สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 กรกฎาคม 2565

จริงหรือไม่…? สธ. เตือนประชาชนระวัง ไข้หวัดใหญ่ ระบาด! แนะอย่าขาดน้ำ และงดการเดินทางและกิจกรรมทุกประเภทที่ไม่จำเป็น

ไม่จริง

เพราะ…กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจง เป็นข่าวปลอม ไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงกว่าปกติ  ไม่พบอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gm8eg0y8bops


จริงหรือไม่…? มีสายโทรเข้าจากธนาคารแจ้งเตือนว่า มีใบสั่งตกค้าง มีสินค้าโดนอายัด ถูกระงับบัตรเครดิต

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารต่างๆ ไม่มีนโยบายส่ง SMS, LINE หรือ facebook messenger เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t9scb9spb9r9


จริงหรือไม่…?  DSI เตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่

จริง

เพราะ…มีมิจฉาชีพโทรศัพท์หาผู้เสียหายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อและโอนเงินให้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/j35zbh9oy946


จริงหรือไม่…?  ลงทะเบียนขอรับสิทธิเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

จริง

เพราะ…สำหรับผู้มีสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน ตั้งแต่เดือนตค. 64 ถึง กย.65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9kkg4pqiksf3


จริงหรือไม่…?  “แบงก์ชาติอังกฤษ” ยกเลิกธนบัตรกระดาษ 20 และ 50 ปอนด์ เปลี่ยนเป็นโพลิเมอร์

จริง

เพราะ…วันสุดท้ายที่มีสถานะตามกฎหมายคือ วันที่ 30 กย.65 โดยจะเปลี่ยนเพื่อทำให้ธนบัตรปลอมได้ยากขึ้น และธนบัตรมีความทนทาน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hprtgeqrqzx8


จริงหรือไม่…?  โรคหลอดเลือดในสมอง (Stroke Fast Track) โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…หากเกิดฉับพลัน ขาดเลือดมาเลี้ยงสมอง ทำให้สมองเสียหาย เป็นเหตุภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตรวดเร็ว แนะ หมั่นสังเกตอาการต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3p1ouoa19iecv


จริงหรือไม่…? โควิด โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีโอกาสลงปอดมากขึ้น แพทย์วอนหลัง 1ก.ค.ใส่แมสก์ต่อ

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…เป็นการคาดการณ์แต่ยังไม่มีตัวชี้บ่งว่า จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมาก เหมือนช่วงปีก่อนๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/goedzwqshlg7


เหลียวมองแดนมังกร ‘จีน’คุมเข้ม‘อินฟลูเอนเซอร์’ทำคอนเทนต์ต้องรู้จริงเรื่องนั้น หวังแก้ปัญหาข้อมูลผิดพลาด

27 มิ.ย. 2565 “ใครๆ ก็เป็นสื่อได้” คือนิยามของยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น สร้างและเผยแพร่เนื้อหาได้ง่ายดายผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นำมาซึ่งการเกิดขึ้นของ “อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือผู้มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลทางความคิดของผู้คน อย่างไรก็ตาม การมีแนวคิดและข้อมูลที่เผยแพร่กันอย่างมหาศาลบนโลกออนไลน์ ก็นำมาซึ่งคำถามว่า “อะไรคือข้อมูลที่ถูกต้อง” นำไปสู่ปัญหา “ข่าวปลอม (Fake News)-ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation)-ข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation)” สร้างความสับสนแก่สังคม


ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่ฮือฮามากและถูกเผยแพร่จากสื่อมวลชนหลายประเทศ นั่นคือ “รัฐบาลจีนคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ..ใครจะนำเสนอเรื่องใดต้องรู้จริงในเรื่องนั้นด้วย” เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดย South China Moring Post หนังสือพิมพ์เจ้าดังของฮ่องกง เสนอข่าว China’s new live-streaming guidelines set to change the influencer business known for its ‘low threshold, high income’ อ้างอิงบทความจาก People’s Daily หนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่แสดงความกังวลกับปัญหาที่เหล่าคนดังบนโลกออนไลน์ก่อขึ้น


“การสตรีมสดไม่ใช่งานที่คุณจะทำได้เพียงแค่เตรียมอุปกรณ์และเรื่องตลก ซึ่งนักสตรีมบางคนที่ขายสินค้าออนไลน์ได้นำปัญหามาสู่พวกเขาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ บทเรียนนั้นลึกซึ้ง (Live-streaming was not a job which you can do just by preparing some equipment and jokes. Some live-streamers who sell products online have accidentally brought trouble on themselves , The lesson is profound) ในการเป็นผู้ถ่ายทอดสด คุณต้องเคารพกฎ อย่าทดสอบข้อจำกัดเพื่อให้ได้ยอดคนดูมากขึ้น อย่าท้าทายกฎหมายเพื่อสร้างรายได้ และการเล่นอะไรที่หมิ่นเหม่มากไปก็ไม่เป็นที่ยอมรับ (To be a live-streamer, you must respect the rules. Don’t test the limits in order to get more traffic, [don’t] challenge the law to make money, playing too close to the edge was also not acceptable)” ตอนหนึ่งจากบทความของ People’s Daily ระบุ


บทความจากสื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เผยแพร่หลังจากที่ทางการจีนออกข้อกำหนดของการเผยแพร่เนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์ โดยเน้นไปที่การจัดรายการแบบถ่ายทอดสด (Live-streaming) โดยมีข้อห้าม 31 ประการ อีกทั้งกำหนดเนื้อหาบางประเทศที่ผู้นำเสนอต้องเป็นผู้รู้ในด้านนั้นจริงๆ เช่น กฎหมาย การเงิน การแพทย์ การศึกษา เป็นต้น โดยแนวปฏิบัติรวม 18 ข้อ ได้รับการเผยแพร่โดยสำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว


มาตรการใหม่ของทางการจีนเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเติบโตของการจัดรายการสดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2563 พบว่าวงการนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือราว 6 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์และกักตัว แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการหาเงินกันแบบ “มาตรฐานต่ำแต่รายได้สูง (low threshold and high income)” นำไปสู่การที่อินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการนำเสนอเนื้อหาในบางสาขา จำเป็นต้องมีหลักฐานรับรองด้วยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้จริงในสาขานั้น


เชลซี ทัม (Chelsey Tam) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Morningstar หนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก ให้ความเห็นว่า กฎระเบียบใหม่จะยังไม่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับบริษัทอินเตอร์เน็ตของจีน โดยจะมีหน้าที่จำเพาะเจาะจงมากขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มภาพและเสียงทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนด อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบนี้ไม่มีบทลงโทษเป็นการเฉพาะหากรัฐบาลเห็นว่าแพลตฟอร์มปล่อยปละละเลย ดังนั้นนักแสดงหรือผู้ดำเนินรายการก็อาจพบความเสี่ยงมากขึ้น


มาร์ค แทนเนอร์ (Mark Tanner) กรรมการผู้จัดการของ China Skinny บริษัทที่ปรึกษาด้านการทำการตลาดกับจีน มองว่า กฎระเบียบใหม่ไม่น่าจะทำให้คนหนุ่ม-สาวละทิ้งอาชีพนักจัดรายการสดทางออนไลน์ เพราะอาชีพนี้นั้นค่อนข้างเปิดกว้าง อีกทั้งยังมีปัญหาการว่างงานของคนรุ่นใหม่อีกเกือบร้อยละ 20 โดยพบว่า ในเดือน พ.ค. 2565 คนรุ่นใหม่แดนมังกรว่างงานร้อยละ 18.4 ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 ที่ทางการจีนเริ่มเปิดเผยข้อมูล


ศ.หวังซิซิน (Prof.Wang Sixin) นักวิชาการจาก Communication University of China กล่าวว่า โดยเฉพาะสาขาที่ต้องการเฉพาะทาง ความต้องการคุณภาพของคนหนุ่ม-สาวในการเป็นนักจัดรายการสดจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังมีสาขาที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นมืออาชีพเฉพาะทาง ที่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้


ขณะที่ India Today นิตยสารดังในอินเดีย เผยแพร่บทความ China says influencers and streamers need to have professional qualifications to talk about something ยกตัวอย่างข้อกังวลของทางการจีนจนนำมาสู่การออกระเบียบใหม่เพื่อควบคุมบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ เช่น หากเป็นผู้ขายอาหารเสริมก็ต้องตระหนักถึงผลข้างเคียงและผลกระทบต่อผู้คนอย่างเพียงพอ อาทิ ควรเป็นผู้ที่ใช้งานจริงหรืออย่างน้อยต้องรู้จักส่วนผสมต่างๆ ในผลิตภัณฑ์นั้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง พบบรรดาคนดังบนโลกออนไลน์แนะนำวิธีการรักษาสารพัดอย่าง ซึ่งแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิตัวอย่างระบุว่า วิธีการจำนวนมากที่แนะนำกันนั้นไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตาม แม้แนวทาง 18 ข้อของจีน จะแนะนำว่าการให้ข้อมูลหรือความเห็นในบางสาขา อาทิ กฎหมาย การเงิน การแพทย์ การศึกษา ต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ แต่ก็ไมได้ระบุอย่างชัดเจนว่าหมายถึงอะไร


อังคิตา จักรวารตี (Ankita Chakravarti) ผู้เขียนบทความของ India Today ให้ความเห็นไว้ในตอนท้ายว่า แนวทางของจีนข้างต้นน่าจะนำมาใช้ในอินเดียด้วยเช่นกัน เพราะบนโลกออนไลน์มีความเห็นและผู้มีอิทธิพลทางความคิดมากเกินไป อาทิ มีคนดังที่มียอดผู้ติดตามหลัก 7-8 ล้านราย ระบุในโพสต์หนึ่งว่า การทำ “ฮาวัน (Hawan)” ซึ่งเป็นพิธีกรรมหนึ่งในศาสนาฮินดู สามารถลดมลพิษในอากาศได้ แต่สิ่งนี้ไม่มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ บุคคลที่มีชื่อเสียงจึงไม่ควรนำมากล่าวถึง หากอินเดียเริ่มปราบปรามบัญชีสื่อออนไลน์ที่ให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชน ก็จะช่วยจำกัดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จได้เป็นอย่างดี
ด้าน Yahoo ผู้ให้บริการ Search Engine ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้เปิดตัวสำนักข่าวออนไลน์ของตนเองขึ้น เสนอข่าว Chinese influencers now required to prove qualifications to talk about topics like finance, medicine ระบุว่า กฎระเบียบใหม่ของทางการจีนที่ออกมาในวันที่ 21 มิ.ย. 2565 เรียกร้องมาตรฐานความเป็นมืออาชีพที่สูงขึ้นในเนื้อหาบางประเภท กับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มที่จัดรายการสด ซึ่งแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของอินฟลูเอนเซอร์ และเนื้อหาก่อนออกอากาศ ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกห้ามจัดรายการสดอย่างถาวร รวมถึงอาจถูกขึ้นรายชื่อประจานต่อสาธารณะ


รายงานข่าวจากสื่อหลายสำนัก ยังระบุด้วยว่า มาตรการล่าสุดของทางการจีนที่ควบคุมอินฟลูอินเซอร์ เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดระเบียบโลกออนไลน์ โดย Yahoo News รายงานว่า ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่ออกมา ทั้งในด้านการเมือง เช่น ห้ามวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือห้ามนำเสนอเนื้อหาที่กระทบความมั่นคงของชาติ และในด้านสังคม เช่น ห้ามวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมจีน ห้ามเนื้อหาที่ส่อไปในเรื่องเพศจนเกินสมควร เนื้อหาที่สยดสยองมากเกินไป ห้ามส่งเสริมการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคแบบกินทิ้งกินขว้าง หรือการมีส่วนร่วมกับเรื่องอื้อฉาวและเรื่องซุบซิบนินทา


ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2565 หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน เผยแพร่นโยบายต่อต้านการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ และเนื้อหาอื่นๆ ที่ผิดกฎหมาย เช่น สื่อลามกอนาจาร การฆ่าตัวตาย ความรุนแรง และหากย้อนไปเมื่อเดือน พ.ค. 2565 ทางการจีนออกประกาศห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ซื้อของขวัญทางออนไลน์ให้กับอินฟลูเอนเซอร์ และห้ามรับชมการจัดรายการสดหลังเวลา 22.00 น.


