‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’(และมิจฉาชีพอีกหลายรูปแบบ) ไฉนคนไทย(และอีกหลายชาติทั่วโลก)หลงเชื่อ?

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Think-Piece by Digital Thinkers
บทความนักคิดดิจิตอล
โดย Windwalk_Jupiter

เป็นภัยสังคมยุคนี้จริงๆ สำหรับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพที่โทรศัพท์มาหลอกลวงผู้คน อ้างว่าไปพัวพันกับการกระทำผิดกฎหมายบ้าง หรือมีพัสดุตกค้างบ้าง หรืออะไรอีกหลายอย่างที่สุดท้ายปลายทางคือทั้งขู่ทั้งปลอบให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงิน อีกทั้งการติดตามจับกุมก็ทำได้แสนยากเย็นเพราะมิจฉาชีพส่วนใหญ่นิยมตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศหนึ่งแล้วโทรศัพท์ไปหลอกเหยื่ออีกประเทศหนึ่ง ซึ่งก็ต้องบอกว่าปัญหานี้ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่พบได้ทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว โดยหากนำคำว่า “Phone Scams” ซึ่งแปลว่า การหลอกลวงทางโทรศัพท์ ไปค้นหาบนอินเตอร์เน็ต จะพบข่าวสารและบทความที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่มากมาย

เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ CNBC สหรัฐอเมริกา เคยเสนอข่าว Americans lost $29.8 billion to phone scams alone over the past year เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2564 ระบุว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 3 ยอมรับว่าตนเองตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงทางโทรศัพท์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ประมาณปี 2563) หลายคนยังระบุด้วยว่า มิจฉาชีพอ้างว่าโทรศัพท์มาจากกรมสรรพากรบ้าง หรือจากบริษัทประกันภัยที่รับทำประกันรถยนต์บ้าง

ข้อมูลดังกล่าวมาจากรายงานของ Truecaller ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ที่สามารถระบุผู้โทร, บล็อกการโทร, ส่งข้อความแฟลช, บันทึกการโทร, แชท & วอยซ์โดยใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งยังพบอีกว่า จำนวนเงินที่ถูกหลอกต่อรายนั้นเพิ่มขึ้นด้วย เฉลี่ยอยู่ที่ 502 เหรียญสหรัฐ หรือราว 16,000 บาท สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลครั้งแรกในปี 2557 

Ofcom หรือหน่วยงานกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมของอังกฤษ (เหมือนกับ กสทช. ของไทย) เผยแพร่รายงาน 45 million people targeted by scam calls and texts this summer เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 เป็นการสำรวจประชากรกลุ่มตัวอย่างในเมืองผู้ดี แล้วพบว่า ร้อยละ 61 ของประชากรอายุ 75 ปีขึ้นไป เคยมีประสบการณ์พบโทรศัพท์หลอกลวงจากมิจฉาชีพ ชี้ให้เห็นว่า ผุ้สูงอายุยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ 

นอกจากนี้ ร้อยละ 53 ของประชากรที่ถูกสำรวจ ให้ข้อมูลว่า ในรอบ 3 เดือนล่าสุดก่อนตอบแบบสอบถาม ได้รับโทรศัพท์ที่มีลักษณะน่าสงสัยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทางโทรศัพท์บ้าน และร้อยละ 43 รายงานว่า ได้รับโทรศัพท์ที่มีลักษณะน่าสงสัยทางโทรศัพท์มือถือ และแม้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะไมได้สนใจหรือกดบล็อก แต่ก็มีร้อยละ 2 ของกลุ่มตัวอย่างที่ถูกสำรวจ หลงเชื่อและทำตามที่มิจฉาชีพบอก ซึ่งหากนำมาคำนวณทางสถิติ จะเท่ากับมีประชากรจริงเกือบ 1 ล้านคน ที่เสี่ยงตกแป็นเหยื่อเสียทั้งเงินทองและสุขภาพจิต

ที่ประเทศญี่ปุ่น เว็บไซต์ nippon.com ขององค์กรพัฒนาเอกชน Nippon Communications Foundation ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว เผยแพร่รายงาน Specialized Fraud Cases in Japan Increase for First Time in Four Years วันที่ 4 มี.ค. 2565 อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น (NPA) ที่ว่าด้วยการฉ้อโกงรูปแบบพิเศษ (Specialized Fraud) หมายถึงพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อโดยที่ไม่ต้องเจอหน้ากัน จนเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปให้ โดยการหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็จดัอยู่ในมิจฉาชีพกลุ่มนี้

ข้อมูลจาก NPA พบว่า ในปี 2564 คดีฉ้อโกงรูปแบบพิเศษเพิ่มขึ้น 911 คดี หรือร้อยละ 6.7 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปีของแดนซามูไร อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่สูญเสียให้กับมิจฉาชีพในปีดังกล่าวอยู่ที่ 2.78 หมื่นล้านเยน หรือราว 7.2 พันล้านบาท น้อยกว่ามี 2563 อยู่ 710 ล้านเยน หรือราว 185 ล้านบาท ถึงกระนั้น ตำรวจญี่ปุ่นก็ยังมองว่าสถานการณ์ค่อนข้างรุนแรง และผู้สูงอายุยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ

รูปแบบในการหลอกลวงที่ชาวญี่ปุ่นมักพบตามรายงานดังกล่าว อันดับ 1 มิจฉาชีพอ้างว่าสามารถช่วยค่ารักษาพยาบาลหรือค่าเบี้ยประกันภัย (Refund Fraud) อันดับ 2 การแอบอ้างเป็นสมาชิกในครอบครัว ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้มีคำเรียกเฉพาะเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Ore Ore Sagi” แปลว่า “it’s me, it’s me scams (นี่ฉันเอง , ฉันคือมิจฉาชีพ) ส่วนอันดับ 3 การหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรกดเงินสดของผู้สูงอายุ แล้วส่งบัตรปลอมให้เจ้าของไป

เว็บไซต์หอสมุดแพทย์แห่งชาติอเมริกัน (National Library of Medicine) เผยแพร่บทความวิชาการ Who Is Next? A Study on Victims of Financial Fraud in Japan เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2564 ซึ่งเขียนโดยนักวิชาการ 4 ท่าน คือ โยชิฮิโกะ คาโดยะ (Yoshihiko Kadoya) วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมา , มอสตาฟา ไซเดอร์ ราฮิม ข่าน (Mostafa Saidur Rahim Khan) วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมา , จิน นารุโมโตะ (Jin Narumoto) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทย์จังหวัดเกียวโต และ ซาโตชิ วาตานาเบ (Satoshi Watanabe) ศูนย์วิจัยและศึกษาวิทยาศาสตร์ครบวงจร มหาวิทยาลัยจังหวัดอากิตะ ว่าด้วยปัญหาการฉ้อโกงในญี่ปุ่น

ซึ่งในตอนหนึ่งของบทความดังกล่าว ระบุว่า แม้จะพบรูปแบบการฉ้อโกงที่หลากหลาย เช่น การหลอกให้เหยื่อเข้าร่วมลงทุนประเภทต่างๆ การตลาดทางโทรศัพท์ การฉ้อโกงการชำระเงินทางออนไลน์ ฯลฯ แต่สำหรับสังคมญี่ปุ่น ดูเหมือนการแอบอ้างเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือ Ore Ore Sagi จะเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยมิจฉาชีพจะโทรศัพท์ไปหาเหยื่อ อ้างว่าเป็นลูกหลาน หากเหยื่อหลงเชื่อก็จะโอนเงินไปให้ 

เว็บไซต์ The Conversation องค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไรที่เน้นนำเสนอบทความทางวิชาการ เผยแพร่บทความเรื่อง Five psychological reasons why people fall for scams – and how to avoid them เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2561 ซึ่งเขียนโดย พอล ซีเกอร์ (Paul Seager) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล แลงคาเชียร์ เมืองเพรสตัน ประเทศอังกฤษ กล่าวถึง 5 เทคนิคทางจิตวิทยาที่มิจฉาชีพนำมาใช้ประกอบกันเพื่อหลอกเหยื่อ ได้แก่

1.คุณช่วยเกาหลังให้ฉัน (You scratch my back) วิธีนี้แปลแบบไทยๆ ประมาณว่า เขามีน้ำใจก็ควรรับไว้โดยมิจฉาชีพจะเข้ามาชักชวนให้เหยื่อนำเงินออกมาใช้จ่ายเพื่อการลงทุน โดยใช้การโน้มน้าวให้เหยื่อเชื่อว่ามิจฉาชีพคือผู้มาช่วยเหลือเหยื่อจากปัญหาหรืออุปสรรคบางอย่าง ดังนั้นเหยื่อจึงไม่ควรปฏิเสธแต่ควรรับน้ำใจนั้นไว้ 

2.ฝูงเล็มมิงบนหน้าผา (Like lemmings off a cliff) วิธีนี้แปลแบบไทยๆ ประมาณว่า ใครๆ เขาก็ทำกัน มีผลการศึกษาพบว่า หากคนคนหนึ่งเชื่อว่าคนอื่นๆ ทำพฤติกรรมสักอย่างหนึ่ง ตนเองก็จะทำบ้างเพราะคิดว่าทำไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร และการตัดสินใจทำแบบนั้นจะยิ่งง่ายขึ้นหากคนคนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันและคลุมเครือ เช่น หากมิจฉาชีพอ้างว่าร้อยละ 75 ของบุคคลประเภทเดียวกับเหยื่อเลือกสมัครลงทุนหรือวางแผนการเงินแบบนี้ เหยื่อก็มีแนวโน้มหลงเชื่อ แม้บางส่วนในจิตใจจะสงสัยอยู่บ้างก็ตาม

3.ก้าวเล็กๆ (Little steps) วิธีนี้แปลแบบไทยๆ ประมาณว่า เกี้ยวพาราสี-ตอดเล็กตอดน้อย คนเรานั้นพอทำอะไรไปแล้วมักจะทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ และบางครั้งการหยุดทำอาจบั่นทอนความภูมิใจในตนเอง มิจฉาชีพใช้จุดนี้ค่อยๆ ชวนเหยื่อพูดคุยกับเหยื่อไปเรื่อยเปื่อย จากคำถามแรกๆ ที่ดูไม่มีอะไร เมื่อเหยื่อเริ่มคุ้นชิน (และมีความสุข) กับการพูดคุยกับคนที่ไม่รู้จักกัน มิจฉาชีพก็จะเริ่มรุกหนักด้วยการถามคำถามที่เป็นข้อมูลส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงินที่ธนาคาร หากถึงขั้นนี้แล้วเหยื่อยอมตอบสักคำถามหนึ่งก็มักจะตอบคำถามอื่นๆ ตามไปด้วย เพราะคนเราต้องการความรู้สึกว่าตนเองมีนิสัยชอบช่วยเหลือและสุภาพ

4.กลัวพลาด (FOMO : Fear Of Missing Out) ธรรมชาติของคนเรามักกลัวพลาดบางสิ่งที่คิดว่าสำคัญไป โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นถูกระบุข้อจำกัดหรือเงื่อนไขด้านเวลาไว้ชัดเจน ซึ่งมิจฉาชีพจะใช้จุดนี้มาหลอกลวงเหยื่อ เช่น โทรศัพท์ไปบอกว่ามีข้อเสนอทางการเงินบางอย่าง ซึ่งต้องรีบตกลงในเวลาที่กำลังสนทนากันอยู่นี้ หากวางสายแล้วก็จะมาขอใช้สิทธิ์ทีหลังไม่ได้อีก หลายคนเจอแบบนี้ก็กลัวพลาดแล้วก็ตกเป็นเหยื่อ

และ 5.สร้างความรู้สึกดี (They seemed so nice) ธรรมชาติคนเรามักรู้สึกดีหรือชอบบุคคลที่มีลักษณะนิสัย ภูมิหลัง หรืออะไรบางอย่างที่คล้ายกัน ดังนั้นมิจฉาชีพจะพยายามทำเหมือนว่ามีลักษณะร่วมกับเหยื่อให้มากที่สุด เช่น แกล้งถามวันเกิดเหยื่อซึ่งเมื่อเหยื่อตอบมิจฉาชีพก็จะบอกว่าเป็นวันเกิดของตนเองเช่นกัน จากนั้นเมื่อเหยื่อเริ่มรู้สึกไว้ใจมิจฉาชีพมากขึ้น มิจฉาชีพก็จะค่อยๆ ถามคำถามหรือร้องขอให้เหยื่อทำบางอย่างตามแผนการหลอกลวงที่วางไว้

ขณะที่ เคนเน็ธ ฟรอนด์ลิช (Kenneth Freundlich) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาคลินิก เขียนบทความ Why So Many People Fall For Scams เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ Morris Psychological Group บริษัทรับให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2564 อ้างถึง โรบิร์ต ซัลดินี (Robert Cialdini) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Influence: The Psychology of Persuasion (หนังสือเล่มนี้มีฉบับแปลเป็นภาษาไทย ในชื่อ “กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน”) ได้อธิบาย 6 เทคนิคด้านจิตวิทยา ที่มิจฉาชีพนำมาใช้หลอกลวงเหยื่อ ได้แก่

1.ตอบแทนซึ่งกันและกัน (Reciprocity) คนเรามีแนวโน้มจะตอบแทนคนอื่นที่มอบบางสิ่งบางอย่างให้ อาทิ เคยมีการศึกษาพบว่า การที่ร้านอาหารให้มินต์หลังลูกค้ารับประทานอาหารเสร็จ มีโอกาสที่ลูกค้าจะให้ทิปพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เป็นต้น

2.ทำอะไรแล้วต้องทำอย่างสม่ำเสมอ (Consistencoy) คนเราต้องการได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น จึงพยายามทำให้ตนเองเป็นเช่นนั้น ทำให้มีแนวโน้มที่คนเราจะปฏิบัติตามคำพูดหรือการกระทำเดิมที่ทำไปแล้วก่อนหน้า อีกทั้งเมื่อคนเราเลือกทำสิ่งใดแล้ว ก็มักจะทำต่อไปเพื่อให้น้ำหนักกับการตัดสินใจนั้น มิจฉาชีพสามารถใช้จุดนี้เริ่มจากการร้องขอสิ่งเล็กน้อยที่ดูไม่สำคัญกับเหยื่อ แล้วค่อยๆ ขยับก้าวล่วงไปยังสิ่งที่สำคัญของเหยื่อต่อไป

3.ทำตามกระแสสังคม (Social Proof) : เมื่อคนเราเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจก็มักจะมองไปรอบๆ เพื่อหาคำแนะนำว่าควรทำเช่นไร และแม้บางคนจะเชื่อมั่นในตนเอง แต่ความคิดเห็นที่เป็นฉันทามติของสังคมก็ยังมีโอกาสโน้มน้าวใจได้อยู่มาก ยิ่งมีคนทำสิ่งใดมากขึ้นเท่าไร คนก็จะยิ่งเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมากขึ้นเท่านั้น

4.สร้างความเชื่อถือ (Liking) : แม้คนเรามักยอมตกลงทำอะไรบางอย่างร่วมกับคนที่ตนเองรู้สึกดีด้วยมากกว่าคนแปลกหน้า แต่คนแปลกหน้าก็สามารถโน้มน้าวให้ทำแบบเดียวกันได้หากสามารถทำให้อีกฝ่ายเชื่อถือ ซึ่งมิจฉาชีพที่ก่อเหตุด้วยการปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น เช่น สร้างบัญชีปลอม ก็มักจะใช้ประวัติแอบอ้างเป็นญาติสนิทมิตรสหายของเหยื่อ เพื่อกระตุ้นเร้าให้เหยื่อมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับบัยชีปลอมนั้น

5.วางตนเป็นผู้มีอำนาจ (Authority) คนเรามีแนวโน้มจะทำตามคำสั่งหรือคำขอของผู้มีอำนาจหรือผู้เชี่ยวชาญ เรื่องนี้มีผลการศึกษาจาก สแตนลีย์ มิลแกรม (Stanley Milgram) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงจากการทดลองเรื่องการถูกกดันให้ทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ ด้วยการให้ทีมงานไปอยู่ในห้องหนึ่ง แล้วผู้เข้าร่วมทดลองอยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมทดลองจะต้องกดปุ่มสั่งปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตทีมงานที่ตอบคำถามผิด แรกๆ ก็เป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ต่อมาก็ถูกสั่งและกดดันให้เพิ่มความแรงของกระแสไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และห้ามเลิกกลางคัน 

อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วการทดลองนี้ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด โดยทีมงานของมิลแกรม (ที่ผู้เข้าร่วมทดลองไม่รู้ว่าเป็นเพียงหน้าม้า แต่เข้าใจว่าเป็นผู้เข้าร่วมทดลองอีกกลุ่ม) แกล้งทำเป็นส่งเสียงร้องโหยหวนและแสดงท่าทีเจ็บปวดทรมานเมื่อผู้เข้าร่วมทดลองกดปุ่ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพิสูจน์ว่าคนเราสามารถทำเรื่องเลวร้ายได้หากรู้สึกหวาดกลัวผู้มีอำนาจ ซึ่งผลการศึกษาชี้เมื่อถูกนำมาประยุกต์กับการหลอกลวง มิจฉาชีพกอาจใช้วิธีอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องการให้เหยื่อดำเนินการตามที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เมื่อบวกกับความเร่งด่วน เหยื่อก็อาจหลงเชื่อและทำตามไปด้วยความหวาดกลัว

