ซากปริศนาที่ถูกนำไปโชว์ในรัฐสภาเม็กซิโก ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็น “ศพมนุษย์ต่างดาว” หรือไม่

บทความ

13 ก.ย. 2566 สื่อต่างประเทศพากันรายงานข่าว “ฟอสซิลมนุษย์ต่างดาวถูกนำไปแสดงในรัฐสภาของเม็กซิโก” และด้วยเรื่องนี้มั่นใจได้ว่าผู้คนต้องให้ความสนใจแน่นอน สื่อไทยจึงไม่รอช้าร่วมแปลข่าวมานำเสนอด้วย บางสื่อรายงานข่าวนี้โดยย่อ ไม่ได้ให้บริบทและเบื้องหลังของข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นข่าว

โคแฟคได้ตรวจสอบจากรายงานข่าวต่างประเทศที่ติดตามเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลายสำนัก ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 ยังไม่พบข้อสรุปชัดเจนว่ามัมมี่ที่ถูกนำมาแสดงเป็นซากมนุษย์ต่างดาวจริง โดยสำนักข่าว SBS News สหรัฐอเมริกา รายงานเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566 ว่า เหตุการณ์เรียกเสียงฮือฮานี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศเม็กซิโก เจมี มอสซาน (Jamie Maussan) สื่อมวลชนที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับ “ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ (Unidentified Anomalous Phenomena-UAP)” นำวัตถุ 2 ชิ้นที่อ้างว่าเป็นศพมนุษย์ต่างดาว ไปแสดงต่อหน้าที่ประชุมของรัฐสภาเม็กซิโก โดยกล่าวว่า สิ่งที่ตนนำมานั้นถูกค้นพบในประเทศเปรูเมื่อปี 2560

โดยวัตถุนี้มีการตรวจวัดอายุของวัตถุนั้นด้วยวิธี “คาร์บอน-14 (Carbon-14)” โดย National Autonomous University of Mexico (UNAM) มหาวิทยาลัยในกรุงเม็กซิโกซิตี้ พบอายุอยู่ที่ 700 และ 1,800 ปี ตามลำดับ ทั้ง 2 ร่างมีเพียงสามนิ้วในแต่ละมือและมีหัวที่ยาว อีกทั้งยังอ้างด้วยว่า มีหลักฐานรหัสพันธุกรรม (DNA) ที่ชี้ว่าซากศพนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลก พร้อมกับเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติของเม็กซิโกพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และอย่ามองเป็นเรื่องการเมืองเพราะนี่เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ถึงกระนั้น “คำกล่าวอ้างของมอสซานก็ดูน่าสงสัย” รายงานของ CBS ตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่ชัดเจนว่าซากดังกล่าวมีการนำไปตรวจสอบ DNA จริงหรือไม่

วัตถุ 2 ชิ้นที่อ้างว่าเป็นศพมนุษย์ต่างดาว ไปแสดงต่อหน้าที่ประชุมของรัฐสภาเม็กซิโก

สถานีโทรทัศน์ Euronews ของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (EU) รายงานคำกล่าวอ้างของ มอสซาน ที่ชี้แจงต่อรัฐสภาเม็กซิโก ว่า ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการบนโลก อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ถูกค้นพบจากซากของจานบินต่างดาว (UFO) แต่พบเป็นฟอสซิลในเหมืองสาหร่าย (diatom moss mine) ถึงกระนั้น เขาก็ยังกล่าวต่อไปว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ต้องยอมรับความเป็นจริงนี้

แต่อีกด้านหนึ่ง Euronews ก็ยังรายงานด้วยว่า ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแวดวงวิทยาศาสตร์และการเมืองว่ามีปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ แต่ยังคงมีความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับที่มาของปรากฏการณ์เหล่านั้น รวมถึงกล่าวถึง มอสซาน ว่า แม้จะมีพิธีกล่าวคำสาบานก่อนชี้แจง แต่แต่คำกล่าวอ้างของเขาไม่ได้รับการพิสูจน์ และยังมีความเกี่ยวข้องกับการค้นพบที่อ้างว่าเคยถูกหักล้างแล้ว

รายงานข่าวของนิตยสาร Forbes สหรัฐอเมริกา สรุปการบรรยายของ มอสซาน และคณะ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.เป็นศพมัมมี่ขนาดเล็กซึ่งมีศีรษะยาว มี 3 นิ้ว และมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาวในฮอลลีวูด อ้างว่าถูกพบที่เปรูในปี 2560 และมีอายุประมาณ 1,000 ปี

2.มอสซาน อ้างว่าศพเหล่านี้ถูกพบในเหมืองสาหร่าย และนักวิจัยจาก National Autonomous University of Mexico ได้ตรวจสอบทั้ง 2 ซาก โดยพบว่ามีหนึ่งตัวมีไข่อยู่ข้างใน

3.โฮเซ เดอ เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ (Jose de Jesus Zalce Benitez) ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพของกองทัพเรือเม็กซิโก นำเสนอการสแกนศพแก่สมาชิกรัฐสภา และอ้างว่าศพเหล่านี้มีคอที่หดได้ ไม่มีฟัน สมองใหญ่ และมีตาโตที่สามารถมองเห็นภาพสามมิติที่กว้าง

4.ก่อนหน้านี้ ในปี 2558 มอสซานเคยอ้างว่า พบสิ่งที่น่าจะเป็นศพมนุษย์ต่างดาวในเปรู แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบเป็นเพียงศพมนุษย์โดยเป็นร่างของเด็กที่ถูกทำเป็นมัมมี่

5.เบนิเตซยังเคยเป็นหัวหน้านักวิจัยในการนำเสนอการค้นพบศพที่ถูกหักล้าง ซึ่งแสดงให้เห็นศพมัมมี่ 3 นิ้วจำนวน 6 ศพที่เผยแพร่เป็นวิดีโอบนเว็บไซต์ยูทูบ YouTube ที่โพสต์ในปี 2560 โดยช่อง Gaia.com (หรือช่อง Gaia) ซึ่งช่องยูทูบดังกล่าวถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางของทฤษฎีสมคบคิด และ 6.ไรอัน เกรฟส์ (Ryan Graves) อดีตนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ชี้แจงกับรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. 2566 เกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่าพบ UFO ก็เข้าร่วมชี้แจงในรัฐสภาเม็กซิโกเช่นกัน แต่เขาได้กล่าวว่า องค์กรของตนที่ชื่อ Americans for Safe Aerospace มุ่งเน้นไปที่ปรับปรุงการศึกษาสาธารณะของ UAP ทำลายตราบาป และทำงานเพื่อความโปร่งใสและการเปิดเผยที่ดีขึ้น

ชมคลิปการอภิปรายเรื่องซากปริศนาที่อ้างว่าเป็นซากมนุษย์ต่างดาวได้ ที่นี่

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ในวันที่ 14 ก.ย. 2566 มหาวิทยาลัย UNAM ที่ มอสซาน อ้างว่าเป็นผู้ตรวจสอบอายุของวัตถุปริศนาดังกล่าว เผยแพร่คำชี้แจงที่ระบุว่า “งานของห้องปฏิบัติการแห่งชาติด้านแมสสเปกโตรมิเตอร์พร้อมเครื่องเร่งอนุภาค (LEMA) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดอายุของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ไม่ว่าในกรณีใด เราจะไม่สรุปเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว” ซึ่งเป็นคำชี้แจงเดียวกับที่เคยเผยแพร่ในปี 2560 ขณะที่ชาวเน็ตหลายคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ มอสซาน ว่า “รีบด่วนสรุปเกินไปหรือไม่?” ดังความเห็นหนึ่งในทวิตเตอร์ ระบุว่า เหตุใดจึงไม่รอจนกว่าบทความทางวิทยาศาสตร์จะพร้อมตีพิมพ์

ในวันที่ 13 ก.ย. 2566 นสพ.The New York Times สหรัฐอเมริกา รายงานคำชี้แจงจาก เซอร์จิโอ กูเตียร์เรซ ลูนา (Sergio Gutierrez Luna) สมาชิสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของเม็กซิโก ว่า ตนเป็นผู้เชิญ เจมี มอสซาน เข้าไปรายงานเรื่องซากศพมนุษย์ต่างดาวในรัฐสภา เพราะสนใจที่จะรับฟังมุมมองที่แตกต่างในหัวข้อที่เป็นที่สนใจในวงกว้าง สิ่งที่ทำนี้คือการ “ฝึกฟัง (exercise in listening)” และการเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทำได้โดยการค้นหาความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน

ส่วนหนึ่งของสไลด์ที่มีการนำมาประกอบการอภิปรายในรัฐสภาเม็กซิโก

แอนทิโกนา เซกูรา (Antigona Segura) นักชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology) ที่มีชื่อเสียงอย่างมากคนหนึ่งในเม็กซิโก ซึ่งทำงานร่วมกับโครงการ Nexus for Exoplanet System Science ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก กล่าวว่า ข้อสรุปเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐาน เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องน่าละอายมาก

The New York Times ยังสรุปเกี่ยวกับประวัติของ มอสซาน ว่า อาศัยอยู่ในเม็กซิโกและเป็นที่รู้จักกันดีจากการกล่าวอ้างในขณะที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมทางโทรทัศน์และบนเว็บไซตยูทูบ รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของตนเองด้วย การนำเสนอของเขาชี้ให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ที่เพิ่มขึ้นในเม็กซิโกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของชีวิตนอกโลก ซึ่งบางคนกล่าวว่าเป็นผลพลอยได้จากความพยายามของทางการสหรัฐฯ ในการเปิดม่านความลับในโครงการของรัฐบาลที่ศึกษาปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้

สื่อสหรัฐฯ ยังอ้างด้วยว่า ในปี 2560 รายงานของสื่อท้องถิ่นเปรู ระบุ มอสซาน ได้รับบางส่วนของมัมมี่จากนักขุดสุสานในเปรู แต่การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เป็นปัญหาในเปรูแสดงให้เห็นว่าชิ้นงานเหล่านี้ผลิตขึ้นโดยใช้กระดูกมนุษย์และสัตว์ เส้นใยพืช และกาวสังเคราะห์ผสมกัน การวิเคราะห์อีกครั้งในปี 2564 ระบุว่าหัวของตัวอย่างชิ้นหนึ่งเป็นสมองลามะที่เสื่อมสภาพ แต่ถึงเรื่องศพมนุษย์ต่างดาวในครั้งนั้นจะถูกหักล้าง นักวิจัยก็ยังรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ค้นพบ เพราะเป็นผลงานการสร้างที่มีคุณภาพสูง จึงน่าสงสัยว่าเมื่อหลายศตวรรษก่อนมีการทำของแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

ข้อสรุปของโคแฟคเท่าที่มีการสืบค้นได้ ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 จากรายงานข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับมัมมี่มนุษย์ต่างดาวที่ถูกนำมาแสดงในรัฐสภาเม็กซิโก ยังไม่มีหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญใดที่เชื่อถือได้ ออกมายืนยันว่าเป็นซากศพของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (รวมถึงระบุว่าเป็นสิ่งอื่นใดหากไม่ใช่) จึงต้องรอความชัดเจนกันต่อไป อย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือปักใจเชื่อว่าเป็นมัมมี่มนุษย์ต่างดาวจริง

อ้างอิง

Researcher shows bodies of purported “non-human” beings to Mexican congress at UFO hearing, CBS 13 ก.ย. 2566

1,000-year-old fossils of ‘alien’ corpses displayed in Mexico’s Congress as UFO expert testifies, Euronews 13 ก.ย. 2566

Aliens In Mexico? Not So Fast—Presenters Have History Of Being Debunked, Forbes 13 ก.ย. 2566

Mexican Congress holds hearing on UFOs featuring purported ‘alien’ bodies, รอยเตอร์ 14 ก.ย. 2566ฃ

Mummies From Outer Space? Mexico’s Congress Gets a Firsthand Look, The New York Times 13 ก.ย. 2566

ความจริงจากนักวิชาการ กรณีปลาตายและน้ำทะเลสีเขียวที่ชลบุรี

เนื้อหาเป็นจริง

ภาพปลาตายเกลื่อนชายหาดและน้ำทะเลกลายเป็นสีเขียวในหลายพื้นที่ของจังหวัดชลบุรี ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียในช่วงต้นเดือนกันยายน 2566 กลายเป็นประเด็นที่สร้างความสงสัยและความตระหนกตกใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่ามีสาเหตุจากปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม

หนึ่งในโพสต์ที่ถูกแชร์เป็นจำนวนมากคือภาพปลาตายจำนวนมากที่หาดบางแสนโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “ธนกร สุขศรี” เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2566 พร้อมข้อความว่า “…บริเวณชายหาดบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบปลาหลากหลายชนิด ตายเกลื่อนชายหาด จากการลงพื้นที่สำรวจที่บริเวณชายหาดบางพระ มีปลาหลากหลายชนิดถูกคลื่นซัดมาตายเกลื่อน อาทิเช่นปลากระบอก ปลาแป้น ปลาเจ๊กเล้ง ปลาคุด ปลากระพงเป็นต้น ได้ลอยมาติดบริเวณชายหาดบางพระ ส่วนสาเหตุปลาตายเกลื่อนครั้งนี้ คาดว่าอาจเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวและน้ำมีกลิ่นแรง”

ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 2,700 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงของโคแฟคในพื้นที่จังหวัดชลบุรีตรวจสอบภาพและเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

นอกจากเหตุการณ์ปลาตายที่หาดบางพระแล้ว ยังพบว่าเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่หาดวอนนภา ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข ตำบลแสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี และวันที่ 9 ก.ย. 2566 มีรายงานการพบคราบน้ำมันและแพลงก์ตอนบลูมบริเวณสะพานปลานาเกลือ เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อีกด้วย

นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยกับโคแฟคว่า สาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ทะเลตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมที่ทำให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในทะเลลดลง

นายสนธิอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรากฏการณ์แพลงก็ตอนบลูม ดังนี้

แพลงก์ตอนบลูมเกิดจากอะไร?

แพลงก์ตอนบลูมหรือ “ขี้ปลาวาฬ” เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนพืช จากการได้รับธาตุอาหารทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมที่ถูกชะลงทะเลมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นธาตุอาหารที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น สารทางการเกษตร น้ำทิ้งจากชุมชน เป็นต้น แพลงก์ตอนบลูมเริ่มก่อตัวในทะเลนอก และขยายจำนวนขึ้น จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายบริเวณชายฝั่ง โดยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดไปรวมที่อ่าวไทยตอนในแถวจังหวัดชลบุรี

คราบน้ำมันรั่วที่ไหลลงทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร?

ก่อนที่จะเกิดแพลงก์ตอนบลูมในทะเลชลบุรีครั้งนี้เพียงไม่กี่วัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ได้แจ้งข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บริษัทฯ ควบคุมสถานการณ์ด้วยการปิดวาล์วท่อน้ำมัน วางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน บริษัทฯ ประเมินว่าน้ำมันที่รั่วมีปริมาณ 60,000 ลิตร

เพจเฟซบุ๊กของกรมควบคุมมลพิษเผยแพร่ภาพจากกองทัพเรือ แสดงจุดที่เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลระหว่างการขนถ่ายน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เหตุเกิดเมื่อ 3 ก.ย. 2566

นายสนธิกล่าวว่าปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมมักจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเล โดยอ้างผลการวิจัยในต่างประเทศที่พบความเชื่อมโยงระหว่างคราบน้ำมันจำนวนมากในทะเลและการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่มีพิษ (Harmful Algal Blooms) บริเวณอ่าวเม็กซิโกเหนือ การศึกษาพบว่าการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันจะทำให้น้ำมันดิบที่รั่วไหลกลายเป็นละอองน้ำมันตกลงไปปกคลุมใต้ทะเล ส่งผลกระทบต่อแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ทะเล ขณะเดียวกันก็ทำให้สาหร่าย dinoflagelates ที่ทนทานต่อน้ำมันดิบและสารขจัดคราบน้ำมันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมหรือขี้ปลาวาฬในทะเล ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหล สาหร่ายชนิดนี้มีสีเหลือง-เขียว น้ำตาลหรือแดง และผลิตสารที่เป็นพิษต่อระบบนิเวศในทะเล