ขณะที่ CNBC สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เสนอข่าว Chinese influencers must now have a qualification to talk about certain topics like law and medicine ระบุเพิ่มเติมในส่วนของการคุมเข้มเนื้อหาด้านการเมืองด้วยว่า ห้ามใช้เทคโนโลยี “ดีปเฟค (Deep Fake)” ซึ่งสามารถตัดต่อภาพและเสียงของบุคคลขึ้นมาได้ เพราะหวั่นเกรงจะนำไปใช้เลียนแบบภาพและเสียงของผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญทางการเมือง เผยแพร่เป็นคลิปวีดีโอโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดหรือทำสิ่งนั้นจริงๆ
Fortune นิตยสารดังของสหรัฐฯ เสนอข่าว livestreamers prove they’re qualified to promote certain products ในตอนหนึ่งได้อธิบายประเด็น Deep Fake ว่า สืบเนื่องจากการจัดระเบียบโลกออนไลน์ของทางการจีนที่มีมาตรการเข้มงวดมากมาย ทำให้หลายกิจการหันไปใช้ “อวตารเสมือนจริง (Virtual Avatar)” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาแทนมนุษย์ จึงต้องมีกฎห้ามใช้เทคโนโลยี Deep Fake ปลอมแปลงเป็นผู้นำทางการเมือง

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวมาตรการคุมเข้มโลกออนไลน์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงล่าสุดถึงขั้นต้องควบคุมมาตรฐานของบรรดา “กูรูออนไลน์” กันแล้ว ที่หยิบยกมาบอกเล่าเป็นเกร็ดความรู้ ส่วนสังคมไทยจะว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องให้คนไทย (ที่ขึ้นชื่อเรื่องใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก) ช่วยกันพิจารณา!!!


-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง
https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3182968/chinas-new-live-streaming-guidelines-set-change-influencer-business (China’s new live-streaming guidelines set to change the influencer business known for its ‘low threshold, high income’ : SCMP 24 มิ.ย. 2565)
https://www.indiatoday.in/technology/news/story/china-says-influencers-and-streamers-need-to-have-professional-qualifications-to-talk-about-something-1966208-2022-06-24 (China says influencers and streamers need to have professional qualifications to talk about something : India Today 24 มิ.ย. 2565)
https://news.yahoo.com/chinese-influencers-now-required-prove-002253798.html (Chinese influencers now required to prove qualifications to talk about topics like finance, medicine : Yahoo News 24 มิ.ย. 2565)
https://www.cnbc.com/2022/06/23/china-livestreamers-need-qualifications-for-certain-topics-regulators.html (Chinese influencers must now have a qualification to talk about certain topics like law and medicine ; CNBC 22 มิ.ย. 2565)
https://fortune.com/2022/06/23/china-livestreaming-law-medicine-ecommerce-regulation-crackdown/ (livestreamers prove they’re qualified to promote certain products : Fortune 23 มิ.ย. 2565)

ประชาชนตื่นตัวกฎหมาย‘PDPA’ แต่ยังสับสน-เข้าใจผิด ห่วงช่องโหว่สุดท้ายใช้ไม่ได้จริง

วงเสวนาชี้ประชาชนตื่นตัวกฎหมาย‘PDPA’ แต่ยังสับสน-เข้าใจผิด ห่วงช่องโหว่สุดท้ายใช้ไม่ได้จริง

30 มิ.ย. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักข่าวไทยพีบีเอส สภาองค์กรของผู้บริโภค  เครือข่ายพลเมืองเน็ต  สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย   สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  Thai PBS   ChangeFusion  มูลนิธิฟรีดิชเนามัน และ Centre for Humanitarian Dialogue (HD)  จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 22 “สิทธิดิจิทัล กับ การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว ภายใต้ PDPA” โดยเป็นงานรูปแบบออนไลน์ ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Cofact โคแฟค” , Thai PBS” , และ “สภาองค์กรของผู้บริโภค”

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หัวข้อที่หยิบยกมาพูดคุยกันในครั้งนี้ว่าด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่และมีความซับซ้อน และหากนับจากวันแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ คือวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ก็จะครบ 30 วันพอดี เวทีนี้จึงเป็นการระดมมุมมองเกี่ยวกับปัญหาและข้อคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การเปิดมุมมองใหม่ๆ รวมถึงเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายถึงผู้เกี่ยวข้อง เป็นโอกาสดีในการสร้างความเข้าใจกับสังคม เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและพลเมือง

“หัวข้อในวันนี้ตั้งไว้กว้างมาก สิทธิดิจิทัล กับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหม่ที่บางทีอาจยังไม่มีบทสรุปในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นเรื่องที่เราอาจต้องหาจุดสมดุล ในการที่เราจะปกป้องคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลิดรอนเสรีภาพที่จะใช้หรือนำเสนอข้อมูลข่าวสารในภาพรวมในยุคดิจิทัล ซึ่งก็เป็นความท้าทายของทุกประเทศ ว่าแล้วจุดสมดุลมันอยู่ตรงไหน? อย่างไร?” น.ส.สุภิญญา กล่าว

นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นกฎหมายป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 เป็นต้นมา หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลบ้าง ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่าย บัญชีธนาคาร ฯลฯ ซึ่งในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็เป็นเวลาได้เตรียมตัว เพราะการทำงานและการประชุมต่างๆ ดำเนินการผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล

เช่น ในอดีตเวลาไปติดต่อหน่วยงานของรัฐ จะมีเพียงการถ่ายสำเนาและเซ็นรับรองสำเนา แต่ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ เริ่มส่งเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น มีการถ่ายภาพดูหน้าในการยืนยันตัวบุคคล จากนั้นพอเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 หลายองค์กรก็เริ่มตื่นตัว เริ่มมีการดูข้อมูลพื้นฐาน เรื่องเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีอย่างไรบ้าง แต่ละองค์กรมีการตั้ง Data Controller หรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทำหน้าที่เหมือนผู้ดูแลระบบ โดยจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการยิมยอม 

นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส.

“สสส. ร่วมกับพหุภาคี ทั้งโคแฟค คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ก่อตั้ง PDPA Thailand  คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงสภาองค์กรผู้บริโภค มีอีกหลายภาคี ร่วมกันจัดเวทีครั้งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน สอบถามและซักถามเพื่อทำให้เรามีความเข้าใจ แล้วก็สามารถสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือชุมชนที่เราทำงานร่วมกันอยู่ได้  จะทำให้เกิดสังคม ในการสร้างสังคมที่มีสุขภาวะในยุคของข้อมูลข่าวสาร และยุคที่เราจะเป็นพลเมืองที่มีการตื่นรู้ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน”

นางเบญจมาภรณ์ กล่าว

จากนั้นเป็นการเผยแพร่ ผลการวิเคราะห์สื่อสังคมออนไลน์ ประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดย นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์ดังกล่าวเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-20 มิ.ย. 2565 ผ่านโปรแกรม Zocail Eye ซึ่งพัฒนาเพื่อรวบรวมข้อมูลการพูดคุยหรือกระแสที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ สำหรับให้ลูกค้าหรือประชาชนเข้าใจบริบทของสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง โดยหัวข้อนี้เก็บรวบรวมข้อความที่มีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ประมาณ 14,000 ข้อความ

พบว่า การพูดคุยประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA เริ่มพบในวันที่ 10 พ.ค. 2565 เป็นต้นมา เพราะในเวลานั้นค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะไม่มีการเลื่อนกำหนดการเริ่มบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก จากนั้นวันที่ 27 พ.ค. 2565 หรือราว 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันกฎหมายมีผลบังคับใช้ เพจต่างๆ เริ่มให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA 

ต่อมาวันที่ 1 มิ.ย. 2565 อันเป็นวันแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ จะเห็นท่าทีขององค์กรต่างๆ ในการปรับตัวรับกฎหมายมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มมีกรณีที่เป้นปัญหาตามมา เช่น กรณีพลเมืองดีไปถ่ายคลิปวีดีโอชายหนุ่มทำร้ายร่างกายแฟนสาวแล้วเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ทั้งนี้ โดยสรุปแล้วนับตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ค.-20 มิ.ย. 2565 การเติบโตของกระแสความสนใจประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 90 ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเป็นเรื่องใหม่

เมื่อดูช่องทางในการสื่อสารประเด็นกฎหมาย PDPA พบว่า เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ เป็น 2 แพลตฟอร์มที่ครองสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 80 ที่ผู้คนเลือกใช้ในการสื่อสารเรื่องนี้ โดยบุคคลทั้งที่เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคมและคนธรรมดาทั่วไป ครองสัดส่วนการพูดถึงกฎหมาย PDPA รวมกันที่ร้อยละ 75 ขณะที่ระดับองค์กรอยู่ที่ร้อยละ 25 ส่วนความคิดเห็นต่อกฎหมายก็มีทั้งเชิงบวก ที่มองว่ากฎหมายช่วยคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล และเชิงลบ เช่น ทำให้ผู้ประกอบการบังคับยินยอมให้เก็บข้อมูลก่อนแล้วค่อยไปยกเลิกภายหลัง หรือส่งผลกระทบต่อพลเมืองดี เป็นต้น 

นายกล้า กล่าวต่อไปว่า ในประเด็นความคาดหวังของประชาชนต่อภาคส่วนต่างๆ ในประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หากเป็นสื่อมวลชน ประชาชนคาดหวังให้สื่อผลิตเนื้อหาให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจกฎหมายนี้มากขึ้น เพราะมีเรื่องที่ผู้คนเข้าใจผิดเกิดขึ้นจำนวนมาก ในขณะที่องค์กรภาคเอกชน ประชาชนคาดหวังให้ทุกองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เพราะถาคเอกชนเป็นองค์กรที่มีโอกาสละเมิดกฎหมายนี้มากที่สุด ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงประเด็นต่างๆ ที่สังคมสงสัย ซึ่งควรถูกทำให้กระจ่างโดยเร็วเพื่อไม่ให้เรื่องที่เข้าใจผิดลุกลามบานปลาย 

“ประชาชนตื่นตัวเรื่องกฎหมาย PDPA แน่นอน มีการพูดถึงชัดเจน แล้วก็การตื่นรู้ แต่เขาอาจจะไม่ได้รู้อย่างถูกต้อง เขารู้แค่ว่า PDPA ถูกบังคับใช้แล้ว ประชาชนบางส่วนยังเกิดความเข้าใจผิด และบางคำถามไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องด้วย มันก็จะทำให้สังคมไปทางไหนก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าเราจะไปกันถูกทางหรือเปล่า องค์กรที่เกี่ยวข้องสามารถสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ได้ แต่ยังตอบข้อสงสัยเรื่องกฎหมาย PDPA ค่อนข้างน้อย”

นายกล้า ระบุ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ยังกล่าวอีกว่า การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ยังทำได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการอธิบายประเด็นที่ประชาชนสงสัย สุดท้ายสื่อมวลชนถูกคาดหวังให้เป็นแหล่งความรู้ เพราะประชาชนยังหวังพึ่งบทบาทสื่อในการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ รวมถึงการไขข้อข้องใจหรือแก้สิ่งที่เข้าใจผิด นอกจากนี้ยังพบปฏิกิริยาของสังคม ที่เมื่อเกิดข้อสงสัยขึ้นแต่ไม่มีผุ้ใดให้ความกระจ่างได้ ก็จะมีการทำ “มีม (Meme)” หรือภาพล้อเลียนตลกขบขัน ซึ่งสะท้อนความคาดหวังที่ไม่ได้รับการตอบสนอง

ในช่วงของการเสวนา ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะออกมาตั้งแต่ปี 2562 และตามกำหนดการเดิมจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ค. 2563 แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งมีข้อจำกัดต่างๆ รัฐบาลจึงประกาศเลื่อนการบังคับใช้ 

ทำให้ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีการแต่งตั้ง คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งที่ในช่วง 2 ปีนี้ ควรเป็นเวลาที่ผู้เกี่ยวข้องได้ทำความเข้าใจและสร้างความตระหนักในกฎหมาย กระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่มี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยระหว่างที่ยังไม่มีนั้นกฎหมายให้ สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ทำหน้าที่ไปพลางก่อน 

ซึ่งการจะมี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับสำนักงาน มีการประชุมเพื่อออกกฎระเบียบหรือประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กร ขณะเดียวกัน กฎหมายยังมีความซับซ้อนเพราะกล่าวถึงคณะกรรมการไว้หลายชุด นอกจาก คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นคณะกรรมการเชิงนโยบาย ทำหน้าที่ออกระเบียบและวินิจฉัยตีความ แล้วยังมีคณะกรรมการกำกับสำนักงาน ที่มีหน้าที่กำหนดกฎระเบียบขององค์กร และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ทำหน้าที่พิจารณาข้อร้องเรียน

ขณะเดียวกัน สำนักงานปลัดกระทรวงดีอีเอส ซึ่งทำหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ต้องออกกฎหมายลูก หรือกฎหมายลำดับรอง ซึ่งปัจจุบัน คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพือกลั่นกรองร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งทางสำนักงานได้เตรียมร่างไว้ ที่ผ่านมามีการประชุมกันแทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 แต่ก็อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเหตุที่ต้องใช้เวลาเพราะการพิจารณากฎหมายต้องทำอย่างรอบคอบ 

ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้มีเสียงเรียกร้องให้เลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ออกไปอีก 1 ปี เนื่องนี้คณะกรรมการก็มีทั้งข้อถกเถียงและการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งผู้ที่มองว่าเวลายังไม่เหมาะสมเพราะกิจการต่างๆ เพิ่งเผชิญปัญหาทั้งจากโควิด-19 และเศรษฐกิจ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายลูกจึงอาจไม่มีความพร้อม และผู้ที่มองว่าหากเลื่อนออกไปเท่ากับยังไม่มีกฎหมายมาปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจากการละเมิด แต่ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าจะไม่เลื่อนอีก 

“คณะกรรมการตกลงกันว่า Tone (ความเข้ม) ของการบังคับใช้จะไม่ได้เข้มข้น ต้องขอทำความเข้าใจว่าเราพิจารณาตามเหตุและผล ต่อข้อจำกัดต่างๆ หากมีอะไรที่เป็นข้อร้องเรียนเกิดขึ้นมา มีอะไรที่ไม่ได้เป็นเจตนาทำอะไร ยกตัวอย่างอะไรที่มันดูน่าเกลียด เช่น เจตนาเอาข้อมูลไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาจจะดูน่าเกลียดชัดเจน แต่ถ้าไม่ใช่กรณีแบบนั้น ก็คงเป็นกรณีแบบที่เราเข้าใจได้ว่าการบังคับใช้อาจจะเป็นการตักเตือน หรือการสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง มากกว่าจะไปลงโทษปรับ ลงโทษอะไรต่างๆ”

ดร.นพ.นวนรรน กล่าว

น.ส.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า เหตุที่เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดขึ้นในประเด็นการบังคับใช้กฎหมาย PDPA เพราะ 1.ความซับซ้อนของกฎหมาย ต้องยอมรับว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ค่อนข้างซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับกฎหมายอีกหลายเรื่อง 2.กฎหมายใช้บังคับกับทุกภาคส่วนแบบเดียวกัน ทั้งที่รูปแบบการจัดเก็บและใช้ข้อมูลของแต่ละอาชีพแตกต่างกัน เช่น คนทำงานในห้องแล็บ ในกิจการโทรคมนาคม ในภาคการตลาด เป็นต้น

3.ในความเป็นจริงสังคมไทยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความเป็นส่วนตัว (Privacy)” มากนัก แม้จะรู้สึกรำคาญบ้างแต่ก็ไม่ได้คุ้นชินกับการเคารพความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน แต่กฎหมาย PDPA ที่ออกมาใหม่นั้นคาดหวังกับสังคมอย่างมาก นอกจากเข้าใจกฎหมายแล้วยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปฏิบัติต่อกัน 4.ความไม่มั่นใจของประชาชนที่มีต่อการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ PDPA แต่เป็นภาพรวมว่าด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรมในบ้านเมือง ที่ต้องยอมรับว่าถูกตั้งคำถามตลอดมา เพราะมีตัวอย่างทั้งการกลั่นแกล้ง หรือการลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน

และ 5.การอธิบายกฎหมายแบบ ขู่ให้กลัว หมายถึงการอธิบายโดยเน้นว่าหากฝ่าฝืนจะต้องเจอบทลงโทษอย่างไรบ้าง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความเคยชินของสังคมไทยที่ผู้คนเติบโตมากับการใช้อำนาจ เช่น การเลี้ยงด้วยไม้เรียว ดังนั้นเมื่อมีกฎหมายใหม่ๆ ออกมา สิ่งแรกที่แต่ละคนจะคิดก่อนคือทำอย่างไรจะไม่ถูกตีหรือถูกลงโทษ แทนที่จะคิดว่ากฎหมายใหม่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ กับตัวเราได้อย่างไรบ้าง หรือทำให้คนในสังคมเคารพกันและกันได้อย่างไรบ้าง โดยสรุปคือการอธิบายแบบขู่ให้กลัว ทำให้คนมองกฎหมายในแง่ลบมากกว่าแง่บวก

น.ส.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสต

“ทำอย่างไรจะไม่ให้คนรู้สึกลบหรือระแวงกฎหมายจนเกินไป ก็มีข้อเสนอ 1.องค์กรผู้บังคับใช้ต้องพยายามสื่อสารให้ดีว่ามันจะทำอย่างไร 2.เวลาต้องบังคับใช้ ถ้ามันจะต้องใช้ไม้เรียวกันจริงๆ ไม้เรียวไม่ใช่ Option (ทางเลือก) แรก มันต้องเป็น Option ว่าทำผิดแล้วแก้ไขได้ไหม ทำอย่างไรจะแก้ไขได้ แล้วเรามี Lesson Learn (บทเรียน) ร่วมกันว่าต้องแก้แบบนี้ แล้วบริษัทหรือองค์กรอื่นๆ ที่ทำพลาดเหมือนกันก็แก้ไปพร้อมกัน คือมันต้องอาศัยความเข้าใจของ Regulator (หน่วยงานกำกับดูแล) แต่คิดว่า Regulator เข้าใจแล้วว่าในช่วงต้นๆ ของการบังคับใช้กฎหมาย มันต้องเน้นเรื่องของการ Educate (ให้ความรู้) กัน เรียนรู้ไปด้วยกัน” น.ส.ฐิติรัตน์ กล่าว

ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร ผู้ก่อตั้งสื่อ PDPA Thailand / CEO บริษัท ดิจิทัล บิสิเนส คอนซัลท์ จำกัด / CEO สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะดิจิทัล DDTI ตั้งข้อสังเกตว่า ในมุมของประชาชนนั้น ประชาชนยังไม่ได้รับความรู้ด้านการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ทั้งการเข้าถึงและการร้องเรียน โดยหาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่มีกลไกรองรับ และประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิได้เนื่องจากไม่มีช่องทางหรือวิธีการ ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้ก็จะถูกลืม

อีกด้านหนึ่ง ในมุมของผู้ประกอบการ วันนี้แม้กฎหมายบังคับใช้และบทลงโทษและกลไกต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่มีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำคัญมาก ดังนั้นแม้ต่อไปจะออกกฎหมายลูกว่าด้วยมาตรการและโทษทางปกครองก็ไม่มีประโยชน์ตราบใดที่ไม่มี คกก.ผู้เชี่ยวชาญ อนึ่ง ที่ผ่านมาด้วยความเข้าใขผิดของภาคธุรกิจ ทำให้มีความพยายามต่างๆ เช่น การขอเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ออกไปอีก การขอให้งดเว้นโทษทางอาญาไว้ก่อน ไปจนถึงการหาทางเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกคณะกรรมการ 

ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร ผู้ก่อตั้งสื่อ PDPA Thailand

“คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ก็น่าจะเป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่คิดว่าทุกฝ่ายพยายามเข้าไปมีบทบาทในนั้น เพราะถ้าดูจากกฎหมายแล้วอำนาจ คกก.ผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นคนชี้ขาดว่าท้ายที่สุดแล้วการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จะเป็นไปแบบไหน-อย่างไร ไม่ใช่ชุด คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่ชุด คกก.กำกับสำนักงาน แต่เป็น คกก.ผู้เชี่ยวชาญ ผมคิดว่าในส่วนของภาคประชาชนเองหรือนักวิชาการ น่าจะต้องติดตามเรื่องนี้และเอาใจใส่ ไม่เช่นนั้นเราอุตส่าห์ได้กฎหมายที่ดีๆ ฉบับหนึ่งแล้ว แต่กฎหมายจะดีต่อไปได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ดร.อุดมธิปก กล่าว

ดร.สลิลธร ทองมีนสุข อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย PDPA คือต้องการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ข้อมูลกับการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวไม่ให้ถูกละเมิดมากจนเกินไป ขณะเดียวกันในประเด็นโทษทางอาญา จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกลงโทษทางอาญาตามกฎหมายนี้ เพราะมีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่เข้าข่าย เช่น ข้อมูลประเภทที่มีความอ่อนไหว ซึ่งหากหลุดรั่วออกไปอาจทำให้บุคคลถูกดูหมิ่นเกลียดชัง 

ขณะที่ประเด็นความสนใจของภาคธุรกิจ จากประสบการณ์ที่เข้าไปช่วยงานของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ทำคู่มือสำหรับธุรกิจขนส่งในการปฎิบัติตามกฎหมาย PDPA เมื่อปี 2564 พบว่า หากเป็นกิจการขนาดใหญ่และขนาดกลาง ผู้ประกอบการจะตื่นตัวมาก เพราะหวั่งเกรงบทลงโทษ เช่น ตั้งคณะทำงานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมาภายในองค์กร จัดอบรมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ให้กับพนักงานในองค์กร หรือบางองค์กรถึงขั้นลงทุนส่งพนักงานไปฝึกอบรมกับหลักสูตรของต่างประเทศ

ดร.สลิลธร ทองมีนสุข อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มีการสำรวจและประมวลผลว่าในองค์กรมีการจัดเก็บข้อมูลอะไรบ้าง หรือข้อมูลส่วนบุคคลถูกจัดเก็บไว้ที่ใดบ้าง อ้างฐานประมวลผลใดบ้าง วางมาตรการทั้งทางเทคนิคและการบริหารองค์กร ตลอดจนพัฒนาเว็บไซต์สำหรับเปิดเป็นช่องทางร้องเรียน ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่ดี แต่ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังขาดความเข้าใจ เช่น เคยได้รับคำถามว่าการแจ้งกับความยินยอมต่างกันอย่างไร หรือมีผู้ที่เข้าใจว่าต้องขอความยินยอมในทุกกรณี เป็นต้น

ดร.สลิลธร ยังยกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องที่มีความกังวลกันมากคือ “ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด (CCTV)” เช่น ติด CCTV ไว้ในบ้าน ต้องติดป้ายคำเตือนว่ามีกล้องหรือไม่ หรือในกิจการภาคขนส่ง มีการใช้ CCTV อาทิ สถานีรถไฟฟ้า ทางด่วน ทั้งเพื่อการรักษาความปลอดภัยและการจัดเก็บค่าบริการ การที่ผู้ให้บริการจัดเก็บและใช้ข้อมูลจาก CCTV ต้องขอความยินยอมหรือไม่ แต่หากมาดูข้อกฎหมายที่ระบุเงื่อนไขที่ไม่ต้องขอความยินยอม ใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 24 จะมีการกล่าวถึงฐานประโยชน์โดยชอบธรรมของผู้ควบคุมข้อมูลหรือบุคคลที่ 3 

ถ้าจะเข้าฐานนี้ได้ มันจะต้องดู 3 อย่าง 1.เจ้าของข้อมูลเขาคาดหมายได้ไหม เช่น เมื่อผ่านทางด่วนก็ต้องคาดหมายได้อยู่แล้วว่ามันมีกล้องติดอยู่ หรือไปเดินห้าง ไปสถานีรถไฟฟ้า คนที่ใช้บริการเขาก็คาดหมายได้อยู่แล้วว่ามันมีการเก็บข้อมูลผ่าน CCTV 2.ความเสี่ยง เจ้าของข้อมูลมีความเสี่ยงอะไรหรือไม่ที่ CCTV มันติดและจับ ที่ดูมันก็ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรมากมาย และ 3.ที่สำคัญคือผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประกอบการ ต้องดูว่ามีมาตรการอะไรไหมที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลดร.สลิลธร ระบุ

ดร.สลิลธร อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นกล้องวงจรปิดว่า แม้ไม่ต้องขอความยินยอมแต่ก็ต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย ซึ่งหากไปดูแนวปฏิบัติในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) หรือในประเทศสิงคโปร์ ว่าด้วยการใช้ CCTV อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสรุปคือ หากเป็นพื้นที่สาธารณะ การติดตั้งกล้องวงจรปิดสามารถทำได้โดยให้ติดป้ายเตือนในจุดที่มองเห็นได้ง่ายว่าบริเวณนี้มีการติด CCTV ในจุดก่อนเข้าสู่พื้นที่นั้น แต่ไม่ต้องถึงขั้นบอกละเอียดว่าติดกล้องไว้จุดใดบ้าง 

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต / อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องให้ประชาชนร้องเรียนผ่านกลไกต่างๆ ที่มี หากไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ เช่น กรณีสินค้าและบริการ ร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งการร้องเรียนเป็นประโยชน์ 1.ผู้ประกอบการรับทราบปัญหา 2.เป็นการทดสอบกลไกกำกับดูแลว่ามีข้อบกพร่องต้องปรับปรุงหรือไม่ ดังนั้นอยากเห็นภาพแบบเดียวกันกับช่องทางของกฎหมาย PDPA 

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต / อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค

“ใครอยู่วงการพัฒนาซอฟท์แวร์ หรือวงการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ มันจะมีไอเดียของการทดสอบกันตั้งแต่เนิ่นๆ คือไม่ต้องรอให้ผลิตภัณฑ์สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ มันไม่มีคำว่าสมบูรณ์ คือทุกอย่างมันก็ค่อยๆ พัฒนากันไป ถ้าอยากให้เห็นจุดบกพร่องเร็วขึ้นเราก็ต้องรีบใช้งานมันเสียแต่เนิ่นๆ แล้วพอเราทดลองใช้งานมันไป พบว่ากลไกร้องเรียนแบบนี้ร้องเรียนไปแล้วล่าช้ามาก หรือแบบฟอร์มที่ให้กรอกไม่ครอบคลุมสิ่งที่เราประสบพบเจอมา สิ่งเหล่านี้มันเป็น Feedback (เสียงสะท้อน) เพื่อนำไปสู่การพัฒนากลไกร้องเรียนได้”

นายอาทิตย์ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม นายอาทิตย์ แสดงความกังวล กรณี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 4 ที่เปิดช่องให้มีการออกพระราชกฤษฎีกา มาเพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้เป็นรายกิจการหรือกิจกรรม ซึ่งผู้มีอำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกา คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งการออกพระราชกฤษฎีกายังไม่ต้องรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 

ซึ่งใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 4 ด้านหนึ่งตัวกฎหมายฉบับนี้ระบุข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎหมายไว้แล้ว 6 ข้อ แต่อีกด้านหนึ่งกลับให้อำนาจรัฐมนตรีสามารถออกข้อยกเว้นเพิ่มได้อีก ทำให้แม้จะบอกว่า คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระ แต่ขอบเขตการทำงานก็สามารถถูกบีบให้แคบลงเมื่อใดก็ได้ด้วยอำนาจของรัฐมนตรี ในอนาคตกฎหมายก็อาจไม่เหลือสภาพที่สามารถใช้งานได้อีก 

ผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตราย นี่เป็น พ.ร.บ. ที่ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งโดยไอเดียก็คือผู้แทนปวงชน คือเลือกตั้งเข้ามา เป็นอำนาจนิติบัญญัติ แต่ฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีสามารถใช้กฎหมายลำดับรอง พระราชกฤษฎีกาเป็นการออกกฎหมายโดยฝ่ายบริหาร มาทำให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติไม่เหลือสภาพการใช้ไปทั้งหมดเลย ถ้าเรายอมให้มีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นกับกฎหมายฉบับนี้ คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นไปได้เหมือนกันว่ากฎหมายฉบับใดๆ ในอนาคตก็จะถูกใช้เทคนิคนี้ได้อีกเหมือนกัน เท่ากับไอเดียเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ ตุลากร นิติบัญญัติ บริหาร มันไม่เหลือแล้ว นายอาทิตย์ ระบุ

ในช่วงท้ายของงานเสวนา ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วง 1 เดือนของการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มีหลายองค์กรจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว แต่การเสวนาในครั้งนี้ให้มุมมองที่น่าสนใจ และเป็นมุมมองด้านการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งก็คือประชาชนทั่วไป ทั้งในมิติความรู้ เข้าใจชัดเจนและมีรูปธรรมตามมา และแม้จะพบจุดอ่อนของกฎหมายนี้อยู่บ้าง เช่น เข้าใจยาก ต้องตีความ หรือมีข้อสังเกตในบางมาตรา แต่ในภาพรวมถือเป็น พ.ร.บ. ที่มีความสำคัญและจำเป็น 

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

สิ่งที่มีความรู้สึกในนามส่วนตัวและในนามโคแฟคด้วย ฟังท่านพูดกันแล้วประหนึ่งว่า ความมีประโยชน์ของ พ.ร.บ. นี้จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง ดังนั้นเป็นเหมือนกับความต้องการของสังคมหรือผู้บริโภคในทีเหมือนกัน จะมีใครที่ไปตามดูว่าเมื่อมีการประกาศบังคับใช้แล้ว ตัวที่ให้คุณให้โทษต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนคนทั่วไปเป็นอย่างไรบ้าง ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-




หาข้อมูลได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ด้วยคำสั่งพิเศษบน Google : COFACT Special Report #30

เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ใช้อินเทอร์เน็ต เมื่อจะหาข้อมูลอะไรสักอย่างก็มักจะพุ่งตรงไปที่เว็บไซต์ Google เป็นอันดับแรกๆ จากนั้นก็พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา แต่หลายครั้งก็มักจะพบว่า สิ่งที่ต้องการค้นหาอาจจะไม่ขึ้นมาในผลการค้นหาอันดับแรกๆ เช่น ผลการค้นหาที่ปรากฎอาจจะเก่าเกินไป หรือไม่ใช่ผลการค้นหาที่มาจากหน่วยงานที่ตนต้องการ ในเว็บ Google มีเครื่องมือค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) ที่ช่วยกำหนดคุณสมบัติการค้นหาให้ละเอียดและแม่นยำขึ้น ช่วยให้ได้ผลการค้นหาที่ต้องการจริงๆ

English Summary

People often use Google to search for information, but only a few know how to use Advance Searches to get the exact information they need. In this article, we explain readers how get specific files and articles from official sources, using search operators and advanced search tools. 

ตั้งค่าช่วงเวลา เพื่อค้นหาข้อมูลล่าสุด หรือข้อมูลในอดีต

เมื่อเราพิมพ์คำค้นหาในช่องค้นหาของ Google แล้ว แต่ต้องการเห็นข้อมูลล่าสุด หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังค้นหาในวันหรือเวลาที่กำหนด ให้คลิกที่ Tools (เครื่องมือ) ซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาของจอ จากนั้นสังเกตตรงคำว่า Any Time ให้คลิกที่ตรงนั้น และกำหนดวัน เวลาที่ต้องการ เราสามารถเลือกจากตัวเลือกที่ Google กำหนดมาให้ หรือถ้าต้องการจะกำหนดวันและเวลาด้วยตนเอง ให้ไปที่ Custom Range และเลือกกำหนดได้จากเมนูปฏิทินที่ปรากฎขึ้น

แก้ไขปัญหาคำพ้องรูปด้วยการเพิ่ม หรือตัดตัวกรองออกไป’

คำค้นหาหลายคำที่เราคุ้นเคย มักเขียนเหมือนกัน แต่อาจมีหลายความหมาย หรือที่เรารู้จักกันว่า “คำพ้องรูป” ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษเรามีคำพ้องรูปจำนวนมาก และหลายครั้งเซิร์จเอนจิ้นอย่าง Google ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าผู้ใช้งานต้องการค้นหาคำที่มีความหมายใดกันแน่ ดังนั้นการใช้คำสั่งพิเศษจะช่วยให้ระบบเข้าใจได้ละเอียดขึ้นถึงคำที่เราต้องการค้นหาจริงๆ ด้วยการใส่เครื่องหมายลบ (-) ตามด้วยประเภทของตัวกรองที่ต้องการตัดทิ้ง และเครื่องหมายบวก (+) ตามด้วยประเภทของตัวกรองที่ต้องการให้แสดง เช่น หากต้องการค้นหา จากัวร์ ที่เป็นรถยนต์ ให้ใส่ “จากัวร์ +รถ” แต่ถ้าต้องการค้นหาจากัวร์ที่เป็นเสือ ให้ใส่ “จากัวร์ -รถ” เป็นต้น

ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะ ด้วยการค้นหาเฉพาะเว็บ/โดเมน

เราสามารถใช้คำสั่งพิเศษสำหรับคัดกรองข้อมูลเฉพาะเว็บไซต์ หรือโดเมนที่เราต้องการจะเห็น เช่น หากเราต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 จากหน่วยงานของภาครัฐในประเทศไทยโดยเฉพาะ เราสามารถใช้คำสั่ง “site:go.th” แล้วตามด้วยคำค้นหาที่ต้องการ จากนั้น Google ก็จะแสดงข้อมูลที่มาจากเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น โดยโดเมนที่เรามักจะคุ้นเคยกันบ่อยๆ ได้แก่ .go.th สำหรับเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐของไทย .co.th สำหรับบริษัทเอกชนในไทย .or.th สำหรับหน่วยงานไม่แสวงหากำไรในไทย .ac.th สำหรับสถาบันการศึกษาในไทย เป็นต้น

การใช้คำสั่งนี้ยังใช้ได้กับเว็บไซต์เต็มๆ เช่น หากเราต้องการค้นหาข่าวเกี่ยวกับผู้ว่าฯ กทม. เฉพาะบนเว็บไซต์ของไทยพีบีเอส ก็สามารถพิมพ์ “site:thaipbs.or.th ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ระบบก็จะแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่มาจากเว็บไซต์ไทยพีบีเอสโดยเฉพาะ 

ค้นหาไฟล์ต่างๆ และ เอกสารราชการ ด้วยการระบุนามสกุลไฟล์

Google ยังมีคุณสมบัติในการค้นหาไฟล์ที่มีการโพสเอาไว้บนหน้าเว็บต่างๆ (ที่เปิดให้อ่านได้แบบสาธารณะ ไม่ใช่อยู่ในระบบคลาวด์) เราสามารถใช้คำสั่ง “filetype:” แล้วตามด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เช่น หากเราต้องการค้นหาไฟล์ PDF ที่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เราก็พิมพ์ “filetype:PDF วัคซีนโควิด-19” ระบบก็จะแสดงไฟล์ PDF ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมา 

นำตัวกรองต่างๆ มาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ผลการค้นหาแม่นยำขึ้น

เราสามารถนำตัวกรองต่างๆ ที่ระบุมาด้านบนมาใช้รวมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแสดงผลการค้นหามากขึ้น เช่น หากเราต้องการค้นหาประกาศราชกิจจาฯ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา รูปแบบไฟล์ PDF ที่ประกาศภายในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เราก็สามารถพิมพ์ “site:ratchakitcha.soc.go.th filetype:PDF ไวรัสโคโรนา” ในช่องค้นหา จากนั้นก็ไปที่เมนู Tools (เครื่องมือ) ไปตรง Any Time แล้วปรับเป็นเวลา 30 วันที่ผ่านมาจาก Custom Range เราก็จะได้เอกสารราชกิจจาฯ ไฟล์ PDF ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาในช่วง 30 วันที่ผ่านมาอย่างที่เราต้องการ

เราสามารถใช้วิธีนี้กับเว็บไซต์ หรือโดเมนอื่นๆ ที่เราต้องการ และปรับคำสั่งไปตามสิ่งที่เราต้องการค้นหา โดยประเภทของไฟล์ที่เรานิยมใช้มีหลากหลาย นอกจาก PDF เรายังสามารถค้นหาไฟล์ Power Point (PPT หรือ PPTX), Word (DOC หรือ DOCX) หรือแม้แต่ไฟล์รูปภาพ เช่น JPEG, GIF หรือ PNG นอกจากนี้คำสั่งการค้นหาขั้นสูงยังมีอีกมากมาย เราสามารถไปปรับแต่งการค้นหาขั้นสูงเพิ่มเติม ในเมนู Advance Searches ซึ่งอยู่บริเวณมุมด้านล่างขวาของหน้าแรกบนเว็บไซต์ Google.com หรือ Google.co.th ได้อีกด้วย


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

ข้อเท็จจริง โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 น่ากังวลจริงหรือ? COFACT Special Report #29

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเราจะพบข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มากขึ้น ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยกำลังเริ่มแพร่ระบาดมากในยุโรป และสหรัฐฯ และผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน รวมทั้งมีข้อมูลระบุว่าสองสายพันธุ์ย่อยนี้สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกกลับมาวิตกกังวลอีกครั้งว่าจะเกิดการแพร่ระบาดหนักอีกหรือไม่

English Summary

Two new fast-spreading subvariants of Omicron (BA.4 and BA.5) are causing new surges of Covid cases across the world, especially Europe and the US. These two subvariants were first identified in South Africa and may soon be the next dominant variants across the globe. According to the World Health Organization and infected disease experts agree that these two variants can spread faster and can escape the immunity from previous infection or vaccination. However, many studies suggest that the current vaccines we have still prevent people from hospitalization and deaths. In this article, we answer some of the questions people may concern about these new subvariants, and why we are in the better situation now compared to the last two years.

จากข้อมูลของบทความทางวิทยาศาสตร์หลายบทความระบุว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีลักษณะทางโครงสร้างที่คล้ายกับโอมิครอนก่อนหน้า แต่จะมีบางส่วนที่แตกต่าง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยมีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือจากการติดเชื้อก่อนหน้า ดังนั้นโอกาสที่ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนอาจจะติดเชื้อสองสายพันธุ์ย่อยนี้

BA.4 และ BA.5 กำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในยุโรปและสหรัฐฯ

สำนักข่าว CNN รายงานว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 กำลังเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเพิ่มขึ้นในยุโรป และสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับสหรัฐฯ ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คิดเป็น 35% ของผู้ติดเชื้อโควิดทั้งหมดในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และในไทยเองก็พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว จากการสุ่มตรวจของกรมควบคุมโรคพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่ก็มีชาวไทยจำนวนหนึ่งที่ได้รับเชื้อนี้แล้ว 

BA.4 และ BA.5 อันตรายแค่ไหน? ลงปอดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าจริงหรือ?