และ 6.ของมีจำกัด (Scarcity) : เมื่อสิ่งใดเริ่มขาดแคลนคนเราก็มักต้องการสิ่งนั้นมากขึ้น มีการทดลองที่น่าสนใจ เช่น มีการทำให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเห็นว่าเหลือคุกกี้เพียงไม่กี่ชิ้น พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองสนใจคุกกี้นั้นมากขึ้น มิจฉาชีพสามารถใช้จุดอ่อนนี้เล่นกับจิตใจของเหยื่อในเรื่องของเงื่อนไขเวลาได้ โดยบอกเหยื่อว่าหากไม่รับข้อเสนอตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว หรือหากไม่ติดต่อกลับภายในเวลาที่กำหนดจะมีผลกระทบบางอย่างตามมา

คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) หน่วยงานภาครัฐของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งดูแลเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค เผยแพร่บทความ How To Avoid a Scam เมื่อเดือน พ.ย. 2563 กล่าวถึงข้อควรระวัง 4 ประการ 1.มิจฉาชีพมักอ้างว่ามาจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ (Scammers PRETEND to be from an organization you know) เช่น สำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร สถานบริการทางการแพทย์ ไปจนถึงบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ทั้งนี้ มิจฉาชีพสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อปลอมแปลงหมายเลขโทรศัพท์ได้  เพื่อให้เหยื่อที่เห็นหมายเลขโทรศัพท์บนหน้าจอมือถือของตนเองหลงเชื่อ

2.ไม่มากับปัญหาก็มาให้รางวัล (Scammers say there’s a PROBLEM or a PRIZE)  มิจฉาชีพจะบอกเหยื่อว่าเหยื่อกำลังมีปัญหากับหน่วยงานภาครัฐ หรือมีหนี้ที่ต้องชำระ หรือคนในครอบครัวมีปัญหาเดือดร้อนต้องการใช้เงินด่วน บอกว่าบัญชีธนาคารของเหยื่อมีปัญหาต้องถูกตรวจสอบ หรือแม้แต่บอกว่าคอมพิวเตอร์ของเหยื่อติดไวรัส ในทางกลับกัน บางครั้งมิจฉาชีพก็บอกเหยื่อว่าได้รับรางวัลอะไรสักอย่างแต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อให้สามารถรับรางวัลนั้นได้

3.กดดันให้ต้องรีบทำตามโดยเร็ว (Scammers PRESSURE you to act immediately) มิจฉาชีพจะโน้มน้าวให้เหยื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มิจฉาชีพกำลังเสนอ โดยไม่เปิดโอกาสให้หันเหความสนใจไปทางอื่น เช่น หากคุยโทรศัพท์อยู่ก็บอกว่าอย่าวางสาย เหยื่อจึงแทบไม่มีเวลาได้ฉุกคิดหรือสืบค้นเรื่องราวที่มิจฉาชีพบอก พร้อมกันนั้น มิจฉาชีพจะกระหน่ำด้วยการข่มขู่สารพัดให้เหยื่อหวาดกลัว อาทิ ขู่ว่าจะจับกุมดำเนินคดี ยึดหรืออายัดใบอนุญาตประกอบอาชีพ เนรเทศออกนอกประเทศ ไปจนถึงบอกว่าหากไม่ทำตามคอมพิวเตอร์ของเหยื่ออาจได้รับความเสียหาย

และ 4.แนะนำให้จ่ายเงินผ่านช่องทางพิเศษ (Scammers tell you to PAY in a specific way) มิจฉาชีพอาจบอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านบริษัทที่รับโอนเงิน หรือเติมเงินใน Gift Card แล้วบอกหมายเลขหลังบัตรกับมิจฉาชีพ หรือบางครั้งอาจจะส่งเช็คให้เหยื่อ โดยที่เหยื่อมารู้ในภายหลังว่าเป็นเช็คปลอม แต่ ณ เวลานั้นเหยื่อก็จะนำเช็คไปฝากเพื่อส่งเงินให้มิจฉาชีพแล้ว

บทความของ FTC ยังแนะนำวิธีลดความเสี่ยงไว้ 1.บล็อกหมายเลขโทรศัพท์และหมายเลขที่ส่งข้อความที่ไม่ต้องการ โดย FTC มีขั้นตอนให้แจ้งเพื่อทำการบล็อกได้ 2.อย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลธุรกรรมทางการเงินตามคำขอที่ไม่ไดคาดหวัง ซึ่งต้องย้ำว่า หากเป็นหน่วยงานภาครัฐของจริงจะไม่ขอข้อมูล เช่น ประกันสังคม บัญชีธนาคาร หรือหมายเลขบัตรเครดิต ส่วนกรณีอ้างว่าเป็นบริษัทเอกชน ให้ตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ หรือค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทนั้น อย่าโทรศัพท์ไปยังหมายเลขที่ผู้ต้องสงสัยให้ไว้ หรือโทรศัพท์กลับไปยังหมายเลขที่ติดต่อมาหา

3.ธุรกิจที่ถูกกฎหมายจะไม่เร่งเร้าให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการดำเนินการใดๆ ในทันที พวกเขาจะให้เวลาในการตัดสินใจ ส่วนพวกที่เร่งเร้าให้รีบจ่ายเงินหรือขอข้อมูลส่วนบุคคล ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ และ 4.อย่าทำตามวิธีชำระเงินที่อีกฝ่ายกำหนด เช่น มิจฉาชีพจะบอกให้เหยื่อใช้บริการโอนเงิน หรือการโอนผ่าน Gift Card และไม่รับฝากเช็คเพื่อส่งเงินคืนให้บุคคลที่ดูแล้วน่าสงสัย

แต่ท้ายที่สุด..คงต้องกลับมาที่คำว่า สติ คำสั้นๆ ที่แม้จะไม่ได้ทำกันง่ายๆ แต่ก็ต้องหมั่นฝึกไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.cnbc.com/2021/06/29/americans-lost-billions-of-dollars-to-phone-scams-over-the-past-year.html (Americans lost $29.8 billion to phone scams alone over the past year)

https://www.ofcom.org.uk/news-centre/2021/45-million-people-targeted-by-scams (45 million people targeted by scam calls and texts this summer)

https://www.nippon.com/en/japan-data/h01258/ (Specialized Fraud Cases in Japan Increase for First Time in Four Years)

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8283193/ (Who Is Next? A Study on Victims of Financial Fraud in Japan) 

https://theconversation.com/five-psychological-reasons-why-people-fall-for-scams-and-how-to-avoid-them-102421 (Five psychological reasons why people fall for scams – and how to avoid them)

https://morrispsych.com/why-so-many-people-fall-for-scams-by-kenneth-freundlich-ph-d/ (Why So Many People Fall For Scams)

https://thepeople.co/stanley-milgram-experiment/ (สแตนลีย์ มิลแกรม : ทำไมบางคนกล้าทำเรื่องเลวร้ายเพียงเพราะ ‘นายสั่งมา’)

https://consumer.ftc.gov/articles/how-avoid-scam (How To Avoid a Scam)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 กันยายน 2565

วิธีรักษาโรคต้อตาด้วยการบ่งต้อด้วยหนาม….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24nd97zfg24jl#_=_


กรุงไทยปล่อยสินเชื่อ smart money ให้กู้ยืมผ่านไลน์ 50,000 บาท ผ่อนเดือนละ 826 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nxgwmgbr4193


ผู้ประกันตนติดโควิด 19 สามารถเลือกรักษาระบบ Telemedicine ผ่าน 3 แอปฯ ได้แล้ว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bhttd7zg6u3d


เครื่องเป่ามือในห้องน้ำสาธารณะ สามารถแพร่เชื้อจุลินทรีย์ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/sa3ttcahhrwj


 ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดิน 5 จังหวัด เดินหน้ารถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หนองคาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t7wsz22no69a#_=_


กินแกงส้มเจอพิษ “บอนโหรา” เกือบถึงชีวิต …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2jp4eg1hmgkiy#_=_


แมลงสาบมีพิษและสามารถกัดคนได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9rt5b27tqvli

‘Romance Scam’ ภัย‘คนเหงา’ยุคดิจิทัล  เมื่อ‘ความรัก’กลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Think-Piece by Digital Thinkers
บทความนักคิดดิจิตอล
โดย Windwalk_Jupiter

ความรักทำให้คนตาบอด เป็นสำนวนหมายถึงใครก็ตามลองได้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักแล้ว จากคนที่ในยามปกติเคยคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล เคยประสบความสำเร็จในชีวิต สติปัญญาความรู้ที่สั่งสมมาบางทีก็หยุดทำงานไปดื้อๆ กลายเป็นทำอะไรราวกับคนไร้สติไปเสียอย่างนั้น ซึ่งสำนวนนี้แม้จะมีมาตั้งแต่โบราณแต่ก็ยังไม่ล้าสมัย ซ้ำร้ายในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรักยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพในหลอกลวงเอาทรัพย์สิน จนหลายคนตกเป็นเหยื่อเสียเงินเสียทองแทบสิ้นเนื้อประดาตัว

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สังคมไทยคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “Romance Scam” หรือที่แปลเป็นไทยว่า หลอกรักออนไลน์ อาทิ ในวันที่ 15 ก.พ. 2563 หรือ 1 วันหลังจากเทศกาลแห่งความรักอย่างวันวาเลนไลน์ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยแพร่บทความ วาเลนไลน์ ปอท.เตือนภัย หลอกรักออนไลน์ (Romance Scam)” เตือนภัยประชาชน ถึงกลลวงของเหล่ามิจฉาชีพที่ล่อลวงเหยื่อโดยใช้ความรักเป็นกลอุบาย ดังนี้

1.หาเหยื่อ โดยส่วนใหญ่จะเลือกเหยื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ไม่มีครอบครัว มีฐานะดี 2.แปลงโฉมตัวเองโดย สร้างโปรไฟล์ปลอมให้ดูสวย-หล่อมีฐานะดี มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ดี หรูหราเพื่อล่อเหยื่อเข้ามาติดกับดัก พร้อมเก็บข้อมูลและวางแผน โดยมักอ้างว่ามีอาชีพ หมอ ทหาร วิศวกร สถาปนิก นักธุรกิจ เป็นต้น โดยมีรูปแบบการดำเนินชีวิตหรูหรา และจะอ้างว่าเพิ่งเลิกกับภรรยา หรือ ภรรยาเสียชีวิต ตอนนี้รู้สึกเหงา อยากมีชีวิตคู่อีกครั้ง โดยทำทีว่าสนใจเหยื่อ รักเหยื่อ อยากสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อ

3.ปากหวานให้ตายใจ หว่านล้อมในรูปแบบต่างๆ ให้เหยื่อรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญ โดยแชทด้วยเวลาไม่นานจะรีบพัฒนาความสัมพันธ์โดยเรียกเหยื่อว่า Darling ,Sweet heart ,My Love  เป็นต้น 4.ร้อยเล่ห์เพทุบาย เมื่อเหยื่อตายใจหลงรัก ก็จะสร้างสถานการณ์ให้น่าสงสาร และเห็นใจ เพื่อขอเงิน ซึ่งที่ใช้บ่อยคือ 4.1 หลอกว่าจะมาแต่งงานกับเหยื่อที่เมืองไทย โดยจะส่งทรัพย์สิน เช่น เงินสด ทองคำ เครื่องเพชร มาให้เหยื่อที่เมืองไทย มีการถ่ายรูปส่งมาให้ดู โดยรูปที่เอามาใช้ส่วนใหญ่จะนำมาจาก Google จากนั้นจะมีหน้าม้าเป็นคนไทย โทรศัพท์มาอ้างกับเหยื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร หลอกเหยื่อว่ามีทรัพย์สินส่งมาจากต่างประเทศจริง ขอให้เหยื่อโอนเงินค่าภาษีมาให้

4.2 หลอกว่าตัวเองป่วย แต่ประกันสังคม หรือประกันชีวิต ยังเบิกจ่ายไม่ได้ ขอให้เหยื่อโอนเงินมาให้ก่อนแล้วจะใช้คืน 4.3 หลอกว่าได้รับสัมปทานจากรัฐบาล แต่ต้องวางเงินค่าธรรมเนียม ขอให้เหยื่อช่วยโอนเงินมาให้แล้วจะใช้คืน 4.4 หลอกว่าได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่ต้องชำระภาษีมรดก โดยขอให้เหยื่อโอนเงินมาให้แล้วจะใช้คืน และ 4.5 ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นชาวผิวสีร่วมกับคนไทย ในการกระทำความผิด

ขณะที่บทความ รักแท้บนไซเบอร์มีจริงไหม เผลอๆ อาจเจอ Romance scam แทน ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ researchcafe.org ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563 อ้างอิงเรื่องเล่าของ ผศ.ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ หัวหน้าศูนย์ศึกษากฎหมายกับเทคโนโลยี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ปัจจุบันมีตำแหน่งทางวิชาการเป็น รศ.) ที่ทำงานวิจัยแล้วพบว่า แม้ผู้เสียหายจาก Romance Scam ซึ่ง ผศ.ดร.ทศพล ใช้คำแปลว่า พิศวาสอาชญากรรม จะมีจำนวนน้อย แต่มูลค่าความเสียหายกลับสูงมาก

“เราเคยเห็นว่า เยอะที่สุดถึงขั้นว่ามีคนเดียวเสียเงิน 33 ล้านบาท มีการโอนเงินให้กับอาชญากร 26 ครั้ง บางคนยังรู้สึกว่าตัวเองไม่โดนหลอก แจ้งความแล้วตำรวจบอกว่าคุณโดนหลอกแล้วก็ยังบอกว่าไม่โดนหลอก เพราะเป็นความลึกซึ้ง ความซับซ้อนของอาชญากรรม ที่ถ้าไม่แก้ คนๆ นั้นอาจจะหมดชีวิตทั้งชีวิต ลามไปถึงครอบครัวเขาด้วย” ผศ.ดร.ทศพล ระบุ 

ผศ.ดร.ทศพล ยังกล่าวอีกว่า จุดจบของการหลอกลวงจะเกิดขึ้นเมื่อเหยื่อรู้สึก หมดเงินและหมดรัก บางคนเอาบ้าน ทิ่ดินไปจำนอง กู้หนี้ยืมสินเพื่อเอาเงินไปโอนให้นักหลอกลวงรัก พอหมดเงินแล้วจริงๆ นักหลอกลวงรักก็จะค่อยถอยออกไป ขณะที่ถ้าหมดรัก ความรักซาลง เหยื่อก็เริ่มจะคิดได้ เขาจะเริ่มคิดว่าเขาควรแจ้งความไหม เริ่มปรึกษาคนรอบข้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น

พอเราไปทำงานชุดนี้พบว่าเป็นปัญหาสังคมเลย คือทำให้ครอบครัวแตกแยก เพื่อนฝูงทิ้งหมด คือสุดท้ายเหยื่อจะโดดเดี่ยวมากเลย เพราะไปปรึกษาปัญหาแบบนี้ พอปรึกษาใครสักคนจะเริ่มด้วยโอ้ย อธิบายแล้วว่าโดนหลอกแต่ก็ไม่เชื่อ คล้ายๆ เพื่อนเราที่มีแฟนไม่ดี เราพยายามอธิบายแต่เขาไม่รับฟัง สุดท้ายเขาก็โดดเดี่ยว ยิ่งโดดเดี่ยวคนเดียวยิ่งเปราะบางมากขึ้น แล้วความโหดร้ายน่ากลัวขององค์กรอาชญากรรมแบบนี้ ถ้าคนเก่าหลอกเสร็จแล้ว คนใหม่ก็จะมาเพราะเขามีลิสต์อยู่ อีกคนมาดูดเงินใหม่หรือหลอกอะไรใหม่อีก ผศ.ดร.ทศพล กล่าว

ทั้งนี้ ปัญหา Romance Scam ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทย อาทิ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) เผยแพร่รายงาน “Reports of romance scams hit record highs in 2021” เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2565 ระบุว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายจาก Romance Scam อยู่ที่ 547 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่ารายงานเมื่อปี 2560 ถึง 6 เท่า อีกทั้งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 หากเทียบกับรายงานปี 2563 โดยจำนวนเงินที่เหยื่อสูญเสีย เฉลี่ยอยู่ที่ 2,400 เหรียญสหรัฐ หรือราว 8 หมื่นบาทต่อคน

เช่นเดียวกับรายงานข่าว “Online dating scams are on the rise, FBI and FTC warn. Here are some red flags.” จาก USA Today หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่งในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2565 อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ที่ระบุมูลค่าความเสียหายจาก Romance Scam ในปี 2564 ไว้สูงถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ เอ็มมา เฟลชเชอร์ (Emma Fletcher) นักวิเคราะห์จาก FTC ให้ความเห็นกับ USA Today ว่า น่าจะยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกรายงาน เพราะการถูกหลอกเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหยื่ออาจรู้สึกอับอาย

ที่ประเทศอังกฤษ UK Finance ซึ่งเป็นสมาคมของผู้ประกอบกิจการสถาบันการเงินในอังกฤษ เผยแพร่รายงาน “Romance scams on the up during lockdown” ระบุว่า ในปี 2563 ที่โลกเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบมูลค่าความเสียหายจากมิจฉาชีพประเภท Romance Scam (ในบทความใช้คำว่า Romance Fraud หรือการฉ้อโกงโดยใช้กลอุบายจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ) อยู่ที่ 68 ล้านปอนด์ หรือเกือบ 3 พันล้านบาท โดยเหยื่อถูกหลอกในหลายรูปแบบ เช่น การโอนเงิน การซื้อบัตรกำนัล การซื้อสิ่งของมีค่าประเภทโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไปจนถึงการปล่อยให้มิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีธนาคารหรือบัตรต่างๆ 

รายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนหันมาใช้บริการหาคู่ออนไลน์มากขึ้น โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Online Dating Association (ODA) ซึ่งเป็นเครือข่ายของผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหาคู่ออนไลน์ ระบุว่า ในช่วงล็อกดาวน์รอบแรก มีชาวอังกฤษ 2.3 ล้านคนใช้บริการหาคู่ออนไลน์ โดยร้อยละ 64 ของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจ มองว่า แพลตฟอร์มหาคู่ออนไลน์เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ซึ่งอินเตอร์เน็ตแม้ด้านหนึ่งจะเพิ่มโอกาสในการพบปะและสานสัมพันธ์กับผู้คนใหม่ๆ แต่ก็กลายเป็นช่องทางที่เอื้อต่อมิจฉาชีพในการก่ออาชญากรรมหลอกเอาเงินจากเหยื่อด้วย

ในเวลาต่อมา UK Finance ออกบทความอีกฉบับหนึ่ง “Nearly 40 per cent of people looking for love online were asked for money” ระบุว่า ร้อยละ 38 ของผู้ที่หาคู่ทางออนไลน์ พบเจอกับการถูกขอเงิน และร้อยละ 57 ยอมรับว่า เคยให้หรือให้ยืมเงินแก่ผู้ที่พบกันทางออนไลน์ ซึ่งเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อ Romance Scam ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้นถึง 15 ล้านปอนด์ หรือราว 660 ล้านบาท โดยเหตุผล 3 อันดับแรกของการขอเงินทางออนไลน์ อันดับ 1 มีเรื่องฉุกเฉินต้องรีบใช้เงิน ร้อยละ 37 รองลงมา เป็นค่าเดินทางเพื่อไปพบผู้ที่ให้เงิน ร้อยละ 36 และอันดับ 3 จะนำเงินไปลงทุน ร้อยละ 29

ในทวีปเอเชีย ญี่ปุ่น เป็นอีกประเทศที่เผชิญปัญหา Romance Scam รุนแรงในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ดังรายงานข่าว “Japan sees ‘romance scams’ surge amid pandemic” เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2564 โดย The Japan Times หนังสือพิมพ์เก่าแก่ฉบับหนึ่งในญี่ปุ่น ระบุว่า การออกนอกบ้านได้น้อยลงเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด ทำให้ผู้คนหันไปพึ่งพาบริการแพลตฟอร์มหาคู่ออนไลน์ 

รายงานข่าวอ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์กิจการผู้บริโภคแห่งชาติญี่ปุ่น (National Consumer Affairs Center of Japan หรือ NCAC) ที่พบว่า ในปีงบประมาณ 2563 สถิติผู้ตกเป็นเหยื่อ Romance Scam อยู่ที่ 84 ราย เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2562 ซึ่งมีเพียง 5 ราย  และที่น่าห่วงคือ เพียง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ก็มีรายงานผู้ตกเป็นเหยื่อ Romance Scam ระดับเดียวกับทั้งปีงบประมาณ 2563 แล้ว

สื่อญี่ปุ่นฉบับนี้ ยังยกกรณีหนึ่งมาเป็นอุทาหรณ์ เหตุเกิดเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 หญิงวัย 30 ปีเศษ อาศัยอยู่ในภูมิภาคโทโอคุ (Tohoku) หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตนได้ใช้บริการแอปพลิเคชั่นหาตู่ออนไลน์ แล้วพบผู้ที่อ้างว่าเป็นชาวแคนาดาซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว และยอมรับว่าถูกดึงดูดจาก รูปโปรไฟล์ (Profile Picture)” ทำให้เริ่มพูดคุยจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยเมื่อเริ่มสนิทกัน (ทางออนไลน์) ชายคนดังกล่าวได้ชักชวนให้หญิงสาวลงทุนผ่านการซื้อสกุลเงินดิจิทัลโดยแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศ 

ซึ่งในตอนแรก มันทำกำไรได้ 6,600 เยน หรือประมาณ 1,700 บาท ตนก็ยิ่งเชื่อชายคนนี้มากขึ้นไปอีก ทำให้ตนไปหาระดมเงินมาจากทุกทิศทางที่หาได้ (เช่น จากครอบครัว) อีกประมาณ 6 ล้านเยน หรือประมาณ 1.5 ล้านบาท ไปยังบัญชีที่ชายคนนี้บอก ด้วยเพราะ หลง กับคำว่า ผมต้องการสร้างความสำเร็จนี้ด้วยกันกับคุณกระทั่งต่อมาเมื่อผู้รับแลกเปลี่ยนเงินตรา อ้างว่าต้องขอเงินเพิ่ม และตนก็จ่ายไปอีก 5.5 ล้านเยน หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท ครั้งนี้จึงเริ่มเอะใจ ต่อมาจึงได้รู้ว่า รูปโปรไฟล์นั้นเป็นรูปคนดังจากต่างประเทศ และไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินเกิดขึ้นจริง

คำถามต่อไป ใครมีโอกาสตกเป็นเหยื่อ Romance Scam มากที่สุด ประเด็นนี้ยังไม่มีผู้ใดให้ข้อสรุปได้แน่ชัดเพราะมีข้อค้นพบแตกต่างกันไป อาทิ บทความ “Do You Love Me? Psychological Characteristics of Romance Scam Victims” ผลงานของ โมนิกา ที. วิตตี (Monica T. Whitty) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ตัวแปรมนุษย์กับความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้งในออสเตรเลียและอังกฤษ เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติว่าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (NCBI) หอสมุดแพทย์แห่งชาติ (NLM) สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2561 วิเคราะห์แต่ละตัวแปรที่เคยมีผู้ทำงานวิจัยไว้ดังนี้

1.อายุ ข้อค้นพบมีทั้งผู้สูงวัยมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมากที่สุด , วัยกลางคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมากที่สุด และทั้งผู้สูงอายุและวัยกลางคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมากพอๆ กัน

2.เพศ แม้ไม่ค่อยมีข้อมูลว่าด้วยแนวโน้มเพศใดจะถูกหลอกได้ง่าย แต่ผู้เขียนก็อ้างผลการศึกษาในประเทศออสเตรเลีย พบผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากกว่าผู้ชาย

3.ระดับการศึกษา เช่นเดียวกับปัจจัยด้านเพศ แม้ไม่มีใครทราบถึงแนวโน้มว่าผู้มีการศึกษามากหรือน้อยจะถูกหลอกได้ง่าย แต่ก็เคยมีงานวิจัยพบอยู่บ้างว่าผู้มีการศึกษาน้อยมักตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงเกี่ยวกับผู้บริโภค (Consumer Fraud) และมีการตั้งสมมติฐาน (Hypothesize) ว่า ผู้มีการศึกษาน้อยมีแนวโน้มถูกหลอกจากมิจฉาชีพ Romance Scam ได้ง่าย

4.ความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นตัวแปรที่ชัดเจนว่า ผู้ที่มีความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ มีโอกาสตกเป็นเหยื่อน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ เนื่องจาก Romance Scam เป็นการหลอกลวงผ่านอินเตอร์แน็ต

5.นิสัย “หุนหันพลันแล่น” พบว่า ผู้ที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น (Impulsivity) โอกาสตกเป็นเหยื่อก็มากขึ้นด้วย เนื่องจากมิจฉาชีพมักใช้กลอุบายเรื่องการขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน (ประเภท “ร้อนเงิน” มีเรื่องต้องใช้จ่ายขอให้ช่วย) เพื่อกดดันเหยื่อให้รีบโอนเงินโดยเร็ว

6.เชื่อในโชคชะตา..หรือเชื่อในการกระทำของตน การศึกษาแบ่งคนเป็น 2 ประเภท คือ internal locus of control หมายถึง คนที่เชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมของตนเอง กับ external locus of control หมายถึง คนที่เชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายนอก เช่น โชคชะตา โอกาส อย่างไรก็ตาม ตัวแปรนี้บทความใช้เพียงคำว่า สมมติฐาน เท่านั้น โดยระบุว่า ผู้ที่เชื่ออย่างมากว่าเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายนอก มีโอกาสตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ Romance Scam มากขึ้น 7.นิสัย เชื่อคนง่าย มีการตั้งสมมติฐานว่า ผู้ที่ไว้วางใจผู้อื่นได้ง่ายมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อ Romance Scam อธิบายตนเองว่าเป็นคนไร้เดียงสาและน่าไว้วางใจ (naïve and trusting) ซึ่งดูจะสอดคล้องกับ 

8.นิสัย เป็นคนซื่อๆ มีข้อค้นพบว่า ทั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพไปแล้ว และผู้ที่เกือบตกเป็นเหยื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจอย่างสูง รวมถึงมีสมมติฐานด้วยว่า คนที่มีนิสัยซื่อๆ (Trustworthy) มีโอกาสถูกหลอกได้มาก 9.นิสัย ใจดีมีเมตตา ตัวแปรนี้ไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการเป็นคนใจดี (Kind) มีผลมาก-น้อยเพียงใดต่อการถูกหลอกลวง แต่จากเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับ Romance Scam ที่เหยื่อพลาดเพราะต้องการช่วยเหลือผู้อื่น จึงกลายเป็นสมตติฐานได้โดยปริยายว่าคนประเภทนี้เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 

10.ความโลภ การที่ Romance Scam หลายกรณี มิจฉาชีพใช้กลอุบายเรื่องความมั่งคั่งจากการลงทุน และความสมบูรณ์แบบของความสัมพันธ์ (ชีวิตรัก) ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ความโลภ (Greed) เป็นอีกพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยง คนโลภมากโอกาสตกเป็นเหยื่อก็สูงมาก และ 11.นิสัย เสพติด อาจจะดูแปลกสักหน่อย แต่มีคำอธิบายโดยเปรียบเทียบกับนักพนัน (Gambler) ว่า คนเล่นการพนันกับคนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพมักเสพติด (Addiction) อารมณ์บางอย่าง นั่นคือความรู้สึกว่าตนเองใกล้จะชนะแล้ว (near win)

ขณะที่ The Conversation เว็บไซต์เครือข่ายแบ่งปันงานวิจัยและบทความทางวิชาการระดับโลก เผยแพร่บทความ “Organized crime has infiltrated online dating with sophisticated ‘pig-butchering’ scams” เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 เขียนโดย คาร์โล แฮนดี ชาร์ลส์ (Carlo Handy Charles) นักศึกษาปริญญาเอกด้านสังคมวิทยา/ภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์ (McMaster University) ประเทศแคนาดา ซึ่งทำงานเป็นนักวิจัยอยูที่ Institute Convergence Migrations กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระบุว่า มิจฉาชีพ Romance Scam เล็งเหยื่อที่เป็นคนโสดทั้งชายและหญิง รวมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แม้กระทั่งผู้อพยพที่เพิ่งลงหลักปักฐานใหม่

หรือที่ประเทศไทยเอง เว็บไซต์ researchcafe.org ของ สกสว. เผยแพร่บทความ รักออนไลน์ ความเสี่ยงจากความเหงา เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2563 หยิบยกงานวิจัย โครงการวิจัยข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมเพื่อป้องกันและปราบปรามพิศวาสอาชญากรรม (Romance Scam) และแนวทางสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชน ของ ผศ.ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเผยแพร่ โดยระบุว่า แนวโน้มของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักมีลักษณะดังนี้ เพศหญิง อายุ 45-65 ปี (ค่าเฉลี่ยอายุ 50 ปี) สถานภาพหย่าร้าง/หม้าย, เหงา ขี้สงสาร และต้องการมีเพื่อนต่างชาติ 

เป็นผู้ที่ขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำข้อมูลส่วนบุคคล หรือวิถีชีวิต (Lifestyle) เข้าสู่โลกดิจิทัล เช่น การแสดงข้อมูลชื่อ อายุ การทำงาน สถานะทางสังคมสถานภาพคู่ครอง งานอดิเรก ความชื่นชอบส่วนตัว การแสดงความคิดเห็น ภาพถ่าย สเตตัส และการแชร์ข้อมูล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เพียงแค่การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำ ประกอบกับเป็นคนขี้เหงา/ขี้สงสาร และหลงเชื่อที่จะตอบกลับข้อความจากแชตคนแปลกหน้าถือว่ามีความเสี่ยงในการตกเป็นเป้าหมาย (เหยื่อ) ของนักต้มตุ๋น (Romance scam) ได้ถึง 70%

ซึ่งเมื่อเหยื่อเห็นเป้าหมาย ก็จะเริ่มปฏิบัติการโดยอาศัยหลักการพื้นฐานทางจิตวิทยาร่วมกับการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผน และการดำเนินขั้นตอนตามที่วางแผนไว้ หรือเรียกรวมๆ ว่า วิศวกรรมสังคม (Social Engineering)” โดยกระบวนการล่อลวงนี้สามารถแบ่งได้เป็นขั้นตอนหลัก 6 ขั้นตอน คือ 1.การปลอมโปรไฟล์ 2.เลือกช่องทางในการล่อลวงเป้าหมาย 3.เลือกเป้าหมาย (เหยื่อ) 4.สร้างบทบาทเพื่อเข้าถึงเป้าหมาย 5.การสร้างสถานการณ์ และ 6.บรรลุภารกิจทางการเงิน

แต่อีกด้านหนึ่ง คนอายุน้อยก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน ดังที่ Lloyds Banking Group สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ เผยแพร่บทความ “Romance scams on the rise as victims get younger” เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565 ระบุว่า ในปี 2564 สถิติการตกเป็นเหยื่อ Romance Scam เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ค่าเฉลี่ยของเงินที่สูญเสียคือ 8,655 ปอนด์ หรือเกือบ 4 แสนบาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 8,610 ปอนด์ หรือราว 3.9 แสนบาทต่อคน เพียงเล็กน้อย

โดยในปี 2564 แม้คนอายุ 55-64 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้วจะเสียเงินให้มิจฉาชีพเป็นจำนวนมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 15,957 ปอนด์ หรือราว 7.3 แสนบาทต่อคน แต่ก็พบว่า ผู้มีอายุ 45-54 ปี เป็นวัยที่ตกเป็นเหยื่อมากที่สุด โดยความสูญเสียอยู่ที่ 7,336 ปอนด์ หรือเกือบ 3.4 แสนบาทต่อคน แต่ที่น่าสนใจคือพบคนอายุน้อยตกเป็นเหยื่อเช่นกัน อาทิ วัยรุ่นหนุ่ม-สาว อายุ 18-24 ปี ความสูญเสียอยู่ที่ 2,128 ปอนด์ หรือราว 9.7 หมื่นบาทต่อคน และวัยเพิ่งเริ่มทำงาน อายุ 25-34 ปี ความสูญเสียอยู่ที่ 3,193 ปอนด์ หรือเกือบ 1.5 แสนบาทต่อคน

เช่นเดียวกับเว็บไซต์ Marketwatch สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐฯ ที่เน้นเผยแพร่ประเด็นข่าวสารด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เสนอข่าว ‘There was always some kind of an emergency or some urgent need for money’: More young Americans fall victim to old-fashioned romance scams เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2565 (แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่ 20 ก.พ. 2565) อ้างอิงข้อมูลจาก FTC ที่ระบุว่า แม้ผู้มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ยังคงเป็นเหยื่อ Romance Scam มากที่สุด แต่ในปี 2564 กลับพบว่า คนหนุ่ม-สาว อายุ 18-29 ปี ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่สาเหตุนั้นยังไม่ชัดเจน นักวิจัยตั้งสมมติฐานหลายข้อ ทั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้คนขี้เหงาอยู่แล้วแถมต้องมาอยู่คนเดียวในบ้านอีกตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น รวมถึงการลงทุนสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือชิ้นใหม่ของมิจฉาชีพ

อนึ่ง แม้รายงานข่าวหรือบทความทางวิชาการหลายชิ้นจะชี้ว่าคนบางประเทศหรือบางเชื้อชาติ มีแนวโน้มเป็นมิจฉาชีพ Romance Scam อีกทั้งเหยื่อจำนวนมากพบว่าพลาดพลั้งเพราะต้องการหาคู่เป็นชาวต่างชาติ แต่มิจฉาชีพประเภทนี้สามารถพบได้ทุกชาติ มาก-น้อยต่างกันไป รวมถึงคนในชาติเดียวกันหลอกกันเอง เช่น กรณีของประเทศไทย วันที่  27 ต.ค. 2564 นสพ.ผู้จัดการ เสนอข่าว ตร.สันกำแพงรวบป้าสุดแสบใช้ภาพสาวสวยปลอมเฟซบุ๊กอ้างตัวเป็น ตชด.หญิง หลอกหนุ่มใหญ่หลงรักเปย์เงินกว่า 2 แสนว่าด้วยหนุ่มใหญ่วัย 60 ปี เข้าแจ้งความที่ สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ว่า ตนรู้จักหญิงสาวคนหนึ่งผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook) และติดต่อกันทางแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) พูดคุนกันอยู่ประมาณ 2 ปีโดยไม่เคยพบหน้ากัน 

โดยหญิงสาวอ้างเป็นตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี และหาเรื่องขอเงินตนตลอด อ้างเหตุต่างๆ นานา โดยรวมยอดเงินที่โอนไปให้นั้นอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาท กระทั่งต่อมาได้รู้ว่ารูปโปรไฟล์หญิงสาวเป็นของปลอมจึงเข้าแจ้งความ ท้ายที่สุดตำรวจไปจับกุมได้ที่บ้านพักในกรุงเทพฯ คนร้ายซึ่งเป็นหญิงอายุ 58 ปี จริงๆ แล้วทำงานเป็น รปภ. ของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่ได้เป็นตำรวจตามที่กล่าวอ้าง 