โลกร้อนกับแพลงก์ตอนบลูม

ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 1.2 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยในมหาสมุทรสูงขึ้นถึง 21 องศาเซลเซียส ทำให้ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมลอยขึ้นผิวน้ำ แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารในปริมาณมากจึงเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ประกอบกับน้ำทะเลจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ถึง 40%  ส่งผลให้พื้นที่ใต้ทะเลขาดอ็อกซิเจน สัตว์ทะเลจึงตายเป็นจำนวนมาก

“โลกร้อนขึ้น ก๊าซคาร์บอนไดอกไซด์เพิ่มขึ้น มีส่วนทำให้ทะเลอ่าวไทยในช่วงฤดูฝนเกิดแพลงค์ตอนบลูมทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวบ่อยขึ้น..ระบบนิเวศในอ่าวไทยเปลี่ยนแปลง” นายสนธิระบุ

ข้อสรุปโคแฟค: ภาพจริง

ภาพและคลิปปลาตาย-น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีเขียวที่เกิดขึ้นใน อ.ศรีราชา อ.เมือง และ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงวันที่ 8-9 ก.ย. 2566 นายสนธิ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมให้ข้อมูลว่าเกิดจากปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม ซึ่งมักเกิดในช่วงฤดูฝน และอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในทะเล อ.ศรีราชา ทำให้สถานการณ์แพลงก์ตอนบลูมและปลาตายรุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันในทะเล ซึ่งไม่ควรใช้ในพื้นที่น้ำตื้นเพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และต้องตรวจสอบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในสัตว์น้ำด้วยเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค 

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 กันยายน 2566

เดือนกันยายนนี้ ผู้สูงอายุจะได้รับเงินเพิ่มคนละ 600บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tc1j3hag56jd


คลิปวิดีโอปลาตายเต็มทะเล เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/257qvpkstii7s


1175 หากรับสายจะทำให้มิจฉาชีพเข้าสู่บัญชีและเอาเงินไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องพูดสายนั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dqsoy9uqbej8


กสทช. ร่วมกับ บช.สอท. และผู้ให้บริการเครือค่ายมือถือทุกราย ตัดสายแก๊ง Call Center หลอกลวง ไม่ให้โทรเข้าไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7gz1lu6bd220


เช็กด่วน เบอร์โทรศัพท์ “มิจฉาชีพ” ถ้าไม่อยากเงินหาย อย่ารับสายเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ewlh84cl9k8g


หมูสับ (และเนื้อสัตว์) ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ “…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b68069pxxghy#_=_


เตือนพ่อแม่ อย่าเลี้ยงลูกกับ “โทรศัพท์มือถือ” เสี่ยงทำลูกพิการได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7ppf5z9vvfa2


อนุญาตให้สถานบริการเปิดบริการได้ 24 ชั่วโมง ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออกรวมทั้งเมืองพัทยา จ.ชลบุรี หรือพื้นที่อื่นใน จ.ระยอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ozvf1saubva5


ตำรวจ เตือนกระแสข่าวการส่ง QR Code ให้เหยื่อ แล้วดูดเงินในบัญชีทั้งหมดนั้น เป็นภัยออนไลน์ที่สามารถป้องกันได้ พร้อมแจ้งกลโกงคนร้าย และแนะแนวทางป้องกัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5joqdiax6m4


กฎหมายใหม่ ค่าปรับ 2000 รถคันไหนไม่เก็บสำเนาหน้าเล่มไว้ในรถ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hutnk2uchzhf


น้ำที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะทำปลาตายเต็มหาด ?

เนื้อหาเป็นเท็จ

คลิปวิดีโอและข้อความที่ส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์ที่ระบุว่า การปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะทำให้ปลาตายจำนวนมหาศาล เป็นข้อมูลเท็จ โดยโคแฟคตรวจสอบพบว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์เก่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ชายหาดแห่งหนึ่งในเมืองอิโตอิกาวะ จังหวัดนีงะตะ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะซึ่งเริ่มดำเนินการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2566

ภาพคลิปวิดีโอความยาว 20 วินาที เผยให้เห็นปลานับแสนตัวลอยตายเป็นแพอยู่ในทะเลและถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกลื่อนชายหาด โดยมีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น กำลังถูกส่งต่อกันในหมู่ผู้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ในไทย พร้อมด้วยข้อความภาษาไทยระบุว่า “เพียงวันเดียวเท่านั้นหลังจากญี่ปุ่นปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลงสู่ทะเล” และ “งดการไปเที่ยวญี่ปุ่น งดทานอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะปลาดิบ อย่างน้อยเป็นเวลา 1 ปี”

คลิปวิดีโอและข้อความนี้ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่  11 มี.ค. 2554 เริ่มดำเนินการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วปริมาณ 1.3  ล้านตัน ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่วันที่  24 ส.ค. 2566 และจะทยอยปล่อยออกมาจนกว่าจะหมด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 30 ปี   

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอและข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2566 โดยค้นหาที่มาของคลิปวิดีโอและข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาพ รวมทั้งติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ได้ข้อมูลดังนี้

  ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอ

คลิปวิดีโอนี้เป็นภาพจากการไลฟ์สตรีมของผู้ใช้แอปพลิเคชันติ๊กต็อกชาวญี่ปุ่น ที่บรรยายเหตุการณ์ฝูงปลาจำนวนมากลอยตายเกลื่อนอยู่ในทะเล เสียงบรรยายภาษาญี่ปุ่นสั้นๆ แปลเป็นภาษาไทยได้ใจความเพียงว่า ผู้ถ่ายวิดีโอเป็นคนท้องถิ่นที่ไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์ปลาตายจำนวนมหาศาลเช่นนี้ และขอบคุณที่ติดตามชม

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2566 Taiwan Fact Check ได้ตรวจสอบที่มาของคลิปวิดีโอนี้และรายงานว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่ชายฝั่งทะเลในจังหวัดนีงะตะ เมื่อโคแฟคสืบค้นเพิ่มเติมพบว่ามีรายงานข่าวเหตุการณ์ปลาตายที่จังหวัดนีงะตะโดยสื่อมวลชนญี่ปุ่นหลายสำนัก หนึ่งในนั้นคือรายการ “News Every.” ของสถานีโทรทัศน์นิปปอนทีวี (Nippon TV) ซึ่งรายงานข่าวนี้ออกอากาศและช่องทางออนไลน์ทั้งยูทูปและติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2566 มีภาพที่เชื่อได้ว่าถ่ายจากสถานที่และเหตุการณ์เดียวกันกับคลิปวิดีโอปลาตายที่ถูกส่งต่อในกลุ่มผู้ใช้ไลน์ของไทยในขณะนี้

ภาพบนเป็นภาพจากคลิปที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ปลาตายหลังการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ส่วนภาพล่างเป็นภาพจากรายงานข่าวปลาตายเกลื่อนชายหาดที่จังหวัดนีงะตะ ของสถานีโทรทัศน์นิปปอนทีวีเมื่อ 8  ก.พ. 2566
ภาพจากเว็บไซต์ https://www.yokohama-maruuo.co.jp/ เผยแพร่วันที่ 9 ก.พ. 2566

สำหรับเหตุการณ์นี้ NHK รายงาน ว่าปลาที่ตายจำนวนมหาศาลและถูกคลื่นซัดมาเกยหาดเมืองอิโตอิกาวะ จังหวัดนีงะตะ เป็นปลาซาร์ดีน เจ้าหน้าที่สถานีวิจัยประมงและมหาสมุทร สำนักงานประมงท้องถิ่นไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของปรากฏการณ์นี้ แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ฝูงปลาซาร์ดีนถูกปลาโลมาไล่ต้อน หรืออาจเกิดจากกระแสอุณภูมิน้ำที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้จังหวัดนีงะตะอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ฝั่งทะเลญี่ปุ่น ส่วนโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิมะ ทางตะวันออก ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ

นับจากวันที่ 24 ส.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดลงสู่ทะเล จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานการตายของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า ทางการญี่ปุ่นเฝ้าระวังผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานทูตญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2566 ระบุว่า  “รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญและยังคอยตรวจสอบเฝ้าระวังน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดก่อนปล่อยลงสู่ทะเลด้วยความโปร่งใส สำนักงานการประมงแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศผลการตรวจสอบระดับความความเข้มข้นของทริเทียมในวัตถุดิบจากท้องทะเล และในน้ำทะเลหลังจากปล่อยน้ำที่ผ่านระบบการบำบัดน้ำขั้นสูง (ALPS) พบว่ามีระดับอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย”

