สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2566

เพจหมออดีตคณบดีศิริราช ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดหลอดเลือดเองที่บ้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3uy6i9ye8dqsx


ไฟเซอร์สร้างโควิด-19 กลายพันธุ์ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hlnsh6w56gfn


บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/152f3kisxfkca


สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ เปิดจุดฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ไบวาเลนท์ เข็มกระตุ้น สำหรับเด็ก 12 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ เม.ย. 2566 ณ คลินิกสุขภาพเด็กดี อาคารสยามฯ ชั้น 3

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3etj3uip2pz7u


เพจโรงแรมปลอมเกลื่อนโซเซียล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8263hjwsqrk0#_=_


 กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว หากถูกมิจฉาชีพหลอกเงินโอนเงิน โทรแจ้งอายัดเงินทันที!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1npbuibf1gakf#_=_


นั่งฟรี 1 เดือน รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว – สำโรง  เริ่มวันแรก 3 มิ.ย. 66 นี้

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/yc0onbwbmle6#_=_


‘False Base Station’ จากเครื่องมือสืบสวนอาชญากรรม สู่อุปกรณ์ก่อเหตุ‘SMSดูดเงิน’ของมิจฉาชีพ

By : Zhang Taehun

เมื่อเร็วๆ นี้ บทความเตือนภัยมิจฉาชีพส่ง SMS ตีเนียนเป็นธนาคารหลอกให้คลิก Link ของผู้เขียนเพิ่งได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ cofact.org ซึ่งรวบรวมคำเตือนของผู้รู้ทั้ง อ.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) รวมถึง พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ว่าด้วยอุปกรณ์ “False Base Station (FBS)” ที่สามารถส่ง SMS ปลอมเป็นใครก็ได้เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้ที่เข้ามาอยู่ในรัศมีทำการ โดยไม่ต้องอาศัยผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ (เช่น AIS , DTAC , True) อีกทั้งเครื่องนี้สามารถติดตั้งในห้องพักหรือแม้แต่ในรถยนต์ มีขนาดไม่ใหญ่และง่ายต่อการเคลื่อนย้าย จึงยากต่อการเฝ้าระวัง

บทความที่แล้วผู้เขียนยังอ้างถึงรายงานข่าวในต่างประเทศ ซึ่งย้อนไปในปี 2557 ที่ประเทศจีนมีการกวาดล้างอุปกรณ์ FBS ครั้งใหญ่ เนื่องจากมีรายงานมิจฉาชีพนำเครื่องติดตั้งไว้ในรถแล้วขับตระเวนไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน แล้วยิง SMS ปลอมเป็นธนาคารหรือหน่วยงานของรัฐ กระทั่งในที่สุด เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่า อุปกรณ์ FBS ได้ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว หลังมีการรายงานข่าวเรื่องนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จับกุมผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมของกลางเป็นอุปกรณ์ FBS ที่ติดตั้งในรถยนต์ ขับตระเวนก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 

เว็บไซต์ firstpoint-mg.com ของ FirstPoint บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยสำหรับโทรศัพท์มือถือในอิสราเอล อธิบายการทำงานของ False Base Station ซึ่งยังมีอีกหลายชื่อเรียก เช่น Fake Base Station , IMSI catchers , Rogue Base Station , Stingray , Fake Cellular Tower ว่าเป็นการแทรกแซงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ (โทรศัพท์มือถือ) กับเสาส่งสัญญาณ (เสาจริง) การโจมตีสามารถทำได้ภายใต้รัศมีทำงานของอุปกรณ์ และแฮ็กเกอร์สามารถรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของอุปกรณ์ ติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือ หรือโจมตีระบบ DoS ที่บล็อกหรือครอบงำการเชื่อมต่อสัญญาณทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่มีการทิ้งร่องรอยใด ๆ

ฮาซีบ อาวาน (Haseeb Awan) ซีอีโอของ Efani บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขียนบทความ “How to Protect Your Device from IMSI Catchers?” เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ระบุว่า ในอดีต อุปกรณ์ IMSI Catchers ใช้กันเฉพาะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อค้นหาข้อมูลระบุตัวตนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศ (IMSI) ที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัยในการสืบสวนคดีอาชญากรรม แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย กลายเป็นภัยที่ทุกคนต้องระวัง

IMSI Catcher ใช้การโจมตีแบบ ตัวกลาง (MITM)” พร้อมกัน ฝั่งหนึ่งทำงานด้วยการปลอมเป็นตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือเพื่อแสดงกับเสาสัญญาณโทรศัพท์จริง ส่วนอีกฝั่งก็ปลอมเป็นเสาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อแสดงกับตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือจริงที่มีผู้ใช้งานกันทั่วไป อุปกรณ์สามารถระบุการรับส่งข้อมูล (traffic)บนเครือข่ายมือถือ และกำหนดเป้าหมายสำหรับการสกัดกั้นและการวิเคราะห์ โดยสามารถใช้งานได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิต IMSI Catchers จะให้ฟังก์ชั่นอะไรมาให้ใช้งานบ้าง ดังนี้

1.ติดตามตำแหน่งที่อยู่ (Location Tracking) IMSI Catchers สามารถบังคับเครื่องโทรศัพท์มือถือเป้าหมายให้ตอบสนองด้วยตำแหน่งเฉพาะโดยใช้ GPS หรือความเข้มของสัญญาณของเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่อยู่ติดกัน ทำให้สามารถจำลองสัญญาณตามตำแหน่งที่รู้จักของเสาสัญญาณเหล่านี้ได้ ซึ่งผู้ใช้งานก็จะสามารถเฝ้าจับตาเพิ่มเติมในรายละเอียด เช่น จุดที่อยู่แน่นอนหากเป้าหมายอยู่ในอาคาร หรือสถานที่ที่เป้าหมายมักเดินทางไปบ่อยๆ เป็นการตีวงจำกัดพื้นที่ให้แคบลงในการติดตามพฤติกรรมของเป้าหมาย

2.แทรกแซงการเชื่อมต่อ (Data Interception) IMSI Catchers บางชนิดสามารถเปลี่ยนเส้นทางการโทรศัพท์และส่งข้อความ เปลี่ยนแปลงการสื่อสาร รวมถึงปลอมแปลงตัวตนในการโทรศัพท์และส่งข้อความ 

3.ส่งสปายแวร์ (Spyware Delivery) IMSI Catchers บางชนิดตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างแพงเพราะอ้างว่าสามารถส่งสปายแวร์ (Spyware-โปรแกรมจารกรรมข้อมูล) ไปยังโทรศัพท์มือถือเป้าหมายได้ โดยสปายแวร์สามารถเชื่อมตำแหน่งของเป้าหมายโดยไม่ต้องใช้ตัวจับ IMSI และรวบรวมภาพและเสียงผ่านกล้องและไมโครโฟนของเครื่องโทรศัพท์มือถือของเป้าหมาย

4.ดักรับข้อมูล (Data extraction) IMSI Catchers ยังอาจรวบรวมข้อมูลอภิพันธุ์ (metadata) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ ระยะเวลาการโทร และเนื้อหาของการสนทนาทางโทรศัพท์และข้อความที่ไม่ได้เข้ารหัส ตลอดจนรูปแบบการใช้ข้อมูลบางรูปแบบ (เช่น เว็บไซต์ที่เยี่ยมชม)

“IMSI catchers ที่มีความสามารถขั้นสูงสามารถแทรกแซงข้อความและฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ นอกจากนี้ยังอาจดักรับ-ส่งข้อมูล เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรออก หน้าเว็บที่เรียกดู และข้อมูลอื่นๆ IMSI catchers มักจะติดตั้งเทคโนโลยีการรบกวน (เพื่อทำให้โทรศัพท์ 3G และ 4G เชื่อมต่อด้วยความเร็ว 2G) และคุณสมบัติการปฏิเสธการให้บริการอื่นๆ IMSI catchers บางตัวอาจสามารถดึงข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพและ SMS จากโทรศัพท์เป้าหมายได้ฮาซีบ อาวานกล่าว

