‘ควบรวมค่ายมือถือ-ถ่ายทอดบอลโลก’ เรื่องใหญ่ ‘สิทธิผู้บริโภค’ ปี65 ประชาชนต้องเข้มแข็งคานอำนาจรัฐ-ทุน

20 ธ.ค. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาองค์กรของผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) จัดงาน Year End Forum ผลสำรวจประเด็นสำคัญในรอบปี ณ ชั้น 31 อาคาร G Tower รัชดา พระรามเก้า (ฝั่งเหนือ) กรุงเทพฯ

โดยกิจกรรมในภาคเช้า เป็นการ เผยแพร่ผลการสำรวจในหัวข้อ “เรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อในรอบปี และการนำเสนอข่าวที่ผู้บริโภคไม่เชื่อใจ” ซึ่งผู้นำเสนอคือ นายชาย ปถะคามินทร์ ผู้อำนวยการบริหาร สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) รวมถึงมีผู้ร่วมให้ความเห็น ประกอบด้วย นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เยาวชน และสตรี , นายคมกฤช ลำเจียก ตัวแทนสื่อมวลชน , ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด , ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย กรรมการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ รศ.รุจน์ โกมลบุตร อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค

ส่วนในช่วงบ่าย เป็นการนำเสนอผลการสำรวจในประเด็น นโยบายการสื่อสารที่กระทบสิทธิมนุษยชน ข้อเสนอต่อรัฐ สื่อ และสังคม โดยผู้นำเสนอคือ น.ส.ปาณิสรา ตุงคะสามน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึง 7 ประเด็นร้องเรียนในปี 2565 ที่นำมาทำเป็นแบบสอบถาม สำรวจตั้งแต่วันที่ 1-15 ธ.ค. 2565 และมีผู้ตอบแบบสอบถาม 502 คน 

ได้แก่ 

1.SMS หลอกลวง กู้ยืมเงิน/หลอกให้โอน (รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์) ซึ่งหลายคนตกเป็นเหยื่อสูญเสียทรัพย์สิน พบว่า มิจฉาชีพอ้างเป็นพนักงานส่งพัสดุมากที่สุด รองลงมาคืออ้างเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนั้นยังมีการชักชวนให้เล่นการพนัน และมีบ้างที่อ้างเป็นคนรู้จัก 

2.ค่าบริการที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 ใช้บริการมือถือระบบเติมเงิน ที่แม้จะควบคุมค่าใช้จ่ายได้แต่ก็พบปัญหา ซึ่งแม้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จะบอกว่าไม่พบปัญหา แต่ก็มีบางส่วนที่พบ เช่น ไม่ได้ใช้บริการโทรศัพท์หรือไม่ได้สมัครบริการเสริมแต่กลับได้รับใบแจ้งหนี้ หรือการจ่ายค่าบริการแล้วแต่กลับถูกแจ้งว่ายังไม่ชำระค่าบริการ

3.ปัญหาอินเตอร์เน็ตบ้าน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่า พบปัญหาอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ตั้งแต่สัญญาณไม่ดีไปจนถึงใช้งานไม่ได้ รองลงมาคือความเร็วอินเตอร์เน็ตไม่สอดคล้องกับค่าบริการที่เสียไป นอกจากนั้นยังพบกรณีเมื่อจะยกเลิกการใช้บริการแต่กลับติดสัญญา การยกเลิกทำได้ไม่ง่ายเหมือนการสมัครใช้บริการ 

4.ข่าวปลอม (Fake News) ด้วยเทคโนโลยีทำให้การบริโภคข่าวสารของผู้คนรวดเร็วขึ้น และข่าวสารส่วนใหญ่ก็มาจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งผู้ใช้งานสามารถนำเสนอเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรอง 

 นำไปสู่การสร้างความสับสน หรือแม้แต่มีผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวปลอม ข่าวลือบิดเบือนข้อมูล อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบแบบสอบถามส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 ระบุว่า มีการตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มาของข่าวที่พบ ขณะที่มีบ้างบางส่วนที่สสอบถามญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิด โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนน้อยมาก (5 คน และ 3 คนตามลำดับ) ที่ตอบว่าเชื่อทันทีและทำตาม กับเชื่อทันทีและส่งต่ออย่างรวดเร็ว

5.การควบรวมกิจการมือถือระหว่าง True กับ Dtac มีข้อกังวลเรื่องการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะจะกลายเป็นการผูกขาด ประสิทธิภาพการแข่งขันลดลง มีเพียงร้อยละ 20 ที่เห็นด้วยโดยให้เหตุผลว่าเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ดีขึ้น 

6.การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก กรณีนี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้สนับสนุนเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) 600 ล้านบาท กับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 

แต่ กกท. กลับนำสิทธิ์ต่างๆ ที่ได้ไปมอบให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทั้งที่บริษัทนั้นสมทบทุนมาเพียงร้อยละ 25 ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง ไม่เห็นด้วยเพราะผู้บริโภคควรมีช่องทางรับชมที่หลากหลาย นอกจากนั้นยังเห็นว่า กกท. ควรแบ่งสิทธิ์การถ่ายทอดสดให้ผู้ประกอบการอย่างเท่าเทียมกัน แต่ก็มีอยู่บ้างที่เห็นด้วยเพราะสะดวกในการเลือกช่องทางรับชมเพราะมีช่องทางเดียว

และ 7.การบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (หรือกฎหมาย PDPA) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 หลังเลื่อนการบังคับใช้มาในช่วงก่อนหน้า  สาระสำคัญคือการสร้างมาตรการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย ให้สิทธิ์กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และนำไปใช้ให้ถูกต้องกับวัตถุประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาต ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.7 ไม่เคยพบปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายนี้ แต่อีกร้อยละ 37.7 พบปัญหาเพราะไม่เข้าใจกฎหมาย

จากนั้นมีการให้ความเห็นจากหลายท่าน อาทิ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า หากเป็นปัญหาระดับชาวบ้านทั่วไป ที่ผ่านมาตลอดทั้งปี 2565 แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาที่ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า และมูลค่าความเสียหายรวมแล้วตั้งแต่หลักพันล้านถึงหมื่นล้านบาท แต่หากเป็นเรื่องโครงสร้างระดับตลาด ก็เป็นเรื่องผูกขาดการให้บริการซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาว โดยทั้งเรื่องควบรวมกิจการและการถ่ายทอดฟุตบอลโลก มีเสียงสะท้อนของประชาชนถึงทุนกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจนว่ามีพฤติกรรมหรือวิธีการในการจัดการธุรกิจในประเทศนี้อย่างไร 

ขณะเดียวกันยังสะท้อนว่ารัฐไม่เท่าทันเอกชน จนประชาชนมองว่าหน่วยงานของรัฐกับเอกชนมีอะไรกันหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวในหลายกรณีเชื่อว่าไม่มี เพียงแต่ฉลาดไม่พอจนดูเหมือนต้องวิ่งตามเอกชนไปเรื่อยๆ ขณะที่เรื่องฟุตบอลโลกจอดำ ที่ผ่านมาบอกว่าแจกกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลไป 100% แต่เหตุใดมีคนเพียงร้อยละ 50 ที่ใช้กล่อง ส่วนอีกร้อยละ 50 ใช้จานดาวเทียม และที่ต้องเตรียมวางแผนกันต่อไปในอนาคต คือเรื่องสัญญาณ 5G เพราะหลังจากประมูลคลื่น 2600 Mhz และมีการติดตั้งเสาสัญญาณ ก็พบว่าจานดำบริเวณนั้นใช้งานไม่ได้ 

ดังนั้นหากจะมีการนำคลื่น 3500 Mhz หรือคลื่นดาวเทียม C-Band มาประมูล 5G จะทำให้จานดำทั้งประเทศดูไม่ได้เว้นแต่จะเปลี่ยนกล่องรับสัญญาณดาวเทียมใหม่ จึงต้องมาวางแผนกันว่าจะเตรียมแจกกล่องใหม่เมื่อใด ซึ่งไม่ใช่การแจกในวันนี้เพราะอีก 2 ปีก็จะดูไม่ได้อีก ดังนั้นในระยะยาวต้องคิดว่าประเทศไทยยังควรมีจานดำหรือไม่ หากให้มีก็ต้องคิดต่อไปว่าจะเป็นจานดำแบบไหนอย่างไร เช่น เข้ารหัสได้ ไม่ไปกวนกับสัญญาณ 5G การตั้งเสาสถานี ฯลฯ 

ส่วนเรื่องที่อ้างคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ทำให้บางช่องทางไม่สามารถรับชมฟุตบอลโลกได้ อีกมุมหนึ่งคำสั่งศาลเป็นเรื่องปลายน้ำ แต่ต้นทางคือการไปมอบสิทธิ์การถ่ายทอดให้เอกชน ทั้งที่สิทธิ์นั้นใช้เงินของรัฐไปซื้อมาโดยอ้างว่าต้องให้ทุกคนได้ดู หากไม่มอบสิทธิ์ศาลจะตัดสินอย่างนั้นหรือไม่ นอกจากนั้นยังต้องบอกว่า ไม่มีวิธีการพิเศษในการจัดการปัญหาให้จบแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกหรือ SMS หลอกลวง เพราะเป็นปัญหาทับซ้อนเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย และมีกฎหมายหลายฉบับ

เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แรกๆ มิจฉาชีพใช้การโทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งไม่มีเลขหมายเรียกเข้า กสทช. ก็ออกมาตรการให้ใส่เครื่องหมาย +698 มิจฉาชีพก็หันไปใช้การปลอมแปลงด้วยการว่าโทรศัพท์ด้วยเลขหมายที่ใช้ในไทยแต่เป็นการโทรศัพท์จากต่างประเทศ กสทช. ก็ไปออกมาตรการให้ใส่เครื่องหมาย +697 หรือ +698 กับหมาบยเลขเหล่านี้ และต่อมามิจฉาชีพก็ไปใช้วิธีโทรศัพท์ด้วยซิมการ์ดจากบริเวณแนวชายแดน ดังนั้นจะเห็นว่าไม่มีวิธีใดจัดการให้จบในครั้งเดียว และยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าไปช่องโหว่ก็ยิ่งมากขึ้น

ดังนั้นหากเรียกร้องให้รัฐจัดการก็ต้องให้มีการบูรณาการกันเพราะหน่วยงานเดียวทำไม่ได้ คำถามคือหน่วยงานของรัฐในไทยบูรณาการกันได้ระดับนั้นหรือไม่ หรือต่อให้หน่วยงานของรัฐบูรณาการกันจริงๆ บางเรื่องก็ต้องใช้ความตระหนักรู้จากประชาชนผู้ใช้บริการด้วย โดยหากไปสำรวจความตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยไซเบอร์หรืออินเตอร์เน็ต แม้แต่เยาวชนก็จะบอกว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อคือเพื่อนแต่ไม่มีใครคิดว่าตนเองจะเป็นเหยื่อ ด้วยความเชื่อว่าตนเองมีความรู้เท่าทัน ซึ่งทุกคนต่างมีอคติที่จะปกป้องตนเอง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วคนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ไม่ว่าของภาครัฐ ภาคการเมือง หรือภาคทุนก็ตาม

แก้ปัญหาโดยรัฐภาคเดียวก็อาจไม่สำเร็จ ต้องแก้ปัญหาโดยภาคประชาชน แต่ภาคประชาชนก็ต้องตระหนักรู้ด้วยว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ไหน ถ้าประเมินว่าเรารู้เท่าทันหมดทุกอย่างเลย รู้ทันพรรคการเมืองทุกพรรค นักการเมืองทุกนามสกุล เจ้าสัวทุกตระกูล แล้วทำไมประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ระดับนี้ เพราะจริงๆ เราไม่ได้รู้เพื่อไปผลักดันการแก้ปัญหา เหมือนคำถามง่ายๆ ที่เราสำรวจ ไม่เห็นด้วยกับการควบรวม แต่ ณ จุดนี้ จริงๆ เราต้องเลิกถามคำถามและคำตอบแบบนี้ ต้องถามว่าถ้าควบรวมแล้วเราจะทำอย่างไรกับมัน 

เราจะบอกให้ กสทช. สร้างผู้รับใบอนุญาตรายที่ 3 ขึ้นมาไหม รัฐจะมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างไร หรือประชาชนจะร่วมกันสร้างอำนาจต่อรองกับนายทุนที่พยายามจะผูกขาดเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นค่ายเขียว ค่ายแดง ค่ายฟ้า ได้อย่างไรไหม โดยสรุปผมรู้สึกว่าคำถามมันทำให้เราฉุกคิด แล้วเราต้องหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจังด้วย และทำร่วมกันทั้งรัฐ ทั้งเอกชน และตัวเราเองนพ.ประวิทย์ กล่าว

น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สิทธิผู้บริโภคถือเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง ซึ่งจากทั้ง 7 เรื่องข้างต้นก็มีที่ไปถึง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เช่น การควบรวมกิจการระหว่าง True กับ Dtac แต่การที่ กสม. จะหยิบยกเรื่องใดขึ้นมาพิจารณา ในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายระบุว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่เข้าสู่กระบวนการทางศาลแล้ว อย่างไรก็ตาม กสม. ยังมีช่องทางในการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาโดยมองผลกระทบโดยเฉพาะกับกลุ่มคนชายขอบ อาทิ ค่าบริการจะแพงขึ้นหรือไม่ หรืออาจไม่มีการไปลงทุนในพื้นที่ห่างไกล แม้ทางสภาองค์กรผู้บริโภค จะนำเรื่องดังงกล่าวไปฟ้องศาลปกครองแล้วก็ตาม 

ส่วนเรื่อง SMS หลอกลวงและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประชาชนก็คงต้องถามว่าเหตุใดหน่วยงานที่มีหน้าที่ถึงจัดการไม่ได้ โดยเฉพาะ SMS หลอกลวงหรือชักชวนให้เล่นการพนัน บรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ประชาชนเป็นลูุกค้า ก็น่าจะมีมาตรการกรอง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าประเทศจะมีกฎหมายดีขนาดไหน หากผู้บริโภคไม่เข้มแข็งพอแม้มีกฎหมายก็ไร้ผล และต้องไม่ลืมเรื่องของทุนหรือผู้ประกอบการที่คาบเกี่ยวกับผู้ที่มีหน้าที่กำกับควบคุม ซึ่งประเทศไทยออกแบบกลไกมาดี แต่ในทางปฏิบัติมีปัญหา และไม่ได้ยึดหลักการตามที่กฎหมายกำหนด

เราก็ใกล้จะเลือกตั้ง คือจริงๆ คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันไปเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่มากก็น้อย แต่จริงๆ คิดว่ามากด้วย เพราะทุกสิ่งอย่างมันมาจากการเมืองหมดเลย อันนี้ก็เป็นโอกาสหนึ่งที่เราน่าจะควรมีการรณรงค์การเลือกตั้ง ที่จะทำให้ได้คนที่คิดว่ามันน่าจะไม่เป็นปัญหาซ้ำรอยเดิมที่จะเข้ามาอยู่ในสภา ซึ่งมันก็อาจจะไมได้ง่าย แต่ว่าการที่เชื่อมโยงให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่มันเป็นปัญหาของผู้บริโภคในปัจจุบันมันเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร แล้วเราจำเป็นต้องช่วยกันทำให้การเมืองมันเรียกว่ามีคุณภาพ และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่เดินซ้ำรอยเดิมอยู่ตลอดเวลา น.ส.สุภัทรา กล่าว

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2565 นี้มีเหตุการณ์สำคัญ คือการควบรวมกิจการระหว่าง True กับ Dtac ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านโทรคมนาคมที่ปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการน้อยอยู่แล้วใไห้เหลือแต่แบบกึ่งผูกขาด ที่ผ่านมาเข้าใจว่า สภาองค์กรของผู้บริโภค พยายามทำแทบทุกวิถีทางแล้ว ทั้งการฟ้องศาล การแถลงข่าว การรณรงค์ การเรียกร้องต่อ กสทช. แต่แทบจะไม่เกิดผลใดๆ เลย ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะกระทบต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างด้านโทรคมนาคม ซึ่งสุดท้ายก็จะย้อนกลับไปส่งผลกระทบยังผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เคยเป็นกรรมการใน กสทช. มาก่อน เข้าใจข้อจำกัดของ กสทช. ที่ไม่เป็นเอกภาพและถูกกำหนดทิศทางด้วยเสียงข้างมากเสมอ แต่น่าเสียใจที่มติรอบนี้ของ กสทช. เป็นมติสีเทาที่ไม่ชัดเจน จึงใช้กลไกทางศาลช่วยให้ความเป็นธรรม ซึ่งศาลแม้รับเรื่องแต่ไม่นับเป็นเรื่องฉุกเฉิน นอกจาก กสทช. แล้ว รัฐบาลก็ไม่แสดงท่าทีอะไรทั้งที่กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ขณะที่ปัญหาการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 แม้พลังของสังคมจะเรียกร้องได้ระดับหนึ่งแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก จากเงินที่ใช้จากกองทุน กทปส. ไป 600 ล้านบาทแล้วอาจยังไม่ตอบโจทย์ อีกทั้งยังพบจอดำคือไม่สามารถรับชมการแข่งขันได้ ซึ่งสิ่งที่อยากฝาก กสทช. คือควรไปสำรวจว่ามีคนไทยกี่ครัวเรือนที่ยังไม่สามารถรับชมฟรีทีวีได้ ยังมีปัญหาจอดำอยู่ เพราะจอดำไม่ใช่เพียงผู้ที่ใช้ IPTV แต่ยังรวมถึงคนที่ใช้จานดาวเทียมขนาดใหญ่ที่เข้ารหัสไม่ได้ เงิน กทปส. ควรนำมาใช้เยียวยาคนกลุ่มนี้ เช่น แจกกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล ซึ่งเป็นการใช้เงินที่ตรงกับวัตถุประสงค์ แต่สำคัญที่สุด แม้จะเป็น IPTV เมื่อออกอากาศฟรีทีวีก็ไม่ควรจอดำแต่แรก