FBI สหรัฐฯ แนะนำวิธีการป้องกันตนเองจากภัย Romance Scam ไว้ดังนี้ 1.ระมัดระวังการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์  การโพสต์สิ่งต่างๆ และตั้งสถานะเป็นสาธารณะที่ทุกคนมองเห็นได้ มิจฉาชีพสามารถใช้รายละเอียดเหล่านี้บนสื่อสังคมออนไลน์รวมถึงเว็บไซต์หาคู่เพื่อทำความเข้าใจเป้าหมายได้ 2.ตรวจสอบโปรไฟล์คู่สนทนา ภาพและรายละเอียดของคนที่ติดต่อมา ควรค้นหาทางอินเตอร์เน็ตก่อนว่ามีการใช้ที่อื่นอีกหรือไม่ 

3.อย่าใจร้อน ค่อยๆ พูดคุยและยิงคำถามไปเรื่อยๆ อีกทั้งควรเพิ่มความระมัดระวังหากพบว่าคู่สนทนาแสดงโปรไฟล์ที่ดูโดดเด่นสมบูรณ์แบบเกินไป หรือพยายามให้ออกจากการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสื่อสารกันโดยตรง รวมถึงความพยายามบอกให้แยกตัวจากเพื่อนครอบครัว 4.อย่าส่งข้อมูลที่ละเอียออ่อน เช่น ภาพหรือข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่ล่อแหลม เพราะมีโอกาสถูกนำไปใช้ขู่กรรโชกทรัพย์ในภายหลัง

5.ผ่านไปนานก็ไม่ยอมมาเจอกันให้ถือว่าผิดสังเกต บุคคลที่ชอบสัญญาว่าจะมาพบหน้ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีข้ออ้างต่างๆ นานาว่าไม่สามารถมาเจอกันได้ หากผ่านไปสัก 2-3 เดือน การตั้งข้อสงสัยนั้นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล และ 6.อย่าโอนถ้าไม่รู้จักตัวเป็นๆ หมายถึงไม่ควรโอนเงินให้บุคคลใดที่เคยติดต่อกันเฉพาะทางแพลตฟอร์มออนไลน์หรือทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด

เช่นเดียวกับบทความ “Romance Scam ไม่รักไม่ว่า แต่อย่ามาหลอกกัน โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDTA) เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2562 แนะวิธีป้องกันภัย Romance Scam ไว้ดังนี้ 1.หากพูดคุยกับคนแปลกหน้าออนไลน์ ควรตรวจสอบข้อมูลของบุคคลดังกล่าวเสียก่อนว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ และเป็นบุคคลตามที่บอกไว้จริงหรือไม่ อาจตรวจสอบจากรูปโพรไฟล์ โดยการดาวน์โหลดแล้วสืบค้นดูว่ามีภาพปรากฏอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่ เป็นใคร การสืบค้นรูปภาพสามารถใช้บริการของกูเกิล https://images.google.com ข้อสังเกตคือหากเป็นมิจฉาชีพมักใช้บัญชีโปรไฟล์ปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่ๆ มีเพื่อนน้อยมากหรือไม่มีเลยสักคน มีภาพกิจกรรม การติดต่อ หรือโพสต์ต่างๆ น้อยมากๆ และมักติดต่อหว่านล้อมด้วยคำพูดหวานๆ ทั้งมีข้อเสนอที่ดีเกินกว่าจะเป็นความจริง

2.ไม่เชื่อคนหรือเรื่องราวต่างๆ ง่ายๆ และอย่าโอนเงินให้ใครโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่รู้จักทางออนไลน์ อย่าคิดว่าจะได้เงินคืน ตระหนักอยู่เสมอว่าไม่มีของฟรีในโลก และ 3.ระมัดระวังเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่น ไม่ใส่ข้อมูลส่วนตัวลงบนสื่อออนไลน์ ไม่ตั้ง Status เป็นสาธารณะ และป้องกันการถูกขโมยตัวตนและข้อมูลสำคัญในบัญชีต่างๆ โดยการใช้พาสเวิร์ดที่มีความมั่นคงปลอดภัย คาดเดาได้ยาก

และเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกแล้ว “เตรียมเอกสารและหลักฐานให้พร้อม” ให้ผู้เสียหายเตรียมเอกสารส่วนตัว และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปด้วย กรณีที่เสียหายต่อชื่อเสียง ให้เตรียมหลักฐานที่พบว่ามีการกระทำความผิด เช่น หน้าจอ หน้าเว็บไซต์ หน้าโปรแกรมไลน์ โปรแกรมเฟซบุ๊ก หรือหน้าเพจที่พบการกระทำความผิด พรินต์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์แล้วนำไปด้วย กรณีที่เสียหายต่อทรัพย์ ให้เตรียมหลักฐานที่พบการกระทำความผิด การหลอกลวง พรินต์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ หลักฐานการโอนเงินต่างๆ นำไปด้วย แล้วนำไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือเข้าร้องทุกข์ที่ ปอท. 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง และความรักก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ ความรักที่มีสติจะช่วยให้แยกแยะได้ว่าใครรักจริงและใครที่เป็นผู้เข้ามาหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนพื้นที่ออนไลน์ที่การปลอมแปลงตัวตนทำได้ง่ายยิ่งต้องระมัดระวังหากไม่อยากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://tcsd.go.th/วาเลนไลน์ปอทเตือนภัย/ (วาเลนไลน์ ปอท.เตือนภัย หลอกรักออนไลน์ (Romance Scam) : ปอท.)

https://researchcafe.org/love-in-cyber-platform-is-real-or-not/ (รักแท้บนไซเบอร์มีจริงไหม เผลอๆ อาจเจอ Romance scam แทน : ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ , สกสว.)

https://www.ftc.gov/news-events/data-visualizations/data-spotlight/2022/02/reports-romance-scams-hit-record-highs-2021 (Reports of romance scams hit record highs in 2021 : FTC)

https://www.usatoday.com/story/news/nation/2022/02/16/romance-scams-rise-cost-americans-millions-fbi-ftc/6797616001/ (Online dating scams are on the rise, FBI and FTC warn. Here are some red flags. : USA Today)

https://www.ukfinance.org.uk/press/press-releases/romance-scams-during-lockdown (Romance scams on the up during lockdown : UK Finance)

https://www.ukfinance.org.uk/press/press-releases/nearly-40-cent-people-looking-love-online-were-asked-money (Nearly 40 per cent of people looking for love online were asked for money : UK Finance)

https://www.japantimes.co.jp/news/2021/08/19/national/crime-legal/romance-scam-rise-covid-19/ (Japan sees ‘romance scams’ surge amid pandemic : The Japan Times)

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5806049/ (Do You Love Me? Psychological Characteristics of Romance Scam Victims : NLM-NIH)

https://theconversation.com/organized-crime-has-infiltrated-online-dating-with-sophisticated-pig-butchering-scams-177445 (Organized crime has infiltrated online dating with sophisticated ‘pig-butchering’ scams : The Conversation)

https://researchcafe.org/romance-scam-2/ (รักออนไลน์ ความเสี่ยงจากความเหงา : สกสว.)

https://www.marketwatch.com/story/romance-scams-soar-80-in-2021-with-500-million-stolen-big-rise-in-people-aged-18-29-sending-money-to-people-they-met-online-11644799161 (‘There was always some kind of an emergency or some urgent need for money’: More young Americans fall victim to old-fashioned romance scams : Marketwatch)

https://mgronline.com/local/detail/9640000106564 (ตร.สันกำแพงรวบป้าสุดแสบใช้ภาพสาวสวยปลอมเฟซบุ๊กอ้างตัวเป็น ตชด.หญิง หลอกหนุ่มใหญ่หลงรักเปย์เงินกว่า 2 แสน : นสพ.ผู้จัดการ)

https://www.fbi.gov/scams-and-safety/common-scams-and-crimes/romance-scams (Romance Scams : FBI)

https://www.etda.or.th/th/Knowledge-Sharing/Romance-Scam-in-IFBL-aspx.aspx (Romance Scam ไม่รักไม่ว่า แต่อย่ามาหลอกกัน : EDTA)


‘ข้อมูลบิดเบือน’เกลื่อนโลกออนไลน์! ‘วาระโลก’ต้องร่วมแก้ไข..หากยังอยากให้‘ประชาธิปไตย’น่าเชื่อถือ

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Think-Piece by Digital Thinkers
บทความนักคิดดิจิตอล
โดย Windwalk_Jupiter

ในโลกสมัยใหม่ที่ “ประชาธิปไตย” เป็นระบอบการปกครองกระแสหลัก ซึ่งเรียกร้องให้ประชาชน “กระตือรือร้น” เข้าไป “มีส่วนร่วมทางการเมือง” อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติและบริหารแล้ว ยังต้องคอยสังเกตการณ์รวมถึงท้วงติงเพื่อควบคุมการใช้อำนาจของผู้แทนไม่ให้นอกลู่นอกทาง แต่การที่ประชาชนจะสามารถเลือกคนเข้าไปบริหารประเทศก็ดี การตรวจสอบอำนาจของผู้แทนที่เลือกเข้าไปเป็นสมาชิกรัฐสภาหรือจัดตั้งรัฐบาลก็ดี “การได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง” เป็นเรื่องสำคัญ

MediaSmarts องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา มีภารกิจให้ความรู้และสร้างความตระหนักเรื่องการคิดแบบมีวิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ เผยแพร่บทความ Political Disinformation อธิบายว่า ข้อมูลบิดเบือนทางการเมือง สร้างความปั่นป่วนต่อกระบวนการเลือกตั้งที่ถูกคาดหวังว่าควรจะบริสุทธิ์ยุติธรรมได้อย่างไร ดังนี้

1.เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางต่อสาร (Reaching an audience that’s vulnerable to the message) มนุษย์นั้นมีสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อ (Belief) และความเชื่อนั้นส่งผลต่อ ความคิด (Thinking) ดังนั้นโฆษณาที่เข้ากับ จริต ของกลุ่มเป้าหมายจะส่งผลอย่างมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งการค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายมีจริตหรือความคิด-ความเชื่ออย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องยากในปัจจุบัน ในยุคที่ผู้คนใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ประเภทเสิร์ชเอ็นจิน (Search Engine เช่น Google , Yahoo ฯลฯ) กันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

พรรคการเมืองหรือนายหน้านักโฆษณา (Ad Broker) สามารถนำข้อมูลเป้าหมาย (เช่น ประวัติความเหลื่อนไหวบนสื่อสังคมออนไลน์) มาใช้ออกแบบโฆษณาเพื่อส่งสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับความเชื่อที่กลุ่มเป้าหมายมี ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่าใดโฆษณาที่ออกแบบมาก็ยิ่งส่งผลสะเทือนต่อสู้รับสารมากจึ้นเท่านั้น ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นคือการอาศัยกลไก อัลกอริทึม (Algorithm) ของสื่อสังคมออนไลน์ แม้การโฆษณาในช่วงแรกๆ ผู้ต้องการเผยแพร่โฆษณาต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่หากมันเข้ายึดกุมจิตใจของผู้รับสารได้ ผู้รับสารก็จะค้นหาข้อมูลที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายถึงกระตุ้นให้อัลกอริทึมเรียนรู้ที่จะป้อนเนื้อหาทำนองเดียวกันมาให้เรื่อยๆ บนหน้าฟีดข่าว โดยที่ผู้รับสารไม่ต้องค้นหาเองอีกต่อไป รวมถึงยังช่วยแชร์ไปยังเพื่อนคนอื่นๆ ของผู้รับสารด้วย

แม้แต่เรื่องราวที่ดูประหลาดหลุดโลกที่สุดก็ยังได้ประโยชน์จากกระบวนการนี้ เพราะผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดเรื่องหนึ่งมักจะเชื่้่อทฤษฎีสมคบคิดเรื่องอื่นๆ ด้วย การค้นหาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่พร้อมจะรับทฤษฎีดังกล่าวอย่างน้อยสักเรื่องหนึ่งนั้นมีความสำคัญต่อการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดใหม่ๆ ต่อไป (Even the most outlandish stories benefit from this process: because those who believe in one conspiracy theory are likely to believe in others, finding voters who already subscribe to at least one such theory is crucial to spreading a new one.)”

2.กระตุ้นหรือกดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (Energizing or suppressing voters) ในอดีตโฆษณาที่มีเนื้อหาของสารแบบ สุดโต่ง (Extreme)” ถูกมองว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเพราะอาจทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเริ่มรู้สึกต้องการความเป็นกลางมากขึ้น แต่ปัจจุบันที่การโฆษณาสามารถส่งสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เนื้อหาประเภทสุดโต่งก็สามารถถูกส่งไปถึงผู้รับสารฝ่ายสนับสนุนขั้วการเมืองของตนที่เป็นบุคคลประเภท หัวรุนแรง (Hardcore)” หรืออีกด้านหนึ่ง อาจส่งไปยังผู้รับสารที่เป็นผู้สนับสนุนคู่แข่งทางการเมือง โดยคาดหวังว่าส่วนหนึ่งเมื่อได้รับสารแล้วอาจตัดสินใจไม่ออกไปลงคะแนนเสียง เป็นการตัดกำลังได้อีกทางหนึ่ง 

และด้วยความที่อยู่ในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ที่รับรู้ว่ามีการโฆษณาทำนองนี้จะมีเพียงผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ ผู้จ่ายเงินซื้อโฆษณา และผู้รับสารที่ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น จึงเป็นเรื่องยากที่คู่แข่งทางการเมือง หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง จะติดตาตรวจสอบมและมีมาตรการใดๆ ออกมารับมือ ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหาที่รุนแรงสุดโต่ง ยังไปกระตุ้นให้กลุ่มคนที่คิดเห็นเหมือนกันแข่งกันสุดโต่งมากขึ้นไปอีก

ผลกระทบทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสมาชิกแชร์ถ้อยคำที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้รับการยอมรับและถูกแชร์ต่อไปจากเพื่อนๆ ของพวกเขา และมีภาพสะท้อนในแง่บวกของตนเองในกระบวนการ ตัวอย่างที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือกลุ่มทีแชร์ภาพอาหารบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างกลไกของอัลกอริทึมกับจริตของมนุษย์ที่ต้องการได้รับความสนใจและการยอมรับ นำไปสู่การแข่งกันโพสต์ภาพของแฮมเบอร์เกอร์ที่ใหญ่เกินกว่าจะกินได้ หรือพิซซ่าที่มีทาโก้อยู่ เมื่อมีคนต้องการขยายขอบเขตออกไปนอกเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของเขาหรือเธอ วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดวิธีหนึ่งในการบรรลุการดึงดูดใจของมวลชนกลับกลายเป็นการหันไปใช้ความสุดโต่ง

(There is an escalating effect as members avidly share increasingly extreme messages in order to earn endorsements and shares from their friends and reflect positively on themselves in the process. A particularly striking example of this is found among those who share images of food online, where a mix of social network algorithms and human desires for attention and prestige have led people to post pictures of hamburgers too big to eat or pizzas with tacos on them: “When someone wanted to broaden out beyond his or her immediate social networks, one of the most effective ways to achieve mass appeal turned out to be by turning to the extreme.)”

3.ปั่นกระแสให้อยู่ในตำแหน่งมองเห็นได้ง่ายที่สุด (Setting the agenda during breaking news) ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือคลาดเคลื่อน หากถูกแผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางแล้วคนก็จะมักจะเชื้อในเรื่องนั้นมากกว่าเรื่องใหม่ที่ถูกเผยแพร่ตามมาทีหลัง แม้จะมีการพิสูจน์จนหักล้างได้ในเวลาต่อมาก็ตาม บรรดานักสร้างเนื้อหาบิดเบือนจึงพยายามให้เนื้อหาของตนถูกมองเห็นจากผู้คนได้มากที่สุดซึ่งในยุคอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ก็สามารถทำได้หลายวิธี 

เช่น การอาศัยกลไกอัลกอริทึม การใช้ บอท (Bot)” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อควบคุมบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ให้ช่วยโพสต์ข้อความปั่นกระแสเรื่องราวที่ต้องการ พร้อมติดแฮชแท็ก (#) จนติดอันดับต้นๆ ของเรื่องราวที่เป็นกระแสมาแรงในขณะนั้น หรือการตั้งกระทู้เรื่องเดียวกันจำนวนมากบนเว็บบอร์ดอย่าง Reddit (เว็บไซต์กระดานสนทนาที่มีแบ่งห้องสนทนาเป็นหมวดตามความสนใจต่างๆ ที่จะมีคนมาตั้งและตอบกระทู้ ซึ่งเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยเว็บไซต์ทำนองเดียวกับ Reddit คือ Pantip.com) 

ดังที่ ศ.ดร.เบรนแดน นีฮาน แห่งวิทยาลัยดาร์ทเมาธ์ เคยกล่าวไว้ว่า ข้อมูลผิดๆ แพร่กระจายอย่างกว้างขวางก่อนที่จะสามารถถูกดาวน์เกรดในอัลกอริทึมได้ ตามผลการค้นหาอันดับต้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้นด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับมุมมองทางการเมืองที่รุนแรง มันสามารถพาผู้คนผ่านโพรงกระต่ายไปสู่จักรวาลแห่งทฤษฎีสมคบคิด ดังที่เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับลีแลนน์ รูป ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม 9 ศพ ที่โบสถ์แห่งนึ่งในเซาท์แคโรไลนา หลังจากค้นหาคำว่าอาชญากรผิวดำบนผิวขาว

(As Dartmouth Professor Dr. Brendan Nyhan puts it, misinformation spreads widely before it can be downgraded in the algorithms. Following the top search results, especially when starting with search terms that are associated with extreme political views, can lead a searcher down a rabbit hole into a universe of conspiracy theories, as apparently happened to Dylann Roof, who murdered nine people at a church in South Carolina after searching for the terms black on white crime.)”

