ข้อความทางไลน์อ้างสภาสูงสหรัฐฯ ผ่านสาระสำคัญร่างข้อมติแทรกแซงกิจการการเมืองไทยเป็นข้อมูลคลาดเคลื่อน งดแชร์!

Top Fact Checks Political
เนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิด

ตามที่ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ข้อความทางบัญชีส่วนบุคคลในไลน์ส่งต่อกันมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ว่าสาระสำคัญของร่างข้อมติของรัฐสภาสหรัฐ S-Res. 114 และ ร่างข้อมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ H-Res.369 ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยของพลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา ให้ความคุ้มครองและเคารพประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และเสรีภาพในการแสดงออก ได้ผ่านความเห็นชอบจากทางวุฒิสภาสหรัฐทั้งสองร่างแล้ว ทั้งยังเรียกร้องให้มีการส่งข้อความต่อไปในเชิงปลุกกระแสชาตินิยมว่า “ส่งต่อคนไทยหัวใจรักชาติด่วน”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของรัฐสภาสหรัฐและได้สอบถามกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคำยืนยันว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ร่างข้อมติทั้งสองร่างยังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ยังไม่มีการพิจารณาหรือผ่านข้อมติแต่อย่างใด โดยกระทรวงการต่างประเทศ และ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน กำลังติดตามพัฒนาการในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

กรมสารนิเทศชี้แจงว่าร่างข้อมติฯ ทั้งสอง ยังคงเป็นการแสดงท่าทีส่วนบุคคลของ ส.ส. และ ส.ว. สหรัฐฯ บางราย มิใช่ท่าทีทางการของรัฐสภา รัฐบาลสหรัฐฯ หรือท่าทีของสหรัฐฯ ในภาพรวมแต่อย่างใด ทั้งยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ข้อมติในลักษณะนี้ไม่ได้สร้างพันธะผูกพันทางกฎหมายให้รัฐบาลสหรัฐต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

สาระสำคัญของร่างข้อมติทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน โดย ร่างข้อมติ S.Res.114 ซึ่งนำเสนอโดยวุฒิสมาชิก เอ็ดเวิร์ด เจ มาร์คีย์ และ วุฒิสมาชิก ดิ๊ก เดอร์บิน สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศวุฒิสภาสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องคุ้มครองประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสันติ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และวัตถุประสงค์อื่นๆ

ส่วน ร่างข้อมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ H.RES.369 ซึ่งนำเสนอโดย ส.ส.ซูซาน ไวลด์ สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่  5 พฤษภาคม 2566 เน้นย้ำความสัมพันธ์ทวิภาคีของไทยและสหรัฐฯ และมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมเรื่องจากร่างแรกในเรื่องให้ปกป้อง คุ้มครองและเคารพสิทธิประชาชนข้างตัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยด้วย  นอกจากนี้ร่างทั้งสองยังมีการเท้าความถึงสถานการณ์ทางการเมือง ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่าถดถอยลงภายหลังการเลือกทั่วไปปี 2562 รวมถึงวิพากษ์รัฐบาลไทย กองทัพและบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงที่อาจส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดความไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตามโคแฟคได้ติดตามการนำเสนอข่าวและความเห็นเกี่ยวกับเรื่องร่างข้อมติดังกล่าวในสื่อกระแสหลักและบัญชีบุคคลในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า

1) ข้อมูลที่ถูกนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่วนใหญ่อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสมาชิกและประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โดยมีเนื้อหาและความเห็นไปในทางที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดที่ว่า ภาคประชาสังคมไทยร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ แทรกแซงการเมืองไทยและการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ พร้อมสรุปสาระของร่างข้อมติทั้งสองร่างด้วย ทั้งนี้แนวคิดเรื่องสหรัฐแทรกแซงการเมืองไทยอยู่ในกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมาก่อนหน้าการเลือกตั้งแล้ว เช่นเดียวกับทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงทางการเมืองของจีนและรัสเซียที่ถูกพูดถึงในพื้นที่การเมือง สื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565

2) มีการนำเสนอเรื่องร่างข้อมติของรัฐสภาสหรัฐ ผ่านสื่อที่มีทัศนะในเชิงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลและต่อต้านฝ่ายค้านและการสื่อสารช่องทางอื่นๆ ของสื่อเหล่านี้ อย่างชัดเจน ในขณะที่การถกเถียงเรื่องนี้ในพื้นที่สื่อกระแสหลักทั่วไปมีน้อยมาก ยกเว้นไทยพีบีเอส

3) ช่วงเวลาที่มีการนำเสนอเรื่องนี้เกิดขี้นก่อนการเลือกตั้งประมาณสามอาทิตย์ และถี่ยิ่งขึ้นก่อนวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566

