รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง “คลิปปลดป้ายภาษาเขมร” ที่ห้องคลอด รพ.สุรินทร์

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่คลิปคนงานรื้อตัวอักษรภาษาเขมรออกจากป้ายห้องคลอดที่โรงพยาบาลสุรินทร์ พบว่าปัจจุบันไม่มีป้ายภาษาเขมรที่ห้องคลอดโรงพยาบาลสุรินทร์จริง แต่ข้อความที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางคนระบุว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา” นั้นไม่เป็นความจริง โดยโฆษกกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

วันที่ 26 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกเผยแพร่คลิปบันทึกภาพคนงานกำลังรื้อตัวหนังสือภาษาเขมรที่ห้องคลอดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อซูมดูสัญลักษณ์ที่ติดอยู่หน้าประตูห้องเห็นได้ชัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลสุรินทร์ คลิปนี้ถูกนำไปแชร์ต่ออย่างแพร่หลายในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งติ๊กตอก X เฟซบุ๊ก และยูทูบ ซึ่งหลายคลิปยังคงเข้าถึงได้ ณ วันที่ 7 ส.ค. 2568 (ลิงก์บันทึก 1, 2, 3)

ผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งโพสต์คลิปนี้พร้อมคำบรรยายว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับคนกัมพูชามารักษาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลบตัวอักษรภาษาเขมรออกจากป้ายโรงพยาบาลทั้งหมด”

คลิปนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชา โดยเขียนข้อความประกอบในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังประเทศไทยและคนไทย

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหานี้ด้วยการสอบถามข้อมูลจากโรงพยาบาลสุรินทร์, เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ (สสจ. สุรินทร์), นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (โฆษก สธ.) และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่เดินทางไปสังเกตการณ์ที่โรงพยาบาล ได้ข้อมูลดังนี้

  1. นพ. วรตม์ โฆษก สธ. ให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2568 ว่า สธ. ตรวจสอบคลิปนี้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มีการเผยแพร่ และได้รับรายงานจาก สสจ. สุรินทร์ว่าไม่ทราบที่มาของคลิป ผู้ที่กำลังปลดป้ายในคลิปไม่ใช่บุคลากรของโรงพยาบาลสุรินทร์ จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปนี้ถ่ายเมื่อไหร่ ใครเป็นผู้ถ่ายและนำไปเผยแพร่คนแรก 

นพ.วรตม์กล่าวเพิ่มเติมว่า สธ. ไม่มีนโยบายและไม่มีการสั่งการให้โรงพยายาบาลในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชารื้อภาษาเขมรออกจากป้ายต่าง ๆ ที่ให้ข้อมูลผู้มาใช้บริการ

  1. ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในภาคอีสานซึ่งเดินทางไปที่โรงพยาบาลสุรินทร์เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 รายงานว่าป้ายห้องคลอดไม่มีภาษาเขมร แต่ส่วนงานอื่น ๆ ในโรงพยาบาลยังมีป้ายสามภาษาอยู่ครบ คือ ภาษาไทย อังกฤษ​และเขมร เช่น เวชศาสตร์ฟื้นฟู สูติ-นรีเวชกรรม และป้ายชื่อโรงพยาบาล
ภาพป้ายหน้าห้องคลอด โรงพยาบาลสุรินทร์ เดิมมีภาษาเขมร แต่ขณะนี้ไม่มีแล้ว (ถ่ายเมื่อ 1 ส.ค. 2568)
ป้ายส่วนงานอื่น ๆ ในโรงพยาบาลสุรินทร์ยังคงมีป้ายภาษาเขมร (ถ่ายเมื่อ 1 ส.ค. 2568)
  1. โคแฟคส่งข้อความสอบถามโรงพยาบาลสุรินทร์ทางเพจเฟซบุ๊กและทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2568 และ 7 ส.ค. 2568 แต่ได้รับแจ้งว่าโรงพยาบาลไม่มีนโยบายให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือตอบข้อความกลับทางออนไลน์ ขณะนี้โคแฟคจึงยังไม่มีข้อมูลจากทางโรงพยาบาลโดยตรง 

โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา?

สำหรับข้อความที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางรายแชร์คลิปนี้พร้อมกับเขียนข้อความว่าโรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชานั้น โฆษก สธ. ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง สถานพยาบาลของไทยยังคงให้บริการทางการแพทย์ตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ และย้ำว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยในทุกกรณี 

ขณะที่เว็บไซต์ข่าวสดรายงานคำให้สัมภาษณ์ของ นพ. ชวมัย สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 ยืนยันว่าโรงพยาบาลทุกแห่งในสุรินทร์ยังรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา เพราะเป็นเรื่องของมนุษยธรรมที่หมอทุกคนต้องมีอยู่ประจำใจ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนที่อาศัยอยู่ใน จ.สุรินทร์ เมื่อมาโรงพยาบาลหมอจะรักษาให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตามขณะนี้จำนวนชาวกัมพูชาที่อยู่ใ่นจังหวัดมาเข้ารับการรักษาน้อยลงมาก