ส่วนคำถามที่ว่าจะหาทางออกจากปัญหาต่างๆ ที่เป็นอยู่อย่างไร เท่าที่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนรุ่นใหม่ในหลายพรรคการเมือง ทั้งที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคใหม่ๆ ที่เพิ่งตั้งขึ้น พบว่ามีแนวคิดที่เปิดกว้างและก้าวหน้า สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมือง แม้รายละเอียดจะต่างกันบ้างแต่ก็ยังมีความเหมือนกันอยู่ จึงมีความหวังกับคนกลุ่มนี้ ทำอย่างไรจะทำให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ลุกขึ้นมาเป็นแกนหลักได้ และเป็นคานถ่วงดุลกับกับคนรุ่นเก่าที่อาจจะเติบโตมาในระบบอุปถัมภ์ 

อีกด้านหนึ่ง สภาองค์กรผู้บริโภค คงต้องเตรียมตัวทั้งการจัดเวที มีข้อเสนอแนะ หรือเดินสายพูดคุยกับแต่ละพรรคการเมือง เพื่อให้ฝ่ายการเมืองให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ตั้งแต่การเข้าถึง ราคาที่เป็นธรรม คุณภาพ รวมถึงการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลทางดิจิทัลไม่ให้ถูกหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งนับวันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนจะปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับ กสทช. อย่างไรโดยมองไปยังอนาคต เมื่อตลาดและระบบนิเวศเปลี่ยน กฎหมายที่มีอยู่เดิมเพียงพอหรือไม่ในการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่งเสริมการแข่งขัน ส่วนภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนคงต้องช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่จากพรรคการเมือง

สิ่งที่เราจะต้องสู้มากๆ เลยคือระบบอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบรวมโทรคมนาคมหรือบอลโลก เราก็เห็นอยู่เลยว่ามันเป็นปัญหาเดิมของประเทศไทยที่พยายามจะปฏิรูปมาหลายปีแต่ยังไม่สำเร็จ เพราะการที่เราต้องมี กสทช. เพราะว่าเราต้องการจะปฏิรูปสิ่งที่เรียกว่าระบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ นอกจากจะปฏิรูปไม่สำเร็จเรายังมาเจอทุนนิยมอภิสิทธิ์เข้าไปอีก เรียกว่าการมีกลไกที่มีอิสระจากการเมืองอย่าง กสทช. จะช่วยได้ 

แต่ว่ามันก็อาจจะไม่ใช่เป็นคำตอบ สุดท้ายมันอาจต้องกลับมาที่พลังของพลเมือง อันนี้ก็เห็นด้วยว่าจะต้องเข้มแข็งกว่านี้อีกเยอะเลย เพื่อที่จะคานถ่วงดุลและไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่พรรคการเมืองก็ควรจะมีนโยบายสิทธิผู้บริโภค สิทธิในยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นน.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ฉายภาพอุดมคติสวนทางความจริง สังคมคาดหวังสูงเรื่องจริยธรรมกับสื่อที่ต้องดิ้นรนให้รอดทางธุรกิจ

วงเสวนาฉายภาพอุดมคติสวนทางความจริง สังคมคาดหวังสูงเรื่องจริยธรรมกับสื่อที่ต้องดิ้นรนให้รอดทางธุรกิจ

20 ธ.ค. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาองค์กรของผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) จัดงาน Year End Forum ผลสำรวจประเด็นสำคัญในรอบปี ณ ชั้น 31 อาคาร G Tower รัชดา พระรามเก้า (ฝั่งเหนือ) กรุงเทพฯ

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาองค์กรของผู้บริโภค ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการคุ้มครองผู้บริโภคหลากหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการได้รับบริการสื่อสารรวมถึงข่าวสารต่างๆ บนเป้าหมายที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องได้ความคุ้มครอง มีความปลอดภัยในการได้รับข้อมูลข่าวสาร จากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติภายใต้คณะกรรมการชุดปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการทำให้สื่ออาชีพมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งทุกวันนี้ผู้บริโภคก็มีข้อสงสัย ในฐานะเป็นองค์กรกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรรมสื่อมวลชน ก็คงต้องเน้นทำงานในส่วนนี้มากขึ้น ซึ่งการนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนี้ว่าด้วยประชาชนเชื่อใจสื่อมาก-น้อยเพียงใด จะเพื่อนำไปสู่การแก้ไข รวมถึงยังมีการนำเสนอเรื่องนโยบายการสื่อสารที่มีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และมีข้อเสนอต่อรัฐ สื่อและสังคมด้วย

“วันนี้ยังคงมีประเด็นที่สื่อได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการนำเสนอข่าวมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นครั้งคราว แม้ในส่วนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจะมีข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และแนวปฏิบัติต่างๆ ที่คอยย้ำเตือนสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิกไม่ให้ไปละเมิดสิทธิมนุษยชน ตรงนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของการทบทวนข้อเสนอที่ให้เราทำงานได้อย่างรอบคอบมากขึ้น” ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า การสื่อสารในยุคดิจิทัลมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ด้านหนึ่งคือการสื่อสารทำได้ง่ายและเร็วขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งข้อมูลข่าวสารที่เป็นมลภาวะ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบิดเบือน สับสน ไม่ถูกต้อง หรือเนื้อหาที่กระทบสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนและสตรี ตลอดจนผู้เสียชีวิตหรือใครก็ตามที่ตกเป็นข่าว  เรื่องเหล่านี้ต้องพูดคุยกันเสมอเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพในการสื่อสารกับความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งที่เป็นสื่อมวลชนและประชาชนทุกคนด้วย

“ในยุคนี้ไม่ใช่เป็นแค่สื่อมวลชนเท่านั้น แต่ทุกคนก็ยังเป็น บก. ด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นคนแชร์ข่าว หรือเป็นคนให้ความเห็น เพราะฉะนั้นไม่เฉพาะสื่อมวลชน แต่พลเมืองผู้บริโภคทุกคนก็ต้องตื่นตัว ตื่นรู้ และเป็นพลเมืองยุคดิจิทัลที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งทางคณะผู้จัดงานก็หวังว่า เนื้อหาในวันนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งการทำงานในเชิงนโยบายและในเชิงปฏิบัติของทุกหน่วยงานต่อไป” น.ส.สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเผยแพร่ผลการสำรวจในหัวข้อ เรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อในรอบปี และการนำเสนอข่าวที่ผู้บริโภคไม่เชื่อใจโดยผู้นำเสนอท่านแรกคือ นายชาย ปถะคามินทร์ ผู้อำนวยการบริหาร สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวถึงภาพรวมของการสำรวจ ว่า ประเด็นข่าวในปี 2565 ที่ใช้ในการสำรวจมีทั้งสิ้น 11 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ข่าวการฆ่าตัวตายของ ไมเคิล พูพาร์ท ดาราดัง เหตุเกิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 ซึ่งพบว่า สื่อนำเสนออย่างละเอียดทั้งคลิปเสียง จดหมายลาตายและแรงจูงใจของการฆ่าตัวตาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมองว่าการละเมิดจริยธรรมยังไม่ชัดเจน

2.ข้อร้องเรียน นสพ.ไทยรัฐ พาดหัวข่าวไม่เป็นจริง กรณีพาดหัวข่าวว่า นักท่องเที่ยวหนีทะเลน้ำมัน เกาะเสม็ดเจ๊ง รีสอร์ท เรือ ร้านอาหารโวยได้รับผลกระทบหนักซึ่งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2565 เนื่องจากประชาชนชาว จ.ระยอง ไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทาง นสพ.ไทยรัฐ ได้ส่งหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งพบว่าเป็นการรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง เรื่องนี้จึงยุติไป

3.ข่าว แตงโม-นิดา (ภัทรธิดา) พัชรวีระพงษ์ ดาราดัง ตกน้ำเสียชีวิต เหตุเกิดวันที่ 24 ก.พ. 2565 เป็นกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวแบบต่อเนื่องยาวนานนับเดือน 

4.ข่าวอุบัติเหตุ หมอกระต่าย-พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ถูกนายตำรวจยศสิบตำรวจตรีขี่มอเตอร์ไซค์ชนเสียชีวิต บริเวณทางม้าลายหน้าสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท เหตุเกิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 กรณีนี้และรวมถึงกรณีของแตงโม-นิดา การนำเสนอข่าวของสื่อนอกจากรายงานเหตุการณ์หรือข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนแล้ว ยังสามารถให้ความรู้หรือกระตุ้นเตือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความสูญเสีย เช่น กรณีข่าวหมอกระต่าย ประชาชนระมัดระวังในการขับขี่ผ่านทางม้าลายมากขึ้น หรือทางม้าลายในกรุงเทพฯ ถูกทาสีให้เห็นชัดเจนขึ้น

5.ข่าวผู้นำยูเครนสวมเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ของลัทธินาซี ซึ่ง นสพ.ไทยโพสต์ ถูกร้องเรียนว่านำเสนอข่าวไม่ตรงกับความจริง กรณีนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบในวันที่ 24 มี.ค. 2565 ต่อมาทาง นสพ.ไทยโพสต์ ได้ลบข่าวดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ แต่ไม่มีการชี้แจงใดๆ กลับมาที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 

6.การนำเสนอข่าวหลวงปู่แสงของ นสพ.ไทยรัฐ กรณีนี้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในการประชุมกรรมการจริยธรรม เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2565 เหตุการณ์นี้เนื่องจากมีคณะสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ดงสว่างธรรม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร หลังมีเรื่องร้องเรียนกรณีพระเกจิดังอายุร่วม 100 ปี มีพฤติกรรมลวนลามหญิงสาว

 ซึ่งเรื่องนี้สื่อมวลชนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะเป็นการทำข่าวพระสงฆ์ที่มีประชาชนนับถือมาก ประเด็นนี้ทาง นสพ.ไทยรัฐ ยอมรับว่ามีผู้สื่อข่าวหญิงเดินทางไปจริง โดยไม่ได้แจ้งหัวหน้าข่าวและกองบรรณาธิการทราบ ทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้น เบื้องต้นมีการสั่งพักงานผู้สื่อข่าวคนดังกล่าว 7 วัน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนหัวหน้างานตามลำดับสายงาน ต่อมาสำหรับผู้สื่อข่าวและโปรดิวเซอร์รายการที่ไปทำข่าว มีบทลงโทษให้ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนบรรณาธิการของไทยรัฐทีวีให้ตักเตือนและกำชับให้ระมัดระวังให้มากกขึ้น

7.เว็บไซต์แห่งหนึ่งร้องเรียนสำนักข่าวสปริงนิวส์ คัดลอกข่าวไปใช้โดยไมได้รับอนุญาตและไม่มีการอ้างถึงต้นทาง จากการตรวจสอบยังพบสำนักข่าวอื่นๆ ที่นำเนื้อหาดังกล่าวมาใช้ ประกอบด้วย เดลินิวส์ ไทยพีบีเอส และโพสต์ทูเดย์ แต่ในเวลาต่อมาพบว่าสำนักข่าวกลุ่มนี้ได้ทำหนังสือขอโทษไปแล้ว 

8.สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยต์นำเสนอข่าวนักเรียนชาย-หญิงมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในร้านกาแฟ เบื้องต้นได้แจ้งไปยังสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ซึ่งทางสภาวิชาชีพฯ ได้นำเข้าเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์นี้

9.ข่าวกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ จ.หนองบัวลำภู เหตุเกิดวันที่ 6 ต.ค. 2565 เรื่องนี้ทั้งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ หารือและร่วมกันออกแถลงการณ์กำชับให้สื่อระมัดระวังการนำเสนอข่าว การใช้ภาพและการตั้งคำถามที่อาจไปซ้ำเติมความเศร้าโศกของญาติผู้สูญเสียไม่ว่าเหยื่อหรือผู้ก่อเหตุ หรือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ตกเป็นข่าว

10.ข่าวการทำร้ายร่างกายนาย ศรีสุวรรณ จรรยา ขณะเดินทางไปร้องเรียนให้ตรวจสอบ โน้ส-อุดม แต้พานิช และข่าว เค ร้อยล้าน ทำร้ายร่างกาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ หยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาในวันที่ 26 ต.ค. 2565 มีมติให้นำเสนอในรายการวิทยุ รู้ทันสื่อ ของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ในหัวข้อ บทบาทสื่อในการลดความรุนแรงและความเกลียดชัง ทางคลื่น FM100.5 อสมท. 

และ 11.กรณีสำนักข่าวดาราเดลี พาดหัวข่าวล่อแหลม ส่อเสียด ไม่เป็นความจริง และไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ กรณีดาราสาวเจอคนโรคจิตคุกคาม และยังเจอความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยพาดหัวมีการใช้คำว่า ขาย… ซึ่งถูกมองว่านำเสนอแบบสองแง่สองง่าม เร้าอารมณ์และไม่ตรงกับเนื้อหาข่าว ซึ่งแม้ต้นทางจะยอมรับความผิดพลาดและลบข่าวดังกล่าวออกไปแล้ว แต่ทางคณะกรรมการก็ได้ทำหนังสือตักเตือนเรื่องการนำเสนอข่าวอย่างผิดจริยธรรม

ส่วนผู้นำเสนออีกท่านคือ ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงการสำรวจทางออนไลน์ด้วยวิธี Google Form ระหว่างวันที่ 2-17 ธ.ค. 2565 มีการตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 248 ครั้ง ซึ่งแม้จะดูน้อยแต่ความน่าสนใจคือการให้ความเห็นเพิ่มเติมของผู้ตอบแบบสอบถาม นอกเหนือจากคำถามหลักที่กำหนดให้ต้องตอบ มีข้อค้นพบ 

1.ข่าวแตงโม-นิดา ตกน้ำเสียชีวิต ถูกมองว่าการทำงานของสื่อเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมมากที่สุด รองลงมาเป็นข่าวกราดยิงศูนย์เด็กเล็กที่ จ.หนองบัวลำภู และข่าวหลวงปู่แสง 

นอกจากนั้นยังมีข่าวอื่นๆ ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเพิ่มเติมเข้ามา เช่น การนำเสนอข่าวของสำนักข่าวบางแห่งที่อิงการเมือง ข่าวปลากุเลา ข่าวหมอนวดหลอนยา ฯลฯ 

2.สื่อถูกมองว่าละเมิดความเป็นส่วนตัว/สิทธิเด็ก/สิทธิสตรีมากที่สุด รองลงมาคือการนำเสนอข่าวแบบหวือหวา ดราม่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการนำเสนอเนื้อหา ภาพและเสียงที่ไม่เหมาะสม (อนาจาร อุจาด ละเมิดสิทธิ) รองลงไปเป็นการนำเสนอแบบมีอคติไม่รอบด้าน ข้อมูลบิดเบือนคลาดเคลื่อน ไม่ใช้วิธีการตรงไปตรงมาเพื่อให้ได้ข่าว และทำให้สังคมตื่นตระหนก

3.ข้อเรียกร้องต่อสื่อให้ปรับปรุงมากที่สุด คือการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม สร้างความเกลียดชัง รองลงมาคือการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และมี 2 เรื่องที่เสียงสะท้อนใกล้เคียงกัน คือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่รอบด้านและไม่เป็นความจริง และการไม่คำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้หญิง ผู้สูงวัย ผู้บกพร่องทางร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเรื่องแฝงประโยชน์ทางธุรกิจ-รายได้ ไม่ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส สุจริต ตรงไปตรงมา และมีอคติทางการเมือง

4.มาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้สื่อได้รับความไว้วางใจจากสังคมมากที่สุด รองลงมาคือการจัดพื้นที่ให้ผู้รับสารได้เสนอแนะเพื่อปรับปรุงการทำงานของสื่อ ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลในข่าว โดยเฉพาะข่าวสืบสวนสอบสวนหรือข่าวที่เป็นข้อถกเถียง ส่วนเสียงสะท้อนอื่นๆ เช่น กองบรรณาธิการมีความพยายามและความมุ่งมั่นในการรายงานข่าว แยกให้ชัดเจนระหว่างข่าวกับบทความหรือบทวิเคราะห์ ผู้สื่อข่าวควรรายงานมาจากพื้นที่หรือมีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่นั้น สื่อต้องมีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ อธิบายกระบวนการทำข่าว โดยเฉพาะข่าวสืบสวนสอบสวนหรือข่าวที่เป็นข้อถกเถียง เปิดเผยชื่อ ประวัติและความเชี่ยวชาญในผลงานที่นำเสนอ

5.สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นองค์กรที่ถูกนึกถึงมากที่สุดเมื่อจะร้องเรียนสื่อ ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นการร้องเรียนสื่อโทรทัศน์ รองลงมาคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเหตุผลคือน่าจะเป็นสมาคมที่อยู่มานาน จึงได้รับการนึกถึงแม้จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อหนังสือพิมพ์ในแบบสอบถามน้อยก็ตาม จากนั้นจะเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน เช่น สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์?ไทย และนอกจากสมาคมวิชาชีพสื่อ ผู้ตอบแบบสอบถามยังนึกถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกรมประชาสัมพันธ์

ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคิดเห็นอื่นๆ นอกเหนือจากคำถามที่กำหนดให้ต้องตอบ สามารถแบ่งได้ 7 กลุ่มดังนี้ 1.ด้านกฎหมาย ให้มีการปฏิรูปสื่อ มีกฎหมายรองรับและเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้น 2.ด้านจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อที่คุ้นเคยกันดี ทั้งเรื่องความถูกต้อง สมดุล ไม่อคติ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ รวมถึงมีข้อเรียกร้องให้คนจะทำงานสื่อต้องผ่านการอบรมและสอบจริยธรรม และต้องต่ออายุทุกปี

3.ด้านการทำหน้าที่ของสื่อ มีเสียงสะท้อนว่าสื่อทำหน้าที่ได้ด้อยลงทั้งคุณภาพข่าว การนำเสนอ ภาษาและจริยธรรม ไม่มีนักข่าวมีแต่นักเล่าข่าว และเชิญชวานสื่อให้ไม่สนับสนุนสำนักข่าวที่นำเสนอข่าวที่อย่างขัดต่อจริยธรรม หลอกลวงเพื่อเรตติ้ง และข่าวบันเทิงที่ไม่มีสาระประโยชน์ ในทางกลับกัน สิ่งที่สื่อควรทำคือ ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนนำเสนอ พยายามรักษาจริยธรรมและมาตรฐานการทำข่าวด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ 

