สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 เมษายน 2568

29 มีค.แผ่นดินไหวทะเลอันดามัน เวลา 17.08 น. ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราทำให้เกิดคลื่นสึนามิ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20qumnbx6vy6wu


อีก 50 ปี รอยเลื่อนสะกายอาจขยับ เสี่ยงแผ่นดินไหวใหญ่ในไทย….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qx2de9ae9p2b


พบเครื่องบินรบ F5E เหนือน่านฟ้า จ.สุรินทร์ มุ่งหน้าไปทางกัมพูชา….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1uj6shqp9qlj2


หอเตือนภัยสึนามิ จ.ภูเก็ต หายสาบสูญ….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23k99gjt2l9s0


  31 มีค. สั่งอพยพคนออกจากอาคาร A ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1puaug5g5eexr


 กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นชั้นดินอ่อน เมื่อเกิดแผ่นดินไหว จึงมีแรงสั่นสะเทือนมาก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1xv3o7zggfj3n


 ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากเหตุแผ่นดินไหว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1r6fatzrueted


 แจ้งเบาะแสบุหรี่ไฟฟ้าผ่านแอปทางรัฐ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2yfvf3e5zagv1


 แผ่นดินไหวเวียดนาม 4 ครั้งซ้อน! ไทยเฝ้าระวังแรงสั่นสะเทือน 4 เมย.68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/38usxfbs8sms8


  16 กลุ่มรอยเลื่อนมีพลัง พาดผ่าน 23 จังหวัดในประเทศไทย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/34pqc4fgsnysc


 กรมบัญชีกลาง ขยายวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/zc9sbdkoue6y


31 มีค. เกิดแผ่นดินไหวอีกระลอก ผู้คนอพยพออกจากตึกสูงหลายแห่งใน กทม….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g0vzrnrbums8


Live fact-check: อัพเดทรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค.2568

โคแฟครวบรวมและอัพเดทรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์หลังเหตุการณ์ แผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมาและส่งผลกระทบถึงประเทศไทยเมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยกองบรรณาธิการโคแฟคและภาคีเครือข่าย

วันที่ 7 เมษายน 2568

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลังสินค้าเครื่องเสียง Marshall เสียหายจากแผ่นดินไหว สินค้าลดราคา 80%

เนื้อหาโดยสรุป: เพจเฟซบุ๊ก “อีซ้อขยี้ข่าว: อีซ้อ” โพสต์ข้อความว่าคลังสินค้าหลักของเครื่องเสียง Marshall ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว พังทลายลงบางส่วน จึงต้องย้ายสินค้าเพื่อความปลอดภัยและ “เพื่อระบายสต๊อกก่อนที่จะย้ายคลังสินค้า Marshall จึงตัดสินใจลดราคาสินค้าในกลุ่มลำโพงและหูฟังจำนวน 1,000 ชิ้น…” พร้อมกับโพสต์ลิงก์สำหรับสั่งซื้อสินค้าและภาพอาคารที่พังเสียหาย มีป้ายชื่อเขียนว่า Marshall โพสต์นี้เผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 และยังคงเข้าถึงได้วันนี้ (7 เมษายน 2568)

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** โคแฟคสอบถามไปทางเพจเฟซบุ๊กของ ASH Asia Thailand บริษัทผู้นำเข้าลำโพงเเละหูฟัง Marshall ได้รับคำยืนยันว่าคลังสินค้าของบริษัทไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและได้ตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวแล้วพบว่าไม่ใช่โปรโมชันจริงจากบริษัทหรือร้านค้าทางการ พร้อมกับให้ข้อมูลว่าบริษัทไม่มีการขายสินค้าทางเฟซบุ๊ก

ก่อนหน้านี้บริษัท ASH Asia Thailand ได้แจ้งประชาชนว่ามีผู้ไม่หวังดีได้ทำเพจปลอมขึ้นมาโดยอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้า พร้อมกับย้ำช่องทางการสื่อสารออนไลน์ ช่องทางผู้จัดจำหน่ายและคู่ค้าพันธมิตร รวมถึงร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการตามรายละเอียดในโพสต์นี้

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเฟซบุ๊ก “อีซ้อขยี้ข่าว: อีซ้อ” พบว่ามีผู้ติดตามเพียง 29 ราย ข้อมูลเกี่ยวกับเพจระบุว่าเปิดใช้งานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “อีซ้อขยี้ข่าว: อีซ้อ” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โพสต์ข้อมูลเท็จเรื่องคลังสินค้าเสียหายจากแผ่นดินไหว เพจนี้จึงเป็นเพจที่สร้างเลียนแบบเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ” ซึ่งมีผู้ติดตาม 1.9 ล้านบัญชีผู้ใช้

สำหรับภาพอาคารร้าวที่มีป้าย Marshall ที่นำมาประกอบโพสต์นั้น โคแฟคได้ค้นหาที่มาของภาพด้วยเครื่องมือ reverse image search แต่ยังไม่พบภาพที่คล้ายกัน จึงยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของภาพ

วันที่ 3 เมษายน 2568

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: “ปาฏิหารย์มีจริง” พบผู้รอดชีวิตใต้ซากตึก สตง. ในวันที่ 6 ของปฏิบัติการค้นหา  

เนื้อหาโดยสรุป: วันนี้ (3 เมษายน) เป็นวันที่ 6 ของการค้นหาผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ติดอยู่ใต้ซากตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา มีผู้โพสต์คลิปวิดีโอใน TikTok เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น. อ้างว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากตึกระบุข้อความว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง!! ผู้รอดชีวิตคนล่าสุด” วิดีโอเดียวกันนี้ยังถูกนำไปโพสต์ในยูทูบในเวลาใกล้เคียงกัน พร้อมคำบรรยายว่า “ด่วน!! ปาฏิหาริย์กลางซากตึก สตง ถล่มจากแผ่นดินไหว ช่วยได้อีก 1 ชีวิต!”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **คลิปเก่าตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568** คลิปนี้เป็นคลิปการพบผู้รอดชีวิตจากเหตุตึก สตง.ถล่ม ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 28 มีนาคมซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุ เพจเฟซบุ๊ก “Fire & Rescue Thailand” โพสต์คลิปนี้เมื่อเวลา 20.13 น. โดยระบุว่า “เวลา 20.00 น. วินาทีนำร่างผู้ได้รับบาดเจ็บ ออกจากซากตึกถล่ม เหตุอาคารถล่มจากแผ่นดินไหว” และอ้างที่มาของคลิปว่า “แอล เหนือ43-11ดอนเมือง” ขณะที่สำนักข่าว “คมชัดลึก” โพสต์คลิปเดียวกันนี้ในบัญชี TikTok เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันเดียวกัน โคแฟคตรวจสอบด้วยการเปรียบเทียบองค์ประกอบของภาพในคลิปวิดีโอ พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เดียวกันกับคลิปที่มีผู้อ้างเท็จว่าเป็นการพบผู้รอดชีวิตรายล่าสุดเมื่อวันที่ 3 เมษายน แต่ถ่ายจากคนละมุม

นอกจากนี้ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในพื้นที่กรุงเทพฯ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 28 มีนาคม รายงานเมื่อเวลา 7.00 น. วันที่ 4 เมษายน 2568 ว่า จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บที่ตึก สตง. คือ 19 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่คงที่มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ยังไม่มีรายงานการพบผู้รอดชีวิตเพิ่มเติม

ข้อมูลเพิ่มเติม: ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นมา ซึ่งพ้นช่วงเวลา “72 ชั่วโมงของการช่วยชีวิต” และหลังจากที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายนว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร ได้มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่คลิปการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตโดยอ้างเท็จหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือจงใจสร้างความเข้าใจผิดว่ามีการพบผู้รอดชีวิตจากซากตึก สตง. เพิ่มเติม โดยใช้ภาพเก่าตั้งแต่วันแรก ๆ ของปฏิบัติการช่วยเหลือ หรือใช้ภาพจากปฏิบัติการค้นหาในประเทศเมียนมา

ทั้งนี้ ในทางการแพทย์และภัยพิบัติ ช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประสบภัยจะมีโอกาสในการรอดชีวิตสูงเนื่องจากอยู่ในเวลาที่ร่างกายจะสามารถทนได้

วันที่ 31 มีนาคม 2568

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เกิดแผ่นดินไหวอีกระลอก ผู้คนอพยพออกจากตึกสูงหลายแห่งใน กทม.

