15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 “ รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ” ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”
โดยในช่วงบ่าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ภาคี โคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า กิจกรรมในช่วงเช้าที่ผ่านพ้นไปมีวงเสวนาซึ่งนำเสนอผลงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของทีมกองบรรณาธิการโคแฟค โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เห็นทั้งข่าวลวงนำไปสู่ความเกลียดชัง และความเกลียดชังที่นำมาสู่ข่าวลวงที่บางคนก็เชื่อ หรือแม้แต่ข่าวจริงแต่ถูกบิดเบือน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน – หลัง ขณะที่ผลงานของ Neo Momentum ก็ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่คนมีคืออารมณ์ความรู้สึก
“ แน่นอนข้อเท็จจริงยังจำเป็น แต่มันอาจไม่เพียงพอในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ตึงเครียด แล้วก็โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกรวมๆ ว่ามหาสงครามข้อมูลหมายถึงมีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เรื่องเล่า วาทกรรม เรื่องจริง เรื่องแต่ง เต็มไปห มดแล้วผสมผสานแล้วก็ส่งผลต่อความคิดจิตใจคน แล้วเราจะรับมืออย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็คือเป็นข้อท้าทายมากๆ ” สุภิญญา กล่าว
ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและ สุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. โดยสำนัก 11 ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดตั้งแพลตฟอร์มโคแฟคขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาพลเมืองเท่าทันสื่อ ให้ทุกคนมาร่วมตรวจสอบข้อมุล – ข้อเท็จจริง ให้พลเมืองเท่าทันทั้งสื่อ ข้อมูลและดิจิทัล หรือที่เรียกว่า MIDL (Media Information and Digital Literacy) ซึ่งเป็นทักษะสำตัญในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาหาความจริงร่วมกัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นปัญหาที่มาแรงคู่กับข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน (Disinformation – Misinformation) ซึ่งรายงานความเสี่ยงโลกในปี 2568 ก็จัดปัญหาข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน ให้เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ของโลกและยืนยาวไปอีก 10 ปีข้างหน้า ควบคู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) และ AI ทำให้การแพร่ระบาดของข้อมูลทวีความรุนแรงขึ้น
“ ถ้าเราย้อนกลับไปช่วงโควิด-19 เราจะเห็นปราก ฏการณ์ของสิ่งที่เราเรียกว่า Infodemic การระบาดของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีผลกระทบกับสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจในยุคนั้นอย่างมากๆ แล้วก็ประกอบกับการเข้ามาของ AI ในช่วงนี้ 2 – 3 ปี เราจะเห็นความก้าวหน้าขอ งการใช้ AI ที่ประชาชนทุกคนที่เข้ามาถึงสื่อออนไลน์หรือสื่อดิจิทัลได้ใช้เครื่องมือของ AI ฉะนั้นก็จะเป็นเหรียญ 2 ด้าน ทั้งเชิงบวกที่ทำให้เราเกิดความสะเดวกสบายในการใช้งานชีวิตประจำวันและในหน้าที่การงาน แต่ก็มีด้านลบในแง่ที่ AI ไปกระตุ้นให้เกิดการแพร่ระบาดของข้อมูลข่า วสารที่เป็นความเท็จ ความลวงต่างๆ ” ญาณี กล่าว
