2566‘ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A’ป่วยแล้วอาการรุนแรงกว่า‘โควิด’จริงหรือ? Special Report 17/66

เฟคนิวส์ อย่าแชร์!! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีอาการอาเจียน ปัสสาวะราดเฉียบพลัน รุนแรงกว่าโควิด-19 กรมควบคุมโรคเผยข้อมูล นี่คือข้อความถูกแชร์บนโลกออนไลน์ และมีผู้ส่งมาฝากให้ผู้เขียนช่วยค้นหาหน่อยว่าเป็นจริงหรือไม่? ซึ่ง ณ วันที่ผู้เขียนได้รับและลองค้นหาข้อมูล (วันที่ 16 ต.ค. 2566) เบื้องต้นพบรายงานจาก ศูนย์ต่อค้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่าเป็น ข่าวปลอม อย่าแชร์

โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ แจ้งเตือนเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2566 อ้างอิงข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากกรณีที่มีการส่งต่อคำเตือนโดยระบุว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีอาการปวดหัว อาเจียน ฉี่แตกเฉียบพลันอย่างรุนแรง และมีความรุนแรงมากกว่าโควิด-19 ทุกสายพันธุ์นั้น ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง ซึ่งกรมควบคุมโรค ได้อธิบายว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza H1N1) จะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะ บางรายอาจจะมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

ส่วนโรคโควิด-19 มีลักษณะทางระบาดวิทยาคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดตามฤดูกาล โดยอาการของโรคโควิด-19 คือมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจสามารถแพร่ติดต่อได้รวดเร็ว อาการป่วยคล้ายกัน ไม่ได้มีความรุนแรงมากกว่ากัน แต่คล้ายกันตรงที่กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ เด็ก หากติดเชื้ออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น โดยการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่โดยปกติแพทย์จะพิจารณาให้ยาโอเซลทามิเวียร์ในกลุ่มคนที่มีอาการรุนแรง หรือมีไข้สูง หรือคนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง

บทความ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza, Flu)” โดยกรมควบคุมโรค ระบุว่า ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งมี 3 ชนิด (type) คือ A, B และ C ไวรัสชนิด A เป็นชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก ไวรัสชนิด B ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค ส่วนชนิด C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการอย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้เกิดการระบาด 

เชื้อไวรัสชนิด A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตามความแตกต่างของโปรตีนของไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ชนิดย่อยของไวรัส A ที่พบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในคนที่พบในปัจจุบันได้แก่ A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) ส่วนไวรัสชนิด B ไม่มีแบ่งเป็นชนิดย่อย ปัจจุบันสามารถพบ hemagglutinin (H) ที่แตกต่างกันถึง 15 ชนิด และ neuraminidase (N) 9 ชนิดของไวรัสชนิด A 

แต่มีเพียง H1N1 และ H3N2 ที่พบติดเชื้อในคนบ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแอนติเจนที่เกิดได้บ่อยทำให้มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นต่างสถานที่และต่างระยะเวลา ดังนั้นจึงต้องมีระบบการเรียกชื่อเพื่อป้องกันความสับสน คณะผู้เชี่ยวชาญได้กำหนดให้เรียกชื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามหลักสากลทั่วโลกดังนี้ ชนิดไวรัส/ชื่อเมืองหรือประเทศที่พบเชื้อ/ลำดับสายพันธุ์ที่พบในปีนั้น/ปี ค.ศ.ที่แยกเชื้อได้/ชนิดย่อยของ H และ N เช่น A/Sydney/5/97(H3N2), A/Victoria/3/75/(H3N2)

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางการหายใจ โดยจะได้รับเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน โรงงาน การแพร่เชื้อจะเกิดได้มาก นอกจากนี้การแพร่เชื้ออาจเกิดโดยการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย (droplet transmission) จากมือที่สัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แล้วใช้มือสัมผัสที่จมูกและปาก 

โดยผู้ป่วยจะมีอาการมีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการและจะแพร่เชื้อต่อไปอีก 3-5 วันหลังมีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน

บทความ โรคไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบบ่อยในฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) ของทุกปี อาการของโรคจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการที่รุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยไข้หวัดใหญ่ในคนมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ A, B และ C แต่มีเพียงสายพันธุ์ A และ B ที่มีการระบาดโดยทั่วไป 

โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แบ่งออกเป็นหลายซัปไทด์ ซัปไทด์ที่มีการระบาดเป็นประจำคือ H1N1 และ H3N2 ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B แบ่งออกเป็น 2 lineages คือ Victoria และ Yamagata โดยอาการมักไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ส่วนไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดจากการเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ เช่น rhinovirus, adenovirus เป็นต้น โดยไข้หวัดใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

ไข้หวัดใหญ่ติดต่อจากการสัมผัสละอองฝอยจากการไอและการจามของผู้ป่วย เชื้อไวรัสจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก และน้ำลาย โดยผู้ป่วยจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-4 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกันตามอายุ โดยในกลุ่มเด็กโตและวัยรุ่นจะมีอาการของไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในบริเวณหลัง ต้นแขน ต้นขา มีน้ำมูกใส คัดจมูก ไอแห้ง เจ็บคอ และเบื่ออาหาร ส่วนในเด็กเล็กจะมีไข้สูง ร่วมกับอาการทางระบบอื่น เช่น ถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน และชักจากไข้สูง

สำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” ที่เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการรุนแรง เช่น หญิงมีครรภ์ , เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี , บุคคลที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป , ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ ไตวาย หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ธาลัสซีเมีย มะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ส่วน ภาวะแทรกซ้อน ที่อาจพบได้ในกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อ แบ่งเป็นภาระแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนมักเกิดในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ และสมองอักเสบ

ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่สามารถหายเองได้ หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลเองที่บ้านและรักษาตามอาการ เช่น เมื่อมีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว และใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล หรือถ้ามีน้ำมูกให้ใช้ยาลดน้ำมูกและยาละลายเสมหะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารอ่อนและให้นอนพักผ่อน ส่วนผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน อาจต้องใช้ยาต้านไวรัส โอลเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ในการรักษา ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหนื่อย สงสัยปอดอักเสบหรือมีอาการที่รุนแรงอื่น อาจมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาโดยการนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

สำหรับ “วิธีป้องกันการติดเชื้อ” ได้แก่ 1.ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรปิดปาก จมูกด้วยหน้ากากอนามัย 2.ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น 3.หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ  4.ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 

และ 5.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อยๆ ในการผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน และเนื่องจากระยะก่อโรคสั้น จำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอเพื่อเตรียมพร้อมในการป้องกันโรค ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี โดยปัจจุบันกรมควบคุมโรค ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิการรักษา ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ ครอบคลุมสายพันธุ์แพร่ระบาดตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก (WHO)

สำหรับ โรคโควิด-19 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นตระกูลของไวรัสที่ก่อให้อาการป่วยตั้งแต่โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่มีความรุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) และโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS-CoV) เป็นต้น ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในมนุษย์

เชื้อดังกล่าวก่อให้เกิดอาการป่วยระบบทางเดินหายใจในคน และสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ โดยเชื้อไวรัสนี้พบครั้งแรกในการระบาดในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปลายปี 2019 (2562) ผู้ติดเชื้อจะอาการทั่วไป ได้แก่ อาการระบบทางเดินหายใจ มีไข้ ไอ หายใจถี่ หายใจลำบาก ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ปอดออักเสบ ไตวาย หรืออาจเสียชีวิต

วันที่ 9 พ.ค. 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่คำแนะนำ รู้ทัน ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ระบุอาการต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ คือ อาการเบื้องต้น เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส กับ อาการอื่นๆ ที่พบได้ และควรเฝ้าระวัง เช่น ท้องเสีย ถ่ายเหลว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ มีผื่นขึ้น

การระบาดของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ เกี่ยวข้องกันอย่างไร? ย้อนไปวันที่ 28 ม.ค. 2566 นพ.จักกพัฒน์ วนิชานันท์ เขียนบทความ โควิด-19 ยังไม่ไปไหน ไข้หวัดใหญ่ก็ต้องระวัง เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อระหว่างคนสู่คน ผ่านทางการสัมผัสละอองฝอยของน้ำมูกและเสมหะ ผ่านการไอหรือจาม

ปัจจุบันโรคโควิด-19 ยังถือว่ามีความชุกสูงแต่ความรุนแรงของโรคลดลง เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคทั้งจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อโรคทั้ง 2 ชนิดร่วมกันได้ ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น โดย อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ คือ ไอ เจ็บคอ คัดจมูกหรือมีน้ำมูก มีไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย เมื่อมีภาวะปอดอักเสบ

วันที่ 10 พ.ค. 2566 กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระมัดระวังป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากประเทศไทยเวลานั้นกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีอาการป่วยหนักและอาจถึงขั้นเสียชีวิต ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป ได้แก่ 1.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน 2.ผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย 3.ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 

4.ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 5.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) 6.โรคอ้วน (น้ำหนัก> 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) และ 7.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ซึ่งทั้ง 7 กลุ่มดังกล่าว ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงหากติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน จึงแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 