ข่าวที่ดีต้องถูกต้องคือ ตรงไปตรงมา ไม่ชี้นำ ไม่สร้างกระแส ไม่นำมาเป็้นเครื่องมือทำมาหากินสร้างเรตติ้ง นำเสนอข่าวตรงไปตรงมา ไม่โน้มเอียงไปฝ่ายใดหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิด นำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น ความมักง่าย นำเรื่องราวจากพื้นที่ออนไลน์มานำเสนอ นำเสนอความอาชญากรรมแบบลงรายละเอียดมากซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อพฤติกรรมเลียนแบบ นำเสนอข่าวความรุนแรง ข่าวสร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวไร้สาระ เป็นต้น

4.ด้านการนำเสนอของแพลตฟอร์ม มีไม่มากนักแต่ค่อนข้างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของเพจย่อยตามแพลตฟอร์มต่างๆ ของสื่อหลัก มีทั้งการพาดหัวแรงให้เข้าใจผิด ใส่อคติ เน้นขัดแย้ง ใส่ความเป็นตัวตนของนักข่าวหวังเรตติ้ง พาดหัวกับเนื้อหาข่าวไปคนละทาง ยัดเยียดโฆษณาในข่าว อยากให้จัดการกับสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่เนื้อหาเรื่องเท็จ หยาบคายหรือไม่เหมาะสม ให้มีมาตรการกำกับการนำเสนอข่าวออนไลน์ที่ถูกต้อง ไม่เน้นแข่งขันความเร็วและเรตติ้ง นอกจากนั้นมีความเห็นว่า กสทช. ไม่ทำหน้าที่ 

5.ด้านการกำกับดูแล-การลงโทษ ไล่ตั้งแต่ควรมีกฎหมายควบคุมอย่างจริงจัง ความคุมการออกอากาศของสื่อโทรทัศน์ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ซึ่งปัจจุบันพบการโฆษณาแฝงและโฆษณาเกินเวลา ตั้งองค์กรรับเรื่องร้องเรียนสื่อและมีบทลงโทษอย่างจริงจังกับสื่อที่ไร้จริยธรรม บิดเบือน อคติ คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไปจนกระทั่งกำหนดให้คนจะทำงานเป็นสื่อต้องผ่านการสอบจริยธรรมไม่ต่างจากแพทย์ วิศวกร สถาปนิก และต่ออายุทุกปี เป็นต้น

6.ด้านองค์กรวิชาชีพสื่อ มีตั้งแต่เสียงเรียกร้องให้จัดอบรมบ่อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำหน้าที่ อบรมจริยธรรมก่อนให้มาทำหน้าที่สื่อ เก็บประวัติและพิจารณาการต่ออายุเหมือนวิชาชีพอื่นๆ องค์กรวิชาชีพควรประชาสัมพันธ์ช่องทางการร้องเรียนและแสดงบทบาทในการกำกับดูแลกันเองของสื่อที่เป็นสมาชิกให้มากกว่านี้ และอย่าทำตัวเป็นเสือกระดาษ 

และ 7.ด้านความเห็นต่อแบบสอบถาม เช่น ดีใจที่มีการพูดถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณสื่อ โดยเฉพาะออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงทำให้จริยธรรมและจรรยาบรรณสื่อต่ำเตี้ยลงทุกวัน รวมถึงมีเสียงสะท้อนเรื่ององค์กรตรวจสอบสื่อ ว่าไม่ต้องการเลือกองค์กรใดเลยเพราะไม่มีองค์กรใดพึ่งได้อย่างแท้จริง

ในช่วงท้ายมีการให้ความเห็นจากหลายท่าน อาทิ นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เยาวชน และสตรี สะท้อนภาพการนำเสนอข่าว เช่น กรณีคดีน้องชมพู่ที่สถานีโทรทัศน์บางช่องนำเสนอแบบขยี้เสียจนไม่รู้ว่าทำหน้าที่เป็นสื่อหรืออะไรกันแน่ การใช้ภาพกราฟฟิกแอนิเมชั่นจำลองเหตุการณ์ที่มีทั้งการชี้นำ ก่อดราม่าและ และเกินจริงโดยอ้างว่าไม่ได้ไปยุ่งกับคนจริงๆ ซึ่งหากนำไปพิจารณาในชั้นเรียนด้านสื่อจะมีกฎเหล็กเต็มไปหมดว่าอะไรทำได้-ไม่ได้ แต่กลับปล่อยขึ้นหน้าจอได้แบบที่คนดูก็สงสัยว่าแบบนี้ทำได้ด้วยหรือ

ขณะที่กลไกการกำกับดูแล ไล่ตั้งแต่องค์กรวิชาชีพสื่อไปจนถึงองค์กรอิสระของรัฐอย่าง กสทช. ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นนำเสนอในลักษณะนี้ รวมถึงนักเล่าข่าวที่ใส่อารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างคดีเด็กหญิงถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยครู ในช่วงที่เกิดคดีใหม่ๆ เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต ที่ผ่านมาได้เข้าไปช่วยเสริมพลังให้เด็กกล้าให้การต่อศาล โดยล่าสุดคาดว่าในปี 2566 ศาลจะอ่านคำพิพากษา ซึ่งสื่อก็คงจะหยิบเรื่องนี้มานำเสนออีกครั้ง แน่นอนว่าก็ต้องเข้าไปเสริมพลังกับเด็กอีกครั้งด้วยเช่นกัน

ดังนั้นอยากชวนคิดในเชิงอุดมคติเรื่อง สิทธิที่จะถูกลืม ของคนที่ตกเป็นข่าวโดยเฉพาะข่าวที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนคนั้นตลอดไป เช่น การถูกกระทำล่วงละเมิด แต่ในความเป็นจริงในหลายๆ กรณี สื่อไม่รู้จักเรื่องนี้ และแม้ว่ายังไม่มีกฎหมายระบุไว้ แต่เรื่องนี้เป็นสำนึก หากผู้ถูกกระทำเป็นญาติพี่น้องของเรา ลองคิดว่าเราจะต้องการให้มีสิทธินี้หรือไม่ หากต้องการก็ทำได้เลยโดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมาย เพราะสื่อนอกจากจะเป็นกระจกแล้วยังต้องเป็นแสงสว่างด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ สุดท้ายสื่อก็ยังมองผลประโยชน์และเรตติ้งเป็นหลัก

อีกด้านหนึ่ง มีตัวอย่างจากข่าวคนทำงานด้านสิทธิเด็กกลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิเด็กเสียเอง ประเด็นนี้ให้ข้อสังเกตที่ในมูลนิธิแห่งนั้นมีคนจบมหาวิทยาลัยด้านต่างๆ มากมาย ถามว่าไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์เลยหรือ? จริงอยู่เรื่องนี้เข้าใจได้เรื่องปัจเจกชนอาจคิดว่าต้องอยู่ให้เป็น แต่ก็น่าคิดอีกเช่นกันว่าสถาบันการศึกษาจะทำอย่างไรให้ปัจเจกกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าเพียงการให้ความรู้ ซึ่งรวมถึงสถาบันที่ผลิจคนทำงานสื่อด้วย 

ความรู้ที่ปราศจากความกล้าหาญมันจะมีประโยชน์อะไร มันแค่เอาให้คนคนหนึ่งมีอาชีพ เอาตัวรอด แต่มันไม่ได้เป็นที่พึ่งของคนที่เปราะบางเลย ดังนั้นเวลาเราตั้งคำถามเรื่องพวกนี้มันก็จะวนไป-มา ระหว่างปัญหาในระดับปัจเจกกับในระดับโครง ในระดับระบบ ซึ่งเราก็อยากให้สถาบันที่ดูแลสื่อลองวิเคราะห์ตัวเองแบบและทะลุทะลวงว่าทำอย่างไรให้ความเป็นปัจเจกของเขายังกล้าหาญต่อไป ในขณะเดียวกันทำอย่างไรกับระบบที่ไม่มันเอื้อต่อปัจเจกให้มันออ่อนแอกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาจัดการกับคนได้ง่ายๆ นางทิชา กล่าว

นายคมกฤช ลำเจียก ตัวแทนสื่อมวลชน ยกตัวอย่างข่าวแตงโม-นิดา ตกน้ำเสียชีวิต ข้อมูลที่รวบรวมมาจากเพจข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องวัน 31 โดยเหตุการณ์แตงโม-นิดา ตกน้ำ เกิดขึ้นวันที่ 24 ก.พ. 2565 เปรียบเทียบระหว่างเดือน ม.ค. 2565 มียอดรับชมคลิปวีดีโอของเพจ 61.3 ล้านนาที เดือน ก.พ. 2565 มียอดรับชม 103.5 ล้านนาที เดือน มี.ค. 2565 มียอดรับชม 163.3 ล้านนาที และเดือน เม.ย. 2565 มียอดรับชม 23 ล้านนาที ข้อมูลข้างต้นนี้ชี้ว่า แค่นำเสนอข่าวแตงโม-นิดา อย่างเดียวก็ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นแล้วเพราะได้ยอดผู้รับชมมาจำนวนมาก 

และแม้จะสรุปอะไรไม่ได้มาก เพราะยังต้องไปหาข้อมูลเรตติ้งจากสื่อหรือเพจอื่นๆ เพิ่มเติม แต่ก็พอจะสะท้อนภาพที่ว่า การทำงานข่าวแบบง่ายๆ คือการนำเสนอเรื่องราวที่คนสนใจอยู่แล้ว ซึ่งแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีก ได้ทั้งยอดผูุ้้ชม เรตติ้ง และรวมไปถึงรายได้จากผู้สนับสนุน ในทางกลับกันการผลิตข่าวที่มีสาระและน่าสนใจทำได้ยากกว่า เช่น ในขณะที่รายงานข่าว แตงโม-นิดา ตกน้ำ ก็ลองไปการค้นสถิติอุบัติเหตุคนตกน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในขณะที่รายงานข่าว แตงโม-นิดา ตกน้ำ ซึ่งต้องใช้เวลาและไม่ทันออกอากาศ 

ดังนั้น ในขณะที่เรียกร้องกันให้ผลิตข่าวอย่างหลัง หากลองคิดว่าป็นคนทำงานสื่อแล้วถามตนเองดูก็คงจะมีคำตอบว่าจะเลือกทำข่าวแบบใด ซึ่งก็อาจจะมีคนทำงานสื่อบางคนมีวิธีคิดว่าถ้าเป็นข่าวยากก็ไม่ทำดีกว่า โดยข่าวแตงโม-นิดา ตกน้ำ มีการนำเสนอกันยาวนานนับเดือน จนเริ่มค่อยๆ ลดลงในช่วงที่มีพิธีศพ จากนั้นก็มีประปรายเรื่องการขึ้นโรงขึ้นศาลในทางคดีความ และเอาเข้าจริงๆ แล้ว การที่สื่อเลิกนำเสนอข่าวดังกล่าวก็ไม่ได้มาจากสื่อเอง แต่มาจากกระแสสังคมที่ส่งสัญญาณว่าน่าจะพอได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้รับสารให้ความสนใจกับข่าวประเภทหวือหวามากกว่าข่าวที่มีสาระประโยชน์ ซึ่งเปรียบเหมือนคนที่มักมีนิสัยชอบกินเนื้อสัตว์แต่ไม่ชอบกินผัก แต่คนทำอาหารก็ต้องหาทางให้ผักแทรกเข้าไปอยู่ในอาหารที่มีเนื้อสัตว์เหล่านั้นให้ได้ เช่นเดียวกับช่วงเวลาเสนอข่าว แม้จะนำเสนอข่าวหวือหวาก็ควรหาทางแทรกข่าวที่มีสาระประโยชน์ด้วย หากทำได้สำนักข่าวนั้นก็จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนในภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราไปคาดหวังกับจริยธรรมสื่อมวลชนสูงเกินไป แน่นอนเราคาดหวังให้อาชีพหมอมีจรรยาบรรณแพทย์ อาชีพทนายมีจรรยาบรรณทนาย อาชีพตำรวจ-ทหารมีจรรยาบรรณ แล้วเราก็มาเห็นว่าสิ่งที่มันสะท้อนว่าจรรยาบรรณของอาชีพเหล่านั้นมันลดลงเพราะความเป็นอยู่ของอาชีพเหล่านั้นมันไม่ได้ Cover (คุ้มครอง) ชีวิตเขา พูดง่ายๆ ก็คือรายได้ของอาชีพสื่อมันไม่ได้สัมพันธ์กับความรับผิดชอบของสื่อ สื่อมีความรับผิดชอบที่สูงมากตามอุดมคติ เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม โน่นนี่นั่น มีจริยธรรม 

แต่ถ้าไปถามพนักงานใหม่ๆ ที่เป็นสื่อเข้ามาทำงาน รายได้เท่าไร? น้อยกว่าพนักงานออฟฟิศด้วยซ้ำ หน้าที่รับผิดชอบในการทำงานก็มีแล้วยังต้องรับผิดชอบต่อสังคมอีก ดังนั้นผมรู้สึกว่าเราคาดหวังกับสื่อในแง่การรับผิดชอบต่อสังคมอาจจะสูงเกินไปนิด สุดท้ายถ้าเขาต้องเลือกระหว่างความดีกับการอยู่รอดในอาชีพเพราะว่ามันต้องมีเรตติ้ง มันก็เลือกยากนะ นายคมกฤช ระบุ

ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงสิทธิเสรีภาพต่างๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการเสนอข้อมูลข่าวสารด้วย แต่เมื่อใดที่ทำแล้วเกิดการละเมิดก็จะมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น แต่คำถามคือในทางปฏิบัติมีผู้เสียหายใช้ช่องทางกฎหมายเหล่านี้มาก-น้อยเพียงใด ขณะเดียวกัน หลายวิชาชีพมีกระบวนการเข้ามาดูแลเรื่องจริยธรรม ไม่ว่าแพทย์ วิศวกร แม้แต่ข้าราชการการเมือง (นักการเมือง) และข้าราชการประจำ แต่สื่อนั้นเป็นเรื่องยาก 

เช่น คนที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ (Influencer) ที่ยอดผูุ้้ติดตามอาจจะมากกว่าสื่อกระแสหลัก ถามว่าคนเหล่านี้เป็นสื่อหรือไม่ และใครจะเป็นผู้กำกับดูแล ส่วนสื่อที่เป็นวิชาชีพเองก็มีรูปแบบพิเศษที่ต่างจากแพทย์หรือวิศวกร กลไกการกำกับดูแลจึงอาจต้องมีรูปลักษณ์เฉพาะ ทั้งนี้ เมื่อพูดว่าจะมีตั้งคณะกรรมการอะไรสักอย่าง ก็กังวลว่ารัฐจะเข้ามาลิดรอนหรือจำกัดสิทธิ แต่การปล่อยให้สื่อควบคุมกันเองก็มีคำถามอีกเช่นกันว่าควบคุมกันได้จริงหรือ

ทั้งนี้ มีร่างกฎหมายฉบับหนึ่งคือ ร่าง “พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …” ซึ่งมองเห็นข้อดีหลายอย่างในการกำกับดูแลและยกระดับมาตรฐาน แต่ในความเป็นจริงกฎหมายหลายฉบับตอนร่างในชั้นกฤษฎีกาก็ออกแบบไว้ดี แต่เมื่อเข้าสภาแล้วผ่านออกมากลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตคาม ไม่ว่าร่างกฎหมายนี้จะผ่านออกมาใช้จริงได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็มีเสียงคัดค้านจากคนในแวดวงสื่อจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเสียงคัดค้านจากคนในแวดวงสื่อจำนวนมาก แต่ก็ต้องมีเครื่องมืออะไรสักอย่างหนึ่งมากำกับดูแลจริยธรรมสื่อ  

โดยหากดูจากเสียงสะท้อนจากผลสำรวจที่นำเสนอไปข้างต้น อย่างหนึ่งคือข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสื่อ มีกฎหมายรับรองและเพิ่มบทลงโทษ ประเด็นนี้เข้าใจได้ว่าคนที่คิดเช่นนั้นคงมองว่าสิ่งที่กระทำกับบทลงโทษที่ได้รับไม่ได้สัดส่วน รวมถึงข้อเรียกร้องให้กำหนดว่าคนที่จะทำงานเป็นสื่อได้ต้องผ่านการทดสอบเรื่องจริยธรรมและมีการประเมินเพื่อต่ออายุใบอนุญาตทุกปี 

ผมเข้าใจว่ากระพี้หรือเปลือก คือไม่ว่ามันจะเป็น พ.ร.บ. หรือไม่มันไม่ใช่สาระสำคัญหลัก แก่นต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ คุณจะมีโครงสร้างตามที่รัฐกำหนด หรือคุณจะมีโครงสร้างในลักษณะ Social Sanction (การคว่ำบาตรโดยสังคม) หรือคุณจะมีโครงสร้างในลักษณะสื่อกำกับกันเอง จะเป็นโครงสร้างใดก็ได้แต่ขอให้มันเกิด มันเหมือนกับระบบการปกครองเหมือนกัน ระบบการปกครองที่ดีที่สุดคือระบบการปกครองที่ประชาชนอยู่ด้วยกันและมีความสุขที่สุดในการจะใช้ชีวิตร่วมกัน มันไม่สามารถบอกได้ว่าเปลือกมันจะถูกรายรอบไปด้วยอะไรได้บ้าง แต่จเราจะทำอย่างไรได้ให้บ้างในสิ่งที่ผมนำเสนอ คือแก่นมันจะต้องเกิดไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน ดร.มาร์ค กล่าว

ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย กรรมการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในความเป็นจริงประเทศไทยมีข่าวที่มีสาระอยู่เป็นจำนวนมาก แต่คำถามคือคนไทยสนใจข่าวประเภทใด ซึ่งการที่คนสนใจข่าวที่ถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิก็เพราะเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะในยุคออนไลน์ที่คนก็สนุกสนานไปเรื่อย ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของคนที่สนใจข่าวแบบนั้น แต่ก็ทุกวันนี้คนก็อยากมีส่วนร่วมเป็นนักข่าว อยากให้ความเห็นไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บางเรื่องไม่ควรพูดก็พูดแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่สื่อด้วยกันก็ทำให้เรื่องพวกนี้ยิ่งสนุกกันไปมากขึ้น เห็นได้จากหลายรายการมีคนดูจำนวนมาก