4.แหล่งข่าวที่ถูกต้องถูกทำให้ระบาด (Infecting legitimate news) แม้แต่แหล่งข่าวที่ถูกต้องก็อาจถูกนำด้วยอคติได้ทั้งโดยมุมมองของตนเองหรือผู้รับสาร เพื่อให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือแม้ไม่มีการยืนยัน อาทิ ในปี 2559 เว็บไซต์ยูทูปมีผู้เผยแพร่คลิปวีดีโอที่เนื้อหาระบุว่า ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) มีอาการป่วยที่ไม่เปิดเผย ซึ่งขณะนั้น ฮิลลารี กำลังเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงเลือกตั้ง ปธน. แข่งกับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จากพรรครีพับลิกัน จากคลิปดังกล่าว นำมาซึ่งแฮชแท็ก #hillaryhealth ที่จู่ๆ ก็ได้รับความนิยมในทวิตเตอร์ กระตุ้นให้สื่อมวลชนกระแสหลักต้องไปหาประเด็นเรื่องนี้มาขยายความนำเสนอ แม้จะไม่มีข้อมูลใหม่ก็ตาม

แม้ข้อมูลบิดเบือนที่ถูกแพร่กระจายจะไม่ใช่ข้อมูลเท็จทั้งหมดแต่ก็อาจส่งผลร้ายได้ ดังนี้ กิลัด โลทัน เขียนเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาสื่อสังคมออนไลน์ ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฉนวนกาซา ทั้ง 2 ฝ่ายเป็นเท็จในตัวเอง ในทางกลับกัน เรื่องราวที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันแต่ละด้านโดยละเว้นรายละเอียดและบริบทที่สำคัญ เมื่้อสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน มันจะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของผู้คนถึงสิ่งที่เป็นความจริงอย่างเป็นระบบและลึกซึ้ง

(There can be harmful effects even when the disinformation being spread is not entirely false: as Gilad Lotan writes of his study of social networks during the Israel-Gaza conflict, “neither side… was false per se. Rather, each carefully crafted story on either side omitted important detail and context. When this happens constantly, on a daily basis, it systematically and deeply affects people’s perception of what is real.”)”

Carnegie Endowment for International Peace (CEIP) องค์กรคลังสมองเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีในสหรัฐอมเริกา ซึ่งทำงานด้านส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เผยแพร่บทความ “One Strategy Democracies Should Use to Counter Disinformation” เขียนโดย อลิเซีย วานเลส (Alicia Wanless) ผู้อำรวยการของ Partnership for Countering Influence Operations โครงการหนึ่งใน CEIP ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสิ่งที่ผู้คนเป็นอยู่และสิ่งที่ผู้คนควรจะเป็น รวมถึงการศึกษากระบวนการโฆษณาชวนเชื่อผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2565 ระบุแนวทางที่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยควรใช้เพื่อจัดการกับปัญหาข้อมูลบิดเบือน

1.กำหนดให้ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (ซึ่งรวมไปถึงแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ด้วย) ต้องเปิดเผยรายงานการดำเนินการเพื่อสร้างความโปร่งใส ทั้งวิธีการดำเนินงานของบริษัท การพัฒนานโยบายและการบังคับใช้กฎเกณฑ์ โดยรัฐบาลประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ ควรร่วมมือกันเพื่อให้แนวทางนี้ถูกใช้อย่างสอดคล้องกันมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็ไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลออกมาตรการมาควบคุม แต่สามารถดำเนินการได้เองที่ไปไกลกว่าการเลือกรายงาน แต่ควรรายงานอย่างครอบคลุม และมีกระบวนการตรวจสอบที่เป็นอิสระ

2.รัฐและเอกชนต้องสนับสนุนการส่งเสริมทักษะ รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)” ให้ประชาชนเข้าใจการใช้ชีวิตในยุคข้อมูลข่าวสาร 3.เพิ่มการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยให้ทุนสนับสนุนผู้สื่อข่าวอิสระที่นักตรวจสอบข้อเท็จจริง 4.ภาคประชาสังคมต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐและเอกชนในการควบคุมกำกับการดำเนินการของแพลตฟอร์ม ระบุค่านิยมที่ต้องการขับเคลื่อนการแทรกแซงในสภาพแวดล้อมของข้อมูล รวมถึงให้ความรู้กับสังคมเกี่ยวกับกลไกประมวลผล และเผยแพร่สู่วงกว้าง เพื่อสร้างความมั่นใจในแหล่งที่มา เป็นต้น

บทความนี้ยังกล่าวถึงความพยายามขององค์การสหประชาชาติ (UN) ในการยกระดับปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการใช้ความรุนแรงได้ โดยในปี 2564 แอนโตนิโอ กูเตเรส (Antonio Guterres)เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ UN ใช้แนวทาง หลักจรรยาบรรณสากลว่าด้วยการส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริตในข้อมูลสาธารณะ (a global code of conduct that promotes integrity in public information)” กำหนดบรรทัดฐานเชิงพฤติกรรม 

ซึ่งแม้ว่าจะเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบิดเบือนข้อมูล แต่ก็สามารถจำกัดวงให้แคบลงได้ เช่น รัฐบาลสามารถประกาศจุดยืนที่จะไม่บิดเบือนข้อมูลว่าด้วยสินค้าและบริการสาธารณะ อาทิ สุขภาพ การศึกษา หรือให้คำมั่นว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องข้อมูลเท็จกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN สภากาชาด หรือองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ โดยมีตัวอย่าง เช่น ในปี 2557 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศจะไม่ใช้โครงการฉีดวัคซีนเพื่อรวบรวมข่าวกรอง เป็นต้น 

ในทางกลับกัน ภาครัฐสามารถกระตุ้นให้ภาคเอกชนสนับสนุนชุมชนนักวิจัย (ภาควิชาการ) และภาคประชาสังคม ทั้งด้านการเงินและการแบ่งปันข้อมูล เพื่อพัฒนากฎการแบ่งปันข้อมูลเพื่อควบคุมกระบวนการ เพราะด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิธีการทำงานของสภาพแวดล้อมของข้อมูลเท่านั้น จึงจะสามารถพัฒนาแนวทางที่มีความหมายมากขึ้นในการต่อต้านการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสนับสนุนหลักการของเสรีภาพจากมลพิษทางข้อมูล

ขณะที่ในปี 2558 องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) แนะนำว่า แม้การให้นิยามของคำว่า “ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech)” เป็นไปได้ยาก แต่ก็ยังสนับสนุนให้ภาครัฐพยายามหาคำนิยาม โดยการหารือร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต่อมาในปี 2562 UN ได้เรียกร้องให้สนับสนุนพลเมืองดิจิทัลรุ่นใหม่ มีอำนาจรับรู้ ปฏิเสธ และยืนหยัดต่อต้านถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง 

ส่วนผู้ประกอบการสื่อสังคมออนไลน์ควรปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตนให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับปรุงประสบการณ์บนโลกออนไลน์ได้ ดังตัวอย่างของ ทวิตเตอร์ ทดลองใช้โหมดปลอดภัยซึ่งสามารถับยั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ เพื่อควบคุมให้ผู้ใช้งานลบผู้ติดตามตนออกได้ และแจ้งเตือนเวลาผู้ใช้งานจะโพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงละเมิดบุคคลอื่น ขณะเดียวกัน ภาครัฐและผู้ประกอบการควรทำงานกับภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน เพื่อร่วมกันหาแนวทางปรับปรุงกฎระเบียบและการแก้ปัญหาทางเทคโนโลยีให้ดีขึ้น เนื่องจากคนเหล่านี้หลายครั้งคือเป้าหมายของการถูกละเมิด

หรือหากย้อนไปในปี 2524 UN มีปฎิญญาฉบับหนึ่งที่สาระสำคัญคือเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ลดการใช้โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อหาข้ออ้างทำสงครามรุกรานประเทศอื่น ซึ่งอาจนำหลักการมาประยุกต์ใช้ในการต่อต้านการบิดเบือนข้อมูลได้ เนื่องจากการสร้างอิทธิพล (Influence) ที่ไม่ได้รับการยอมรับมักพบความพยายามปกปิดหรือบิดเบือนแหล่งที่มาของข้อมูล การพิจารณาในประเด็นนี้จะนำมาซึ่งความชัดเจนเกี่ยวกับระดับอิทธิพลที่ยอมรับได้และไม่เป็นที่ยอมรับ

ประชาธิปไตยควรมีส่วนร่วมและสนับสนุนภาคประชาสังคม ทั้งที่เป็นภาควิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เพื่อช่วยกำหนดพฤติกรรมเชิงบรรทัดฐานเหล่านี้ กระบวนการของผู้มีส่วนได้-เสียทุกฝ่ายควรนำมาซึ่งการอภิปรายอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับบทบาทของอิทธิพลในสังคม ซึ่งผู้มีบทบาทสามารถมีส่วนร่วมในการอภิปรายสาธารณะได้อย่างถูกต้อง รวมถึงส่วนที่ชี้ให้เห็นถึงจุดที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยถูกกัดเซาะจนไม่สามารถตัดสินใจอย่างเป็นอิสระอยู่บนข้อมูล ซึ่งเป็นรากฐานความชอบธรรมของประชาธิปไตย

รัฐประชาธิปไตยต้องดำเนินการในขณะนี้เพื่อช่วยชี้นำองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการต่อต้านการบิดเบือนข้อมูล ร้องขอข้อเสนอเพิ่มเติมจากภาคประชาสังคมในวงกว้างมากขึ้นในการทำเช่นนั้น และท้ายที่สุดก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงหลักการชี้นำว่าควรควบคุมสภาพแวดล้อมของข้อมูล (Information Environment) อย่างไร!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://mediasmarts.ca/digital-media-literacy/digital-issues/authenticating-information/impact-misinformation-democratic-process/political-disinformation (Political Disinformation) : MediaSmarts)

https://carnegieendowment.org/2022/03/28/one-strategy-democracies-should-use-to-counter-disinformation-pub-86734 (One Strategy Democracies Should Use to Counter Disinformation : CEIP)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 กันยายน 2565

ผลิตภัณฑ์ kinny dt detox รักษาสารพัดโรค โรคมะเร็ง โรคตับ โรคภูมิแพ้ และกำจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1lhvw8zyw0w1j


น้ำลายอัลปากาสร้างแอนติบอดี้ดีกว่าวัคซีน 1,000 เท่า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1441cs9hd6aq3


ไลน์ Official สินเชื่อออมสิน เป็นไลน์ปล่อยสินเชื่อทางการของธนาคารออมสิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3neqietsbqa90


ฉลามครึ่งล้านตัวถูกสังหารเพื่อผลิตวัคซีนโควิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3diuxoo4ib2n2


การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1fqvvnl0araop


 เปิดประกาศ อย. ไฟเขียวเภสัชฯ ขายยาต้านไวรัสโควิด – 19 ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jlcpxxs6gwcn


พบแบงค์พันปลอม ระบาดบริเวณตลาดเทศบาลเมืองบางคูรัด​ #บางบัวทอง #นนทบุรี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gpq2s59lc36n


‘ทฤษฎีสมคบคิด’จับแพะชนแกะ-มโนไปเรื่อย ไฉนคนเชื่อ(และแชร์)แม้ไร้ข้อพิสูจน์?

บทความ
เนื้อหาเป็นจริง

Think-Piece by Digital Thinkers
บทความนักคิดดิจิตอล
โดย Windwalk_Jupiter

 

“3 สิงหาคม 2565” หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนส่งฟ้องมาหลายรอบ ในที่สุดอัยการจังหวัดนนทบุรี ก็นำตัว 6 ผู้ต้องหาที่พัวพันกับการเสียชีวิตของ “แตงโม-นิดา” ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงชื่อดัง ส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลได้ให้ประกันตัวทั้งหมดในวันเดียวกัน ซึ่งหากนับจากวันที่ แตงโม-นิดา เสียชีวิต คือวันที่ 24 ก.พ. 2565 ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาเกือบ 6 เดือน 

และด้วยความที่ผู้เสียชีวิตเป็นดาราดัง เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ทำให้นับตั้งแต่เริ่มปรากฏข่าว แตงโม-นิดา พลัดตกจากเรือสปีดโบ๊ทที่แล่นอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เรื่องราวดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นวงกว้าง ซึ่งเมื่อประกอบกับปัจจุบันที่เป็นยุคสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ จึงมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตการทำหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนเงื่อนงำต่างๆ โดยมีความพยายามสร้างกระแสทำให้เชื่อว่าคดีนี้ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุตามที่ผู้ต้องหายืนยันและตำรวจก็ทำสำนวนเตรียมส่งอัยการ แต่เป็นการจงใจจัดฉากฆาตกรรม เนื่องจากผู้ตายปฏิเสธที่จะทำบางอย่างที่บางคนในเรือต้องการ

หนึ่งในเรื่องที่ร่ำลือกันในพื้นที่ออนไลน์ ชาวเน็ตเชื่อกันไปแล้วว่ามี “ผู้ใหญ่-แขกวีไอพี (VIP)” รอพบกับนักแสดงสาวอยู่ ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยที่คนบนเรือเป็นคนไปตกลงกับผู้ใหญ่คนดังกล่าวว่าจะพาไปพบ แต่เจ้าเพิ่งมารู้ต่อเมื่อลงเรือแล้วและไม่ยินยอมไปพบจึงเกิดเหตุสลดขึ้น เรื่องราวนี้ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง จนทำให้ผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจกลางคืนและคุ้นเคยกับเรื่องราวทำนองนี้ดีอย่าง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ต้องออกมา “ดึงสติ” พาชาวเน็ตกลับเข้าฝั่งก่อนที่จะออกทะเลแห่งความ “มโนไปเรื่อย” ไปมากกว่านั้น 

ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนจะมารอเด็กแบบนี้ เพราะเรื่องแบบนี้หากเกิดขึ้นจริง จะมีการทำกันเงียบๆ และรวดเร็ว ไม่มีการรอ เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นจากผู้อื่น รวมถึงเรื่องแบบนี้ทั้งสองฝ่ายต้องเกิดจากความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ เพราะจะมีปัญหาตามหลังมาได้ (ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ – 7 มี.ค. 2565)

ซึ่งเรื่องราวข้างต้นที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกกับสิ่งที่เรียกว่า ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)” หมายถึงความคิดที่เชื่อว่าเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมีเรื่องราวแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง โดยทั่วไปหมายถึงการเชื่อว่าเหตุการณ์ถูกขับเคลื่อนโดยผู้มีอำนาจและอิทธิพลที่สามารถควบคุมข้อมูลข่าวสาร แล้วใช้อำนาจหรืออิทธิพลนั้นเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้คนทั่วไปรับรู้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำหรือผู้มีอำนาจนั้นเอง โดยผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด มักปฏิเสธข้อมูลจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นทางการ แม้จะเป็นข้อมูลที่มีคำอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ก็ตาม เพราะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกอิทธิพลมืดบิดเบือนข้อเท็จจริง

ย้อนไปเมื่อปี 2561 กับปฏิบัติการกู้ภัยที่เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญจากชาติมหาอำนาจทั่วโลก อย่างเหตุการณ์ “13 หมูป่าติดถ้ำ” ที่ถ้ำหลวงนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในเวลานั้นชาวเน็ตบางส่วนมีการตั้งข้อสงสัยว่า “นักฟุตบอลและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี ติดอยู่ในถ้ำเพราะน้ำท่วมถ้ำจริงหรือไม่” โดยเชื่อกันว่าจริงๆ แล้วทั้งหมดถูกแก๊งค้ายาเสพติดจับตัวไปแต่รัฐบาลปิดข่าว เพราะทั้ง 13 คนไปพบเห็นการลำเลียงยาเสพติด เนื่องจากบริเวณดังกล่าวใกล้กับจุดที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเคยตรวจยึดยาเสพติดล็อตใหญ่มาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นข่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น สวมชุดสำหรับลุยงานภาคสนาม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยข้างต้นถูกร่ำลือผ่านการแชร์บนโลกออนไลน์หนักขึ้น

ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่เชื่อถือทฤษฎีสมคบคิด แต่อาจจะเป็นกันทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนมากในยุคนี้คือ ข่าวลือแปลกๆ ที่ทำให้ผู้คนลังเลไม่ยอมไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศ โดยเฉพาะโลกตะวันตกประสบความยากลำบากในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าว เช่น ฉีดวัคซีนแล้วจะถูกฝังไมโครชิปโดยสำนักข่าวออนไลน์ด้านธุรกิจในสหรัฐอเมริกาอย่าง Insider (เดิมชื่อ Business Insider) อ้างผลการสำรวจของ YouGov สำนักโพลชื่อดังของอังกฤษ ที่ระบุว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 5 หรือร้อยละ 20 โดยมี บิล เกตส์ มหาเศรษฐีเจ้าพ่อไอทีค่ายไมโครซอฟท์ อยู่เบื้องหลัง แม้จะไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ที่ยืนยันความเชื่อนี้ได้เลยก็ตาม แต่เรื่องราวนี้ก็ยังถุกแชร์วนไป-มาบนโลกออนไลน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หรือหนึ่งในเรื่องที่มีคนเชื่อกันมากว่า อเมริกาไม่เคยส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ เรื่องนี้ทำเอาหนึ่งในนักบินอวกาศของยานอพอลโล 11 อย่าง บัซซ์ อัลดริน ที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์ในการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 2512 ของขึ้น ง้างหมัดตะบันหน้า บาร์ท ซิเบรล เหตุการณ์เดือดครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 2545 ซึ่งขณะนั้น ซิเบรล กำลังเดินหน้าโปรโมทสารคดี Astronauts Gone Wild ของตนที่อ้างว่าการไปดวงจันทร์เป็นเรื่องโกหก แม้จะอยู่ต่อหน้า อัลดริน ก็ตาม และในปี 2562 ที่ครบรอบ 50 ปี ภารกิจไปดวงจันทร์ของอพอลโล 11 ก็ยังมีผลการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 6 ไม่เชื่อว่าการไปดวงจันทร์ของนักบินอวกาศสหรัฐฯ เป็นความจริง