ข้อสรุปโคแฟค

  • โคแฟคยังไม่สามารถยืนยันที่มาและวัน-เวลาที่ถ่ายคลิป “ปลดป้ายภาษาเขมร” จากห้องคลอดโรงพยาบาลสุรินทร์ได้ แต่จากการตรวจสอบในสถานที่จริงเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ป้ายห้องคลอดมีเพียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่มีภาษาเขมร 
  • ข้อความประกอบในบางคลิปที่ระบุว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา” นั้นไม่เป็นความจริง โฆษก สธ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ยืนยันตรงกันว่า สถานพยาบาลของไทยยังคงให้บริการทางการแพทย์โดยไม่เลือกปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์
  • หลังจากเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีการเผยแพร่คลิปปลดป้ายภาษาเขมรออกจากโรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ซึ่งโฆษก สธ. ชี้แจงว่า กระทรวงฯ ไม่มีนโยบายและไม่มีการสั่งการให้โรงพยาบาลนำป้ายภาษาเขมรออก 

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สยบข่าวลวง! Fact-Checkers เปิดข้อมูลเท็จท่ามกลางวิกฤตไทย-กัมพูชา สู่กุญแจแห่งสันติภาพ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเดินทางเร็วกว่าเหตุการณ์จริง และคลิปปลอมเพียงคลิปเดียวสามารถจุดชนวนความเกลียดชังระหว่างประเทศ—ภารกิจของ Fact-checkers จึงสำคัญยิ่งกว่าที่เคย

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ในรายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท สื่อมวลชนอาวุโสและผู้ร่วมขับเคลื่อนการรู้เท่าทันสื่อ ได้เปิดเวทีเจาะลึกภารกิจของนักตรวจสอบข่าวมืออาชีพจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาพร้อมแขกรับเชิญจากองค์กรสื่อและแพลตฟอร์มระดับนานาชาติ ในหัวข้อ “เจาะเบื้องหลัง Fact-checkers จากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในวันที่ข้อมูลคืออาวุธหรือกุญแจสู่สันติภาพ” โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT , ชญานิศ อิทธิพงศ์เมธี Digital Verification Journalist Agence France-Presse (AFP) , ณัฐพล ทุมมา เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโส Thai PBS  และ กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการ Fact-checker โคแฟค

เรื่องจริงจากเบื้องหลัง: ข่าวอะไรที่ถูกตรวจสอบ?

กุลธิดา สามะพุทธิ – บรรณาธิการ Fact-checker โคแฟค

ข่าวแรก:
มีภาพนกฝูงหนึ่งบินเหนือพื้นที่ชายแดน โดยกล่าวอ้างว่าเป็น “แร้ง” ที่ลงมารอกินศพทหารกัมพูชา
—ฟังดูสยอง และสร้างภาพจำรุนแรง
กุลธิดาใช้กระบวนการตรวจสอบร่วมกับ สมาคมอนุรักษ์นกแห่งประเทศไทย ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า ไม่ใช่แร้ง และ ไม่ใช่ภาพจากชายแดนไทยกัมพูชา ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าจำนวนแร้งในพื้นที่กัมพูชานั้นน้อยมากจนไม่มีทางจะเป็นภาพนี้ได้

ข่าวที่สอง:
อินโฟกราฟิกเกี่ยวกับ “แสงไฟจากโดรนเปรียบเทียบแสงไฟจากเครื่องบิน” ที่แพร่กระจายบนโซเชียล

กุลธิดาใช้วิธีติดต่อ สมาคมอากาศยานไร้คนขับแห่งประเทศไทยเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งสมาคมระบุว่า “สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงเบื้องต้นได้” โดยระบุความสูง ความเข้มของแสงและรายละเอียดทางเทคนิคของทั้งโดรนและเครื่องบิน”

ณัฐพล ทุมมา – เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโส Thai PBS

ข่าวแรก:
คลิปทหารไทย “ปักธงชาติ” บนยอดเขาพระวิหารอย่างภาคภูมิพร้อมข้อความอ้างว่าทหารไทยยึดฐานได้สำเร็จ

ทีม Thai PBS ตรวจสอบพบว่า เป็นคลิปจากเขาอกทะลุ .พัทลุงไม่ใช่เขาพระวิหาร และยืนยันได้ด้วยการใช้ Google Lens ร่วมกับแผนที่ดาวเทียมและภาพถ่ายย้อนหลังจากนักท่องเที่ยว

ข่าวที่สอง:
ข่าวจากสื่อกัมพูชาที่อ้างว่า กองทัพไทยหนี ทิ้งอาวุธ-ศพ ที่ปราสาทตาควาย

หลังตรวจสอบ ทีมงานพบว่าภาพนั้นเป็นของชายสติไม่ดีในจ.ศรีสะเกษ ที่ชอบแต่งกายเหมือนทหาร และ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชายแดนแต่อย่างใด ตำรวจเป็นผู้ยืนยันเอง