4) การตอกย้ำความคิดเรื่องทฤษฎีสมคบคิดกลับมาอีกครั้งหลังการเลือกตั้งผ่านไป ผ่านบทความและข่าวที่นำเสนอโดยสื่อกลุ่มเดิม

5) การพาดหัวข่าวของบางสื่อในกลุ่มนี้ ยังใช้คำที่ปลุกกระแสชาตินิยม เช่น  “…คนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง” หรือ “ …ร้ายสุดมีคนไทยสมคบคิด เปิดบ้านให้ต่างชาติเผาเมือง”

โคแฟคเคารพในหลักการสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในระบอบประชาธิปไตย และแม้ว่าเรื่องร่างข้อมติฯ ดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง แต่การสื่อสารของฝ่ายไทยที่ไม่เห็นด้วยกับร่างข้อมติดังกล่าวออกมาในเชิงให้ความเห็นฝ่ายเดียวในช่วงก่อนการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนประเด็นที่สหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโอที่ทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีคบคิดที่ยังไม่มีข้อสรุป และต้องการพื้นที่สาธารณะเพื่อถกเถียงกันกันอย่างรอบด้านและให้ความรู้ความกระจ่างโดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น การเมือง การทูตและ รัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเมืองที่มีความอ่อนไหวและล่อแหลม

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อความดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าร่างข้อมติทั้งสองร่างได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ แล้ว  ขอให้ผู้ใช้สื่อสังออนไลน์หยุดแชร์ และเปิดรับฟังความเห็นจากแหล่งข่าวที่หลากหลาย และทางโคแฟคจะติดตามความคืบหน้าของร่างข้อมติทั้งดังกล่าวและนำเสนอข้อถกเถียงในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดดอย่างรอบด้าน ผ่านรายงานและบทความอย่างต่อเนื่องในลำดับต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง

  • ส.ว. สหรัฐอเมริกาเสนอมติเข้าวุฒิสภาอเมริกา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย 20 เม.ย. 66, https://tlhr2014.com/archives/55359
  • ส.ส.สหรัฐอเมริกา เสนอมติสภาผู้แทนราษฎรเข้ารัฐสภา เรียกร้องรัฐบาลไทยรักษาหลักการประชาธิปไตย-จัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและเป็นธรรม, 11 พ.ค. 66, https://tlhr2014.com/archives/55940
  • ส.ว.ไทยกังวล “สหรัฐอเมริกา” แทรกแซงเลือกตั้ง | มุมการเมือง | 10 พ.ค.66, https://www.youtube.com/watch?v=w9F80I_OKf4“ส.ว.สมชาย”เตือนสติกกต.หยุดทันที ดึงไอลอว์ตรวจสอบเลือกตั้งไทย, 24 เม.ย. 66 https://www.topnews.co.th/news/676966
  • ‘ส.ว.สมชาย’ เปิดหน้าคุยทูตสหรัฐฯ รับรู้ขบวนการใส่ร้ายสถาบัน ผ่านกองทุน NED, 4 พ.ค. 66  https://www.thaipost.net/politics-news/371804/
  • “ส.ว.สมชาย” แฉกลุ่มคนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง 11 พ.ค. 66, https://news1live.com/detail/9660000043752
  • “ส.ว.สมชาย” แฉกลุ่มคนไทยชักศึกเข้าบ้าน ดึงสภาสหรัฐฯ แทรกแซงเลือกตั้ง, 11 พ.ค. 66, https://mgronline.com/onlinesection/detail/96000043752
  • “ส.ว.สมชาย”แฉหลักฐานซ้ำอเมริกา พร้อมแทรกแซงอธิปไตย ร้ายสุดมีคนไทยสมคบคิด เปิดบ้านให้ต่างชาติเผาเมือง, 12 พ.ค. 66,  https://www.topnews.co.th/news/698585
  • USA หยุด เผือก การเมืองไทย I กวนน้ำให้ใส I 15 พ.ค 66,   https://www.naewna.com/politic/columnist/55134
  • ทูตสหรัฐออกตัวแรงอยากเห็นผลเลือกตั้งไทย ปั่นแทรกแซงพม่าไม่สำเร็จ ลุ้นก้าวไกลเป็นเครื่องมือ | STALKER I 16 พ.ค. 66 https://www.youtube.com/watch?v=sNAeuRf3F6I

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพ ใช้เบอร์ 082-810-3575 โทรหลอกให้ล็อกอินเข้าเพจกระทรวง หลงเชื่อมาหลายราย ถูดดูดเงินเกลี้ยงบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/46tbbn2d6hru


ไม่ควรรับประทานหน่อไม้ดิบ มันฝรั่งดิบ และมันสำปะหลังดิบ โดยเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/110p7vvnkxaml


น้ำผึ้งช่วยรักษาแผลในช่องปากได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dfqxfzt1jay3


กระโดดเชือก สามารถช่วยลดน้ำหนักได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q50qntygk9sy


‘เลือกตั้ง 2566’ สื่อพยายามทำหน้าที่เป็นกลาง-สร้างความโปร่งใส แต่คำถามใหญ่อยู่ที่บทบาทของ ‘กกต.’