เนื้อหาโดยสรุป: เวลาประมาณ 9.30 น. มีรายงานว่าคนที่อยู่ในตึกสูงรู้สึกถึงแรงสั่นไหวจึงได้พากันออกมาจากตึก เช่น ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก สำนักงานใหญ่ธนาคารอาคาสงเคราะห์ ถ.พระราม 9 สำนักงานประกันสังคม ถ.มิตรไมตรี กรมสรรพากร ซ.อารีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “เกิดแผ่นดินไหวอีกระลอก”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริงบางส่วน** คนที่อยู่บนอาคารสูงเกิดความหวาดกลัวและอพยพออกจากอาคารหลายแห่งจริง แต่ข้อความที่ระบุว่า “เกิดแผ่นดินไหวอีกระลอก” นั้นเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและสร้างความตื่นตระหนกในสถานการณ์ที่อ่อนไหวหลังภัยพิบัติ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมทรัพยากรธรณียืนยันว่าไม่มีแผ่นดินไหวในไทยแต่มีอาฟเตอร์ช็อกขนาดเล็กในเมียนมา และไม่ส่งผลกระทบต่อไทย

เวลา 11.08 น. เพจเฟซบุ๊กกรมอุตุนิยมวิทยาชี้แจงว่าวันนี้ (31 มีนาคม) เกิดอาฟเตอร์ช็อกจากแผ่นดินไหวในเมียนมาจริง แต่มีขนาดเล็กและไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

เวลา 11.14 น. เพจเฟซบุ๊กกรมทรัพยากรธรณีชี้แจง จากการตรวจสอบข้อมูลแผ่นดินไหวจากเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหวของกรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรธรณี และเครือข่ายสถานีตรวจวัดจากต่างประเทศ  “ไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่พบเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 3.7 ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก บริเวณทิศตะวันออกของเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา” และจากสถิติที่ผ่านมาแผ่นดินไหวขนาดเล็กในประเทศเมียนมา จะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: สั่งอพยพคนออกจากอาคาร A ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

เนื้อหาโดยสรุป: เวลาประมาณ 10.00 น. มีการส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่ามีประกาศอพยพคนออกจากอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เนื่องจากมีผู้ที่อยู่ในอาคารได้ยินเสียงคล้ายตึกร้าวและมีเศษปูนร่วงหล่าน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเป็นจริง** เหตุการณ์นี้มีสื่อมวลชนรายงานตรงกันหลายสำนึก เช่น เวลา 10.05 น. เว็บไซต์มติชนรายงานว่า “ด่วน! อพยพเจ้าหน้าที่จากศูนย์ราชการ ตึก A หลังมีเสียงลั่น พบรอยแยกตึก” ขณะที่ ch7hd_news โพสต์คลิป ในอินสตาแกรมระบุข้อความว่า “นาทีเร่งอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากตึก A และ B ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เจ้าหน้าที่บางคนบอกได้ยินเสียงลั่น ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทย รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน สั่งอพยพคนเช่นกัน”

เวลา 10.03 น. พิชญ์ธรา แก้วก่อ ผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงยุติธรรม หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โพสต์เฟซบุ๊กรายงานเหตุการณ์จากศูนย์ราชการฯ ว่าเธอและเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากตึกเพื่อความปลอดภัย เพราะได้รับแจ้งว่าอาคารฝั่งที่เป็นที่ตั้งของศาลรัฐธรรมนูญและศาลล้มละลายกลางเกิดการสั่น แต่เธอซึ่งนั่งอยู่ในห้องสื่อมวลชน บริเวณชั้น 2 ประตู 3 ไม่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนใด ๆ

เวลา 11.04 น. พิชญ์ธราให้ข้อมูลกับโคแฟคทางโทรศัพท์ว่าได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบว่าจุดที่เกิดเหตุอาคารสั่นสะเทือนและมีความเสียหายคือศาลล้มละลายกลาง และขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาตให้กลับเข้าอาคาร

วันที่ 29 มีนาคม 2568

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: แผ่นดินไหวทะเลอันดามันขนาด 4.6 เวลา 17.08 น. ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา   

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงเย็นถึงกลางดึกของวันที่ 29 มีนาคม มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายโพสต์ข้อความเตือนภัยการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน เช่น ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ สื่อมวลชนอิสระ โพสต์ข้อความในบัญชี X @sirotek ว่า “ด่วน! มีรายงานแผ่นดินไหวทะเลอันดามันขนาด 4.6 เวลา 17:08 น. ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ลึก 140 ก.ม. ห่างจากภูเก็ต 400 กม.” ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความเมื่อเวลา 18.40 น. คล้ายกันว่า “ด่วน วันนี้ 29 มี.ค.68 เวลาประมาณ 17.08 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวในทะเล ที่บริเวณ จ.บันดาอาเจะห์ ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ขนาด 4.6 แมกนิจูด ความลึก 140 กม.”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลจริง แต่อาจสร้างความตื่นตระหนกในช่วงสถานการณ์อ่อนไหว** กรมอุตุนิยมวิทยาชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 21.01 น. ว่ามีแผ่นดินไหวในตำแหน่งและเวลาดังกล่าวจริง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวในเมียนมาและไม่เกิดสึนามิ กรมอุตุฯ ระบุว่า “เนื่องจากมีประชาชนสอบถามเข้ามาจำนวนมาก จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้  กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว จึงขอเรียนชี้แจงว่า แผ่นดินไหว วันที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 17.08 น. บริเวณตอนเหนือของเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ขนาด 4.1 ลึก 148 กม. ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา และไม่ทำให้เกิดคลื่นสึนามิ”

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพที่อ้างว่าเป็น “รอยเลื่อนสะกาย”

เนื้อหาโดยสรุป: เวลาประมาณ 00.22 น. ผู้ใช้ TikTok เผยแพร่ภาพที่อ้างว่าเป็น “รอยเลื่อนสะกาย” พร้อมกับให้ข้อมูลเกี่ยวกับรอยเลื่อนที่เป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในประเทศเมียนมาที่ส่งแรงแรงสั่นสะเทือนถึงไทย ภาพดังกล่าวเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ปริแยกออกจากกันเป็นทางยาว ต่อมาภาพและข้อความเดียวกันนี้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อในเพจเฟซบุ๊ก “อาสาปทุม”  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **คาดว่าเป็นภาพ AI** Thai PBS Verify ตรวจสอบภาพจากเฟซบุ๊ก “อาสาปทุม” โดยใช้ “Is It AI?” ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบภาพจาก AI ผลการตรวจสอบพบว่าร้อยละ 99 ถูกสร้างจาก AI ของ Midjourney บริษัทพัฒนาปัญญาประดิษฐ์สำหรับการสร้างภาพศิลปะ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมโดยใช้ RevEye Reverse Image Search พบภาพที่คล้ายกันเป็นภาพรอยแยกที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ซึ่ง AFP Fact Check เคยตรวจสอบภาพนี้มาแล้วเมื่อปี 2566 เมื่อมีผู้ใช้ TikTok นำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพของเปลือกโลกที่แตกหลังเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศตุรกีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566

วันที่ 28 มีนาคม 2568

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เขื่อนวชิราลงกรณ์ได้รับความเสียหายมาก

เนื้อหาโดยสรุป: ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ในกลุ่มสาธารณะ “แจ้งเตือนอากาศ” ว่าเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนเขาแหลม) ซึ่งกั้นแม่น้ำแควน้อย อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี “ได้รับความเสียหายมาก” ทำให้ต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** Thai PBS Verify  ตรวจสอบกับนายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ยืนยันว่า เขื่อนวชิราลงกรณ์ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม 2568 เพจเฟซบุ๊กทางการของกรมชลประทานยืนยันอีกครั้งว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทุกแห่งยังคงมีสภาพมั่นคง แข็งแรงและไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: SMS แจ้งเตือนแผ่นดินไหวให้กดลิงก์