ส่วนการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพนั้นมีข้อจำกัดคือไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นเพียงสัญญาสุภาพบุรุษ (Gentlemen Agreement) แต่พอจะออกเป็นกฎหมายมีอำนาจรัฐเข้ามาสื่อก็กังวลว่าจะถูกละเมิดแทรกแซง อนึ่ง จากประสบการณ์ไปดูงานที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งวงการสื่อมีปัญหายิ่งกว่าไทยแต่ก็พยายามปรับแก้ อย่างหนึ่งคือเมื่อคนมีปัญหากับสื่อแล้วจะไปแจ้งความกับตำรวจหรือฟ้องคดีต่อศาล จะได้รับคำแนะนำให้ไปพูดคุยกับองค์กรวิชาชีพสื่อก่อน และหากองค์กรวิชาชีพไม่รับรองก็ไม่สามารถไปสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างตำรวจหรือศาลได้ 

ตัวอย่างของอินโดนีเซียคือให้อำนาจกับองค์กรวิชาชีพสื่อ ขณะที่ในเมืองไทยคนไม่เชื่อมั่นในองค์กรวิชาชีพสื่อเพราะไม่มีอำนาจบังคับ พอตำหนิสื่อใดมากๆ เข้าสื่อนั้นก็อาจจะลาออกจากความเป็นสมาชิกโดยไม่ต้องสนใจเพราะอย่างไรเสียก็มีคนพร้อมสนับสนุน ทั้งนี้ หลายเรื่องที่สื่อทำไม่ใช่ไม่รู้ว่าผิด แต่ที่ทำเพราะรู้ว่าขายได้ การมีศักดิ์ศรี (Dignity) แต่อดอยากไปไม่รอดมนุษย์ก็คงไม่ยอม เพราะสื่อก็คืออาชีพหนึ่ง ถ้าไม่มีเงินก็ไปต่อไมได้

เวลาด่าสื่อคุณด่าตัวเองสิว่าคุณเลือกดูอะไร ถามว่ามันมีของดีอยู่ไหม? มี แต่ของไม่ดีมันก็มี แต่ผมหมายถึงว่าถ้าคุณจะด่าคุณก็ต้องดูด้วยว่าคุณไปสนับสนุนสื่อพวกนี้ด้วยหรือเปล่า ดร.เฉลิมชัย กล่าว

รศ.รุจน์ โกมลบุตร อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า แม้สิ่งที่พูดกันในวงเสวนาครั้งนี้จะเป็นเรื่องเดิมๆ แต่จริงๆ แล้วบางด้านก็ดีขึ้น เช่น เมื่อเทียบกับเหตุกราดยิงใน จ.นครราชสีมา กับที่ จ.หนองบัวลำภู กระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์สื่อก็ช่วยหยุดยั้่งบางเรื่องได้ โดยมีนักศึกษาไปทำวิจัยมา พบเหตุกราดยิงใน จ.หนองบัวลำภู การนำเสนอข่าวแบบละเมิดสิทธิลดลงเมื่อเทียบกับที่ จ.นครราชสีมา

แต่คำถามที่ว่าจะออกจากวังวนของปัญหาอย่างไร เรื่องนี้คงไม่มีคำตอบสุดท้ายเพราะต้องประกอบจากหลายส่วน ไล่ตั้งแต่คนทำงานสื่อเองต้องมีสำนึก เช่น ระยะหลังๆ มีความพยายามบอกว่าสื่อคือธุรกิจ แต่ในอดีตสอนกันว่าการเป็นสื่อไม่ใช่เป็นนักธุรกิจ แม้จะเป็นอาชีพหารายได้แต่ก็ต้องตระหนักในหน้าที่ ขณะที่กลไกทางกฎหมายที่มีอยู่ก็ยังไม่ค่อยถูกใช้มากนัก ซึ่งหากใช้กันมากๆ ความคืบหน้าก็จะเกิดขึ้น แต่หลายคนอาจจะไม่อยากไปขึ้นศาล ส่วนกลไกควบคุมกันเองนั้นอยากให้ทำให้สำเร็จ เพราะไม่อยากให้กฎหมายเข้ามายุ่งมากนักเนื่องจากกจะกระทบต่อเสรีภาพสื่อ

ทั้งนี้ ตัวอย่างจากประเทศสวีเดน กลไกกำกับดูแลจริยธรรมสื่อ สัดส่วนกรรมการองค์กรวิชาชีพจะเป็นบุคคลภายนอกที่เป็นภาคประชาชนมากกว่าคนในวงการสื่อด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหา แมลงวันไม่ตอมแมลงวันด้วยกัน หรือสื่อไม่จัดการกันเอง ซึ่งประเทศไทยยังมีสภาพแบบนี้อยู่ เช่น จากประสบการณ์ที่เคยไปนั่งเป็นอนุกรรมการในองค์กรวิชาชีพสื่อ เมื่อสื่อทำผิดตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียน อนุกรรมการคนอื่นๆ ที่เป็นคนในวงการสื่อจะไม่พูดอะไรเอง แต่จะส่งสัญญาณมาให้ตนในฐานะที่เป็นอาจารย์เป็นคนพูด

สุดท้ายคือเรื่องผู้บริโภค ฟังดูก็เหมือนว่าถ้าผู้บริโภคชอบก็ทำอย่างนี้ต่อไป ซึ่งมองแง่หนึ่งก็ถูก แต่มองอีกแง่หนึ่งผมก็รู้สึกว่าก็เป็นเรื่องท้าทายสื่อหรือเปล่า คนทำสื่อต้องผลิตงานอย่างใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยไม่ละเมิดกฎหมายและไม่ละมิดจริยธรรม ผมว่าการรักษากฎหมาย การรักษาจริยธรรม เป็นหน้าที่พลเมืองทุกคน ทุกคนทุกที่อาชีพต้องมีอันนี้ประกอบอยู่ แล้วการที่ล้ำเส้นออกมาแล้วต้องกลายเป็นอะลุ้มอล่วย ผมรู้สึกว่าอาจเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ รศ.รุจน์ กล่าว

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ยังมีการนำเสนอผลการสำรวจประเด็น นโยบายการสื่อสารที่กระทบสิทธิมนุษยชน ข้อเสนอต่อรัฐ สื่อ และสังคมโดย ตัวแทนสภาองค์กรของผู้บริโภค พร้อมการให้ความเห็นโดย น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. และ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2565

อกไก่ปั่น ไข่ขาว ไม่ใช่อาหารคลีน ระวังโปรตีนนั้นอาจจะไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/271k8goj92zsi


กัญชาดองน้ำผึ้ง สรรพคุณช่วยรักษา 40 อาการ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/f8wxg74gj02q


การ์ดประหยัดพลังงาน ลดน้ำมันและลดค่าไฟ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/j6dhys5iaa27


แบงก์กรุงไทยเตือน! SMS มิจฉาชีพส่งลิงก์ให้เปลี่ยนรหัสผ่านอย่าหลงเชื่อ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3p1o9t5l9bfg4


ผู้ประกันตน ม.33 และ 39 สามารถยื่นเรื่องเปลี่ยน รพ.ได้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 65 – 31 มี.ค. 66

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1iocjvd6p4mtw


ผลวิจัยชี้ ผู้สูงอายุ มีแนวโน้ม 9 คน จาก 10 คน ที่จะมีอาการ สมองเสื่อม และ มีปริมาณเพิ่มขึ้น ถึงปีละ 10%…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yqju58y8h500


น้ำเต้าหู้มีประโยชน์และเหมาะสมกับร่างกายของมนุษย์มากกว่านมวัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3exksxs6gzvhv


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2565

กินสับปะรด แก้น้ำวุ้นตาเสื่อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jbgh2md1329q#_=_


ตำรวจพบแหล่งส่งเนื้อสัตว์-เครื่องในแช่ถังฟอร์มาลิน ส่งขายร้านหมูกระทะ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/397jmcgp3a743


ข้อมูลผู้อพยพ 6,000 รายหลุดบนเว็บไซต์หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2646n6t9gaggu


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยัน “ใบสั่งจราจร” เป็นใบสั่งจริง สแกนจ่ายเงินค่าปรับได้ – แปะหน้ารถกรณีหาตัวคนขับไม่เจอเท่านั้น

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3g29kvzvw0y14


ลูกโป่งแก๊สหัวเราะ ระบาดอีกแล้ว แถวถนนข้าวสาร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15gc9g6zw63rd


ข่าวปลอมส่วนใหญ่มักจะมี URL คล้ายเว็บไซต์แหล่งข่าวจริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28lk09wgi885n


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2565

กินบะหมี่ดิบที่ขยำใส่ผงปรุงรส ทำให้พองในท้องและเกิดภาวะช็อก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ca8dtqw85vqf#_=_


มะเร็งระยะสุดท้ายหายได้ เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2gex43r19hn78#_=_


ผักกาดขาวเปลี่ยนสี เหมือนดูดซึมสารเคมีตกค้าง ล้างไม่ออก แถมส่งต่อถึงมนุษย์ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v7fpnc1g0wq


ไม่ใส่กางเกงใน เสี่ยงทำให้เป็นโรคไส้เลื่อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/386u4gtayw7iy


รัฐเตรียมประกาศงดเทศกาลปีใหม่ เนื่องจากโควิดเดลตาครอล XBC ระบาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vo04vaph4rwm


ดีเดย์ 9 ม.ค. เริ่มตัดแต้ม ผิดกฎจราจร คะแนนหมด ขับต่อติดคุก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fu36wy2gml52#_=_


“กรุงไทย” ยกเลิกบริการ KTB netbank ตั้งแต่ 1 ม.ค. 66 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถใช้บริการผ่านช่องทาง https://www.ktbnetbank.com ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vmw8yagwtgns#_=_


การแคะจะมูกหรือตัดขนจมูกอาจเป็นสาเหตูของโรคอัลไซเมอร์ในการทดลองกับหนู  …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wjf1515jflyn#_=_


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2565

รู้เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์ สามารถรู้ยอดเงินในธนาคารได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3md26j82f3sd5


ออมสินและกรุงไทยร่วมมือกับบริษัทเอกชน ปล่อยกู้ 5,000 – 300,000 บาท ผ่านไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26kamv50lxwwi#_=_


ตะไคร้-ใบเตย สามารถรักษาโรคเก๊าท์หรือโรคข้อได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1i3deto0n9i8h


อย. พบการแอบแฝงโฆษณาสเปรย์ล้างจมูกยับยั้งหรือฆ่าเชื้อไวรัส

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hz1c73ael76r


ศิริราชเผยคนไทย “ดื้อโบ” เกินครึ่ง เปิดตัวศูนย์ดื้อโบ รับมือภาวะคนไทยดื้อโบท็อกซ์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jh29jqs18qql


โรคที่มากับ ‘นกพิราบ’ พาหะอันตราย ร้ายแรงถึงสมอง!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/17uvyuzuwy3a7


ถูกปาไข่ใส่กระจกรถ ห้ามเปิดที่ปัดน้ำฝน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25rg8b3rym0ul#_=_


การติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรกจะทำให้มีภูมิต้านทานระดับหนึ่ง เมื่อติดเชื้อซ้ำในครั้งที่สอง อาการจะลดลงกว่าตอนที่ติดเชื้อในครั้งแรก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/77lrxov14xe2


‘ผลไม้สด : ของฝากห้ามนำเข้าจากต่างแดน’ ข่าวจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง : COFACT Special Report #38

โดย : Zhang Taehun

ของฝาก เป็นสิ่งที่น่าจะขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่เดินทางไกลไม่ว่าข้ามเมืองหรือข้ามประเทศในฐานะเครื่องแสดงน้ำจิตน้ำใจแก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซึ่งหนึ่งในของฝากยอดนิยมนั้นก็มีเรื่องของ อาหารการกิน ที่ขึ้นชื่อของแต่ละพื้นที่ที่ไปเยือนมาด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับการนำเข้าอาหารการกินจากต่างประเทศ สุขอนามัย ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดจากที่หนึ่งลามเข้าไปอีกที่หนึ่ง ดังตัวอย่างที่ทางโคแฟคเคยนำเสนอไปเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับทางการไต้หวันสั่งห้ามนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหมูทุกประเภท (ไม่เว้นแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูและผงปรุงรสหมู) จากประเทศไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเวลานั้นไทยพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)

ล่าสุดมีการแชร์ข่าวกันถึงคำเตือน ห้ามนำผลไม้สดจากต่างประเทศเข้าไทย เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศจึงเริ่มกลับมาอีกครั้งซึ่งหลายคนก็นิยมหอบหิ้วผลไม้ขึ้นชื่อจากต่างประเทศมาเป็นของฝากด้วย โดยเรื่องนี้ ระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ฝากเตือนผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2565 ว่า การนำเข้าผลไม้สดเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยไม่สำแดงใบรับรองสุขอนามัยพืชผ่านเข้าประเทศไทยในทุกช่องทาง จะเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ.2507 

และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 8 (2) มาตรา 10 โดยการนำเข้าผลไม้สดที่จัดเป็นสิ่งต้องห้ามต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชจาก ประเทศต้นทาง ต้องขอใบอนุญาตนำเข้าสิ่งต้องห้ามเพื่อการค้าและต้องแจ้งนำเข้ากับด่านตรวจพืช เพื่อออกหนังสืออนุญาตฯให้นำสินค้าออกจากด่านตรวจพืช หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ พร้อมกับยึดสินค้าเพื่อนำไปทำลายตามกฎหมายกักพืช

“ที่ผ่านมา ด่านตรวจพืชท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ตรวจยึดจากนักท่องเที่ยวที่อาคารผู้โดยสารได้ต่อเนื่องก่อนที่จะตักเตือนและปล่อยตัว แต่ต้องยึดสิ่งของไว้ จากการสอบถามพบว่าซื้อตามคำแนะนำของไกด์นำเที่ยว จึงฝากให้ประชาชนระมัดระวังไม่กระทำการดังกล่าว เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินกับสินค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากการนำเข้าจะต้องมีการแจ้งนำเข้าเพื่อออกหนังสืออนุญาตตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.กักพืช เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคพืชและแมลงในประเทศ กรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษตามกฎหมาย” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว

ทั้งนี้ เว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร ได้เผยแพร่เนื้อหา พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระบุว่า มาตรา 8 (2)” บุคคลใดนําเข้าหรือนําผ่านซึ่งสิ่งต้องห้ามต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดี และต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ การนําเข้าหรือนําผ่านเพื่อการค้า หรือเพื่อกิจการอื่นตามที่อธิบดีประกาศกําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการ จะต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชกํากับมาด้วย และต้องผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืช และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

และ มาตรา 10” ระบุว่า การนําเข้าหรือนําผ่านซึ่งสิ่งต้องห้ามหรือสิ่งกํากัดนั้น จะต้องนําเข้าหรือนําผ่านทางด่านตรวจพืชเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นอกจากนั้น ใน มาตรา 12 (1)” ยังระบุอำนาจของเจ้าหน้าที่ไว้ว่า ตรวจค้นคลังสินค้า ยานพาหนะ หีบห่อ ตลอดจนตัวบุคคลภายในเขตด่านตรวจพืชหรือเขตควบคุมศัตรูพืช เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการนําเข้าหรือนําผ่านซึ่ง พืชสิ่งต้องห้าม สิ่งกํากัด หรือสิ่งไม่ต้องห้าม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ขณะที่ในส่วนของ บทกำหนดโทษ จะอยู่ใน มาตรา 21” ที่ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 8 มาตรา 10 มาตรา 15 ทวิวรรคสองหรือมาตรา 15 ฉ หรือฝ่าฝืนมาตรา 14 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ยังมีประกาศกรมวิชาการเกษตร ว่าด้วยการนำเข้าพืชผักจากหลายประเทศ  ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร https://www.doa.go.th/th/ แล้วตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1.เลือกหัวข้อ “เกี่ยวกับกรม” 2.เลือกหัวข้อ “กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง” 3.เลือกหัวข้อ “พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” และ 4.เลื่อนลงมาดูหัวข้อ “ประกาศกรมหรือระเบียบ” หรือคลิกที่ลิงก์ https://www.doa.go.th/th/?page_id=24342

หรือเข้าไปดูได้ที่ส่วนของสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กรมวิชาการเกษตร ที่เว็บไซต์ https://www.doa.go.th/ard/ ดังนี้ 1.เลือกหัวข้อ “หน่วยงานในสังกัด” ต่อด้วย “ส่วนกลาง” ต่อด้วย “สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร” 2.เลือกหัวข้อ “กฎ ระเบียบ ประกาศ” ต่อด้วย “พ.ร.บ.กักพืช” ต่อด้วย “นำเข้า” ต่อด้วย “ประกาศกรมวิชาการเกษตร”  หรือคลิกที่ลิงก์ https://www.doa.go.th/ard/?page_id=191 ซึ่ง จะมีประกาศที่เกี่ยวข้องกับพืชควบคุมการนำเข้าจากต่างประเทศ เรียงตามลำดับอักษรไทยตั้งแต่ ก-ฮ

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://blog.cofact.org/specialreport35/ (ไขข้อข้องใจ ‘ห้ามนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปไต้หวัน’ ข่าวนี้มีที่มาอย่างไร? COFACT SPECIAL REPORT #35 : Cofact 15 พ.ย. 2565)

https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/184336 (เตือนคนไทย ซื้อผลไม้สดเป็นของฝากจาก ตปท. “ผิดกฎหมาย” : PPTV 10 พ.ย. 2565)

https://www.doa.go.th/th/?page_id=24342 (พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม : กรมวิชาการเกษตร)

https://www.doa.go.th/th/wp-content/uploads/2020/11/พระราชบัญญัติกักพืช.pdf

https://www.doa.go.th/ard/?page_id=191 (ประกาศกรมวิชาการเกษตร : สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร)

ถอดบทเรียนจากฟิลิปปินส์ ‘กระตุ้นอารมณ์-ปลุกเร้าความรู้สึก’กลยุทธ์ปั่นข่าวลวงทางการเมือง

21 พ.ย. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) จัดเสวนา Cofact Live Talk Special บทเรียนการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ ข้อมูลข่าวสารและข้อมูลลวงโดย กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวแทนโคแฟคที่ได้รับเชิญไปร่วมประชุมที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในเวทีที่เป็นความร่วมมือของสมาชิกรัฐสภา หรือพรรคการเมืองในภูมิภาคเอเชีย (Council of Asian Liberals and Democrats (CALD)