วันที่ 19 ส.ค. 2566 สำนักข่าว Hfocus ซึ่งเน้นนำเสนอเนื้อหาด้านสุขภาพ รายงานโดยอ้างถึง กรมควบคุมโรค ที่ชี้แจงกรณีประชาชนข้อกังวลว่า เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิดจำนวนมาก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และสภาพร่างกายมีความบกพร่องหลายส่วน ทำให้เวลาติดเชื้อไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ หรือติดเชื่ออื่นๆ หรือมีโอกาสเจ็บป่วย แล้วอาการรุนแรงมากขึ้น

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน เพราะจริงๆ แล้วภูมิคุ้มของร่างกายสามารถแยกแยะได้ มีความจำเพาะต่อเชื้อโรค เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก็จะป้องกันเฉพาะไข้หวัดใหญ่ หรือฉีดวัคซีนป้องกันโควิดก็ป้องกันเฉพาะโควิด แต่จะมีภูมิคุ้มกันบางส่วนที่เป็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่อาจจะป้องกันหลายโรคพร้อมกัน ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้จะช่วยเหลือกัน คือช่วยร่างกายให้กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากจะบอกว่าฉีดวัคซีน หรือเคยติดโควิดมาก่อนแล้วจะมีผลให้การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่หรือเชื้ออื่นรุนแรงขึ้นนั้นไม่จริง

มันไม่มีข้อมูลที่สะท้อนไปในทางนั้น เพราะความรู้ที่ชัดเจน และรับรู้ในวงกว้าง ก็ยังเป็นเรื่องความจำเพาะ ไม่ได้มีผลอะไร แล้วอย่าลืมว่า โควิดเป็นโรคที่มีการระบาดทั่วโลก หากมีปัญหาก็มีปัญหาทั่วโลก ไม่ใช่จะมีปัญหาแค่ในประเทศไทย ซึ่งก็ยังไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์ประเทศอื่นออกมาให้ข้อมูลในแนวนี้ อีกทั้งระบบภูมิคุ้มกัน เป็นความรู้สากล หากมีปัญหานี้ประเทศอื่นก็น่าจะมีการพูดคุย หรือมีความกังวลในเรื่องนี้เหมือนกัน ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีปัญหาการระบาดของโรคโควิดรุนแรงนักเมื่อเทียบกับประเทศแถบตะวันตก หรืออเมริกา หากมีปัญหาอย่างที่ว่าก็ต้องเกิดก่อนในประเทศที่มีการระบาดมาก นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (19 ส.ค. 2566)

ยังมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากรองอธิบดีกรมควบคุมโรค กรณ๊หลายคนที่เคยติดโควิด แล้วเกิดการติดเชื้อหวัดจึงรู้สึกว่าตัวเองมีอาการหนักกว่าเดิม แต่จริงๆ แล้ว การติดเชื้อหวัดต่างๆ แล้วอาการรุนแรงมีอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงบ้าง ว่า  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ 2-3 ปัจจัย อันแรกคือตัวผู้รับเชื้อเอง คนที่ร่างกายแข็งแรง โอกาสจะมีอาการรุนแรงก็จะน้อย  คนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก กลุ่มที่มีโรคประจำตัวหลายโรค โอกาสที่จะมีอาการมากก็เยอะ ปัจจัยที่ 2 คือเชื้อที่ระบาด ซึ่งตอนนี้ (สิงหาคม 2566) ที่ระบาดในไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะ คือเชื้อ H1N1 ซึ่งเป็นเชื้อที่เจอมาตั้งแต่ปี 2009 ปีนี้ก็เป็นปีที่ 14 แล้ว ซึ่งทราบกันดีว่า เป็นเชื้อที่ไม่ได้ก่อความเสียหายรุนแรงอะไร 

ประกอบกับปัจจัยที่ 3 คือ หากฉีดวัคซีนป้องกันก็จะทำให้ติดแล้วมีอาการน้อย หรือไม่มีอาการเลย ทั้งนี้ ประเทศไทยปลอดไข้หวัดใหญ่อยู่ 2 ปี เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 แล้วคนมีการป้องกันตัวกันอย่างเข้มข้น สวมหน้ากากกันทั้งประเทศ จึงเป็นการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ไปด้วย แต่ไข้หวัดใหญ่ก็เริ่มกลับมาเมื่อปี 2565 ที่เริ่มลดมาตรการในประเทศตามความเสี่ยงที่ลดลง แล้วปีนี้ก็มีการระบาดมากขึ้น หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า แต่ความรุนแรงไม่ได้แตกต่างไปจากอดีต

ในวันที่ 25 ก.ย. 2566 Hfocus รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า หลังจากประเทศไทยประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ประชาชนเลือกสวมหน้ากากอนามัยได้ตามความสมัครใจ พบว่าแนวโน้มของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ เพิ่มสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า การสวมหน้ากากอนามัยสามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้อย่างดี

แม้สถานการณ์โรคโควิด 19 ขณะนี้จะพบผู้ป่วยลดลงต่อเนื่อง แต่สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่  1 มกราคม – 16 กันยายน 2566 มีผู้ป่วย 185,216 ราย อัตราป่วย 279.9 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.002 เฉพาะสัปดาห์ที่ 10-16 กันยายน มีผู้ป่วยเพิ่มมากกว่า 12,000 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 และค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง”” นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (25 ก.ย. 2566)

ปลัดกระทรวงสาธาณสุข ยังอธิบายความแตกต่างด้านอาการของไข้หวัดใหญ่กับโควิด-19 คือ โรคโควิด-19 อาการมักมีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย อาจมีหายใจลำบาก ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ ส่วนใหญ่จะมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง น้ำมูกใส เบื่ออาหาร

ในวันที่ 2 ต.ค. 2566 สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ นพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ว่า ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ลดลง แต่ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่ยังระบาดหนัก คือ  1.อยู่ในรอบการระบาดฤดูฝน 2.การสวมหน้ากากอนามัยลดลง ไม่เหมือนในอดีตที่มีโควิดระบาด และ 3.ปริมาณความเข้มข้นของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในร่างกายที่มีมากกว่าโควิด เนื่องจากผลพวงของการติดเชื้อโควิดที่ผ่านมา คนอาจมีภูมิคุ้มกันโควิด แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นกลไลการแข่งขันธรรมชาติของเชื้อไวรัส

วันที่ 5 ต.ค. 2566 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC เปิดเผยว่า พบการระบาดของไข้หวัดใหญ่แซงหน้าโควิด-19 มา 2 เดือนแล้ว และแนะนำว่า ขอแนะนำให้คนที่ปีนี้ ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดรุ่นใหม่และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้ไปรับวัคซีนป้องกันโควิดรุ่นใหม่และไข้หวัดใหญ่อย่างละ 1 เข็ม ซึ่งสามารถให้วัคซีนพร้อมกันได้

โดยสรุป ณ วันที่ 16 ต.ค. 2566 ผู้เขียนพยายามค้นหา แล้วพบว่า 1.มีสื่อหรือหน่วยงานใดที่แจ้งเตือนว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีอันตรายรุนแรงกว่าโควิด-19 บ้างหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ยังไม่พบ การรายงานดังกล่าว โดยมีเพียงกรมควบคุมโรค ที่ชี้แจงว่าปี 2566 สายพันธุ์ที่ระบาดคือสายพันธุ์ A รหัส H1N1 ที่พบมาตั้งแต่ปี 2009 (2552) และไม่ได้มีรายงานว่าอันตรายมากขึ้น 2.ทั้งอาการของโควิด และไข้หวัดใหญ่ ไม่มีการกล่าวถึง ปัสสาวะฉับพลัน แต่ในส่วนของการติดเชื้อโควิด-19 อาจมีอาการท้องเสีย-ถ่ายเหลวเกิดขึ้นได้ 

และ 3.สาเหตุไข้หวัดใหญ่ระบาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะมาตรการป้องกันโรคลดความเคร่งครัดลง ซึ่งในช่วงที่มาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ถูกใช้อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ก็พลอยลดลงไปด้วย นอกจากนั้นยังมีคำอธิบายของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า ปริมาณความเข้มข้นของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในร่างกายที่มีมากกว่าโควิด เนื่องจากผลพวงของการติดเชื้อโควิดที่ผ่านมา คนอาจมีภูมิคุ้มกันโควิด แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่

โดยแนวทางป้องกันโรค ได้แก่ สวมหน้ากากเมื่อมีอาการป่วยเพื่อลดการแพร่เชื้อ ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีผู้คนแออัด (หรือหากเข้าไปก็ควรสวมหน้ากาก) สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโควิด-19!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo/?fbid=312436614742018&set=a.245025068149840 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีอาการปวดหัว อาเจียน ฉี่แตกเฉียบพลันอย่างรุนแรง และมีความรุนแรงมากกว่าโควิด19 ทุกสายพันธุ์ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 13 ต.ค. 2566)

https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=13 (ไข้หวัดใหญ่ (Influenza, Flu) : กรมควบคุมโรค)

https://www.pidst.or.th/A709.html (โรคไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ : สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย)

https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/faq_more.php (โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) : กรมควบคุมโรค , หมายเหตุ : เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ในช่วงที่ยังไม่มีวัคซีน และยังไม่มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยต่างๆ)

https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info496_covid19/ (รู้ทัน ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ : กรมอนามัย 9 พ.ค. 2566)

https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/covid-19_hasnt_gone_anywhere-influenza_must_be_careful/ (โควิด-19 ยังไม่ไปไหน ไข้หวัดใหญ่ก็ต้องระวัง : รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 28 ม.ค. 2566)

https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/191005/ (กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระวังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ในช่วงฤดูฝน แนะกลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนปีละ 1 ครั้ง : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)

https://www.hfocus.org/content/2023/08/28225 (คร.เผยป่วย “ไข้หวัดใหญ่” สูงขึ้น 3 เท่า ไม่มีข้อมูลยืนยัน “โควิด” ทำหวัดใหญ่รุนแรง : Hfocus 19 ส.ค. 2566)

https://www.hfocus.org/content/2023/09/28493 (โรคทางเดินหายใจพุ่ง! หลังปชช.ผ่อนคลายการสวมแมสก์ สธ.เผยอาการแตกต่าง 3 โรค “โควิด19-ไข้หวัดใหญ่-RSV” : Hfocus 25 ก.ย. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/332338 (ติดเชื้อ “ไข้หวัดใหญ่” พุ่งสะสม 216,600 คน สวนทางโควิดขาลง : ThaiPBS 2 ต.ค. 2566)

https://www.pptvhd36.com/health/news/4119 (หมอมนูญเผยข้อมูลระบาดวิทยา ก.ย.66 พบไข้หวัดใหญ่แซงหน้าโควิด : PPTV 5 ต.ค. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2566