ชญานิศ อิทธิพงศ์เมธี – Digital Verification Journalist, AFP

ข่าวแรก:
คลิปเสียงระเบิดและเปลวไฟจาก “ปั๊มน้ำมัน” ที่สื่อกัมพูชาอ้างว่าเป็นกองทัพไทยยิงถล่มตำแหน่งทางทหารของกัมพูชา

ทีม AFP ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ด้วยตัวเอง พร้อมตรวจสอบต้นตอพบว่า เป็นวิดีโอระเบิดลงที่ร้านสะดวกซื้อติดกับปั๊มน้ํามันในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ใกล้กับชายแดนกับกัมพูชา

ข่าวที่สอง:
ภาพเครื่องบินพ่นสารสีชมพูบนท้องฟ้า ที่อ้างว่าเป็น “เครื่องบินกองทัพไทยโปรยสารเคมีใส่กัมพูชา”

ชญานิศตรวจสอบย้อนกลับผ่าน Google Image พบว่าภาพนั้นเป็นของ “Ten Tanker” เครื่องบินดับไฟป่าที่ใช้ใน ไฟป่าลอสแองเจลิสต้นปี 2025 ไม่เกี่ยวข้องกับไทยหรือกัมพูชาแต่อย่างใด

กุลธิดา ฝากเตือน: อย่าประเมินข่าวปลอมต่ำเกินไป เพราะอาจกระทบถึงชีวิตของผู้คน และความมั่นคงของชาติ

ณัฐพล แนะว่า ทุกคนสามารถช่วยกันหยุดข่าวปลอมได้ทันทีด้วยการ“กดรายงานโพสต์” และหยุดแชร์โดยไม่ตรวจสอบ

ชญานิศ ฝากถึงทุกคนว่า “ทุกคนคือเช็คเกอร์” ขอเพียงมีสติ และอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ตอบสนองอารมณ์มากเกินไป

สุภิญญา ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT ทิ้งท้ายว่า ข้อมูลข่าวสารไม่ควรถูกใช้เป็นอาวุธ แต่ควรเป็น “กุญแจ” ที่นำพาไปสู่ความเข้าใจ และสันติภาพ

อย่าปล่อยให้ข้อมูลลวงเป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์ แต่จงเป็นผู้ใช้ข้อมูลอย่างมีปัญญา”—รวมพลังชาวเน็ตไทย ก้าวข้ามสงครามข่าวปลอม สู่อนาคตที่ชัดเจนและเท่าทัน


คลิปชายชราชาวกัมพูชาใส่ชุดทหาร ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นพลทหารวัย 87 ปีที่ถูกส่งไปรบกับไทย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปพลทหารกัมพูชาวัย 87 ปี รอร่ำลาลูกสาวก่อนไปรบที่ชายแดน 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 5 ส.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” โพสต์คลิปชายชราสวมเครื่องแบบทหารกัมพูชา เขียนคำบรรยายว่า “พลทหารกัมพูชาวัย 87 ปีกำลังรอเพื่อลาลูกสาว (ลูกสาวเป็นเภสัชชุมชน) เพื่อไปเสริมกำลังที่แนวหน้าชายแดน” มียอดชมกว่า 2.9 ล้านครั้ง (ลิงก์บันทึก) ต่อมาวันที่ 6 ส.ค.68 เพจเฟซบุ๊ก “ไทยรัฐนิวส์โชว์” ได้นำมาเผยแพร่ต่อโดยพาดหัวว่า “พลทหารกัมพูชา วัย 87 บอกลาลูก เตรียมตัวไปเสริมกำลังที่แนวหน้า”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคตรวจสอบโดยใช้ Google Reverse Image Search พบว่าผู้ใช้ติ๊กตอกชาวกัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า “Nun No Heart” โพสต์คลิปนี้ในช่วงเที่ยงของวันที่ 4 ส.ค. 68 โดยไม่ได้มีคำบรรยายใด ๆ ที่ระบุว่าชายชราคนนี้มาร่ำลาลูกสาวเพื่อเตรียมตัวออกไปสู้รบ แต่ผู้โพสต์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคอมเมนต์ว่าคุณตาไม่สบายและมาซื้อยาในจังหวัดมณฑลคีรี เธอพบเห็นโดยบังเอิญและรู้สึกสงสารจึงถ่ายคลิปไว้ โพสต์นี้มีคนไทยจำนวนมากเข้าไปแสดงความสงสารและเห็นใจ 

วันที่ 6 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าของบัญชีติ๊กตอกได้โพสต์คลิปเป็นภาษาเขมรและภาษาไทยชี้แจงว่า ชายชราในคลิปที่เธอถ่ายและโพสต์ไม่ได้ถูกสั่งให้ออกไปสู้รบ

“สวัสดีพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ขอบคุณมาก ๆ ที่เป็นห่วงคุณตา จริง ๆ คุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ เขาไม่สบาย แล้ววันนั้นมาหาหมอ บังเอิญเจอแกก็เลยถ่ายคลิปไว้…อยากบอกให้ทุกคนเข้าใจ และขอขอบคุณที่เป็นห่วง เชื่อว่าคนไทยใจดี แล้วก็เชื่อว่าทุกคนไม่อยากให้มีสงคราม แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ขอให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายปลอดภัย”

โคแฟคติดต่อสอบถามเจ้าของบัญชีติ๊กตอก “Nun No Heart” โดยตรง เธอให้ข้อมูลโดยส่งเป็นคลิปเสียงภาษาไทยตอบกลับมาว่า “จริง ๆ แล้วคุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ แกเป็นทหารเก่าก็เลยใส่ชุดทหารออกมาแค่นั้น คุณตาอายุเยอะแล้ว ข่าวลือที่บอกว่าแกถูกส่งออกไปสู้รบไม่ใช่เรื่องจริง ทุกวันนี้แกก็อยู่บ้านกับลูกกับเมีย”

มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2568

ทางการไทยสร้างกำแพงกั้นพรมแดนใน จ.สระแก้ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


ภาพ “4 นักบินสาว F-16 แห่งกองทัพไทย”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


อ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3smnr0ei0p758


ภาพ F-16 ทิ้งบอมบ์กองบัญชาการกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nlju8ek9r680


เจ้าจ๋า หมาจร แห่งภูมะเขือ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


คลิปทหารไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


กัมพูชาอ้างไทยใช้เครื่องบินรบปล่อยควันพิษ พบแท้จริงเป็นภาพที่สร้างจาก AI…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3smnr0ei0p758


ทุเรียนหมอนทองที่ยะลา ขาย 3 กก. 100 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39sylkaz76ouc


ภาพธงชาติไทยบนภูมะเขือ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33rller5itbf5#_=_


การที่เราไม่เปลี่ยนแปรงสีฟันในทุก ๆ 3 เดือน ก่อให้เกิดอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mxc1b3njrej1#_=_


‘ไทย-กัมพูชา’สู้รบ! ผลกระทบ‘ดารา-คนดัง’ท่ามกลางกระแสปั่น‘ข่าวลวง-เกลียดชัง’

By : Zhang Taehun

นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทยในหลายจุด และทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตรวมถึงได้รับบาดเจ็บหลายราย นำไปสู่การใช้กำลังตอบโต้ของฝ่ายไทย จนกระทั่งกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่ายต่อเนื่องหลายวัน ก่อนจะมีการเจรจาหยุดยิงที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 ก.ค. 2568 และกำหนดหยุดยิง เริ่มตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ในส่วนของการแพร่ระบาดของ ข้อมูลลวง  บิดเบือน  คลาดเคลื่อน ในโลกออนไลน์ทั้งฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทย ได้ส่งผลกระทบต่อ ดารา  คนดังอยู่หลายท่าน

ภาพ 01 บทบาท นักบินรบ ในละครของ สเตฟาน” ถูกเข้าใจว่าเป็นนักบิน F-16 ของไทย ร่วมปฏิบัติการโจมตีกัมพูชา

ที่มา : เพจ สเตฟาน Stephan” ช่องยูทูบ “AntiheroThai”

ทำเอาถึงกับงงทีเดียวสำหรับ สเตฟาน – ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์ หรือชื่อเดิมคือ สันติ วีระบุญชัยอดีตนักแสดงที่ปัจจุบันผันตัวไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ต้องออกมาแก้ข่าวหลังจากมีแฟนคลับแจ้งเข้ามาว่าในหมู่ชาวกัมพูชามีการแชร์ภาพของตนสมัยรับบทพระเอกมาดนักบินรบ ขับเครื่องบินไปโจมตีทหารกัมพูชา เนื่องจากในการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ ฝั่งไทยมีการใช้เครื่องบินขับไล่รุ่น F-16 ร่วมปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มีแต่ชาวกัมพูชา แม้กระทั่งชาวเวียดนามที่ติดตามสถานการณ์ก็พลอยเชื่อไปกับเขาด้วย 

ซึ่งช่องยูทูบ “AntiheroThai” ในคลิปชื่อ “Piastri คว้าแชมป์ที่สปา | Formula 1” สเตฟานบอกว่า ภาพดังกล่าวมาจากละครที่ตนเคยแสดงตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน ตนเข้าใจเรื่องล้อกันเล่น แต่ไปๆ มาๆ กลับมีคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้ง ขอให้หยุดแชร์และแนะนำว่าควรให้เครดิตนักบินจริงๆ จะดีกว่าขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “สเตฟาน Stephan” ของเจ้าตัว ได้โพสต์ภาพที่ถูกนำไปแชร์แล้วลือกันไปแบบเข้าใจผิดเช่นกัน