Editors’ Picks

10 พ.ค. 2566 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ โคแฟค (ประเทศไทย) จัดงานเสวนา Media Forum #19 ในวาระวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก (World Press Freedom Day) หัวข้อ “โค้งสุดท้าย สื่อกับการเลือกตั้ง ปี 66 : แนวปฏิบัติ vs ความเป็นจริง” โดยเป็นการจัดงานในรูปแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom ถ่ายทอดผ่านเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ,สภาองค์กรของผู้บริโภค และ Ubon Connect 

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวเปิดงาน ระบุว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ประกาศใช้แนวปฏิบัติเรื่องการนำเสนอข่าว ภาพข่าวการเมืองและการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา  ทั้งที่คิดทำตั้งแต่ช่วงยุบสภา แต่กระบวนการยกร่างใช้เวลา เพราะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญจะเน้นที่การนำเสนอข่าวต้องครบถ้วนรอบด้าน ทั้งนี้คณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีความกังวลกับการที่สื่อนำเสนอเนื้อหาจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และพรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ว่าสื่อได้มีการตรวจสอบเนื้อหามาก-น้อยเพียงใด ทั้งยังมีประเด็นการทำหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกวิพากษ์จารณ์อย่างมากทั้งในส่วนที่มีหลักฐานชัดเจนและที่อาจจะกล่าวหาจนเกินจริง ซึ่งสื่อก็ต้องติดตามตรวจสอบเช่นกัน รวมทั้งการจัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ (ดีเบต) ของตัวแทนจากแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งมีหลายเวทีและประชาชนยังสามารถเข้าไปรับชมย้อนหลังได้ ไปจนถึงการสำรวจความคิดเห็น (โพล) โดยรวมค่อนข้างทำได้ดี แม้หลายโพลจะไม่ได้ทำตามหลักสถิติ เช่น สำรวจผ่านกลุ่มไลน์ แต่ผู้จัดทำโพลก็ พยายามอธิบายวิธีการทำโพลและความน่าเชื่อถือ ไม่ได้นำเสนอแต่ผลอย่างเดียวจนอาจบิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็นเพราะไม่ได้ทำแบบวิทยาศาสตร์

“วันนี้ที่เชิญแต่ละท่านมา อยากเชิญมาช่วยตรวจการบ้านว่าที่เราทำแนวปฏิบัติออกไป สื่อพี่น้องของเราทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิกสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัตินี้หรือไม่-อย่างไร อันนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักที่อยากจะรับฟัง แล้วส่วนอื่น ๆ ก็อยากจะฟังความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย อาจจะช่วยวิเคราะห์-วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อ เพื่อส่งเสียงสะท้อนไปยังพี่น้องสื่อของเราให้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสื่อมวลชนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้” ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

ผศ.ดร.ประกายกาวิล ศรีจินดา วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เลขานุการคณะยกร่างแนวปฏิบัติสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่องการนำเสนอข่าว ภาพข่าวการเมืองและการเลือกตั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่มีการเลือกตั้ง องค์กรวิชาชีพสื่อ ยังไม่เคยมีแนวปฏิบัติเรื่องการรายงานข่าวเรื่องนี้มาก่อน ในขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีแนวปฏิบัติเรื่องเดียวกันออกมาอาจด้วยเหตุที่ใกล้ถึงวันเลือกตั้ง 

ทั้งนี้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เห็นว่า แนวปฏิบัติทีเกิดจากการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพ น่าจะมีความชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่าการกำกับดูแลร่วม อีกทั้งปัจจุบันสื่อมีรูปแบบหลากหลายและควบคุมได้ยาก การมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนไปในทางเดียวกันก็น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงอยากให้สื่อมวลชนร่วมกันใช้แนวปฏิบัตินี้ ที่ร่างโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งผู้ประกอบวิชาชีพสื่อและนักวิชาการจากภายนอก แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ควรทำและส่วนที่ต้องทำ 