ด้านเว็บไซต์ simoniot.com ของบริษัท Simon IoT ผู้ให้บริการเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองนิวยอร์กของสหรัฐฯ อธิบายความหมายของ IMSI ไว้ในบทความ “What Is an IMSI? /iˈmˈsē/” เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2564 ว่า IMSI (International Mobile Subscriber Identity) คือรหัสเลข 15 หลัก สำหรับซิมการ์ดของระบบโทรศัพท์มือถือ GSM แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.รหัสประเทศ (Mobile Country Code : MCC) คือเลขชุด 2 ตัว หรือ 3 ตัวแรก ระบุประเทศของผู้ใช้งาน (เช่น รหัส MCC ของไทยคือ 520)

2.รหัสผู้ให้บริการ Mobile Network Code : MNC) คือเลขชุด 1-3 ตัวถัดไปจาก MCC ระบุเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ด (เช่น ในประเทศไทยคือ AIS , DTAC , True)

3.หมายเลขประจำตัวของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ (Mobile Subscription Identification Number) คือเลขชุด 9 หรือ 10 ตัวสุดท้ายของ IMSI โดยเป็นชุดตัวเลขที่ไม่ซ้ำกันเพื่อระบุผู้ใช้ซิมการ์ด

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถดูเลข MCC ของแต่ละประเทศ และเลข MNC ของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือได้ที่เว็บไซต์ mcc-mnc.com หรือเว็บไซต์ mcc-mnc-list.com/list

ทั้งนี้ต้องบอกว่า การป้องกันภัยจาก IMSI Catchers หรือ False Base Station ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลทั่วไปไม่มีทางรู้เว้นแต่จะติดตั้งซอฟท์แวร์ตรวจจับในเครื่องโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งในต่างประเทศมีจำหน่ายหลายยี่ห้อ แต่ความคุ้มค่าในการลงทุนน่าจะเหมาะกับบุคคลระดับ VIP หรือองค์กรที่ต้องรักษาข้อมูลสำคัญจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงเสียมากกว่า) สำหรับบุคคลทั่วไป ในเบื้องต้นหากเป็น SMS แนบ Link อ้างว่ามาจากธนาคาร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าปลอมแน่ๆ ลบทิ้งได้เลยไม่ต้องกดเข้าไป เพราะธนาคารเกือบทุกเจ้าที่ให้บริการในไทยได้ยกเลิกการส่ง SMS ลักษณะนี้แล้ว ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อป้องกันมิจฉาชีพสวมรอยส่วนหากเป็นหน่วยงานอื่นๆ ส่งมาแล้วไม่มั่นใจ ขอให้ท่านหาหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของหน่วยงานนั้นๆ แล้วโทรไปสอบถามก่อนจะดีที่สุด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ขอบคุณและรับชมคลิปประกอบเรื่องจาก รายการข่าวสามมิติ

อ้างอิง

 https://blog.cofact.org/special-report0566/ (‘SMSปลอม’ ตีเนียนแทรกซึมในชื่อธนาคารจริง มิจฉาชีพทำได้อย่างไร? : Cofact 22 พ.ค. 2566)

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3996985 (ทลายรังโจรสวมรอย ‘ไอโมบาย แบงกิ้ง’ ส่ง SMS ลิงก์ปลอมแบงก์-สรรพากร-ไฟฟ้า หลอกดูดเงินเหยื่อ : มติชน 25 พ.ค. 2566)

https://www.firstpoint-mg.com/imsi-catcher-protection/ (FirstPoint IMSI Catcher Detector & Protector Military-grade, patented protection against rogue base stations Ensure Nothing is Standing Between Cellular Devices and Secure Communications : FirstPoint)

https://www.efani.com/blog/how-to-protect-your-device-from-imsi-catchers (How to Protect Your Device from IMSI Catchers? : Efani 30 มี.ค. 2565)

https://www.simoniot.com/what-is-an-imsi/ (What Is an IMSI? /iˈmˈsē/ : Simon IoT 21 พ.ค. 2564)

https://mcc-mnc-list.com/list

https://mcc-mnc.com/


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2566

ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3977f94pc7egl


กฟน. SMS แจ้งจดตัวเลขมิเตอร์ผิด ให้กดลิงก์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1327e3qbtiep


บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย ส่งข้อความ เพิ่มเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/272qhjhtw7qjp


 พิธา ทำสัญลักษณ์สมาคมลับอิลลูมินาติผู้กุมอำนาจสูงสุด อยู่เบื้องหลังการเมืองการปกครอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15zscv16im9pw


PEA เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ปลอมบัญชี LINE Official Account ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/19p98ziw42cib#_=_


ติดกล้องหน้ารถ ลดเบี้ยประกันได้ถึง 10%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3n7jpb0tkqhm7


อาหาร 4 กลุ่ม สาเหตุก่อมะเร็ง และ ไทยเป็นมะเร็งเบอร์ 1 ของเอเชีย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/lf0x5ncjqxlg#_=_


7 กลยุทธ์ข่าวลวง: รูปแบบการบิดเบือนข้อมูลที่พบบ่อย

  1. เสียดสีล้อเลียน
    เป็นเนื้อหาที่ไม่ตั้งใจก่อให้เกิดความเสียหายแค่ต้องการล้อเลียนเท่านั้น
  2. โยงผิดฝาผิดตัว
    หมายถึงหัวข้อข่าว รูปภาพหรือคำบรรยายรูปที่นำเสนอเนื้อหาเกินจริง (เช่น เว็บไซต์ Clickbait หลอกให้คลิ๊กเข้าไปอ่าน)
  3. เนื้อหาชวนให้เข้าใจผิด
    คือการให้ข้อมูลที่ทำให้คนเข้าใจประเด็นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องผิดไปจากความจริง
  4. นำเสนอผิดที่ผิดทาง
    คือการนำเนื้อหาจริงมานำเสนอในสถานที่อื่นหรือบริบทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
  5. เนื้อหาที่มโนขึ้นเอง
    คือเนื้อหาที่ผู้ผลิตทึกทักเอาเองว่ามาจากแหล่งข้อมูลจริง
  6. เนื้อหาที่บิดเบือนเพื่อยุยงปลุกปั่น
    คือข้อมูลหรือภาพถ่ายจริงที่นำเสนออย่างบิดเบือนหรือตัดต่อเพื่อจงใจหลอกให้เชื่อ
  7. เนื้อหาที่ปลอมแปลง
    คือข้อมูลเท็จทั้งหมดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อหลอกลวงและตั้งใจก่อให้เกิดความเสียหาย

พรรคเป็นธรรม ในสมรภูมิวาทกรรม “แบ่งแยกดินแดน”

ทันทีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศหลังชนะการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ว่าได้ทาบทามพรรคเป็นธรรมเข้าร่วมรัฐบาล โซเชียลมีเดียก็เริ่มปรากฏข้อความโจมตีพรรคเป็นธรรมว่า “เป็นพวกแบ่งแยกดินแดน” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นข้อกล่าวหาที่เกิดจากการตีความนโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกระจายอำนาจของพรรคเป็นธรรม ขณะที่บางกลุ่มอาจจงใจใช้วาทกรรมนี้โจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ข้อกล่าวหานี้แพร่หลายในโซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดอยู่แค่พรรคเป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าไปที่พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชาติด้วย กระทั่งกลายเป็นประเด็นที่ผู้สื่อข่าวหยิบยกไปถามในการแถลงข่าวลงนามข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล (เอ็มโอยู) เมื่อ 22 พ.ค. 2566 โดยอ้างว่าเหตุที่ต้องถามจุดยืนในเรื่องนี้เพราะ “สัญญาณของการแบ่งแยกดินแดนค่อนข้างที่จะหนาหู…ประชาชนกังวลว่ารัฐบาลชุดใหม่จะทำให้ด้ามขวานทองหายไป”

พรรคเป็นธรรมในชายแดนใต้

พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่มีนายปิติพงศ์ เต็มเจริญ อดีต ส.ส. กทม. พรรคไทยรักไทยและอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ในการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พรรคเป็นธรรมชูนโยบายเรื่องการ “สร้างสันติภาพในปาตานี” โดยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 11 คนในกรุงเทพฯ นราธิวาส ยะลาและปัตตานี และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 9 คน

ผลการเลือกตั้ง พรรคเป็นธรรมได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้าสภา 1 คน คือ นายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรค

พรรคเป็นธรรมถูกกล่าวหาว่ามีนโยบายสนับสนุน “การแบ่งแยกดินแดน” และ “โจรใต้” มาตั้งแต่ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ส่วนมากเป็นข้อความที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งโพสต์เนื้อหาลักษณะนี้ค่อนข้างถี่ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง เช่น