เนื้อหาโดยสรุป: หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวประมาณ 1-2 ชั่วโมง มีผู้ได้รับ SMS ข้อความว่า “แจ้งสถานการณ์ฉุกเฉิน” พร้อมกับแนบลิงก์ให้ผู้รับกดเข้าไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **SMS ปลอม อย่ากดลิงก์** กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแจ้งเตือนทางเฟซบุ๊กตำรวจสอบสวนกลางเมื่อเวลา 19.03 น. ว่าให้ประชาชนระวัง SMS ปลอมที่ส่งข้อความแจ้งเตือนแผ่นดินไหวและแปะลิงก์ดูดข้อมูล

“ขณะนี้พบว่ามีมิจฉาชีพอาศัยสถานการณ์ดังกล่าว ส่ง SMS ปลอมมายังโทรศัพท์มือถือของประชาชน โดยอ้างว่าเป็น SMS แจ้งเตือนเหตุเเผ่นดินไหว แต่ความจริงเเล้วมีการแปะลิงก์ดูดข้อมูลมาด้วย ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อ และกดลิงก์ดังกล่าวโดยเด็ดขาด”  

ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ย้ำว่าข้อความแจ้งเตือนภัยจะส่งในชื่อ “DDPM” เท่านั้นและไม่มีการแนบลิงก์ให้ประชาชนกดอ่านเพิ่มเติมหรือลงทะเบียน หากได้รับข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นข้อความจากมิจฉาชีพ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ตึกใบหยกร้าวและเอียง

เนื้อหาโดยสรุป: ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความว่า “ตึกใบหยกร้าวและเอียง” จากเหตุแผ่นดินไหวและเตือนให้ทุกคนออกจากบริเวณดังกล่าว ตึกใบหยกสกายหรือตึกใบหยก 2 เป็นตึกระฟ้าความสูง 88 ชั้น ตั้งอยู่ในเขตราชเทวี กรุงเทพฯ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** เพจเฟซบุ๊ก Baiyoke Sky รายงานการตรวจสอบ เมื่อเวลา 15.20 น. ว่า ไม่พบร่องรอยความเสียหายที่กระจกของอาคาร ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด และยืนยันว่าตึกใบหยก 2 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับแผ่นดินไหว ขณะที่เฟซบุ๊กของนายปิยะเลิศ ใบหยก โพสต์ ระบุว่าข้อมูลที่ว่าตึกร้าวและเอียงนั้นไม่เป็นความจริง แต่รอยที่เห็นเกิดจากสีแตกซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เคยเกิดขึ้นแล้ว

นอกจากนี้ Thai PBS Verify ได้ตรวจสอบภาพตึกใบหยกในอดีตที่มีการบันทึกใน Google Map พบว่าภาพที่บันทึกในปี 2554 มีรอยคล้ายสีแตกจริง จึงเป็นไปได้ว่ารอยดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: สะพานภูมิพลสลิงขาด

เนื้อหาโดยสรุป: ผู้ใช้เฟซบุ๊กอ้างว่าสายสลิงสะพานภูมิพล ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมระหว่างเขตยานนาวา กรุงเทพฯ และ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ชำรุดเสียหายและกำลังจะขาด เจ้าหน้าที่สั่งปิดการจราจร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ชี้แจงในเพจเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 16.49 น. ว่าเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วยืนยันว่า “สลิงบนสะพานภูมิพลยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ประชาชนสามารถใช้สะพานในการสัญจรได้ตามปกติ” ต่อมาเวลา 19.07 น. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทช. ตรวจสอบทุกสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว พบว่าใช้งานได้ตามปกติทุกแห่ง ได้แก่ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า, สะพานกรุงธน, สะพานพระราม 7, สะพานพระราม 5, สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์, สะพานพระราม 4, สะพานพระราม 3, สะพานพระพุทธยอดฟ้า, สะพานพระปกเกล้า, สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน, สะพานกรุงเทพ, สะพานภูมิพล 1, สะพานภูมิพล 2, สะพานยกระดับข้ามคลองและข้ามแยกในสายทาง, อุโมงค์ทางลอด

ข้อมูลเพิ่มเติม: ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับทางหลวงชนบทได้ที่ Facebook “กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม” หรือโทรสายด่วน ทช. 1146

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 มีนาคม 2568

SMS แจ้งเตือนแผ่นดินไหวให้กดลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b7vz4ymszhwb


ตึกใบหยกร้าวและเอียง จากเหตุแผ่นดินไหว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2eaucrchmmzfo


เขื่อนวชิราลงกรณ์ได้รับความเสียหายมาก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1x0xeet01x7fd


สะพานภูมิพลสลิงขาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dg30d6y0jbvi


 กลุ่มเป้าหมายเงินดิจิทัลเฟส 2 ที่โอนเงินไม่สำเร็จ อาจถูกตัดสิทธิ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ek167o88u9z4


 กรมศุลกากร ขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบกเพื่อส่งออกทุเรียน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/37ynf3v11ejzh


 การบินไทยเปิดรับนักบินฝึกหัด ถึง 21 มีนาคม 2568

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3ojeq8a4ucxot


 น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว มาขายต่อให้ ‘โครงการทอดไม่ทิ้ง’ โดยบางจาก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12hpzrb5d7pzs


  เกิดอาฟเตอร์ช็อก เหตุแผ่นดินไหวรอยเลื่อนสะกายในเมียนมา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/352zy7u7ukwvw


2เมษา : หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง กับงาน “วันตรวจสอบข่าวลวงโลก” The Battle for Truth 2025 🔥

ปีนี้จัดในธีม สงครามข้อมูล 😱
เราไม่รู้ว่าจะเชื่อใครหรืออะไรได้ จนกลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นทั้งในไทยและระดับสากลที่ปัญหาข้อมูลลวงในยุคปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นความเสี่ยงของโลก 🌏 จึงต้องมาเสวนาหาทางออกกัน

🌐 ชวนรับฟัง บก.ใหญ่แห่ง AFP เล่าทิศทางการเมืองโลกที่ส่งผลกระทบต่อสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ยุโรป และ เอเชีย🗽 AFP Fact Check

🌏 รับฟัง CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้งแอพ Whoscall ปาฐกถาเรื่อง “ปฏิวัติ AI โอกาสหรือความเสี่ยงด้านข้อมูลข่าวสาร”

🎁 การประกาศความร่วมมือกับองค์กรสื่อในการมอบรางวัล Fact Checking & Digital Verification 2025 ร่วมกับ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และภาคี

🕊 ทีมสื่อไทย นำเสวนาเรื่องการค้นหาความจริงโดย คุณกิตติ สิงหาปัด ข่าวสามมิติ คุณธนกร วงษ์ปัญญา The Standard รศ.ดร.วิลาสินี ไทยพีบีเอส และ ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ

😎 การรวมพลังเหล่า Avengers ทีมภาคี Fact-Checkers จากทีม Cofacts 真的假的 AFP Fact-Check ประเทศไทย ชัวร์ก่อนแชร์ น้องใหม่ ทีมThai PBS Verify และ ทีมภาคีโคแฟค ประเทศไทย

🎊 งานวัฒนธรรม ดนตรีพิณแก้ว โดยวีระพงศ์ ทวีศักดิ์ หมอลำโคแฟค อีสานโคแฟค – ESAN Cofact และ เดินแบบรณรงค์ Fact-Free-Fair

🧭 ฟังเกร็ดความรู้จาก อพวช. จากยุคโทรเลขถึงยุคเอไอ

🎗 เปิดตัวแคมเปญบริจาคข้อมูลลวงให้โคแฟค Chatbot และ Scamtify

🌈 และไฮไลท์ “พูดพร่ำฮัมเพลง ตามหาความจริง” กับพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง

มาแจมกัน ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2568
ตั้งแต่เวลา 10:00-19:00 ณ หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BAAC)


ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeBomuMJUHTudZprIjLbokPS0DyMEy-BtbtOpDJD5p3-M-LPg/viewform?usp=sharing



กำหนดการวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2568 (International Fact-Checking Day 2025)

สงครามข้อมูล 2025: โจทย์แห่งความจริงในยุควิกฤตความเชื่อมั่น

The Battle for Truth: Reclaiming Information Integrity in the Age of Distrust

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น.