ภาพ 02 นักแสดงและนางแบบสาว ใหม่-ดาวิกา” ถูกนำภาพมาใส่แคปชั่น กล่าวหาเหยียดประเทศกัมพูชา (ซ้ายภาพต้นฉบับ (ขวา) ภาพที่ถูกตัดต่อใส่ข้อความสร้างความเกลียดชัง

ที่มา : ไทยรัฐบันเทิง

ช่วงวันที่ 26 – 27 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าว ใหม่ – ดาวิกา โฮร์เน่ นักแสดงและนางแบบ ต้องออกมาโพสต์ชี้แจง “Amidst all the fake news around me, I would like to clarify that I did not edit or add any words to that picture. I did not intend to discriminate against anyone. Please stop spreading hatred. (ท่ามกลางข่าวปลอมมากมายรอบตัว ฉันขอชี้แจง ว่าไม่ได้ตัดต่อหรือเพิ่มเติมข้อความใดๆ ในภาพนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกปฏิบัติต่อใคร โปรดหยุดเผยแพร่ความเกลียดชัง) เนื่องจากมีการนำภาพของตนไปตัดต่อใส่ข้อความ “Cambodia 2025” อยู่บริเวณเท้า แล้วทำให้ชาวกัมพูชาที่พบเห็นไม่พอใจ หาว่าเหยียดประเทศกัมพูชาแล้วเข้ามาด่าทออย่างรุนแรง 

เพจเฟซบุ๊ก “ไทยรัฐบันเทิง” ในเครือ นสพ.ไทยรัฐ ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีการโพสต์ภาพเปรียบเทียบ โดยภาพต้นฉบับก่อนถูกนำไปตัดต่อ หากนำไปค้นหาด้วย Google Lens จะพบว่าเป็นภาพที่ ไหม่ ดาวิกา ไปร่วมงานของแบรนด์แฟชั่นหรูจากอิตาลีอย่าง “บุลการี (Bulgari)” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. 2568 โดยเป็นงานเปิดตัวคอลเล็คชั่นหรู เอเทอร์นา (Aeterna) ที่หน้าปราสาทบายน โบราณสถานนครธม ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีสื่อรายงานข่าวในเวลานั้น เช่น นิตยสาร Harper’s Bazaar(ฉบับ Edition ไทย)  , สำนักข่าวออนไลน์ The Thailanders รวมถึงบัญชีอินสตาแกรมของศูนย์การค้าสยามพารากอน 

ภาพ 03 : (ซ้าย) Lisa – โอริเบะ ริสะ (Oribe Risa)” นักร้องชาวญี่ปุ่น (ขวา) ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล นักร้องชาวไทย สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวง Blackpink 

ที่มา : TVpool

ช่วงวันที่ 27 – 29 ก.ค. 2568 มีสื่อออนไลน์บางสำนัก เช่น เว็บไซต์นิตยสารบันเทิง TVpool , เพจเฟซบุ๊กวงการเกม “เกมถูกบอกด้วย v.2” เผยแพร่เรื่องราวของ Lisa – โอริเบะ ริสะ (Oribe Risa) ที่เปิดเผยว่า เพลงใหม่อย่าง Shine in the Cruel Night ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน “Demon Slayer : Kimetsu no Yaiba Infinity Castle (ดาบพิฆาตอสูร : ภาคปราสาทไร้ขอบเขต)” มียอดรับชม 1 ล้านครั้งบนยูทูบแล้ว แต่กลับมีความเห็นเป็นภาษาไทย ตำหนิว่าไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย –กัมพูชา 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความเห็นข้างต้นน่าจะเกิดจากความเข้าใจผิด เพราะนักร้องสาวชาวญี่ปุ่นใช้ชื่อในวงการเป็นภาษาอังกฤษว่า “Lisa” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าเป็น “ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล” นักร้องสาวชาวไทยที่ไปโด่งดังในเกาหลีใต้ในฐานะสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป Blackpink โดยจากการเข้าไปดูในโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “LiSA” ซึ่งเป็นเพจทางการของ โอริเบะ ริสะ ในโพสต์ฉลอง 1 ล้านวิว เพลง Shine in the Cruel Night (สืบค้นวันที่ 31 ก.ค. 2568 ส่วนโพสต์น่าจะอยู่ช่วงวันที่ 27-28 ก.ค. 2568) จะเห็นมีความคิดเห็นที่น่าจะมาจากชาวไทย เข้าไปขอโทษเจ้าตัวหลังมีชาวเน็ตไทยบางส่วนเข้าใจผิดแล้วเข้าไปต่อว่าดังกล่าว 