ก.ล.ต. เปิดบัญชีพอร์ตทำกำไรต่อวันรับปันผลระยะยาว 10 ปีขึ้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11bt58yk6vpme


ธนาคารกรุงไทย ปล่อยสินเชื่อกรุงไทยใจป๋า อนุมัติสูงสุด 5 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักประกันผ่านเพจ “บอกต่อ”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/errj6o9mury7


สามารถแจ้งความออนไลน์ผ่านเพจ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดระยอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3cvrcd9n4jwps


เป็นเนื้องอกในมดลูกเพราะมีเลือดเกาะตัวเป็นลิ่มเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lsjmur83x6i0


ปภ. เปิดเว็บไซต์ข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัย นำร่องภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และวาตภัย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ru3ihjaobsvi


 นอนดึกจะทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39srmkff63yuu


คนผอมมักอ้วนลงพุง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3o4afswf1uy2z


CoFact’ co-hosted ‘community radio’ Asia-Pacific conference, said CR is another vital media fighting misinformation

Editors’ Picks

Thai Health Promotion Foundation in cooperation with Thammasat University, AMARC Asia-Pacific and CoFact (Thailand) held the 5th World Association of Community Radio Broadcasters, Asia Pacific Regional Conference: Strengthening Community Radios against Emerging Challenges and Embracing Opportunities, from September 27-30, 2023 at Sri Burapha Auditorium, Thai Khadi Research Institute conference room and Faculty of Journalism and Mass Communication Thammasat University (Tha Prachan), Bangkok. The event was attended by more than 180 attendees from 19 countries in the Asia-Pacific region and other locations.

Suman Basnet, Regional Deputy President of AMARC- AP, stated at the opening ceremony that this conference is a great opportunity for community radio members to share their stories of challenges and victories, and how they are advancing toward the next phase of community broadcasting development. It is also the time for us to reflect on the history, for which we will recollect the philosophy of the community radio foundation. The annual conference is an open forum for us to contemplate, ask ourselves questions, be open to advice, build a network and lead us forward.

 2023 marks a special year for AMARC celebrating its 40th year of establishment as an international network of community radio stations, founded in 1983. Throughout the past decades, the community radio movement has evolved into a large network in Africa, Latin America and the Caribbean, Asia-Pacific, Europe, and North America. Radio stations are valuable assets for strengthening and expanding communication missions such as communication rights, protection and promotion of rights and freedom of expression, emergencies and disasters risk management, as well as respect for human rights.

Dr. Ramnath Bhat, Chairman of AMARC Asia-Pacific, stated that this year is the 40th anniversary of AMARC and the 25th for community radio in Asia. Looking back at the history of community radio in Asia-Pacific during the late 1990s to early 2000s, some initial initiatives were undertaken by environmental journalists in Nepal, dalit women in India or farmer groups in rural areas of Sri Lanka, etc. Community radio is a great concept and tool for developing the communication capability of the community, both in terms of revolutionary and social changes. When talking about community radio, the fundamental definition of ‘community’ and ‘radio’ has changed. Under the moving and uncertain circumstances, it’s pretty challenging to learn how to carry on our mission as community broadcasters. And I would like to applaud many community radios who did incredible and amazing work during the COVID-19 pandemic, for which they provided care and support to their communities when no other media was available.

I think community broadcasters have an urgent responsibility to learn about media ethics. No matter it’s about corruption or misinformation. However, there are some cautions as well. I believe we still have hope in community radio and must ensure this sector’s social sustainability. Our movement must be inclusive truly from the bottom up. Audiences should feel like they are the owner of the radio/media, knowing that the radio stands for their interests and public benefits and is not seeking for profit. Community-based journalism is the only way to create such an atmosphere and to bring social justice to the community. We have to stand firmly for the most oppressed groups in our society. And we need more of community radio outlets owned by dalit and indigenous people as well as women and LGBTI.

Suphinya Klangnarong, Co-Founder of CoFact (Thailand) and Director of AMARC Asia-Pacific, welcomed the attendees and introduced CoFact Thailand. It was founded 4 years ago with the slogan: Everyone is a fact checker. Checking and managing news and information in a democratic society requires extensive cooperation. Everyone is needed for data verification. CoFact is a database innovation where everyone can log into the system and file rumors and information they received from various sources. In addition, we have a Line chatbot that can search for fake news and information. CoFact also works with community radio and media across the country, including NGOs. We could say that CoFact is a community network service to strengthen people’s digital intelligence, understanding and literacy. It aims to create and share knowledge in dealing with news and information. Nowadays, it is very easy to be deceived or misled by stories, rumors, conspiracy theories, and disinformation. So, it is important that we practice to be critical thinkers, increasing our media literacy and intelligence to understand what’s really happening online, as well as analyzing everything we read on the internet. Meanwhile, we need to ensure the information is accurate before sharing it.

In addition, Dr. Kanthira Chayawong, Assistant Dean for Academic Affairs, Faculty of Journalism and Mass Communication Thammasat University, one of the co-hosting organizations, addressed a welcome speech to all attendees. She stated that the conference convenes valuable members of community radio from many countries and organizations. Despite a diversity of nationalities, religions and cultures, we share the one commitment to developing community radio. Thammasat University is very pleased to co-host such an important conference on this occasion.

After the opening ceremony, attendees were presented with themed cultural performances: Many Voices, One World’s Peace. The performances began with ‘Don’t bite the bait’, a song by Deep South CoFact from the three southernmost provinces of Thailand, ‘Stop rumors, uncover the truth’ a song by Molam Isan CoFact, a drag queen show by LGBT representatives, a glass harp music by the first glass harp musician of Thailand and Asia: Ajarn Weeraphong Thaweesak, and ended with ‘Peace Talk: Many Voices, One World’s Peace’ a dharma session by Phra Maha Naphan, Chairman of the Board for Institute of Buddhist Management for Happiness and Peace Foundation (IBHAP Foundation).

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2566

หากไม่ลงทะเบียนในแอป Thaid จะไม่สามารถรับเงินดิจิทัลได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3k9fd8397zlx2


น้ำทริเทียมจากญี่ปุ่นอันตรายกว่าน้ำจากโรงงานนิวเคลียร์ทั่วโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i3ssu1erticf 


ตร.ตั้งด่านตรวจ “สำเนาทะเบียนรถ” ใครไม่มีโดนปรับ 2,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/317awog5vyu2t


รถติดแก๊ส ระบบน้ำมันเสียหาย เพราะไม่เติมน้ำมัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1sny40aio7lh9#_=_


เผย CDC ออกเตือน “แบคทีเรียกินเนื้อ” ย้ำบางรายอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1y6agivzhynr


เหตุการณ์รวมเรื่องราวเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/j3d32ctl9p5i


ศาลสั่งเพิกถอน “ใบสั่ง-ค่าปรับจราจร” (ยัง)ไม่ต้องจ่าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24lia7kmiaqhe


 อะลูมิเนียมฟอยล์ย่างหมู อันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/34mio9982lka5


ปฏิญญากรุงเทพมหานครเรื่องวิทยุชุมชน : สหพันธ์วิทยุชุมชนโลกภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก (AMARC Asia-Pacific)

Editors’ Picks

ณ กรุงเทพมหานคร

30 กันยายน 2566

องค์กรสมาชิกของสหพันธ์วิทยุชุมชนโลกภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก (AMARC Asia-Pacific) เพื่อนสมาชิก ผู้สนับสนุน และผู้บริจาคได้มารวมตัวกันที่การประชุมวิทยุชุมชนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 5 ณ กรุงเทพมหานคร ราชอาณาจักรไทย ในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังการเกิดโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก เรามารวมตัวกันในครั้งนี้เพื่อเฉลิมฉลองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแม้ตั้งอยู่ในความหลากหลาย ตลอดจนความฝันและแรงบันดาลใจ รวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่เรามีต่อความเชื่อและแนวทางปฏิบัติที่ยึดถือดังต่อไปนี้

  1. เรารับรู้ถึงเป้าหมายและแรงบันดาลใจร่วมกันแม้จะตระหนักถึงความแตกต่างและความหลากหลายที่มีอยู่ และขอยืนยันความเชื่อของเราอีกครั้งดังต่อไปนี้

1:1 เราเชื่อว่าสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเสรีภาพในการแสดงออกเป็นหลักพื้นฐานในการรับประกันซึ่งสิทธิและเสรีภาพอื่นๆ