ณ ห้องอเนกประสงค์ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กทม.

10.00 – 10.30 น.​ลงทะเบียน

10.30 – 11.10 น.​พิธีเปิด

• การแสดงดนตรีพิณแก้ว โดย วีระพงศ์ ทวีศักดิ์

นักดนตรีพิณแก้วคนแรกของประเทศไทยและเอเชีย

• กล่าวต้อนรับ โดย รศ. ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ

คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

• กล่าวเปิดงาน โดย เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร

รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

• เปิดประเด็นและแนะนำองค์ปาฐก โดย วาเนสซ่า สไตน์เม็ทซ์

ผู้อำนวยการโครงการประจำประเทศไทยและเวียดนาม มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ

11.10 – 11.35 น.​ปาฐกถาพิเศษ ‘สงครามข้อมูล: การทวงคืนความเชื่อมั่นสื่อในยุควิกฤตศรัทธา’ โดย แดเนียล ฟุงค์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนดิจิทัลสำหรับเอเชียแปซิฟิก สำนักข่าว AFP ฮ่องกง

11.35 – 12.00 น.​ปาฐกถาพิเศษ ‘ความท้าทายระดับโลกและสงครามข้อมูล: การปฏิวัติ AI เป็นโอกาสหรือความเสี่ยง?’  โดย เจฟฟ์ กัว ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท โกโกลุก จำกัด(Whoscall)

12.00 – 12.25 น.​ประกาศความร่วมมือ ‘มอบรางวัลเพื่อส่งเสริมการตรวจสอบข้อมูลของสื่อ’ ​    (Best Fact-Check and Digital Verification Award 2025)

• สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์​     Ÿ  Cofact และภาคี Cofact ชุมชน

• สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)​​    

• คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

• AFP Thailand​​     Ÿ  สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

• สภาองค์กรของผู้บริโภค​     Ÿ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

• สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

• มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย

• มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ ประจำประเทศไทย (FNF)

พิธีกร :   ผศ. ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และ ไชยวัฒน์ อัศวเบ็ญจาง  สภาองค์กรของผู้บริโภค 

12.25 – 13.30 น.​พัก

13.30 – 14.30 น.​เวทีเสวนาเรื่อง ‘สงครามข้อมูล 2025: สื่อจะช่วยสังคมเข้าถึงข้อเท็จจริงได้อย่างไร’ โดย

• รศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล

ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

• ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ

อดีตผู้อำนวยการ DGA สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)

• กิตติ สิงหาปัด

ผู้สื่อข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าว 3 มิติ

• ธนกร วงษ์ปัญญา

บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard

ผู้ดำเนินรายการ โดย ผศ. ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล

คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

14:30 – 14:45 น.​พักโยคะ โดย เพชรี พรหมช่วย ครูสอนโยคะ

14:45 – 16.15 น.​Lightning Talks ‘ยกระดับ รับมือ ข้อมูลบิดเบือน 4.0’ โดย ภาคี Fact Checkers

• บิลเลียน ลี ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคไต้หวัน (Cofacts)

• ณัฐกร ปลอดดี และทีม AFP Thailand

• พีรพล อนุตรโสตถิ์ และทีมชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท

• กนกพร ประสิทธิ์ผล และทีม Thai PBS Verify

• กุลธิดา สามะพุทธิ และภาคี Cofact Thailand

ดำเนินรายการโดย ผศ. ดร.เจษฎา ศาลาทอง คณะนิเทศศาสตร์​​ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

16.15 – 16.30 น.​นำเสนอ พัฒนาการจากยุคโทรเลขถึงยุคเอไอ รับมืออย่างไรให้เท่าทัน โดย

ผศ. ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) 

16.30 – 16.45 น.​เปิดตัว แคมเปญบริจาคข้อมูลลวงกับโคแฟค โดย ทีมโคแฟคครีเอเตอร์ ​ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ และ Scamtify

16.45 – 17.00 น.​เดินแบบรณรงค์ Fact – Free – Fair โดย ภาคีเครือข่าย

17.00 – 17.45 น.​พูดพร่ำฮัมเพลง ‘ตามหาความจริง’ โดย ศุ บุญเลี้ยง

17.45 – 18.00 น. ​- กล่าวสรุปและประกาศเจตนารมณ์ก้าวต่อไป โดย สุภิญญา กลางณรงค์ และภาคี

– เซิ้งโคแฟค โดย พิชิตชัย สีจุลลา และหมอลำโคแฟค

พิธีกร : ​อาจารย์ ดร.คันธิรา ฉายาวงศ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกมล หอมกลิ่น อีสานโคแฟค

หมายเหตุ : ถ่ายทอดสดโดย Thai PBS และผ่านเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeBomuMJUHTudZprIjLbokPS0DyMEy-BtbtOpDJD5p3-M-LPg/viewform?usp=sharing


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 มีนาคม 2568

ปฏิบัติการทลายแก๊งคอลฯ ข้ามชาติ เปิดให้เหยื่อเฉลี่ยทรัพย์คืนผ่านเฟซบุ๊ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ku61xlf23q3g


 กทม. เปิดตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวเท่านั้น

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/11qysb35fykk3


  เล่นโทรศัพท์ก่อนนอนเกิน 4 ชม. เสี่ยงความดันสูงถึง 21 เท่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/vhw73syoyou9


 พบปลาหมอคางดำที่อ่าวแสมสาร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32wzsqnmyq50k


 แจ้งเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคมประจำปี 2568 ได้ถึง 31 มี.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2sz3sofhud6uu


  เตรียมเปิดใช้พื้นที่ทางเข้าด่านฯ ดาวคะนอง ในวันที่ 20 มีนาคม 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33k68zxwnlhak


  ลดวันพัก ‘ฟรีวีซ่า’ ไม่เกิน 30 วัน กรองนักท่องเที่ยว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1h9ki0f2e0orj


 น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว มาขายต่อให้ ‘โครงการทอดไม่ทิ้ง’ โดยบางจาก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12hpzrb5d7pzs


ฝุ่น PM2.5 อันตรายต่อดวงตาจริงหรือ?

    สถานการณ์ ฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังแพร่กระจายอย่างมากในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและยังส่งผลต่อดวงตาทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบ ภูมิแพ้ตา ภาวะตาแห้ง และกระจกตาอักเสบได้มากขึ้น หากมีอาการระคายเคืองตา ตาแดง ขี้ตามาก ตาสู้แสงไม่ได้ ตามัวลง ควรพบจักษุแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

    แพทย์หญิงสุดาวดี สมบูรณ์ธนกิจ จักษุแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมและแนะนำวิธีป้องกันในสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีค่าสูงเกินมาตรฐานที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังกระทบต่อดวงตาอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดอาการตาแดง ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ที่ตาจะมีอาการรุนแรงได้มาก และในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ก็จะมีภาวะตาแห้ง ระคายเคืองตา และแสบตาได้มากขึ้น 

วิธีป้องกันดวงตาจากฝุ่น PM 2.5 สามารถทำได้ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่มีฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณที่เกินมาตรฐาน 
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ถ้ามีอาการระคายเคืองตาจากฝุ่น PM 2.5 ให้ใช้วิธีการหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและชำระล้างสารระคายเคืองออกไปบางส่วน 
  • หากเกิดอาการระคายเคืองตามากจากการแพ้ฝุ่นหรือตาแดงอักเสบมาก ควรมาพบจักษุแพทย์ทันที

ดังนั้น ฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อดวงตาจึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือขยี้ตา และควรป้องกันโดยการใส่แว่นตาพร้อมกับหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 

(ข้อมูลจาก : กรมการเเพทย์ / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. ) )

Banner :

ลิ้งค์กระทู้ Cofact  : https://cofact.org/article/1f7h1spq7tsvc

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 มีนาคม 2568

รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3anr4ap4wxdk7#_=_


สนามบินแม่สอดเปิดทาง แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ตั้งสำนักงานกลางไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/eek2of7jsnvo


