คลิปบ่อโคลนในโปแลนด์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพ “โยนศพทหารกัมพูชาลงตม”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปโยนศพทหารกัมพูชาลงบ่อโคลน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปจากช่องยูทูบชาวต่างชาติที่เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2567** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกในประเทศไทยแชร์คลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นการโยนศพทหารกัมพูชาลงไปในบ่อโคลน เพราะทางการไม่มีงบประมาณในการจัดการศพทหารเสียชีวิตจากการสู้รบกับทหารไทย 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกแชร์อย่างกว้างขวางในหลายแพลตฟอร์มโดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในหลายประเทศมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา บางคลิปมีความยาวมากกว่าคลิปที่อ้างว่าเป็นการ “โยนศพทหารกัมพูชา” ซึ่งทำให้เห็นว่าบุคคลในคลิปกระโดดลงไปในบ่อโคลนด้วยตัวเอง ไม่ใช่การถูกจับโยนลงไป

โคแฟคสืบค้นต่อไปจนพบวิดีโอฉบับเต็มที่มีความยาว 13.15 นาที เผยแพร่ทางช่องยูทูบ @BogGhoul เมื่อ 23 ก.ย.2567 ที่เขาตั้งกล้องบันทึกภาพตัวเองกระโดดลงบ่อโคลนในป่ามัสซูเรีย ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ เจ้าของช่องระบุว่าเป็นกิจกรรมที่เขาทำเพื่อความสนุกในฤดูร้อนและเขียนข้อความใต้วิดีโอว่า “กิจกรรมนี้กระทำโดยผู้มีประสบการณ์ และมีการเตรียมตัว ภาพที่เห็นเป็นการแสดง และผมไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย”  

คลิปไฟไหม้ใกล้ปั๊มน้ำมันที่ จ.ระยอง ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์ในกรุงเทพฯ

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปไฟไหม้โกดังใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำคลิปเหตุไฟไหม้ที่ จ.ระยอง มาสร้างความเข้าใจผิดทั้งวันและสถานที่เกิดเหตุ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 7 ต.ค. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Mr.Thay” โพสต์คลิปวิดีโอเหตุไฟไหม้ใกล้ปั๊มน้ำมันเชลล์ มีกลุ่มควันพวยพุ่งหนาแน่น ในคลิปฝังวันที่และข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า “ไฟไหม้โกดังในประเทศไทย 6/10/25” ข้อความบรรยายในโพสต์ระบุว่า “ไฟไหม้โกดังสินค้าใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่าเป็นคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้ร้านจำหน่ายน้ำมันเครื่องและเครื่องมือช่าง ริมถนนสุขุมวิท ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 โดยมีสื่อมวลชนไทยหลายสำนักรายงานข่าวและภาพเดียวกัน เช่น ข่าวช่อง 3 ข่าวช่อง 8 และ จส.100

เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่าเหตุไฟไหม้เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 4 ชม. จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้และต้องฉีดน้ำเลี้ยงบริเวณถังน้ำมันใต้ดินของปั๊มน้ำมันที่อยู่ติดกันไว้เพื่อความปลอดภัย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 มีรายงานเหตุไฟไหม้โกดังของสถานบันเทิงย่าน RCA ในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ได้อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน

สรุปว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้นำคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้ใน จ.ระยองเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 มาบิดเบือนทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานที่และวันที่เกิดเหตุไฟไหม้

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชานำคลิปน้ำท่วมเชียงรายปี 2567 มาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปัจจุบัน

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมในไทยวันที่ 4 ต.ค. 2568 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำภาพน้ำท่วมสะพานข้ามน้ำกก จ.เชียงราย เมื่อปี 2567 มาสร้างความเข้าใจผิด**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 4 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาชื่อ “សារី ជួន” โพสต์คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมสะพานแห่งหนึ่ง ด้านข้างมีรูปธงชาติไทย ระบุวันที่ 4-10-2025 และฝังข้อความภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลได้ว่า “ภาพจากไทย”

ผู้โพสต์ไม่ได้รายละเอียดอื่น ๆ แต่จากข้อความ วันที่และเสียงบรรยายที่พูดถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในไทย ทำให้เกิดความเข้าใจว่าภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน คลิปนี้มียอดเข้าชมมากกว่า 1 หมื่นครั้ง 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่าเป็นภาพพื้นที่ประสบอุทกภัยใน จ.เชียงราย เมื่อปี 2567 โคแฟคจึงสอบถามและส่งคลิปให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ. เชียงราย) และเทศบาลนครเชียงรายช่วยตรวจสอบ

ทั้ง ปภ. และเทศบาลนครเชียงรายยืนยันว่าคลิปนี้เป็นภาพน้ำท่วมสะพานข้ามแม่น้ำกก บ้านหนองด่าน (ฮ่องอ้อ) ถนนบายพาสฝั่งตะวันตกเมื่อเดือน ก.ย. 2567

ปภ.เชียงรายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเดือน ต.ค. 2568 ยังไม่มีสถานการณ์น้ำกกล้นตลิ่ง

ดังนั้นคลิปน้ำท่วมสะพานที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กกัมพูชานำมาเผยแพร่เป็นเหตุการณ์เดือน ก.ย. 2567 ไม่ใช่ภาพปัจจุบัน

คลิปจากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ถูกนำมาอ้างเท็จว่าตึกสั่นไหวใกล้บริเวณที่เกิดหลุมยุบ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68**

 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ย. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพคนแตกตื่นวิ่งหนีพร้อมกับมองตึกสูงที่กำลังสั่นไหว มีคำบรรยายว่า เกิดเหตุตึกร้าวและสั่นในกรุงเทพฯ ใกล้กับหลุมยุบ

โพสต์เหล่านี้ถูกเผยแพร่หนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุหลุมยุบและถนนทรุดตัวบริเวณ ถ.สามเสน หน้า รพ.วชิระพยาบาลเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 68

 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพ พบว่า คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “Supawat Chartkaroon” ซึ่งเป็นครูที่ รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ระบุว่าอาคารฟอรั่ม ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโรงเรียนเกิดการสั่นสะเทือนขณะเกิดแผ่นดินไหว

สอดคล้องกับข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “สพม.กท 2” ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ที่ระบุว่าเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 68 คณะทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงพื้นที่ติดตามความปลอดภัยของตึกฟอรั่ม ทาวเวอร์ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 และส่งผลกระทบต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 มีศูนย์กลางที่ภูมิภาคสะกาย ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ของเมียนมา แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพฯ มีรายงานอาคารร้าวหลายแห่ง และอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่พังถล่มลงมา

โพสต์ที่นำภาพจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาเผยแพร่หนึ่งวันหลังเกิดเหตุหลุมยุบและถนนทรุดแสดงถึงเจตนาสร้างความตื่นตระหนกขณะที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจกับเหตุการณ์หลุมยุบ ซึ่งจุดที่เกิดเหตุนั้นอยู่ห่างจากอาคารฟอรั่มฯ และ รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดากว่า 10 กิโลเมตร และในช่วงนั้นไม่มีรายงานเหตุหลุมยุบหรือถนนทรุดบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก แต่อย่างใด

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2568

กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับน้ำอัดลมและมันเทศ เสี่ยงเสียชีวิตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/263ubpn8oyw2k#_=_


พบผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีตายเป็นอันดับหนึ่งของขอนแก่น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s3ty8f3ltzn4


คลิปยิงจรวดในเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2l92o684k3mfv


คลิปทหารกัมพูชาโชว์ใช้ฟันลากรถขู่ทหารไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vc90vhyfw41y


คลิปทหารกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ajbtkfuf3ifa


อ.เจษฎ์ เตือนอย่าหลงเชื่อ! โรคงูสวัด กับความเชื่อผิดๆ ย้ำไม่หายด้วยยางกล้วย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2tb2w2jpi9idv


“คนละครึ่งพลัส” เริ่มลงทะเบียน 20 ล้านสิทธิ 20-26 ต.ค.นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4pa50i8ixawk


จังหวัดขอนแก่นเตรียมทุ่มงบประมาณ 1 พันล้านแก้ปัญหาน้ำท่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33yc888rv1dou


CAAT ประกาศ ห้ามบินโดรน พื้นที่มั่นคงชายแดน-สนามบิน ถึง 15 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35mtl80870tbz


มติสภาเห็นชอบ กฎหมายแรงงานใหม่ เสนอให้ลดชั่วโมงทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/34ejix5z1iocn


รมว.คมนาคม เตรียมชง รถไฟฟ้าสายสีแดง/ม่วง 20 บาทตลอดสาย ให้ไปต่อถึงพฤศจิกายนนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tnvn5ukdg1n3


มีประกาศห้ามเร่ขาย ตั้งแผงลอย ใบกระท่อมและน้ำกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50,000 บาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/180gkvqj3qsus


“พาณิชย์” เตรียมทำ MOU รพ.เอกชน ให้ผู้ป่วยซื้อยานอก รพ.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d3fdpo63t2ck


รฟท.เตรียมขยายขบวนท่องเที่ยว ‘MySawasdee’ ถึงสุราษฎร์ธานี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36ocv0f83hn52


สหพันธ์โลก สั่งแบนห้ามไทยจัดเปตองในกีฬาซีเกมส์ 2025…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/205rhzky1zf4u


คลิปน้ำท่วมใหญ่ในรัสเซียปี 2567 ถูกนำมาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นอุทกภัยในประเทศไทย

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปน้ำท่วมใหญ่ใน “ประเทศใกล้กัมพูชา” 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมรัสเซียเมื่อปี 67** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 21 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Daily Sabay” โพสต์คลิปวิดีโอบ้านเรือนหลายหลังถูกน้ำท่วมสูงเกือบถึงหลังคา พร้อมข้อความเป็นภาษาเขมรแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า น้ำท่วมบ้านประชาชนในประเทศที่อยู่ใกล้กับกัมพูชา…”