ผลการศึกษาเบื้องต้นที่ตีพิมพ์บน New England Medical Journal of Medicine และผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ระบุตรงกันว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีคุณสมบัติในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้ามาก ทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือแม้จะเคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ ส่วนผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการที่กรุงโตเกียวทดลองการแพร่กระจายเชื้อของโควิดสองสายพันธุ์ย่อยกับสัตว์ พบว่าเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ดีในปอด แต่นั่นเป็นผลการศึกษาที่ทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลจากการแพร่เชื้อในคนจริงว่าความรุนแรงของเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ถึงแม้จะมีรายงานในยุโรปหลายประเทศว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อโควิดมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นเพราะความรุนแรงจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นอายุของผู้ติดเชื้อ โรคประจำตัว และจำนวนวัคซีนที่ฉีด ดังนั้นเราจึงยังสรุปในเวลานี้ไม่ได้ว่า BA.4 และ BA.5 จะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดหนักจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผลการศึกษาใน New England Medical Journal of Medicine ยังย้ำว่า การฉีดวัคซีน และการฉีดเข็มกระตุ้นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังคงช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ได้อยู่ 

แอฟริกาใต้พบผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจาก BA.4 และ BA.5 ไม่มากอย่างที่คิด

เว็บไซต์วารสารทางการแพทย์ Nature รายงานโดยอ้างอิงจากกรมควบคุมโรคของแอฟริกาใต้ ระบุว่า ทวีปแอฟริกาเป็นพื้นที่แรกๆ ของโลกที่พบการแพร่ระบาดของโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 พบว่ายอดผู้เสียชีวิตจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ยังน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม และอาการของโรคก็ยังน้อยกว่า และคาดว่าแอฟริกาใต้ได้ผ่านพ้นการระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โปรตุเกสยอดผู้ป่วยหนักจาก BA.4 และ BA.5 สูง เพราะมีผู้สูงอายุเยอะกว่า

แต่หากดูจากประเทศอื่นอย่างโปรตุเกส ที่ตอนนี้กำลังเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ พบว่ายอดผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนมากขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่โอมิครอนระบาดในช่วงแรกๆ ผู้เชี่ยวชาญผู้ให้ข้อมูลกับวารสาร Nature ระบุว่า สาเหตุหลักที่อาจจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่โปรตุเกสมีมากขึ้น เนื่องจากโปรตุเกสเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าแอฟริกาใต้ และผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวต่างๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อและป่วยหนักจากสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ในโปรตุเกสมากกว่าในหลายๆ ประเทศ 

ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่า เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าแต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้มากน้อยเท่าไร เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พอจะสรุปได้ก็คือ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดระลอกใหม่คือการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะการฉีดเข็มกระตุ้น รวมทั้งจำนวนของประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่นกลุ่ม 608 และกลุ่มที่มีโรคประจำตัวนั้นมีมากน้อยเพียงใด ระบบสาธารณสุขรองรับประชาชนกลุ่มนี้ได้หรือไม่

วัคซีนยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะป้องกันความรุนแรงจาก BA.4 และ BA.5

ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ และอังกฤษระบุตรงกันว่า วัคซีนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังสามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้อยู่ ถึงแม้จะยังไม่มีผลการศึกษาว่าระดับของภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและการป่วยหนัก/เสียชีวิตในระดับใด แต่ภูมิคุ้มกันที่ได้อยู่ในระดับเพียงพอที่จะช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม และการฉีดเข็มกระตุ้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ณ​ เวลานี้ในการต่อสู้กับโควิดไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำอยู่เสมอว่า วัคซีนไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าผู้ที่รับการฉีดจะไม่มีโอกาสติดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนก็มีโอกาสติดเชื้อซ้ำอีก ทั้งสองกลุ่มนี้ยังควรต้องรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในการลดการป่วยหนักและเสียชีวิต 

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับโอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยโดยเฉพาะ

โมเดอร์นา ผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยได้ดี ผลการทดสอบในขั้นสุดท้ายพบว่าวัคซีนตัวนี้ยังมีคุณสมบัติป้องกันการติดเชื้อ และอาการป่วยหนัก/เสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้ แต่อาจจะน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ตัววัคซีนยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ และลดอาการป่วยหนัก/เสียชีวิต จากโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้าได้ด้วย วิธีการฉีดจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 โดส โดสละ 50 ไมโครกรัม ขณะนี้โมเดอร์นากำลังอยู่ระหว่างส่งข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติ และคาดว่าจะได้ใช้งานจริงภายในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคมปี 2022 

โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์ต่อไปไม่หยุด เราต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดมองว่า โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์และแพร่ระบาดอีกสักระยะ ไม่มีทางที่เราจะยุติการแพร่ระบาดได้ทันที เราจะยังคงต้องอยู่กับมันต่อไปอีกนาน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ป่วยจากเชื้อโควิด-19 ก็คือการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับการหวาดระแวงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมากจนเกินไป ควรปรับการใช้ชีวิตให้สมดุลกับการแพร่ระบาดของโรค เพราะเป็นเรื่องยากที่เราจะป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อโรคได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นักวิจัยผู้เขียนบทความใน New England Medical Journal of Medicine ย้ำด้วยว่า ณ เวลานี้ เราโชคดีที่เรามีเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างวัคซีน และความเข้าใจในเรื่องการรักษาโรคมากขึ้น ต่างจากช่วงที่เกิดการระบาดใหม่ๆ เมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นอยากให้ประชาชนสบายใจว่าเราคงจะไม่เห็นภาพการป่วยหนักและเสียชีวิตเหมือนกับที่เราเคยเห็นเมื่อช่วงระบาดใหม่ๆ เมื่อปีสองปีก่อนอีก


ที่มา: 

https://www.bbc.com/news/health-55659820

https://edition.cnn.com/2022/06/22/health/ba4-ba5-escape-antibodies-covid-vaccine/index.html

https://www.nature.com/articles/d41586-022-01730-y

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/omicron-sub-variants-ba4-ba5-account-21-covid-variants-us-cdc-2022-06-14/

https://www.nytimes.com/2022/06/08/science/omicron-ba4-ba5-variant.html

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/early-omicron-infection-unlikely-protect-against-current-variants-2022-06-17/

https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2206576


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mind Up เสริมสร้างสมาธิ พัฒนาความจำ เสริมสร้างพัฒนาการของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

ไม่จริง

เพราะ…อย. ได้ระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวทางเว็บไซต์ และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rszwt0m6xr2j


จริงหรือไม่…? เตียงนอนบำบัดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพาต และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้โลหิตสะอาด

ไม่จริง

เพราะ…เป็นผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริงหลอกลวงผู้บริโภค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gbcafg6n03tf


จริงหรือไม่…?  Nouveau Riche Beta plus ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง เนื้องอก ซีสต์ ไวรัส ลดขนาดก้อนเนื้อได้

ไม่จริง

เพราะ…ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่มีการยื่นข้อมูลประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/z2dcx4yclmh2


จริงหรือไม่…? เตามหาเศรษฐี ช่วยประหยัดเงินได้

ไม่จริง

เพราะ…จากการวิเคราะห์หรือคำนวณพบว่า ในสถานการณ์ราคาค่าแก๊สในปัจจุบัน เตามหาเศรษฐีไม่ได้ช่วยประหยัดเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11h6l5zikyqv9


จริงหรือไม่…?  ข้าวสารบรรจุถุง เตรียมขึ้นราคา ก.ค. นี้

จริง

เพราะ…สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ผู้ประกอบการ เตรียมจะปรับขึ้นราคา ข้าวถุง เนื่องจากสต็อกข้าวสารเก่าหมดแล้ว ขณะที่ข้าวสารล็อตใหม่ มีราคาแพงขึ้นมาก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33vrlbk5s19j8


จริงหรือไม่…?  #สิงคโปร์ ยืนยัน พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกแล้ว นับเป็นรายแรกของอาเซียน

จริง

เพราะ…กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ยืนยัน พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของประเทศแล้ว เป็นรายแรกในย่านอาเซียน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ger4mmv3efu3


จริงหรือไม่…?  สำนักจุฬาราชมนตรีห้าม กัญชง กัญชา เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตทางศาสนาอิสลาม

จริง

เพราะ…ถือเป็นฮารอม (สิ่งต้องห้าม) ฐานเดียวกับการดื่มสุรา แต่การใช้กัญชง กัญชา เพื่อการรักษา เป็นข้อยกเว้นสำหรับการนำมาใช้ในทางการแพทย์การรักษาหากมีความจำเป็น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35rren885knxo


จริงหรือไม่…?  กลโกงของมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนภัยเพจปลอมหลอกลงทุน

จริง

เพราะ…ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะ ไม่ลงทุนตามคำชักชวน ไม่หลงเชื่อการอ้างผลตอบแทนที่สูงเกินจริง ไม่รีบร้อน ต้องตรวจสอบก่อน และไม่โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/37cxg43rfhc44


จริงหรือไม่…?  ภัยออนไลน์ใหม่ คนร้ายใช้ “QR Code” ดูดเงิน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…สแกน QR Code เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถโอนไปให้กับคนร้ายได้ ยกเว้นแต่ QR Code ดังกล่าวนำไปสู่การกดดาวน์โหลดโปรแกรม กรอกข้อมูล หรือทำธุรกรรมใดๆ แนะ ตรวจสอบความถูกต้องในการทำรายการก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7v1je9951bdm


อยู่กับโควิดแบบไม่ใส่แมสก์อย่างไรให้ปลอดภัย และเช็คมาตรการผ่อนคลายโควิดใหม่ COFACT Special Report #28

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติเห็นชอบให้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สาระสำคัญคือการอนุญาตให้ประชาชนไม่ต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยในพื้นที่โล่งแจ้ง รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง เช่นการไม่ต้องวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้พื้นที่ต่างๆ และการไม่ต้องตรวจ ATK หากไม่มีอาการหรือไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้มีเพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวกับความรุนแรงของโรคที่ลดลง และกลับมาใช้ชีวิตปกติให้ได้มากที่สุด

English Summary

The Centre for COVID-19 Situation Administration (CCSA) on June 17 agreed to lift the outdoor mask mandate, along with extending the closing hours of nightclubs and bars to 2 am. These measures come as the daily new COVID-19 cases are lower than the past few months and more people are getting their vaccine boosters. However, some Thais have skepticisms about the lifting of mask mandate and the loosening measures could bring the outbreak back. In this article, we explain what new measures could mean to you and the science behind them.

อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้อาจจะทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เนื่องจากมาตรการหลายอย่างเราใช้กันมาจนเคยชิน และบางคนอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าหากเราผ่อนคลายการปฏิบัติตัวแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่

Q: ทำไมเวลาอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งจึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย?

A: ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นระบุตรงกันว่า พื้นที่โล่งแจ้งที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด-19 ต่ำ ดังนั้นการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การวิ่งในสวนสาธารณะ หรือการเดินบนทางเท้าจึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย หากมีการเว้นระยะห่างที่เหมาะสม

Q: ถ้าฉันอยากสวมหน้ากากอนามัยต่อไปจะได้ไหม?

A: หากเรารู้สึกว่าการสวมหน้ากากอนามัยช่วยให้รู้สึกอุ่นใจก็สามารถสวมใส่ต่อได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายข้อใดระบุว่าประชาชนจะต้องถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้ง การสวมหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งมีข้อดีตรงที่สามารถกรองฝุ่นละออง และเชื้อโรคในอากาศได้ดี

Q: พื้นที่ไหนและกิจกรรมใดบ้างที่ ”ไม่ต้อง” สวมหน้ากากอนามัย?

A: ตามประกาศของ ศบค. ระบุว่า ประชาชนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่โล่งแจ้ง หมายถึง พื้นที่ที่อยู่ภายนอกอาคาร หรือพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ใช่พื้นที่ปิด หรือพื้นที่ที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ส่วนกิจกรรมที่มีความจำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัย เช่น การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การแสดงศิลปะด้วยใบหน้า การถ่ายทำรายการโทรทัศน์, ภาพยนตร์ ประชาชนก็สามารถถอดหน้ากากอนามัยทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ แต่เมื่อเสร็จกิจกรรมแล้วควรสวมหน้ากากอนามัยตามเดิม

Q: พื้นที่ไหนและกิจกรรมแบบใดที่ควรต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่?

A: ศบค. ระบุว่า ประชาชนควรใส่หน้ากากอนามัยตามปกติเมื่อต้องเข้าใช้พื้นที่อาคารต่างๆ หรือสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น ขนส่งสาธารณะ งานแสดงคอนเสริตหรืองานที่จัดในห้องประชุมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ตลาดนัด ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และอาคารที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

Q: ทำไมจึงยกเลิกการวัดอุณหภูมิตามสถานที่ต่างๆ?