มหาวิทยาลัยเคนท์ ประเทศอังกฤษ เผยแพร่บทความ “Explainer: Why do people believe in conspiracy theories?” โดย ศ.คาเรน ดักลาส อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคม อธิบายว่า ในยามวิกฤติ ผู้คนรู้สึกถึงความไม่แน่นอน รู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มั่นใจหรือถูกคุกคาม จึงมองหาวิธีรับมือสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเห็นว่าทฤษฎีสมคบคิดเป็นเครื่องบรรเทาความรู้สึกเหล่านั้น เช่น เห็นคำอธิบายที่ทำให้ความรู้สึกว่าตนเองยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้กลับคืนมา ไปจนถึงรู้สึกดีกับตนเองเพราะเชื่อว่าตนรู้ในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่รู้

มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่ชี้ว่าการเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้น ในทางกลับกัน ทฤษฎีสมคบคิดกลับทำให้ผู้คนรู้สึกแย่ลง เช่น หลังจากอ่านทฤษฎีสมคบคิดแล้ว ผู้คนมักจะรู้สึกมีพลังน้อยลงและยิ่งพบกับความรู้สึกไม่แน่นอนมากขึ้น การเชื่อและใช้เวลามากในการติดตามทฤษฎีสมคบคิดอาจไม่บรรเทาความรู้สึกคับข้องใจ แต่ดูจะทำให้ยิ่งหงุดหงิดขึ้นมากกว่า ศ.คาเรน กล่าว

ในช่วงต้นปี 2564 ที่อุณหภูมิการเมืองสหรัฐอเมริกากำลังร้อนระอุ กรณีกลุ่มผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีที่เพิ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2563 และกำลังอยู่ในช่วงส่งมอบอำนาจให้แก่ผู้ชนะคือ โจ ไบเดน ก่อการประท้วงจนกลายเป็นเหตุจลาจลเพราะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและความพ่ายแพ้ของทรัมป์ สำนักข่าว Voice of America เผยแพร่รายงานพิเศษ “Why Do People Embrace Conspiracy Theories?” โดยอ้างถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า กลุ่มผู้ก่อจลาจลเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเรื่องที่ไบเดนชนะทรัมป์ได้เพราะโกงการเลือกตั้ง 

รายงานฉบับนี้มีการสัมภาษณ์นักวิชาการด้านจิตวิทยาในสหรัฐฯ ว่าเหตุใดผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงชื่นชอบทฤษฎีสมคบคิด โดย ศ.ปีเตอร์ ดิตโต ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่มองโลกแบบขาว-ดำ และมุมมองเชิงศีลธรรมนั้นจะกระตุ้นให้ลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น หากใครคนหนึ่งเชื่อว่าการโกงการเลือกตั้งเป็นความจริง คนคนนั้นอาจจะตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วงก็ได้ แม้จริงๆ แล้วสิ่งที่เชื่อนั้นไม่เป็นความจริงเลยก็ตาม 

ทั้งนี้ ในสถานการณ์ไม่แน่นอน (ซึ่งในรายงานข่าวนี้ยกตัวอย่างโรคระบาดโควิด-19) เป็นช่วงเวลาที่เอื้อต่อการแพร่กระจายทฤษฎีสมคบคิด เพราะผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวและแสวงหาการเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ไวต่อความรู้สึกถูกคุกคามและวิตกกังวล ก็จะยิ่งอ่อนไหวต่อทฤษฎีสมคบคิดได้ง่าย อีกทั้งผู้คนมักเชื่อทฤษฎีสมคบคิด เพราะไม่สามารถยอมรับคำอธิบายง่ายๆ ของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

ขณะที่ นิกา คาบิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดสินใจของมนุษย์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน รัฐวอชิงตัน กล่าวว่า ทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าไปสนใจทฤษฎีสมคบคิด เพราะคนเรานั้นไม่ชอบความรู้สึกไม่แน่นอนหรือควบคุมไม่ได้ และสมองก็จะมองหาคำอธิบาย และยิ่งหากมีบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ร่วมแชร์เนื้อหาทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ มันจะยิ่งได้รับความสนใจจากผู้คนราวกับการแพร่ระบาดแบบไฟลามทุ่ง ทั้งนี้ คาบิริ ยังกล่าวถึงการรวมกลุ่มของคนที่มีมีความเชื่อเหมือนกัน ไม่ว่าในชีวิตจริงหรือบนโลกออนไลน์ ยิ่งกระตุ้นให้ความเชื่อนั้นเข้มข้นกว่าการอยู่เพียงลำพังด้วย

ยังมีการอ้างถึงผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเอมอรี รัฐจอร์เจีย ที่ชี้ว่า คนที่มีแนวโน้มเชื่อทฤษฎีสมคบคิดได้ง่ายมักมีนิสัยไม่ค่อยชอบตั้งคำถาม หรือไม่ก็เป็นพวก “หลงตัวเอง (Narcissistic) มองว่าตนเองมีความสำคัญ ต้องการความสนใจและคำชื่นชมอย่างลึกซึ้ง หรือมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองนั้นเปราะบาง เป็นต้น

กลับมาที่ประเทศไทย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ นักวิชาการด้านการพัฒนาสังคม อดีตอธิการบดีสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ซึ่งมีอีกบทบาทเป็นคอลัมนิสต์ประจำ นสพ.สยามรัฐ เคยเขียนบทความ ทฤษฎีสมคบคิดกับข่าวปลอม เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2563 ตอนหนึ่งระบุว่า โซเชียลมีเดียวันนี้ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมกระจายไปไกลและรวดเร็ว เกิดมีแอพพลิเคชั่น มีแพลตฟอร์ม มีเว็บไซต์มากมายหลายร้อยที่ใช้เผยแพร่ แม้บรรดาเจ้าของเครื่องมือสื่อใหญ่อย่างเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไลน์ ยูทูบ จะออกมาตรการควบคุม แต่ก็ไม่สามารถจัดการลบอะไรพวกนี้ได้หมด

ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมบ้านเราก็เป็นปัญหาไม่น้อย ที่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐสร้างขึ้นเพื่อปลุกระดมผู้คนให้ต่อต้านอำนาจรัฐ แต่บางครั้งผู้คนก็สงสัยว่า อาจเป็นรัฐเองที่สร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมา โดยอ้างความมั่นคงเพื่อจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามหรือไม่ ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมมักเกี่ยวข้องกับการเมืองและศาสนา เพราะเป็นสองประเด็นที่ละเอียดอ่อน เกี่ยวกับความเชื่อศรัทธามากกว่าเหตุผล อยู่ที่รัฐบาลเองที่ต้องสร้างความไว้วางใจ (Trust) โดยแสดงถึงความจริงใจ โปร่งใส ธรรมาภิบาล ปราการใหญ่ที่ไม่มีใครทำลายได้ รศ.ดร.เสรี ทิ้งท้ายไว้ในบทความ

ซึ่งประเด็น ความไว้วางใจ ที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล (หรือหน่วยงานภาครัฐ) นี่เอง ที่เมื่อกลับมาดูเส้นทางคดีการเสียชีวิตของ แตงโม-นิดา ก็ต้องยอมรับว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องเองก็เปิดช่องให้สังคมสงสัยและคลางแคลงใจ โดยในเวทีเสวนา ปรากฏการณ์ข่าวคุณแตงโม สะท้อนการทำหน้าที่สื่ออย่างไร ซึ่งจัดโดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2565 ตัวแทนสื่อมวลชนที่ร่วมพูดคุยในเวทีนี้ ตั้งข้อสังเกตเรื่องดังกล่าวไว้

อาทิ นพปฏล รัตนพันธ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มองว่า การทำงานของตำรวจในคดีนี้ไม่ได้สร้างความชัดเจนให้สังคมยอมรับว่า สิ่งที่ตำรวจนำเสนอมาจากข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน กลายเป็นสื่อต้องตรวจสอบเรื่องนี้มากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ในสื่อสังคมออนไลน์มีการนำเสนอภาพจากกล้องวงจรปิดบ้าง หรือมีบุคคลที่สังคมให้ความเชื่อถือออกมาให้ความเห็นบ้าง 

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทางตำรวจอาจทำการตรวจสอบเช่นกัน แต่เมื่อไม่เป็นที่เปิดเผยกับสื่อ ทำให้สื่อก็ต้องไปไล่ตามหาข้อมูลในส่วนนี้เอง เช่น บุคคลที่ 3 ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องแต่อ้างว่ารู้ข้อมูล คนกลุ่มนี้กลายเป็นอีกฝ่ายที่สื่อต้องตรวจสอบ นอกเหนือจากกลุ่มหลักเดิมคือตำรวจ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้เสียหาย จนบางครั้งกลายเป็นการตรวจสอบสื่อด้วยกันผ่านสื่อ จากเดิมที่จะเป็นการพูดคุยกันภายในระหว่างคนทำงานสื่อด้วยกัน

ส่วนในประเด็นการหยิบยกข้อมูลที่เผยแพร่กันทางสื่อสังคมออนไลน์มานำเสนอข่าว พบว่า มีสื่อบางแห่งที่หยิบยกมานำเสนอทั้งหมดทันที ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องการเรียกยอดผู้เข้าชมสื่อของตนเอง โดยไมได้ตรวจสอบที่มาที่ไป เช่น ผู้โพสต์เนื้อหานั้นเป็นใคร เชื่อถือได้มาก-น้อยเพียงใด แต่อีกด้านหนึ่ง การสอบถามไปยังผู้เกี่ยวข้อง คือตำรวจ ว่าด้วยข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน

ตำรวจด้วยความที่เขาอาจจะมีกรอบในการทำงานที่ค่อนข้างที่จะตึง แล้วก็ไมได้ให้คำตอบกับเราที่ชัดเจนว่าเรื่องนี้ตำรวจดูอยู่นะ วงจรปิดที่เจอในปั๊มน้ำมัน 4-5 คนที่ไปจอดรอในที่เกิดเหตุคุณได้แล้วหรือยัง เรียกเขามาสอบแล้วหรือยัง เขาว่าอย่างไรบ้าง ก็จะถูกรวบด้วยคำว่าทุกอย่างอยู่ในสำนวน แต่ในความเป็นจริง เราต้องการข้อเท็จจริงว่าหลังเกิดเหตุทำไมคุณไม่รออยู่ที่เกิดเหตุ ทำไมคุณถึงไปรวมตัวกันที่อื่น ทำไปถึงไปโน่นนี่นั่น 

ทำให้มีความน่าสงสัยมากขึ้น ตำรวจไม่ได้ให้ความชัดเจนว่าคนที่ 1 2 3 4 5 ให้การว่าอย่างนี้..จบ แต่พอไม่มีก็เกิดข้อสงสัย ตรงนี้มานั่งจับผิดของแต่ละคน คนที่ 1 2 3 ว่าอย่างไร เพราะตัวละคร 5 คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ทุกคนมีพื้นที่ มีการพูดคุยในเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน นพปฏล กล่าว 

ขณะที่ พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ บรรณาธิการสำนักข่าว The Matter ให้ความเห็นว่า เหตุที่สังคมให้ความสนใจข่าวแตงโม-นิดา เพราะ 1.สังคมไทยไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการทำงานของตำรวจ ซึ่งพบปัญหาการทำสำนวนตั้งแต่คืนแรกที่เกิดขึ้น นำมาสู่การถูกตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง 2.เป็นเรื่องของบุคคลที่มีชื่อเสียง แม้ผู้เสียชีวิตจะเป็นดาราอยู่ในวงการบันเทิงมานาน แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังรู้จัก 3.เป็นคดีที่มีเงื่อนงำ คนที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ละคนพูดไม่ตรงกันและข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และ 4.สังคมไทยยังเชื่อว่าคนรวยหรือมีฐานะสูงในสังคมต่อให้มีคดีความก็จะหลุดรอดในที่สุด เช่น คำกล่าวที่ว่าคุกมีไว้ขังเฉพาะคนจนเท่านั้น

จากทั้งหมดที่กล่าวมา..ท้ายที่สุดแม้จะไม่มีบทสรุปว่าทำอย่างไรทฤษฎีสมคบคิดจะหายไป เพราะทฤษฎีสมคบคิดนั้นผูกเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกของคน อีกทั้งการมาของอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ยิ่งทำให้เรื่องราวเหล่านี้ถูกโหมกระพือกระจายได้กว้างขวาง แต่การที่ผู้มีอำนาจดำเนินนโยบายหรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสาธารณะอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา มีหลักฐานและสามารถพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ 

ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะลดอิทธิพลของทฤษฎีสมคบคิดลงได้บ้าง..ไม่ให้ก่อปัญหารุนแรงต่อสังคมจนเกินไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.naewna.com/local/670795 (ด่วน! อัยการนนทบุรีแถลงสั่งฟ้อง 6 ผู้ต้องหา’คดีแตงโม’แล้ว คุมตัวส่งศาลทันที : แนวหน้า 3 ส.ค. 2565)

https://www.naewna.com/local/670854 (ศาลจังหวัดนนทบุรี ให้ประกันตัว 6 จำเลยคดีแตงโมนัดรายงานตัว 21 ก.ย. : แนวหน้า 3 ส.ค. 2565)

https://www.naewna.com/local/639880 (‘ชูวิทย์’โผล่ปูดซ้ำโยงนักการเมือง’ช.’เป็นกุนซือให้แก๊งสปีดโบ๊ทหลัง’แตงโม’ตกน้ำ : แนวหน้า 7 มี.ค. 2565)

https://www.naewna.com/local/642148 (อ่านฉบับเต็ม!คำแถลงผลชันสูตรร่าง‘แตงโม’รอบ2 : แนวหน้า 17 มี.ค. 2565)

https://www.posttoday.com/social/general/556248 (ผบช.ปส.สยบข่าวแก๊งยาเสพติดจับทีมหมูป่าเชื่อ13ชีวิตยังติดในถ้ำหลวง : โพสต์ทูเดย์ 30 มิ.ย. 2561)

https://www.posttoday.com/social/general/556119 (ผบ.ตร.ลุยเองนำกำลังเดินเท้าสำรวจโพรงถ้ำ3จุด : โพสต์ทูเดย์ 29มิ.ย. 2561)

https://www.insider.com/20-of-americans-believe-microchips-in-covid-19-vaccines-yougov-2021-7 (20% of Americans believe the conspiracy theory that microchips are inside the COVID-19 vaccines, says YouGov study : Insider 18 ก.ค. 2564)

https://www.voanews.com/a/usa_millions-still-believe-1969-moon-landing-was-hoax/6172262.html (Millions Still Believe the 1969 Moon Landing Was a Hoax : Voice of America 20 ก.ค. 2562)

https://www.dailymail.co.uk/news/article-7270587/Conspiracy-theorist-punched-astronaut-Buzz-Aldrin-insists-moon-landing-fake.html (Notorious conspiracy theorist punched by Buzz Aldrin still INSISTS the Apollo 11 moon landings were fake and now claims he has ‘undeniable’ proof  : Daily Mail 22 ก.ค. 2562)

https://www.kent.ac.uk/news/science/30340/explainer-why-do-people-believe-in-conspiracy-theories (Explainer: Why do people believe in conspiracy theories? : University of Kent 12 พ.ย. 2564)

https://www.voanews.com/a/usa_all-about-america_why-do-people-embrace-conspiracy-theories/6202150.html (Why Do People Embrace Conspiracy Theories? : Voice of America 20 ม.ค. 2564)

https://siamrath.co.th/n/174018 (ทฤษฎีสมคบคิดกับข่าวปลอม : สยามรัฐ 12 ส.ค. 2563)

https://www.presscouncil.or.th/7549 (สื่อมุ่งตามคดี ‘แตงโม’ จนละเลยข่าวอื่น : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 27 เม.ย. 2565)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2565

ออมสินและกรุงไทยร่วมกับบริษัทเอกชน ปล่อยสินเชื่อ K+ เงินกู้ฉุกเฉินผ่านไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vurzdf187oke


กระทรวงแรงงานเปิดรับสมัครไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายได้เดือนละ 40,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1vy0zqm5440gi


ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ประกาศปิดสิ้นเดือน ก.ย. หลังลดสถานะโควิด 19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/la3yfdlz4rb8


วัคซีนไข้ทรพิษฉีด ป้องกันโรคฝีดาษลิงได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3b8csl23gv6rt#_=_


ฝีดาษลิงเป็นแล้วหายได้เอง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ypzul72cxz9e#_=_


โชว์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขึ้นรถเมล์ไฟฟ้าสาย 8 เพียง 10 บาทตลอดสายถึงสิ้นปี 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xvgrxpyfnemg


ญี่ปุ่นยกเลิก “ตรวจโควิด” ขาเข้าประเทศ เริ่ม 7 ก.ย.เป็นต้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30p8dddy9d8zs


กัญชาช่วยบรรเทาอาการทางโรคผิวหนังได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jobjg2gkgtoc


Girls In Tech: เสริมพลังเยาวชนหญิงรับมือภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายนักตรวจสอบข้อมูลลวง 

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

 COFACT (ประเทศไทย) สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัด Girls In Tech: Detecthon ประเทศไทย เสริมพลังเยาวชนหญิงรับมือภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายนักตรวจสอบข้อมูลลวง 

 

เมื่อวันที่ 27-28 สิงหาคม 2565 ณ Samyan Co-op ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด, ร่วมกับภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมจัดงาน Girls In Tech: Detecthon ขึ้นภายใต้แนวคิด “เขาวานให้หนูเป็นสายลับ ภารกิจค้นหานักสืบหญิงรุ่นใหม่” โดยมีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 15-20 ปี เข้าร่วมจำนวนกว่า 40 คน เพื่อฝึกภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลข่าวลวงและสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการสร้างสรรค์เทคโนโลยีออกมาให้ได้ดีที่สุด