คลิปนี้มียอดการเข้าชมกว่า 2.6 แสนครั้ง ถูกแชร์เกือบ 800 ครั้ง (ณ วันที่ 3 ต.ค. 2568) และมีผู้เข้ามาตั้งคำถามว่า “ประเทศที่อยู่ใกล้กัมพูชา” นั้นหมายถึงประเทศไทยหรือไม่ บางคนด่วนสรุปว่าเป็นภาพอุทกภัยในไทยพร้อมกับเขียนข้อความซ้ำเติมผู้ประสบภัย  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพ พบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2567 โดยเพจเฟซบุ๊ก “Qazax-Ağstafa” ซึ่งระบุว่าเป็นสำนักข่าวออนไลน์ในประเทศอาเซอร์ไบจาน พร้อมข้อความภาษาอาเซอร์ไบจาน ใช้เครื่องมือแปลภาษาได้ว่า “เมืองโอเรนเบิร์กของรัสเซียจมบาดาล” สอดคล้องกับการรายงานของสำนักข่าวบีบีซีเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2567 ว่าเกิดอุทกภัยในเมืองโอเรนเบิร์กของรัสเซีย ระดับน้ำขึ้นสูงจนท่วมบ้านเรือนหลายหลัง ประชาชนมากกว่า 10,000 คนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น พร้อมกับเผยแพร่ภาพมุมสูงของหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับภาพในคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ “ประเทศใกล้กัมพูชา”

โคแฟคพบว่าคลิปดังกล่าวเคยถูกแชร์วนซ้ำมาแล้วหลายครั้ง โดยอ้างว่าเป็นเหตุน้ำท่วมในหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ เคนยา เอธิโอเปีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊ก “Tom – Spirit Travelers” ได้โพสต์คลิปนี้ในกลุ่มเฟซบุ๊ก “Bonjour Thaïlande” อ้างเท็จว่าเป็นอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย

คลิป “ทหารกัมพูชาใช้ฟันลากรถกระบะ” เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2563

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชาโชว์ใช้ฟันลากรถขู่ทหารไทย 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ปี 63** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 1 ต.ค. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “เทพมนตรี วิลาสังข์” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพชายสวมชุดทหารแสดงพละกำลังด้วยการใช้ปากคาบเชือกลากรถกระบะที่บรรทุกคนหลายคน ในคลิปมีภาพธงชาติกัมพูชาและฝังข้อความว่า “ทหารเขมรโชว์พลังขู่ทหารไทยอีกแล้ว”

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” โพสต์คลิปเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68 มีคำบรรยายประกอบว่า “30 ก.ย. – ทหาร BHQ โพสต์คลิปพร้อมระบุ ‘ความสามารถพิเศษของกำลังพล BHQ เขาสามารถใช้ฟันลากรถกระบะหนักเป็นตันๆ อย่างง่ายดาย เขายังพูดว่า แม้แต่รถถังเสียม เขาก็สามารถลากกลับฝั่งเราได้สบายๆ’” ซึ่งมีสื่อโทรทัศน์บางสำนักนำไปรายงานต่อ

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบคลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 63 เช่น

▪ วันที่ 21 ก.พ. 63 บัญชีเฟซบุ๊ก “Film Share & Media” โพสต์คลิปดังกล่าว พร้อมบรรยายเป็นภาษาเขมร ใช้เครื่องมือ Google Translate แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “แข็งแกร่งจริง ๆ ทหารจากกองพลทหารราบที่ 70 ใช้ฟันลากรถ ยกถังน้ำ และยกกระสอบข้าวสาร ทั้งหมดนี้ทำได้ในท่าเดียว” 

▪ วันที่ 9 มี.ค. 63 ช่องยูทูบ “Weapons Update” โพสต์คลิปเดียวกันพร้อมคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษผสมภาษาเขมร แปลเป็นไทยได้ว่า “ทหารกัมพูชาใช้ปากคาบเชือกลากรถที่บรรทุกคนนับสิบ” 

โคแฟคนำภาพอาคารในคลิปไปค้นหาเพิ่มเติมพบว่าเป็นภาพของหน่วยกองพลน้อยที่ 70 ในกรุงพนมเปญ ซึ่งพนมเปญโพสต์ สื่อภาษาอังกฤษของกัมพูชารายงานว่าเป็นหน่วยทหารที่เคยเป็นต้นสังกัดของกองบัญชาการองครักษ์บุคคลสำคัญรวมทั้งสมเด็จฮุน เซน  

เปรียบเทียบภาพจาก Khmer Times (บน) ที่ประกอบข่าวเมื่อปี 2564 ระบุว่าเป็นที่ตั้งของกองพลน้อยที่ 70 กับภาพจากคลิปที่เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ก.ย.68 (ล่าง) เห็นได้ว่าเป็นสถานที่เดียวกัน

อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับภาพในคลิปได้ว่าเป็นเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นเมื่อใด และทหารกัมพูชาที่ทำการแสดงดังกล่าวใช่หน่วย Bodyguard Headquarters (BHQ) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “กองกำลังพิทักษ์ฮุน เซน” จริงหรือไม่ แต่ยืนยันได้ว่าเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 63 และไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในขณะนี้

ถ้วยกระดาษ’ ใส่เครื่องดื่มร้อน! มีความเสี่ยงเพียงใด?