ภาพ 04 : (ซ้ายจีน่า เดอซูซ่า (ขวาลิซ่า – ลลิษา มโนบาล

ที่มา : เพจ วันบันเทิง – oneบันเทิง” ช่องวัน 31

สำหรับกรณีของ ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล นอกจากจะถูกชาวเน็ตไทยทั่วไปเรียกร้องให้ออกมาแสดงจุดยืนหรือความเห็นเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา แล้ว ยังมี จีน่า เดอซูซ่า  ศิลปินนักร้องชาวไทย ที่ออกมาแสดงท่าทีแบบเดียวกัน ด้วยการออกมาตั้งคำถามกับลิซ่าว่า “Where is your hometown? (บ้านเกิดของคุณอยู่ที่ไหน?)” อย่างไรก็ตาม กลับเป็นจีน่าที่ถูกชาวเน็ตเข้าไปต่อว่า จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษพร้อมชี้แจงว่า จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของ ลิซ่า – ลลิษา เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จึงอยากให้ใช้ความเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ออกมาพูดให้กำลังผู้สูญเสียทั้งทหารและพลเรือน เผื่อจะช่วยสร้างความตระหนัก (Awareness) กับชาวโลกจากการได้รับข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง 

ภาพ 05 โพสต์จากบัญชีอินสตาแกรมของ เบลล่า ราณี ที่นำไปสู่การถูกชาวกัมพูชาเข้ามาต่อว่าด่าทออย่างรุนแรง 

ที่มา : ข่าวสด

ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 เมื่อสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชาระลอกล่าสุดเริ่มขึ้น เบลล่า – ราณี แคมเปน นักแสดงสาวคนดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม ทุกชีวิตมีค่า ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้นขอส่งกำลังใจให้ทุกชีวิตที่ได้รับผลกระทบ Every life matters. Violence should never happen to anyone. Sending strength and compassion to every life affected.” ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการตัดต่อใดๆและไม่ได้มีถ้อยคำที่ต่อว่าหรือกล่าวโทษใคร แต่ก็ไม่วายมีชาวกัมพูชาไม่พอใจ เข้ามาโพสต์ข้อความย้ำว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีกัมพูชาก่อน 

จากตัวอย่างทั้ง 5 กรณีข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในภาวะที่สังคมถูกลุกเร้าอารมณ์ ความรู้สึกอย่างรุนแรงและรับข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนหรือข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการปะทะทางทหารตามแนวชายแดนไทย กัมพูชา ทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าฝั่งใดขาดสติยังคิดและพร้อมจะเชื่อและแชร์ข่าวลวง รวมถึงใช้ถ้อยตำสร้างความเกลียดชังกับบุคคลอื่นแม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้พาดพิงกล่าวโทษใคร หรือแม้แต่การส่งผ่านความรุนแรงกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ด้วยความเข้าใจผิด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.youtube.com/watch?v=7oSFMGv_Ywc (Piastri คว้าแชมป์ที่สปา | Formula 1 : AntiheroThai 28 ก.ค. 2568 , นาทีที่ 19.33 เป็นต้นไป)

https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5297510 (สเตฟาน วอนเลิกแชร์ได้แล้ว ไม่ใช่นักบิน F16 ชาวเน็ตกัมพูชา-เวียดนามยังเชื่อ : มติชน 29 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1443305743380305&set=pb.100031026804975.-2207520000 (โพสต์จากเพจ สเตฟาน Stephan)

https://www.komchadluek.net/entertainment/605300 (“ใหม่ ดาวิกา” แจงดราม่าร้อนฉ่า! เจอพิษชาวเน็ตตัดต่อภาพ “เหยียบย่ำกัมพูชา” ทำทัวร์ลงสนั่น! ลั่น! โปรดหยุดเผยแพร่ความเกลียดชัง : คมชัดลึก 27 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1149110437262171&set=a.355852706587952 (โพสต์จากเพจ ไทยรัฐบันเทิง)

https://harpersbazaar.co.th/watch-jewelry/bulgari-aeterna-cambo-event/ (Aeterna การเฉลิมฉลองแห่งความสง่างามและมรดกทางวัฒนธรรมจาก Bulgari : oo25 ก.พ. 2568)

https://thethailanders.com/บุลการี-เผยโฉม-เอเทอร์นา (บุลการี เผยโฉม เอเทอร์นา คอลเลกชั่นพิเศษที่สุดเท่าที่เคยรังสรรค์มาโดยช่างอัญมณีชั้นสูงแห่งโรมัน ด้วยงานกาล่าดินเนอร์อันงดงาม ที่จัดขึ้น ณ นครธม ประเทศกัมพูชา : The Thailanders 10 มี.ค. 2568)

https://www.instagram.com/p/DGijqOyp-2X/ (อินสตาแกรม siamparagonshopping 26 ก.พ. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1271735320983573&set=a.283031649853950 (โพสต์จากเฟซบุ๊กเพจ LiSA โอริเบะ ริสะ)

https://www.tvpoolonline.com/content/2405266 (LiSA โพสต์ยินดีที่เพลงใหม่ยอดวิวทะลุล้าน แต่โดนชาวไทยลงทัวร์ เหตุ “ไม่พูดเรื่องการปะทะไทย-กัมพูชา” : TVPool 30 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo?fbid=1105822961703943&set=a.408398174779762 (โพสต์จากเพจ “เกมถูกบอกด้วย V.2”)