“ใน 2 ประเด็นนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ควรนำเสนอ หรือประเด็นที่ต้องนำเสนอก็ตาม อย่างเช่นการนำเสนอหรือเผยแพร่โพล หรือนำเสนอข้อมูลอย่างที่ผ่านมา อาจจะนำเสนอแค่ผล จำนวนอาจจะไม่ครบถ้วนตามหลักวิชาการ เช่น ไม่ได้บอกว่าข้อมูลการสำรวจมีความน่าเชื่อถือ หรืออ้างแหล่งข้อมูลของประชากร แต่การรายงานการสำรวจทุกครั้งควรจะชัดเจน เพื่อให้ผู้เห็นผลรู้ว่ามาจากแหล่งประชากรที่หลากหลายหรือน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่” ผศ.ดร.ประกายกาวิล กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ที่ปรึกษาพิเศษ บริษัท เนชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน กล่าวว่า ย้อนไปในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ในครั้งนั้น กกต. มีความร่วมมืออย่างหลวมๆ กับสื่อมวลชน โดยบทบาทหลักอยู่ที่ กกต. ในขณะที่สื่อแทบจะทำเพียงรับทราบเท่านั้น ซึ่งก็เป็นอย่างที่ทราบกันว่าเป็นฝันร้ายทั้งของสื่อและสังคม ทำให้ผลคะแนนเลือกตั้งที่ออกมาขาดความน่าเชื่อถือ ส่วนการเลือกตั้งในปี 2566 กกต. ประกาศแต่แรกแล้วว่าไม่ทำแอปพลิเคชั่น แต่ก็มีระบบรวบรวมคะแนนเป็นการภายใน และจะประกาศผลภายใน 5 วัน 

ซึ่งก็มีคำถามว่าระหว่าง 5 วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งก่อนๆ สื่อมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพื่อรายงานผลเลือกตั้งแบบ Real Time กันอยู่แล้วตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีโทรทัศน์ระบบดิจิทัล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น สถาบันการเงิน บริษัทด้านโทรคมนาคม กระทั่งล่าสุดในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับรายงานคะแนนแบบ Real Time ขึ้นมา โดยผู้ใช้งานสามารถกดบันทึกคะแนนได้ทันทีที่ผู้นับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งขานคะแนนจากบัตรเลือกตั้ง

จากการทดลองใช้กับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม. ในวันเดียวกัน พบว่า ไม่มีปัญหาระบบล่ม และไม่กี่ชั่วโมงก็พอจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการแล้ว แต่ความท้าทายอยู่ที่การเลือกตั้ง ส.ส. มีความใหญ่กว่าในแง่ของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง โดยในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นั้นมีอาสาสมัครช่วยบันทึกคะแนนจำนวน 2,500 คน จาก 8,000 หน่วยเลือกตั้ง เฉลี่ย 3-4 หน่วยต่ออาสาสมัคร 1 คน แต่เอาเข้าจริงก็มีอาสาสมัครได้เพียงครึ่งหนึ่งจากที่ต้องการเท่านั้น ขณะที่การเลือกตั้ง ส.ส. จะมีหน่วยเลือกตั้งมากถึง 95,000 หน่วย

“กกต. ชุดนี้ทั้ง 6 ท่าน สื่อไม่ทราบเลยว่าแบ่งหน้าที่อย่างไรกัน เวลาติดต่อก็ไม่รู้จะถามใคร แล้วผมคิดว่า กกต. ยุคนี้สื่อเข้าถึงข้อมูลได้น้อยมาก ยกเว้นว่า กกต. จะเปิดให้ ถึงจะได้ สื่อพยายามถามทุกปัญหา แต่ยากที่จะได้ถามได้พบได้เห็นหน้า กกต. ทั้ง 6 คน ยกเว้นเห็นรูปข่าวกรณีไปทัวร์ต่างประเทศ นอกนั้นไม่เคยเจอ จะเจอท่านประธานอิทธิพร (บุญประคอง) ออกมาเป็นครั้งๆ บ้าง” อดิศักดิ์ กล่าว

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการบริหาร โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ขอร่วมเป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้งแล้วกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่ง หากบ้านเมืองเป็นปกติ กกต. ตั้งใจทำงาน ก็คงไม่ต้องมีภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่า iLaw , Vote62 หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องระดมกำลังกันเพื่ออุดช่องโหว่ปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องย้ำว่า การเลือกตั้งในปี 2566 ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างที่ไม่ปกติ 3 ประการ คือ 

1.ระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไป-มาถึง 5 ครั้ง เรียกว่ากว่าจะมีกฎหมายเลือกตั้งต้องรอถึงวันที่ 28 ม.ค. 2566 และกว่าจะได้มาก็เกิดปัญหาการประชุมสภาล่มอยู่หลายครั้ง การแบ่งเขตเลือกตั้งก็ต้องทำใหม่ถึง 3 รอบ กว่าจะเรียบร้อยก็เป็นวันที่ 17 มี.ค. 2566 หรือไม่ถึง 2 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. จะเตรียมตัวกันไม่ทัน 

2.ยังเป็นโครงสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะคณะกรรมการในองค์กรอิสระ เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่ คสช. เลือกมา จึงต้องจับตาในประเด็นการตีความว่าอะไรทำได้-ไม่ได้ และ 

3.การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งก็ไม่ง่าย เพราะการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อีก 250 คน นอกจากนั้นยังมีการต่อรองหลังม่านที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมองไม่เห็นและไม่มีส่วนร่วม ดังนั้นอาจมีเงื่อนไขพิเศษที่ไม่ได้เขียนในกฎหมายและไม่ได้ประกาศก่อนการเลือกตั้งเข้ามาเกี่ยวข้อง