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิปวิดีโออ้างถ้วยกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่มร้อน ผลิตจากขยะรีไซเคิล

ที่มา : https://cofact.org/article/2x9wik3iwe2mg

This is one of the craziest scams in the United States! (นี่คือหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่บ้าคลั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา) เป็นคำบรรยายพาดหัวคลิปวิดีโอหนึ่งที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ โดยคลิปดังกล่าวได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่า หลายคนเชื่อว่าถ้วยกระดาษที่นำมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มร้อน (เช่น กาแฟ) ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Clean Pulp) แต่จริงๆ แล้ววัสดุที่ใช้มาจากขยะรีไซเคิล 

เช่น พลาสติก กระดาษ กระดาษแข็งเก่าที่ใช้ในกิจการร้านอาหาร ลังกระดาษในภาคขนส่งสินค้า (Delivery Box) แม้กระทั่งในพื้นที่ฝังกลบขยะ(Landfill) วัสดุเหล่านี้จะถูกรวบรวม ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำมันและสิ่งสกปรก (Oli Dust and Dirt) โดยคนงานจะคัดแยกขยะแบบลวกๆ แล้วเทรวมลงไปในเครื่องผสมขนาดยักษ์ (Giant Mixer) ซึ่งความร้อนสูงและสารเคมี จะแปรสภาพขยะให้เป็นเยื่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ม (Dark Brown Pulp)จากนั้นใช้สารเคมีย้อมให้เป็นสีขาวดูสะอาด แล้วนำไปทำให้เป็นแผ่นกระดาษแล้วเข้ารูปด้วยฟิล์มพลาสติกกันน้ำ

กระบวนการผลิตถ้วยกระดาษจากวัสดุรีไซเคิลมีราคาถูก แต่ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย กล่าวคือ เมื่อใช้ถ้วยชนิดนี้ใส่เครื่องดื่มร้อน ความร้อนจะละลายสารเคมีที่เป็นพิษออกมาปนเปื้อนกับเครื่องดื่มในถ้วย ดังนั้นในขณะที่ดื่มเครื่องดื่มก็จะได้รับสารเคมีและพลาสติกเข้าไปในร่างกายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มจากถ้วยชนิดนี้จนหมดแล้วทิ้งแก้วกระดาษเป็นขยะ ก็จะก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปอีก 

– ความเสี่ยงจากถ้วยกระดาษ บทความกระดาษบรรจุภัณฑ์สหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า การปนเปื้อนของสารอันตรายในกระดาษบรรจุภัณฑ์อาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนผลิตกระดาษ จากกระบวนการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือการใช้หมึกพิมพ์ที่อาจมีโลหะหนักจากสี หรือส่วนผสมอื่นๆ ของหมึกพิมพ์ตกค้างอยู่

รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่หากทำจากกระดาษที่นำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสารตกค้างอันตรายปนเปื้อนมากกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อกระดาษใหม่เพราะในกระบวนการผลิตกระดาษไม่สามารถกำจัดสารอันตรายต่างๆ ออกจากกระดาษที่ผ่านการใช้แล้วได้อย่างสมบูรณ์

สารอันตรายที่อาจตกค้างในกระดาษสัมผัสอาหาร หรือกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสามารถแบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสารอนินทรีย์อันตราย ได้แก่ โลหะเป็นพิษที่ออกฤทธิ์เรื้อรังต่อร่างกายหรือหากได้รับในปริมาณสูงอาจส่งผลให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และกลุ่มสารอินทรีย์อันตรายที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง เช่น บิสฟีนอล A พอลีไซคลิก แอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารกลุ่มพทาเลต สีเอโซ และเบนโซฟีโนน

– มีการกำกับดูแลการผลิตถ้วยกระดาษหรือไม่? :หลายประเทศมีกลไกกำกับดูแล เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยอยู่ในประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลาง หมวดที่ 21 ว่าด้วยอาหารและยา (Code of Federal Regulations, Title 21, Food and Drugs,) เช่น มาตรา 176 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: ส่วนประกอบของกระดาษและกระดาษแข็ง (INDIRECT FOOD ADDITIVES: PAPER AND PAPERBOARD COMPONENTS) มาตรา 177 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: โพลิเมอร์ (INDIRECT FOOD ADDITIVES: POLYMERS)เป็นต้น , 

สหภาพยุโรป มีกรอบระเบียบข้อบังคับ (EC) เลขที่ 1935/2004 (Framework Regulation (EC) No 1935/2004) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ วัสดุต่างๆ ต้องไม่ 1.ปล่อยองค์ประกอบของวัสดุลงในอาหารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์2.เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ รสชาติ และกลิ่นของอาหารในระดับที่ยอมรับไม่ได้ , 

อินเดีย สำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารแห่งอินเดีย (FSSAI) ออกข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร (บรรจุภัณฑ์) 2018 (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018) กล่าวถึงวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษ แก้ว โลหะ พลาสติก วัสดุบรรจุภัณฑ์หลายชั้นที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งวัสดุใดๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือมีแนวโน้มที่จะสัมผัสอาหารซึ่งใช้ในการบรรจุ ปรุง ปรุง จัดเก็บ ห่อ ขนส่ง และจำหน่ายหรือให้บริการอาหาร จะต้องเป็นวัสดุคุณภาพเกรดอาหาร (Food Grade) , 

ไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรฐาน มอก. 2948 –2562 (กระดาษสัมผัสอาหาร) ระบุว่า กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึงกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ (จาน ชาม หลอด ถาด ถ้วย กล่อง ถุง) ที่ที่ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้ห่อหุ้มบรรจุ รองรับอาหารทั่วไป และอาหารบรรจุขณะร้อน ทั้งที่สัมผัสและไม่สัมผัสอาหาร โดยตรง ไม่ครอบคลุมกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ใช้กรองของเหลวร้อน (ถุงชา กระดาษกรองกาแฟ) ใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหารในเตาอบหรือไมโครเวฟ แบ่งประเภทกระดาษเป็น 2 ประเภท คือ 1.เยื้อบริสุทธิ์ 100% และ 2.เยื่อเวียนทำใหม่ 

ซี่งในกรณีของเยื่อเวียนทำใหม่ จะต้องไม่ได้ทำจากหรือมีส่วนผสมของกระดาษดังต่อไปนี้ (1) กระดาษซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิก (2) กระดาษที่ผสมกับขยะมูลฝอยหรือแยกมาจากขยะมูลฝอย (3) กระดาษกระสอบหรือกระดาษถุงที่ปนเปื้อนสารเคมีหรืออาหาร เช่น ถุงปูนซีเมนต์ (4) กระดาษที่ใช้คลุมหรือหุ้มวัสดุอื่น เช่น กระดาษที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างการซ่อมแซม พ่นสี หรืองานก่อสร้าง (5) กระดาษคาร์บอน กระดาษสำเนาไร้คาร์บอน และกระดาษสำเนาแบบใช้ความร้อน (6) กระดาษอนามัยที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมือ กระดาษชำระ กระดาษเอนกประสงค์ (7) กระดาษเก่า เช่น จากห้องสมุด จากโรงเรียน จากโรงพิมพ์

สารเคมีในกระบวนการผลิตต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food Contact Grade) หากมีการใช้วัสดุเคลือบ กรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยพลาสติก พลาสติกที่ใช้ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช้พลาสติก วัสดุเคลือบที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์ หากมีการใช้ต้องเป็นระดับชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร และหมึกพิมพ์ต้องไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง 

กระบวนการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP ฉลากต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ประเภท แบบ ขนาด ปริมาณบรรจุ มีข้อความ อุณหภูมิสูงสุด ระบุประเภทอาหารที่ใช้หรือห้ามใช้กับกระดาษสัมผัสอาหารนี้ ในการใช้งาน มีข้อความ “ใช้สัมผัสอาหารได้” “ใช้ครั้งเดียว” “ห้ามใช้ซ้ำ” “ห้ามวางใกล้เปลวไฟ” “ห้ามใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหาร” เดือน ปี รหัสรุ่นที่ทำ ชื่อผู้ทำ และประเทศผู้ผลิต เป็นต้น

ภาพที่ 2 : อินโฟกราฟิกโดย สมอ. แนะนำวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กระดาษสัมผัสอาหาร 
ที่มา : https://pr.tisi.go.th/มอก-2948-2562-กระดาษสัมผัสอาหาร/

– ใมโครพลาสติกกับถ้วยกระดาษ : มีงานวิจัยนกล่าวถึงการพบไมโครพลาสติกในถ้วยกระดาษ เช่น หัวข้อ Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India เผยแพร่ในเว็บไซต์ link.springer.com ฐานข้อมูลงานวิจัย Springer Nature Link เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ทำการศึกษาไมโครพลาสติกในถุงชาและถ้วยกระดาษ ระบุว่า หากบุคคลหนึ่งดื่มชาหรือกาแฟ 3 ถ้วยในถ้วยกระดาษทุกวัน อาจได้รับอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 75,000 อนุภาค

ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงอาจเป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยยอมรับว่าพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของอนุภาคไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากถุงชาและถ้วยกระดาษยังคงไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงคาดหวังให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมซึ่งความก้าวหน้าทางวิธีการวิเคราะห์และการรายงานผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะช่วยในการประเมินอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาที อาจได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น (บทความ ‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?) อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยย้ำว่าไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม จากการทิ้งหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วอย่างไม่ถูกวิธี

โดยสรุปแล้ว หากเป็นถ้วยกระดาษที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ข้อมูล ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริโภคเครื่องดื่มร้อนได้ ส่วนประเด็นไมโครพลาสติกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพให้ชัดเจนกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2562_68_211_P26-27.pdf (กระดาษบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด : วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B (ฐานข้อมูลประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา)

https://food.ec.europa.eu/food-safety/chemical-safety/food-contact-materials/legislation_en(Regulation (EC) No 1935/2004 provides a harmonised legal EU framework. : ฐานข้อมูลรัฐสภายุโรป ว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร)

https://www.fssai.gov.in/upload/uploadfiles/files/Compendium_Packaging_Labelling_Regulations_28_01_2022.pdf (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018 : FSSAI)

https://hongthaipackaging.com/wp-content/uploads/2023/02/2948_2562.pdf?srsltid=AfmBOorQQ5AzgSjM8mPYgeiSLSfzgsYffg8hwgwtzZVT-4hd2y3kznMa (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDARD มอก. 2948-2562)

https://link.springer.com/article/10.1007/s42452-025-07121-y (Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India : Springer Nature Link 23 พ.ค. 2568)

https://blog.cofact.org/report65-68/ (‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?)


คลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 67 ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพกองทัพกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าที่เคยมีการเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 67** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. 68 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์คลิปวิดีโออ้างกองทัพกัมพูชาลำเลียงอาวุธประชิดชายแดนไทย เช่น บัญชีเฟซบุ๊ก “ฉันรักเมืองไทย มาลาวรวัฒน์” โพสต์คลิป Reel ขบวนรถทหารลักษณะคล้ายรถฐานยิงจรวด ฝังข้อความ “ล่าสุดทหารเขมรเคลื่อนไหวขนอาวุธประชิดชายแดน จำนวนมาก ไทย-กัมพูชา” ขณะที่ช่องยูทูบ “อัพเดทข่าวดัง123” โพสต์คลิปเดียวกันโดยระบุว่า “เขมรขนPHL-03ประชิดชายแดนไทย”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 โดยบัญชีผู้ใช้ X ชื่อ “Jesus Roman” ระบุว่าเป็นคลิปที่นำมาจากบัญชีผู้ใช้ Weibo และบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษว่า “ปืนใหญ่ AR-2 ขนาด 300 มม. จำนวน 4 กระบอก (รหัสส่งออก 🇨🇳PHL-03) MLRS จากกองทัพบกกัมพูชา (ลำดับที่ 905, 903, 904 และ 906) น่าจะเป็นของกองร้อย การจัดกำลังของกองร้อยนี้บ่งชี้ว่ากัมพูชาได้รับปืนใหญ่มากกว่า 6 กระบอกในปี 2022 แม้ว่าจะไม่เห็นรถบรรจุกระสุนเลยก็ตาม”

โคแฟคยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปนี้เป็นยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกกัมพูชาตามที่บัญชีผู้ใช้ X ระบุหรือไม่ แต่สรุปได้ว่าคลิปนี้ไม่ใช่ภาพกองทัพกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทยในช่วงปลายเดือน ก.ย. 68 ตามที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กและยูทูบในไทยกล่าวอ้าง เนื่องจากเป็นคลิปเก่าที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่เดือน ม.ค. 67

คลิปทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS ในไต้หวัน ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปยิงจรวดในเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปทดสอบระบบยิงจรวดในไต้หวัน** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “สิทธิ์ อภิสิทธิ์” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 9 วินาที เป็นภาพการยิงจรวด ฝังข้อความว่า “ฐานปล่อย BM21” และอิโมจิรูปธงชาติกัมพูชา

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 บัญชีติ๊กตอก “rt.news.tv” ได้โพสต์คลิปนี้เช่นกัน โดยบรรยายข้อความเป็นภาษาเขมร อ้างเป็นภาพกระสุนปืนใหญ่ที่กองทัพไทยยิงโจมตีกัมพูชา  

ภาพจากบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “rt.news.tv” ที่อ้างว่าเป็นภาพการยิงโจมตีกัมพูชาของกองทัพไทย

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาภาพด้วย Google lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ทางช่องยูทูบ @missionairforce-tw มีข้อความประกอบเป็นภาษาจีนสั้น ๆ ว่าการซ้อมยิงจรวดในปี 2025 ช่องยูทูบนี้ระบุว่านำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเครื่องบินรบของกองทัพอากาศไต้หวันและของประเทศอื่น ๆ เพื่อให้ชาวไต้หวันได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของกองทัพ

โคแฟคสืบค้นเพิ่มเติมพบว่าในวันเดียวกัน เว็บไซต์ tcpttw.com สื่อไต้หวันได้รายงานข่าวเรื่องการทดสอบจรวด HIMARS ที่ฐานทัพจิ่วเผิง โดยภาพประกอบข่าวเป็นภาพจากเหตุการณ์และพื้นที่เดียวกับในคลิปที่เผยแพร่ในช่องยูทูป @missionairforce-tw เนื้อข่าวซึ่งนำเสนอเป็นภาษาจีนแปลสรุปใจความได้ว่าเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 กองทัพไต้หวันได้ทดสอบการยิงจรวด HIMARS ที่สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ณ ฐานทัพอากาศจิ่วเผิง เมืองผิงตง  

สื่อหลายสำนักของไต้หวันรายงานการทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS ครั้งนี้ เช่น สำนักข่าว TaiwanPlus News รายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ว่านับเป็นครั้งแรกที่กองทัพไต้หวันทำการทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS (High Mobility Artillery Rocket System) ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่มีความแม่นยำที่สุดในโลก 

📌 สรุปได้ว่าภาพในคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยอ้างว่าเป็นคลิปฐานยิงจรวด BM21 ของกัมพูชา และผู้ใช้ติ๊กตอกในกัมพูชาอ้างว่าเป็นการยิงปืนใหญ่จากฝั่งไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพกองทัพไต้หวันทดลองระบบยิงจรวด HIMARS ที่ฐานทัพในเมืองผิงตงเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับการสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 68 ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิงตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นมา

พาราเซตามอลทำทารกออทิสติก” จริงหรือ? ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริงในโคแฟคสนทนา

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.19 ออกอากาศเวลา 19:00–19:30 น. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างที่ว่า “พาราเซตามอล” ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านอาจทำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์มีภาวะออทิสติกหรือพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ทรัมป์ ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และวงการเภสัชกรรม การสนทนาครั้งนี้นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.ภญ.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว. องครักษ์) และ เต ฐานันดร จากอีสานโคแฟค เครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงภาคอีสาน

สุภิญญา กล่าวว่า ข่าวลือนี้สร้างความกังวลอย่างมากเนื่องจากพาราเซตามอลเป็นยาที่อยู่คู่ครัวเรือนทั่วโลกมานาน และมักใช้เป็นยาลดไข้และบรรเทาอาการปวดในหลายสถานการณ์ เธอตั้งข้อสังเกตว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งต้องตรวจสอบเจตนาเชิงลึกต่อไป แต่เน้นว่าการสนทนาครั้งนี้จะยึดข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก

รศ.ดร.ภญ.มยุรี อธิบายว่า ปัจจุบันไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะออทิสติกหรือสมาธิสั้นในทารก งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งติดตามผลในกลุ่มตัวอย่างกว่า 2 ล้านคนในสวีเดนเป็นเวลา 10 ปี พบความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างการใช้พาราเซตามอลในหญิงตั้งครรภ์กับความผิดปกติในเด็ก แต่เมื่อควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง ความสัมพันธ์นี้หายไป ผลวิจัยระบุว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลมากกว่าพาราเซตามอล นอกจากนี้ งานวิจัยในนอร์เวย์ที่ควบคุมปัจจัยพันธุกรรมก็ให้ผลสอดคล้องกันว่า พาราเซตามอลไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะดังกล่าว

อาจารย์มยุรี ย้ำว่า หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นยาตัวแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะหรือกล้ามเนื้อ โดยแนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด สำหรับขนาดยาที่เหมาะสมในผู้ใหญ่ ควรคำนวณตามน้ำหนักตัวที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยพิจารณาอาการเป็นหลัก และไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หรือ 4 กรัมในกรณีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อตับ ส่วนเด็กต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว โดยขนาดสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน

เต ฐานันดร ถามถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์ที่กังวลเกี่ยวกับการใช้ยา อาจารย์มยุรี ตอบว่า หากอาการปวดหรือไข้ไม่รุนแรง หญิงตั้งครรภ์ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ยา แต่หากจำเป็น พาราเซตามอลยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่ายาทางเลือกอื่น เช่น สมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร ซึ่งห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกผ่านน้ำนม และสมุนไพรที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด หรือยาขมของจีน ก็ไม่แนะนำสำหรับกลุ่มนี้

อาจารย์มยุรี ยังเตือนถึงความเสี่ยงจากการใช้ยาหรือสมุนไพรเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น ผู้ที่มีไขมันพอกตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ผู้ดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือผู้ใช้สมุนไพรที่มีรสขมเป็นประจำการใช้พาราเซตามอลเกิน 4 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเกิน7 วัน หรือใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลโดยไม่รู้ตัว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อตับได้ เธอแนะนำให้อ่านฉลากยาให้ชัดเจน และปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม

สำหรับฟ้าทะลายโจร ผู้ชมถามว่าสามารถใช้เป็นประจำได้หรือไม่ อาจารย์มยุรี อธิบายว่า ไม่ควรกินติดต่อกันทุกวันเกิน 1 เดือน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อตับโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ใช้ยาลดไขมันร่วมด้วย ฟ้าทะลายโจรเหมาะสำหรับบรรเทาอาการเจ็บคอหรือร้อนในจากไวรัส แต่ฤทธิ์ลดไข้สู้พาราเซตามอลไม่ได้ และต้องใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดี

สุภิญญา สรุปว่า คำกล่าวอ้างของทรัมป์ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และประชาชนไม่ควรกังวลเกินเหตุพาราเซตามอลยังเป็นยาสามัญที่ปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี แต่ไม่ควรใช้พร่ำเพร่อหรืออดทนจนเกินไปโดยไม่ใช้ยาเมื่อจำเป็น เธอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หากมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือจากโซเชียลมีเดีย


ขอบคุณที่มา ubonconnect

สิ้นสุดยุคแห่งข้อเท็จจริง? การพูดคุยของ Cofact Live Talk เกี่ยวกับ”Information Armageddon”

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 — เนื่องในวันข่าวโลก (World News Day) Cofact Live Talk ได้ตั้งวงคุยหัวข้อ “Information Integrity vs. Information Armageddon” เพื่อสะท้อนมุมมองจากสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยมีแขกรับเชิญพิเศษคือ Shataakshi Verma ผู้จัดการโครงการและพัฒนาจาก Reporters Without Borders (RSF) สำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในวง Live Talk มี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เจษฎา ศาลาทอง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมดำเนินรายการพูดคุย โดยได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งเธอได้ให้คำจำกัดความของสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็น “Armageddon” หรือการทำลายล้างครั้งใหญ่ของข้อมูล ในยุคนี้ ข่าวปลอมแพร่กระจายเร็วกว่าข้อเท็จจริงถึง 6 เท่าบนโซเชียลมีเดีย และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ให้รางวัลกับความเกลียดชังมากกว่าความเห็นอกเห็นใจ ส่งผลให้เกิดความกลัว ความโกรธ และความเกลียดชัง สุภิญญาเน้นย้ำว่า Maria มองว่า “Information integrity” หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูล คือการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด เพราะความรุนแรงบนโลกออนไลน์ได้นำไปสู่ความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการขาดความน่าเชื่อถือของข้อมูลอาจนำไปสู่การล่มสลายของสถาบันและความเชื่อใจในสังคม