1:2 เราเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีและได้รับการยอมรับและสนับสนุนค้ำจุน

1:3 เราเชื่อว่าเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนความหลากหลายของสื่อคือสิ่งที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้กับการแสดงออกทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ศาสนา สังคม ชนชั้น และวรรณะ รวมถึงความแตกต่างในความสามารถ เพศหรือเพศสภาพ ความคิดเห็นทางการเมือง และความเหมาะสมกับอายุ

1:4 เราเชื่อว่าในฐานะชุมชนและปัจเจกบุคคล ผู้คนมีสิทธิในการกำหนดใจตนเองและเป็นอิสระจากการกดทับ การเลือกปฏิบัติ การข่มขู่ และความหวาดกลัว

1:5 เราเชื่อว่าวิทยุชุมชนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ โดยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารและถกเถียงกันทั้งภายในและระหว่างชุมชน รวมถึงภายนอกชุมชนด้วย

1:6 เราเชื่อว่าเมื่อชุมชนมีส่วนร่วมและโต้ตอบกับแพลตฟอร์มดิจิทัลและออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เราก็ควรยอมรับในเทคโนโลยีเหล่านี้และเปิดรับโอกาสที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของเราได้

  1. และเพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อเหล่านี้อีกครั้ง

2:1 เราทราบดีถึงโอกาสและความท้าทายอันหลากหลายที่ผู้ปฏิบัติงานด้านวิทยุชุมชนและการสื่อสารทั่วภูมิภาคต้องเผชิญ

2:2 เรายอมรับว่าภัยพิบัติทั้งที่เกิดตามธรรมชาติและที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศสมาชิกของเรา

2:3 เราเห็นว่าบางประเทศในภูมิภาคของเรานั้น ชนเผ่าพื้นเมือง ผู้หญิง เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ผู้ที่มีความสามารถที่แตกต่าง ชนชั้นวรรณะจัณฑาล ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่น และผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ตลอดจนชาวชนบท ผู้ใช้แรงงาน ชาวประมงพื้นบ้าน ผู้ถูกค้ามนุษย์ ผู้ไร้สัญชาติ ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์ ต่างก็ถูกทำให้เป็นคนชายขอบที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ได้รับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

2:4 เราตระหนักดีว่าในบางประเทศไม่มีกรอบกฎหมายที่จะช่วยให้เกิดการสร้าง การพัฒนา และความยั่งยืนของสถานีวิทยุชุมชนได้ หรือแม้แต่ในประเทศที่สถานีวิทยุชุมชนมีสถานะทางกฎหมาย แต่ทั้งสถานีและผู้ปฏิบัติการวิทยุชุมชนรวมถึงนักข่าวกลับไม่ได้รับความเป็นธรรมตามหลักความยุติธรรมสากล หรือไม่ได้รับความคุ้มครองจากความเสียหาย การกลั่นแกล้ง การข่มขู่ การทำร้ายร่างกาย หรือการบาดเจ็บ

2:5 เราทราบดีว่ามีการโต้กลับสิทธิมนุษยชนรวมถึงสิทธิสตรีมากขึ้น ซึ่งมีแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมากที่จะไม่นำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประท้วงใดๆ ในพื้นที่สื่อของตน และสำหรับผู้หญิงจำนวนมาก วิทยุชุมชนจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียวที่พวกเธอจะพูดแล้วมีผู้รับฟัง

2:6 เราตระหนักดีถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ออนไลน์และแพล็ตฟอร์มดิจิทัลที่ไม่มีการกำกับดูแล มีการให้ข้อมูลผิด ข้อมูลบิดเบือน การหลอกลวง การเล่าเรื่องที่เป็นเท็จ และข่าวปลอม ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความเกลียดชัง ความหวาดกลัว และความไม่มั่นคงแพร่กระจายไปทั่ว

2:7 เรายอมรับว่ามีความท้าทายมากมายและหลากหลายที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของเรา ซึ่งเป็นตัวขัดขวาง จำกัด หรือเป็นอุปสรรคต่อชุมชนในการพยายามสร้างความเข้มแข็งเพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของทุกคน

  1. เมื่อนำแง่มุมเหล่านี้มาใคร่ครวญรวมถึงการตระหนักถึงบทบาทอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดของวิทยุชุมชนในการผลักดันด้านการพัฒนามนุษย์และการแสดงออกต่อการสนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชน ผู้เข้าร่วมการประชุมวิทยุชุมชนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 5 ของสหพันธ์วิทยุชุมชนโลกภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ขอกล่าวปฏิญาณดังต่อไปนี้

3:1 เรามีความแน่วแน่ที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายระดับภูมิภาคของเรา โดยการพัฒนาและเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างกัน รวมถึงกับองค์กรระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาค องค์กรผู้บริจาคและผู้สนับสนุน สมาคมระดับชาติ และองค์การสหประชาชาติ

3:2 เรามุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศของผู้กระจายเสียงวิทยุชุมชนขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ภูมิภาคต่างๆ ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งผ่านโอกาสในการสร้างเครือข่าย และเพื่อส่งเสียงที่สอดประสานกันไปยังฟอรัมระดับโลกรวมถึงผู้บริจาค ตลอดจนเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งโดยรวมของภาคส่วนของเรา และเพื่อช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในการสถาปนาขบวนการวิทยุชุมชนในระดับนานาชาติขึ้นมาอีกครั้ง

3:3 เรายังคงยืนยันต่อความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน ตลอดจนทำงานกับองค์กรระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาคและระดับโลก องค์การสหประชาชาติ และองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากลยุทธ์และโปรแกรมที่มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่อธิบายไว้ในมติสหประชาชาติฉบับที่ 70/1 “วาระการพัฒนา 2030”

3:4 เราตระหนักถึงความสำคัญของ “กรอบปฏิญญาเซนไดเรื่องการลดภาวะเสี่ยงต่อภัยพิบัติ” ที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติรับรองในปีพ.ศ. 2558 และมีความแน่วแน่ที่จะพัฒนากลยุทธ์ โปรแกรม และโอกาสในการฝึกอบรมสำหรับสถานีวิทยุชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนมีความพร้อมมากขึ้นในการมีส่วนร่วมกับการวางแผนและรับมือกับภัยพิบัติ รวมถึงการบรรเทาผลกระทบและการฟื้นตัวของชุมชน

3:5 เราจะเรียกร้องให้รัฐบาลในภูมิภาคของเราตอบสนองต่อร่างมติคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2565 ว่าด้วย “การต้านทานผลกระทบด้านลบของข้อมูลบิดเบือน” และรายงานของเลขาธิการสหประชาชาติ พ.ศ. 2565 เรื่อง “การต้านทานข้อมูลบิดเบือนเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน” ในแพลตฟอร์มดิจิทัลและออนไลน์ โดยจะทำการพัฒนากฎระเบียบและกฎหมายเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิด ข้อมูลบิดเบือน การหลอกลวง การเล่าเรื่องเท็จ และข่าวปลอม ซึ่งจะช่วยปกป้อง “สื่อและการสื่อสารกับชุมชนที่มีเสรีและเป็นอิสระ” และเสริมสร้าง “ความสามารถในการใช้สื่อดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อ”

3:6 เรายังคงยืนยันต่อคำรับรองและข้อเรียกร้องของเราที่ให้มีการดำเนินการตามมาตรา 16 ของ “ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง” ซึ่งเป็นการย้ำจุดยืนอีกครั้งต่อสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนของตนเองในภาษาของตนเอง และสามารถเข้าถึงสถานีวิทยุชุมชนที่ไม่ใช่ของชนเผ่าพื้นเมืองได้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ

3:7 เราจะเร่งผลักดันให้ชุมชนออสเตรเลียตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนถึง “แถลงการณ์อุลูรูจากหัวใจ (Uluru Statement from the Heart)” ที่เชิญชวนให้มาร่วมกันสร้าง “ความสัมพันธ์ที่ยุติธรรมและจริงใจ” กับผู้เป็นชนชาติแรกของประเทศ และร่วมลงประชามติสนับสนุนให้ “Aboriginal and Torres Strait Islander Voice” เข้าสู่รัฐสภา

3:8 เรามีความแน่วแน่ที่จะสร้างพื้นที่บนคลื่นวิทยุสำหรับชนเผ่าพื้นเมือง ชาวชนบท ผู้ใช้แรงงาน ชาวประมงพื้นบ้าน ผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่น และผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ผู้ไร้สัญชาติ ผู้ถูกค้ามนุษย์ เสียงจากผู้คนหลากหลายและคนชายขอบ โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ศาสนา สังคม ชนชั้น วรรณะ ความพิการ เพศสภาพหรือการระบุตัวตนทางเพศหรือการเมือง หรืออายุ

3:9 เรามีความแน่วแน่ที่จะสร้างพื้นที่บนคลื่นวิทยุสำหรับชุมชนวรรณะจัณฑาลให้พวกเขาสามารถเป็นเจ้าของ จัดการ และดำเนินการสถานีวิทยุชุมชน และจะเรียกร้องผ่านรายการของวิทยุชุมชนต่อกรณีของการเลือกปฏิบัติตามวรรณะ และยังคงยืนยันต่อไปในความพยายามต่อต้านระบบชนชั้นผ่านการสร้างขีดความสามารถและการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่จะสนับสนุนและดำรงไว้ซึ่งวิทยุชุมชนของชุมชนวรรณะจัณฑาล