ดร.จันจิร า สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies บรรยายหัวข้อ “สงครามข่าวสาร บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์” ฉายภาพการที่ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี ที่บั่นทอนทั้งอำนาจรัฐในพื้นที่ข้อมูลข่าวสาร และอำนาจของสังคมในการกำหนดวาระการรับรู้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงมาก อย่างข้อมูลในปี 2564 เฟซบุ๊กเพียงบริษัทเดียวก็มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 393 พันล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยและอีกหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐหรือรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบหากดำเนินนโยบายผิดพลาด..ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกลับไม่ต้องทำแบบเดียวกันการกำกับดูแลของรัฐหรือสังคมต่อทุนใหญ่เหล่านี้ทำได้ยาก ซึ่งอำนาจของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมาจากการเฝ้ามอง เก็บและใช้พฤติกรรมของผู้บริโภค นำไปคำนวณเพื่อประเมินว่าใครชอบหรือสนใจเนื้อหาแบบใด เช่น คนคนหนึ่งเพียงจ้องดุเนื้อหาหนึ่งบนอินสตาแกรม ไม่กี่นาทีอาจมีโฆษณาเข้ามา ทั้งที่ไม่ได้กดถูกใจหรือติดตามเสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้นจึงมีคำถามว่า แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์จัดเป็นสื่อหรือเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพราะข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานสามารถถูกเก็บรวบรวมเพื่อนำไปขายต่อได้ ซึ่งเป็นรายได้หลักของทุนกลุ่มนี้ อย่างที่หลายคนน่าจะเคยซื้อพื้นที่โฆษณาหรือเพิ่มการมองเห็น (Boost) เนื้อหาที่ตนผลิตขึ้นในเฟซบุ๊ก อำนาจของแพลตฟอร์มยังรวมไปถึงการกำหนดพฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานจะรู้ว่าหากอยากได้รับความสนใจจะต้องผลิตเนื้อหาอย่างไร อย่างที่ล่าสุดมีข้อค้นพบว่า เนื้อหาที่คนจะสนใจไม่ควรมีความยาวเกิน 8 วินาที เป็นต้น
ซึ่งในเวลาที่สั้นแต่เนื้อหานั้นต้องกระตุกอารมณ์คน อารมณ์ที่กระตุกได้ง่ายที่สุดก็คือความโกรธกับความกระวนกระวาย ลองนึกถึงการดูข่าวไม่ว่าการเมืองไทยหรือการเมืองระหว่างประเทศมากๆ แต่เป็นการขายข่าวที่สร้างความกังวลใจ ลองนึกว่า 8 วินาทีทำอย่างไรให้คนกังวลและโกรธให้ได้มากๆ ทั้งนี้ ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมักจะให้น้ำหนักกับกฎหมายของประเทศที่บริษัทแม่ของตนเองตั้งอยู่ (เช่น สหรัฐอเมริกา) และประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ (เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป – EU) แต่ประเทศอื่นๆ มักไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์มของทุนกลุ่มนี้ได้
ดังจะเห็นจากกรณีของบราซิล เมื่อแพลตฟอร์ม X (หรือทวิตเตอร์เดิม) ถุกฟ้องฐานสนับสนุนให้เกิดการจลาจลช่วงหลังการเลือกตั้ง แต่ในทางปฏิบัติมีคำถามว่าทำอะไรได้มากหรือไม่ หรืออย่างข้อมูลที่นำไปสอนปัญญาประดิษฐ์ให้ทำงานได้ ก็มีคำถามว่าได้ขออนุญาตเจ้าของข้อมูลหรือไม่ รวมถึงหากเป็นข้อมูลที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็มีคำถามว่านำไปใช้ได้อย่างไร เรื่องของอธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty) เริ่มถูกตั้งคำถาม แต่การตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็ใช้ทุนและทรัพยากรมากก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำได้