  • เพจ “เปิดโปง BRN” (ผู้ติดตาม 11,000 บัญชี) โพสต์ข้อความว่าพรรคเป็นธรรม “สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดน” และ “หมกมุ่นแต่กับเอกราชในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้”
  • เพจ “The Truth is Never Died” (ผู้ติดตาม 5,100 บัญชี) โพสต์ภาพป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. พรรคเป็นธรรมพร้อมข้อความว่า “พรรคเป็นธรรมกับนโยบายสนับสนุนผู้ก่อการร้าย”
  • เพจ “กว่าจะรู้ เดียงสา” (ผู้ติดตาม 1,900 บัญชี) โพสต์ภาพที่มีโลโก้พรรคเป็นธรรมพร้อมข้อความว่า “นโยบายเอื้อประโยชน์ให้โจร” รวมทั้งเขียนวิจารณ์นโยบายของพรรคเป็นธรรมว่า “แสดงออกชัดเจนถึงการเอื้อประโยชน์ให้ผู้การร้ายในพื้นที่ในการก่อเหตุกับผู้บริสุทธิ์…อาจแฝงไปสู่การประกาศเอกราชเพื่อแบ่งแยกดินแดน”
เพจเฟซบุ๊ก “เปิดโปง BRN” โพสต์ภาพนี้เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2566

นอกจากนี้ ในช่วงเดือนเมษายน 2566 คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดนราธิวาสยังได้ประสานให้ผู้สมัครของพรรคเป็นธรรมชี้แจงเกี่ยวกับป้ายหาเสียงของพรรคที่มีข้อความว่า “ปาตานีจัดการตนเอง” ซึ่งทางพรรคได้ทำหนังสือชี้แจงทั้งต่อ กกต. นราธิวาสและ กกต. กลางว่า ข้อความนี้หมายถึงนโยบายการกระจายอำนาจ ส่วนคำว่า “ปาตานี” เป็นคำเรียกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สื่อความหมายถึงอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์  

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบข้อความที่โจมตีพรรคเป็นธรรมว่า “สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน” โดยโคแฟคอ้างอิงข้อมูลจากนโยบายของพรรคที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายกัณวีร์ เลขาธิการพรรคและว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม และการตอบข้อซักถามในการแถลงข่าวลงนามข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล (เอ็มโอยู) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2566 สรุปได้ดังนี้

1) นโยบายของพรรคเป็นธรรมด้านสันติภาพและความมั่นคงที่เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ได้แก่ นโยบายกระจายอำนาจหรือ “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด, นโยบาย “พาทหารกลับบ้าน” ซึ่งหมายถึงการถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้, ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายพิเศษทุกฉบับ รวมถึงกฎอัยการศึกและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้, ยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และยกระดับกระบวนการสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่าไม่มีนโยบายที่ระบุถึงการแบ่งแยกดินแดน

2) นายกัณวีร์ให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ยืนยันว่าพรรคเป็นธรรม “ไม่มีนโยบายเรื่องแบ่งแยกดินแดน” และวิเคราะห์ว่าเหตุที่พรรคถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนเพราะเสนอนโยบายที่บางฝ่ายมองว่าหมิ่นเหม่ต่อความมั่นคง โดยเฉพาะข้อเสนอเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง การถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเลือกใช้คำว่า “ปาตานี” ในการเรียกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของสงขลา ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมองว่าเป็นคำที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้

นายกัณวีร์อธิบายต่อว่า นโยบายจังหวัดจัดการตนเองเป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคำว่า “ปาตานี” เป็นคำที่ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะใช้ได้ ไม่ได้เป็นภัยของความมั่นคง

“จังหวัดจัดการตนเองในความหมายของเราคือการบริหารจัดการหรือ management ทั้งด้านเศรษฐกิจและการศึกษา ไม่ใช่การปกครองตนเองหรือ governance ส่วนคำว่า ‘ปาตานี’ นั้นเป็นคำที่สื่อถึงประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ เป็นคำที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการ และได้รับการยอมรับในคณะพุดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” นายกัณวีร์กล่าว

ส่วนนโยบายเรื่องการถอนทหารนั้น นายกัณวีร์ชี้แจงว่า “กระบวนการสร้างสันติภาพต้องมาก่อน…การถอนทหารคือตัวชี้วัดความสำเร็จของกระบวนการสันติภาพ”

ผู้สมัคร ส.ส. และผู้สนับสนุนพรรคเป็นธรรมรวมตัวกันรณรงค์ผลักดันนโยบาย “พาทหารกลับบ้าน” ที่หน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2566 (ภาพจากเฟซบุ๊กพรรคเป็นธรรม)

3) นายกัณวีร์ระบุว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรคเป็นธรรม “ถูกใส่ร้ายป้ายสี” ว่าสนับสนุนโจรใต้และการแบ่งแยกดินแดน เป็นเพราะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเป็นธรรมหลายคนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนเห็นพ่อแม่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมต่อหน้า บางคนถูกดำเนินคดีอาญาจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และหลายคนเป็นอดีตนักกิจกรรมของสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าเป็นองค์กรนักศึกษาที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน แม้ว่า PerMAS จะประกาศยุติความเคลื่อนไหวตั้งแต่ 8 พ.ย. 2564 แล้วก็ตาม

4) ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงจุดยืนของพรรคเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ระหว่างการแถลงข่าวการลงนามเอ็มโอยูร่วมจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค. นายปิติพงศ์ หัวหน้าพรรคเป็นธรรมย้ำว่าพรรคของเขา “ไม่มีการพูดเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และไม่มีความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดน…ขอยืนยันตรงนี้ว่าพรรคเป็นธรรมไม่มีนโยบายด้านนี้” นายปิติพงศ์กล่าวด้วยว่า ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคที่ฝังตัวทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่า “สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือการปกป้องสิทธิมนุษยชนและความช่วยเหลือจากภาครัฐในเรื่องคุณภาพชีวิต…มากกว่าที่จะต้องการแยกตัวออกมาเป็นอิสระ”    

“แบ่งแยกดินแดน” ในมุมมองนักวิชาการ

ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิชาการประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายว่า ผู้ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักถูกมองว่าเป็นฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าฝ่ายขบวนการกำลังดำเนินการตาม “แผนบันได 7 ขั้น” ที่มีเป้าหมายขั้นสุดท้ายอยู่ที่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งการเรียกร้องสิทธิในการจัดการตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้

“นี่เป็นชุดความคิดที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่อ แต่ในหลายพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เมื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพแล้ว ก็ไม่ได้นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน แม้จะเป็นความต้องการของฝ่ายหนึ่งก็ตาม เพราะ [การแบ่งแยกดินแดน] จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากประชาคมโลกซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่อยู่ด้วยกันไม่ได้จริง ๆ อย่างในกรณีของติมอร์ตะวันออกที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และละเมิดสิทธิอย่างรุนแรง จนสหประชาชาติต้องเข้าไปแทรกแซง และนำไปสู่การจัดประชามติ ซึ่งภาคใต้ของไทยยังห่างจากสถานการณ์ระดับนั้นมาก” ดร.รุ่งรวีกล่าว

ข้อสรุปโคแฟค

หากพิจารณาเฉพาะนโยบายด้านสันติภาพและความมั่นคงของพรรคเป็นธรรมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ รวมทั้งคำยืนยันจากผู้บริหารพรรคในการให้สัมภาษณ์กับโคแฟคและในการแถลงข่าวหลังลงนามข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค. สรุปได้ในชั้นนี้ว่า พรรคเป็นธรรมไม่มีนโยบายสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน อีกทั้งในความเป็นจริง การแยกตัวเป็นเอกราชก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ดังที่ ดร.รุ่งรวีให้ความเห็นกับโคแฟค

การตีความและการวิเคราะห์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมือง รวมถึงการเชื่อในชุดความคิดว่าด้วยการแบ่งแยกดินแดน ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ และประชาชนก็มีสิทธิที่จะตั้งคำถามหรือขอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายหรือจุดยืนของพรรคการเมืองในเรื่องนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่ามีการนำวาทกรรมแบ่งแยกดินแดนมาผลิตข่าวลวงและประทุษวาจา (hate speech) เพื่อโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างความเกลียดชังต่อพรรคการเมืองหรือนักการเมืองโดยเจตนาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจึงไม่ควรแชร์เนื้อหาใด ๆ หากไม่มั่นใจในแหล่งที่มาหรือเจตนาของผู้เผยแพร่