ขณะที่ระบบการนับคะแนนของ กกต. ในครั้งนี้ จะให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนับคะแนนให้เสร็จแล้วเขียนลงในใบสรุปผลคะแนนที่เรียกว่าใบ ส.ส.5/18 เป็นกระดาษ A4 1 แผ่น แล้วคนที่หน่วยไม่ต้องกรอกหรือส่งคะแนน แต่ให้นำเอกสารดังกล่าวไปส่งที่สำนักงาน กกต. เขต แล้วจะมีคนกลุ่มเล็กๆ ในสำนักงาน กกต. เขต กรอกข้อมูลเข้าระบบ Google Drive เพื่อแชร์ต่อให้สื่อมวลชน ตั้งแต่เวลา 18.30-23.00 น. ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียงอย่างละ 3 ประการ

“ข้อดี 3 ประการ 1. ลดจำนวนคนทำหน้าที่กรอก จึงลดโอกาสเสี่ยงผิดพลาด 2. จะใช้ Google Drive อย่างน้อยก็น่าจะอ้างระบบล่มไม่ได้ หวังว่าคงไม่มีใครแฮ็ก Google Drive 3.มีการเขียนในระเบียบว่าหลังจากเลือกตั้ง 5 วันจะเปิดเผยเอกสารส.ส.5/18 ที่เป็นคะแนนทุกหน่วยขึ้นเว็บไซต์

 ส่วนข้อเสีย 3 ข้อ 1. เนื่องจากคนกรอกมีจำนวนลดลง ดังนั้นโอกาสทุจริตก็ง่ายขึ้น เพราะจำนวนคนน้อยและไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นหน้าตาเป็นอย่างไร 2.กกต. แจ้งแล้วว่าในการรายงานผลตั้งแต่ 18.30-23.00 น. ไม่รายงานบัตรเสียและบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน  ไม่มีเหตุผลอธิบาย และเข้าใจไม่ได้ว่าอีก 2 ช่องทำไมไม่กรอกลงไป 3.กกต. ยืนยันว่าจะรายงานผลคะแนนในคืนวันเลือกตั้งแค่ 94% ส่วนอีก 6% คือประมาณ 2 ล้าน จะเก็บไว้ก่อนแล้วก็ไม่บอกว่าเมื่อไรจะบอก ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันออกไปดูการนับคะแนนหน้าหน่วย”  ยิ่งชีพ กล่าว 

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างระหว่างการเลือกตั้งปี 2562 กับปี 2566 คือในการเลือกตั้งปี 2562 ขั้วการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายมีจำนวนผู้สนับสนุนใกล้เคียงกันวัดจากผลคะแนนเลือกตั้งที่ออกมา แต่การเลือกตั้งปี 2566 กระแสชี้ว่าประชาชนมีแนวโน้มไม่สนับสนุนขั้วการเมืองที่เป็นรัฐบาลปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้ดูเหมือนสื่อมวลชนจะขยับไปทางพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมากขึ้น แม้สื่อจะพยายามทำหน้าที่อย่างเป็นกลางด้วยการให้พื้นที่กับพรรคการเมืองทุกขั้วก็ตาม

โดยข้อสังเกตจากการเลือกตั้งปี 2566 มี 4 เรื่อง คือ 1.มีการจัดเวทีดีเบตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากสื่อต้องแข่งขันชิงเรตติ้ง ข้อดีคือกระตุ้นการมีส่วนร่วมอีกทั้งหากพลาดช่วงออกอากาศสดก็ยังรับชมย้อนหลังได้ แต่ประเด็นชวนคิดคืออะไรเป็นโจทย์ของการดีเบต สื่ออาจไม่ได้ตั้งคำถามว่าอะไรคือเป้าหมายที่ต้องการ ระหว่างการให้ความรู้และข้อมูลกับประชาชนในแง่นโยบายกับการกระตุ้นความสนใจด้วยเรตติ้งถึงขนาดที่บางสื่อทำเหมือนเกมโชว์หรือตั้งคำถามก่อดราม่า

2.การทำโพล ในอดีตโพลมักมาจากมหาวิทยาลัย แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มีโพลมาจากสื่อหลายสำนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่สื่อจะทำโพล และทุกสำนักก็ให้ความจริงใจในการเปิดเผยว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้อสังเกตคือการนำผลโพลไปเสนอข่าว การพาดหัวซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้กลายเป็นการชูบางพรรคมากเกินไป ซึ่งทั้งสื่อและโพลมีผลโน้มน้าวการตัดสินใจของประชาชนได้ จึงอยากให้ใช้ความระมัดระวัง