https://www.facebook.com/photo?fbid=1076469688025711&set=a.562322619440423 (โพสต์จากเพจ “วันบันเทิง”)

https://www.dailynewst.co.th/news/4971054/ (‘จีน่า เดอซูซ่า’ ขอโทษ ‘ลิซ่า’ ยอมรับผิดปมคอมเมนต์กดดัน-กดไลก์ข้อความไม่เหมาะสม : เดลินิวส์ : 31 ก.ค. 2568)

https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_9863292 (สุดงง “เบลล่า” โพสต์ส่งกำลังใจ เจอทัวร์กัมพูชาลง แฟนคลับไทยโต้เดือด จนต้องปิดคอมเมนต์ : ข่าวสด 24 ก.ค. 2568)


หลอกลวงหรือความจริง? ถอดรหัสเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาตัวเลขผู้ถูกหลอกไม่ลดลง

รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เมื่อวันที่29 กรกฎาคม 2568 รายการได้เจาะลึกประเด็นร้อน“อ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้จริงหรือ?” เพื่อคลายข้อสงสัยและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่กำลังระบาดโดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมถกแถลง ได้แก่ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ตอท.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), ไอรีณ คนเช็กข่าว , วิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงานสภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี

ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท

ข่าวลวงยังเป็นภัย ต้องรู้เท่าทัน

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ข่าวลวงในยุคดิจิทัลที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากำลังได้รับความสนใจ เธอกล่าวว่า“นอกจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศสังคมไทยยังต้องเผชิญกับมิจฉาชีพออนไลน์ที่พัฒนากลโกงอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบข้อมูลจึงสำคัญยิ่งเพื่อป้องกันความเสียหาย” สุภิญญายังตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลดลงของการหลอกลวงออนไลน์ โดยสงสัยว่าเป็นผลจากสถานการณ์ชายแดนหรือเพียงแค่ความเข้าใจผิด เธอเน้นย้ำว่าCOFACT มุ่งส่งเสริมให้ทุกคนเป็น “Fact Checker” เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ เพื่อลดวงจรข่าวลวงในสังคม

จุดประเด็นจากโซเชียลมีเดีย

ไอรีณ คนเช็กข่าว เปิดประเด็นด้วยการหยิบยกโพสต์จากโซเชียลมีเดียที่พบใน Facebook ซึ่งระบุว่ามีเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาจากการถูกมิจฉาชีพหลอก เธอตั้งคำถามว่า “มันจริงหรือไม่?” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกประเด็นในรายการ ไอรีณสะท้อนถึงความสับสนของประชาชนที่อาจหลงเชื่อโพสต์ดังกล่าวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำ

การลงทะเบียนรับเงินคืนไม่มีจริง

ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี หรือ “หมวดก๊อต” รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นการลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพผ่านเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจ โดยยืนยันว่า ไม่มีเพจตำรวจที่ให้ลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพอยู่จริง เขาอธิบายว่า ข่าวลือหรือโพสต์ที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาฟรีนั้นเป็นกลโกงของมิจฉาชีพที่หวังหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวหรือเงินจากประชาชน

ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ยังชี้แจงถึง โอกาสที่จะได้เงินคืนมี2 เงื่อนไขหลัก ซึ่งโอกาสที่จะได้คืนยากมาก  

1. ต้องรู้ตัวเร็วและแจ้งอายัดบัญชีทันที ผ่านสายด่วน1441 เพื่อให้ตำรวจสามารถอายัดเงินในบัญชีของมิจฉาชีพได้ก่อนที่เงินจะถูกโอนต่อไป ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมิจฉาชีพมักโอนเงินออกจากบัญชีอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที  

2. บัญชีม้าที่มาหลอกเราต้องเป็นบัญชีที่เปิดใหม่  

เขาเน้นว่าโอกาสในการได้เงินคืนยังมีน้อย เนื่องจากมิจฉาชีพมีระบบโอนเงินอัตโนมัติที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในคดีหลอกลงทุน ซึ่งเหยื่อมักรู้ตัวช้าเกินไปเช่น หลังโอนเงินไปแล้ว 1 สัปดาห์ถึง 4-5 เดือน

หมวดก็อต ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยอดคดีหลอกลวงออนไลน์ในปัจจุบันที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยังคงสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ1,100 คดีต่อวัน ซึ่งไม่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า เช่นช่วงปราบแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ต่างประเทศ เคยทำให้ยอดคดีลดลงราว20% ในช่วงต้นปี ความเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์ชายแดนและการลดลงของกลโกงมิจฉาชีพ ไม่มีการลดลงของคดีหลอกลวงอย่างที่คาดหวัง

นายวิทยา บุญฉวีเล่าวิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี

ได้เล่าถึงกรณีที่รับเรื่องร้องเรียนมาก็คือ ทางผู้บริโภค ถูกหลอกกู้เงินออนไลน์ แล้วไปร้องเพจตำรวจไซเบอร์ปลอม ให้แอดไลน์หน่วยปฏิบัติงานพิเศษ 538 พบเจ้าหน้าที่ปลอม หลอกโอนเงินอีก