เรื่องแนะนำ

‘The Hand Steeple’จากท่ามือเสริมบุคลิกผู้นำ สู่ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยง‘อิลลูมินาติ’

 By : Zhang Taehun

“นี่ไม่บังเอิญหรอกนะ ดูกันชัดๆ สัญลักษณ์ลับการแทรกแซงของแยงกี้ มันคือสัญลักษณ์สมาคมลับอิลลูมินาติผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลังการเมืองการปกครองของโลก โดยมุ่งดำเนินการในทางลับเพื่อก่อตั้ง ‘ระเบียบโลกใหม่’ โดยการแทรกแซงชีวิตประจำวัน การเมือง การปกครอง ของชาติที่เป็นเป้าหมาย”

โพสต์หนึ่งที่ถูกแชร์ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นข้อความข้างต้นพร้อมกับรูปของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เพิ่งชนะเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดยเป็นรูปที่ พิธา ถ่ายกับผู้ที่มาร่วมฟังปราศรัยของพรรคก้าวไกลสักเวทีหนึ่ง แต่ถูกนำมาตั้งข้อสังเกตจากผู้โพสต์ว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกลทำท่ามือที่ดูเหมือนกับเป็น รหัสลับ ขององค์กรลับอย่าง อิลลูมินาติ (Illuminati)” ซึ่งมักจะถูกกล่าวถึงเสมอในทฤษฎีสมคบคิดว่ามีองค์กรลับที่บงการทั้งโลกอยู่เบื้องหลัง

ภาพดังกล่าวยังมีการเปรียบเทียบกับผู้นำอีกหลายชาติ อาทิ อังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี , โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา , เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี เป็นต้น ที่เคยทำท่ามือแบบเดียวกัน บางภาพมีการนำภาพ “Eye of Providence” ที่อยู่ในธนบัตร 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมักถูกผู้ที่เชื่อใน ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)” อ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ขององค์กรอิลลูมินาติ ไปใส่ประกบรวมอยู่ด้วยเพื่อจะบอกกับผุ้รับสารว่า บรรดาผู้นำชาติต่างๆ ล้วนแต่เป็นสมาชิกหรือทำงานให้กับองค์กรนี้

รายงานพิเศษเรื่อง “The Eye of Providence: The symbol with a secret meaning?” ของสำนักข่าว BBC เมื่อปี 2563 อธิบายที่มาที่ไปของสัญลักษณ์ Eye of Providence (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ All-Seeing Eye of God) ว่า เดิมที Eye of Providence เป็นสัญลักษณ์ของชาวคริสต์ และตัวอย่างแรกสุดของการใช้สามารถพบได้ในศิลปะทางศาสนาในยุคเรอเนซองส์เพื่อเป็นตัวแทนของพระเจ้า ตัวอย่างแรกคือภาพวาด Supper at Emmaus ผลงานของ Pontormo ศิลปินชาวอิตาลี ในปี ค.ศ.1525 (พ.ศ.2068) หรือเมื่อเกือบ 500 ปีก่อน แม้ว่าสัญลักษณ์จะถูกวาดในภายหลัง บางทีอาจจะเป็นในช่วงทศวรรษที่ 1600s (พ.ศ.2143-2152) 

นอกจากนั้นยังมีหนังสือชื่อ Iconologia ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ.1593 (พ.ศ.2136) ในการพิมพ์ครั้งต่อๆ มา Eye of Providence ถูกรวมไว้เป็นคุณลักษณะของการแสดงตัวตนของ “Divine Providence” ซึ่งก็คือ ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ตามชื่อของสัญลักษณ์และการใช้ในช่วงแรก สัญลักษณ์นี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายของการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้ามองมนุษยชาติด้วยความเมตตา

ในเวลาต่อมา สัญลักษณ์ Eye of Providence ถูกนำไปใช้ในหลากหลายความหมายและหลายชาติ หนึ่งในนั้นคือ สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1782 (พ.ศ.2328) อันเป็นช่วงเริ่มก่อตั้งประเทศ โดย ชาร์ลส์ ทอมป์สัน (Charles Thomson) เลขาธิการสภาคองเกรสแห่งภาคพื้นทวีป และ วิลเลียม บาร์ตัน (William Barton) ทนายความ ร่วมกันออกแบบ โดยมีพีระมิด 13 ชั้น แทน 13 มลรัฐแรกเริ่มของการสร้างชาติ แล้วให้ Eye of Providence ลอยอยู่ด้านบนเป็นส่วนยอด สื่อถึง ความแข็งแกร่งและทนทาน (Strength and Duration)” โดยมีพระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้ามองอย่างเห็นอกเห็นใจประเทศเกิดใหม่นี้

อดัม ไวเชิพท์ (Adam Weishaupt)

สำหรับชื่อองค์กรอิลลูมินาติ ในทางประวัติศาสตร์ถูกระบุว่าก่อตั้งโดย อดัม ไวเชิพท์ (Adam Weishaupt) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชาวเยอรมนี บทความ “Meet the Man Who Started the Illuminati” ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สื่อสารคดีชั้นนำอย่าง National Geographic ระบุว่า ไวเชิพท์ เกิดที่เมืองอินกอลสตาดท์ แคว้นบาวาเรีย (ปัจจุบันคือรัฐบาวาเรีย) เมื่อปี ค.ศ.1748 (พ.ศ.2291) เป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตอยู่กับผู้เป็นลุง เมื่อโตขึ้นได้เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายธรรมชาติและกฎหมายศาสนจักร (Natural and Canon Law) และดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ 

ตามประวัติแล้ว ไวเชิพท์ มีนิสัยรักการอ่านหนังสืออย่างมาก โดยเฉพาะหากเป็นงานเขียนของนักปรัชญายุครู้แจ้งชาวฝรั่งเศส ซึ่งบ้านของลุงก็มีห้องสมุดส่วนตัว ยิ่งส่งเสริมการอ่านได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าแคว้นบาวาเรียในเวลานั้นแนวคิดกระแสหลักจะเป็นแบบอนุรักษ์นิยม แต่ ไวเชิพท์ เป็นคนหนึ่งที่มองว่า การปกครองและความเชื่อทางศาสนาที่ดำรงอยู่ไม่อาจตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่ ในตอนแรก เขาคิดจะเข้าร่วมกับสมาคม ฟรีเมสันส์ (Freemasons)” องค์กรที่เผยแพร่คำสอนให้ผู้คนมีเสรีภาพทางความคิด แต่ต่อมาก็ตัดสินใจตั้งสมาคมของตนเอง

ไวเชิพท์ไม่ได้ต่อต้านศาสนา แต่เป็นวิธีที่ปฏิบัติและบังคับใช้ เขาเขียนเสนอแนวคิดเสรีภาพจากอคติทางศาสนาทั้งหมด ปลูกฝังคุณธรรมทางสังคม และทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เป็นไปได้ และรวดเร็วในความสุขสากล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องสร้างสภาวะแห่งเสรีภาพและความเสมอภาคทางศีลธรรม ปราศจากอุปสรรคซึ่งการอยู่ใต้บังคับบัญชา ยศถาบรรดาศักดิ์ และความร่ำรวย ขัดขวางเราอย่างต่อเนื่อง

ผู้ร่วมก่อตั้งอิลลูมินาติกลุ่มแรกทำพิธีสถาปนาองค์กรกันในคืนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) ในป่าใกล้กันเมืองอินกอลสตาดท์ มีการตั้งกฎขององค์กร รวมถึงการรับสมาชิกใหม่ต้องได้รับการยินยอมสมาชิกก่อนหน้า ในตอนแรกสมาชิกใหม่จะมาจากบรรดาลูกศิษย์ของ ไวเชิพท์ แต่ภายหลังได้ขยายออกไปในหลากหลายสาขาอาชีพ กระทั่งในปี ค.ศ.1784 (พ.ศ.2327) เมื่อทางการเริ่มรับรู้การมีตัวตนและเริ่มมาตรการกวาดล้าง ว่ากันว่าเวลานั้นมีสมาชิกราว 2,000-3,000 คน โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1787 (พ.ศ.2330) ที่ใช้ยาแรงถึงขั้นออกประกาศว่าการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมที่ก่อตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต 