3.ความเป็นกลาง เห็นได้ชัดว่าสื่อมีความพยายามอย่างมาก ทั้งการไม่ค่อยพบการสาดโคลนใส่กัน แต่มีการเปิดพื้นที่ให้มาก ซึ่งบางครั้งก็ทราบว่าบางพรรคได้พื้นที่น้อยเพราะไม่ส่งตัวแทนมาร่วมเวทีดีเบต แต่อีกมุมหนึ่งกับการที่สื่อขยับตามกระแสสังคมที่หันไปเชียร์พรรคฝ่ายค้าน ก็ทำให้สามารถมองเห็นการนำเสนอไปในทางนั้น หากตรงกับใจเราก็อาจไม่ได้คิดมาก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องทบทวน เห็นจากบางเวทีของสื่อบางสำนัก รู้ได้เลยว่าผู้สมัครจากบางพรรครู้สึกอึดอัด และทราบว่ามีบางพรรคปฏิเสธไปร่วมรายการจากเหตุเพราะพิธีกรผู้ดำเนินรายการ 

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าสื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง สื่อมีสิทธิ์เลือกเชียร์ได้แต่ต้องชัดเจน แต่ที่เห็นคือสื่อพยายามให้พื้นที่พรรคการเมืองเท่ากันซึ่งก็เป็นสิ่งที่ชื่นชม และคิดว่า ณ วันนี้สื่อไทยพัฒนาขึ้นไปเยอะมาก และ

 4.อยากเห็นสื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้มากขึ้น เช่น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิภาพและความจริงใจในการทำงานของ กกต. หรือเหตุใดการเข้าถึงกรรมการ กกต. ทั้ง 6 ท่านจึงยากมาก โดยปัจจุบันเมื่อพูดถึง กกต. จะเห็นแต่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เสียมากกว่า

“เราเห็นข่าวคุณชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์) ซึ่งก็ไม่รู้จะทำหน้าที่เป็นสื่อหรือเป็นอะไร ออกมาเปิดโปงเรื่องการขนคนสูงอายุออกมาเลือกตั้งล่วงหน้าในบางพื้นที่ ซึ่งจริงๆ เป็นคนติดพื้นที่อยู่ ทำไมต้องเลือกตั้งล่วงหน้า แต่เราไม่เห็นการสานต่อของการทำข่าวแบบนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่อยากเห็น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าขอมากไปหรือเปล่าเพราะสื่อก็ทำหน้าที่เยอะแล้ว” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว

ในช่วงท้าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวปิดการเสวนา ว่า การเลือกตั้งทุกครั้งมีมิติใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างครั้งนี้คือบทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2562 และแม้วงเสวนาวันนี้จะเน้นจับตาบทบาทของสื่อมืออาชีพ แต่ตัวแปรสำคัญอยู่ที่สื่อสังคมออนไลน์ อย่างล่าสุดมีสงครามเรื่องเล่าผ่านคลิปวีดีโอในยูทูบ หรือในฟิลิปปินส์ที่คลิปวีดีโอในติ๊กต๊อกมีผลกับการแพ้-ชนะการเลือกตั้ง เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องดูกันต่อไป

“ในมหาสมุทรของข้อมูลข่าวสาร มันมีเยอะแยะไปหมด สังคมก็คาดหวังสื่อที่ตัวเองเชื่อถือได้ สื่อมืออาชีพ หรือเราจะเรียกว่าสื่อเดิมหรือสื่อหลักในการที่จะกลั่นกรอง ปัญหาข้อมูลลวงอันนี้คือเกิดขึ้นเยอะมาก แล้วอาจมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งได้เหมือนกัน แต่สื่ออาจจะรู้สึกว่าคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริง แต่จริงๆ มันก็ลำบากเหมือนกันเพราะว่าเขาก็อาจจะนำเสนอกันในแต่ละแพลตฟอร์ม เวทีวันนี้อาจจะไม่ได้เน้นที่สื่ออย่างเดียว เน้นที่การตรวจสอบ กกต. ไปด้วย ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเปิดมุมมองและสะท้อนแนวคิด” สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

กต.-โคแฟค ร่วมต้านข่าวปลอม

Editors’ Picks

กรมสารนิเทศ กระทรวงต่างประเทศ หารือ โคแฟค (ประเทศไทย) พร้อมร่วมมือต้านข่าวปลอม

10 พค. 2566

นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ พร้อมด้วยผู้บริหารกรมสารนิเทศ หารือกับน.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) บรรณาธิการ ที่ปรึกษาโคแฟค และทีมงาน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและแสวงหาความร่วมมือในการจัดการกับปัญหาข่าวปลอม โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น การทูตดิจิตอล การร่วมกันต่อต้านข่าวปลอมที่อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน  และภาพลักษณ์ของประเทศ การพิจารณาแนวโน้มในอนาคตต่อการจัดการกับความท้าทายจาก AI โดยเฉพาะข่าวที่ผลิตโดย AI การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็นดิจิตัล การป้องกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย การป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอมเพื่อลวงล่อคนไปทำงานต่างประเทศ การป้องกันการยุยงให้เกิดความเกลียดชังข้ามวัฒนธรรมหรือข้ามชาติผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้แบ่งปันข้อมูล และประสบการณ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีด้านการป้องกันและต่อต้านข่าวปลอมทั้งในไทย และในต่างประเทศของฝ่ายรัฐ ภาคประชาสังคม และสำนักข่าวต่างประเทศ

อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า ความสำคัญของการป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอม การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งกรมสารนิเทศและโคแฟค (ประเทศไทย) จะร่วมมือกันอย่างแข็งขันต่อไป.-สำนักข่าวไทย        


ขอบคุณที่มาข่าว : สำนักข่าวไทย

‘ปลอมเสียงคนรู้จัก’ เทคโนโลยี‘AI’ก้าวหน้า..เอื้อ ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยหลอกเหยื่อแนบเนียน

By : Zhang Taehun

“ฟังนะ! ฉันจับตัวลูกสาวของแกไว้ แล้วถ้าแกโทร.หาตำรวจหรือใครก็ตาม ฉันจะอัดยาให้หล่อนแบบจัดเต็มแล้วจะเอาหล่อนไปทิ้งไว้ที่เม็กซิโกแน่”

“แม่! ช่วยหนูด้วย..ช่วยด้วย”

เรื่องเล่าจาก เจนนิเฟอร์ เดสเตฟาโน (Jennifer DeStefano) คุณแม่ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชน โดยสถานีโทรทัศน์ WMTV Channel15 สื่อท้องถิ่นเมืองเมดิสัน มลรัฐวิสคอนซิน ได้รายงานข่าวนี้เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 เตือนสังคมไว้เป็นอุทาหรณ์ เมื่อจู่ๆ เดสเตฟาโน ก็ได้รับสายโทรศัพท์หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายคนหนึ่งกำลังตะคอกใส่เด็กสาวที่มีน้ำเสียงหวาดกลัว

“ไสหัวแกไปนั่งข้างหลังเลย แล้วก้มหัวลงด้วย”

ด้วยความที่ลูกสาววัย 15 ปีเพิ่งออกไปเล่นสกี ผู้เป็นแม่อย่าง เดสเตฟาโน กลัวว่าลูกจะเกิดอุบัติเหตุ จึงรับสายนั้นและฟังสิ่งที่ปลายสายพูด ชายปริศนาบอกว่าได้จับตัวลูกสาวของเธอไว้พร้อมกับเรียกค่าไถ่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อคุณแม่บอกว่าไม่มีเงิน คนร้ายก็ลดลงมาเหลือที่ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ โดยในเวลานั้น เดสเตฟาโน อยู่ในชั้นเรียนเต้นรำที่ลูกสาวอีกคนกำลังเรียนอยู่ 

และเมื่อคุณแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ ได้ยิน ก็พยายามช่วยกันตรวจสอบ มีบางคนแจ้ง 911 (สายด่วนตำรวจของสหรัฐฯ เหมือนกับ 191 ของไทย) อีกหลายคนก็พยายามติดต่อสามีของเดสเตฟาโน จนสุดท้ายก็โล่งอกเพราะ การลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ลูกสาววัย 15 ของเธอยังปลอดภัยสบายดีในห้องพัก แต่สิ่งที่ยังค้างคาในใจของคุณแม่รายนี้คือ เสียงปลายสายที่ขอความช่วยเหลือนั่นเหมือนกับเสียงของลูกสาวมาก จนทำให้ไม่เอะใจใดๆ 

ก่อนหน้านั้นเพียง 1 เดือน ในวันที่ 5 มี.ค. 2566 หนังสือพิมพ์ The Washington Post หนึ่งในสื่อเก่าแก่และมีชื่อเสียงในสหรัฐฯ เผยแพร่เรื่องราวของ รูธ คาร์ด (Ruth Card) หญิงชราวัย 73 ปี ชาวเมืองเรจินา รัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ที่วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์ ปลายสายบอกว่าตนเองคือ แบรนดอน (Brandon) หลานชายของเธอ กำลังย่ำแย่เพราะถูกจับและถูกควบคุมตัวในห้องขัง และต้องการเงินมาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการยื่นขอประกันตัว 