จึงได้ร้องทาง หน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี ก็แนะนำให้โทรฯไป 1441 แจ้งเหตุตำรวจไซเบอร์เพื่อให้ธนาคารอายัดบัญชี ภายใน 72 ชั่วโมง ถ้าเกินนั้น บัญชีจะใช้งานได้  และแจ้งความขออายัดบัญชี ที่สถานีตำรวจโดยตรง

การอ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้ไม่เป็นความจริง เราควรรู้เท่าทันการหลอกลวง หากถูกหลอกรีบแจ้ง1441 ตำรวจไซเบอร์ โดยเร็วที่สุดเพื่ออายัดบัญชีมิจฉาชีพ การดำเนินการทางออนไลน์หลายอย่างอาจเป็นการหลอกลวงได้ เช่นจองโรงแรม ได้รับสินค้าไม่ตรงปก ฯลฯ ต้องระมัดระวัง


ขอบคุณที่มา ubonconnect

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 กรกฎาคม 2568

คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3suphnfggtfc6


ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3i2ccvehoye1l


คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


กยศ. หักเงินอัตโนมัติจากบัญชี SCB…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6wn


“ปรากฎการณ์ Red Rain ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


“มะขามหวาน” ไทยมีที่เดียวในโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


อ.เจษฎ์ เตือนอย่าแตะหรือพยายามจับค้างคาวเองเด็ดขาด เสี่ยงรับเชื้อไวรัสร้าย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


ผลไม้เน่าเสีย อย่าเสียดาย ถ้าไม่อยากเสี่ยงมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15br83pnx69gv


โคแฟครวมการตรวจสอบข้อมูล เหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา วันที่ 24 – 25 ก.ค. 2568 

นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามาในฝั่งไทย และทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ตามด้วยการตอบโต้จากกองทัพไทย ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งทางโคแฟคได้ร่วมตรวจสอบแล้วบางส่วน มีทั้งที่เป็นข้อมูลจริงและเท็จ ดังนี้ 

ภาพ 01 ภาพจากคลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ : คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ภาพ 02 : ภาพจากคลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

ภาพ 03 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน คลิป F-16 ของไทย ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

นื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…”

โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาวันนี้ โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

ภาพ 04 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68) ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว”

โคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันนี้จึงวิ่งหาที่หลบภัย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 68 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

ภาพ 05 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกัมพูชารวมตัวขับไล่ ฮุน เซน 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปแฟนฟุตบอลก่อจลาจลในอินโดนีเซีย**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 โคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ภาพ 06 : ภาพที่อ้างว่าทหารไทยเข้ายึดปราสาทพระวิหาร

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ”

แม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

ภาพ 07 : ภาพจากคลิปวีดีโอที่อ้างว่ามีการปลดธงชาติกัมพูชาในไทยเพื่อตัดความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ขณะนี้ผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

ภาพ 08 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม บรรเลงเพลงชาติไทยให้กำลังใจคนไทย 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือนเป็นคลิปจากพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กฉี่Manneken Pis ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้” แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

โคแฟค ประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ตลอดจนกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยความสงบ ปลอดภัย

-โปรดใช้วิจารณญาณในการรับและส่งต่อข้อมูล

-หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อความ รูปภาพ และคลิปที่อาจสร้างความเข้าใจผิด

-ตรวจสอบข้อมูลก่อนทุกครั้งจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

-ร่วมเป็นคนช่วยตรวจสอบข้อมูลในชุมชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ขอให้สื่อมวลชนและสื่อบุคคลรายงานภาพและข้อมูลผู้เสียชีวิตด้วยความเคารพ นำเสนอข่าวบนฐานข้อเท็จจริงควบคู่แนวจริยธรรมมากกว่าการใช้ความรู้สึก ขอให้ภาครัฐสนับสนุนและคุ้มครองการทำงานของสื่อมวลชน ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างทันท่วงที

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045703144432871&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045732281096624&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045839897752529&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045888377747681&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045983127738206&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046458251024027&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046542974348888&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1046653044337881&set=a.407800974889761&locale=th_TH


ผู้ว่าอุบลฯ ปฏิเสธข่าวสั่งอพยพประชาชนที่อยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาน้อยกว่า 130 กม.

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ **

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

ℹ️ อัพเดท: วันที่ 26 ก.ค.68 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

คลิปบรรเลงเพลงชาติไทยในกรุงบรัสเซลส์ ถูกบิดเบือนว่าชาวเบลเยียมเข้าข้างไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นคลิปจากพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กฉี่ Manneken Pis ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง   

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปวิดีโอนี้เป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้” แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 68

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 68 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

กระทรวงการต่างประเทศยืนยัน ไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธงชาติกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ขณะนี้ผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่ 

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น