A: ปัจจุบันเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น โอมิครอน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักมีอาการไม่มาก หลายคนไม่มีไข้ การคัดกรองด้วยการวัดอุณหภูมิจึงไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 จริง ซึ่งสถานประกอบการสามารถคัดกรองผู้เข้าใช้บริการด้วยวิธีอื่น เช่น การขอตรวจเอกสารการฉีดวัคซีน หรือการตรวจ ATK ได้อยู่หากจำเป็น

Q: ทำไมจึงมีการยกเลิกการตรวจ ATK เป็นประจำ?

A: ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง บวกกับยอดผู้ติดเชื้อที่ลดลง ดังนั้น การตรวจ ATK สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการ หรือไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจึงไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญยังคงแนะนำให้ประชาชนรักษาสุขอนามัย และหมั่นสังเกตอาการของตนเองเป็นประจำ หากรู้ตัวว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็ควรจะตรวจ ATK ด้วยตนเองและแยกตัวจากผู้อื่น

Q: มีการผ่อนคลายมาตรการถึงขนาดนี้แล้ว วัคซีนยังจำเป็นอยู่หรือไม่?

A: วัคซีนยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ชีวิตประจำวันของเราล้วนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในระยะหลังๆ ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างโอมิครอนมีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ประชาชนควรได้รับการฉีดวัคซีน ถึงแม้วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่ก็สามารถลดอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อได้มาก หากประชาชนส่วนมากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าระบบสาธารณสุขจะรองรับผู้ป่วยหนักไม่ไหว เพราะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วหากติดเชื้อก็สามารถรักษาตัวเองได้ที่บ้าน 

Q: ฉันควรต้องไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอีกหรือไม่?

A: ผลการศึกษาจากหลายประเทศระบุตรงกันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงตามเวลา กระทรวงสาธารณสุขของไทยแนะนำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 3 เดือนขึ้นไปให้ไปรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) และ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอีกเข็ม (เข็มที่ 4) หลังจากฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้ว 4 เดือนขึ้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนเชื้อตาย (ซิโนแวค หรือ ซิโนฟาร์ม) ให้ฉีดเข็มกระตุ้นเป็นแอสตราเซเนกา หรือวัคซีน mRNA (ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา) ส่วนวัคซีนเข็มที่ 4 ควรเป็นวัคซีนประเภท mRNA หรือถ้าไม่สะดวกที่จะรับวัคซีนชนิดนี้ก็สามารถเลือกเป็นแอสตราเซเนกาก็ได้ (เฉพาะในกรณีที่เข็ม 3 เป็นแอสตราเซเนกามาก่อน) การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายมากขึ้น 

สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังระยะเวลาติดเชื้อ 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจากเชื้อที่ได้จากธรรมชาติถึงแม้จะให้ภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ภูมิคุ้มกันดังกล่าวก็จะลดลงตามธรรมชาติเช่นกัน การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้น


ที่มา:

https://thaigov.go.th/news/contents/details/55826?fbclid=IwAR2CPBUZZRep-mxQm9RhvUAVnSI7NIgzPzOzo-U3CMdszP-UTvdbfyuBduE

https://www.bbc.com/thai/thailand-61064816

https://www.prachachat.net/general/news-907753

https://www.springnews.co.th/news/825839


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


เคล็ดลับการตรวจสอบตัวตนผู้ใช้งานบนสื่อโซเชียล COFACT Special Report#27

ปัจจุบันข่าวลวงจำนวนมาถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ หรือ สื่อโซเชียล (Social Media) โดยผู้ใช้งานที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการ หรือผู้ที่มีนัยแอบแฝง ชื่อผู้ใช้งาน (User Name) บางคนเป็นชื่อที่อาจจะไม่ได้สร้างขึ้นจากผู้ใช้งานจริง แต่เป็นการสร้างอวตารขึ้นมาเพื่อใช้ในการปล่อยข้อมูลลวง หรือใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยเฉพาะ

English Summary 

Often we see misinformation coming from unverified social media accounts. This article will guide readers step-by-step on verifying who is behind the social media account they see. Basic tools such as reverse image searches and search engines are free tools readers can use to get to the primary sources, then verify whether the account they see is a real person or not.

การอ่านเนื้อหาของผู้โพสเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่เราจะทราบได้ว่าผู้โพสเป็นบุคคลจริง นำเสนอเนื้อหาจริงหรือไม่ เราอาจจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะเชื่อเนื้อหาเหล่านั้น 

หากเป็นบุคคลสาธารณะ หรือสื่อมวลชน ควรเป็นชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้ว

โดยปกติ บุคคลสาธารณะ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ สามารถขอรับการยืนยันชื่อบัญชีของตนเองได้ เราจะสังเกตเครื่องหมายถูก หรือเครื่องหมายวงกลมท้ายชื่อ นั่นหมายถึงชื่อบัญชีนั้นได้รับการยืนยันตัวตนแล้วว่าเป็นบุคคล หรือองค์กรนั้นจริง ดังนั้นก่อนจะแชร์ข้อมูลใดๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้อมูลข่าว ควรแชร์จากชื่อบัญชีของสำนักข่าวที่ได้รับการยืนยันแล้ว หรือถ้าเป็นบุคคลสำคัญๆ เช่นนักการเมือง ก็ควรมาจากชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน

ความสมเหตุสมผลของเนื้อหา กับตัวเจ้าของบัญชี

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบัญชีที่จะได้รับเครื่องหมายยืนยันจากแพลตฟอร์ม หากเราต้องการตรวจสอบชื่อบัญชีที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เราสามารถดูได้หลายวิธี วิธีแรกก็คือการดูเนื้อหาย้อนหลังของเจ้าของบัญชีที่โพสลงบนแพลตฟอร์มนั้นว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานที่เขาทำอยู่หรือใหม่ เช่น เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ก็ควรโพสด้วยเจ้าของบัญชีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือถ้าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ควรโพสด้วยบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ทั้งนี้เราก็ควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข้อมูลด้วยว่าสิ่งที่เขาโพสเป็นข้อเท็จจริง หรือความเห็น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นเพิ่มเติมจากการค้นหาบนเซิร์จเอนจิ้น เช่น Google 

ชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันโดย Facebook

ชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันโดย Twitter

ระยะเวลาที่เจ้าของบัญชีเปิดใช้งาน

สิ่งที่จะช่วยระบุได้ว่าชื่อบัญชีที่เราเห็นมีเจ้าของจริง หรือเป็นชื่อบัญชีปลอม เราสามารถดูได้จากระยะเวลาที่ชื่อบัญชีนี้เปิดใช้งาน หากเป็นชื่อบัญชีที่เปิดใช้งานมาไม่นาน โพสข้อความเพียงไม่กี่ข้อความ และเมื่อเราตรวจสอบเนื้อหาแล้วเป็นข่าวลวง เราควรตั้งข้อสงสัยว่าชื่อบัญชีนี้อาจเข้าข่ายชื่อบัญชีปลอม หลายครั้งเราจะพบว่าชื่อบัญชีเหล่านี้มักแอบอ้างว่าเป็นสำนักข่าว หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง โพสข้อความเพียงไม่กี่ครั้ง ต่อมาโพสเนื้อหาที่เป็นกระแส (ไวรัล) แล้วก็ลบชื่อบัญชีนั้นไป ดังนั้นหากเราพบสัญญาณเหล่านี้ เราควรไม่หลงเชื่อ และไม่แชร์ตั้งแต่แรก

ตรวจสอบภาพโปรไฟล์ด้วยการค้นหาภาพย้อนกลับ

อีกวิธีการตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้บัญชีโซเชียลก็คือการใช้เทคนิคตรวจสอบภาพย้อนกลับ (Reverse Image Search) ตรวจสอบภาพโปรไฟล์ของเจ้าของบัญชี หลายครั้งเรามักจะเห็นการสวมรอยนำภาพของบุคคลอื่นมาใช้สร้างบัญชีโซเชียลใหม่ เราสามารถใช้เทคนิคนี้ตรวจสอบบน Google Images หรือ Yandex เพื่อให้ทราบว่าภาพบุคคลดังกล่าวในโปรไฟล์เป็นใครกันแน่ เป็นบุคคลชื่อเดียวกันกับบัญชีโซเชียลนั้นหรือไม่ เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าใบหน้าดังกล่าวเป็นบุคคลใด เราก็เอาชื่อของบุคคลนั้นไปค้นหาบนเซิร์จเอนจิ้น เช่น Google อีกครั้งเพื่อดูว่าบัญชีโซเชียลหลักที่เขาใช้มีอะไรบ้าง ตรงกับหน้าโปรไฟล์ที่เราเปิดอ่านแต่แรกหรือไม่

เจ้าของบัญชีมีบัญชีโซเชียลอื่นๆ อีกหรือไม่

โดยปกติแล้ว บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือสำนักข่าวชั้นนำ มักจะมีชื่อบัญชีโซเชียลมากกว่า 1 บัญชี ดังนั้นการตรวจสอบชื่อบัญชีที่หลากหลายจะช่วยให้เราระบุตัวตนของผู้ใช้งานคนดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น วิธีการค้นหาเพียงเข้าไปในเซิร์จเอนจิ้น พิมพ์ชื่อของบุคคลดังกล่าว แล้วต่อด้วยคำว่า Facebook, Twitter, Instagram, หรือ TikTok แล้วดูว่ารูปภาพใบหน้าหรือเนื้อหามีความสอดคล้องกันในแต่ละแพลตฟอร์มหรือไม่ เรายังสามารถใช้วิธีที่ระบุก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบว่าแต่ละแพลตฟอร์มเปิดใช้งานมานานแค่ไหน ค้นหาภาพโปรไฟล์ย้อนกลับ หรือแม้แต่การตรวจสอบยอดผู้ติดตามของแต่ละแพลตฟอร์มว่ามีมากน้อยแค่ไหน หากเป็นบุคคลสาธารณะ หรือหน่วยงานที่มีชื่อเสียง ชื่อบัญชีโซเชียลควรจะต้องมียอดผู้ติดตามจำนวนมาก หากเป็นบัญชีที่เปิดใช้งานมาไม่นาน ไม่มีการโพสเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำ หรือยอดผู้ติดตามไม่มาก เราอาจจะสันนิษฐานคร่าวๆ ว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีปลอม และหลีกเลี่ยงที่จะแชร์เนื้อหาจากบัญชีนั้นไปให้กับผู้อื่น หรือบนบัญชีโซเชียลของเราเอง

สิ่งสำคัญเมื่อเราเห็นเนื้อหาใดๆ ก็ตามที่แชร์จากบัญชีโซเชียล หากเราสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นเนื้อหาจริงหรือไม่ เราควรตรวจสอบจากแหล่งที่มาอื่นๆ ให้แน่ใจก่อนเสมอ เช่น การค้นหาเนื้อหาที่คล้ายกันในแพลตฟอร์ม หรือเว็บไซต์อื่นๆ การตรวจสอบภาพย้อนกลับไปยังที่มาของภาพต้นฉบับ หรือแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ การค้นหาข้อมูลแบบนี้ทำได้ง่ายๆ ผ่านเซิร์จเอนจิ้นอย่าง Google, Bing, และ Yandex เป็นต้น


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? เหล้าขาวผสมมะนาว ฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มีรายงานทางงานวิจัยยืนยันว่า เหล้าขาวผสมมะนาว สามารถฆ่าเชื้อโควิดได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/33m44u0oz22e8


จริงหรือไม่…? ดื่มน้ำอุ่นแช่มะนาว ช่วยรักษามะเร็ง

ไม่จริง

เพราะ…การดื่มน้ำอุ่นแช่มะนาวฝานไม่ได้มีคุณสมบัติในการที่จะไปยังยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20zlufwhz2uz6


จริงหรือไม่…? ไข่ต้ม ไข่พะโล้ปลอมระบาดในไทย เมื่อรับประทานแล้วเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

ไม่จริง

เพราะ…#กรมปศุสัตว์ ยืนยัน ประเทศไทยไม่มีไข่ไก่ปลอม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eqai889721uz


จริงหรือไม่…?  ศบค.ปลดล็อกบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็นโรงแรมขายแอลกอฮอล์ได้ เริ่ม 1 ก.ค.นี้

จริง

เพราะ…เฉพาะในพื้นที่โรงแรมทั่วประเทศ ในช่วงเวลาบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/115hfj0at3ytk


จริงหรือไม่…?  ขาดส่งบ่อย อาจขาดสิทธิผู้ประกันตน “ประกันสังคม”

จริง

เพราะ…  สำนักงาน “ประกันสังคม” แนะผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถหักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคาร เพื่อป้องกันขาดส่งบ่อยๆ อาจขาดสิทธิผู้ประกันตน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1chz75oqqqebw