แม้กระทั่งความเชื่อของเหล่านักพัฒนาเทคโนโลยีและทุนเทคโนโลยี ที่เห็นว่าเทคโนโลยีแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและจะนำมนุษย์ไปสู่จุดสูงสุดของอารยธรรม เช่น เชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะมาแทนแรงงานมนุษย์ อย่างน้อยก็ในงานระดับต้น (Entry Level) นำไปสู่การปลดคนงานในระดับนี้ออกหมด แม้กระทั่งวิศกรรมคอมพิวเตอร์ เรียนจบมาใหม่ๆ ก็อาจไม่มีงานทำเพราะให้ AI เขียนโค้ดแทนโปรแกรมเมอร์ ปัญหาคือเมื่อทั้งรัฐและเอกชนต่างเชื่อในเรื่องนี้ ก็นำไปสู่การออกนโยบายระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว
“ ตอนนี้บริษัทที่เอา Generative AI เขาไปแทนแรงงานคนเริ่มรู้แล้วมันไม่เวิร์ค แล้วคนที่ไล่ออกไปทำอย่างไร? คนที่ตกงานไปแล้วทำอย่างไร? ปัญหาคือเวลาที่ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้ มีอิทธิพล ทาง นโยบาย เมื่ อ แล้วนโยบายผิดพลาด แล้วลอยตัวได้เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือรัฐและประชาชน ดัวนั้นการลอยตัว การไม่รับผิด หรือบอกว่าฉันเป็นแค่ฝ่ายที่ 3 ( Third Party) อันนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มากของการขอให้ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้รั บผิดชอบ เช่น เรื่องการให้พื้นที่สร้างความเกลียดชัง ให้พื้นที่ในการทำร้ายผู้เห็นต่าง ” ดร.จันจิรา กล่าว
จากนั้นเป็นวงเสวนา “ รับมือมหาสงครามข้อมูลในยุคปัญญาประดิษฐ์ ” โดย ธนกร วงษ์ปัญญา บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ กรณีข่าวประชาสัมพันธ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งให้คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยทราบว่า หากใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยร่างคำร้อง – คำฟ้อง ต้องระบุไว้ด้วย ซึ่งผลสะท้อนจากความเห็นของประชาชนคือการย้อนถามกลับว่าหากผู้พิพากษาใช้ AI ช่วยร่างคำพิพากษาแล้วจะบอกด้วยหรือไม่
เรื่องนี้สะท้อนความไม่เชื่อมั่นหรือไม่ไว้วางใจกันในเชิงข้อมูลข่าวสาร เพราะเครื่องมืออาจทำให้ง่ายขึ้นแต่ก็มีคำถามเรื่องความถูกต้อง แต่หากว่ามหาสงครามข้อมูลวันนี้คืออะไร สนามรบที่ไวที่สุดคือสนามอารมณ์ สำหรับตนมองว่าเรากำลังรบอยู่กับระบบที่หมายถึงแพลตฟอร์มหรือสิ่งต่างๆ ที่เราใช้เป็นเครื่องมือ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าข้อมูลข่าวสารหรือเครื่องมือล้วนถูกผลิตโดยคน หากคนมีเส้นมาตรฐานจริยธรรมก็อาจได้ผลลัพธ์อีกแบบหนึ่ง แต่หากใช้เพื่อทำลายกับผลลัพธ์ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
“ ผมเคยพูดในงานโคแฟคที่หอศิลป์ บอก ว่าความจริง สำคัญแต่สนามรบนี้ความไว้วางใจสำคัญกว่า คือข้อมูลมันเยอะแต่ วางใจจะเชื่อใคร วางใจจะเสพข้อมูลจากตรงไหน หรือไม่เลือกไม่เชื่อเลย ก็เป็นปั ญหาอีกแบบหนึ่ง ” ธนกร กล่าว
รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การผนวกรวมกันระหว่างทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกับนโยบายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ซึ่งไม่เพียงอาณาบริเวณเฉพาะกลุ่มชาติตะวันตกแต่ครอบคลุมทั้งโลก ในขณะที่เราบอกว่าระหว่างที่เท่าทันอารมณ์ เท่าทันข่าว เท่าทันอัลกอริทึม แต่ท้ายที่สุดอำนาจเกิดจากอัลกอริทึม ก็คือทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เป็นคนปั่น แต่ประเทศของเราไม่เคยมีผู้นำประเทศพุดถึงเรื่องนี้ทั้งที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึงและอยู่ภายใต้การกำหนดของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี
ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะทำอย่างไรในแง่ของมาตรฐานการรับข้อมูล จะช่วยอย่างไรเพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะยังไม่เห็นนโยบายใดๆ มีเพียงบอกว่าอีก 4 เดือนจะเลือกตั้ง แล้วแต่ละพรรคการเมืองก็จัดสรรกันใหญ่อย่างสนุกสนาน แต่ไม่เห็นกลไกกำกับที่จะเกิดขึ้น ที่ท้ายสุดแล้วประชาชนจะได้อะไรกับครั้งนี้
“ นอกจาก กสทช. แล้ว ในส่วน ของสื่อจะรุ้เท่าทันไหม? ตรงนี ้น่ากลัวมาก เพราะ ทุก วันนี้คุณเล่นกัน Enga ge ( ยอด การเข้าถึง) เล่นกับยอด View ( ผ ู้ชม) คุณก็ค กอยู่ในการกำกับ S tructure ( โครงสร้าง) ของท ุนเทคฯ ใหญ่ ” รศ.ดร.วิไลวรรณกล่าว
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กล่าวว่า สมัยก่อนอินเตอร์เน็ตเรียกว่า Web Base การกำกับดูแลจะคล้ายกับสิ่งที่เห็นใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ คือเมื่อพบการนำเข้าเนื้อหาที่เป็นเท็จแล้วก่อให้เกิดผลกระทบ แช่น เกิดความตื่นตระหนก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่มาก่อนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะดำเนินการนำเนื้อหานั้นออก (Remove) หรือปิดกั้นการเข้าถึง (Block)
แต่เมื่อมาถึงยุคแพลตฟอร์ม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผลกระทบจากแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางขณะที่ในยุคเว็บไซต์จะมีคนดูแลเว็บ (เว็บมาสเตอร์) แต่ปัจจุบันเราอยู่ในโลกของแพลตฟอร์ม หลายคนบอกว่าเนื้อหาจะดีเพียงใดแต่หากไม่เข้ากับระบบของแพลตฟอร์มเนื้อหานั้นก็จะไปไม่ถึงเป็นวงกว้าง นอกจากนั้น อัลกอริทึมซึ่งถือเป็น AI ประเภทหนึ่ง การกำกับดุแลก็เปลี่ยนไปจากการนำเนื้อหาออกหรือบล็อกเว็บไซต์ ก็กลายเป็นเกิดสิ่งที่เรียกว่าข้อกำหนดมาตรฐานชุมชน (Community Standard)
เพราะวัฒนธรรมของอินเตอร์เน็จคือเสรีภาพ ต้องการให้ทุกอย่างเสรีเพื่อจะได้เกิดนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ แต่เมื่อเข้ายุคแพลตฟอร์มก็ไม่ใช่เพียงปัจเจกบุคคล (Individual) เท่านั้นที่มีส่วนร่วม แต่แพลตฟอร์มหรืออัลกอริทึมจะกำหนดว่าอะไรจะปรากฏ ใครจะอ่านอะไร จะเกิดปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) หรือไม่ จนมาถึงปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทำคลิปวิดีโอปลอมแปลงใบหน้าและเสียง (Deepfake) ซึ่งเราบอกไม่ได้แล้วว่าอะไรจริง – ไม่จริง ความน่าสะพรึงของพื้นที่นี้จึงไปไกล
“ กระทรวง ยังมองว่า ถ้ามีอะไรเฟคเราก็ตีตราแล้วก็บล ็อกไป มันไม่ใช่แล้ว มันถึงยุค ที่เราจะต้องใช้คำว่า Sy stematic ( มองทุกอย่างเป็นระบบ) แล้วก็เป็น ลักษ ณะที่ Proactive ( เชิ งรุก ) แล้ว ก็อ ย ่างกรณีของกฎหมาย ที่พยายามจะทำให้เกิด ก็คือเรื่องของ Digital Service Act ( กฎหมายการให้บริการดิจิทัล ) ของ EU ( หสภาพยุโรป ) หรือ Online Safety Act ของอังกฤษ ซึ่งพยายามจะมองว่ามันต้องเป็นระบบของการประ เมินความเสี่ยง ” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการ ThaiPBS กล่าวว่า ยุคอินเตอร์เน็ตผ่านมาหลายยุค ตั้งแต่ 1.0 2.0 3.0 จากยุคที่ผู้ใช้งานเป็นผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (User Generated Content) เป็นยุคเนื้อหาที่สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งน่ากลัวมาก การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook เป็นยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ เวลานั้นคนทำสื่อก็คิดว่าความสำคัญของสื่อค่อยๆ หายไป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดคำว่าฐานันดร 4 แล้วเพราะเชยมาก