3:10 เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นทุกรูปแบบเพื่อจารึกและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้

3:11 เราขอยืนยันอีกครั้งถึงการรับรองและความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินการตาม “นโยบายเกี่ยวกับเพศสภาพของ AMARC สำหรับวิทยุชุมชน” และจะจัดให้มีความเท่าเทียมทางเพศในทุกด้านของกิจกรรมวิทยุชุมชน

3:12 เราขอประณามความรุนแรงทางเพศและบนพื้นฐานของเพศสภาพในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงที่กระทำต่อร่างกายของผู้หญิงในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทั้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศไปจนถึงในภาวะสงคราม

3:13 เรารับรู้ถึงสิทธิสตรีสำหรับความปลอดภัยในการกระจายเสียงในชุมชน และมุ่งมั่นที่จะวางนโยบายที่ตระหนักและมุ่งหมายที่จะป้องกันการคุกคามและการข่มขู่ในทุกรูปแบบ และจะจัดทำมาตรการแก้ไขเยียวยาสำหรับกรณีการล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงในสถานีวิทยุ เครือข่าย และชุมชนของเรา

3:14 เรามีความแน่วแน่ที่จะพัฒนาและดำเนินการตามนโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยสำหรับผู้กระจายเสียงและนักข่าวที่ทำงานให้กับวิทยุชุมชนในภูมิภาค

3:15 เราทราบดีถึงการรับมือของรัฐบาลท้องถิ่นของอำเภอจมบัง จังหวัดชวาตะวันออก ที่ตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศในโรงเรียนประจำที่นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นในปี 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อความรุนแรงทางเพศยังคงมีอยู่ทั่วทั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เราจะกระตุ้นให้รัฐบาลแห่งชาติยังคงรับฟังและได้ยินเสียงของเยาวชนที่รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศต่อไป และขอให้รัฐบาลรับรู้ว่ามีการใช้อำนาจกับนักเรียนหญิงในทุกสภาพแวดล้อมทางการศึกษา และขอให้มีการแก้ไขเยียวยาแก่พวกเธออย่างต่อเนื่อง

3:16 เรามีความแน่วแน่ที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติของมติของ UNHRC ฉบับที่ 32/2 ว่าด้วย “การป้องกันความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ” และจะร่วมมือกับชุมชนความหลากหลายทางเพศและวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ (SOGI) ในท้องถิ่นในการพัฒนานโยบาย ขั้นตอน และโครงการที่จะส่งเสียงและพูดถึง “รูปแบบความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติที่ทับซ้อนและรุนแรงขึ้นซึ่งบุคคลต้องเผชิญบนพื้นฐานของวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ”

3:17 เราขอยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนด้านเงินทุนสำหรับโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถที่จะให้และเพิ่มโอกาสสำหรับผู้หญิงได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานวิทยุชุมชนทุกระดับ รวมถึงงานบริหารจัดการและบทบาททั้งออนแอร์และออฟแอร์

3:18 เราขอเรียกร้องให้สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ยกฟ้องข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลกับ Frenchie Mae Cumpio เพื่อนร่วมงานรุ่นเยาว์ของเรา และปล่อยเธอจากการถูกคุมขังที่ไม่ยุติธรรมโดยทันที นอกจากนี้ เรายังขอเรียกร้องให้รัฐบาลฟิลิปปินส์คืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อทุกคนจากเหตุการณ์สังหารหมู่นักข่าว ตลอดจนหยุดการตีตราสีแดง (red-tagging) และการข่มเหงรังแกทุกรูปแบบที่กระทำต่อสื่ออิสระ เพื่อให้สื่อรวมถึงการกระจายเสียงโดยชุมชนสามารถดำรงอยู่และดำเนินการได้อย่างอิสระ

3:19 เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักการที่กำหนดไว้ใน “ปฏิญญาโคลอมโบว่าด้วยเยาวชน: เยาวชนกระแสหลักในวาระการพัฒนาหลังปี 2015” จากการประชุมเยาวชนโลกปี พ.ศ.2557 และเราจะสร้าง พัฒนา และดำเนินการตามกลยุทธ์เพื่อเสริมศักยภาพของเยาวชนให้สามารถมีส่วนร่วมในทุกด้านของการฝึกอบรม การทำรายการ การวางแผน และการจัดการที่เกี่ยวกับวิทยุชุมชน

3:20 เราขอยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการจัดตั้งวิทยุชุมชนในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง ซึ่งเป็นวิธีการสร้างสันติภาพและความปรองดอง และขอเรียกร้องให้รัฐบาลประกันความคุ้มครองประชาชนและผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของวิทยุชุมชนทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

3:21 เรามีความแน่วแน่ที่จะพัฒนาโปรแกรมและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับผู้จัดตั้งและผู้รณรงค์การต่อต้านการค้ามนุษย์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความจำเป็นของการปกป้องสิทธิสตรีและเด็กที่ถูกละเมิดนี้

3:22 เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันและแบ่งปันทรัพยากรความรู้กับทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อพัฒนาต้นแบบของ “แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด” สำหรับการสร้างขีดความสามารถด้านวิทยุชุมชนและกลยุทธ์การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ

3:23 เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคให้การยอมรับสื่อชุมชนเป็นสื่อระดับ 3 ของกระจายเสียง ซึ่งรวมถึงในคลื่นความถี่วิทยุดิจิทัลและเทคโนโลยีการกระจายเสียงที่เกิดขึ้นใหม่อื่นๆ และให้รวมสื่อชุมชนไว้ในกรอบการวางแผน นโยบาย กฎระเบียบ และกฎหมาย และให้พัฒนาบทบัญญัติทางกฎหมายในการปกป้องวิทยุชุมชนตามหลักการของการกระจายเสียงในชุมชนที่ระบุไว้ใน “40 Principles of Guaranteeing Diversity and Pluralism in Broadcasting in Audiovisual Communication Services” ของ AMARC เมื่อปีพ.ศ. 2535

3:24 เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของวิทยุชุมชนในการพัฒนาสังคมที่มีพลวัต ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง และเป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนให้มีการสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบและกฎหมายที่สนับสนุนการดำเนินงานและการเติบโตอย่างมั่นคง รวมถึงความยั่งยืนของวิทยุชุมชน

3:25 เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลในภูมิภาคตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของวิทยุชุมชนในการเสริมสร้างประชาธิปไตย

3:26 เราจะเดินหน้าต่อต้านความรุนแรงที่กระทำต่อนักข่าวและผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อ และจะต่อต้านมาตรการทางกฎหมายที่บั่นทอนสิทธิในการรายงานเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อหรือเป็นข้อกังวลของชุมชนได้อย่างเป็นอิสระและเปิดเผย โดยเป็นไปตาม “มติในการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน AMARC เพื่อการคุ้มครองผู้กระจายเสียงของชุมชน” ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ที่การประชุม AMARC 10 ในเมืองลาปลาตา ประเทศอาร์เจนตินา ในปีพ.ศ. 2553

3:27 เราในฐานะผู้กระจายเสียง ผู้ปฏิบัติงาน และนักข่าวของวิทยุชุมชน ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ขอรับหน้าที่ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกภายในชุมชนของเรา โดยการเป็นตัวแทนที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการพึ่งพาตนเองได้

เรา อันได้แก่ ตัวแทนของผู้กระจายเสียงวิทยุชุมชน กลุ่มผู้ผลิต และผู้ปฏิบัติงานสื่อชุมชนอื่นๆ จากสาธารณรัฐออสเตรีย เครือจักรภพออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐฟิจิ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเคนยา สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต สหรัฐอเมริกา ตกลงที่จะสนับสนุนปฏิญญานี้และจะนำคุณค่าและแรงบันดาลใจที่รวบรวมอยู่ในปฏิญญานี้มาใช้ในการดำเนินการ


‘โคแฟค’ ร่วมจัดประชุม‘วิทยุชุมชน’เอเชีย-แปซิฟิก ย้ำเป็นอีกสื่อสำคัญต่อสู้ปัญหาข่าวลวง

Editors’ Picks

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ AMARC Asia-Pacific  และภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) จัดการประชุมวิทยุชุมชนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 5 ประจำปี 2566 “ความท้าทายและโอกาสในการเสริมความเข้มแข็งวิทยุชุมชน” ระหว่างวันที่ 27 – 30 กันยายน 2566 ณ หอประชุมศรีบูรพา   ห้องประชุมสถาบันไทยคดีศึกษา และคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าประจันทร์) กรุงเทพฯ  มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 180 คนจาก 19 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและที่อื่นๆ 

Suman Basnet ผู้อำนวยการภูมิภาคภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AMARC-AP)   กล่าวรายงานในพิธีเปิดว่า  การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรน ชัยชนะของวิทยุชุมชน และมุ่งสู่การพัฒนาการกระจายข่าวโดยชุมชนในระยะต่อไป และเป็นช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญที่เราจะมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ เพื่อระลึกถึงปรัชญาการก่อตั้งวิทยุชุมชน  การประชุมใหญ่นี้เป็นเวทีเปิดสำหรับการใคร่ครวญ ตั้งคำถามกับตัวเอง การเปิดรับคำแนะนำ การสร้างเครือข่าย และนำพาเราก้าวไปข้างหน้า 