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า ผลการตรวจสอบของสำนักงานการประมงแห่งประเทศญี่ปุ่นว่าไม่พบการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในตัวอย่างปลาที่จับได้ในระยะรัศมีประมาณ 4 กิโลเมตรทางทิศเหนือและในระยะรัศมีประมาณ 5 กิโลเมตรทางทิศใต้จากจุดปล่อยน้ำ ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ทำการตรวจสอบน้ำทะเลในสถานีเฝ้าระวัง 11 แห่ง เมื่อวันที่ 27 ส.ค. พบว่าระดับความเข้มข้นของทริเทียมของน้ำทุกจุดอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น นายฟูมิโอะ คิชิดะ ยังได้รับประทานปลาดิบโชว์สื่อมวลชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคว่าอาหารทะเลจากจังหวัดอิวาเตะ มิยางิ ฟุกุชิมะ และอิบารากิ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ มีความปลอดภัย

ขณะที่ทางการไทย ได้แก่ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมประมง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ  และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบอาหารทะเลนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น หลังการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งหากพบการปนเปื้อนจะใช้มาตรการส่งคืนหรือทำลาย

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนก

คลิปวิดีโอภาพปลาตายในทะเลความยาว 20 วินาที ที่ถูกส่งต่อทางแอปพลิเคชันไลน์ เป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่จังหวัดนีงะตะ หรือราว 6 เดือน ก่อนที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะจะเริ่มการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ข้อความที่ระบุว่าคลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าจึงเป็นข้อมูลเท็จที่สร้างความเข้าใจผิดและอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นตระหนก และส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลได้

ผู้ที่พบเห็นวิดีโอนี้ที่ถูกนำมาให้ข้อมูลในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นผลกระทบจากการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะควรหยุดแชร์

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อผลกระทบจากการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะและความปลอดภัยของอาหารทะเล เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ จึงควรดำเนินมาตรการเฝ้าระวังตรวจสอบอย่างเข้มข้น และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง  

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 กันยายน 2566

มีใบสั่งมาที่บ้าน หากยังไม่ได้จ่ายตั้งแต่ เม.ย. 66 เป็นต้นไป ถ้าไปต่อภาษีจะมีค่าปรับตามใบสั่ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39fo68zon2tcq#_=_


น้ำอัดลมใส่เกลือช่วยแก้อาการขาดน้ำจากภาวะท้องเสีย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18byht6ybkd3y


สารหนูในเห็ดหอมแห้ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uykknsw3nzx6#_=_


 มิจฉาชีพสวมรอย ปลอมเป็นเพจกรมประชาสัมพันธ์ โพสต์ข่าวปลอมปล่อยเงินกู้ อย่าหลงเชื่อ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vtst0gyb4cfi


มีการจัดตั้งศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ระดับจังหวัด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1oxc1wif8wyp3


“มาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ไทย” ลงนามหนุนใช้ “เงินท้องถิ่น” ทำธุรกรรมร่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zgzxogg7tdr6#_=_


กรมการขนส่งทางราง พร้อมนำเสนอการจัดทำใบอนุญาตพนักงานขับรถไฟและการตรวจสภาพขบวนรถไฟ เสนอรัฐบาลชุดใหม่บังคับใช้ควบคุมความปลอภัยภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางรางฯ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2lznydbhcrymt#_=_


เว็บตรวจสอบใครตำรวจจริง-ปลอม มีจริง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3s9nqdcdhkzl5#_=_


ตร.เตือนภัยมิจฉาชีพปลอมเว็บไซต์รับแจ้งความออนไลน์ลวงว่าสามารถนำเงินกลับคืนมาได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/201foyti6moai#_=_


รมว.ดิจิทัลฯ จ่อยื่นศาลสั่งปิด “เฟซบุ๊ก” ชี้รับเงินโฆษณามิจฉาชีพร่วมหลอกชาวบ้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qibe02p1nxhh


เปิดข้อมูลการคุกคามนักการเมืองหญิงบนโลกออนไลน์: กรณีศึกษา “รักชนก ศรีนอก”

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 เรามีนักการเมืองหญิงที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วน ส.ส.หญิงในสภาผู้แทนฯ ของไทยเพิ่มจาก 16.20% เป็น 19.80% โดย 1 ใน 3 ของ ส.ส. กรุงเทพมหานครเป็นผู้หญิง หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากการเลือกตั้งในปี 2562

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของ ส.ส. หญิงในสภาผู้แทนฯ ไทยก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 26.80% จากการรายงานขององค์การสตรีสากลแห่งสหประชาชาติ (UN Women)  

คำถามก็คือ อะไรทำให้จำนวนนักการเมืองหญิงของประเทศไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และเมื่อพวกเธอก้าวเข้าสู่สนามการเมือง เส้นทางนี้เอื้อให้เธอทำงานได้อย่างเต็มที่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการระหว่างวันที่ 23-27 พ.ค. 2566 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ที่ให้ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูลและข่าวลวง

สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองไม่ว่าเพศไหนมักจะต้องประสบพบเจอ คือการถูกสาดโคลนและบิดเบือนข้อมูล ไม่ว่าเป็นเนื้อหาในเชิงเสียดสีล้อเลียน (parody) เชื่อมโยงผิดฝาผิดตัว (false connection) สร้างความเข้าใจผิด (misleading content) สวมรอยตัวตน (imposter content) เรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อสร้างความเสียหาย (fabricated content) ไปจนถึงเนื้อหาที่ถูกตัดต่อปลอมแปลงเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือยุยงปลุกปั่น (manipulated content)

ทีม Thailand Hackathon ซึ่งประกอบด้วยนักกิจกรรมที่ทำงานด้านสิทธิเสรีภาพและการตรวจสอบข่าวลวง 4 คน ได้แก่ ดนตรี ณัฐพงศ์, เปมทัต จันทร์หอม, สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล และพริม มณีโชติ ได้รวบรวมเนื้อหาออนไลน์ที่เป็นการคุกคามและเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนักการเมืองหญิงที่เลือกมาเป็นกรณีศึกษา คือ น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล  

ทีมงานได้เลือกแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องมาจำนวนหนึ่ง เช่น #อีไอซ์ #นานาไอซ์โดนทำร้าย #ไอซ์รักชนก จากนั้นจึงรวบรวมข้อความที่ติดแฮชแท็กดังกล่าวที่โพสต์และแชร์ในเฟซบุ๊กจำนวน 3,397 ข้อความ และข้อความในทวิตเตอร์ 6,322 ข้อความ รวมทั้งหมด 9,719 ข้อความ ในช่วงเวลา 6 เดือน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565-พฤษภาคม 2566 เพื่อศึกษาใน 2 ประเด็น คือ  

  • ข้อความที่คุกคามและสร้างความเสียหายเหล่านี้เป็นการกระทำของบุคคลแบบปัจเจก (individual) หรือเป็นปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารที่ทำอย่างเป็นระบบเพื่อโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (information operation)
  • นักการเมืองหญิงพบเจอกับการคุกคามและโจมตีทางออนไลน์ในรูปแบบใดบ้าง

จากการวิเคราะห์ข้อความที่รวบรวมมา เราพบว่าเนื้อหาทางออนไลน์ที่ใช้โจมตีนักการเมืองหญิง (ส.ส.รักชนก) มี 4 ลักษณะ คือ