นิยามของ “Information Armageddon” และภัยคุกคาม

Shataakshi Verma จาก RSF อธิบายว่าการใช้คำว่า “Armageddon” ของ Maria Ressa ไม่ได้หมายถึงจุดจบ แต่เป็นคำเตือนว่าเรายังพอมีเวลา เธอมองว่า “Information Armageddon” คือการที่สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริงของผู้คนทั่วโลกกำลังถูกคุกคาม และขาดความจริงในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป เธอยังชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามหลายด้านที่เชื่อมโยงกับปัญหานี้ ได้แก่:

การบิดเบือนข้อมูล: มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างแพร่หลาย

การผูกขาดข้อมูล: แพลตฟอร์มต่าง ๆ กำลังผูกขาดข้อมูลและเนื้อหาที่นำเสนอ

สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของสื่อ: ผู้สื่อข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้บทบาทของสื่ออิสระลดลง

อำนาจนิยม: ระบบอำนาจนิยมในหลายภูมิภาคทั่วโลกใช้การควบคุมข้อมูลเป็นเครื่องมือในการทำงาน

เศรษฐกิจ: รูปแบบทางเศรษฐกิจของสื่ออิสระกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก ทำให้ไม่มีเงินทุนสนับสนุนสื่ออิสระอีกต่อไป และในบางประเทศเช่น จีนและเวียดนาม สื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อที่ควบคุมโดยรัฐทำให้ไม่มีช่องทางในการตรวจสอบข้อมูล

ความปลอดภัยของนักข่าวและผลกระทบต่อวิชาชีพ

Shataakshi กล่าวว่า นักข่าวคือศูนย์กลางของภัยคุกคามนี้ มีความรุนแรงทางออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปที่นักข่าว ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจและนำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเอง เธอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับนักข่าวในไต้หวันที่ทำงานเกี่ยวกับจีน ซึ่งถูกคุกคามทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องจนต้องปิดบัญชีส่วนตัว เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ในฐานะอาจารย์สอนวิชารู้เท่าทันสื่อ (media literacy) ที่ไต้หวันว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นนักข่าวอีกต่อไป ด้วยเหตุผลว่าการเป็นนักข่าวเป็นอาชีพที่ยากลำบาก ไม่สร้างรายได้ และมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพ ทั้ง สุภิญญาและอาจารย์เจษฎาต่างก็พบเห็นแนวโน้มเดียวกันนี้ในนักศึกษาของตน

ความสำคัญของ “Information Integrity” และความรับผิดชอบร่วมกัน

Shataakshi ให้คำจำกัดความของ “Information Integrity” ว่าหมายถึงการผลิตข้อมูลที่ยึดหลักจริยธรรมเป็นแกนหลัก ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่ผลิตขึ้นมา และยังเน้นถึงบทบาทของ AI ที่จะส่งผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการควบคุม เธอจึงเสนอว่าควรมีการควบคุม AI ในระดับรัฐบาลและระดับโลก RSF เองก็มีโครงการที่ชื่อว่า Journalism Trust Initiative (JTI) ซึ่งพยายามตรวจสอบและนำเสนอระเบียบการสำหรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อมูลที่เผยแพร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง

นอกจากบทบาทขององค์กรและรัฐบาลแล้ว อาจารย์เจษฎาและShataakshi เน้นย้ำว่าผู้บริโภคข้อมูลก็มีส่วนสำคัญในการต่อสู้กับ”Information Armageddon” นี้ อาจารย์เจษฎาเปรียบเทียบการบริโภคข่าวสารเหมือนกับการบริโภคอาหาร และกล่าวว่าเราต้องเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและมีวิจารณญาณ เพื่อให้สุขภาพทางดิจิทัลของเราแข็งแรงและยั่งยืน

โครงการเพื่อนักข่าวหญิงในประเทศไทย

Shataakshi ยังได้กล่าวถึงโครงการที่ RSF จะร่วมมือกับ Cofact ในประเทศไทยเพื่อจัดการอบรมสำหรับนักข่าวหญิง โดยโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะสอนเรื่องความปลอดภัยทางดิจิทัล การตรวจสอบข้อมูล (fact-checking) และการใช้เครื่องมือทางดิจิทัลต่าง ๆ พร้อมกับดูแลสุขภาพจิตของนักข่าวด้วย โดยเฉพาะนักข่าวหญิงในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความรุนแรงทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 

สุภิญญาได้กล่าวเสริมถึงกรณีของนักข่าวหญิงไทยชื่อดังอย่างคุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่นอกจากผลงานจะถูกขโมยแล้ว ยังถูกโจมตีทางออนไลน์เมื่อทำข่าวที่มีประเด็นอ่อนไหว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วภูมิภาค

สรุปความโดย Gemini


ขอบคุณที่มา ubonconnect