 สงกรานต์นี้ วิ่งฟรี ”มอเตอร์เวย์-ทางด่วน” รวม7 วัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1vzo386e4xolx


 5 เครื่องดื่มมีความเสี่ยงให้กระดูกพรุน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2behtvh9n0gln


 กินมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/y21ueobhm4s5


 ประเทศไทยเตรียมรับลมหนาวหลงฤดูในวันที่ 16-20 มี.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jai0uutir2x3


 กระทรวงคมนาคมเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยวบิน แก้ตั๋วเครื่องบินแพงช่วงสงกรานต์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/f8vv7a85xfg2


 กลุ่มเป้าหมายเงินดิจิทัลเฟส 2 ที่โอนเงินไม่สำเร็จ อาจถูกตัดสิทธิ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ek167o88u9z4]


กินช็อคโกแลตทำให้เป็นสิวจริงหรือ

      หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “การทานช็อกโกแลตสามารถกระตุ้นให้เกิดสิว” ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน
สิวอักเสบ หรือสิวหัวดำ เพราะช็อกโกแลตมีรสหวาน กลิ่นหอม และเนื้อสัมผัสที่นุ่ม ซึ่งอาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้หรือไวต่อส่วนประกอบบางอย่างในช็อกโกแลต แต่จริงแล้วกินช็อคโกแลตทำให้เป็นสิวจริงหรือ

       การรับประทานช็อกโกแลตอาจทำให้เกิดสิวในบางคนได้จริง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดสิวในทุกคน การเกิดสิวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ฮอร์โมน, พันธุกรรม, การดูแลผิว, ความเครียด และอาหารที่ทานซึ่ง ช็อกโกแลต อาจกระตุ้นให้เกิดสิว เนื่องจากน้ำตาลและไขมันอาจเพิ่มระดับอินซูลินในเลือด ซึ่งอาจกระตุ้นการผลิตซีบัม (น้ำมัน) ในผิวหนัง ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนและนำไปสู่การเกิดสิว

       ช็อกโกแลตมีไขมันอิ่มตัวสูงและอาจมีน้ำตาลมาก การกินช็อกโกแลตขึ้นอยู่กับอาหารโดยรวมและอาจขึ้นอยู่กับประเภทของช็อกโกแลตที่กินด้วย
ช็อกโกแลตมีหลายประเภท ได้แก่
ช็อกโกแลตมืด (Dark chocolate) – มีเปอร์เซ็นต์โกโก้สูงและน้ำตาลน้อยช็อกโกแลตนม (Milk chocolate) – มีนมผงหรือครีมเพิ่มเข้าไปเพื่อให้รสชาติหวานและเนียนขึ้น
และช็อกโกแลตขาว (White chocolate) – ไม่มีผงโกโก้ แต่ใช้เนยโกโก้และนมเป็นส่วนประกอบหลัก
      ซึ่งการกินช็อกโกแลตอาจทำให้เกิดสิวในบางคนได้ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกาย ต่อไปนี้คือเหตุผลบางประการที่อาจทำให้การกินช็อกโกแลตกระตุ้นการเกิดสิว
1. น้ำตาลและอินซูลิน: ช็อกโกแลตส่วนใหญ่มีน้ำตาลสูง การทานน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งสามารถกระตุ้นการผลิตซีบัม (น้ำมัน) ในผิวหนังมากขึ้น เมื่อซีบัมอุดตันรูขุมขนก็อาจทำให้เกิดสิวได้
2. ไขมัน: ช็อกโกแลตบางประเภท (โดยเฉพาะช็อกโกแลตนมและช็อกโกแลตขาว) มีไขมันสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้
3. การแพ้หรือไวต่อส่วนผสมบางอย่าง: ในบางคน การแพ้หรือไวต่อส่วนผสมบางอย่างในช็อกโกแลต เช่น นม หรือสารเติมแต่งอาจกระตุ้นการเกิดสิว

       ดังนั้น ช็อกโกแลตไม่ได้ทำให้เกิดสิว แต่น้ำตาลที่อยู่ในช็อกโกแลตที่ทำให้เกิดสิว หากอยากกินช็อกโกแลตควรเลือกช็อกโกแลตที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เพื่อดีต่อสุขภาพ

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ : สำนักโภชนาการ กรมอนามัย / สถานีเทคโนโลยีดิจิทัลวิทยาศาสตร์บริการ / หมอชาวบ้าน )

อินโฟกราฟิก: 5 ไฮไลต์ประเด็นตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองช่วงเลือกตั้ง อบจ.

การเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 เป็นอีกหนึ่งวาระทางการเมืองที่พบการระบาดของข้อมูลเท็จและข่าวลวงการเมือง โคแฟครวบรวม 5 รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ. มาไว้ในรูปแบบอินโฟกราฟิก

โคแฟคเริ่มปฏิบัติการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองมาตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ต่อด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภาปี 2567 จนมาถึงการเลือกตั้ง อบจ. 2568 เพราะเห็นว่าการใช้ข้อมูลเท็จมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้นอาจส่งผลเสียต่อกระบวนการเลือกตั้งรุนแรงกว่าที่หลายคนคิด ดังเช่นที่ “รายงานความเสี่ยงของโลก” หรือ Global Risks Report 2024 ของ World Economic Forum ซึ่งจัดอันดับให้ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (misinformation and disinformation) เป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบรุนแรงมากที่สุดในระยะสั้น ระบุว่า การใช้ข้อมูลเท็จเพื่อหวังผลทางการเมืองอาจนําไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และลุกลามบานปลายเป็นความไม่สงบและความรุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยในระยะยาว

ตัวเลขที่น่าสนใจในการเลือกตั้ง อบจ.

หลังการเลือกตั้ง อบจ. เสร็จสิ้นลง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทยอยรับรองผลการเลือกตั้งจนครบทั้ง 76 ที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และ 47 จังหวัดที่มีการเลือกตั้งนายก อบจ. โดยรับรองผลล็อตสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568

ขณะที่หลายคนเริ่มมองไกลไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปใน 2570 โคแฟคได้รวบรวมสถิติตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้ เช่น การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงในการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพบว่าขณะนี้เรามีนายก อบจ. หญิงอยู่ทั้งหมด 16 คน

5 ไฮไลต์ตรวจสอบข่าวลวงช่วงเลือกตั้ง อบจ.

1. พบบัญชีผู้ใช้ TikTok เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ.

ก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานี ในวันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. 2567 โคแฟคตรวจสอบพบบัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชัน TikTok เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ. โดยเผยแพร่ข้อมูลเท็จว่าผู้สมัครจากพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานี “อย่างถล่มทลาย” ทั้งที่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานียังไม่เกิดขึ้น

2. คนเวียดนามแห่กด “ติดตาม-ถูกใจ” โพสต์เฟซบุ๊กผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชน ?

โคแฟคตรวจสอบกรณีเพจเฟซบุ๊ก “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” และ “ความจริงของระยอง” ตั้งข้อสังเกตว่าเฟซบุ๊กทางการของผู้สมัคร #นายกอบจ. เชียงใหม่และระยอง สังกัดพรรคประชาชน มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวเวียดนามเข้ามากด “ติดตาม” และ “ถูกใจ” จำนวนมาก ทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่าผู้สมัครทั้งสองคน “ปั๊มยอดผู้ติดตาม”

โคแฟคพบว่าเพจเฟซบุ๊กของนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัคร นายก อบจ. เชียงใหม่ และนายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้สมัครนายก อบจ. ระยอง ของพรรคประชาชนมีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อภาษาเวียดนามเข้ามากดติดตามและกด “ถูกใจ” จำนวนมากจริง

เมื่อตรวจสอบโปรไฟล์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อเวียดนามพบว่ามีลักษณะต้องสงสัยว่าสร้างขึ้นโดยบอต (bot) คือมีแค่ชื่อและรูปโปรไฟล์ ไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเจ้าของบัญชี ไม่มีโพสต์ย้อนหลัง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบัญชีอื่น รูปโปรไฟล์ไม่ใช่ภาพบุคคลจริงและนำมาจากแหล่งอื่นในอินเทอร์เน็ต

โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กต้องสงสัยว่าสร้างโดยบอตเหล่านี้ แต่ได้รับคำยืนยันจากนายพันธุ์อาจและทีมงานของนายทรงธรรมว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น และไม่เคยใช้งบประมาณหาเสียงไปในการสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมเพื่อเพิ่มยอดผู้ติดตาม พร้อมทั้งแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการส่งเรื่องให้ Meta ตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้ว

Meta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเฟซบุ๊กประกาศว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะกำจัดบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กปลอม โดยรายงานว่าระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ได้ลบบัญชีปลอมไปมากกว่า 3 พันล้านบัญชี โคแฟคเห็นว่าเมื่อแอดมินเพจของผู้สมัครนายก อบจ. ได้รายงานความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ Meta แล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง และหากพบว่าเป็นบัญชีปลอมที่สร้างโดยบอตจริง ก็ควรดำเนินการลบอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มีการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองต่อไป

3. เหตุเกิดที่เชียงใหม่ ไฟไหม้หญ้า หรือ เผาป้ายหาเสียงนายก อบจ.?

ผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ริมถนนใน จ.เชียงใหม่ โดยระบุว่าเป็นการจงใจเผาทำลายป้ายหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรคประชาชน

โคแฟคตรวจสอบพบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นริมถนนบ้านสร้าง-ดอยสะเก็ด ในเขตเทศบาลตำบลตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ วันที่ 7 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่เทศบาลยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของไฟไหม้หรือระบุตัวผู้ก่อเหตุได้ แต่จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ สันนิษฐานว่าเป็นเหตุไฟไหม้หญ้าริมทางแล้วลุกลามทำให้ป้ายหาเสียงถูกไฟไหม้เสียหายบางส่วนจำนวน 1 ป้าย ไม่ใช่การจงใจเผาทำลายป้ายหาเสียง

ขณะที่ ผอ. กกต. เชียงใหม่ เปิดเผยว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาได้รับแจ้งเหตุใช้ของแข็งทำลายป้ายหาเสียง 4 กรณี เป็นของพรรคเพื่อไทย 2 กรณี และพรรคประชาชน 2 กรณี แต่ยังไม่ได้รับแจ้งเหตุเผาทำลายป้ายหาเสียง

4. ข้อกังขาและคำชี้แจง “ทำไมเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์”

คำถาม “ทำไมเลือกตั้งวันเสาร์” กลับมาอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง อบจ. ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

แม้ว่า กกต. จะชี้แจงเหตุผลที่จัดการเลือกตั้งวันเสาร์แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของคนส่วนใหญ่เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ประเด็นนี้ยังคงถูกตั้งคำถามจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ช่วยหาเสียง นักสังเกตการณ์ทางการเมือง และประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ในแอปพลิเคชัน TikTok มีผู้กล่าวหาว่า การกำหนดให้เลือกตั้งวันเสาร์นั้น “มีเลศนัย” และเป็น “แผนสกัด/ตัดคะแนน” พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยทำงาน

ข้อสงสัย คำถาม และเนื้อหาที่วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่จะขาดบริบทและไม่มีคำชี้แจงจาก กกต. ประกอบ ทำให้เกิดข้อกังขาต่อความเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ซึ่งอาจส่งผลต่อการยอมรับผลการเลือกตั้งในภายหลังได้

โคแฟคสรุปข้อกังขาและคำชี้แจงจาก กกต. เรื่องเลือกตั้งวันเสาร์เพื่อให้การวิพากษ์วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งของ กกต. อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน นำไปสู่การปรับปรุงการจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพและสะดวกต่อการออกมาใช้สิทธิของประชาชน

5.  พรรคประชาชนกับข้อกล่าวหา “บังคับนักเรียนฟังหาเสียงท่ามกลางฝุ่น PM2.5”

แม้ว่าการเลือกตั้ง อบจ. จะผ่านพ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 แต่โคแฟคยังคงตรวจสอบเนื้อหาทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ. ในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันการใช้ข่าวลวงมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งในทุกระดับ

ล่าสุด โคแฟคตรวจสอบกรณีผู้ใช้บัญชี X โพสต์ภาพผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนแจกโบรชัวร์หาเสียงในโรงเรียน และเขียนข้อความกล่าวหาว่าพรรคประชาชนบังคับให้เด็กนักเรียนมานั่งฟังการหาเสียงท่ามกลางฝุ่น PM2.5 ที่สูงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

จากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่โรงเรียนศรัทธาสมุทร อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม ซึ่งทีมงานผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนได้ขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียนเพื่อเข้าไปประชาสัมพันธ์นโยบายในช่วงหลังการเข้าแถวเคารพธงชาติ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนยืนพูดกลางแจ้ง ส่วนเด็กนักเรียนนั่งอยู่ในบริเวณสนามกีฬาที่มีโครงหลังคาขนาดใหญ่

สำหรับข้อกล่าวหาที่ผู้โพสต์ระบุว่า “บังคับให้นักเรียนต้องมานั่งฟังท่ามกลางภาวะ PM2.5 ที่สูง” นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในเวลา 8.00 น. ของวันที่ 23 มกราคม อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งโคแฟคเห็นว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางโรงเรียนและทางทีมงานผู้สมัครควรตรวจสอบคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด หากค่าฝุ่นสูง การจัดกิจกรรมใด ๆ ควรพิจารณาให้รอบคอบโดยคำนึงถึงสุขภาพของนักเรียนเป็นหลัก

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” 

งาน Soul Connect Fest เสวนาหัวข้อรับมือความเกลียดชัง ข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs. Digital Hate: Navigating the DeepTech Era”   จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

#SoulConnectFest2025 #HUMANICE

#SoulConnectFest #มหกรรมพบเพื่อนใจ #สุขภาวะทางปัญญา #จิตวิญญาณ #การร่วมทุกข์ #ความหวัง #สสส #Cofact #cofactthailand #เช็กให้ชัวร์ที่โคแฟค

Soul Connect Festival “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” 

บันทึกเนื้อหาวงเสวนา “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย กล่าวต้อนรับและทักทายผู้ร่วมงานพร้อมกับเกริ่นนำเข้าสู่เวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นในวันที่สามของงาน Soul Connect Fest การเสวนาแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภาคีผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค บรรยายนำในประเด็นสำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือของประเทศต่าง ๆ ช่วงที่สองเป็นการเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย

ช่วงที่ 1: สำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือ

คุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion เริ่มต้นด้วยการหยิบยกงานวิจัยเรื่อง “การกำกับดูแลสื่อที่เผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง” โดย ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันนท์ และคณะ (2556) ที่ระบุว่า “ในพื้นที่ออนไลน์ของไทย…พบว่าฐานความเกลียดชังอันดับแรกคืออุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง และพบมากที่สุดในยูทูบ ส่วนความเกลียดชังรองลงมาคือศาสนาและชาติพันธุ์” ซึ่งแม้ว่างานวิจัยนี้จะจัดทำขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ประเด็นความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ก็ยังคงเป็นประเด็นหลักของการสร้างความเกลียดชัง (hate speech) ในปัจจุบัน 

บทเรียนการรับมือกับ hate speech ของประเทศต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น

เยอรมนี มีการบังคับใช้กฎหมายชื่อ “NetzDG” ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องมีช่องทางการรับแจ้งจากผู้ใช้ หากพบว่าเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างชัดเจนจะต้องนำออกจากระบบภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่ดำเนินการจะเสี่ยงต่อการถูกปรับมากถึง 50 ล้านยูโร แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการจัดการ hate speech อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้กำลังจะถูกทดแทนด้วยกฎหมาย EU Digital Service Act ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในสหภาพยุโรปเร็ว ๆ นี้

สหราชอาณาจักร ปรับปรุงกฎหมายเดิมเพื่อให้ครอบคลุมการรับมือกับ hate speech ที่น่าสนใจคือภาครัฐทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น พัฒนาแอปพลิเคชันรายงาน hate speech, การเยียวยาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจัดกิจกรรมในโรงเรียน

ญี่ปุ่น มีกฎหมายที่ชื่อ Hate Speech Elimination Act ที่วางหลักการ นิยาม หลักปฏิบัติและฐานความผิดเกี่ยวกับ hate speech

​คุณสุนิตย์ได้ประมวล “สาเหตุร่วม” การแพร่กระจายของ hate speech ว่ามาจากความกลัว การไม่ยอมรับความแตกต่าง ความขัดแย้งาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ การขาดความรู้ความเข้าใจและความเห็นใจของคนที่แตกต่างกัน สาเหตุร่วมอีกประการหนึ่งคือธรรมชาติของดิจิทัลเแพลตฟอร์มที่ผูกขาดและขาดระบบกำกับดูแลที่ดี 

ในประเทศไทย เคยมีการศึกษา hate speech ในบริบทของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปี 2564 พบว่าเนื้อหาส่วนมากเป็นการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและองค์กรสาธารณะประโยชน์ และมีที่มาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษา hate speech ช่วงการชุมนุมทางการเมืองปี 2563-2564 พบว่ามีการใช้ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของรัฐของรัฐต่อกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง

คุณสุนิตย์สรุปว่า การรับมือกับ hate speechนั้น ความท้าทายสำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการยุติการสร้างความเกลียดชังออนไลน์ และในขณะที่มาตรการทางการกฎหมายมีความยุ่งยากและข้อจำกัดหลายอย่าง กระดุมเม็ดแรกจึงควรจะเป็นการสร้างความรู้ความเช้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้ชุมชนและผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 

ช่วงที่ 2วงเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร. พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิฟรีดริชเนามันฯ 

ผู้ร่วมเสวนา 6 ท่านประกอบด้วย นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคม จิตวิทยา สติ, คุณณภัทร ชุ่มจิตตรี นักแสดงและอดีตผู้สมัคร สส., ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ, คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา, ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) และคุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ กล่าวถึงการสร้างความเกลียดชังใน 2 ประเด็น คือ hate speech กับความรุนแรง และจิตวิทยาของกระบวนการสร้างความเกลียดชัง

ประเด็นแรก นพ.ยงยุทธอธิบายว่าการสร้างความเกลียดชังจะนำไปสู่ความรุนแรง เห็นได้จากเหตุการณ์รุนแรงในประวัติศาสตร์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516และ 6 ตุลา 2519 ในไทย ที่ล้วนแต่มีการกระหน่ำ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง

ประเด็นที่ 2 ในทางจิตวิทยา กระบวนการสร้างความเกลียดชังมี 3 ขั้นตอน คือ 1) การทำให้ความแตกต่างเป็นเรื่องถูกหรือผิด 2) ทำให้ความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องดีหรือเลว 3) เมื่อความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องผิดและเลว คนกลุ่มนั้นจึงไม่สมควรอยู่คือฆ่าได้ 

สาเหตุหนึ่งที่ hate speech ถูกส่งต่อกันเยอะเพราะโดยพื้นฐานสภาพจิตของคนเรามีแนวโน้มที่ถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย hate speech จึงมักมีลักษณะที่ปลุกเร้าอารมณ์ แต่คนที่มีสติและความสงบจะเร้าอารมณ์ไม่ขึ้น ดังนั้นหากสังคมไทยมีประชาชนที่มีสติรู้จักใคร่ครวญให้มากขึ้น คนกลุ่มนี้จะมีบทบาทในการลด hate speechด้วยการรวมตัวกันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรณรงค์ในประเด็นที่เป็น “คานงัด” ของสังคม เช่น จริยธรรมนักการเมือง การออกกฎหมายบังคับให้ผู้บริการแพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบ และระบบการศึกษา

อีกหนึ่งแนวทางคือ โครงการของกรมสุขภาพจิตในการสร้างทักษะการใช้อินเทอร์เน็ตที่ดีประกอบด้วย “2 ไม่ 1 เตือน” “2 ไม่” คือไม่ผลิตและไม่ส่งต่อเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง “1เตือน” คือการเตือนด้วยความสุภาพเพราะคนส่วนใหญ่ทำไปโดยไม่รู้ถึงผลกระทบว่าทำให้เกิดความรุนแรง

ณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือ “คิง ก่อนบ่าย” มาถ่ายทอดประสบการณ์ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความเห็นของ “ชาวเน็ต” ทั้งชื่นชมและเกลียดชัง เขาเล่าว่าเมื่อครั้งที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคนมาชื่นชมล้นหลามในฐานะดาราที่ออกมา “call out” ต่อรัฐบาล แต่เมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ กลับถูก “ทัวร์ลง” อย่างหนักเพียงเพราะเลือกสังกัดพรรคที่ไม่ถูกใจชาวเน็ต แต่คอมเมนต์ที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกมากที่สุดคือการดูถูกอาชีพนักแสดงตลกของเขาว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีความรู้ความสามารถพอจะเป็นนักการเมือง โดยไม่สนใจว่าเขาเรียนจบอะไรมาหรือมีความสามารถอะไรบ้าง

“ผมเป็นดารา ช่วงหนึ่งสังคมออกมาเรียกร้องให้ดาราออกมาพูดการเมือง แต่พอเราลงการเมืองก็ถูกถามว่าเป็นดารามายุ่งการเมืองทำไม” 

คุณณภัทรยอมรับว่าการถูกโจมตีทางออนไลน์ทำให้เขา “จิตตก” อย่างมาก จึงใช้วิธีการดูแลตัวเองด้วยการใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง หากใช้ก็จะเลือกอ่านเนื้อหาที่ให้กำลังใจ ต่อมาจึงมองเห็นว่าโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนมาระบายอารมณ์โดยไม่สนใจข้อมูลหรือเนื้อหาสาระ จึงไม่ควรเก็บมาคิดมากจนไม่เป็นสุข

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ กล่าวถึงเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คริสตศาสนิกชนเป็นอย่างมาก คือการเผยแพร่ข่าวเท็จว่าสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระองค์ทรงพระประชวรหนักและต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล “เราเสียใจที่มีคนแช่งหรือแสดงความเกลียดชังท่าน แต่ศาสนาเราสอนให้ต่อสู้ความเกลียดด้วยความรัก ถ้าเราเกลียดตอบ” 

ซิสเตอร์อ้างข้อความจากพระคัมภีร์ที่เขียนถึงความรักว่า “ความรักอดทนนาน มีใจปราณี ความรักต้องไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอและมีความทรหดอดทนอยู่เสมอ” ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ตอบโต้คนที่สร้างความเกลียดชัง เพราะถ้าต่อว่าก็จะยิ่งเพิ่มความเกลียดต่อไป “เราไม่ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำแต่เราก็ไม่ไปตอบโต้เขา เราสู้กับความเกลียดด้วยความรักและขันติ”

ซิสเตอร์ยังตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าบางสื่อเสนอข่าวไม่เที่ยงธรรม ใส่ความคิดเห็นส่วนตัว ชักจูงให้คนเกลียดชังกันแทนที่จะส่งเสริมให้มีความรักต่อคนต่างเชื้อชาติ 

คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมานานกว่า 20 ปี ก่อนจะมาเป็น สว. กล่าวว่าในไทยมีการใส่ร้ายป้ายสีสร้างความเกลียดชังคนที่ทำงานเพื่อสังคม ช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นช่วงที่โดน hate speech มากที่สุด และกลับมาโดนมากอีกครั้งนับตั้งแต่เข้ามาเป็น สว. หญิง ซึ่งเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังมักจะใช้ประเด็นเรื่องเพศเป็น “อาวุธในการทำลายล้าง” เช่น เมื่อเธอออกมาปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยหรือคัดค้านโทษประหารชีวิต ก็จะมีคนมาเขียนคอมเมนต์ว่า“ก็เอามันมาเป็นผัวสิ”

คุณอังคณาเล่าว่าเธอใช้ทุกกลไกทุกช่องทางเพื่อปกป้องสิทธิตนเองจากการถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ เช่น ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งที่นั่นเธอพบว่ามีผู้หญิงหลายคนไปแจ้งความเพราะถูกนำคลิปส่วนตัวไปเผยแพร่ แต่พบว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่ผู้เสียหายจากการทำลายชื่อเสียงต้องเสียสุขภาพจิตแต่กลับไม่มีระบบหรือกลไกเยียวยาผู้ตกเป็นเหยื่อเลย ทั้งที่เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนาน 

การตกถูกใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสร้างความเกลียดชังทำให้นักกิจกรรมทางการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนหลายต้องเลิกทำงานไปเลย 

สำหรับการรับมือนั้น คุณอังคณาเสนอว่านอกจากผู้เสียหายควรรวมตัวกันเพื่อผลักดันให้เกิดกลไกการป้องกันและเยียวยาแล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรจะมีความรับผิดชอบในการจัดการเนื้อหามากกว่านี้ 

คุณชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่า WFD ทำงานด้านการสนับสนุนผู้หญิงให้เข้าสู่พื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น และผลักดันให้สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้ามาทำงานการเมือง

WFD ได้ทำการเก็บข้อมูลการคุกคามทางออนไลน์ต่อนักการเมืองหญิง พบว่ามี “เกรียนคีย์บอร์ด” สร้างความเกลียดชัง ดูหมิ่นดูแคลนนักการเมืองหญิงอย่างต่อเนื่อง การแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดำเนินการ (report) ก็ใช้เวลานานกว่าที่เนื้อหานั้นจะถูกนำออกจากระบบเนื้อหาเหล่านี้จึงถูกปล่อยให้อยู่ในโลกออนไลน์เป็นเวลานาน

การเข้ามาโพสต์เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและลดทอนคุณค่าเช่นนี้ นอกจากจะลดทอนคุณค่า ทำลายชื่อเสียงของนักการเมืองแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ทำให้คนไม่สนใจนโยบายที่นักการเมืองนำเสนอ

การเก็บข้อมูลยังพบว่ามีเนื้อหาเชิงข่มขู่ แม้จะมีไม่มากแต่มีความรุนแรง เช่น ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหรือถึงขั้นเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากให้นักการเมืองหญิงที่ต้องลงพื้นที่และปรากฏตัวในที่สาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการเอาข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่พักอาศัย มาเปิดเผย

“ด้วยความที่ผู้หญิงอยู่ในงานการเมืองน้อยอยู่แล้ว พอเจอความเสี่ยง ความกลัวแบบนี้หลายคนจึงไม่อยากจะทำงานการเมืองต่อ แม้จะเป็นเนื้อหาเท็จ แต่มันก็สร้างความอับอายและต้องใช้เวลามาแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น หลายคนได้รับผลกระทบทางจิตใจต่อเนื่องยาวนาน และกระทบกับครอบครัวด้วย”

คุณชมพูนุทกล่าวว่า พรรคการเมืองต้นสังกัดหรือรัฐสภาไม่มีกลไกปกป้องหรือเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชัง และเห็นด้วยกับคุณอังคณาว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง ไม่ควรผลักความรับผิดชอบให้ผู้ใช้งานในการตรวจสอบ และประเทศไทยควรมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อกำกับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีรับผิดชอบต่อผู้ใช้

คุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าโลกออนไลน์มีประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ก็มีพิษภัยอยู่ไม่น้อย ปัญหาข่าวลวงข่าวปลอมมีมากขึ้น เทคโนโลยีเอไอทำให้แยกแยะความลวงความจริงยากขึ้น มีปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ การสร้างความเกลียดชัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมและต่อปัจเจกบุคคล ในอดีตการปลุกเร้าความเกลียดชังเคยนำมาสู่เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชาเมื่อปี 2546

คุณวสันต์กล่าวว่า hate speech มีทั้งประเด็นเกี่ยวกับศาสนา เชื้อชาติ เพศ ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน กติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศเน้นย้ำเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ สังคมไทยเป็นพหุวัฒนธรรมต้องเคารพความแตกต่างหลากหลายอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เข้าใจและให้อภัย

ดร.พิมพ์รภัช ผู้ดำเนินรายการเปิดให้ผู้ฟังซักถาม ซึ่งคุณแฟรงค์ สมิธ ได้สอบถามว่ากรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังชนกลุ่มน้อย ผู้อพยพและสื่อมวลชน วิทยากรมองว่ามันส่งกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร 

นพ.ยงยุทธให้ความเห็นว่า ผู้นำไม่ควรแสดง hate speech นายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่งในยุค คสช. ก็เคยแสดงความเห็นทำนองว่า ถ้าใครที่คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องอยู่เมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรจะยอมรับได้ สังคมควรมีบรรดทัดฐานในเรื่องการไม่ยอมรับผู้นำ สส. หรือ สว. ที่เผยแพร่ hate speech มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองควรระบุให้ชัดเจนว่าการสร้างความเกลียดชังเป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

คุณวสันต์ให้ความเห็นว่า ผู้นำประเทศต้องระมัดระวังคำพูด เพราะคำพูดของผู้นำประเทศย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ถ้าผู้นำมีทัศนคติไม่ดีหรือใช้คำพูดที่ไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ และหากคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง เกิดขึ้นในช่วงที่สังคมมีความเห็นต่างและมีความขัดแย้งก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันได้

ด้านคุณอังคณามองว่า ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่ประชาชนอเมริกันเลือกเข้ามา และนโยบายต่าง ๆ ที่เขาทำอยู่ในขณะนี้ก็เป็นนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ แต่ที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกามีกลไกที่จะคานอำนาจฝ่ายบริหาร ความเป็นประชาธิปไตยในอเมริกาก็ทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ 

ช่วงสุดท้ายของเวทีเสวนา โคแฟคในฐานะผู้จัดได้นิมนต์พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) ซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียกล่าวปิดการเสวนาผ่านทางระบบประชุมออนไลน์

พระมหานภันต์เสนอว่า ภูมิปัญญารวมหมู่เพื่อแก้ปัญหา hate speech ด้วยคำว่า CARE 

C คือ Connect เชื่อมโยงมนุษย์เข้าด้วยกันในทางที่ดี

A คือ Aware ตระหนักรู้ถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม 

R คือ Responsibility การป้องกันและรับมือกับการสร้างความเกลียดชังเป็นความรับผิดชอบของทุกคน

E คือ Energize ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเสริมพลังซึ่งกันและกัน อย่าให้คนที่ทำงานต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีงามและสิทธิมนุษยชนต้องโดดเดี่ยว

​“อาตมาเชื่อว่า CARE นี้จะช่วยให้เรารับมือกับความเกลียดชังและเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่กำลังเกิดขึ้นได้” พระมหานภันต์กล่าวปิดท้ายเวทีเสวนา.  

*********************

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 มีนาคม 2568

ประกันสังคม เพิ่มค่าทำฟันจาก 900 บาท เป็น 1,200 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fd2x9npiqynd


อดอาหารป้องกันโรค …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/177ejo51bt0ee


แจกเงิน 10,000 บาท ให้ทายาทผู้สูงอายุที่เสียชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eta0cmt94k1s


ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อีซี่, ไอ-โคพอต, ไทร่า, บอนนี่ และวิตตี้ บรรเทาอาการป่วยยอดฮิตของวัยทำงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z156lrc9lap5


  นักโภชนาการเตือนอาหารเก็บไว้ข้ามคืน อันตราย เสี่ยงต่อโรคร้าย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ytkfz2csn1pg


 ฝุ่น PM 2.5 ทำให้ผิวหนังเหี่ยวชราก่อนวัย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ydo6xzm45ya3


  รัฐบาล ย้ำ ข่าวไวรัสโคโรนาตัวใหม่ เป็นข้อมูลในแล็บ ยังไม่ติดสู่คน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kj1g0o84zqvg


  ปิดพื้นที่ห้ามเข้าป่าเชียงดาว 1 มี.ค.-15 พ.ค. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12ozxxr6zztoe


  กทม. เตรียมจัดทำหลังคาคลุมทางเท้า นำร่องถนนสาทรใต้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12ozxxr6zztoe


การไม่รับประทานไขมันดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3lj99zzgji6of


การทำ IF ทำให้เกิดเอฟเฟ็คต์น้ำหนักโยโย่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3m2pl8xku686n