หลังสมาคมอิลลูมินาติถูกเปิดโปง ไวเชิพท์ สูญเสียงานที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ และต้องหลบหนีไปอยู่ที่เมืองโกธา แคว้นแซกโซนี (ปัจจุบันอยู่ในภาคกลางของเยอรมนี) แต่ยังได้งานสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเก็น แต่ถึงองค์กรอิลลูมินาติภายใต้การก่อตั้งของ ไวเชิพท์ จะจบลง ชื่อของอิลลูมินาติก็ได้กลายเป็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเวลาจะกล่าวถึงทฤษฎีสมคบคิดเรื่องมีสมาคมลับคอยบงการความเป็นไปของโลกอยู่เบื้องหลัง มาจนถึงปัจจุบัน 

The Illuminatus! Trilogy : จากนิยายสู่เรื่องที่คนเชื่อว่าจริง

รายงานข่าว กำเนิด อิลลูมินาติจากเรื่องแต่งเสียดสีสังคม สู่ทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนหลงเชื่อมากที่สุดในโลก โดยสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ในเวอร์ชั่นภาษาไทย เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2562 ระบุว่า สิ่งที่ทำให้อิลลูมินาติกลายเป็นชื่อที่โด่งดังของยุคใหม่ในฐานะองค์กรลับเบื้องหลังทุกสิ่งอย่าง คือนิยายไตรภาค “The Illuminatus! Trilogy” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) เนื้อหาเป็นการจับโยงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น การลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ. เคเนดี (JFK) ไปโยงเข้ากับงอิลลูมินาติ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นนิยายขายดี ยังทำให้คนอ่านเชื่อไปด้วยว่าองค์กรลับที่ว่านี้มีอยู่จริง

กลับมาที่ภาพการวางมือของผู้นำทางการเมืองที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับองค์กรอิลลูมินาติ ท่ามือแบบนี้เรียกว่า The Hand Steeple โดยสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง Insider (Business Insider) เผยแพร่บทความ 5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2561 อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ The Dictionary of Body Language (ฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า “พจนานุกรมอ่านคนตั้งแต่หัวจรดเท้า”) ซึ่งเขียนโดย โจ นาวาร์โร (Joe Navarro) อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้อธิบายความหมายของ The Hand Steeple ไว้ว่า

“The Hand Steeple คือการทำท่ามือโดยวางประกบปลายนิ้วของมือทั้งสอข้างเข้าด้วยกัน กางฝ่ามือสองข้างออก แล้วงอมือเพื่อให้ปลายนิ้วมือดูเหมือนยอดแหลมของโบสถ์ นี่เป็นการแสดงความมั่นใจแบบสากลและมักใช้โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งเป็นท่าที่ อังเกลา แมร์เคิล นายกฯ เยอรมนี มักใช้บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าความมั่นใจไม่ได้รับประกันความถูกต้องเสมอไป บุคคลอาจผิดในข้อเท็จจริงแต่มั่นใจในขณะที่พูด อย่างไรก็ตาม ท่าดังกล่าวก็มีประโยชน์ในการโน้มน้าวผู้อื่นถึงความมุ่งมั่นของคุณต่อสิ่งที่คุณกำลังคิดหรือพูด” 

17 พ.ค. 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในท่า The Hand Steeple ขณะถ่ายรูปร่วมกับผู้นำพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่ร้าน Chez Miline 

ทั้งนี้ หากนำคำว่า The Hand Steeple (หรือ The Hand Steeple Gesture , Steepling Hands) ไปค้นหาใน Google จะมีบทความมากมายระบุว่า เป็นท่ามือยอดนิยมของบรรดา ผู้นำ ไม่ว่าทางการเมืองหรือทางธุรกิจ อาทิ บทความ 7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION” บนเว็บไซต์ sandygerber.com ของ แซนดี เกอร์เบอร์ (Sandy Gerber) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารชาวแคนาดา อธิบายไว้ว่า

“Steepling Hands เป็นคำที่บัญญัติโดย ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล (Prof.Ray Birdwhistell) เป็นท่าที่นิ้วของมือข้างหนึ่งกดเบาๆ กับนิ้วของมืออีกข้างและก่อตัวเป็นยอดแหลมของโบสถ์ เบิร์ดวิสเทล ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มองว่าตัวเองมีชื่อเสียงและอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงจะใช้ท่าทางที่เรียบง่าย และมักจะใช้ตำแหน่งนิ้วชี้ที่จำกัดเพื่อแสดงทัศนคติที่มั่นใจ” 

สำหรับ ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล นั้นเป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษากายของมนุษย์ ทั้งนี้ บทความยังกล่าวอีกว่า ท่า The Hand Steeple ยังมี 2 รุปแบบ คือ “Raised Steeple” เมื่อยกนิ้วขึ้นที่ด้านหน้าของหน้าอก ผู้พูดกำลังแสดงความคิดเห็นและความคิด ขอแนะนำให้ใช้ท่านี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากท่านี้อาจสื่อถึงความเย่อหยิ่งหรือทัศนคติที่รู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศีรษะของบุคคลนั้นเอียงไปด้านหลัง กับ “Lower Steeple” เมื่อนิ้วอยู่ในตำแหน่งท่อนล่างรอบเอว บุคคลนั้นมักจะฟังมากกว่าพูด ที่น่าสนใจคือ การวิจัยระบุว่าผู้หญิงมักจะใช้ท่า Lower มากกว่า Raised

อนึ่ง ท่าวางมือของ อังเกลา แมร์เคิล มีคำเรียกเฉพาะว่า “Merkel-Raute” หรือในสื่อที่ใช้ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า สามเหลี่ยมแห่งอำนาจ (Triangle of Power)” โดยเว็บไซต์ The Local สำนักข่าวออนไลน์ร่วมของหลายประเทศในยุโรป เผยแพร่บทความ “German words you need to know: Die Merkel-Raute” เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2564 ระบุว่า ท่าทางนี้มีลักษณะเฉพาะคือวางมือไว้ด้านหน้าท้องเพื่อให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือแต่ละข้างมาบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม 

บรรดานักรัฐศาสตร์มองว่า ท่า Merkel-Raute เป็นสัญญาณภาพที่มีประสิทธิภาพที่แสดงถึงชื่อเสียงของ Merkel ในฐานะผู้นำที่เชื่อถือได้ สงบนิ่ง และมั่นคง ช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวที่กระสับกระส่ายหรือกระวนกระวายใจในระหว่างการพูดในที่สาธารณะและห่อหุ้มความมั่นคงขอแมร์เคิลไว้ในขณะที่แสดงความเปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กล่าวหาว่าเธอใช้ท่าทางดังกล่าวเพื่อส่งเสริมลัทธิบูชาตัวบุคคล (Cult of Personality) โดยกล่าวหาว่าเธอให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของความมั่นคงและความสุขุมเหนือชุดนโยบายเฉพาะ

อังเกลา แมร์เคิล (ขวา) ผู้นำหญิงแห่งเยอรมนี กับท่าประจำของเธอ “Merkel-Raute”

โดยสรุปในเบื้องต้น เท่าที่ค้นหาทางอินเตอร์เน็ต (ณ ค่ำคืนวันที่ 22 ล่วงเข้าวันที่ 23 พ.ค. 2566) ผู้เขียนก็ยังไม่พบชุดข้อมูลใดที่จะอธิบายได้ว่า ท่า The Hand Steeple หรือ Merkel-Raute ถูกนำไปเกี่ยวข้องในฐานะการทำมือเป็นรหัสลับของสมาชิกองค์กรอิลลูมินาติได้อย่างไร แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าองค์กรลับที่เคยมีตัวตนอยู่เมื่อกว่า 200 ปีก่อนยังดำเนินการอยู่ (ไม่ว่าจะโดยสมาชิกสืบทอดจากกลุ่มเดิม หรือมีการตั้งกลุ่มใหม่แล้วนำชื่อมาใช้) 

อย่างน้อยก็ค่อนข้างเชื่อได้ว่า ท่ามือชนิดนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่ากลยุทธ์การใช้ภาษากายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้พบเห็น ซึ่งเป็นทักษะหนึ่งที่บรรดาผู้นำต้องมี!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.bbc.com/culture/article/20201112-the-eye-of-providence-the-symbol-with-a-secret-meaning (The Eye of Providence: The symbol with a secret meaning? : BBC 13 พ.ย. 2563) 

https://www.nationalgeographic.com/history/history-magazine/article/profile-adam-weishaupt-illuminati-secret-society (Meet the Man Who Started the Illuminati : National Geographic)

https://www.bbc.com/thai/international-50892736 (กำเนิด ‘อิลลูมินาติ’ จากเรื่องแต่งเสียดสีสังคม สู่ทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนหลงเชื่อมากที่สุดในโลก : BBC 23 ธ.ค. 2562)

https://www.insider.com/body-language-how-to-improve-confidence-2018-8#hand-steepling-2 (5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence : Inseder 29 ส.ค. 2561)

https://sandygerber.com/7-hand-gesture-body-language-tips-to-influence-communication/ (7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION)

https://www.thelocal.de/20210726/german-words-you-need-to-know-die-merkel-raute (German words you need to know: Die Merkel-Raute : 26 ก.ค. 2564)


‘SMSปลอม’ ตีเนียนแทรกซึมในชื่อธนาคารจริง มิจฉาชีพทำได้อย่างไร?