  1. ลดทอนคุณค่า (devalued) เช่น การวิจารณ์รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของ น.ส.รักชนก แทนที่จะพูดถึงสิ่งที่เธอต้องการสื่อสาร การเปรียบเทียบว่านักการเมืองหญิงไม่มีศักยภาพในการทำงานเท่ากับนักการเมืองเพศชาย การใส่คำนำหน้าในเชิงลดทอนคุณค่า เช่น “อี” เป็นต้น โดยเนื้อหาประเภทนี้มีมากถึง 56% ของข้อความที่รวบรวมมา
  2. ลดทอนความน่าเชื่อถือ (discredit) ด้วยการตัดต่อข้อความเพียงบางส่วนเพื่อสร้างความเข้าใจผิด คิดเป็น 20% ของข้อความทั้งหมด
  3. คุกคามทางเพศ (sexual harassment) เช่น นำภาพบุคคลอื่นมาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพของ น.ส.รักชนก คิดเป็น 12% ของข้อความทั้งหมด
  4. สแปม (spam) เช่น แนบภาพไปกับการขายสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง คิดเป็น 8% ของข้อความทั้งหมด
  5. การข่มขู่คุกคาม (threat) เช่น ชี้เป้าว่าเป็นบุคคลที่ไม่จงรักภักดี ให้พรรคพวกพิจารณาเองว่าจะจัดการอย่างไร คิดเป็น 4% ของข้อความทั้งหมด

เนื่องจากชุดข้อมูลและข้อสังเกตนี้จะได้มาจากการเก็บตัวอย่างเนื้อหาออนไลน์ที่โจมตีนักการเมืองหญิงเพียงหนึ่งคน ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน จึงไม่สามารถที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดที่นักการเมืองหญิงคนอื่น ๆ ต้องเจอได้ แต่ในจังหวะที่ประเทศไทยยังคงมีจำนวนนักการเมืองหญิงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก สื่อมวลชนรวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังคงให้ความสนใจกับเรื่องรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของนักการเมืองหญิงมากกว่าสิ่งที่พวกเธอสื่อสารหรืออภิปรายในสภา ดังนั้นการตระหนักรู้ว่าอคติในใจเรานั้นเกิดจากการไม่ชอบท่าทีของนักการเมืองคนหนึ่ง อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอแสดงออก หรือเป็นเพราะเพศของเธอ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

และอย่าลืมว่า เนื้อหาออนไลน์ที่เรารวบรวมมาในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการโจมตี นักการเมืองหญิงเพียง 1 คน ในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน หากรวมข้อความทั้งหมดที่คุกคาม โจมตี ใส่ร้ายป้ายสี ลดทอนคุณค่านักการเมืองหญิง รวมถึงผู้หญิงจำนวนมากในโลกออนไลน์ ย่อมมีปริมาณมหาศาลและมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากอย่างแน่นอน

เรื่องแนะนำ

เปิดเบื้องหลัง STALKER สัมพันธ์ลึกแต่ไม่ลับกับ TOP NEWS

คนที่ติดตามข่าวสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียน่าจะเคยเห็นวิดีโอของ “STALKER” ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่นำเสนอประเด็นการเมืองในรูปแบบวิดีโอสั้น และมักนำความเห็นของอินฟลูเอนเซอร์และคลิปวิจารณ์การเมืองของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย (user-generated content) มาเผยแพร่ต่อในลักษณะหวือหวา เร้าอารมณ์ ทั้งทางเฟซบุ๊ก ยูทูป ทวิตเตอร์และติ๊กต็อก

STALKER เป็นหนึ่งในแบรนด์ย่อยของท็อปนิวส์ วิดีโอทั้งหมดของ STALKER ถูกรวบรวมและเผยแพร่อยู่ใน playlist ของ เฟซบุ๊ก TOP News Online ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 5 แสนราย และยูทูปช่อง TOP NEWS LIVE ที่มีผู้ติดตามเกือบ 1 ล้านราย วิดีโอชิ้นแรกเผยแพร่ทางยูทูปของช่องท็อปนิวส์เมื่อเดือนมกราคม 2566 ปัจจุบันมีวิดีโอที่เผยแพร่แล้วเกือบ 3,000 ชิ้น ยอดการรับชมส่วนใหญ่อยู่ในหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน วิดีโอที่มียอดวิวสูงสุดคือ “ ‘แอ๊ด คาราบาว’ ดีดกีตาร์โชว์ร้องเพลง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล” เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2566 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง       

แนวเนื้อหาวิดีโอของ STALKER ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกับท็อปนิวส์ กล่าวคือเชิดชูสถาบันกษัตริย์-สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา-วิจารณ์พรรคก้าวไกล เพื่อไทย และคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย

STALKER ในแพลตฟอร์ม TikTok

ในช่วงเวลาที่การเมืองร้อนแรง โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเนื้อหาทางการเมือง ผู้ผลิตคอนเทนต์หน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นทุกวัน การได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตเนื้อหาอาจช่วยประเมินความน่าเชื่อถือและมองเห็นเจตนาในการเผยแพร่เนื้อหานั้น เหมือนการได้อ่านฉลากสินค้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตและที่มาของวัตถุดิบ

ต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับ STALKER จากการเปิดเผยของนายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2566  

STALKER เป็น “แบรนด์ย่อย” ของท็อปนิวส์  

STALKER เกิดจากแนวคิดในการผลิตคอนเทนต์เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (segment) ที่ติดตามประเด็นการเมืองในโลกออนไลน์ ซึ่งมีพฤติกรรมการเสพรับข่าวสารที่แตกต่างจากผู้ชมโทรทัศน์ ท็อปนิวส์เริ่มผลิตและเผยแพร่เนื้อหาโดยใช้แบรนด์ STALKER มาได้ประมาณ 7 เดือน ในช่วงแรกอาศัยการเผยแพร่ผ่านช่องทางหลักของท็อปนิวส์ ทั้งเฟซบุ๊กและยูทูปซึ่งมีฐานผู้ชมจำนวนมาก เปรียบเหมือนบ่อที่มีปลาอยู่แล้ว ในระหว่างที่สร้างบ่อใหม่ รอปลาใหม่ ก็เอา STALKER ไปฝากไว้เพื่อให้คนรู้จัก เมื่อ STALKER ได้รับการจดจำ มีกลุ่มผู้ชมของตัวเองแล้ว ก็จะแยกช่องทางการเผยแพร่ที่เป็นอิสระจากท็อปนิวส์ และในระยะยาว ท็อปนิวส์ตั้งใจจะให้ STALKER แยกเป็นหน่วยธุรกิจผลิตคอนเทนต์ที่สร้างรายได้ด้วยตัวเอง

เลือกประเด็นจากสถิติและเทรนด์

สถิติความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ดูได้จากเครื่องมือต่างๆ เช่น กูเกิลเทรนด์และทวิตเตอร์เทรนด์ เป็นตัวกำหนดประเด็นที่ STALKER จะนำเสนอ โดยเลือกแง่มุมและเนื้อหาที่แตกต่างจากทีวี เช่น นำคลิปของผู้ใช้ติ๊กต็อกที่พูดถึงประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในขณะนั้นมาตัดต่อใหม่ (re-edit) STALKER มีกองบรรณาธิการที่แยกจากท็อปนิวส์ มีบรรณาธิการข่าวและทีมผลิต-ตัดต่อของตัวเอง ซึ่งเป็นทีมคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่
บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด

มั่นใจไม่เผยแพร่ข่าวลวง

เนื้อหาที่ STALKER นำเสนอล้วนผ่านการคัดกรองมาแล้วว่าไม่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เวลานำความเห็นของบุคคลคนอื่นมาเผยแพร่ต่อก็จะดูว่าไม่สุ่มเสี่ยงหรือหมิ่นเหม่ที่จะถูกฟ้องร้อง มีการตรวจสอบย้อนกลับไปที่ต้นทาง หากเปรียบโลกออนไลน์เป็นสนามยิงปืน ท็อปนิวส์ก็เหมือนเป็นเป้า เราพร้อมที่จะถูกยิงและถูกเอาไปขยายผล เอาศพไปแขวนประจานอยู่แล้ว ดังนั้น นับตั้งแต่เปิดตัวมาจะครบ 3 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ ท็อปนิวส์จึงระมัดระวังเรื่องเนื้อหามากที่สุด แต่หากมีการทักท้วงเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทีมงานก็พร้อมจะตรวจสอบและแก้ไข ยังไม่ถูกฟ้องร้องเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอ 

