า การหยุดการระบาดของโรคทำได้ด้วยข้อเท็จจริง (Fact) ไม่ใช่ความกลัว (Fear)” ดังนั้นต้องแบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค (ช่องทางที่โรคสามารถติดต่อได้ การป้องกัน การรักษา) ขณะเดียวกัน ต้องระมัดระวังในการนำเสนอ ซึ่งบทความได้ยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น การผูกติดคำเรียกโรคกับสถานที่หรืออัตลักษณ์บุคคล อาทิ ช่วงแรกๆ ที่เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาด มีการใช้คำว่าไวรัสจีน ไวรัสอู่ฮั่น ไวรัสเอเชีย จนต่อมามีการตั้งชื่อโควิด-19 เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกตีตรา และสิ่งที่ควรทำ เช่น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาที่นำเสนอไม่เป็นการพุ่งเป้าไปที่ประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ชี้ให้เห็นชุมชนที่หลากหลายล้วนได้รับผลกระทบและกำลังทำงานเพื่อป้องกันโรคระบาด

วันที่ 12 ก.ค. 2565 ท่ามกลางสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงระบาดในหลายประเทศ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) เผยแพร่บทความ “Reducing Stigma in Monkeypox Communication and Community Engagement” แนะนำวิธีการสื่อสารสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง โดยแบ่งเเป็น เนื้อหาสำหรับบุคคลทั่วไป ดังนี้ 1.ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค เช่น ช่องทางที่โรคสามารถติดต่อได้ พร้อมกับเน้นย้ำว่าหากมีอาการต้องสงสัยให้ติดต่อสถานพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาทันที

2.ย้ำว่าเป็นโรคติดต่อที่ทุกคนสามารถติดเชื้อได้ (ดังนั้นไม่ว่าใครก็ต้องระมัดระวัง) การเน้นนำเสนอว่าเป็นโรคของกลุ่มชายรักชาย (หรือกลุ่มที่รักได้ทั้งชายและหญิง) นั้นเกิดผลเสียถึง 2 ด้าน ทั้งประชากรกลุ่มดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการถูกตีตรา และประชากรกลุ่มอื่นๆ ที่เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยจากโรค 3.เลือกใช้ภาพอาการป่วยที่เป็นอาการซึ่งพบโดยทั่วไปในปัจจุบัน หลีกเลี่ยงการใช้ภาพกรณีป่วยรุนแรงเว้นแต่จำเป็น และ 4.พยายามใช้ภาพของผู้คนที่หลากหลาย เช่น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ 

กับ เนื้อหาสำหรับกลุ่มชายรักชาย (หรือกลุ่มที่รักได้ทั้งชายและหญิง) ซึ่งมีคำแนะนำเพิ่มเติม 1.เข้าถึงชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วนด้วยเนื้อหาที่ไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก และเป็นเนื้อหาที่อ้างอิงตามข้อเท็จจริงของโรค นั่นจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้สามารถป้องกันตนเองและผู้อื่นได้ 2.ใช้ช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง เช่น เว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม แอปพลิเคชั่นหาคู่ หรือโปรแกรมสื่อ และ 3.พยายามใช้เนื้อหาที่สร้างความรู้สึกร่วม เช่น การพรรณาที่ทำให้ผู้รับสารรู้สึกเชื่อมโยงกับตนเอง 

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรมชาติของโรค นำไปสู่การสื่อสารที่ไม่สร้างความตื่นตระหนกและไม่ก่อให้เกิดการตีตราเลือกปฏิบัติ..สุดท้ายปลายทางนั่นคือการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทิ้งบาดแผลตกค้างไว้ในสังคม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.facebook.com/watch/?v=586587829848558&ref=sharing (Center for Medical Genomics , ศูนย์จีโนมฯ 29 ก.ค. 2565)

https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3479691 (ศูนย์จีโนมฯ ชี้อย่าเหมารวมฝีดาษลิง ‘โรคของเกย์’ ไม่ดีต่อการคุมแพร่ระบาด , มติชน 29 ก.ค. 2565)

https://www.naewna.com/local/669648 (สธ.พบผู้ป่วย’ฝีดาษลิง’รายที่ 2 โผล่กรุงเทพฯ ติดตามกลุ่มเสี่ยงอีก 10 คน , แนวหน้า 28 ก.ค. 2565)

https://www.naewna.com/local/669891 (สธ.เผยชายไทยติดเชื้อฝีดาษลิง มีตุ่มหนองอวัยวะเพศ หลังมีเซ็กส์ไม่ป้องกัน 7 วัน , แนวหน้า 29 ก.ค. 2565)

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_7185812 (ผู้อำนวยการ WHO แนะ ชายรักชาย ลดคู่นอน ลดเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ฝีดาษลิง , ข่าวสด 28 ก.ค. 2565)

https://edition.cnn.com/2022/07/27/health/who-monkeypox-msm-sex-partners/index.html (WHO chief advises men who have sex with men to reduce partners to limit exposure to monkeypox , CNN 28 ก.ค. 2565)

https://www.un.org/en/chronicle/article/hivaids-and-education-lessons-1980s-and-gay-male-community-united-states (HIV/AIDS and Education: Lessons from the 1980s and the Gay Male Community in the United States , UN Chronicle)

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-56218684 (Covid ‘hate crimes’ against Asian Americans on rise , BBC 21 พ.ค. 2564)

https://abcnews.go.com/US/hate-crimes-asians-rose-76-2020-amid-pandemic/story?id=80746198 (Hate crimes against Asians rose 76% in 2020 amid pandemic, FBI says , ABC News 25 ต.ค. 2564)

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7197953/ (Lessons learned from HIV can inform our approach to COVID‐19 stigma , NLM-NIH) 

https://dailynews.co.th/politics/813786/ (ช็อกของจริง!’สมุทรสาคร’ติดโควิดรวม548คน ล็อกดาวน์19ธ.ค.63-3ม.ค.64 , เดลินิวส์ 19 ธ.ค. 2563)

https://www.nationalhealth.or.th/en/node/1451 (สช.ผนึกภาคีถกแนวทางรับมือโควิดระลอกใหม่ ‘ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน – หยุดตีตรา’ เพิ่มประสิทธิภาพควบคุมโรค , สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ)

https://waymagazine.org/covid-and-immigrant-worker/ (‘แรงงานข้ามชาติ’ ผู้ถูกตีตราเป็น ‘พาหะนำโรค’ กับชีวิตที่ถูกด้อยค่าในรัฐไทย , Way Magazine 14 มิ.ย. 2565)

https://www.hiv.gov/blog/words-matter-communicating-to-end-hiv-related-stigma (Words Matter: Communicating to End HIV-Related Stigma , HIV.gov 14 มี.ค. 2559)

https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/prep-กับ-pep-คืออะไร-ทำความเข้าใ/ (PrEP กับ PEP คืออะไร ทำความเข้าใจก่อนใช้ , โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย)

https://www.redcross.or.th/news/information/9847/ (ข้อเท็จจริง : เรื่อง U = U , สภากาชาดไทย)

https://www.who.int/docs/default-source/coronaviruse/covid19-stigma-guide.pdf (Social Stigma associated with COVID-19 , องค์การอนามัยโลก 24 ก.พ. 2563)

https://www.cdc.gov/poxvirus/monkeypox/reducing-stigma.html (Reducing Stigma in Monkeypox Communication and Community Engagement , CDC 12 ก.ค. 2565)