พล.ต.ต. ชูฉัตร ธารีฉัตร รองผู้บัญชากาตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ว่าเพื่อเพิ่มทักษะการค้นหา พิสูจน์ และรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นจากแหล่งเปิด หรือ Open-Source Intelligence (OSINT) ซึ่งเป็นเครื่องมือและทักษะสำคัญสำหรับพวกเราเยาวชนรุ่นใหม่ ให้สามารถรู้วิธีการใช้เซิร์จเอนจิ้น โดยเฉพาะการค้นหาขั้นสูง เช่น ทวิตเตอร์และกูเกิลที่เป็นเครื่องมือที่มีเคล็ดลับในการค้นหาขั้นสูง อีกทั้งจะได้เรียนรู้และทำความรู้จักเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ที่ช่วยให้เข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลบนโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยในการหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง เช่น การยืนยันความถูกต้องของรูปภาพและวีดีโอที่พบบนสื่อโซเชียล  ดังนั้นการยืนยันข้อมูลด้วยวิธี OSINT จึงเป็นทักษะที่เยาวชนสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ที่มาของภาพหรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ 

นางญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในปัจจุบันคนไทยต้องเผชิญกับสภาวะข้อมูลข่าวสารท่วมท้นจนไม่สามารถเชื่อได้ว่าข้อมูลไหนเป็นข้อมูลจริงกันแน่ โดยข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ที่ถูกบิดเบือนจะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง สุขภาพ และภัยพิบัติ ซึ่งล้วนส่งผลต่อการรับรู้ของข้อมูลข่าวสาร โดยแบ่งเจตนาออกได้เป็น ข้อมูลที่เกิดจากความเข้าใจผิด ข้อมูลที่จงใจบิดเบือนด้วยแรงจูงใจทางการเมืองหรือธุรกิจ และข้อเท็จจริงแต่มีเจตนาไม่ดีในการใช้ ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกและระดับประเทศ จากการสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2563 โดยศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พบว่าจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างอายุ 12-18 ปี จำนวน 14,945 คน พบว่าร้อยละ 89 เชื่อว่าโลกออนไลน์มีภัยอันตรายหรือความเสี่ยง และร้อยละ 61 เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จัดการได้ อีกร้อยละ 83 เชื่อว่าจะสามารถแนะนำช่วยเหลือเพื่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์บนโลกออนไลน์ได้ ถึงแม้เด็กและเยาวชนในยุคดิจิทัลหรือที่เรียกว่าDigital Native​จะมีความมั่นใจในเรื่องการใช้เทคโนโลยี​ แต่ก็เผชิญความเสี่ยงจากภัยออนไลน์​ โดยไม่สามารถป้องกันหรือจัดการปัญหาได้เมื่อเกิดเหตุเนื่องจากยังขาดทักษะเท่าทันสื่อเป็นภูมิคุ้มกัน  ซึ่งการรู้เท่าทันสื่อนั้นสำคัญและควรให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ เช่น การพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม หรือการล่อลวงเด็กเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น

สสส. ได้สนับสนุนภาคีเครือข่าย ในการพัฒนานักสื่อสารสุขภาวะ พัฒนานวัตกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงออนไลน์ การสื่อสารสาธารณะ การแก้ไขกฎหมายคุ้มครอง การพัฒนาแนวทางของสหวิชาชีพ และการส่งเสริมทุกภาคส่วนในสังคมได้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ส่งผลทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงปัญหาข่าวลวงในปัจจุบันว่า ปัจจุบันข่าวลวงได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือข่าวลวงที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ซึ่งที่ผ่านมาโคแฟคจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา รวมถึงจัดทำกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับข่าวลวงทางด้านสุขภาพ ส่งผลทำให้ผู้คนเข้าใจมากขึ้น เมื่อมีปัญหาข่าวลวงผู้คนก็สามารถมาตรวจสอบข่าวลวงได้ทาง Line: @Cofact ได้ตลอดเวลา 

ในขณะเดียวกัน อีกปัญหาหนึ่งทำให้ส่งผลกระทบในระยะยาว และอาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็คือ ปัญหาข่าวลวงเชิงอาชญากรรม ซึ่งส่งผลทำให้ผิดกฎหมายหรืออาจจะทำให้ผู้ที่แชร์บทความออกไปถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้มีข่าวลวงที่เข้าข่ายค่อนข้างเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวลวงที่เชื้อเชิญให้มายืมเงิน หรือการล่อลวงต่างๆ ในส่วนนี้ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาจากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความตำรวจ โดยมีกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดูแลอยู่ อีกส่วนก็คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเองก็สามารถเข้าไปตรวจสอบก่อนที่จะเชื่อได้ รวมถึงตระหนักและไม่เชื่อข้อมูลที่ไม่ไว้วางใจเด็ดขาด ก็จะสามารถป้องกันตนเองและสังคมโดยรวมได้

นางสันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยร้อยละ 69.5 สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งมากกว่าคนทั่วโลกเสียอีก และร้อยละ 94.2 ของเด็กไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่จำกัดเวลา และใช้เวลามากกว่า 11 ชั่วโมงในการเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งค่าอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยค่อนข้างถูก จึงทำให้เราสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าที่คิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการถูกล่อลวงหรือโดนโกงได้ง่าย นอกเหนือจากนี้ยังเกิดข่าวลวง ซึ่งถ้าหากเกิดการแชร์ออกไปก็อาจจะผิดกฎหมายได้ เช่น ข่าวลวงที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม หรือการส่งต่อภาพลามกก็ผิดกฎหมายได้เช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ เด็กและเยาวชนหลายๆ คนพอเกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะโดนการล่วงละเมิดทางเพศ หรือโดนปัญหาอื่นๆ ก็ไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากไม่ได้มีความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของตำรวจ รวมถึงการที่มีโอกาสสูงที่จะโดนปฏิเสธการแจ้งความ จนส่งผลไปถึงการรีบจบการดำเนินคดีที่สถานีตำรวจได้ง่ายดาย และส่งผลให้สภาพจิตใจของผู้เสียหายย่ำแย่ลงได้เช่นกัน

สถาบันนิติวัชร์ มีหน้าที่สร้างองค์ความรู้ในด้านกระบวนการยุติธรรม โดยนำความรู้ทางด้านวิชาการมาทำในเชิงภาคปฏิบัติ และส่งเสริมให้คนไทยเข้าใจกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมให้เกิดการแสดงความคิดเห็น โดยต้องอาศัยความร่วมมือในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดความเท่าเทียมให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

พ.ต.อ. รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศในปัจจุบันยังคงรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่พบการล่อลวงเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันผู้เสียหายก็ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี แม้กระทั่งบางทีคนที่แชร์ก็ไม่ทราบว่าการส่งต่อรูปลามกก็ผิดกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี พยายามสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการถูกล่อลวง ส่งผลต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศในอนาคต

นอกเหนือจากนี้ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยียังเน้นการสร้างความรู้ และส่งเสริม คุ้มครองผู้เสียหาย และดำเนินการเชิงรุกเพื่อทำให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้เรียนรู้และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถดำเนินการร้องเรียนหรือแจ้งความได้ทันที ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาที่ดีนอกเหนือจากทางตำรวจแล้ว ประชาชนหากมีอะไรที่สงสัยหรือรู้สึกว่าเป็นการล่อลวงเยาวชน ก็สามารถแจ้งมาที่ตำรวจได้ทันที และงดการส่งต่อข้อมูล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรืออาจจะผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน

ซึ่งในกิจกรรมก็มีการเวิร์คช็อป โดยเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจในการใช้ Design Thinking โดยนางสาวสิตตา มารัตนชัย กรรมการผู้จัดการ บจก.โกลบอล อิมแพ็คท์ คอนซัลติ้ง ซึ่งได้ให้ข้อมูลถึงการพัฒนาแนวความคิดแบบ Design Thinking ว่าการแก้ไขปัญหาต้องคิดแบบหลากหลายมิติ หลากหลายมุม เพราะทุกปัญหามีความซับซ้อนมากกว่าแค่มุมเดียว ซึ่งต้องใช้วิธีการดำเนินการคิดแบบทีละมิติ ทีละมุม และอย่าคิดสองหมวดพร้อมกัน แต่จงคิดทีละหมวด โดยควรทำให้เข้าใจปัญหา และสามารถระบุปัญหาได้ หลังจากนั้นจึงมาสร้างไอเดีย ออกแบบ และทดสอบการแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยการแก้ไขปัญหาควรคำนึงถึงการใช้งานจริงได้ด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาจริงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการล่วงละเมิดทางเพศ และเกิดปัญหาจากการฟ้องร้อง เนื่องจากการเก็บหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันไปมาขึ้น และทำให้ผู้เสียหายเกิดปัญหาขึ้นในการดำเนินคดี ซึ่งจากกรณีศึกษาเหล่านี้ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการทำ Detecthon = (Detective + Marathon) ครั้งนี้และยังเป็นความรู้ที่นำไปปรับใช้ได้อีกด้วย 

ยังมีการแนะนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการสืบสวนและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเปิด โดย พ.ต.ท. ธนธัส กังรวมบุตร สว.กลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าในปัจจุบันนับตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2565 พบการแจ้งความทางออนไลน์มากกว่า 66,000 เรื่อง และเป็นคดีออนไลน์กว่า 59,000 เรื่อง โดยเป็นเรื่องหลอกให้ทำงานออนไลน์มากที่สุด ร้อยละ 13.16 รองลงมาคือหลอกให้กู้แล้วไม่ได้เงิน ร้อยละ 10.83 และหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ ร้อยละ 8.35 นอกจากนี้ยังพบว่ามีการอายัดบัญชีมากกว่า 2,200 ล้านบาท แต่สามารถนำเงินมาคืนได้เพียง 121 ล้านบาทเท่านั้น

ในช่วงบ่ายยังมีการเรียนรู้ด้านการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ โดย ร.ต.อ.หญิง วรัญญา มรรคนันท์ ผู้วิเคราะห์ ศูนย์อำนวยการกลาง ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทำ Data Visualization ให้ข้อมูลถูกย่อยง่าย จะทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น มองเห็นข้อมูลเชิงลึกได้รวดเร็ว เห็นข้อเปรียบเทียบของข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาในการตีความข้อมูล และเห็นจุดที่น่าสนใจของข้อมูลได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการอบรมเกี่ยวกับการเก็บพยานหลักฐานจาก พ.ต.ต. ณัฐพงศ์ เผือกเนียม สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กล่าวว่าการก่อเหตุของคนร้ายในปัจจุบันจะใช้วิธีการล่อลวง ชักจูงให้เหยื่อทำตามในลักษณะต่างๆ เช่น ถ่ายคลิปลับ ให้เปลื้องผ้า ให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในวิธีต่างๆ และ 4 ข้อที่คนร้ายจะใช้ล่อลวงคือ หลอกจะให้เงิน เชิญเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า และท้าให้เปิดกล้อง ถ้าในกรณีที่ตกเป็นเหยื่อแล้ว ให้ตั้งสติ และห้ามลบประวัติการคุย ห้ามลบสื่อสังคมออนไลน์ที่โดนหลอกลวง ห้ามแจ้งคนร้ายว่าแจ้งตำรวจแล้ว และอย่าปกปิดผู้ปกครอง

หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงการแจกโจทย์ ดำเนินการ Detecthon และนำเสนอในวันถัดมา โดยแต่ละกลุ่มก็สามารถสรรสร้างเนื้อหาและการตรวจสอบจากข้อมูลข้อเท็จจริง เช่น การตรวจสอบข้อมูลจากพยานหลักฐานผ่านแหล่งข้อมูลเปิด โดยโจทย์ที่ได้รับคือการหลอกให้ขายสินค้าทางออนไลน์ ทำให้สูญเงินและไม่ได้รับของ

ในช่วงบ่ายของวันที่สอง (28 สิงหาคม 2565) คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจำนวนห้าคนมาทำหน้าที่ตัดสิน โดยร่วมให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทำงาน ได้แก่ พ.ต.อ. รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ให้ข้อมูลว่า ทุกคนสามารถทำผลงานได้ดีมากๆ ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น และยังอยากให้ทุกคนรู้เท่าทันเกี่ยวกับการล่อลวงเยาวชน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราที่สูงมากขึ้นและถ้าเกิดกับคนรอบตัวก็ช่วยกันเตือน เพื่อจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขั้น นอกจากนั้นคุณธาม ภัคพงษ์พันธุ์ชัย อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าในช่วงที่ผ่านมีมีการตรวจสอบที่ดีมากๆ แต่ยังอาจจะไม่ลึกพอให้สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ซึ่งควรที่จะใช้ความลึกและหลากหลายมิติของข้อมูลในการพัฒนาและหาต้นตอที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้น่าเชื่อถือและสร้างความไว้วางใจในข้อมูลได้จริงๆ หรือแม้กระทั่งชื่อย่อของหน่วยงานที่อาจจะมีความซับซ้อนด้วยเช่นกัน ที่สำคัญต้องตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นข้อมูลจริง

ในขณะที่ คุณธนภณ เรามานะชัย Teaching Fellow, Google News Lab กล่าวว่า ในการตรวจสอบหาข้อมูลนั้นยังใช้เพียงแค่ Facebook ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของข้อมูลได้ และทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือเพียงเพราะการหาข้อมูลเพียงแค่มิติเดียว อยากให้หาข้อมูลให้ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้นได้ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลผ่านการตรวจสอบสื่อก่อนว่ามีการนำเสนอแบบไหนบ้าง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคุณมณธิรา รุ่งจิตรานนท์ นักข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศไทย สำนักข่าว AFP ที่กล่าวว่า ควรใช้รูปภาพในการค้นหาข้อมูลผ่าน Google Image ได้อีกทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการนำเสนอและค้นหาข้อมูลเพียงแค่ด้านเดียว หรือการค้นหาต้นตอในการนำเสนอข่าวให้ชัดเจนและหาต้นตอแรกสุดให้เจอ รวมถึงควรเชื่อในสำนักข่าว (คนผลิตข่าว) มากกว่าบริษัทข่าว (คนซื้อข่าว) เพราะมีแนวโน้มของความเที่ยงตรงมากกว่า

นอกเหนือจากนี้ คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวว่า จากการนำเสนอของน้อง ๆ ที่ผ่านมานั้น ข้อมูลบางอย่างอาจจะเชื่อง่ายมากจนเกินไป จะต้องคิดว่าข้อมูลไหนที่ใช้ได้และสามารถเปิดเผยได้ น้องบางคนอาจจะไม่ทราบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และอาจจะต้องอธิบายในการหาข้อมูลและใช้เครื่องมือให้เหมาะสมเช่นกัน ที่สำคัญคือต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน และเข้าใจง่าย อาจจะต้องให้น้อง ๆ ตรวจสอบและลองนำเสนอกันเองให้แน่ใจไว้ก่อนที่จะนำเสนอจริงอีกครั้ง นอกจากนี้การมีแหล่งเยอะก็ยิ่งทำให้ความซับซ้อนของเนื้อหามีมากขึ้น และส่งผลต่อการตรวจสอบข่าวลวง จึงอาจจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือด้วยเช่นเดียวกัน อาจจะต้องแยกข้อมูลออกมาให้ชัดเจน เพื่อตามสืบเรื่องราวและสรุปได้ชัดเจน

และทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศในโครงการ Girls In Tech: Detecthon คือทีมที่ 1 ซึ่งนางสาวอิงฟ้า ชัยยุทธศุภกุล นักเรียนจากโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตัวแทนทีมที่ชนะเลิศ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกดีใจที่ตนเองได้รับรางวัลชนะเลิศ และพอสอบถามถึงการให้คะแนนก็ได้ทราบว่าเขาหาวิธีการนำเสนอว่าถูกต้องมากน้อยแค่ไหน และมีความหลากหลายแค่ไหน ซึ่งเหตุผลที่ทีมเราชนะเพราะเราหาได้ลึกกว่าและหลากหลายกว่า นอกจากนี้ยังรู้สึกสนุกกับการเข้าร่วมค่ายนี้ เราได้รับการสนับสนุนจากค่ายค่อนข้างมาก ทำให้เราสามารถมีเวลาในการคิดและสร้างสรรค์ได้เต็มที่ และทางเพื่อนๆ เอง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงล้วนและอายุที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้เราสามารถค้นหาข้อมูลและถกเถียงกันได้ดีขึ้น จนนำไปสู่การหาแนวทางในการพัฒนาได้ต่อไปอีกด้วย

ในขณะที่นางสาวอารียา นาแพง นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี ตัวแทนผู้ที่เข้ามาร่วมอบรมในครั้งนี้ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มาร่วมกิจกรรมว่า ตนเองรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทุกๆ อย่างในค่ายนั้นเจ๋งและตัวงานมีการวางแผนให้ครอบคลุมกับตัวน้องทุกๆ คนมาก และพอถึงกระบวนการหาข้อมูลนั้นทางค่ายได้มีการให้เตรียมตัวโดยวิทยากร จึงทำให้สามารถเข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้จริง นอกจากนี้เพื่อนๆ ในทีมยังให้การต้อนรับที่ดีและช่วยเหลือในทีมกันได้ดีมากเลยทีเดียว มีการแบ่งงานได้ดีเลยทีเดียว จึงทำให้ตัวงานเป็นไปด้วยความราบรื่น