เมื่อเปรียบอดีตกับปัจจุบัน เหตุการณ์เดือนตุลา แม้ตนจะยังเด็กแต่ก็รับรู้บทบาทของสื่อในการสร้างความเกลียดชัง เช่น วิทยุยานเกราะ เพลงหนักแผ่นดิน และยุคนี้ก็เช่นกันจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพุชา แต่ยุคนี้ไม่ใช่สื่อแต่เป็นทุกคนสามารถทำให้เกิดความเกลียดชังได้โดยมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลนืรองรับ และจะหนักข้อขึ้นในยุคที่เนื้อหาถูกสร้างด้วย AI ซึ่งเราไม่สามารถเชื่อได้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างในอดีตแพลตฟอร์มของวงการสื่อหนังสือพิมพ์คือเจ้าของแผงหนังสือซึ่งมีอำนาจกำหนดว่าหนังสือพิมพ์ฉบับใดจะได้วางจำหน่าย แต่ปัจจุบันมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ คนทำสื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับพลังอำนาจของแพลตฟอร์มได้ แพลตฟอร์มกำหนดคนดู – คนอ่าน คนทำสื่อต้องซื้อคนมาอ่านสิ่งในสิ่งที่ทำ จากเดิมที่คนอ่านซื้อหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ที่เคยสอนกันว่าเว็บไซต์เหมือนบ้าน แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นเพียงการไปเช่าเขาอยู่ แต่วันนี้คนสอบถาม AI ที่ไปกวาดข้อมูลมา คนก็ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าเว็บไซต์
“ ยิ่ง มองยิ่งมืด มน ยิ่งมองยิ่ง อยู่ กลาง มหาส มุท รมองไม่เห็นฝั่ง แต่ว่าในที่สุดแล้วคนทำสื่อเองก็ต้องคิดว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไร จะใ ช้ประโยชน์จากมันอย่างไร ซึ่งตอนนี้ผมก็คิดว่ายังอาจเร็วเกินไปที่เราจะพูดว่าเราจ ะอ ยู่รอดในมหาสง ครามนี้ ได้อย่างไร ตอนนี้ก็คือแค่ประคับประคอง เอาตัวรอดไปวันๆ หนึ่งไปก่อน ขอร้อง สังคมอย่ามาคาดหวังว่าสื่อจะต้องช่วยปกป้อง ตรวจสอบข่าวปลอมข่าวเท็จ อะไรต่างๆ ผมว่า ดูแล้ว เป็นไปไม่ได้ เล ย แต่ละคน คงต้องเอาตัวรอดเอง สื่อ ยังเอาตัวไม่รอดเลย ” อดิศักดิ์ กล่าว
จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากที่ฟังมารู้ได้เลยว่าภาครัฐของเรายังไม่สามารถไปดักหน้าเทคโนโลยี ยังอยู่กับการไล่จับข่าวปลอมแบบโบราณ ประเภทพูดมาแล้วผิดก็ตีว่าผิด แต่ไม่มีกฎหมายไปดักในเรื่องของ AI ตนมีโอกาสไปคุยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ไม่ทัน ซึ่งทางกรมฯ กำลังศึกษาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย AI เพิ่งเริ่มศึกษาในขณะที่โลกไปอีกระดับหนึ่งแล้ว เป็นการสะท้อนว่าข่าวสารเร็วมากจนรัฐไม่ทัน ซึ่งก็ไม่ทันตั้งนานแล้ว