จริงหรือไม่…?  เบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย +697 เป็นเบอร์ที่โทรจากต่างประเทศและเป็นมิจฉาชีพ

จริง

เพราะ…#กสทช. ออกมาตรการให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย ใส่เครื่องหมาย + นำหน้าเบอร์ที่โทรมาจากต่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนสังเกตและระมัดระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tewwu5617hq3


จริงหรือไม่…?  ศบค. ปลดล็อก 77 จังหวัดเป็น “พื้นที่สีเขียว” ให้ถอดหน้ากากในที่โล่งแจ้ง

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…#ศบค มีมติให้ถอดหน้ากากได้ในที่โล่งแจ้ง ตามความสมัครใจของประชาชน และยังไม่กำหนดวันเริ่มใช้มาตรการนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sxiwo2ucxmbl


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2565

จริงหรือไม่…? ผู้ประกันตน ม.33,39,40 รับเงินเยียวยา เข้าบัญชีสิ้นเดือนพ.ค. 65 คนละ 5,000 บาท

ไม่จริง

เพราะ…สำนักงานประกันสังคมไม่มีนโยบายแจกเงินเยียวยาดังกล่าวแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2g5uw4pfusrn5


จริงหรือไม่…? เติมน้ำมันตอนเช้าจะได้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าเติมตอนบ่าย

ไม่จริง

เพราะ…น้ำมันที่เติมจากสถานีบริการน้ำมันนั้นอยู่ในระบบปิด เติมเวลาใดก็ตามปริมาณน้ำมันก็จะถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนลิตรที่เติมไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dmbc415p703r


จริงหรือไม่…? ปวดเข่า ไม่ต้องผ่า ใช้วิธีปั่นเลือดฉีดหัวเข่าได้

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ข่าวชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ทั้งหมดทั้งปวง ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ซึ่งยังสามารถรายงานออกมาได้ว่าได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1h5i48q20xsc7


จริงหรือไม่…? กรุงไทยให้ยืม 30,000 บาท” สมัครง่าย รับเงินผ่านตู้ ATM

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารกรุงไทยไม่มีการให้บริการสินเชื่อฉุกเฉินผ่านบัตร ATM สำหรับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์แต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xdykh3k7468n


จริงหรือไม่…?  ขายสับปะรดสีชมพูในไทยผิดกฎหมาย

จริง

เพราะ…เป็นพืชตัดต่อพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ (GMO) ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย พรบ.กักพืช พ.ศ. 2507

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3cstixtw7ozoo


จริงหรือไม่…?  อย่าสนับสนุน จับ “หมาน้ำ” ย้อมสีผิดธรรมชาติ เสี่ยงตายเร็ว

จริง

เพราะ…”อาโซลอต” (axolotl) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในตระกูลซาลาแมนเดอร์ การย้อมสีไม่ใช่การปรับปรุงสายพันธุ์เป็นการใช้สารเคมี สัตว์จะเจ็บแล้วตายเพื่อให้สีถูกใจคน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e6y1400cb7kw


จริงหรือไม่…?  เตือนนักช็อปออนไลน์หลอกสแกนคิวอาร์โค้ดดูดเงิน

จริง

เพราะ…คนร้ายได้พัฒนาวิธีการหลอกลวง ให้เหยื่อสแกนคิวอาร์โค้ด ที่มีการตั้งค่าเป็นการชำระเงินเอาไว้ หากผู้เสียหายไม่มองที่แถบเมนูด้านบน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/kzt8rf0m8pax


จริงหรือไม่…?  กฎหมายปลดล็อกกัญชา ออกจากยาเสพติด เริ่มวันที่ 9 มิถุนายน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…กัญชาและกัญชงจะถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2563 ฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/issi056vcrky


เงินกู้ออนไลน์’ความหวังยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ตรวจสอบอย่างไรไม่เป็นเหยื่อ‘มิจฉาชีพ’

โดย Windwalk_Jupiter


เกือบกลายเป็น “เหตุสลดรับเปิดเทอม” เสียแล้ว เมื่อตำรวจ สภ.ปากเกร็ด รับแจ้งเหตุหญิงสาวพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากสะพานลอย บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ เมเจอร์ฮอลลีวูด ปากเกร็ด ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เหตุเกิดเวลาสี่ทุ่มเศษโดยประมาณของคืนวันที่ 12 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่โชคยังดี เมื่อตำรวจพร้อมด้วยอาสากู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนหญิงสาวรายนี้ใจเย็นลงและลงมาจากสะพานลอยในที่สุด



สำหรับแรงจูงใจในความพยายามฆ่าตัวตายครั้งนี้ เจ้าตัวเล่าว่า ไปติดต่อกู้เงินจากบริษัทแห่งหนึ่งที่หามาจากทางอินเตอร์เน็ตจำนวน 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) โดยทางบริษัทแจ้งว่าจะต้องโอนเงินจำนวน 8,000 บาทเพื่อเป็นค่ามัดจำในการทำเรื่องตนจึงตัดสินใจขับขี่รถ จยย.มาจากคลองเตย โดยมากับแฟนคนละคันเพื่อนำรถ จยย.ที่ตนขับมานั้นมาจำนำกับชายคนหนึ่งที่รับจำนำรถ โดยนัดกันที่ห้างแห่งหนึ่งบนถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีการตกลงรับจำนำกันที่ 15,000 บาทมีการหักค่าใช้จ่ายดำเนินการไปประมาณ 3,000 เศษ ตนได้เงินสดกลับมา 11,200 บาท


หลังจากนั้นตนจึงนำเงิน 8,000 บาทโอนไปยังบริษัทที่นัดทำเรื่องกู้ไว้โดยบัญชีดังกล่าวเป็นชื่อบุคคล ไม่ใช่นามบริษัท หลังจากนั้นทางบริษัทได้ส่งแบบฟอร์มมาให้ตนกรอกแต่ตนกรอกหมายเลข 0 ของบัตรประชาชนเกินไป 1 ตัวระบบเลยล็อก ทางบริษัทแจ้งกลับมาว่าไม่สามารถดำเนินการต่อได้จะต้องโอนเงินอีกจำนวน 15,000 บาทเพื่อไปปลดล็อกระบบ AI ถึงจะสามารถทำเรื่องกู้ต่อได้ ซึ่งตนไม่มีเงินแล้วจึงหมดหนทาง


อีกทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะกับแฟนอีกทำให้แฟนปล่อยตนทิ้งไว้ตรงนี้ก่อนที่จะขับรถออกไป ทำให้ตนเครียดหาทางออกไม่ได้จึงจะกระโดดสะพานลอย ทั้งนี้ สาเหตุที่จำเป็นต้องตัดสินใจกู้เงิน เพราะวันหนึ่งจะนำเงินมาลงทุนค้าขาย พร้อมกับจะไปนำรถ จยย.ที่ไปจำนำไว้ออกมา อีกส่วนจะไปซื้อชุดนักเรียนให้น้องที่กำลังจะเปิดเทอม โดยเบื้องต้นตำรวจได้พาหญิงสาวรายได้ ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ปากเกร็ด ไว้ก่อน


ด้านหนึ่งแม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงได้โดยไม่เกิดเหตุสลดขึ้น แต่สิ่งที่หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องควรติดตามสืบสวนกันต่อไปคือ “บริษัทปล่อยเงินกู้ที่ผู้ (เกือบ) ฆ่าตัวตาย อ้างว่าได้ข้อมูลมาจากอินเตอร์แน็ตและพยายายามจะไปกู้เงิน เป็นบริษัทปล่อยเงินกู้จริงหรือไม่? หรือเป็นมิจฉาชีพกันแน่?” เนื่องจากก่อนหน้านี้ เคยมีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้น ถึงขนาดที่มีการเตือนกันมาแล้วไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อ



ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2565 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ กรณีที่ปรากฎในสื่อออนไลน์ กรณีที่หญิงสาวรายหนึ่ง ผูกคอตายหลังถูกมิจจฉาชีพหลอกให้โอนเงินจนหมดตัวเนื่องจากต้องการกู้เงินผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ จำนวนเงิน 100,000 บาท โดยแม่ผู้ตายเล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการหลอกให้โอนเงิน เพื่อทดสอบว่าผู้ยืมจะสามารถโอนเงินคืนได้ตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งทางผู้ตายก็ได้มีการโอนเงินไปทั้งหมด 10 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ยอดรวม 38,200 บาท


จึงฝากเตือนประชาชนว่า 1.หากมีความจำเป็นต้องกู้เงิน แนะนำให้กู้ผ่านธนาคาร แอปพลิเคชันที่เป็นทางการของธนาคาร หรือช่องทางที่หน้าเชื่อถือเท่านั้น พร้อมทั้งตรวจสอบเสมอหากกู้ผ่านแอปพลิเคชั่น เพราะมิจฉาชีพมักสร้างแอปพลิเคชั่นปลอมที่มีชื่อคล้ายกับธนาคารมาหลอกลวง 2.หากผิดพลาดไปแล้วให้รีบเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งขอคำปรึกษาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 3.ควรหาข้อมูล อ่านคำอธิบายรายละเอียดของแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชั่นดังกล่าวให้ถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด



4.ควรตรวจสอบข้อมูลของนักพัฒนาแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชั่นดังกล่าว รวมถึงรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้ง ว่าเคยมีประวัติหรือมีการรีวิวในด้านที่ไม่ดีหรือไม่ 5.ควรดูจำนวนผู้ดาวน์โหลด หรือใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชันดังกล่าวว่ามีผู้ใช้งานมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการตัดสินใจ และ 6.ไม่ควรหลงเชื่อการชักชวนในรูปแบบ ลงทุนน้อยได้กำไรมาก หรืออะไรที่ทำง่ายแต่ได้รับผลตอบแทนสูง นอกจากนี้ หากพบเห็นเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ในวันที่ 19 ก.พ. 2565 เว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เผยแพร่บทความ “ตร.เตือนภัยประชาชน 14 ข้อกลโกงมิจฉาชีพ มักใช้ในการหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์” โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึง “เงินกู้ออนไลน์ ที่ไม่มีจริง (เงินกู้ทิพย์)” พฤติการณ์ของมิจฉาชีพประเภทนี้ จะหลอกผู้เสียหายว่าก่อนได้รับเงินกู้ จะต้องเสียค่าบริการ ค่ามัดจำ หรือค่าดำเนินการต่างๆ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินให้เรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้รับเงินกู้จริงตามที่กล่าวอ้าง


บทความ “กู้ออนไลน์…ต้องรู้ทันโจร” ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แบ่งประเภทแอปพลิเคชั่นที่มีการโฆษณาบนโลกออนไลน์ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.เงินกู้ในระบบ มีลักษณะให้เงินกู้เต็มจำนวน และอัตราดอกเบี้ยไม่เกินที่ทางการกำหนด 2.เงินกู้นอกระบบ มักให้เงินกู้ไม่เต็มจำนวน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน แต่เมื่อคืนเงินกู้ต้องจ่ายเต็มจำนวนบวกกับดอกเบี้ยหรือค่าปรับที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด หากจ่ายช้าจะถูกข่มขู่ หรือไปทวงกับบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในโทรศัพท์ของผู้กู้ ทำให้อับอาย เพราะผู้ให้กู้นอกระบบบางรายจะให้ผู้กู้ดาวน์โหลดแอปซึ่งให้คลิกอนุญาตเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ


และ 3.มิจฉาชีพ เป็นแอปฯ ที่ไม่ได้ให้บริการเงินกู้จริงๆ โดยมีข้อสังเกตคือ จะใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น โฆษณาบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ส่ง SMS หรือแม้แต่โทรหาโดยตรง หากผู้ที่ได้รับการติดต่อสนใจ มิจฉาชีพก็จะส่ง SMS มาให้คลิกลิงก์เพื่อดาวน์โหลดแอป หรือให้แอดไลน์คุยกัน จากนั้นจะสอบถามข้อมูลส่วนตัว ให้ทำสัญญาเงินกู้ และขอเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีเงินฝาก คล้ายกับการขอกู้ที่ธนาคาร ทำให้เหยื่อเริ่มเชื่อใจ จากนั้นจะโน้มน้าวให้โอนเงินเป็นค่าค้ำประกัน โดยบอกว่าจะคืนให้พร้อมกับเงินกู้ หากหลงกลก็จะหลอกล่อให้โอนเพิ่มอีกเรื่อย ๆ เช่น อ้างว่าโอนเงินไม่ได้เพราะเหยื่อกรอกเลขที่บัญชีผิด มีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขเอกสารเพื่อปลดล็อก หรือต้องจ่ายค่าลัดคิวจึงจะได้เงินเร็วขึ้น หากเหยื่อเริ่มรู้ทันก็จะถูกบล็อก ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้อีก