By : Zhang Taehun

เมื่อเร็วๆ นี้ มีมิตรสหายส่งคำถามมาให้ผู้เขียนลองค้นหาข้อมูลดูว่า มิจฉาชีพทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? โดยเป็นเนื้อหาที่แชร์ต่อๆ กันในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า มิจฉาชีพสามารถส่ง SMS ปลอม แทรกเข้าไปในกล่องข้อความชื่อเดียวกับธนาคารจริงมีเสียงร่ำลือกันไปต่างๆ นานา ว่าแม้แต่สถาบันการเงินชั้นนำก็ยังถูกแฮ็ค แล้วจะหาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างไร โดยเมื่อค้นแล้วก็พบว่า มีทั้งวิธีเก่าและวิธีใหม่ ที่บรรดามิจฉาชีพนำมาใช้ก่ออาชญากรรม 

ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) อธิบายกลโกงของมิจฉาชีพไว้ในรายการ หนุ่ยทอล์ก ทางช่องยูทูบของสำนักข่าวไอที แบไต๋ (Beartai) เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566 ว่า 1.หมายเลขโทรศัพท์ (Sender) สามารถถูกปลอมแปลงได้ มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชั่นประเภท Fake SMS Sender ที่สามารถทำให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้อยู่เหมือนกับหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลหรือหน่วยงานอื่น ซึ่งเมื่อหมายเลขปลอมส่ง SMS มาก็มีโอกาสที่โทรศัพท์ของเราจะสับสน และมีข้อความปลอมไปปนในกล่องข้อความจริงได้ วิธีการแบบนี้พบเห็นมาหลายปีแล้ว

2.False Base Station (FBS) Attack เป็นวิธีการที่ค่อนข้างใหม่ โดยมิจฉาชีพจะเช่าห้องพัก อาคาร หรือแม้แต่ดัดแปลงยานพาหนะสำหรับตั้งเป็นฐานปฏิบัติการ รอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านเข้ามาในรัศมีทำการของอุปกรณ์แล้วจัดการยิง SMS ปลอมชื่อธนาคารหรือหน่วยงานเข้าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานตามปกติ (เช่น ในประเทศไทยคือ AIS , DTAC , TRUE) และเช่นเดียวกับกรณีแรก ที่มีโอกาสที่โทรศัพท์ของเราจะจำสับสน จับข้อความปลอมไปปนในกล่องข้อความจริงได้ แต่มิจฉาชีพที่จะใช้วิธีการนี้ก็ต้องลงทุนสูงพอสมควร

ส่วนกรณีของเหยื่อที่เปลี่ยนรหัส (PIN) แล้วเหตุใดยังโดนโจมตีอีก เรื่องนี้มิจฉาชีพสามารถทำได้ด้วยการที่เมื่อเหยื่อเผลอกดคลิก Link ที่มาจาก SMS ปลอมแล้วก็มักถูกชวนให้ทำบางอย่าง เช่น กรอกข้อมูล ติดตั้งโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหลายครั้งมิจฉาชีพจะสร้างบัญชีไลน์ขึ้นมาให้กดรับเป็นเพื่อนแล้วทักมาพูดคุยโน้มน้าวให้เหยื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นที่มิจฉาชีพวางแผนไว้ โดยเฉพาะการติดตั้งโปรแกรม หากทำตามที่มิจฉาชีพบอกผลคือมิจฉาชีพจะรู้การใช้งานทุกอย่างในโทรศัพท์มือถือของเรา รวมถึงการเปลี่ยนรหัสผ่านหรือการพิมพ์ข้อความต่างๆ ด้วย

 “แบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) จึงได้ออกระเบียบว่าจะโอนเงินเกิน 5 หมื่นต้องยืนยันใบหน้าเท่านั้น อันนี้จะแก้ปัญหาได้ ก็คือต่อให้ควบคุมเครื่องได้ก็โอนเงินไม่ได้ เพราะถ้าจะโอนออกไป 5 หมื่นต้องเอาหน้ายืนยัน การที่ยืนยันด้วยหน้า จะปกป้องทรัพย์สินของเราในแบงก์นั้นๆ เท่านั้น แต่ว่าระบบอะไรที่มีการกู้เงินยืมเงินโอนเงิน แล้วไม่มีการใช้หน้ามายืนยัน มันจะกันไม่ได้ แบงก์ชาติยังออกกฎใหม่ด้วยว่า หลังเดือนมิถุนายนนี้ไปแล้วทุกธนาคารจะต้องไม่ส่ง SMS แนบ Link มาแล้ว ดังนั้นวันไหนถ้าได้ SMS จากธนาคารอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามี Link แบบนี้ ให้เป็นที่รู้กันเลยว่าเขาจะเลิกแล้ว ไม่มีการส่งอะไรแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ก็คือปลอม 100% ไม่ต้องไปคิดว่ามาจาก False Base Station Attack หรือปลอม Sender แม้กระทั่งธนาคารจริงก็จะไม่ทำแล้ว” ปริญญา กล่าว

รวมถึงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2566 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ นสพ.โพสต์ทูเดย์ อ้างการเปิดเผยของ พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ว่า ปัจจุบันพบเทคนิคการส่ง SMS ปลอมของมิจฉาชีพไปยังประชาชนรูปแบบใหม่โดยไม่ผ่านเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเรียกว่า False Base Station (FBS) หรือ Fake Base Station เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับข้อความหลงเชื่อว่าเป็น SMS จากหน่วยงานจริง สามารถปลอมชื่อ และหลอกให้คลิกลิงก์หรือแอดไลน์เพื่อหลอกลวงเงินจากประชาชน

โดย พล.อ.ต.อมร อธิบายการทำงานของ FBS ว่า เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ดักฟัง ดักสัญญาณ SMS เนื่องจากเป็นระบบเก่าแก่ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอุปกรณ์ดังกล่าวจึงสามารถทำงานส่ง SMS ได้ แต่ไม่สามารถดักฟังได้เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากเทคโนโลยีก้าวกระโดดไปถึง 4G และ 5G แล้ว หากต้องการดักฟังระบบต้องถูกลดเครือข่ายเหลือ 2G ซึ่งทำได้ยากและผู้ใช้งานหรือโอเปอเรเตอร์จะรู้ทันที 

แต่การส่ง SMS นั้นรวดเร็วมาก และผู้ให้บริการมือถือไม่สามารถรู้ได้ เพราะใช้เวลาไม่นาน รวมถึงการจับกุมก็เป็นไปได้ยาก เพราะอุปกรณ์นี้สามารถพกพาได้จึงเคลื่อนย้ายได้อย่างเร็ว ทั้งนี้ เคยมีรายงานการจับกุมมิจฉาชีพใช้อุปกรณ์ FBS ที่ประเทศจีนเมื่อปี 2557 ส่วนประเทศไทยเพิ่งพบเมื่อช่วง 2-3 เดือนล่าสุด และยังพบการจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัวของชาวจีนอย่างแพร่หลาย