กุลชาดา เล่าว่า เวทีนี้เป็นการจัดประชุมสามัญประจำปี รวมถึงมีการหารือในระดับคณะกรรมการบริหารเพื่อแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการพัฒนาทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในปีนี้ที่ประชุมให้ความสำคัญในเรื่องการต่อต้าน ข้อมูลลวง โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ที่เพิ่งผ่านช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีมาไม่นานนัก และฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรืออำนาจนิยมได้รับชัยชนะ นำมาสู่คำถามและการตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้สงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการเลือกตั้งอย่างไร

ประเด็นที่ทำให้เครือข่ายภาคประชาสังคม นักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมและสื่อมวลชนรู้สึกเจ็บช้ำมาก ก็คือเรื่องของการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มาก ที่ประชุมได้ถกกันมากว่ามีปัจจัยอะไรทำให้ฝ่ายอำนาจนิยม หรือฝ่ายที่สนับสนุนบงบง มาร์กอส บุตรชายของอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประสบความสำเร็จในการบิดเบือนประวัติศาสตร์  แม้เรื่องที่บิดเบือนอย่างชัดเจน อย่าไปคิดว่าคนจะไม่เชื่อ เพราะวิธีการเล่าเรื่องที่โดนใจคน ทำให้ข้อเท็จจริงกลายเป็นเรื่องรอง

บทเรียนสำคัญทำให้ผู้ที่ต่อสู้กับข่าวลวงต้องตระหนัก คือเวลาที่พวกเขาทำ Fact Check (ตรวจสอบข้อเท็จจริง) ออกไป พวกเขามักเน้นความสำคัญของเรื่องข้อเท็จจริงมากเกินไป ซึ่งคนฟิลิปปินส์การศึกษาก็มีหลายระดับไม่ได้ต่างจากบ้านเรา ทำอย่างไรที่จะให้ข้อเท็จจริงเข้าใจง่าย และถูกจริตคนรับสารในวงกว้างด้วย กุลชาดา กล่าว

บทเรียนประการต่อมา ทำไมสังคมฟิลิปปินส์จึงมีช่องว่างในการรับรู้ประวัติศาสตร์มากขนาดนั้นโดยในอดีตซึ่งฟิลิปปินส์ถูกปกครองโดยผู้นำเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส มีการใช้ความรุนแรงเพื่อกำจัดผู้เห็นต่างอีกทั้งมีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร เรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลสาธารณะที่มีอยู่แล้วแต่คนจำนวนมากกลับไปเชื่อชุดข้อมูลของฝ่ายที่สนับสนุน มาร์กอสจูเนียร์ (บงบง มาร์กอส) อย่างสนิทใจ

จากสิ่งที่เกิดขึ้นนำมาสู่การศึกษาและพบว่า เรื่องราวของฝ่ายผู้สนับสนุนมาร์กอสจูเนียร์ มีการสร้างชุดข้อมูลที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและความคาดหวังของชาวฟิลิปปินส์ (Aspirational troves)” เช่น มีความพยายามเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ภายใต้การปกครองของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จากยุคใต้อำนาจจอมเผด็จการเป็นยุคทองของการพัฒนา เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองมีกฎระเบียบ ประชาชนมีวินัย สังคมสงบสุข เมื่อเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันที่สังคมฟิลิปปินส์ วุ่นวาย ไร้ระเบียบ และตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จากปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน และสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็ทำให้ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเห็นว่าถ้าอยากได้ยุคแห่งความรุ่งเรืองกลับมาต้องเลือก บงบง มาร์กอส 

ถึงกระนั้น สำหรับฝ่ายที่ต้องการหักล้างข่าวลวงเองก็มีความท้าทายและข้อพึงระวัง คือจะทำอย่างไรไม่ให้กลายเป็นการซ้ำเติมให้สังคมแตกแยกมากขึ้น แต่เป็นการสร้างพื้นที่แสวงหาความจริงร่วมโดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ที่ต้องขยายวงไปถึงการถกเถียงในระดับสาธารณะไม่ใช่ทำกันเพียงในวงเล็กๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนว่าประวัติศาสตร์นั้นส่งผ่านไปไม่ถึงคนรุ่นใหม่ 

กุลชาดา เล่าต่อไปว่า ในประเด็นสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน สำหรับฟิลิปปินส์ถือว่าตกต่ำมาตั้งแต่ยุคสมัยของ โรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไป เนื่องจากมีการใช้ทั้งกฎหมายและการคุกคามหลายรูปแบบจัดการกับสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล อาทิ สำนักข่าว Rappler ถูกแจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับการถือหุ้นของต่างชาติในกิจการสื่อ 

ประกอบกับสื่อฟิลิปปินส์ซึ่งไม่ต่างจากสื่อไทย คือมีการ แบ่งขั้ว (Polarized)” และเห็นได้ชัดในยุคที่ ดูแตร์เต ขึ้นสู่อำนาจ จึงส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งของสื่อในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเป็นข้อจำกัดในความร่วมมือของสื่อเพื่อค้นหาความจริงร่วมหรือต่อสู้กับข่าวลวง หรือขาดฉันทามติที่จะทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ตามภาคประชาสังคม และนักวิชาการวารสารศาสตร์ได้พยายามทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวร่วมในการต่อสู้กับข่าวลวงช่วงเลือกตั้งโดยดึงเอาสื่อมวลชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

ในที่ประชุม มีข้อสังเกตที่ดีมากๆ ว่าการจะสร้างแนวร่วมต่อต้านข่างลวง อะไรคือสิ่งที่ควรทำและควรเลี่ยง แนวร่วมควรจะมีลักษณะองค์ประกอบอย่างไร เช่น ต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แล้วก็ควรจะมีกติกาข้อตกลงกันว่าประเด็นการเมืองประเด็นไหนในการเลือกตั้งควรจะทำ โดยหลักการของการทำ Fact Check ทั่วไป คือไม่ Fact Check เรื่องส่วนตัว แต่เน้นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจริงๆ และ ไม่ตรวจสอบเรื่องที่เป็น Opinion (ความคิดเห็น) แต่ที่มากไปกว่านั้น การ Fact Check ไม่ว่าสื่อไหนจะทำ หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร การตรวจสอบข้อมูลลวงทุกเรื่องต้องผ่านการคัดกรองหลายชั้นว่าได้มาตรฐานจริงๆ หรือไม่ เพราะว่าถ้าเราทำอะไรออกไปที่ไม่สมบูรณ์ ก็จะเกิดข้อครหา และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแนวร่วม  และเขาก็ยอมรับว่า Fact Check ไม่ได้เป็นคำตอบทั้งหมด ยังมีแนวทางอื่นที่ต้องทำ เพื่อสร้างแนวร่วมเพิ่มขึ้น กุลชาดา ระบุ

ในเวทีนี้มีข้อคิดที่น่าสนใจ อาทิ ยิ่งหักล้างได้เร็วยิ่งมีโอกาสสกัดกั้นข่าวลวงได้มาก เช่น มีกรณีศึกษาว่าเมื่อข่าวลวงเกิดขึ้นแล้วมีการชี้แจงข้อเท็จจริงได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง แม้หลังจากนั้นข่าวลวงยังอยู่แต่การส่งต่อก็น้อยลง อย่าพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเดียว ยังมีช่องทางอื่นๆ ในการเผยแพร่ข้อเท็จจริง ตลอดจนการไปให้ถึงผู้สร้างเนื้อหา (Content Creator) เป็นต้น

ทั้งนี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวงประชุม คือปัจจัยที่ส่งผลต่อการแพร่กระจายของข้อมูลลวงในแต่ละประเทศไม่ได้แตกต่างกันมาก อาทิ การเมืองแบบแบ่งขั้ว การเติบโตขึ้นของฝ่ายอำนาจนิยม สภาพเศรษฐกิจหรือสังคมที่แย่ลง ตลอดจนการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มากขึ้นจนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ได้รับความสนใจมากกว่าสื่อมวลชน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ประชาชนใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันโดยน้อยลง ข้อมูลลวงจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สังคมที่แบ่งแยกอยู่แล้ว ยิ่งร้าวลึกขึ้น 

ในกรณีของสังคมไทย กุลชาดา มองว่า สถานการณ์การเมืองแบ่งขั้วดำเนินมายาวนานและยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่สื่อก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันและไม่มีฉันทามติร่วมกันในการค้นหาความจริงร่วม ปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ที่หมายถึงแต่ละฝ่ายจะได้ยินแต่เสียงหรือเนื้อหาซ้ำๆ แบบเดียวกันจึงยังคงดำเนินต่อไป เพราะยังไม่มีข้อมูลที่ใหญ่และเป็นกระแสหลัก (Mainstream) มากพอที่จะหักล้างได้ จึงเป็นจังหวะดีที่จะได้นำบทเรียนจากฟิลิปปินส์มาใช้กับการเลือกตั้งของไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

ในภาพความเป็นจริง การต่อสู้กันทางการเมืองเราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามต่างก็ใช้สงครามข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการประชาสัมพันธ์ หรือปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ปจว.) โดยใช้ข้อมูลที่เป็นจริง หรือแม้แต่การสร้างข้อมูลเท็จขึ้น สิ่งเหล่านี้มีอยู่และทำให้ประชาชนมองไม่เห็นว่าจะเชื่อใครดี ดังนั้นบทบาทของสื่อมวลชนจึงยังสำคัญในการสร้างความไว้วางใจกับสังคม หรือเป็นผู้ถือคบไฟส่องความจริง 

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความไว้วางใจต่อสื่อที่ทำในระดับสากลของหลายสำนัก พบว่า อย่างน้อยสื่อในประเทศไทยยังพอได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากกว่าสื่อในอีกหลายประเทศ แต่ไม่ใด้หมายความว่าเราไม่มีปัญหา ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาสื่อได้ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ในการต่อสู้กับข่าวลวงหรือการค้นหาความจริงร่วม คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีทื่สื่อจะได้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเรียกความไว้วางใจจากสังคมกลับคืน

และคิดว่าโคแฟคอยู่ในสถานะที่จะเป็นตัวตั้งต้นที่ดี ในการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสื่อมวลชนด้วย เราต้องการจะสร้างพื้นที่การสื่อสารทางการเมืองที่มันปลอดภัย Balance (สมดุล) และสร้างสรรค์ เพื่อทำให้ประชาชนอย่างน้อยไม่ได้ใช้อารมณ์ในการตัดสิน แต่นำเหตุผลข้อเท็จจริงมาคุยกันมากขึ้น กุลชาดา กล่าว 

ชุติกาญจน์ สุขมงคลไชย Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ กล่าวว่า การต่อสู้กับข้อมูลลวงเปรียบเหมือนการต่อกรกับสิ่งที่ใหญ่มากซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แม้ฟิลิปปินส์จะมีทั้งสื่อมวลชนและภาคประชาสังคมเป็นตัวนำ แต่ความร่วมมือเช่นนี้ ก็ยังไม่เพียงพอ อาจเป็นเพราะยังขาดความเชื่อมโยงในการสร้างความร่วมมือไปถึงระดับแพลตฟอร์ม หรือรวมไปถึง ระหว่างพรรคการเมือง ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็วางแผนเตรียมการมายาวนาน

โดยพรรคการเมืองที่ชู บงบง มาร์กอส เป็นตัวแทนลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ มีการเตรียมตัวกันมาถึง 2 สมัยเลือกตั้ง ซึ่งในเวทีประชุมครั้งนี้มีการกล่าวถึงคำว่า ความจริงทางเลือก (Alternative Reality)” หมายถึงการสร้างข้อมูลชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของตระกูลมาร์กอสในอีกรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่ได้รับรู้กันโดยทั่วไป ผ่านปฏิบัติการทางไซเบอร์ลงไปถึงระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะมุ่งเป้าไปที่ คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First Voter)” ที่เกิดหรือเติบโตไม่ทันรับรู้ ประวัติศาสตร์ความบอบช้ำ ที่คนรุ่นก่อนหน้าเคยเผชิญ

ทางค่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย อันนี้เป็นการวิเคราะห์ตัวเองระหว่างพวกเขา อาจจะเป็นเพราะว่าทางเขาต้องการอยู่บน Fact Based (ยึดข้อเท็จจริงเป็นที่ตั้ง) มากเกินไป สิ่งที่เขาสื่อสารกับสาธารณะมันไม่ Compelling Enough (น่าสนใจพอ) ไม่โดนใจ ไม่ดึงดูดให้คนหันมาฟัง แล้วมัน Heavy (หนัก) เกินไป คือมันแน่นด้วยข้อมูล แต่กับอีกฝั่งที่ใช้วิธีการปลุกเร้าอารมณ์ให้คนมีความรู้สึกร่วมกับข้อความหรือสารที่เขาต้องการจะสื่อสาร ก็อาจจะเป็นหนึ่งว่าทำไมอาจจะยังไม่เพียงพอ ชุติกาญจน์ ระบุ

กลับมาที่ประเทศไทย ชุติกาญจน์ มองว่า สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากฟิลิปปินส์ คือมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ฉบับทางการเป็นอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังมีแหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้ได้สืบค้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงเป็นคำถามว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้คนแต่ละช่วงวัยหรือแต่ละอุดมการณ์ทางการเมืองสามารถหาฉันทามติ ว่าสิ่งเหล่านี้คือ ความจริงร่วมทางประวัติศาสตร์ ที่แต่ละกลุ่มฝ่ายเข้าใจและยอมรับร่วมกัน เพื่อเป็นการหาทางออกให้สังคมสามารถปรองดองสมานฉันท์ และเคลื่อนที่ก้าวข้ามความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ทางการเมือง ต่อไปได้

ในวงประชุมยังยอมรับในข้อจำกัดว่า “เราไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทุกอย่าง เพราะเราอยู่ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนเป็นจำนวนมากจึงต้องมีหลัก ในการคัดกรองว่าจะตรวจสอบในเรื่องใดบ้าง” เช่น เนื้อหานั้นมีผลกระทบ (Impact) ต่อสังคมเพียงใด หรือเนื้อหานั้นสุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดอันตราย (Harm) ได้หรือไม่ เป็นต้น แต่อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงคือ ข้อมูลบิดเบือนทางการเมือง (Political Disinformation) มีลักษณะแพทเทิร์นที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ 

เช่น มีการสร้างข่าวข้อครหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศหรือการทุจริตเพื่อโจมตีทางการเมือง การใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) การสร้างข่าวทำลายความน่าเชื่อถือ (Discredit) ในทางส่วนบุคคล การบิดเบือนข้อมูลกระบวนการในการเลือกตั้งเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในสังคม ดังนั้นจึงต้องกลับมาดูบริบทของไทยว่ามีลักษณะอย่างไรเพื่อเตรียมรับมือได้ ทั้งนี้ แม้ข้อมูลลวงจะไม่หายไปจากโลกออนไลน์ แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือทำให้ข้อมูลเหล่านั้นไหลเวียน (Circulate) ได้ช้าลงหรือน้อยลง

“การทำความเข้าใจการตระหนักรู้ถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันหลายๆ ฝ่ายเพื่อสร้างWhole-of-Society Approach(แนวทางการบูรณาการการมีส่วนร่วมของทั้งสังคม) ว่าสังคมนี้ต้องทำงานร่วมกันในเรื่องนี้ มันต้องการ Commitment(พันธกรณี) ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครทางการเมือง กกต. เองด้วยซ้ำไป สื่อหรือภาคประชาสังคม แล้วก็ประชาชน คิดว่าต้องเป็นการขยับตัวพร้อมกันของสังคม เพราะว่าแม้ว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึง Political Disinformation มันอาจจะเป็นสิ่งที่เป็น Information Operation (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ กระทำกันโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อุดมการณ์ทางใดทางหนึ่ง แต่เหนือไปกว่านั้นในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก มันก็ยังมีในเรื่องของ Disinformation(ข้อมูลบิดเบือน) ที่เป็น Foreign Interference (การแทรกแซงจากต่างประเทศ) ซึ่งมันเป็นปัญหาที่หนักยิ่งไปกว่าสิ่งนี้ที่เรากำลังเผชิญอยู่ หรือจะเผชิญมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็เลยคิดว่ามันจำเป็นที่เราต้องหาแนวทางหรือข้อตกลงร่วมกันเสียแต่ตอนนี้เพราะมันยังมี Opportunity (โอกาส) อยู่ในนี้ คือเรายังไม่ถึงจุดที่เราเห็น Disinformationทุกหย่อมหญ้าหรือทุกระดับของสังคมมากเท่ากับฟิลิปปินส์ จึงคิดว่าเรายังอยู่ในจุดที่เราสามารถ Prevent (ป้องกัน) หรือ Mitigate (ทำให้เบาลง) ไม่ให้มัน Escalate(บานปลาย) ไปมากกว่านี้ได้” ชุติกาญจน์ กล่าว

อนึ่ง ในช่วงท้าย ผู้ร่วมเสวนายังเล่าถึงประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงในการประชุมที่ฟิลิปปินส์ เช่น แนวคิดการออกกฎหมายกำหนดให้ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ต้องยืนยันตัวตน ระหว่างการป้องกันผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลโดยมีเจตนาร้ายกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพในการแสดงออก กับความรับผิดชอบที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ผู้ใช้งานโดยเฉพาะที่ไม่แสดงตัวตนสร้างข้อมูลเท็จที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้มีความอ่อนไหวมาก แต่ก็อยากให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีแนวนโยบายที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริงต่อการจัดการเรื่องข้อมูลบิดเบือนทางการเมือง ที่ซี่งสิ่งเหล่านี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเลือกตั้ง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

‘อีโบลา’โรคนี้น่ากังวลเพียงใด? หลังไทยเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง COFACT Special Report #37

 บทความโดย : Zhang Taehun

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ดังนั้นข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีข้อมูลใหม่ๆ ที่ค้นพบเพิ่มเติมในภายหลัง จึงขอให้ผู้อ่านติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง

เป็นอีกโรคที่ต้องจับตามองสำหรับ “อีโบลา (Ebola)” ที่เกิดการกระบาดระลอกล่าสุดในประเทศยูกันดา ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมาและยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยสำหรับประเทศไทย แม้ยังไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ แต่ด้วยความที่ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงจนสามารถกลับมาเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบได้อีกครั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการเดินทางเข้าประเทศอย่างใกล้ชิด

โดยเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 ต.ค. 2565 Hfocus สำนักข่าวออนไลน์ที่เน้นนำเสนอเนื้อหาด้านสุขภาพ รายงานว่า กรมควบคุมโรค(คร.) เข้มมาตรการด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคอีโบลา เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในเวลา 23.56 น. ของวันเดียวกัน มีรายงานเพิ่มเติมว่า กรมควบคุมโรค ได้ขอแก้ไขเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศให้อีโบลา เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ

ในรายงานข่าวดังกล่าว ยังอ้างถึง นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งระบุว่า องค์การอนามัยโลก ยังไม่แนะนำให้จำกัดการเดินทางหรือการค้าระหว่างประเทศสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค ซึ่งได้ประเมินว่านักเดินทางระหว่างประเทศยังมีความเสี่ยงในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีการติดเชื้อโดยตรงจากการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาล จากการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ (เข็มและหลอดฉีดยา) ที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงไม่มีการป้องกันเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ พร้อมกับให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่า ทั้งที่ป่วยหรือไม่ป่วย 

2.หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์ป่าที่ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะสัตว์จำพวกลิง หรือค้างคาว หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่าหรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือดจากผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือศพ 

4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หากมีความจำเป็นให้สวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายและล้างมือบ่อยๆ

5.หากมีอาการเริ่มป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย ภายหลังกลับจากประเทศที่มีการระบาด ให้รีบพบแพทย์ทันที หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

รวมถึง นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขประเทศยูกันดาและองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2565 มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศยูกันดาหลายเมือง จำนวน 90 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 44 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 49 ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขติดเชื้อ 11 ราย และเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งการระบาดครั้งนี้เป็นการระบาดของไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซูดาน (Sudan-อัตราป่วยตายเฉลี่ยร้อยละ 53) ซึ่งมีความรุนแรงเป็นอันดับสอง รองมาจากสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire-อัตราป่วยตายเฉลี่ยร้อยละ 68) 

สำหรับการระบาดในครั้งนี้ ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยยังไม่มากแต่เป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดโดยมีการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมการระบาดในประเทศยูกันดาอย่างเข้มข้น จากการตรวจสอบข่าวพบว่าองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศ ให้การระบาดครั้งนี้ เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern: PHEIC) แต่ปกติจะมีการประเมินสถานการณ์ระบาดเป็นระยะ  

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 กรมควบคุมโรคได้ยกระดับมาตรการป้องกันที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศยูกันดา ทุกรายจะต้องได้รับการคัดกรองสุขภาพ และลงทะเบียน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศก่อนเข้าประเทศไทย ทั้งนี้หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 25 ต.ค. 2565 ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานจากกรมควบคุมโรค ถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ในประเทศโซนทวีปแอฟริกาซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในประเทศยูกันดาหลายเมือง จำนวน 90 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 44 ราย

ซึ่งแม้จำนวนผู้ป่วยยังไม่มาก และองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ประกาศให้การระบาดครั้งนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่กระทรวงสาธารณสุขไทยไม่ประมาท ได้ติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด และตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมาได้ยกระดับมาตรการป้องกันที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศยูกันดาทุกคน โดยต้องลงทะเบียน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศก่อนเข้าประเทศไทย

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการ (แล็บ) อ้างอิงของประเทศด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข มีหน้าที่ยืนยันสาเหตุและสถานการณ์ของโรคที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข และเตรียมความพร้อมการตรวจวิเคราะห์เชื้ออีโบลาทางห้องปฏิบัติการ ด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา ที่มีความไวและความจำเพาะสูง สามารถทราบผลภายใน 8 ชั่วโมง 

มีห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 สำหรับการปฏิบัติงานกับเชื้อ ที่ก่อให้เกิดโรคที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต ที่ออกแบบพิเศษ ทำให้ความดันภายในห้องปฏิบัติการน้อยกว่าความดันภายนอก กรองอากาศเข้า-ออก เน้นการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไม่ให้หลุดออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก บุคลากรมีความพร้อมรับสถานการณ์การระบาดตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 ผ่านการฝึกอบรม ความปลอดภัยทางห้องปฏิบัติการ และมีความชำนาญในการตรวจวิเคราะห์เป็นอย่างดี 

รวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในการขนส่งตัวอย่างตรวจได้ผ่านการฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัย มีการสวมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และสามารถทำลายเชื้อหากเกิดการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง นอกจากนั้นยังได้จัดทำคู่มือการตรวจวิเคราะห์และจัดการสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้ออีโบลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล และห้องปฏิบัติการอ้างอิงใช้เป็นคู่มือในการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ เนื้อหามีทั้งวิธีการตรวจวิเคราะห์และรายการทดสอบของงานประจำห้องปฏิบัติการโรงพยาบาล วิธีการเก็บ วิธีการนำส่งตัวอย่าง และการวิเคราะห์เชื้ออีโบลาสำหรับห้องปฏิบัติการอ้างอิง

ก่อนหน้าการยกระดับมาตรการของไทย สหรัฐอเมริกา ได้เตรียมพร้อมรับมือไปแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 2565 โดยสถานีโทรทัศน์ CNBC วันที่ 12 ต.ค. 2565 ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ กำหนดให้เที่ยวบินที่เดินทางมาจากยูกันดา ต้องลงจอดในสนามบิน 5 แห่ง ประกอบด้วย New York’s JFK , Newark , Atlanta , Chicago O’Hare และ Washington Dulles ซึ่งถูกจัดตั้งเป็นจุดคัดกรอง อีกทั้งยังมีการติดตามตรวจสอบเป็นเวลา 21 วัน นับตั้งแต่บุคคลนั้นเดินทางถึงสหรัฐฯ โดย)ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ได้รับข้อมูลรายชื่อผู้เดินทางมาจากยูกันดาจากผู้ให้บริการสายการบิน ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเชื่อมโยงกับหน่วยงานสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น CDC ยังออกประกาศเตือนหน่วยงานสาธารณสุขทั่วประเทศเพื่อสังเกตอาการที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นผู้ติดเชื้ออีโบลา และหากพบควรสอบถามประวัติการเดินทางโดยละเอียด

– รู้จัก “โรคอีโบลา”

“Ebola virus disease” บทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก (เลือกหมวด Health Topics ตามด้วย Fact sheets อยู่ในหมวดอักษร E วันที่ปรับปรุงล่าสุดคือ 25 ก.พ. 2564) อีโบลาเป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 2519 โดยมีการระบาดใน 2 พื้นที่ คือเมือง Nzara (ปัจจุบันอยู่ในประเทศซูดานใต้) และที่เมือง Yambuku (ปัจจุบันอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) ในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำอีโบลา จึงมีการนำชื่อของแม่น้ำสายนี้มาตั้งเป็นชื่อไวรัส โดยไวรัสอีโบลามี 6 สายพันธุ์ที่ค้นพบ คือ Zaire, Bundibugyo, Sudan, Taï Forest, Reston และ Bombali 

– ช่องทางการติดต่อ (หรือแพร่เชื้อ)

เชื่อกันว่าไวรัสอีโบลามีอยู่ในค้างคาวผลไม้ในตระกูล Pteropodidae ซึ่งเป็นพาหะของเชื้อตามธรรมชาติ โดยการติดเชื้อระหว่างสัตว์สู่คนเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์สัมผัสกับเลือด สารคัดคลั่ง อวัยวะภายใน หรือของเหลวอื่นๆ ในร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาวผลไม้ ลิง (ซึ่งรวมถึงชิมแปนซีและกอริลลา) ละมั่งป่า หรือเม่นที่ป่วยหรือตาย หรือในพื้นที่ป่าฝน (Rainforest) จากนั้นจึงนำไปสู่การติดต่อจากคนสู่คน โดยทางการสัมผัสโดยตรง (ผ่านผิวหนังที่มีรอยแตกหรือเป็นเยื่อเมือก) กับเลือดหรือของเหลวของผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตจากเชื้อ หรือสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนของเหลวของผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตจากเชื้อ (เช่น เลือด , อุจจาระ , อาเจียน)

– พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (หลีกเลี่ยงหากสามารถเลี่ยงได้ หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ)

1.การปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข มีรายงานพบบุคลากรสาธารณสุขติดเชื้ออีโบลาเนื่องจากต้องดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโดยไม่ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด 2.การประกอบพิธีศพ ในขั้นตอนการฝังศพอาจติดเชื้อได้หากสัมผัสโดยตรงกับศพของผู้เสียชีวิตจากไวรัสอีโบลา 3.การสัมผัสกับเลือด การแพร่เชื้อยังเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ในผู้ติดเชื้อยังมีไวรัสอีโบลาอยู่ 

4.การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในกรณีหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สตรีที่ติดเชื้ออีโบลาระหว่างตั้งครรภ์ แม้ภายหลังจะได้รับการรักษาจนหายแล้วยังมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ทารกและคนอื่นๆ เนื่องจากอาจยังมีไวรัสหลงเหลืออยู่ในน้ำนมแม่ ของเหลวหรือเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม สตรีที่หายป่วยจากอีโบลาแล้วและมาตั้งครรภ์ในภายหลังจะไม่มีความเสี่ยงในการเป็นพาหะนำโรค ทั้งนี้ การให้นมบุตรในกรณีแม่ที่เพิ่งหายป่วยจากอีโบลา ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนว่าปลอดเชื้อหรือไม่

– อาการของผู้ติดเชื้ออีโบลา

ไวรัสอีโบลามีระยะฟักตัวตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงแสดงอาการได้ตั้งแต่ 2-21 วัน ผู้ติดเชื้อจะยังไม่แพร่เชื้อจนกว่าจะเริ่มแสดงอาการ โดยผู้ติดเชื้อจะมีอาการเริ่มต้น เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ตามด้วยอาเจียน ท้องเสีย มีผื่นขึ้นตามร่างกาย การทำงานของตับและไตบกพร่อง ผู้ป่วยบางรายยังพบเลือดออกทั้งภายในและนอกร่างกาย (เช่น เลือดออกทางเหงือกหรือมีเลือดออกปนกับอุจจาระ) เมื่อตรวจในปฏิบัติการ จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ และมีระดับเอ็นไซม์ตับสูง

– การรักษา ยาและวัคซีน

ในเบื้องต้นเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ อย่างไรก็ตาม ในปี 2561-2563 เกิดการระบาดของไวรัสอีโบลาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มีการทดลองยาหลายชนิดแบบสุ่มเป็นครั้งแรกเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วย ตามกรอบจริยธรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้การหารือร่วมกันระหว่างทางการสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกกับผู้เชี่ยวชาญ 

จนกระทั่ง ในปี 2563 องค์การอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ใช้ยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี (monoclonal antibody) 2 ชนิด คือ อินมาเซ็บ (Inmazeb) และ อีบังกา (Ebanga) สำหรับการรักษาโรคอีโบลา ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire) โดยสามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนวัคซีนนั้น ในปี 2563 เช่นเดียวกัน FDA ได้รับรองวัคซีน เออร์เวโบ (Ervebo) สำหรับใช้ในประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป (ยกเว้นสตรีมีครรภ์และสตรีที่ต้องให้นมบุตร) เนื่องจากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยปกป้องชีวิตผู้คนจากไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์ได้ 

โดยอีเวอร์โบเป็นวัคซีนที่แจกจ่ายให้กับประชาชน 3.5 แสนคนในประเทศกินีและในสถานการณ์ไวรัสอีโบลาระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ช่วงปี 2561-2563 และเริ่มจำหน่ายทั่วโลกอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 ขณะที่ยังมีวัคซีน 2 องค์ประกอบ (2-component vaccine) ซึ่งเรียกว่า ซับดีโน-และ-เอ็มวาบี (Zabdeno-and-Mvabea) ได้รับการรับรองจาก องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ในปี 2563 ให้ใช้กับประชากรได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป โดยฉีดซับดีโนเป็นเข็มแรกก่อน แล้วเว้นระยะ 8 สัปดาห์จึงตามด้วยเอ็มวาบีเป็นเข็มที่ 2 แต่ข้อเสียของวัคซีนสูตรนี้คือไม่เหมาะสมกับการตอบโต้สถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นในทันที

– การป้องกันการติดเชื้อและการควบคุมการระบาดของไวรัสอีโบลา

1.ระมัดระวังการสัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า เช่น ค้างคาวผลไม้ ลิง (ซึ่งรวมถึงชิมแปนซีและกอริลลา) ละมั่งป่า เม่น ต้องไม่บริโภคเนื้อดิบของสัตว์เกลุ่มนี้ ขณะที่การบริโภคเนื้อสัตว์และเลือดสัตว์ต้องปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนบริโภคเสมอ การสัมผัสกับสัตว์ควรใช้ถุงมือหรือชุดป้องกันอื่นๆ ที่เหมาะสม 

2.ระมัดระวังการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง การดูแลผู้ติดเชื้อควรใช้ถุงมือหรือชุดป้องกันอื่นๆ ที่เหมาะสม และต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากดูแลหรือเยี่ยมผู้ติดเชื้อแล้ว สำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงสงสัยว่าอาจติดเชื้อ หากต้องเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เฟซชิลด์ หน้ากากอนามัยสำหรับใช้ทางการแพทย์ แว่นตา ชุดคลุมและถุงมือที่สะอาด ป้องกันการสัมผัสกับกับเลือดหรือของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อ และการพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน อาทิ เสื้อผ้าหรือเครื่องนอน

ควรมีการให้ความรู้ในแนวปฏิบัติกับบุคลากรที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ บุคลากรที่ต้องทำงานกับของเหลวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ รวมถึงการตรวจหาเชื้อจากตัวอย่างทั้งจากคนและสัตว์ ควรทำโดยบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมและดำเนินการในห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ครบถ้วน อนึ่ง มีรายงานการพบเชื้อตกค้างในผู้ติดเชื้อที่หายจากอาการป่วยแล้ว ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ในของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำคร่ำและเยื่อบุต่าง ๆ รวมถึงน้ำนมแม่ มีการพบเชื้อหลบซ่อนอยู่ในบางจุดของร่างกาย อาทิ บริเวณลูกอัณฑะ ด้านในของดวงตา ระบบประสาทส่วนกลาง 

สำหรับสตรีมีครรภ์แล้วติดเชื้อ ไวรัสสามารถอยู่ในรก น่ำคร่ำ ในตัวทารก การกลับมามีอาการป่วยซ้ำหลังได้รับการรักษาจากหายแล้วเนื่องจากไวรัสแม้จะเกิดขึ้นได้ยากแต่ก็พบการรายงาน การค้นพบนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดและต้องศึกษากันต่อไป และในการตรวจหาเชื้ออีโบลาด้วยวิธี RT-PCR จากผู้หายป่วย ในจำนวนนี้มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ยังตรวจพบเชื้อแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วถึง 9 เดือน 

3.ลดความเสี่ยงในการระบาด มาตรการความปอลดภัยในการประกอบพิธีศพ การระบุตัวบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้าเพื่อติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 21 วัน ควรให้ความสำคัญกับการแยกผู้ติดเชื้ออกจากคนปกติทั่วไปเพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดกระจายตัวออกไป และการส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีตลอดจนสภาพแวดล้อมที่สะอาด

4.ลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมของการวิจัยและการพิจารณาอย่างต่อเนื่องโดยคณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก ในกรณีของเพศชาย หากติดเชื้ออีโบลาและได้รับการรักษาจนหายป่วยแล้ว แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การมีเพศสัมพันธ์และการดูแลสุขอนามัยในแนวทางที่่ปลอดภัยยิ่งขึ้นเป็นเวลา 12 เดือน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงการตรวจคัดกรองหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิได้ผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) จำนวนรวม 2 ครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเหลวจากร่างกาย และแนะนำให้ล้างด้วยสบู่และน้ำทันทีหลังสัมผัสกับน้ำอสุจิ ซึ่งรวมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองด้วย 

การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งต้องใช้ถุงยางอนามัยอย่างเคร่งครัด (หรืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์หากสามารถทำได้) จนกว่าผู้ติดเชื้อซึ่งเป็นเพศชายจะมีผลตรวจหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิเป็นลบจำนวน 2 ครั้ง การตรวจคัดกรองหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิควรดำเนินการเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือนนับจากวันที่เริ่มมีอาการป่วย ในกรณีที่พบว่าน้ำอสุจิยังมีผลเป็นบวก (พบเชื้อ) ให้ตรวจอย่างต่อเนื่องทุกเดือน จนกว่าจะมีผลเป็นลบ 2 ครั้ง การตรวจให้ใช้วิธี RT-PCR 

5.ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากของเหลวและเนื้อเยื้อที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ สตรีที่รอดชีวิตจากการติดเชื้ออีโบลา ควรได้รับการสนับสนุนจากชุมชนเพื่อเข้าถึงบริการตรวจและฝากครรภ์ (ANC) บ่อยครั้ง เพื่อจัดการกับภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์และการดูแลสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ รวมถึงการส่งตัวเพื่อรักษาต่ออย่างปลอดภัย ควรมีการวางแผนร่วมกันระหว่างสูตินรีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านอีโบลา สตรีมีครรภ์ควรได้รับความเคารพต่อการตัดสินใจเรื่องสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์เสมอ

– การระบาดของไวรัสอีโบลาจากอดีตถึงปัจจุบัน

นับตั้งแต่ไวรัสอีโบลาถูกค้นพบในปี 2519 การระบาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา แต่มีบ้างที่พบผู้ติดเชื้อในทวีปอื่นๆ เช่น ในปี 2557 พบผู้ติดเชื้อในทวีปอเมริกา โดยพบใน สหรัฐอเมริกา 4 คน (เสียชีวิต 1 ราย) รวมถึงในทวีปยุโรป เช่น ในปี 2557 พบในอังกฤษ 1 คน สเปน 1 คน และในปี 2558 พบในอิตาลี 1 คน (ทั้ง 3 ประเทศไม่มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิต) สายพันธุ์ที่พบการระบาดบ่อยครั้งคือสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire) มีบางปีที่พบการระบาดของสายพันธุ์ซูดาน (Sudan) ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ที่เหลือ พบได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูง จากสถิติการระบาดตั้งแต่ปี 2519-2563 ที่องค์การอนามัยโลกบันทึกไว้ พบอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่ประมาณร้อยละ 25-80