บทความดังกล่าวยังได้แนะนำว่า 1.ตรวจสอบรายชื่อแอปฯ และชื่อผู้ให้บริการ นำข้อมูลชื่อแอปฯ และชื่อผู้ให้บริการไปเทียบกับรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต โดยสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “เช็กแอปเงินกู้” ที่รวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตในส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแล และยังมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์กระทรวงการคลัง ซึ่งรวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ไว้ในที่เดียว จากนั้น 2.ติดต่อสอบถามตามที่อยู่ /เบอร์โทรศัพท์ที่ได้จากข้อ 1 เพราะบางครั้งมิจฉาชีพหรือแอปเงินกู้นอกระบบจะตั้งชื่อแอปฯคล้ายคลึงกับผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต หรือสวมรอยเป็นผู้ได้รับอนุญาต เราจึงควรสอบถามหรือหาข้อมูลด้วยตัวเองจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ว่าเป็นแอปของผู้ให้บริการจริงหรือไม่


สำหรับผู้ต้องการตรวจสอบข้อมูลบริษัทที่อ้างว่าให้บริการเงินกู้หรือสินเชื่อ เป็นบริษัทที่ให้บริการจริง มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้โดย 1.เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย 2.ที่มุมขวาบนจะมีช่องให้พิมพ์คำค้นหา ให้พิมพ์ว่า “เช็กแอปเงินกู้” แล้วกดค้นหา 3.ระบบจะขึ้น Link และชื่อเนื้อหาขึ้นมา ให้เลือกคลิกเนื้อหาชื่อ “ระวังถูกหลอกให้กู้เงิน ตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่โดนหลอกแน่!” ระบบจะนำกลับเข้ามาสู่หน้าเว็บของ ธปท. อีกครั้ง โดยในหน้านี้จะมีรายชื่อของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อ ทั้งที่เป็น Non-bank ที่ได้รับอนุญาต สถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาต และผู้ให้บริการที่ปิดดำเนินการไปแล้ว


อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอยากเสนอแนะว่า เว็บไซต์ทางการของ ธปท. อย่าง https://www.bot.or.th/ ควรปรับปรุงให้มีหัวข้อ “เช็กแอปเงินกู้” อยู่ในหน้าหลักของเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูรายชื่อและสถานะของผู้ให้บริการทางการเงินได้เลย แทนที่จะต้องให้ผู้ใช้งานพิมพ์คำดังกล่าวในช่องค้นหา ซึ่งยุ่งยากกว่าโดยเฉพาะกับประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือใครก็ตามที่ยังไม่เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยี และกลุ่มนี้เองที่เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ



ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ หลายคน “ร้อนเงิน” ทั้งในการนำไปประกอบอาชีพ ดูแลคนในครอบครัว เมื่อมาบรรจบกับเทคโนโลยีที่สะดวกรวดเร็ว ก็อาจเข้าทาง “มิจฉาชีพ” หลอกลวงให้ต้อง “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” นอกจากไม่ได้เงินเพิ่มแล้วยังต้องเสียเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดไปอีก..โปรดระวัง!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-



อ้างอิง
https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220106141643036 (สตช.เตือนภัย! กู้เงินออนไลน์อาจถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ซ้ำเติมความเดือดร้อน สร้างความเสียหายในหลายรูปแบบ : สำนักข่างกรมประชาสัมพันธ์)
https://www.sbpolice.go.th/news/_592.html (ตร.เตือนภัยประชาชน 14 ข้อกลโกงมิจฉาชีพ มักใช้ในการหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์ : กองบัญชาการตำรวจสันติบาล)
https://www.1213.or.th/th/Pages/finresilience/fakeloanapps.aspx (กู้ออนไลน์…ต้องรู้ทันโจร : ศคง.)
https://www.bot.or.th/Thai/ConsumerInfo/Fraud/Pages/BOTLicensedLoan.aspx (ระวัง ถูกหลอกให้กู้เงิน ตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่โดนหลอกแน่! : ธนาคารแห่งประเทศไทย)




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/653227 สาวเครียด!กู้เงินเกือบ 2 แสนหวังค้าขาย-ซื้อชุดนร.ให้น้องไม่ได้จะกระโดดสะพานลอย


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกัญชาเพื่อสุขภาพ และการปลูกกัญชาในบ้าน COFACT Special Report #26

9 มิถุนายนนี้ กระทรวงสาธารณสุขประกาศถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถปลูกกัญชาเสมือนเป็นพืชสมุนไพรสำหรับใช้บริโภคภายในบ้านได้ และยังสามารถใช้กัญชาทั้งใบและดอกเพื่อการบริโภค อย่างไรก็ตามยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังสับสนว่าการบริโภคต้องใช้ในปริมาณเท่าไรจึงจะไม่ผิดกฎหมาย รวมทั้งหากจะปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมายจะต้องลงทะเบียนอย่างไร

English Summary:

Cannabis is scheduled to be removed from the Category 5 narcotic list this Thursday June 9. It will allow Thai people to grow unlimited amount of cannabis plants at home. However, extracting more than 0.2% of Tetrahydrocannabinol (THC) for consumption is still illegal. In this article, we answer some of the questions people may have on what to do and not to do once cannabis consumption becomes legal in Thailand.   

Q: ทำไมกัญชาถึงถูกถอดจากบัญชียาเสพติดประเภท 5?

A: ปัจจุบันมีผลการศึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ พบว่าการใช้กัญชาในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยรักษาโรคได้หลายประเภท และผลข้างเคียงจากการใช้กัญชามีน้อยกว่ายาสูบหลายประเภท หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการถอดกัญชาจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีทั้งประเทศที่ค่อนข้างเสรีและจำกัดเงื่อนไขการใช้ รวมทั้งของไทยที่จำกัดเงื่อนไขการใช้ ทั้งนี้ในประเทศมองว่าการเปิดเสรีกัญชาเป็นนโยบายทางการเมือง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาสังคมที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากบุคลากรทางการแพทย์ และข้อกังวลจากเภสัชกร องค์กรผู้บริโภค ถึงผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน และการใช้ในเชิงสารเสพติดมากกว่าแนวทางการแพทย์ที่เหมาะสม ล่าสุดมีการล่ารายชื่อแพทย์และศิษย์เก่ารามาธิบดี ล่ารายชื่อถึงผลกระทบต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจากกรณีการใช้กัญชาแบบเสรี ส่วนไทยมีการปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเมืองที่สัญญาไว้กับสังคม ซึ่งนโยบายนี้ก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน

Q: การปลูกกัญชาในบ้านถูกกฎหมายหรือไม่?

A: ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนเป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปสามารถปลูกกัญชาเพื่อบริโภคภายในที่พักอาศัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในปริมาณเท่าใดก็ได้ 

Q: กัญชา กับ กัญชง ต่างกันอย่างไร?

A: กัญชง (Hemp) และกัญชา (Marijuana) ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายๆ กัน แต่ที่จริงแล้วเป็นพืชคนละชนิดกัน ทั้งสองชนิดเป็นพืชสายพันธุ์เดียวกัน แต่จะต่างกันตรงที่ใบของกัญชงจะเรียวกว่า เรียงตัวห่างกันกว่า มีแฉกประมาณ 7-11 แฉก ลำต้นสูงเรียว ส่วนกัญชาใบจะหนากว่า เรียงตัวชิดกันมากกว่า และมีแฉกประมาณ 5-7 แฉก ลำต้นเตี้ยและเป็นพุ่ม 

สิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างคือดอกกัญชา เมื่อนำมาสกัดเป็นสารมึน หรือ THC (Tetrahydrocannabinol) จะได้ปริมาณสูงถึง 1-20% แต่ดอกกัญชงจะมีปริมาณสารตัวนี้น้อยกว่าดอกกัญชา (สกัดออกมาได้ไม่ถึง 1%) สารตัวนี้มีคุณสมบัติในการลดการปวด คลื่นใส้ และช่วยให้ผ่อนคลาย แต่จะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการมึนเมา 

อย่างไรก็ตามดอกกัญชงจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัญชาในการสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ซึ่งไม่มีอาการเมาเคลิ้มเหมือนกับ THC แต่สามารถใช้บรรเทาอาการปวดและอักเสบได้ เราสามารถสกัดสารตัวนี้ออกมาจากดอกกัญชงได้มากกว่า 2% ส่วนในกัญชามีสารตัวนี้น้อยกว่า 2%

นอกจากกัญชงจะได้รับความนิยมในการสกัดเป็นยาแล้ว เกษตรกรจำนวนมากยังนิยมนำกัญชงมาใช้ทำเส้นใยผ้า เนื่องจากให้ปริมาณมากกว่าการปลูกฝ้าย และใช้ยากำจัดศัตรูพืชน้อยกว่า 

Q: หากจะปลูกกัญชาที่บ้านอย่างถูกกฎหมาย จะต้องทำอย่างไร?

A: ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปที่ต้องการจะปลูกกัญชา สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ http://plookganja.fda.moph.go.th/  หรือแอพพลิเคชั่น “ปลูกกัญ” ของกระทรวงสาธารณสุข โดยกระทรวงฯ จะขอข้อมูลเพียงเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และวัตถุประสงค์ของการปลูก เมื่อได้รับการอนุมัติ กระทรวงฯ จะส่งเอกสารยืนยันแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ ถือเป็นอันเสร็จสิ้น

Q: เราสามารถบริโภคใบกัญชาอย่างเดียวเท่านั้น? ถ้าจะบริโภคดอกกัญชาสามารถทำได้หรือไม่?

A: หลังวันที่ 9 มิถุนายนเป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปสามารถบริโภคได้ทั้งใบและดอกกัญชาภายในที่พักอาศัย โดยจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อน หรือส่งกลิ่นรบกวนเพื่อนบ้าน การนำใบกัญชา หรือกัญชงประกอบอาหารสามารถใช้ในปริมาณเท่าใดก็ได้ แต่การนำดอกมาสกัดเพื่อใช้ในการสูบแบบสันทนาการจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถขอสุ่มตรวจได้ว่ามีปริมาณสารดังกล่าวเกินหรือไม่ ถ้าเกินจะถือว่าเป็นการเสพยาเสพติด ส่วนการใช้กัญชาในประมาณสาร THC ที่มากกว่า 0.2% อย่างถูกต้องตามกฎหมายจะต้องได้รับการยินยอมจากแพทย์ว่าเป็นการใช้เพื่อการรักษาโรค ไม่ใช่การใช้เพื่อสันทนาการ โดยเจ้าหน้าที่สามารถขอตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ได้ตลอดเวลา

Q: กฎหมายควบคุมปริมาณการบริโภคดอกกัญชาหรือไม่?

A: ปัจจุบันกฎหมายควบคุมให้การบริโภคสารสกัดจากดอกกัญชาจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% หากเกินจะถือว่าเป็นการใช้สารเสพติดให้โทษ เว้นแต่จะเป็นการใช้เพื่อการรักษาโรค ซึ่งผู้ใช้จะต้องมีเอกสารยืนยันโดยแพทย์ว่าได้รับอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากดอกกัญชาเกิน 0.2% 

Q: เราสามารถสกัดดอกกัญชาเองได้หรือไม่?

A: ได้ กฎหมายฉบับใหม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถสกัดสารจากดอกกัญชาเองได้ อย่างไรก็ตามการนำสารสกัดจากดอกกัญชาที่มีสาร THC เกิน 0.2% ไปใช้เพื่อการสันทนาการยังถือว่าผิดกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถสกัดสารจากดอกกัญชาในปริมาณสาร THC ที่มากกว่า 0.2% ได้

Q: เราสามารถบริโภคกัญชานอกบ้าน เหมือนกับการสูบบุหรี่ทั่วไปได้หรือไม่?

A: ขณะนี้สภาฯ กำลังพิจารณาอนุมัติร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสูบกัญชาเพื่อการสันทนาการ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ประชาชนทั่วไปที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับกลิ่นของกัญชาในพื้นที่สาธารณะสามารถแจ้งความเอาผิดผู้สูบ หรือผู้ปลูกได้ โดยผู้ปลูกหรือผู้สูบที่พบการกระทำผิดจะต้องถูกระวางโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุเรื่องการจำกัดสถานที่สูบ ดังนั้นหากประชาชนทั่วไปจะสูบกัญชาในที่สาธารณะก็ย่อมจะทำได้ แต่ต้องสูบในสถานที่สูบบุหรี่ หรือที่ที่จัดไว้ โดยไม่รบกวนประชาชนทั่วไป


ที่มา:

https://www.bbc.com/thai/thailand-61703618

https://www.hfocus.org/content/2022/06/25236

https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/sites/default/files/public/pdf/column/AtRama34_c02.pdf

https://www.bangkokbiznews.com/social/1007009

https://www.cannhealth.org/content/8317/cannhealth

https://www.prachachat.net/economy/news-624445

https://www.nationtv.tv/category/nationtv


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com