สำหรับวิธี False Base Station อาจจะดูใหม่ในสังคมไทย แต่เคยใช้กันมาแล้วในต่างประเทศ ดังรายงานข่าวของ Naked Security สำนักข่าวออนไลน์ในเครือ Sophos บริษัทสัญชาติอังกฤษซึ่งทำธุรกิจฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รายงานเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2557 ว่า ตำรวจจีนจับกุมผู้ต้องหาได้มากถึง 1,530 คน ซึ่งมีพฤติกรรมใช้รถยนต์เป็นพาหนะขับตระเวนไปทั่วพร้อมกับใช้อุปกรณ์ FBS ส่ง SMS ปลอมใส่โทรศัพท์มือถือของผู้คนในรัศมีทำการ 

รายงานข่าวยังระบุว่า ชุดอุปกรณ์ตั้งสถานีปลอม หรือ FBS นั้นประกอบด้วย คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ GSM กล่องเซิร์ฟเวอร์ SMS เสาส่งสัญญาณ และสายเคเบิลข้อมูล USB ซึ่งชุดอุปกรณ์ติดตั้งสถานีปลอมนี้ขายในตลาดมืด (ตามรายงานข่าว ณ เดือน มี.ค. 2557) ราคาประมาณ 45,000 หยวน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 22,000 บาท) เป็นเซิร์ฟเวอร์ SMS ขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งมิจฉาชีพจะส่งข้อความปลอมให้ดูเหมือนว่ามาจากหมายเลขของผู้ส่งจริง เช่นหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ บริการสาธารณะ หรือธนาคารที่ถูกกฎหมาย

อนึ่ง เครื่องมือปลอมแปลงชื่อเพื่อส่ง SMS นอกจากจะใช้เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วนในหมู่ผู้คนหรือสังคมได้ด้วย ตั้งแต่ระดับ ขำๆ อำกันเล่น ดังที่ ปริญญา ยกตัวอย่างในรายการหนุ่ยทอล์กข้างต้น กรณีการใช้แอปฯ Fake SMS Sender อาจมีเพื่อนในกลุ่มแกล้งปลอมเบอร์โทรศัพท์แฟนของเพื่อนอีกคน แล้วส่ง SMS ไปบอกว่าเลิกกันเถอะ จนถึงการทำ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO)” ดังรายงานข่าวของ Naked Security เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2560 ว่า มี SMS ไม่ทราบที่มา ถูกส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของทหารยูเครนที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซีย บริเวณดินแดนภาคตะวันออกของยูเครนในช่วงปี 2557 ที่เกิดเหตุขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับประเทศไทย มีข่าวประชาสัมพันธ์จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.หรือแบงก์ชาติ) ​​ข่าว ธปท. ​ฉบับที่ 10/2566 เรื่อง  ธปท. ออกมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566 กล่าวถึงแนวนโยบายของ ธปท. ที่เป็นชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ดูแลตลอดเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำให้สถาบันการเงินทุกแห่งปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารจัดการความเสี่ยงกับการส่งเสริมบริการทางการเงินดิจิทัล

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มาตรการป้องกันเพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ประกอบด้วย 1. ให้สถาบันการเงินงดการส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS อีเมล และงดส่ง Link ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) 2.จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละสถาบันการเงิน ให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น โดยสถาบันการเงินต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา 

และ 3.ยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า (biometrics) เช่น สแกนใบหน้า ในกรณีลูกค้าขอเปิดบัญชีโดยผ่านแอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงิน (non-face-to-face) หรือทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้ จะกำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

ในเบื้องต้นเท่าที่สืบค้นได้ รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 มีสถาบันการเงิน 10 แห่ง ประกาศยกเลิกบริการส่ง SMS แนบ Link ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขณะที่รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส วันที่ 1 พ.ค. 2566 ระบุว่า บรรดาธนาคารต่างๆ กำลังทยอยปรับปรุงระบบเพื่อเตรียมพร้อมใช้มาตรการโอนเงินตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไปต้องสแกนใบหน้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 2566

สำหรับผู้เปิดบัญชีธนาคารที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 10 สถาบันการเงินข้างต้น ผู้เขียนแนะนำว่าให้สอบถามไปที่สาขาของธนาคารที่ใช้บริการอยู่ หรือสายด่วนอย่างเป็นทางการของธนาคารนั้นว่าได้ยกเลิกบริการส่ง SMS แนบ Link แล้วหรือยัง ในทุกครั้งที่ได้รับ SMS ทำนองดังกล่าว..ตั้งสติและยอมเสียเวลาสักหน่อยดีกว่าถูกหลอกดูดเงินเสียหายจนหมดตัว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=OJa5SKasfpE (แฉกลโกง SMS ปลอมเป็นธนาคาร ทำได้ยังไง? l #หนุ่ยทอล์ก : beartai แบไต๋ , 1 พ.ค. 2566 นาทีที่ 20.45-27.25)

https://www.posttoday.com/business/694050 (ทำความรู้จัก False Base Station ปลอมเอสเอ็มเอส ไม่ผ่านเครือข่ายมือถือ : โพสต์ทูเดย์ 4 พ.ค. 2566)

https://nakedsecurity.sophos.com/2014/03/26/chinese-cops-nab-1530-mobile-sms-spammers-in-raid-on-fake-base-stations/ (Chinese cops nab 1,530 mobile SMS spammers in raid on fake base stations : Naked Security 26 มี.ค. 2566)

https://nakedsecurity.sophos.com/2017/05/12/soldiers-sent-hate-sms-messages-from-rogue-base-stations/ (Soldiers sent hate-SMS messages from rogue base stations : Naked Security 12 พ.ค. 2560)

https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2023/Pages/n1066.aspx (ข่าว ธปท. ​ฉบับที่ 10/2566 เรื่อง ธปท. ออกมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน : ธนาคารแห่งประเทศไทย 9 มี.ค. 2566  , หมวดการค้นหา ข่าว ธปท.-นโยบายและการกำกับสถาบันการเงิน)

https://www.matichon.co.th/economy/news_3891445 (เจออย่าคลิก! แบงก์ชาติเปิดลิสต์ชื่อธนาคาร ยกเลิกส่งลิงก์ผ่าน SMS-E-mail แล้ว : มติชน 24 มี.ค. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/327208 (แบงก์สแกนหน้าโอนเกิน 50,000 บาท เริ่ม มิ.ย.นี้ : ThaiPBS 1 พ.ค. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2566

บ่งต้อด้วยหนามหวาย แก้ได้ทุกโรคต้อโรคตา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1j6dz54hkx06d


กรมที่ดินเตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดหนัก ปลอมเว็บไซต์-ไลน์กรมที่ดินหลอกดูดเงินหมดบัญชี ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/s5flgrj7rcrr


หยุดส่งต่อข้อความนโยบายพรรคก้าวไกล ที่อาจสร้างความเข้าใจผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2jkvzk6mc13mx


สมอ. อนุมัติกระดาษสัมผัสอาหาร และแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เป็นสินค้าควบคุม มีผลปี 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2u1uiczx77vg3


ตร.ไซเบอร์เตือนภัยมิจฉาชีพหลอกให้ทำงานเสริมออนไลน์ ออกอุบายให้โอนเงินเกลี้ยงบัญชี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6pxh8cggbmff


“พรรคก้าวไกล” สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ได้ กัญชาสันทนาการได้ แต่ต้องมีการควบคุมโซนนิ่ง ควบคุมบริหารจัดการไม่มีอะไรที่เสรี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qb7s0rv1kjmx#_=_


 “ลาว-จีน” จดปากกาเซ็น MOU ขยายหน้าต่างให้ “หยวน” ไหลเข้าประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1534a71alfv1o#_=_


5 Cases of Political Disinformation during the 2023 General Election Campaign

Editors’ Picks

COFACT discovers widespread use of Islamophobia, false claims, accusations, conspiracy theories and false connections, and false or misleading information about opponents’ policies are the common political tactics during the 2023 general election campaigns.

Political disinformation refers to false or misleading information deliberately created to cause misunderstanding for political gain. In fact, political disinformation has been used as a tool to defeat political opponents or influence voters’ decision-making in many countries, such as the United States and the Philippines. This undermines the democratic process as people’s decisions are based on false, distorted, and misstating information. 

COFACT’s monitoring of political disinformation in the past two months, starting from when the Election Commission set May 14 as the date for the general election, found at least five common types of false and misleading information.  

1. Stirring up “Islamophobia”

False and distorted information is being used to stoke fear and hatred towards Islam (Islamophobia). This tactic is reportedly utilised to launch political attacks, creating a false narrative that politicians or political parties prioritise Islam over Buddhism or accusing them of being a ‘ national assimilation movement’ that aims to destroy Buddhism and transform Thailand into an “Islamic state.”