ปีนี้เป็นปีพิเศษสำหรับ AMARC ที่มีอายุครบ 40 ปี AMARC ในฐานะเครือข่ายสถานีวิทยุชุมชน นานาชาติที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ.1983) ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่าน ขบวนการวิทยุชุมชนได้เติบโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ในแอฟริกา ละตินอเมริกาและแคริบเบียน เอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือ สถานีวิทยุเป็นเครือข่ายที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างและขยายงานด้านการสื่อสาร เช่น สิทธิในการสื่อสาร การป้องกันและการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติอย่างเร่งด่วนและจำเป็น ตลอดจนการเคารพสิทธิมนุษยชน 

ด้าน Dr. Ramnath Bhat ประธาน AMARC-AP  กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 40 ของ AMARC และปีที่ 25 ของวิทยุชุมชนวิทยุในเอเชีย  หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์วิทยุชุมชนในเอเชียแปซิฟิก โครงการริเริ่มในช่วงแรก ๆ บางส่วนดำเนินการโดยนักข่าวสิ่งแวดล้อมในเนปาล ผู้หญิงในวรรณะจัณฑาลในอินเดีย หรือกลุ่มเกษตรกรในชนบทในประเทศศรีลังกา และอื่น ๆ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 หรือต้นทศวรรษ 2000 วิทยุชุมชนเป็นแนวคิดที่พัฒนาศักยภาพการสื่อสารของคนในชุมชนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  เมื่อพูดถึงวิทยุชุมชน  ความหมายของชุมชนและความหมายของวิทยุโดยพื้นฐานได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นในสภาพแวดล้อมที่ลื่นไหลและไม่แน่นอนนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องท้าทายมากที่จะเข้าใจว่าเราจะเป็นผู้กระจายข่าวชุมชนต่อไปได้อย่างไร และผมขอยกย่องวิทยุชุมชนจำนวนมากที่ทำงานที่เหลือเชื่อและน่าทึ่งในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด -19  โดยมักจะให้การดูแลและสนับสนุนชุมชนเมื่อไม่มีสื่ออื่นใดอยู่ในระดับรากหญ้าจริง ๆ

ผมคิดว่าการกระจายข่าวโดยชุมชนมีบทบาทเร่งด่วนในการเป็นสื่อที่มีจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชันและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ผมเชื่อว่าวิทยุชุมชนยังมีอนาคต เราต้องประกันความยั่งยืนทางสังคมของภาคส่วนนี้ เราจะต้องเป็นการเคลื่อนไหวแบบมีส่วนร่วม จากล่างขึ้นบนอย่างแท้จริง ผู้ฟังควรรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของวิทยุ พวกเขาเป็นเจ้าของสื่อ วิทยุยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา เพื่อสาธารณประโยชน์ และไม่แสวงหาผลกำไร พลังหลักวิธีเดียวที่เราจะดึงเอาความเป็นเจ้าของของชุมชนและความยุติธรรมทางสังคมออกมาได้ก็คือ การกระจายข่าวโดยชุมชนยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อกลุ่มที่ถูกกดขี่มากที่สุดในสังคมของเรา เราต้องการการกระจายข่าวโดยชุมชน ที่ชุมชนจัณฑาล ชุมชนพื้นเมือง ผู้หญิงเป็นเจ้าของวิทยุมากขึ้น มีวิทยุที่ LGBTI เป็นเจ้าของมากขึ้น

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และกรรมการ AMARC-AP กล่าวต้อนรับผู้เข้าประชุม  และแนะนำโคแฟค ประเทศไทย  (Cofact Thailand)  ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีสโลแกน คือ ทุกคนเป็นผู้ตรวจสอบข่าวได้  โดยมีการทำงานร่วมกันในการตรวจสอบเพื่อจัดการกับข้อมูล ในสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย การตรวจสอบข้อมูลจะต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากทุกคน โคแฟคเป็นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นฐานข้อมูล ที่ทุกคนสามารถเข้าสู่ระบบและบันทึกข่าวลือและข้อมูลที่ได้รับมาจากแหล่งต่างๆ  นอกจากนี้ ยังมี Line Chabot ที่จะสามารถค้นหาข้อมูลข่าวลวง มากไปกว่านั้นโคแฟคได้ทำงานร่วมกับวิทยุชุมชน สื่อชุมชนทั่วประเทศ และ NGOs ซึ่งเป็นเหมือนเครือข่ายชุมชนสำหรับการเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล (Digital intelligence) และ ทักษะความเข้าใจ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (Digital Literacy)  เพื่อสร้างภูมิปัญญาร่วมกันในการจัดการกับข้อมูล ในยุคนี้เป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกหลอกด้วยเรื่องราว ข่าวลือ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อมูลบิดเบือนทุกประเภท หน้าที่ของเราคือการมีจิตใจที่มีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ  การเท่าทันสื่อ ความยืดหยุ่น และความชาญฉลาดในการทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกออนไลน์และต้องวิเคราะห์ทุกสิ่งที่เราอ่านบนอินเทอร์เน็ต ในขณะเดียวกัน เราต้องทำให้แน่ใจจริง ๆ ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกต้องก่อนที่จะแบ่งปันข้อมูลต่อไป

นอกจากนี้ อาจารย์ ดร. คันธิรา ฉายาวงศ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ซึ่งเป็น 1 องค์กรเจ้าภาพร่วมจัดงานประชุมดังกล่าว กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมจากทุกประเทศ ทุกองค์กร ที่เข้าร่วมงานประชุมในครั้งนี้  นับเป็นการรวมพลังของวิทยุชุมชนจากหลายประเทศ  มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม  แต่มีความมุ่งมั่นในการรวมพัฒนาวิทยุชุมชนที่เหมือนกัน  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพงานประชุมที่สำคัญเช่นนี้  

หลังจากพิธีเปิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว บนเวทีจัดให้มีการแสดงวัฒนธรรมเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ชม  บนแนวคิด ‘หลากหลายสำเนียงสู่สันติภาพโลก’ (Many Voices, One World’s Peace)   โดยมีการแสดง เพลง ‘อย่าเพิ่งเชื่อ’ โดย Deep South Cofact  จาก  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้     เพลง ‘หยุดข่าวลวงทวงความจริง’ โดย หมอลำอีสานโคแฟค   การแสดง Drag Queen โดย ผู้แทนกลุ่ม LGBT  การแสดงพิณแก้ว โดย อาจารย์วีระพงศ์  ทวีศักดิ์ นักดนตรีพิณแก้วคนแรกของประเทศไทยและเอเชีย และปิดท้ายด้วยการการแสดงธรรมะ Peace Talk: Many Voices, One World’s Peace โดย พระมหานภันต์ ประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.)  

‘3 ตุลาคม 2566’หลากหลายข่าวร้ายเกิดขึ้น แต่ก็มีทั้ง‘จริง’และ ‘ลวง’

Cofact Special Report 18/66

“3 ตุลาคม 2566 สำหรับประเทศไทยดูจะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และข่าวสารหลายเรื่องในวันนั้นก็เป็น ข่าวร้าย สร้างความตื่นตระหนกหรือสลดหดหู่ ส่งผลให้เกิดการ แชร์ ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม ในข่าวที่แชร์กันไปนั้นก็มีทั้ง ข่าวจริง และที่เป็น ข่าวลวง ดังนี้

1.กราดยิงที่สยามพารากอน : เป็น ข่าวจริง และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นชาวจีน 1 ราย และชาวเมียนมา 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 5 คน โดยมีรายงานข่าว ผู้ก่อเหตุมาถึงห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ในเวลาประมาณ 15.30 น. ก่อนที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเด็กชายอายุเพียง 14 ปี ไว้ได้ ในเวลาประมาณ 17.00 น. 

2.สามย่านมิตรทาวน์มีคนเอามีดไล่แทง : เป็น “ข่าวลวง” โดยเป็นข้อมูลที่ถูกแชร์ในเวลาไล่เลี่ยกับที่มีเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน อ้างว่ามีบุคคลวิกลจริตถืออาวุธมีดไล่แทงคนที่เดินผ่านไป-มา บริเวณห้างสามย่านมิตรทาวน์ ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม มีรายงานจาก นสพ.มติชน ว่า ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามแหล่งข่าวที่อยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทราบข้อมูลว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับเพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว อ้างอิงข้อมูลจากทวิตเตอร์ HOUSE SAMYAN ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ที่อยู่บนชั้น 5 ของห้างสามย่านมิตรทาวน์ ว่า ตรวจสอบแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังมีรายงานจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่ระบุว่าได้สอบถามกับตำรวจ ทราบว่าเป็นเหตุการณ์เก่าแต่ถูกนำกลับมาแชร์ใหม่ในวันดังกล่าว

3.สยามไฟไหม้ : เป็น “ข่าวลวง” จากการค้นหาข่าวในรอบ 24 ชั่วโมง และขยายเป็น 1 สัปดาห์ล่าสุด ไม่พบสำนักข่าวที่เป็นสื่อกระแสหลักใดๆ ที่รายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะที่ นสพ.เดลินิวส์ รายงานโดยอ้างคำชี้แจงจากห้างสรรพสินค้า MBK (มาบุญครอง) หลังมีผู้โพสต์ข้อความว่า MBK มีไฟไหม้ ว่า MBK Center ขอชี้แจงกรณีมีข่าวลือเรื่องไฟไหม้ 3 ต.ค. 2566 จากการตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง ภาพดังกล่าวที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เกิดจากการทำงานของเครื่อง Cooling Tower ที่ทำให้เกิดกลุ่มไอน้ำในอากาศ 