ยอดการรับชมสูง-รายได้ดี   

STALKER เป็นโปรเจกต์หนึ่งของท็อปนิวส์ที่ให้ทีมงานคนรุ่นใหม่ทดลองผลิตเนื้อหา โดยมีผู้บริหารและบรรณาธิการอาวุโสของท็อปนิวส์คอยดูภาพรวม ผ่านไป 7 เดือนปรากฏว่าได้รับความนิยมและสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยทั่วไปทีมผลิตเนื้อหาออนไลน์แต่ละทีมของท็อปนิวส์ รวมทั้งทีม STALKER มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3-4 แสนบาทต่อเดือน แต่ STALKER ทำรายได้ประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ซึ่งทางผู้บริหารมีนโยบายว่าถ้าทีมผลิตคอนเทนต์ทำรายได้มาก พนักงานก็จะได้ค่าตอบแทนพิเศษเหมือนเป็นค่า commission เพื่อเป็นกำลังใจในการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมมากขึ้น

แพลตฟอร์มออนไลน์ของท็อปนิวส์ทำรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันราว 40% ของรายได้ของท็อปนิวส์มาจากยูทูป โดยคอนเทนต์ของแบรนด์ย่อยอย่าง STALKER, Insight Hot Social และ TOP DARA สร้างรายได้จนเกือบเท่ารายได้จากทีวี ทั้งที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ามาก ขณะนี้รายได้จากช่องทางออนไลน์ของท็อปนิวส์อยู่ที่ประมาณเดือนละ 6-7 ล้านบาท ซึ่งท็อปนิวส์มีแผนจะผลิตเนื้อหาออนไลน์ให้มากขึ้นอีก เพื่อทำรายได้ให้ถึงเดือนละ 10 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2566 ตามที่ตั้งเป้าไว้

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2566

เป็นตะคริวขา/น่องกลางดึกบ่อย เป็นสัญญาณโรคไตวาย เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28jzadofyfpo1


หากทานแคลเซียมจะเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือเกิดหินปูนเกาะหัวใจ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/pd0awveam4ww


กินเม็ดลิ้นจี่แทนการล้างไตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23th1zj9aj4nj


 กสพท. ปรับเกณฑ์ใหม่ นักเรียนทุกสายสามารถสอบแพทย์ได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2o6oak07s7d01


ใบสั่งจราจรปลอมระบาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/px8lzzxw8e64


ห้ามดื่มกาแฟ ก่อนหรือหลังรับประทานอาหารเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกาแฟจะออกฤทธิ์ทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์นั้นหมดเลย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/alay1rk888mk


คลิปกระบวยใส่น้ำแข็งแช่น้ำซุปชาบูจนเกิดไขมันเป็นก้อนแข็งเกาะอยู่ ไม่ได้ไปเป็นก้อนแข็งอยู่ในกระเพาะในลำไส้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18yn55xlxb1jn


ใบสั่งจราจรปลอมระบาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/px8lzzxw8e64


 ห้ามดื่มกาแฟ ก่อนหรือหลังรับประทานอาหารเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกาแฟจะออกฤทธิ์ทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์นั้นหมดเลย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/alay1rk888mk


‘แอปพลิเคชั่นปลอม’ หากหลงกลมิจฉาชีพติดตั้ง..เงินเก็บทั้งชีวิตอาจหายเกลี้ยงได้ในชั่วพริบตา Cofact Report 13/66

บทความ

By : Zhang Taehun

มิจฉาชีพออนไลน์ ยังคงเป็น ภัยร้าย ของพลเมืองยุคดิจิทัล และมีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถ ฉกทรัพย์สิน ของเหยื่อได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้จะเห็นข่าว แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ไปพูดจาหว่านล้อมให้ปลายสาย ใช้วาทศิลป์ทั้งขู่ทั้งปลอบโดยหวังให้หลงเชื่อแล้วโอนเงิน จนภายหลังเมื่อมีการเตือนและผู้คนเริ่มรู้เท่าทันมากขึ้นเรื่อย ๆ มิจฉาชีพหลอกไม่สำเร็จแถมบางครั้งยังกลายเป็นตัวตลกถูกนำมาล้อเลียนอีกต่างหาก

เหล่าร้ายทั้งหลายจึงหันมาใช้ แอปพลิเคชั่นดูดเงิน เราจะเห็นข่าวในระยะหลังๆ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้หันไปแนะนำให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นซึ่งถูกออกแบบมาให้มีหน้าตาภายนอกคล้ายกับแอปฯ จริง ซึ่งหากใครหลงเชื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งในโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ก็เตรียมตัวถูก ล้วงข้อมูลส่วนบุคคล (แน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินด้วย) ไปจนถึง เข้าควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ แล้วเงินเก็บทั้งชีวิตในบัญชีของเหยื่อก็จะถูกมิจฉาชีพโอนออกอย่างรวดเร็วเข้า บัญชีม้า เป็นทอดๆ จนไปถึงปลายทางที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ

ดังเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นกับผู้ประกาศข่าวสาวคนดัง ซึ่งเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566 ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ว่า มีบุคคลโทรศัพท์มาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของ กรมที่ดิน บอกให้ปรับปรุงข้อมูลที่ดินเพื่อประกอบกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้แอดบัญชีแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) ซึ่งก็ ทำเนียน เหมือนกับบัญชีไลน์ทางการ (Line Official Account) ของกรมที่ดินอีกต่างหาก จึงแอดเข้าไปสอบถาม และได้รับคำแนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น และให้ใส่ข้อมูลส่วนบุคคลในแอปฯ ดังกล่าว อ้างว่าเป็นการปรับปรุงข้อมูล จนท้ายที่สุดกว่าจะรู้ตัว เงินในบัญชีก็หายไปแล้วประมาณ 1 ล้านบาท

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยังมีรายงานข่าวจาก สถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง จ.นนทบุรี ว่า ในวันที่ 8 ส.ค. 2566 มีพระสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ เดินทางมาแจ้งความเรื่องถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน โดยพระรูปนี้เล่าว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2566 มิจฉาชีพได้อ้างเรื่องการปรับปรุงข้อมูลโฉนดที่ดิน และขอให้ทำรายการผ่านแอปพลิเคชั่นชื่อ แลนด์สมาร์ท (Land Smart) เมื่อหลงเชื่อดาวน์โหลดมาแล้วทำตามที่มิจฉาชีพบอก ซึ่งรวมถึงการ สแกนใบหน้า ครู่ต่อมาก็มีข้อความเตือนมาในโทรศัพท์มือถือ ว่าเงินถูกโอนออกไปจากบัญชีธนาคารมากกว่า 1 แสนบาท โดยเหตุที่ตัดสินใจดาวน์โหลด เพราะแอปฯ ดังกล่าวมีตราสัญลักษณ์ของกรมที่ดินและกำลังจัดการเรื่องโอนที่ดินของวัดที่ยังไม่เสร็จสิ้น

จากเรื่องราวข้างต้น ผู้เขียนจึงลองค้นหาข่าวเก่าๆ เกี่ยวกับช่องทางการติดต่อสื่อสารทางออนไลน์ พบว่า สำหรับช่องทางไลน์ กรมที่ดินเคยมีการเปิดตัวบัญชีไลน์ทางการ (Line Official Account) ชื่อ @teedin เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2563 อันเป็นการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ไม่ต้องมาแออัดใกล้ชิดในสำนักงานที่ดินเพื่อป้องกันการระบาดของโรค

รูปที่ 1 : โครงการ “BOKDIN” ของกรมที่ดิน และบัญชีไลน์ @bokdin

นอกจากนั้นยังมีไอดีไลน์ @bokdin ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2563 ตามข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงมหาดไทย PR”  ของกระทรวงมหาดไทย อันเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ณ วันที่ 14 ก.พ. 2563 ระบุว่า เป็นโครงการ “BOKDIN” Project on Survey of Land Information to Accommodate Governments สำรวจข้อมูลที่ดินสำหรับประชาชนที่มีที่ดิน แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือมี สค 1, นส 3, นส.3ก และต้องการให้ภาครัฐเข้าไปบริหารจัดการที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเปิดให้ประชาชนแจ้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. – 30 มิ.ย. 2563 และจะแจ้งกลับระหว่างวันที่ 1 มี.ค. – 31 ก.ค. 2563