For example, false information had been circulating on social media and chat applications for at least seven years that Prime Minister Prayut Chan-o-cha, and his wife are Muslims. This false information 

COFACT has found that the false information regarding the former Prime Minister’s religion is part of a larger pattern of disinformation that aims to create fear and hatred towards Islam– often disseminated by Facebook accounts and YouTube channels linked to the Association for the Protection of Buddhism for National Security (APBNS) and the Thai Buddhist Association (TPBA). These organisations are known for opposing policies and laws that they perceive as supporting and expanding the influence of Islam, such as the Administration of Islamic Organisations Act, Hajj Affairs Promotion Act or promoting the Halal food industry.

In early April 2023, a video clip regarding the 76th-anniversary celebration of the founding of the Democrat Party (DP) was widely shared. According to the video, the DP allegedly held an Islamic religious ceremony without a Buddhist tradition, which raised the question of whether Buddhists would still vote for the party in the upcoming election. However, the party spokesperson later refuted the claims, clarifying that the event included both Buddhist and Islamic ceremonies.

Read more : ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย” 

2. False claims

The selective and partial presentation of facts about state projects or policies to mislead the public to believe certain state projects and policies were initiated or achieved during their tenure is a common tactic employed by politicians across the political spectrum to sway voters during elections.

COFACT found examples of such claims during the election period, such as the construction of the Bang Yai-Kanchanaburi Motorway, the Bang Pa-In-Nakhon Ratchasima Motorway, and the Benjakitti Park construction project.

Both the Pheu Thai Party and former Prime Minister Prayut Chan-o-cha have taken credit for the construction of the Bang Yai-Kanchanaburi and Bang Pa-in-Nakhon Ratchasima motorways, claiming them as their achievements. However, using online government-related sources, the COFACT team found that both projects were part of a government plan for developing the expressway network approved by former Prime Minister Chuan Leekpai in 1997. The construction of these highways, thus, has been a continuous effort for over two decades under the purview of various governments, making it incorrect to attribute them solely to any single political party or government and creating a false understanding among the public.

Similar to former Prime Minister Prayut Chan-o-cha’s recent claim on a stage at a United Thai Nation Party (UTN) rally that he was responsible for initiating the construction of Benjakitti Park and overseeing its completion, a fact-check conducted by COFACT revealed that the project was actually approved for construction in 1991 during Anand Panyarachun’s tenure as Prime Minister.

Moreover, the park had been developed consistently under various administrations, while Prayut’s government played a part in the creation of the “Forest Park” section, which was executed in three phases from 2016 to 2021.

Read more :

มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี ผลงานรัฐบาลไหน?

เลือกตั้ง 2566: ตรวจสอบ 3 ประโยคของประยุทธ์บนเวทีปราศรัยรวมไทยสร้างชาติ 

3. False Accusations

One concrete evidence of spreading misleading information to accuse political opponents of a particular problem is exemplified by the UTN’s leading figures, who alleged that the Yingluck Shinawatra government was to blame for the current surge of electricity prices, pointing to the government’s hasty approval of the Electricity Generating Authority of Thailand’s procurement of 5,000 megawatts of electricity from Gulf Energy Development, a major private power producer, back in 2012.

According to COFACT’s fact-checking, the power purchase agreement for 5,000 megawatts of electricity with Gulf Energy Development was signed during the Yingluck Shinawatra administration. However, it may only partially be accurate to attribute the currently high electricity prices solely to this agreement, as other factors, such as fuel prices and electricity usage during different times of the day, also play a significant role. This case highlights the tendency of political parties to use partially accurate information to attack their opponents during election campaigns instead of focusing on their own policy formulation and proposals.

Read more : ค่าไฟแพงเพราะอะไร คำตอบไหนเชื่อถือได้? 

4. Conspiracy Theories and False Connections

In the past few years, there has been widespread dissemination alleging that the United States had been interfering in Thai politics through the civil society organisations that receive funding from the US government. This belief has been propagated again in connection with the upcoming Thai general election on 14 May 2023.

COFACT has found that these accusations originate from the analysis of Brian Berletic, an American independent geopolitical analyst based in Thailand. According to Berletic, the US government has been meddling in Thai politics in order to remove governments that obstruct US interests and replace them with ones that are more “compliant.” Berletic claimed that this interference is carried out through funding civil society organisations that promote human rights and democracy, such as the Internet Law Reform Dialogue (iLaw), the Thai Lawyers for Human Rights, and the Union for Civil Liberty. He specifically singles out the National Endowment for Democracy (NED) as a “Civic version of the CIA” using human rights and democracy as a cover for covert operations of the US government to interfere in the internal affairs of other countries.

Berletic also claimed the partnership between the Election Commission of Thailand (ECT) and iLaw in election monitoring would allow US-affiliated organisations to intervene in Thailand’s elections.

His analysis was then spread through social media platforms by pro-Prayuth news outlets and organisations, such as Top News and the Thai Move Institute, as well as political figures like Mr Somchai Swangkarn. 

While individuals are entitled to express their political views and analysis, the allegation that the United States is interfering in Thailand’s elections through NGOs like iLaw is unsubstantiated and based on conspiracy theories. It is essential to distinguish between opinions and facts before accepting or sharing information.

Read more : กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”  

5. Creating false or misleading information

Spreading false or misleading information is commonplace in politics, with information being created to tarnish the reputation and credibility of opponents during elections and the policies of political parties being twisted to undermine their popularity. 

For example, there has been an allegation that the Move Forward Party (MFP) plans to launch a policy to cut retirement benefits for civil servants and that their policy to abolish mandatory military service would leave Thailand defenceless.

In mid-April 2023, false news spread regarding Cambodia’s military drills near the Thai border and a clip of Prime Minister Hun Sen’s speech warning of war with neighbouring countries if his government was not in power. COFACT has confirmed that the clips of the military drills and the Prime Minister’s speech were old but repurposed and shared as new. Meanwhile, the embassy of Cambodia in Bangkok confirmed that no military exercises were conducted along the border. The content circulating on social media regarding the military drills is thus false.

It is possible that people behind the fabrication and disinformation of the fake news regarding Cambodia’s military exercises, as well as the alteration of Cambodian Prime Minister Hun Sen’s statements, may have intended to mislead the public and create a false perception towards MFP’s policy to reform the military and abolish mandatory military service. This could also be a response to the party leader’s question, “Why do we still have a military?

The dissemination of this false information is an explicit example of how politically-driven motives can exploit sensitive issues concerning national security and international relations without considering the broader and far-reaching consequences beyond the results of an election.

Read more: คลิป “กัมพูชาซ้อมรบ” และ “ฮุน เซนขู่สงครามปะทุ” มาจากไหน เกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยอย่างไร

COFACT predicts that using distorted information and disseminating political disinformation will continue even after the general election on May 14, 2023, with more diverse and widespread content. While blocking and controlling the source of false information is challenging, the public can keep up with the news by distinguishing between opinions and facts and assessing the accuracy and credibility of the information before believing or sharing it, regardless of its source, from either government or non-governmental organisations.

ABOUT COFACT THAILAND

Cofact project or COFACT (Collaborative Fact Checking) was inspired by the efforts of the civil society network in Taiwan, who believe in people’s power in dealing with the dark side of information by creating an open platform that anyone from any sector can help in fact-finding, preventing any side to hold the absolute truth alone. It is because facts could change over time and other relevant factors.

In mid-2019, the civil society in Thailand held the “International Conference on Fake News” led by the association of eight organisations such as the Thai Media Fund, the Thai Health Promotion Foundation, Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF), the Thai Public Broadcasting Service, the National Press Council of Thailand, SONP, the Faculty of Communication Arts of Chulalongkorn University, and the Faculty of Journalism and Mass Communication of Thammasat University.  

At this conference, all eight organisations signed the declaration to join forces in fighting disinformation. This event was attended by  Taiwan’s Digital Minister Audrey Tang, the Digital Minister of Taiwan, who was a keynote speaker and shared her experience in prototyping Cofact of Taiwan. This led to the cooperation and consequently led to Thailand’s Cofact project.

Follow COFACT on:

Website: https://blog.cofact.org/

Facebook: https://www.facebook.com/CofactThailand

Twitter: @CofactThailand

TikTok:  @cofactthailand