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 ต.ค. 2566 มีข่าวเพลิงไหม้ที่เป็นข่าวใหญ่ คือที่อาคารภายในเรืองจำกลางคลองเปรม เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ห่างจากย่านสยามสแควร์ ในเขคปทุมวันไปไกลพอสมควร และเกิดขึ้นในช่วงดึก 

4.สยามน้ำท่วม : อาจเป็นได้ทั้ง “ข่าวลวง” หรือ “ข่าวจริงบางส่วน” ก็ได้ เนื่องจากคำว่า “สยาม” หรือ “สยามสแควร์” ไม่พบแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงได้ชัดเจนไปในทางเดียวกันว่าครอบคลุมบริเวณใดบ้าง แต่เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 3 ต.ค. 2566 สำนักงานเขตปทุมวัน ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว รายงานทางเพจเฟซบุ๊ก ว่า น.ส.สุขวิชญาณ์ นสมทรง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน พร้อมด้วยผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ หัวหน้าฝ่ายเทศกิจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธา ลงพื้นที่ตรวจสอบน้ำท่วมขังรอการระบายในพื้นที่เขตปทุมวัน มีปริมาณฝนตกปานกลางอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ได้มอบหมายให้ฝ่ายโยธา จัดเจ้าหน้าที่หน่วย best เข้าประจำจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมในพื้นที่เขต ฝ่ายรักษาความสะอาดฯ เก็บขยะหน้าตะแกรง และฝ่ายเทศกิจอำนวยความสะดวกประชาชน ในพื้นที่เขตปทุมวัน มีน้ำรอการระบายในถนนสายหลัก ดังนี้ (1) ถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่เเยกมหานคร ถึงบ่อนไก่ (2) ถนนพระรามที่ 1 บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ (3) ถนนพญาไท บริเวณหน้าศูนย์การค้า MBK (มาบุญครอง) และ (4) ถนนสายรอง บริเวณซอยรองเมือง 5 

5.อินดอร์สเตเดียมหัวหมากถล่ม : เป็น ข่าวจริง โดยเหตุเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 3 ต.ค. 2566 หลังคาของสนามกีฬาอินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ภายในการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ บางส่วนพังถล่มลงมา เนื่องจากเกิดฝนตกหนักในทั่วทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งตามรายงานของเว็บไซต์ Siamsport.co.th ของ นสพ.สยามกีฬา ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจะมีเปิดการแข่งขันศึก ไอดับเบิลยูบีเอฟ วีลแชร์บาสเกตบอลคนพิการชิงแชมป์โลก 2023 รุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี เกิดขึ้นในช่วงเวลา 17.00 น. รายการนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดชิงชัยระหว่างวันที่ 3-9 ตุลาคม 2566 และทัวร์นาเมนต์นี้มี 10 ประเทศ ชั้นนำเดินทางร่วมแข่งขัน ทำให้ต้องอพยพนักกีฬาออกจากสถานที่ดังกล่าวและยกเลิกการจัดพิธีเปิด เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1091922 (ไล่ไทม์ไลน์ลำดับเหตุยิงสยามพารากอน อัปเดต ผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ ล่าสุด : กรุงเทพธุรกิจ 4 ต.ค. 2566)

https://www.bbc.com/thai/articles/c0kxql0ggwro (ผบ.ตร. สรุปยอดผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ในเหตุคนร้ายใช้อาวุธยิงกลางพารากอน : BBC ไทย 3 ต.ค. 2566)

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4212816 (เฟคนิวส์! เหตุไล่แทงที่สามย่าน ไม่เป็นความจริง หลัง #สามย่าน พุ่งเทรนด์ทวิตเตอร์ : มติชน 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=930720425081564&set=a.328293581990921&locale=th_TH (ข่าว ไล่แทงที่ สามย่านมิตรทาวน์ เป็น เฟคนิวส์! : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว 3 ต.ค. 2566)

https://twitter.com/houseSamyan/status/1709157152802353184?ref_src=twsrc%5Egoogle%7Ctwcamp%5Eserp%7Ctwgr%5Etweet (#สามย่าน ทางศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ และโรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่านได้เข้าตรวจสอบแล้ว ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นนะครับ : HOUSE SAMYAN 3 ต.ค. 2566)

https://www.youtube.com/watch?v=bkXYu4-IMoA (ชัวร์ก่อนแชร์ ลือว่อนโซเชียล “เหตุผู้ป่วยจิตเวชไล่แทงคน กลางสามย่าน” : ช่องยูทูบ CH7HD News 4 ต.ค. 2566)

https://www.dailynews.co.th/news/2774969/ (‘MBK Center’ ประกาศชี้แจงกรณีมีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวไฟไหม้ตึก : เดลินิวส์ 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02maLqQxafnNePYZ1CBzimBSpNuzrte6t4Y8gHnakTdoNGfWQ5nNaJrHXX6iFgwN5fl&id=100064850371491&eav=Afbgj1_Ud2hN4QqqmWDX3SynMNhCHTpjs7D4v6vVixi-EKfxP0i9-NH5QJu7VQLoEQQ&m_entstream_source=timeline&refid=17&_ft_=encrypted_tracking_data.0AY-9CVvBJ4jaTKHJ8GqumUtbu3hkkKedfQoO_3Eba8hqkjrjNUz87uc7IZJedAgkx1A2gxFDdydA6kXlLo3Z3lHhM-Bs5WWc7perMjTEl5Zb9CdLKpQI_-Atmoce9OkfVctj4wcx7I0nBisE1aM6WfHfZCNHDWXjOSjew5y-2MH2-aQuqLwN6Xmb1r737cZmJkaWI2qJs3RNIhtSE6fEHBC1VgZUEnSML9TkymMTHkNz6OYt3JfySMau4PSX-GZTsFL05HTW_fQd91P0CWOkxBI4eXMkZ8h3y6QXQ8Wshiv9kaIM5w-ui0ctvILxbLSHxYVeFgecFjcuo7x2FPPbkxnBz3U6lR-WHIgIXApUY-K6vcc82ILhOaIO4FCpZQSd6MxS3BnmYHjjigMRqVysw7TFrFV9wQw5FLY1W-4Wi_0gJfLrbd4lcRk4zOfGvVMnFCzuQnya_Fk0JoyATCLpj4E2ASnVbXw-IG-jzaUi0U16oKV4VkmXo8D2ayEg7BBAhQ2dLqwfkYiAshJckRZ-QWiZFqC4cNDhLGNRhlsg6JO9kzzLulJAaRDMXQ8IXYa8F51TXgU2pV-Bzr7owXv_etR31qVqE8UNOoRSgCYQLeaDoimd-G6pKIGW-gN-vF5zR0wQ-h4AbZmeZt5lLcq2x_S-zHNawqx2dyC0njt1NduM5m_WY7Znkp0JJSoANjYf9Gha6oy4PzBMcgpNGh1MUjob4YdfVlF-KOUZsq02eVuNN0AYx-PYl2q1QSzkkwcuGRz-2I-JCeilIrSSYiIjRhCB4vXoRW-9B__jHN4QcA_MNYHatXvCSHr1vuDn8SkRyt34ZL8Nujy18p9CFK6C-xB12mXXdMprOjbk9tBlsZ6juEiTXlIjqm9a9VmfZSb_xHz-UrcV1Sj_o-Xz76rSa60ofPLho74dohTTUC3NBTN3eUkpKdR7Lf_C-do8aBSaLH3Kkag93UoPHeHfJ6buzuX2o-gH785pYFAoWz5zmYPbturiaI_JL54zbzFByBOrHyJwMMcAITJ9ZfqyNUrL3K5Df-pHoN7XBELBPjFTQrKYvIRyVYR5hLhFqxlsoKVFaIeAtuVnk5r-8lMxLdwQP_FnF7q-nZbyPRoDrpgomvrc1Ec35HUmyjif279-uITTnEUJGnxKRSW45CB-j22_6LfR1e9XiB8GnpawFOC7c9fMPwbOvw4g0CZRJeKLpdIFTc_Q_ha246mHgZM_JH_-EvhAaEab3JbLD_916L0uOti_nv-9aIu0hnZsfsAICEMIziFIsM66VaaBIGn6T4E-OZeSmeLNFqdJL-9nixon6t8tlJmeYwfbZIjDJbERYAxCrofw&paipv=0 (เพจเฟซบุ๊ก MBK Center 3 ต.ค. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/332400 (ไฟไหม้แดน 4 เรือนจำกลางคลองเปรม ส่งชุดผจญเพลิงดับไฟ : ThaiPBS 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0GPhLo2qtQuXN9vRTu3DSSWdCcZvG2uwQz2nubnMTQahKq1PoqiYLii6rdiFFQsGwl&id=100028295540431&eav=AfaNCRO6ivyXsIAa56MHts1-uyy21VzZ8eW2vDizhUsCvgoN3Mc_iVwSnz8B4D3TXVg&refid=17&paipv=0 (#ปทุมวันลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่มีน้ำรอการระบาย : สำนักงานเขตปทุมวัน Pathumwan District Office 3 ต.ค. 2566)

https://www.siamsport.co.th/other-sports/basketball/33225/ (เกิดเหตุระทึก!หลังคาสนามอินดอร์สเตเดี้ยมถล่ม ยกเลิกพิธีเปิดศึกวีลแชร์บาสคนพิการโลก : Siamsport 3 ต.ค. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 กันยายน 2566