โครงการ BOKDIN หรือ “บอกดิน” ยังมีการดำเนินการในระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 มี.ค.-30 มิ.ย. 2564 แต่ครั้งนี้กรมที่ดินเปลี่ยนจากการแจ้งผ่านไลน์ @bokdin มาเป็นผ่านแอปพลิเคชั่น “SmartLands” ซึ่งทางกรมที่ดินได้เปิดตัวแอปฯ ดังกล่าวเมื่อเดือน พ.ย. 2563 ในเบื้องต้นมีบริการ 15 ด้าน และต่อมาได้เพิ่มเป็น 17 ด้าน กระทั่งล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย. 2566 มีรายงานว่าเพิ่มเป็น 18 ด้าน ซึ่งรวมถึงโครงการบอกดิน ระบบให้บริการค้นหาตำแหน่งรูปแปลงที่ดินด้วยระบบภูมิสารสนเทศทางอินเตอร์เน็ต (LandsMaps) ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้บัญชีไลน์ทางการ @teedin เป็นอีกช่องทางสื่อสาร (หมายเหตุ : ในวันที่ 12 ส.ค. 2566 ผู้เขียนลองแอดไลน์ @bokdin พบว่าไม่มีบัญชีดังกล่าวแล้ว)

รูปที่ 2 : แอปพลิเคชั่น “SmartLands” รวมบริการต่างๆ ของกรมที่ดิน

ดังนั้นโดยสรุปแล้วในกรณีของกรมที่ดิน ปัจจุบันแอปพลิเคชั่นจริงของกรมที่ดินคือ SmartLands และบัญชีไลน์จริงของกรมที่ดินคือ @teedin (ต้องมี @ นำหน้าด้วย) เท่านั้น อีกทั้งในวันที่ 12 ส.ค. 2566 กรมที่ดินยังมีประกาศ เรื่อง เตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินหลอกลวงผู้เสียหาย ย้ำว่า กรมที่ดินไม่มีนโยบายในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงโทรศัพท์ไปหาเจ้าของที่ดิน เพื่อจะให้ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน หรือในช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ขณะที่การดาวน์โหลดแอปฯ ขอให้ทำผ่านช่องทางที่เชื่อถือได้อย่าง App Store หากใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Google Play Store หากใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Android

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า ข่าวประกาศเตือนที่นำเสนอผ่านสื่อรวมถึงเพจเฟซบุ๊กทางการของกรมที่ดินอย่าง “กรมที่ดิน Fanpage” ตอนหนึ่งใช้คำว่า “แอปพลิเคชัน Landsmaps”  แต่เนื่องจาก Landsmaps เป็นเพียงฟังก์ชั่นหนึ่งของแอปฯ SmartLands โดยหากจะใช้งานก็ต้องดาวน์โหลดแอปฯ SmartLands มาติดตั้งก่อน นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน Landsmaps ผ่านเว็บไซต์ https://landsmaps.dol.go.th/ ได้อีกช่องทางหนึ่ง ดังนั้นจึงอยากให้เพิ่มความระมัดระวัง เพราะมิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสจากจุดเล็กๆ นี้ ไปสร้างแอปฯ ปลอมมาหลอกลวงเหยื่อได้อีก

รูปที่ 3 : ถ้อยคำ แอปพลิเคชัน Landsmaps” บนเพจเฟซบุ๊ก กรมที่ดิน Fanpage” (เผยแพร่ ณ วันที่ 12 ส.ค. 2566) อันเป็นเพจทางการของกรมที่ดิน ซึ่งจริงๆ แล้ว Landmaps เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งในแอปพลิเคชั่น “SmartLands” โดยต้องดาวน์โหลดแอปฯ ดังกล่าวมาติดตั้งก่อน

เรื่องราวของกรมที่ดินถูกแอบอ้างโดยมิจฉาชีพ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะคนร้ายอาจปลอมเป็นหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ บริษัทเอกชน รวมถึงธนาคารใดๆ ก็ได้เพื่อหลอกลวงเหยื่อ ดังการเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 โดย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ว่า มีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ธนาคารและบริษัทเอกชน ถึง 29 หน่วยงาน-โครงการ (ซึ่งกรมที่ดินก็เป็นหนึ่งในนั้น) ถูกนำชื่อไปแอบอ้างเพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชน

โดยคำแนะนำที่ทางโฆษก บก.สอท. แนะนำไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชั่น อาทิ ไม่ติดตั้งโปรแกรม หรือแอปพลิเคชันที่ผู้อื่นส่งมาให้โดยเด็ดขาด แม้จะเป็นโปรแกรมที่รู้จักก็ตาม เพราะอาจเป็นแอปพลิเคชันปลอม โดยหากต้องการใช้งานให้ทำการติดตั้งผ่าน App Store หรือ Play Store เท่านั้น , ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก หรือไฟล์ที่อาจเป็นอันตราย เช่นไฟล์นามสกุล .Apk , ไม่อนุญาตให้เข้าถึงอุปกรณ์ และควบคุมอุปกรณ์ หรือโทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด , ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินใดๆ ลงในลิงก์ หรือแอปพลิเคชันในลักษณะดังกล่าวโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรหัสผ่าน 6 หลัก ที่ซ้ำกับรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ,  หากติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมแล้ว ให้รีบทำการ Force Reset หรือการบังคับให้อุปกรณ์นั้นรีสตาร์ต (ส่วนใหญ่เป็นการกดปุ่ม Power พร้อมปุ่มปรับเสียงค้างไว้) ในกรณีเกิดอาการค้างไม่ตอบสนอง หรือเปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) หรือปิดเครื่องเพื่อตัดสัญญาณไม่ให้โทรศัพท์สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ถอดซิมการ์ดโทรศัพท์ออก หรือทำการปิด Wi-fi Router

ขณะที่การเฝ้าระวังบัญชีไลน์ ให้สังเกตบัญชีที่ผ่านการรับรองจะมีสัญลักษณ์โล่สีเขียว หรือโล่สีน้ำเงิน หากเป็นโล่สีเทาหรือไม่มีโล่เลยจะเป็นบัญชีทั่วไปยังไม่ได้ผ่านการรับรอง ต้องตรวจสอบยืนยันให้ดีเสียก่อน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย ควรตรวจสอบโดยการโทรศัพท์ไปสอบถามผ่านหมายเลขโทรศัพท์หรือเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานนั้นโดยตรง รวมถึงตรวจสอบว่ามีการประกาศแจ้งเตือนการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวหรือไม่

จากคำเตือนข้างต้น หลักการที่ยังใช้ได้เสมอคือ ตั้งสติแล้วตรวจสอบให้ชัดก่อนตัดสินใจทำรายการโดยเฉพาะหนึ่งในข้อสังเกตคือ มิจฉาชีพจะพยายามไม่ให้เหยื่อได้มีโอกาสตรวจสอบทั้งการค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่นหรือสอบถามบุคคลอื่นที่ไว้ใจได้ โดยพยายามจะให้คุยกับบุคคลที่มิจฉาชีพได้วางตัวไว้แล้วเท่านั้น เช่น กรณีของผู้ประกาศข่าวสาวคนดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า 

ขณะที่ตนเองพยายามจะใช้คอมพิวเตอร์ แต่มิจฉาชีพบ่ายเบี่ยงให้ใช้โทรศัพท์มือถือ โดยบอกว่าจะอัพเดทข้อมูล จึงขอให้ตนอัปเดทข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันของกรมที่ดิน เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันแล้ว ปลายสายมีการแนะนำให้ทำตามขั้นตอนการลงทะเบียนในระบบแอปพลิเคชัน มีการยืนยันรหัส OTP และสแกนหน้า 2-3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนเวลาล่วงเลยไปนานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งตลอดการพูดคุยมีการประวิงเวลา เพื่อไม่ให้ตัววางสายและออกจากแอปพลิเคชัน

รวมถึงล่าสุดที่มิจฉาชีพมีวิธีหลอกลวงแบบใหม่คือ สร้างเรื่องขู่ให้เด็กหรือเยาวชนกลัว เพื่อบีบให้แกล้งสร้างเรื่องว่าถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ แล้วนำเรื่องนี้ไปหลอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองโอนเงิน เรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 โดย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ทางตำรวจพบ 4 กรณี ที่มิจฉาชีพใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่ แล้วส่งรูปลูกหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้ไปให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อลูกหลานได้ จึงจำเป็นต้องโอนเงินให้ไป 

ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว ลูกหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้นพ่อแม่คาดว่าเป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเชิงลึก พบว่า เป็นคดีที่ลูกหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและบังคับให้ถ่ายคลิปหรือภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มมิจฉาชีพนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีลูกหลานของตนเอง หรือเข้าบัญชีม้าแล้วหลบหนีไป โดยมิจฉาชีพจะพยายามตัดการเชื่อมต่อทุกช่องทางระหว่างผู้ปกครองและบุตรหลาน ดังที่ พล.ต.อ.สมพงษ์ ให้ข้อมูลว่า

หลอกให้ผู้เสียหายย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกผู้เสียหายว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่ , หลอกให้ผู้เสียหายลบแอปฯ ที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น เพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนอื่น , หลอกให้ผู้เสียหายปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ติดต่อกับมิจฉาชีพ รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line ของผู้เสียหายผ่าน PC-iPad ตลอดเวลา

เพราะอันที่จริงแล้ว “หลายเรื่องที่มิจฉาชีพหลอกลวง สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เพียงแค่มีเวลาค้นหาในอินเตอร์เน็ต” เช่น ชื่อเว็บไซต์ ที่อยู่เว็บไซต์ (URL) เพจเฟซบุ๊ก หรือบัญชีไลน์ที่ถูกต้องของหน่วยงาน แม้กระทั่งหมายเลขโทรศัพท์ที่น่าสงสัย หลายครั้งพบเป็น “ข่าวเก่า” เคยมีคนถูกหลอกและมีคำเตือนจากผู้เกี่ยวข้องกันมาแล้ว หรือในกรณีมีหมายเลขโทรศัพท์หรือมีบัญชีเฟซบุ๊ก-ไลน์ที่ไม่คุ้นเคยโทรหรือทักเข้ามา อ้างเป็นคนรู้จักขอยืมเงิน หากเรามีหมายเลขโทรศัพท์ บัญชีเฟซบุ๊กหรือไอดีไลน์ของบุคคลที่ถูกอ้างถึงนั้นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ลองเสียเวลาสักเล็กน้อยโทร.หรือทักไปสอบถามย้ำอีกครั้ง อาจจะได้ทราบว่านั่นไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นมิจฉาชีพสวมรอยก็เป็นได้

รูปที่ 4 : ตัวอย่างแอปพลิเคชั่น Google Play (แอปฯ ปลอม) กับ Google Play Store (แอปฯ จริง)

อนึ่ง ในช่วงท้ายของบทความนี้ ผู้เขียนขอฝากเตือนจากข่าวเล็กๆ ที่รายงานโดย The Rakyat Post สำนักข่าวออนไลน์ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2566 ว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2566 มีชายวัยเกษียณคนหนึ่งไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Google Play Store ที่เป็นแอปฯ ปลอม จนสูญเงินไปราว 7.1 หมื่นเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) และต่อมาในวันที่ 11 เม.ย. 2566 ตำรวจสิงคโปร์ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์แจ้งเตือนประชาชน โดยเผยให้เห็นว่า แอปฯ ปลอมนั้นชื่อ Google Play ในขณะที่แอปฯ จริงนั้นชื่อ Google Play Store

ทั้งนี้ แอปพลิเคชั่น Google Play Store อันเป็นแหล่งรวมการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาให้ใช้งานสำหรับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยแอปฯ ที่เข้ามาอยู่ใน Google Play Store ถือว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในด้านความปลอดภัย ปกติแล้ว Google Play Store จะถูกติดตั้งมากับเครื่องโทรศัพท์ตั้งแต่ต้น แต่ก็พบว่ามีมือถือ Android บางยี่ห้อหรือบางรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งมา ดังนั้นผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดแอปฯ ต่างๆ จึงต้องทำผ่านเว็บไซต์ โดย URL ที่ถูกต้องของ Google Play Store คือ https://play.google.com/ 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

บอกกล่าวกับผู้อ่าน : ข่าวและข้อมูลในบทความนี้ ผู้เขียนทำการสืบค้น ณ วันที่ 12 ส.ค. 2566 ซึ่งหลังจากนั้นข้อมูลอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปได้ 

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/330482 (ผู้ประกาศข่าวถูกหลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงินสูญกว่า 1 ล้านบาท : ThaiPBS 9 ส.ค. 2566)

https://www.naewna.com/local/748779 (พระวัดดังบางบัวทองถูก’แก๊งคอลเซนเตอร์’ตุ๋นเงินกว่า1แสนบาท อ้างเป็นจนท.จากกรมที่ดิน : แนวหน้า 8 ส.ค. 2566)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG200625092920849 (กรมที่ดิน เปิดบริการรูปแบบใหม่บนแอปพลิเคชันไลน์ สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 25 มิ.ย. 2563)

https://www.facebook.com/prmoithailand/photos/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A-line-official-account-%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1/1389479277907953/ (เพจ “กระทรวงมหาดไทย PR” แจ้งโครงการ BOKDIN 14 ก.พ. 2563)

https://www.thansettakij.com/real-estate/470769 (เริ่มแล้วโครงการ “บอกดิน 2” ลุยสำรวจข้อมูลออกโฉนดที่ดินในพื้นที่)

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_6568491 (กรมที่ดิน ดำเนินการโครงการ “บอกดิน” (ระยะที่ 2) : ข่าวสด 17 ส.ค. 2564)

https://www.thansettakij.com/real-estate/493377 (เช็คเลย “บอกดิน”  2 กรมที่ดิน ตรวจสอบสิทธิ์ ได้โฉนด ช่องทางไหนบ้าง : ฐานเศรษฐกิจ 25 ส.ค. 2564)

https://www.naewna.com/local/531414 (กรมที่ดิน เล็งจดทะเบียนออนไลน์ต่างสำนักงาน นำร่องในพื้นที่กทม.ปี64 : แนวหน้า 12 พ.ย. 2563)

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_6354780 (กรมที่ดิน ปลื้มยอดดาวน์โหลดแอป “SMARTLANDS” พุ่งเกิน 100,000 ครั้ง : ข่าวสด 22 เม.ย. 2564)

https://www.thansettakij.com/business/economy/568272 (รู้จัก “SmartLands” แอปฯเดียวจบครบทุกเรื่องเกี่ยวกับที่ดิน : ฐานเศรษฐกิจ 16 มิ.ย. 2566)

https://www.js100.com/en/site/news/view/132202 (กรมที่ดินยืนยัน! ข้อมูลที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชนไม่ได้หลุดจากกรมที่ดิน : จส.100 12 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02xMsKf44vWenaMnWqmC8KbMMDZzAYHtuq5n58rv54MBcSmTknFGibwUVuPcn5vmFGl&id=100067538825832&eav=AfaH3lWHeDuH7sXghuelOq-rkXRR3v2UpbGoeTA-ZahO2lpB9RuxQ9bjDSMYOm_LwQg&refid=17&paipv=0 (เพจ “กรมที่ดิน Fanpage” แจ้งเตือนมิจฉาชีพแอบอ้าง 12 ส.ค. 2566)

https://news.ch7.com/detail/534342 (เตือนภัย ระวังแอปพลิเคชันธนาคารปลอมหลอกกู้เงิน ถอนเงินออกจากบัญชีเกลี้ยง : ช่อง 7 6 ธ.ค. 2564)

https://www.thaipost.net/hi-light/358135/ (ตรวจสอบด่วน! รายชื่อ 29 หน่วยงานรัฐ-เอกชน ที่มิจฉาชีพใช้อ้างหลอกลวงประชาชน : ไทยโพสต์ 11 เม.ย. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/330541 (เบอร์แปลกอย่ารับ! เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่ นศ.เรียกค่าไถ่ : ThaiPBS 11 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02nb4UWD7u15AqD8oXfjHVo4KE3RwA3zHUEEtPwCNzDnj9qDfKfKdVG7id2hCwFiDil&id=100069795866839&eav=Afbe6UaIu6CB57VhCPCrvpd-4v0iXC-RGpfZqRjm_T8JwpAOdP7CTeewvRIgf8DjIGs&paipv=0 (ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด : Cofact 14 เม.ย. 2566)

https://www.therakyatpost.com/tech/2023/04/15/beware-of-fake-google-play-app-retiree-loses-more-than-200k-in-life-savings/ (Beware Of Fake Google Play App, Retiree Loses More Than 200k In Life Savings : The Rakyat Post 15 เม.ย. 2566)