ทุกท่านสามารถติดตามและตรวจสอบข่าวลวง หากไม่แน่ใจในข่าวไหนนำไปตรวจสอบได้ทาง www.cofact.org หรือ Line @cofact และติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Facebook: Cofact โคแฟค


เตรียมจัดงาน ‘APAC Trusted Media Summit’20-21กย.นี้ ‘ไทย’ชูประเด็น‘ข้อมูล’น่าห่วง มุ่งส่งเสริมสื่อที่สังคมเชื่อถือได้

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

เตรียมจัดงาน APAC Trusted Media Summit’20-21กันยานี้ ไทยชู3ประเด็นข้อมูลน่าห่วง มุ่งส่งเสริมสื่อที่สังคมเชื่อถือได้ 

25 ส.ค. 2565 ที่โรงแรมแอทสยาม ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ โคแฟค (ประเทศไทย) ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน ร่วมกับ Google News Initiative จัดงานแถลงข่าวการประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 ซึ่งงานแถลงข่าวครั้งนี้ยังถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “Cofact โคแฟค” ไปพร้อมกันด้วยอีกช่องทางหนึ่ง

การประชุมสุดยอดประจำปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 ก.ย. 2565 ในรูปแบบผสมผสาน โดยมีการจัดประชุมออนไลน์ระดับภูมิภาคในวันที่ 20 ก.ย. 2565 และแบบตัวต่อตัวในสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยภายในงานจะเป็นการรวมตัวกันของนักข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง นักวิชาการ นักวิจัย นักเคลื่อนไหว ตลอดจนผู้กำหนดนโยบายที่ต่อสู้กับข้อมูลเท็จทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยมุ่งหวังให้เกิดการสร้างเครือข่าย รวมทั้งแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง การพิสูจน์ความจริง การรู้เท่าทันสื่อ

ญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ข้อมูลจากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในปี 2563 พบผู้ใช้สื่อออนไลน์ ร้อยละ 94.7 เคยพบเห็นข่าวลวง เช่นเดียวกับการสำรวจของโคแฟคในปี 2564 พบผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 97 พบเห็นข่าวลวงเป็นเรื่องปกติ ขณะเดียวกัน แม้พื้นที่ออนไลน์สาธารณะจะพบการเผยแพร่ข่าวลวงลดลง แต่ยังน่าเป็นห่วงในพื้นที่ปิด เช่น กลุ่มเฟซบุ๊กหรือไลน์ ซึ่งจัดการได้ยาก

“การจัดการปัญหาข่าวลวง ต้องอาศัยคนจากหลากหลายศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาชีพด้านสื่อมวลชน ประชาสังคม นักพัฒนาเทคโนโลยี หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือเภสัชกร กลไกการทำงานแบบสหวิชาชีพ ก็จะเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในชุมชนการตรวจสอบช่าวลวงทั้งระดับโลกและระดับประเทศ-ระดับชุมชน” ญาณี กล่าว

เฟรดเดอริก ชปอร์ หัวหน้าสำนักงาน ประเทศไทย มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) กล่าวว่า คำว่า Trust หรือความไว้วางใจ เป็นคำที่ใหญ่มาก แต่สามารถแยกได้ 3 ประเด็น คือ 1.สังคมต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้สื่อมวลชนรายงานข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นอิสระ รวมถึงกฎหมายที่สนับสนุนให้สื่อสามารถทำงานได้โดยปราศจากแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง 

2.การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) และรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นทักษะที่ทุกคนต้องมีไว้ว่าจะเป็นผู้ส่งสารหรือผู้รับสาร เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามานั้นอะไรจริง-เท็จ ซึ่งจุดนี้โคแฟคก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้แต่ละได้ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง และ 3.อคติมีผลต่อการเลือก-ไม่เลือกรับข้อมูลข่าวสาร แต่การเข้าใจสังคมมากขึ้นจะทำให้รับข้อมูลข่าวสารได้ดีขึ้น พร้อมกับยกตัวอย่าง การมองสื่อนั้นเป็นฝ่ายเดียวกัน สื่อนี้เป็นฝ่ายตรงข้าม ก็เป็นอคติแรกของผู้รับสาร 

ธนภณ เรามานะชัย, Thailand Teaching Fellow, Google News Lab กล่าวว่า Google News Initiative เป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านข่าวในประเทศไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่ง กูเกิล (Google) ให้ความสำคัญกับงานข่าว เพราะเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น กูเกิลจึงทำงานเพื่อสนับสนุนสื่อมวลชน ผ่าน 3 แกน คือ 1.พัฒนาคุณภาพงานข่าว โดยเฉพาะข่าวในแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทเรียนออนไลน์ให้คนทำงานสื่อ นักศึกษาที่เรียนด้านสื่อสารมวลชน รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจได้เข้าไปเรียนรู้กันได้ที่ g.co/newstraining

2.สร้างพันธมิตรในการพัฒนารูปแบบสื่อใหม่ มีการสนับสนุนสื่อมวลชนโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นสื่อออนไลน์ และ

3.สนับสนุนและสร้างชุมชนนักข่าวระดับโลก ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งาน Trusted Media Summit เป็นต้น ดังนั้น เป้าหมายของ Google News Initiative คือ การสร้างอนาคตของสื่อสารมวลชนที่เข้มแข็งไปด้วยกัน ส่วนงาน Trusted Media Summit จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2561 โดย Google News Initiative ร่วมมือกับ First Draft และ IFCN และจัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี

สำหรับการจัดงาน APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 หรือครั้งนี้ มีภาคีเครือข่ายหลากหลายชาติ ประกอบด้วย AJI (อินโดนีเซีย) , data LEADS (อินเดีย) , FactCheck Initiative Japan (ญี่ปุ่น) , Taiwan FactCheck Center (ไต้หวัน) และ โคแฟค (ไทย) เป็นผู้ร่วมจัดงานในรูปแบบออนไซต์ (Onsite) โดยปีนี้มีหลายหัวข้อน่าสนใจ ได้แก่ 1.Big Narrative การใช้ข้อมูลข่าวสารเชิงมวลชน 2.Pre-Bunking การป้องกันไม่ให้เกิดข้อมูลบิดเบือนตั้งแต่แรก เพื่อที่จะไม่ต้องมาแก้ไขในภายหลัง (Debunking) เมื่อข้อมูลเผยแพร่ไปแล้ว 3.Polarization ความแตกต่างทางความคิด เช่น ความเชื่อทางการเมือง 4.Role of Technology บทบาทของเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการด้านนี้ด้วย ว่าส่งเสริมให้เกิดข้อมูลบิดเบือนหรือไม่ 5.Trust ความไว้วางใจการทำงานของสื่อ 6.Rise of Micro-Influencer ในอินเตอร์เน็ตจะพบบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีคนจำนวนมากติดตามความเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ในโลกจริงก็จะมีบุคคลที่คนอื่นๆ ในชุมชนให้ความเชื่อถือ โดยคนเหล่านี้เป็นอีกกลุ่มที่มีบทบาทด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความเสี่ยงในการเผยแพร่ข่าวลวงโดยเฉพาะในกลุ่มปิด 7.Collaboration การทำงานร่วมกัน และ 8.Who is a Fact-Checker? บทบาทขององค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ในการตรวจสอบข้เท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ ไฮไลท์ในวันที่ 20 ก.ย. 2565 ซึ่งเป็นการจัดงาน APAC Trusted Media Summit ได้รับเกียรติจากวิทยากร 2 ท่าน ร่วมกล่าวปาฐกกา คือ มาเรีย เรสซา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และผู้ก่อตั้งสำนักข่าว Rappler ในฟิลิปปินส์ กับ เอเลียต ฮิกกินส์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Bellingcat ซึ่งโดดเด่นในการใช้ Open Source Intelligence ตรวจสอบข่าวลวง

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่เรากลับมาจัดงานในรูปแบบออนไซต์กันอีกครั้ง คือโดยปกติแล้ว ช่วงก่อนโควิด ช่วงปี 2018-2019 (2561-2562) เราจะจัดงานที่สิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์เป็น Asia Headquarter (สำนักงานใหญ่ประจำทวีปเอเชีย) ของกูเกิล แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด และบางประเทศยังไม่สามารถเดินทางได้ทันที อย่างญี่ปุ่น จะไปก็ต้องพึ่งบริษัททัวร์ไป ก็จะค่อนข้างมีความยากลำบาก หรืออย่างไต้หวัน ฮ่องกง ยังต้องมีการกักตัวกันเวลาเดินทาง เพราะฉะนั้นแล้วในปีนี้ทางทีมงานก็เลยคิดว่า อย่างนั้นเราปรับรูปแบบการจัดงาน เป็นแบบให้แต่ละประเทศเป็นผุ้จัดงานในประเทศด้วยกันเอง” ธนภณ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับการจัดงานในประเทศไทย วันที่ 21 ก.ย. 2565 โดย โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ Google News Initiative นั้น จะเป็นการนำเสนอ 3 ประเด็นสำคัญในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.ความรู้เท่าทันเรื่องสุขภาพ (Health Literacy) ซึ่งล่าสุดเพิ่งจัดเสวนาหัวข้อ “จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย” ไปเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยพูดคุยกันถึงหลากหลายเรื่องราวข่าวลวงด้านสุขภาพ ตั้งแต่มะนาวโซดา วัคซีนโควิด-19 ไปจนถึงกัญชา

2.อาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Crime) เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ SMS ชักชวนให้สมัครอะไรสักอย่างหนึ่ง หากหลงเชื่อก็จะเสียเงินเสียทองได้ ซึ่งล่าสุด ในวันที่ 27-28 ก.ย. 2565 โคแฟค ได้ร่วมกับตำรวจและอัยการ จัดกิจกรรมอบรมวัยรุ่นหญิงให้รู้เท่าทันการหลอกลวงหลายรูปแบบบนโลกออนไลน์ อาทิ มิจฉาชีพแสร้งรัก (Romance Scam) หรือการหลอกขายอาหารเสริม หรือหลอกลวงไปเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์ เช่น เมื่อมีคนใช้เฟซบุ๊กทักเข้ามาชวนพูดคุย จะตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบัญชีเฟซบุ๊กนั้นได้อย่างไร เป็นต้น

และ 3.การบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง (Political Disinformation) ซึ่งเป็นปัญหาทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น ประเด็นวัคซีนโควิด-19 แม้จะเป็นเรื่องสุขภาพ แต่บางแง่มุมก็เชื่อมโยงกับเรื่องการเมืองเช่นกันอาทิ ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐถูกสังคมตั้งข้อสงสัย โดยความจริงอาจไมได้มีเพียงชุดเดียว ขณะเดียวกัน สังคมไทยยังมีความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน และการตัดสินว่าเรื่องใดจริง-ไม่จริงในประเด็นทางการเมืองนั้นก็ไม่ง่ายเพราะมีข้อมูลหลายชุด จึงต้องอาศัยการพูดคุยกันเพื่อหาทางออก

นอกจากนี้ ยังมีปาฐกถาหลายหัวข้อ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรหลายท่าน อาทิ หัวข้อ “Why trusted-media matters in a zero-trust world?” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) , หัวข้อ “Tech for Journalism : How to boost more accuracy?” โดย ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ร่วมก่อตั้ง ZTRUS , หัวข้อ การกำกับสื่อร่วมสมัยควรเป็นเช่นไร โดย ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 

อีกทั้งยังมีเสวนาหลายหัวข้อ เช่น หัวข้อ ต้นทุนและทักษะในการนำเสนอข่าวที่น่าเชื่อถือ โดยวิทยากรจากแวดวงสื่อมวลชน อาทิ กิตติ สิงหาปัด รายการข่าวสามมิติ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 HD33 , มณฑิรา รุ่งจิตรานนท์ สำนักข่าว AFP , พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ สำนักข่าวออนไลน์ The Matter และ ระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ดำเนินรายการโดย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รวมทั้งไฮไลท์สำคัญที่จะมีตัวแทนสื่อมาเล่าผลงานเด่นในการทำข่าวและตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งการเสวนาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งที่เป็นสื่อดั้งเดิม (วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์) และสื่อใหม่ รวมถึงตัวแทนจากสภาองค์กรของผู้บริโภค , หัวข้อ สรุป 3 ประเด็นปัญหาในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมีการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนที่เสียงไม่ค่อยถูกได้ยิน (Voice of Voiceless) ได้มีโอกาสสะท้อนมุมมองด้วย เช่น กลุ่มสื่อท้องถิ่น กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มสื่อมุสลิม คนชายชอบ ฯลฯ 

ท่านใดอยากจะมาส่งเสียง (Voice) ในเวทีช่วงนี้ หรือนำเสนอว่าสื่อที่น่าเชื่อถือกระทบต่อเขาอย่างไรหรือควรจะเป็นอย่างไร ก็จะเป็น Panel (วงเสวนา) ที่เราจะให้กลุ่มประชาชนที่หลากหลายได้มาสะท้อนความเห็น นอกนั้นที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งคือช่วง Lightning Talk ซึ่งเราจะเชิญสื่อมาพูดสไตล์ TED Talk สรุปไฮไลท์ มาสเตอร์พีซตรวจสอบข่าวที่เขาภาคภูมิใจ เขาอยากโชว์ของ โชว์ผลงาน ซึ่งรายละเอียดเดี๋ยวเราจะเปิดเผยต่อไป สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปในช่วงเสวนาในตอนท้ายของการแถลงข่าวครั้งนี้ ว่า จากการทำงานของโคแฟคตลอด 3 ปีที่ผ่านมา 3 ประเด็นข้างต้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยให้ความสนใจ โดยบนเว็บไซต์ cofact.org พบข่าวเรื่องสุขภาพมาเป็นอันดับ 1 เช่น เป็นมะเร็งกินอะไรรักษาได้ ก็มีตั้งแต่มะนาวโซดาจนถึงน้ำมันกัญชา แต่ผู้รับข้อมูลข่าวสารบางทีก็ไม่รู้ว่าข้อมูลจำนวนมากที่ส่งต่อกันนั้นอะไรเชื่อได้-ไม่ได้ และการที่ใครสักคนเลือกเชื่ออะไรสักอย่าง สาเหตุมีมากกว่าความไม่รู้ อาทิ เรื่องหนึ่งมีข้อเท็จจริงหลายชุด ซึ่งเข้ากับภารกิจของโคแฟค คือการหาความจริงร่วม

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ส่งผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารประเด็นการเมือง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ อีกทั้งเป็นประเด็นที่ทำได้ยาก ดังนั้นในงาน APAC Trusted Media Summit ครั้งนี้จะมีการมาพูดคุยกันว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีองค์กรหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ที่เป็นอิสระและเป็นกลางครอบคลุมทุกฝ่าย สุดท้ายคือเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ล้ำเส้นจากเรื่องข้อมูลข่าวสารไปเป็นการก่ออาชญากรรมจริงๆ

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ผู้แทนจาก Centre for Humanitarian Dialogue (HD) กล่าวว่า ที่ผ่านมา HD ทำงานส่งเสริมการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์และปลอดภัยในการพูดคุยประเด็นการเมืองหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ลามไปจนถึงสื่อเป็นประเด็นที่มีมานานแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปี 2565 มีผลการศึกษาหนึ่งที่สำรวจความคิดเห็นของผู้คนในหลายประเทศ พบว่า ผู้คนเชื่อมั่นใจภาครัฐและสื่อลดลง โดยไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในการศึกษานี้ 

ความกังวลของคนทั่วไปในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน ประเทศไทยถือว่าเยอะที่สุดเลย 82% จากรายงานนั้น แล้วเขาก็มองว่าทั้งภาครัฐเองแล้วก็สื่อ ในบางมุมก็อาจได้รับประโยชน์จากการที่มันมีการเผยแพร่ข้อมูลลวงออกไปด้วย อันนั้นทำให้เรามาคิดว่า ในฐานะโคแฟคและองค์กรภาคี เราควรจะทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือเปล่า มันก็เลยเป็นที่มาที่ต้องมานั่งคุยกัน แล้วทำอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อมั่นของสื่อมาได้ อันนั้นก็จะเป็นเรื่องที่เราเอามาคุยกันกุลชาดา กล่าว 

ดร. พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ สำนักงานประเทศไทย มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) กล่าวว่า FNF เป็นองค์กรที่ส่งเสริมเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เชื่อเสมอมาคือ คนต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่รอบด้าน เพราะข้อมูลจะช่วยในการตัดสินใจได้ในทุกเรื่อง และการเมืองก็เป็นเรื่องที่มีผลต่อคนทุกคน คำถามคือประชาชนจะมีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจได้อย่างไร ดังนั้นสือจึงมีบทบาทมาก แต่ในขณะเดียวกัน สังคมที่แบ่งขั้ว (Polarize) ก็ทำให้แต่ละคนเลือกรับเฉพาะข้อมูลข่าวสารในฝั่งที่ตนเองเชื่อเท่านั้น

อาจไม่ใช่เฉพาะสังคมไทยเท่านั้นที่มันแตกแยก แล้วเราก็เลือกที่จะรับข้อมูลจากช่องทางที่เราอยากรับ ดังนั้นเราก็อาจจะไม่ได้แคร์ว่าข้อมูลนั้นมันจริง-ไม่จริง แต่พอเราไม่แคร์ เพียงแต่เราสนใจว่าช่องทางไหนอยากจะรับ มันก็จะทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือในปลายทาง เราไม่ได้สนว่ามันจริง-ไม่จริง เราอยากจะเชื่อในช่องทางนี้เท่านั้น ดังนั้นบทบาทของสื่อ คิดว่าสื่อที่มีคุณภาพมีความสำคัญยิ่งมากขึ้นกว่าสมัยเดิม ดร. พิมพ์รภัช กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-