ขี้เถ้าช่วยให้ผลไม้หวานขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6i6kpfnjdeaf


ห้ามดื่มน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zkle5g0slfw2


ใช้ที่ชาร์จฉุกเฉินบ่อย ระบบไฟฟ้ารถ EV จะเสียหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36p53k455lr7z


แบงค์พันปลอมหมายเลขเดียวกันจากต่างประเทศระบาดเข้าไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37neqoso5vjmn


เตือนภัย ลำไส้โป่งพอง จากยาปฏิชีวนะ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l9v66lpl6z3o


พาราเซตามอล กินมากไปเสี่ยงทำลายตับ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1z65ncv5m5p7x


ซาอุฯ เล็งลงทุนครั้งใหญ่ ตั้งคลังน้ำมันภาคใต้ของไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hd1ws65swq52


ชำแหละข่าวลวงวนซ้ำเรื่อง “บำเหน็จบำนาญ สส.” ตัวเลข (เท็จ) นี้มีที่มา

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ข่าวลวงว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้รับเงินบำนาญหลักหมื่นถึงหลายหมื่นบาท ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์ แม้หลายหน่วยงาน รวมทั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลจะออกมาชี้แจงหลายครั้งว่าเป็นข้อมูลเท็จ แต่ดูเหมือนข้อมูลนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งข่าวลวงวนซ้ำที่ฆ่าไม่ตาย

ข้อมูลเท็จเรื่อง สส. ได้รับเงินบำนาญ กลับมาอีกระลอกระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาล “เศรษฐา 1” เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจติดตามการทำหน้าที่ของ สส.

“สภาช่วยยกเลิกกฎหมายบำนาญ สส. ด้วย” ส่วนหนึ่งของข้อความระบุ “ข้าราชการต้องมีอายุราชการนาน 25 ปี ถึงมีสิทธิ์ได้รับบำนาญ แต่ สส.สุมหัวกันออกกฎหมายให้สิทธิ์ สส. ให้ได้รับเงินบำนาญ ตามระยะเวลาการเป็น สส.” 

ข้อมูลเท็จชิ้นนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินบำนาญที่ สส. จะได้รับซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง คือ เป็น สส. 2 ปี รับบำนาญ 22,712 บาท, 3 ปี 34,068 บาท, 7 ปี 45,424 บาท, 11 ปี 58,280 บาท, 15 ปี 68,136 บาท และเป็น สส. 20 ปี รับบำนาญ 79,492 บาท

“ผมรับราชการนาน 33 ปี มีสิทธิ์ได้รับบำนาญ 15,000 บาท มันยุติธรรม กันดีอยู่หรือ…” เจ้าของข้อความซึ่งใช้ชื่อว่า “พัน มโนเทพ” ระบุ ลงวันที่ 15 ก.พ. 2566

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ชี้แจงแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงข้อมูลเท็จเรื่องบำนาญ สส. ไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ครั้งแรกโพสต์เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ระบุว่า “ตามที่มีการส่งต่อข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ประเด็นเรื่อง สส. ที่มีอายุงาน 4 ปี มีสิทธิได้รับเงินบำนาญตลอดชีพ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ”

สำหรับข้อความที่เขียนโดยผู้ที่ใช้ชื่อว่า “มโน พันเทพ” ที่ระบุจำนวนเงินบำนาญนั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 มี.ค. , 2 เม.ย. และ 19 ก.ค. 2566 อ้างอิงการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • สส. หรือ สว. ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ ยกเว้น 2 กรณี คือ 1) กรณีที่ สส. หรือ สว. ผู้นั้นเคยเป็นข้าราชการและได้รับบำนาญมาแต่เดิมก่อนมาเป็น สส. หรือ สว. และ 2) กรณีที่ สส. หรือ สว. นั้นเป็นข้าราชการการเมือง  

ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 ข้าราชการการเมือง ได้แก่ บุคคลซึ่งรับราชการในตําแหน่งข้าราชการการเมือง ดังต่อไปนี้ นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวง, รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการทบวง, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง, รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง, ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, เลขานุการรัฐมนตรี, และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี

  • สำหรับ สส. หรือ สว. ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการการเมือง เมื่อพ้นจากตำแหน่ง สามารถรับบำเหน็จบำนาญได้แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและสูตรการคำนวณตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ตัวเลขบำเหน็จบำนาญ (เท็จ) มาจากไหน?

หากไม่นับความกระตือรือร้นในการตรวจสอบนักการเมืองที่ทำให้ข้อมูลเท็จนี้ “โดนใจ” ใครหลายคนที่พร้อมจะส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้อความนี้ดูน่าเชื่อถืออาจอยู่ที่การให้ข้อมูลเชิงตัวเลขที่ละเอียด เพิ่มจำนวนเป็นขั้นบันไดตามระยะเวลาการเป็น สส.

คำถามก็คือตัวเลขนี้มาจากไหน? โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อมูลเท็จนี้ประกอบสร้างขึ้นจากข้อมูล 2 เรื่อง

1) ร่างพระราชกฤษฎีกาบำเหน็จบำนาญสมาชิกรัฐสภาที่เสนอในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการยกร่างได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. …. มีสาระสำคัญคือกำหนดให้ สส. และ สว. มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2547 เห็นชอบสูตรการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญให้ สส. แล สว. ที่สิ้นสุดสมาชิกภาพหรือพ้นจากตำแหน่ง ดังนี้ 

  • ดำรงตำแหน่ง 2-3 ปี       มีบำเหน็จหรือบำนาญ 20% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 3-7 ปี       มีบำเหน็จหรือบำนาญ 30% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 7-11 ปี     มีบำเหน็จหรือบำนาญ 40% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 11-15 ปี   มีบำเหน็จหรือบำนาญ 50% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย    
  • ดำรงตำแหน่ง 15-20 ปี   มีบำเหน็จหรือบำนาญ 60% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย      
  • ดำรงตำแหน่ง 20 ปีขึ้นไป มีบำเหน็จหรือบำนาญ 70% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย          

ต่อมาในปี 2548 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่าง พ.ร.ฎ. ฉบับนี้แล้วเสร็จและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งยังคงสามารถเข้าถึงได้ ที่นี่ ร่างกฎหมายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนั้น และสุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อ

2) ข้อมูลเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของ สส.

หลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ไอลอว์ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “เปิดค่าตอบแทน สส.ผู้ทรงเกียรติ เงินเดือนหลักแสน ผู้ช่วยพร้อม สวัสดิการครบ” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของ สส. ที่อ้างอิงจาก พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดว่า สส. ได้เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท/เดือน และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง สส. 42,330 บาท/เดือน รวมเป็น 113,560 บาท/เดือน

เมื่อนำสูตรการคำนวณบำเหน็จบำนาญที่ระบุในร่าง พ.ร.ฎ. บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ สส.ฯ ที่ยกร่างสมัยรัฐบาลทักษิณและตกไปแล้ว มาคำนวณกับรายรับต่อเดือนของ สส. ปัจจุบัน คือ 113,560 บาท/เดือน โคแฟคพบว่าได้ตัวเลขที่ตรงกับข้อมูลเท็จเงินบำนาญ สส. ที่เขียนโดย “มโน พันเทพ” เกือบทั้งหมด ดังนี้

สรุปได้ว่า ข้อมูลเท็จว่าด้วยเงินบำนาญ สส.-สว. นี้ น่าจะเกิดจากเอาข้อมูล 2 ส่วนมาเชื่อมโยงและคำนวณแบบผิด ๆ รวมทั้งให้ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่า กฎหมายบำเหน็จบำนาญสมาชิกรัฐสภานั้นมีผลบังคับใช้แล้ว

บทเรียนจากข่าวลวง

ข่าวเท็จเรื่องบำเหน็จบำนาญ สส. เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในหลายประเด็น

  1. ข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จมักมีส่วนผสมของความจริงหรือข้อมูลที่เป็นจริงบางส่วน ทำให้ดูน่าเชื่อถือและคนคิดว่าเป็นข้อมูลจริงจึงเผยแพร่ต่อ ข้อมูลเท็จเรื่องบำเหน็จบำนาญ สส. นี้มีส่วนประกอบของเนื้อหาจากร่าง พ.ร.ฎ. บำเหน็จบำนาญ สส.-สว. ที่ยกร่างขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินประจำตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภา จึงอาจทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวลวงนี้เชื่อว่าเป็นข้อมูลจริง
  2. ข่าวลวงบางชิ้น แม้จะมีการชี้แจงหรือหักล้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ก็ยังกลับมาวนซ้ำ  โดยผู้เผยแพร่จงใจอาศัยช่วงจังหวะเวลาที่ผู้คนจะสนใจในเรื่องนั้น ๆ เช่น ข่าวลวงชิ้นนี้กลับมาแพร่หลายอีกระลอกในช่วงที่ สส. และ สว. ทำหน้าที่อภิปรายในการประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 2566 ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อช่วงชิงให้ข้อมูลข้อเท็จจริงในบางเรื่องก่อนหรือที่เรียกว่า pre-bunking จึงมีความสำคัญ
  3. บางครั้ง การชี้แจงหรือหักล้างข้อเท็จจริงด้วยการปฏิเสธและให้ข้อมูลที่ถูกต้องอาจไม่เพียงพอ แต่ควรมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าข้อมูล/ข่าวลวง/ความเท็จนั้นถูกประกอบสร้างขึ้นมาอย่างไร

เรื่องแนะนำ