– อะไรคือความกังวลในการระบาดระลอกล่าสุด

ความกังวลได้เกิดขึ้นกับการระบาดระลอกล่าสุดในปี 2565 ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 2565 เนื่องจาก “ครั้งนี้เป็นการระบาดของเชื้ออีโบลาสายพันธุ์ซูดาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับใช้กับสายพันธุ์นี้โดยตรง” ทำให้การควบคุมโรคทำได้ยาก โดยเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2565 สำนักข่าว BBC รายงานว่า ประธานาธิบดียูกันดา โยเวรี มูเซเวนี (Yoweri Museveni) ประกาศเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 ใช้มาตรการล็อกดาวน์ใน 2 เมือง คือ คาสซานดา (Kassanda) กับ มูเบนเด (Mubende) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน ห้ามบุคคลและยานพาหนะเข้า-ออกพื้นที่ (ยกเว้นรถบรรทุกสินค้า) ปิดสถานบันเทิง ศาสนสถาน และจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว)

21 ต.ค. 2565 The Observer นสพ.ท้องถิ่นในยูกันดา พบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมือง มิทยานา (Mityana) ทำให้ตอนนี้ ยูกันดามี 6 เมืองแล้วที่พบผู้ติดเชื้อ ก่อนหน้านี้ 5 เมืองคือ คากาดี (Kagadi) , มูเบนเด (Mubende) , ไควา (Kyegegwa) , คาสซานดา (Kassanda) และ บันยันกาบู (Bunyangabu) จากนั้น 23 ต.ค. 2565 สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างการเปิดเผยของ เจน รูธ อาเซ็ง (Jane Ruth Aceng) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขยูกันดา ว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2565 โรงพยาบาลมูลาโก ในกรุงคัมปาลา เมืองหลวงของยูกันดา ซึ่งเป็นสถานที่กักตัวกลุ่มที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ พบผู้ติดเชื้ออีโบลายืนยันแล้ว 5 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้าจากเมืองคาสซานดา 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2565 อ้างการเปิดเผยของ อาเซ็ง ในวันที่ 26 ต.ค. 2565 ว่า รัฐบาลยูกันดาเตรียมทดสอบวัคซีนสำหรับไวรัสอีโบสา จากผู้พัฒนา 3 ราย เป็นวัคซีนสัญชาติอังกฤษ 1 รายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และวัคซีนสัญชาติสหรัฐอเมริกา 2 ราย จากสถาบันวิจัยซาบิน และบริษัทเมิร์ค โดยคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์ จะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มตัวอย่างประมาณ 3,000 คน 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.hfocus.org/content/2022/10/26248 (กรมควบคุมโรค ปรับข้อมูลใหม่กรณี WHO ให้ “อีโบลา” เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ ล่าสุดยังไม่ประกาศแต่อย่างใด : Hfocus 24 ต.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2535428 (“อนุทิน” ยันไทยไม่ประมาท “โรคอีโบลา” คัดกรองเข้มทุกคนที่มาจากยูกันดา : 25 ต.ค. 2565)

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ebola-virus-disease (Ebola virus disease : องค์การอนามัยโลก 25 ก.พ. 2564)

https://www.bbc.com/news/world-africa-63273603 (Ebola in Uganda: Three-week lockdown announced for two districts : BBC 16 ต.ค. 2565)

https://www.observer.ug/news/headlines/75585-mityana-district-confirms-first-ebola-case (Mityana district confirms first Ebola case : The Observer 21 ต.ค. 2565)

https://www.reuters.com/world/africa/uganda-says-two-more-ebola-cases-confirmed-kampala-hospital-2022-10-23/ (Uganda says two new Ebola cases confirmed in Kampala hospital : รอยเตอร์ 23 ต.ค. 2565)

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-26/uganda-to-start-ebola-vaccine-trials-in-two-weeks-as-cases-rise (Uganda to Start Ebola Vaccine Trials in Two Weeks as Cases Rise : บลูมเบิร์ก 27 ต.ค. 2565)

https://www.cnbc.com/2022/10/12/who-calls-for-more-international-aid-to-prevent-ebola-from-spreading-beyond-uganda.html (WHO calls for more international aid to prevent Ebola from spreading beyond Uganda : CNBC 12 ต.ค. 2565)

https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3649142 (กรมวิทยาศาสตร์ฯ ห่วงอีโบลาเข้าไทย เตรียมพร้อมห้องแล็บตรวจหาเชื้อรู้ผลใน 8 ชม. : มติชน 1 พ.ย. 2565)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565

เครื่องบินของการบินไทยเกิดอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ landing ลงน้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26qy24e0aelfo


จีนเตรียมปูพรมตรวจโควิด-19 ในกว่างโจวหลังผู้ติดเชื้อใหม่พุ่ง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zo0dmkondtmv


ออสเตรเลีย เตือนการระบาดโควิดระลอกใหม่เร็ว ๆ นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38ocw1glk9ij3


 “ฮ่องกง”เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ตามเงื่อนไขกำหนด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3901c0drkd6yb


มนุษย์ไม่ควรกิน ‘ค้างคาว’ เป็นอาหาร เสี่ยงติดเชื้อ และแพร่เชื่อโรคร้ายแรงได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1kfkitc37ep23


NT ร่วมกับ #กสทช  เตือนภัยเครื่องหมาย + ก่อนรับโทรศัพท์ สายพึงระวังภัยจากมิจฉาชีพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ezzu55jk6lea


 LandsMaps ค้นหารูปแปลงที่ดินทั่วไทย ทุกที่ทุกเวลา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1q6988he7ofqf


4 ข่าวลวงวนซ้ำ‘มาตรการเยียวยาประชาชนโดยรัฐ’ในสถานการณ์โควิด-19 : COFACT Special Report #36

บทความโดย : Zhang Taehun

ย้อนไปเมื่อเดือน ม.ค. 2564 โคแฟคเคยนำเสนอประเด็น “5 ข่าวลวงแชร์วนซ้ำเกี่ยวกับโควิด-19” ซึ่งในเวลานั้นเนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่จากไวรัสที่เพิ่งค้นพบครั้งแรก จึงนำไปสู่ความกังวลและพยายามหาวิธีป้องกันและรักษา ซึ่งหลายวิธีก็ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าใช้ไม่ได้จริง หรือการอ้างแหล่งข่าวคนมีชื่อเสียง บุคคลที่ถูกอ้างถึงก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดเรื่องนั้น แต่ในเวลาต่อมา ข่าวลวงเหล่านี้ก็ยังถูกแชร์วนซ้ำอยู่เป็นระยะๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม นอกจากข่าวลวงด้านสุขภาพแล้ว “เศรษฐกิจ” ก็เป็นอีกประเด็นที่มีการแชร์ข่าวลวงแบบวนซ้ำในหลายเรื่อง โดยเฉพาะมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้

1.กู้ยืมเงินผ่านแอปฯ เป๋าตัง : ปัจจุบันคนไทยคงคุ้นเคยกับแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่ดำเนินการโดย ธนาคารกรุงไทย เนื่องจากในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพอย่าง “คนละครึ่ง” นั้นใช้งานผ่านแอปฯ ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2565 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ออกมาเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวที่แชร์กันว่า “แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน” เพราะเป็นข่าวที่ไม่เป็นความจริง

“จากกรณีที่มีผู้โพสต์ในเฟซบุ๊กระบุว่าแอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน ทางธนาคารกรุงไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ ธนาคารไม่มีบริการให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นการแอบอ้างนำโลโก้ของธนาคารไปใช้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความสับสน และแนบลิงก์สำหรับเพิ่มเพื่อนในไลน์ เพื่อเชิญชวนให้บริการกู้เงิน โดยธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่แอบอ้างแต่อย่างใด” (คำชี้แจงเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2565)

เชื่อหรือไม่ว่าข่าวทำนองนี้มีมาแล้วหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. 2564 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ กล่าวถึงการแชร์ข้อมูล “แอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถยืมเงินสดได้ 5,000 บาท ใช้ระยะเวลาอนุมัติเพียง 3 นาที” ว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากทางธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่าธนาคารไม่มีนโยบายให้สินเชื่อ หรือยืมเงินสดผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด 

วันที่ 12 พ.ค. 2564 มาอีกแล้วกับ “แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์ และเพจเฟซบุ๊ก ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ” ซึ่งทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ก็ได้สอบถามไปยัง ธ.กรุงไทย ได้รับคำตอบว่าไม่เป็นความจริงเช่นเคย เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง และไม่ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก หรือกลุ่ม และ Line Official เพื่อโฆษณาชี้ชวนการขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด วันที่ 9 ส.ค. 2565 หายไปปีกว่าๆ ก็กลับมาอีกแล้วกับข่าวลวงเรื่องกู้เงินผ่านแอปฯ เป๋าตัง คราวนี้แชร์กันว่า “แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 100,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” แน่นอนว่าไม่เป็นความจริงอีกแล้ว และวันที่ 16 ส.ค. 2565 คราวนี้อ้างไปถึง ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (TTB) อีกต่างหาก โดยระบุว่า “แอปเป๋าตัง ร่วมมือกับ TTB ให้ยืม 10,000 บาท ถอนได้เลยที่ ATM” ซึ่งทางธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้รับผิดชอบแอปฯ ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่เป็นความจริงและไม่มีนโยบายให้กู้ยืมเงินผ่านแอปฯ เป๋าตังแต่อย่างใด

2.กู้ยืมเงินกับธนาคารออมสินผ่านช่องทางออนไลน์ : แม้จะไม่ได้ดูแลแอปฯ กลางสารพัดประโยชน์แบบเป๋าตัง แต่ด้วยความที่ธนาคารออมสินนั้นเป็นสถาบันการเงินของรัฐเช่นเดียวกับธนาคารกรุงไทย จึงเป็นอีกธนาคารที่เจอข่าวลวงประเภทให้ประชาชนกู้ยืมเงินได้และต้องชี้แจงหลายต่อหลายครั้งว่าไม่เป็นความจริง เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2565 มีการแชร์ข้อความว่า “ธ. ออมสินปล่อยกู้ 5,000 – 300,000 บาท ผ่านไลน์” ผ่านเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ชี้แจงดังนี้..

“กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าเพจดังกล่าวไม่ได้เป็นของธนาคาร เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายให้แอดไลน์ หรือกดลิงก์ที่แนบมากับข้อความเชิญชวนให้กู้เงิน อีกทั้งเพจดังกล่าวยังแอบอ้างใช้สื่อโฆษณาของธนาคาร และตราสัญลักษณ์ของธนาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลงเชื่อว่าธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของธนาคารออมสิน เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้” (คำชี้แจง 27 ส.ค. 2565)

ก่อนหน้านั้นมีข่าวลวงทำนองเดียวกันกับธนาคารออมสิน อาทิ 7 ก.พ. 2565 มีกรณีแชร์ข้อความ “ออมสิน ส่ง SMS ให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอสินเชื่อ GSB จำนวน 60,000 บาท” ซึ่งทางธนาคารได้ชี้แจงว่าไม่เป็นนความจริง โดยข้อความที่ปรากฎนั้น ไม่ใช่ข้อความที่ส่งไปจากธนาคารออมสิน และธนาคารยังพบอีกว่ามีข้อความสั้นหรือ SMS ที่แอบอ้างชื่อธนาคารออมสิน หรือ GSB ส่งข้อความลักษณะเชิญชวนให้คลิกลิงก์กลับส่งไปถึงประชาชนจำนวนมาก ซึ่งธนาคารขอยืนยันว่าไม่ใช่ข้อความที่ส่งไปจากธนาคารออมสิน และธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งข้อความลักษณะดังกล่าวแต่ประการใด (และข่าวลวงเรื่องออมสินส่ง SMS รับสิทธิ์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในวันที่ 28 ต.ค. 2565 แถมคราวนี้เพิ่มจำนวนวงเงินเป็น 1 แสนบาทอีกต่างหาก…แน่นอนว่าก็ไม่เป็นความจริง) , 

นอกจาก SMS แล้ว แอปพลิเคชั่น “MyMo” ของธนาคารออมสิน ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกอ้างว่ามีบริการปล่อยสินเชื่อ เช่น วันที่ 10 พ.ค. 2565 มีการกล่าวถึงข้อความที่แชร์กันว่า “ธ. ออมสินปล่อยสินเชื่ออิ่มใจ ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo วงเงินสูงสุด 100,000 บาท” ซึ่งทางธนาคารชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะธนาคารออมสินได้ทำการปิดให้บริการยื่นกู้สินเชื่ออิ่มใจไปตั้งแต่เมื่อปลายปี 2564 เนื่องจากได้ปล่อยกู้ครบตามวงเงินของโครงการแล้ว

ข่าวทำนองเดียวกันได้กลับมาอีกครั้งในวันที่ 25 ต.ค. 2565 กับข้อความว่า “ออมสินให้กู้ยืม วงเงิน 15,000 – 300,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน” โดยเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Mymo by gsb banking” อีกต่างหาก ซึ่งทาง ธ.ออมสิน ชี้แจงว่า นาคารออมสิน ไม่มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ Mymo by gsb banking และเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับธนาคารแต่อย่างใด ซึ่งการนำตราสัญลักษณ์ของธนาคารออมสินไปใช้ประกอบสื่อโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นสร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกค้า

แอปพลิเคชั่นไลน์ ยังเป็นอีกช่องทางที่ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ใช้เป็นพื้นที่สื่อสารกับประชาชนหรือลูกค้า ทำให้หลายครั้งมีผู้แอบอ้างสร้างบัญชีปลอมของหน่วยงานขึ้นมา เช่น ในวันที่ 31 ส.ค. 2565 ธนาคารออมสิน ชี้แจงเรื่องบัญชีไลน์ “สินเชื่อออมสิน” ซึ่งลงทะเบียนเป็นบัญชีทางการ (Official) เพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ทางธนาคารยืนยันว่า ไลน์ดังกล่าวไม่ใช่ของธนาคารออมสิน ซึ่งทางธนาคารไม่มีไลน์ปล่อยสินเชื่อ และไม่มีนโยบายปล่อยกู้ผ่านไลน์ โดยไลน์ดังกล่าวได้นำภาพตราสัญลักษณ์ธนาคารออมสิน และภาพโลโก้ mymo GSB ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินของธนาคารไปแอบอ้าง โดยไม่ทราบเจตนาการนำไปใช้ ด้วยหวังสร้างความน่าเชื่อถือ หรือมีวัถุประสงค์เป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธนาคารออมสินแต่อย่างใด

3.รัฐบาลแจกเงินช่วยเหลือประชาชน: ในสถานการณ์โควิด-19 คนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กิจการปิดตัวบ้าง ตกงานบ้าง ในบางครั้งรัฐบาลจึงออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน เช่น “เราไม่ทิ้งกัน” จ่ายเงินสดผ่านบัญชีธนาคาร เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 หรือ “โครงการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชากรวัยแรงงาน ผ่านกลไกประกันสังคม ทั้ง ม.33 ม.39 และ ม.40” โดยทยอยจ่ายให้แรงงานอาชีพต่างๆ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564-มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบสิทธิ์แล้วจะได้เท่ากันเป็นเงินสดคนละ 5,000 บาท 

ถึงกระนั้น ยังคงมีข่าวลวงเรื่องรัฐบาลแจกเงินเยียวยาตามมาอยู่เป็นระยะๆ อาทิ ในวันที่ 12 พ.ค. 2565 ลัดดา แซ่ลี้ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (ในขณะนั้น) ต้องออกมาเตือนประชาชนว่า กรณีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เรื่องผู้ประกันตน มาตรา 33, 39, 40 ยังมีสิทธิรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลอีกคนละ 5,000 บาท และสำนักงานประกันสังคม พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า ในเรื่องดังกล่าว สำนักงานประกันสังคม ขอชี้แจงว่า เป็นข้อมูลเท็จ ผู้ประกันตนอย่าหลงเชื่อเด็ดขาดสำนักงานประกันสังคมไม่มีนโยบายแจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33, 39, 40 ดังกล่าวแล้ว

“ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมได้เคยมีโครงการเยียวยาอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบ จากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด,โครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 และโครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิง และผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้ได้สิ้นสุดการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมาไปแล้ว” (คำชี้แจง 12 พ.ค. 2565)

ข่าวลวงเรื่องประกันสังคมกลับมาอีกครั้งในวันที่ 30 ส.ค. 2565 โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ กล่าวถึงเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า สำนักประชาสัมพันธ์เขต 7 โพสต์ข้อความระบุว่า ด่วนมาก รัฐบาลแจกเงินคนละ 15,000 บาท เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานนอกระบบประกันสังคม กว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อสอบถามไปยังสำนักงานประกันสังคม ได้รับคำยืนยันกลับมาว่าไม่เป็นความจริง เพราะโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคม อีกทั้งเว็บไซต์ดังกล่าวยังแอบอ้างใช้สื่อโฆษณาของสำนักงานประกันสังคม โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลงเชื่อว่าสำนักงานประกันสังคมมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสำนักงานประกันสังคม เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้

ในวันที่ 29 ต.ค. 2565 ยังมีข่าวการแชร์ข้อความ ลงทะเบียนรับค่าตอบแทนจากรัฐบาล 50,000 บาท เพื่อช่วยเหลือการว่างงานสำหรับทุกครอบครัว งานนี้ถึงขั้นทางตำรวจต้องออกมาเตือนเอง โดย พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา รองโฆษก ตร. อ้างถึง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ที่สอบถามไปยังสำนักงานประกันสังคม และได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอม และผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจัง 

ยังมีอีกข่าวลวงที่ได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นความจริงในเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือในวันที่ 1 ก.ย. 2565 ทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงกรณีมีการแชร์ข้อความบนโลกออนไลน์ว่า รัฐบาลแจกเงินคนละ 1,000 – 5,000 บาท สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้ โดยเรื่องดังกล่าวเป็นการแอบอ้างจากผู้ไม่หวังดี ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด 

4.ประกันสังคมให้กู้ยืมเงินได้ : นอกจากจะมีข่าวลวงเรื่องแจกเงินเยียวยาโควิด-19 แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกัน สำนักงานประกันสังคมยังเจอข่าวลวงเรื่องเป็นแหล่งเงินกู้สำหรับประชาชนด้วย โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2565 ว่า มีเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งไปโพสต์ข้อความว่า ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ คนละ 60,000 บาท ซึ่งสำนักงานประกันสังคม ยืนยันว่าเป็นการแอบอ้างไม่ใช่เรื่องจริง