หรืออย่างบทบาทของ กสทช. กับกระทรวงดิจิทัลฯ ก็รู้สึกว่าพึ่ง กสทช. ได้ง่ายกว่า เพราะในวันที่รู้จักศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตนเชื่อว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ล้อมวงคุยกับเขาว่าพัฒนาการไปขนาดไหน ในขณะที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น กสทช. เรียกอีกแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่ข่าวปลอมคือมหาสงครามที่วิวัฒนาการ กระทรวงดิจิทีลฯ ศุนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ตรวจสอบ ลองไปดูเพจของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่ามีคนตามเท่าใด ซึ่งไม่ครอบคลุมตราบใดที่ยังไม่จับมือกับสื่อ ทำให้สื่อมีความรู้ ให้สื่อเป็นช่องทางส่งต่อข่าวปลอมเหล่านี้ให้โลกได้รู้
ขณะที่ในส่วนของสื่อมวลชน อาจเป็นข่าวดีล่าสุดสมาคมนักข่าวฯ ร่วมกับโคแฟค จัดอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล (Fact Checking)ซึ่งเดิมตั้งเป้ารับไว้ 10 คน แต่มีมาสมัครถึง 30 คน ตนอยากให้มีนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลมากกว่าโยแวร์ (พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท.) หรือ ThaiPBS Verify โดยการอบรมครั้งนี้ได้เชิญทีมของ ThaiPBS Verify มาช่วยสอนด้วย
“ ผมว่าเวลามันเกิดเหตุหรืออะไรก็แล้วแต่ คนจะถวิลหาข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนที่เป็นมืออาชีพมากที่สุด ผมก็เลยค ิดว่าถ้าสื่อม วลชนใช้ความได้ เปรียบของ Influencer – Content Creator ( บุคคลมีชื่อเสียงหรือนักผลิตเนื้อหาบนโลกออ นไลน์) ที่เข้าไม่ถึงแห ล่งข่าว เขาไม่เจอนา ยกฯ เขาไม่เจอรัฐมนตรี เขาไม่เจอผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ เลย แต่เราดึงนักข่าวที่อยู่ทุกจุด สมมติมีข ่าวปลอมอะไร บ้างในวงการ อาชญากรรม ในวงการเศรษฐกิจ ดึงเขา มาทำความเข้าใจก่อนว่าข่าวปลอมบางทีค ุณอาจละเลย ไป ” จีรพงษ์ กล่าว
ในช่วงท้าย ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย และ Centre for humanitarian dialogue (HD) กล่าวปิดงาน ไล่เรียงจากวงเสวนาช่วงเช้าที่พูดถึงกลุ่มซึ่งตกเป็นเหยื่อความเกลียดชัง เช่น หลุ่มทางการเมือง แรงงานข้ามชาติ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ส่งผลให้เวลานี้เราอยู่ในหลายๆ วงจรของข้อมูลข่าวสารที่มีการใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจ ขณะที่ภาคประชาสังคมต้องการสร้างพื้นที่รู้เท่าทัน พื้นที่ของสันติวิธี
ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้พูดถึงสิ่งที่เห็นและที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง เป็นปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ วิเคราะห์โครงสร้างที่เราได้รับผลกระทบจากภาคส่วนต่างๆ ภาคนโยบาย ภาคกำกับดูแล ภาคที่ออกกฎหมายนิติบัญญัติต่างๆ ภาคสื่อสารมวลชน ประชาสังคม ประชาชนเองที่ต้องผชิญกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่รู้ว่าเราสามารถไว้วางใจใครที่จะขอใช้ข้อมูลหรือเชื่อข้อมูลนั้นได้ หรือบางทีเราก็ตกเป็นเหยื่อข้อมูล เพราะมีเครื่องมือที่ถูกออกแบบโดยมนุษย์มาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
“ ได้ยินได้ฟ ังการคุยกันถึงว่าเราต้องเรียนรู้ ต้องตระหนักรู้ ต้องร่วมมือกัน ต้องเ ข้าใจบทบาทแต่ ละฝ่ายว่าใครทำอะไรอยู่ในระบบนิเวศ ของ ข้อมูลข่าวสารนี้ แล้วทำอย่างไรนอกจากรู้เท่าทันแล้วยังต้อ งคิดประเมินล่วงหน้าด้วยว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นในโล กทางกายภาพ แล้วเราก็ต้องเข้าใจว ่าแล้วโลกออนไลน์มันเป็นอย่างไรอยู่แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อก ันและกัน ” ธีรดา กล่าว
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-