ก่อนหน้านั้นในวันที่ 24 พ.ค. 2565 สำนักงานประกันสังคม ชี้แจงกรณีมีเพจเฟซบุ๊กแชร์ข้อมูลว่า ประกันสังคมเปิดโครงการรัฐ ม.40 ปล่อยสินเชื่อผ่อนสบายสูงสุด 36 เดือน ใช้บัตรประชาชนใบเดียวและไม่เช็คเครดิตบูโร ว่าไม่เป็นความจริง สำนักงานประกันสังคมไม่มีโครงการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 แต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเพจดังกล่าว โดยมีแต่เพียงสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเท่านั้น

“สำนักงานประกันสังคม ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 โดยได้ดำเนินการโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 2 (พ.ศ. 2563 – 2564) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์ดังกล่าว สามารถนำเงินกู้ที่ได้รับจากการขอสินเชื่อไปรักษาการจ้างงานของลูกจ้างในสถานประกอบการ โดยมีเงื่อนไขให้สถานประกอบการรักษาจำนวนผู้ประกันตนให้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของจำนวนผู้ประกันตน ณ วันที่ได้รับสินเชื่อตลอดอายุสินเชื่อ” (คำชี้แจง 24 พ.ค. 2565)

ยังมีข่าวเรื่องประกันสังคมปล่อยสินเชื่อแต่เป็นข่าวลวง ถูกเปิดเผยในวันที่ 2 ส.ค. 2565 โดยมีการแชร์ข้อความว่า สำนักงานประกันสังคม ร่วมมือกับเอกชน ให้สินเชื่อเงินก้อน ต้านภัยโควิด ถูกกฎหมาย ให้กู้ 5,000-500,000 บาท อีกทั้งโพสต์ภาพโฆษณาชวนเชื่อด้วยว่า ไม่ต้องไปกู้นอกระบบ ถูกกฎหมายไม่โดนหลอก ซึ่งได้รับคำชี้แจงว่า การลงทะเบียนดังกล่าวไม่ใช่โครงการของสำนักงานประกันสังคม

แม้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้ว แต่ตราบเท่าที่สภาพเศรษฐกิจยังซบเซาฝืดเคืองอยู่ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐทั้งทางตรง (แจกเงินเยียวยา) และทางอ้อม (ให้สินเชื่อเงินกู้) เชื่อว่าคงจะยังเป็นความหวังของใครหลายคนต่อไป และแน่นอนว่าย่อมต้องมีผู้อาศัยประโยชน์จากความทุกข์อย่างแบบนี้สร้างข่าวลวงขึ้นมา ซึ่งผลร้ายอย่างเบาๆ ก็คงเป็นการเสียความรู้สึกเพราะตอนหลังรู้ว่าฝันสลายไม่ใช่เรื่องจริง แต่ที่อันตรายกว่านั้นคืออาจถูกล้วงข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (เช่น ข้อมูลที่นำไปสู่การทำธุรกรรมทางการเงิน) หรือถูกหลอกให้โอนเงิน จนสูญเสียทรัพย์สินได้  ดังนั้นแล้ว “โปรดระวัง” มีสติ “เช็คก่อนเชื่อ (หรือแชร์)” ทุกครั้ง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://blog.cofact.org/presscofact100164/ (โคแฟค เผย 5 ข่าวลวงโควิดวนซ้ำระบาดรอบใหม่ แนะสังคมร่วมสกัดไวรัสข่าวสารด้วยความจริงร่วม : 11 ม.ค. 2564)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1033997 (ข่าวปลอม! แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน : กรุงเทพธุรกิจ 24 ต.ค. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9640000043541 (ข่าวปลอม! แอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถยืมเงินสดได้ 5,000 บาท ใช้ระยะเวลาอนุมัติเพียง 3 นาที : ผู้จัดการ 6 พ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์-และเพจเฟซบุ๊ก-ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์ และเพจเฟซบุ๊ก ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 12 พ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-แอปพลิเคชันเป๋าตัง-ให้ยืม-100000-บาท-สามารถถอนเงินจาก-atm-ได้ตลอด-24-ชั่วโมง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 100,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 9 ส.ค. 2565)

https://www.springnews.co.th/news/fact-check/828555 (ข่าวปลอม! แอปฯเป๋าตัง ร่วมมือกับ TTB ให้ยืม 10,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ : สปริงนิวส์ 16 ส.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ธ-ออมสินปล่อยกู้-5000-300000-บาท-ผ่านไลน์/(ข่าวปลอม อย่าแชร์! ธ. ออมสินปล่อยกู้ 5,000 – 300,000 บาท ผ่านไลน์ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 27 ส.ค. 2565)

https://www.thaipost.net/economy-news/80354/ (อย่าแชร์! ข่าวปลอม ออมสิน ส่ง SMS ให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอสินเชื่อ GSB จำนวน 60,000 บาท : ไทยโพสต์ 7 ก.พ. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ออมสินส่ง-sms-ให้กดรับสิทธิ์จากลิงก์-เพื่อขอสินเชื่อ-gsb-จำนวน-100000-บาท/(ข่าวปลอม อย่าแชร์! ออมสินส่ง SMS ให้กดรับสิทธิ์จากลิงก์ เพื่อขอสินเชื่อ GSB จำนวน 100,000 บาท : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 28 ต.ค. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000044234 (ข่าวปลอม! ธ. ออมสินปล่อยสินเชื่ออิ่มใจ ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo วงเงินสูงสุด 100,000 บาท : 10 พ.ค. 2564)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1034274 (ข่าวปลอม! “ออมสิน” ให้กู้ยืม วงเงิน 15,000 – 300,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน : กรุงเทพธุรกิจ 25 ต.ค. 2565)

https://www.thansettakij.com/finance/financial-banking/538629 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ไลน์ Official สินเชื่อธนาคารออมสิน : ฐานเศรษฐกิจ 31 ส.ค. 2565)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220512193923920 (เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม หยุดแชร์ ผู้ประกันตน ม.33,39,40 รับเงินเยียวยาคนละ 5,000 บาท : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 12 พ.ค. 2565)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news_update/1023803 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! รัฐบาลอนุมัติ แจกเงินคนละ 15,000 บาท : กรุงเทพธุรกิจ 30 ส.ค. 2565)

https://siamrath.co.th/n/395004 (ข่าวปลอม! ลงทะเบียนรับค่าตอบแทนจากรัฐบาล 50,000 บาท ช่วยเหลือการว่างงาน : สยามรัฐ 29 ต.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-รัฐบาลแจกเงินคนละ-1000-5000-บาท-สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! รัฐบาลแจกเงินคนละ 1,000 – 5,000 บาท สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 1 ก.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 3 พ.ย. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000049360 (ข่าวปลอม! ประกันสังคมเปิดโครงการรัฐ ม.40 ปล่อยสินเชื่อผ่อนสบายสูงสุด 36 เดือน : ผู้จัดการ 24 พ.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สำนักงานประกันสังคม-ร่วมมือกับเอกชน-ให้สินเชื่อเงินก้อน-ต้านภัยโควิด-ถูกกฎหมาย-ให้กู้-5000-500000-บาท/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สำนักงานประกันสังคม ร่วมมือกับเอกชน ให้สินเชื่อเงินก้อน ต้านภัยโควิด ถูกกฎหมาย ให้กู้ 5,000 – 500,000 บาท : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 2 ส.ค. 2565


ไขข้อข้องใจ ‘ห้ามนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปไต้หวัน’ ข่าวนี้มีที่มาอย่างไร? COFACT Special Report #35

บทความโดย : Zhang Taehun

“ไปไต้หวันอย่าพกมาม่า” เป็นข้อความเขียนบนภาพที่เพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งเผยแพร่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 (เท่าที่สืบค้นได้)  แล้วมีการส่งต่อกันอย่างต่อเนื่องพร้อมกับคำถามว่า “จริงหรือ?” ซึ่งก็ต้องบอกว่าข่าวนี้เป็น “ข่าวจริง” เนื่องจากไต้หวัน หรือจีนไทเปนั้นออกประกาศ “ห้ามนำเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมูของประเทศไทยเข้าไต้หวันโดยเด็ดขาด” เพจดังกล่าวจึงมีการโพสต์เพื่อแจ้งเตือนชาวไทยที่จะเดินทางไปไต้หวันทั้งไปเที่ยวและทำงาน

ที่มาที่ไปของการเตือนนี้ ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ Focus Taiwan ซึ่งอยู่ในเครือ สำนักข่าวแห่งชาติไต้หวัน (CNA) เป็นองค์กรของรัฐที่มีภารกิจคล้ายกับสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ (PRD-NBT) ของไทย เสนอข่าวระบุว่า  ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง (CEOC) เกี่ยวกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ออกประกาศเตือนว่า หากตรวจพบการนำเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์จากหมูจากประเทศไทยเข้าไต้หวัน จะถือว่ามีความผิดโดยจะถูกลงโทษปรับอย่างน้อย 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือ 7,218 เหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2 แสนบาท) ตามมาตรการสกัดกั้นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่กำลังระบาดอยู่ในไทย

ก่อนหน้านั้นในวันที่ 9 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ Taipei Times หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของไต้หวัน รายงานข่าวโดยอ้างคำเตือนของกระทรวงแรงงานไต้หวัน ระบุว่า แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไต้หวัน หากถูกจับกุมข้อหานำเข้าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์จากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร รวมถึงแรงงานที่ได้รับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นอกจากจะถูกลงโทษปรับแล้ว ยังต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงานและส่งกลับประเทศด้วย

รายงานข่าวจาก Taipei Times กล่าวต่อไปว่า กุนเชียงหมูที่ส่งมาจากประเทศไทย ถูกพบโดยสำนักงานไปรษณีย์ไถหนานของไต้หวัน ว่าปนเปื้อนไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF หลังจากส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564 และมีการยืนยันผลตรวจอีกครั้งในวันที่ 22 ธ.ค. 2564  อย่างไรก็ตาม สำหรับความผิดฐานลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ตามกฎหมายไต้หวันมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับสูงสุด 3 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือ 108,342 เหรียญสหรัฐ (หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 ล้านบาท)

สำหรับพัสดุที่มีผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่ญาติหรือเพื่อนส่งมาให้จากต่างประเทศ ควรส่งไปที่สำนักตรวจสอบและกักกันสุขภาพสัตว์และพืช หรือสำนักงานคุ้มครองสัตว์ในท้องถิ่นเพื่อทำลาย หากฝ่าฝืนจะถูกปรับไม่เกิน 150,000 เหรียญไต้หวัน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 แสนบาท) ตามกฎหมายบริการจัดหางาน (the Employment Service Act) อีกทั้งยังกำชับให้นายจ้างไม่ส่งต่อเศษอาหารจากหอพักของแรงงานต่างด้าวไปยังฟาร์มเลี้ยงหมูด้วย ทั้งนี้ ไต้หวันยังมีกฎหมายกำหนดให้ขยะเศษอาหารจากครัว ต้องผ่านการอบไอน้ำที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 90 องศาเซลเซียสเพื่อฆ่าเชื้อ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ในวันที่ 11 ม.ค. 2565 Taipei Times ยังรายงานข่าวอีกว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง (CEOC) เกี่ยวกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ออกประกาศห้ามนำผลิตภัณฑ์จากหมูที่มีแหล่งที่มาจากประเทศไทยเข้าไต้หวัน โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษปรับ หากเป็นความผิดครั้งแรกค่าปรับจะอยู่ที่ 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 2 แสนบาท และหากกระทำผิดซ้ำโทษปรับจะเพิ่มเป็น 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 1 ล้านบาท ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นชาวต่างชาติ หากไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้จะถูกห้ามเข้าไต้หวันและถูกส่งตัวกลับประเทศทันที

ขณะที่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2565 (แจ้งซ้ำอีกครั้งวันที่ 11 ก.พ. 2565 )  บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ที่อาจปนเปื้อนอหิวาต์แอฟริกาไปยังปลายทางไต้หวัน  ยกเว้นผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรที่ผ่านการแปรรูปด้วยอุณหภูมิสูง และอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกหนาแน่น เช่น ในรูปแบบอาหารกระป๋องหรือ ถุง/ซองพลาสติกสุญญากาศ (Retort Pouch)

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 (แจ้งซ้ำอีกครั้งวันที่ 7 ก.ย. 2565) ไปรษณีย์ไทย ออกประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน (จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งสืบเนื่องจาก ไปรษณีย์ไทย ได้รับแจ้งจากไปรษณีย์ไต้หวัน (Chunghwa Post) ให้งดฝากส่งเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมูดังกล่าว ตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยประกาศฉบับนี้ถือเป็นการ “ยกระดับความเข้มงวด” จากประกาศฉบับก่อนหน้าในเดือน ก.พ. 2565 ที่มีข้อยกเว้นผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรที่ผ่านการแปรรูปด้วยอุณหภูมิสูง และอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกหนาแน่น เป็นการงดผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบ

ประกาศเรื่องงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน (จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง) ยังได้รับการกำชับเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2565 จาก ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ว่า จากกรณีที่การไปรษณีย์ไต้หวัน (Chunghwa Post) แจ้งงดการฝากส่งผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African Swine Flu : ASF นั้น 

ในส่วนของไปรษณีย์ไทย จึงขอประกาศงดฝากสิ่งของที่ภายในบรรจุเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบ อาทิ กุนเชียง แคปหมู หมูกระจก หมูหยอง หมูแผ่น “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมู” “ผงปรุงรสหมู” ไปยังปลายทางไต้หวันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากตรวจพบสิ่งของที่บรรจุเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบในเส้นทางการขนส่งของไปรษณีย์ระหว่างประเทศ จะถูกส่งคืนไปยังไปรษณีย์ที่ฝากส่ง

หากตรวจพบในขั้นตอนการนำเข้าจะถูกทำลายหรือกักโดยกรมตรวจสอบสุขอนามัย และการกักกันพืชและสัตว์ หรือ Bureau of Animal and Plant Health Inspection and Quarantine : BAPHIQ  ของไต้หวัน ทั้งนี้ ผู้รับที่มีชื่อตามจ่าหน้าสิ่งของที่ฝากส่งจะต้องระวางโทษปรับ ในกรณีตรวจพบครั้งแรก อัตราค่าปรับสูงสุด 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือ ประมาณ 2.4 แสนบาท กรณีตรวจพบครั้งต่อไป อัตราค่าปรับสูงสุด 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือ ประมาณ 1.2 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ของไทย  ระบุว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF)  เป็นโรคไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสุกรที่แพร่กระจายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนแต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศแล้วจะกำจัดโรคได้ยาก เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันและควบคุมโรค ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ก่อโรคมีความทนทานในผลิตภัณฑ์จากสุกรและสิ่งแวดล้อมสูง สุกรที่หายป่วยแล้วจะเป็นพาหะของโรคได้ตลอดชีวิต และยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรค ที่มีความความรุนแรงทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีการตายเฉียบพลันเกือบ 100%

โดยประเทศไทยนั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่า พบผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูในไทยปนเปื้อนเชื้อก่อโรค ASF ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2564  ซึ่งเป็นรายงานจากไต้หวัน พบกุนเชียงเนื้อหมูปนเปื้อนเชื่อดังกล่าว แต่ในเวลานั้น กรมปศุสัตว์ของไทย ชี้แจงว่า เนื้อหมูที่นำมาใช้ผลิตกุนเชียงน่าจะมีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากยังไม่พบผลทางห้องปฏิบัติการจากการเฝ้าระวังภายในประเทศ กระทั่งวันที่ 11 ม.ค. 2565 จึงมีการรายงานยืนยัน พบเชื้อ ASF  เป็นครั้งแรก จากตัวอย่างที่เก็บจากโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.นครปฐม

สรุปแล้ว “ข่าวนี้เป็นเรื่องจริง” แต่ต้องระบุให้ชัดว่า “ห้ามนำมาม่า” หรือภาษาทางการคือ “ห้ามนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ในกลุ่ม “รสหมู” ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นหมูสับ หมูต้มยำ หมูน้ำตก ฯลฯ ไปไต้หวันโดยเด็ดขาด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://focustaiwan.tw/society/202201110028 (Fines to be imposed for bringing Thai pork into Taiwan : Taiwan Focus 11 ม.ค. 2565)

https://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2022/01/09/2003771016 (Illegal pork may lead to deportation, ministry warns : Taipei Times 9 ม.ค. 2565)

https://www.taipeitimes.com/News/taiwan/archives/2022/01/13/2003771287 (Illegal Thai pork imports face NT$200,000 fine : Taipei Times 11 ม.ค. 2565)

https://international.thailandpost.com/thp_announcement_taiwan/ (ประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ที่อาจปนเปื้อนอหิวาต์แอฟริกา ไปยังปลายทางไต้หวัน ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป : 4 และ 11 ก.พ. 2565)

https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/550/24735 (ประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง : 23 ส.ค. และ 7 ก.ย. 2565)

https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1026228 (ปณท งดส่ง ‘หมู’ ปลายทางไต้หวันทุกผลิตภัณฑ์ : กรุงเทพธุรกิจ 12 ก.ย. 2565)

https://www.prachachat.net/ict/news-1042363 (“ไปรษณีย์ไทย” งดส่งเนื้อสุกร-ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ไปไต้หวัน : 8 ก.ย. 2565)

https://dld.go.th/th/images/stories/hotissue/asf/ContingencyPlanAndCPG2.pdf (แผนเตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Contingency plan) และแนวทางเวชปฏิบัติของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Clinical Practice Guideline) : กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

https://www.bangkokbiznews.com/business/979173 (ปศุสัตว์ ยันหมูไทยปลอด ASF ที่ไต้หวันเจอ คือ ลักลอบ : กรุงเทพธุรกิจ 24 ธ.ค. 2564)

https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-839139 (อธิบดีปศุสัตว์ยอมรับเป็นทางการครั้งแรก พบโรค ASF ในหมู : 11 ม.ค. 2565)

https://dld.go.th/th/index.php/th/newsflash/341-news-hotissue/25151-hotissue-25650722-2 (“อธิบดีกรมปศุสัตว์แจงอภิปรายฝ่ายค้านชัดทุกประเด็น ชี้ ร่วมทุกภาคส่วนคุม ASF ในหมู อย่างเปิดเผย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ” : 22 ก.ค. 2565)

https://www.taiwantourism.org/th/tourism-informations/visa/#menus

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-