หญิงชราเดินทางไปถอนเงินจำนวน 3,000 เหรียญแคนาดา หรือ 2,207 เหรียญสหรัฐ ในสาขาแรกของธนาคาร จากนั้นพยายามไปสาขาที่สองเพื่อขอถอนเงินเพิ่ม แต่ผู้จัดการธนาคารได้เข้ามาขัดจังหวะ พร้อมกับเล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยมีลูกค้ารายหนึ่งได้รับโทรศัพท์ลักษณะเดียวกัน แต่มั่นใจว่าเสียงนั้นน่าจะถูกปลอมแปลงขึ้น จากคำเตือนของผู้จัดการธนาคาร คาร์ดเริ่มเอะใจว่าบางทีคนที่โทรศัพท์หาตนเองอาจไม่ใช่หลานชายก็ได้ โชคยังดีที่ไม่เสียเงิน แต่ก็รู้สึกอับอาย กระทั่งตัดสินใจออกมาให้ข้อมูลกับสื่อเพื่อเตือนภัยกับคนอื่นๆ ในสังคม

ข้อมูลจาก คณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าแห่งสหพันธรัฐ  (FTC) ของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา การหลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นคนใกล้ชิด ญาติสนิทมิตรสหายของเหยื่อ มีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ โดย FTC ได้รับรายงานมากถึง 36,000 ครั้ง ในจำนวนนี้ 5,100 ครั้งเป็นการก่อเหตุทางโทรศัพท์ มูลค่าความเสียหายโดยรวมสูงถึง 11 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่น่าเป็นห่วงคือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าขึ้นแต่มีราคาที่ถูกลง นั่นทำให้มิจฉาชีพสามารถนำมาใช้ปลอมเสียงได้อย่างแนบเนียน 

มิจฉาชีพค้นหาเสียงของเป้าหมายจากไหน? ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล ศาสตราจารย์ฮานี ฟาริด (Prof.Hany Farid) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (UC Berkeley) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย อธิบายการทำงานของซอฟต์แวร์ AI สร้างเสียงเลียนแบบ ว่า AI จะวิเคราะห์สิ่งที่ทำให้เสียงของบุคคลนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ สำเนียง และค้นหาฐานข้อมูลเสียงขนาดใหญ่เพื่อค้นหาเสียงที่คล้ายกันและทำนายรูปแบบต่างๆ จากนั้นจึงสามารถสร้างระดับเสียง เสียงต่ำ และเสียงเฉพาะบุคคลของเสียงคนคนหนึ่งเพื่อสร้างเอฟเฟกต์โดยรวมที่คล้ายคลึงกันตัวอย่างเสียงนั้นสามารถหาได้จากหลายๆ แหล่ง ไม่ว่าจะเป็นยูทูบ พอดแคสต์ โฆษณา ติ๊กต๊อก อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก เมื่อ 2 ปีก่อน แม้กระทั่งปีที่แล้ว คุณยังต้องการตัวอย่างเสียงจำนวนมากเพื่อเลียนแบบ แต่ตอนนี้แค่คุณมีเพจเฟซบุ๊ก หรือหากคุณบันทึกวีดีโอในติ๊กต๊อก และเสียงของคุณอยู่ในนั้นเป็นเวลา 30 วินาที ผู้คนก็สามารถลอกเลียนแบบเสียงของคุณได้แล้วฟาริดระบุ

รายงานของ The Washington Post ยังได้กล่าวถึงกรณีของ เบนจามิน เพอร์กิน (Benjamin Perkin) ชายวัย 39 ปี ถูกมิจฉาชีพปลอมเสียงโทรศัพท์ไปหลอกพ่อแม่ อ้างว่าเป็นทนายความกำลังหาทางช่วยเขาที่เป็นผู้ต้องหาคดีอุบัติเหตุขับรถชนนักการทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต โดยต้องการเงินจำนวน 21,000 เหรียญแคนาดา หรือ 15,449 เหรียญสหรัฐ เป็นค่าธรรมเนียมในกระบวนการยุติธรรม และแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโอนเงินไปตามที่ปลายสายกล่าวอ้าง ก่อนจะมารู้ในภายหลังว่าถูกหลอก เมื่อเพอร์กินโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ในคืนวันเดียวกัน

หลังทราบเรื่อง ครอบครัวได้เข้าแจ้งความกับสำนักงานตำรวจของรัฐบาลกลางแคนาดา แต่ก็ไม่ได้เงินคืน อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวไม่ระบุชัดว่ามิจฉาชีพได้ตัวอย่างเสียงของเพอร์กินมาจากที่ใด แต่ก็พบว่า ชายหนุ่มเคยโพสต์คลิปวีดีโอบนเว็บไซต์ยูทูบ พูดถึงงานอดิเรกคือการขี่สโนว์โมบิล ขณะที่ วิล แม็กสัน (Will Maxson) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกการตลาดของ FTC กล่าวว่า การติดตามมิจฉาชีพหลอกลวงด้วยเสียงนั้น “ยากเป็นพิเศษ” เพราะคนเหล่านี้ใช้โทรศัพท์ทำปฏิบัติการจากที่ใดก็ได้ในโลก จึงยากที่จะระบุว่าหน่วยงานใดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ

หากคนที่คุณรักบอกคุณว่าพวกเขาต้องการเงิน ให้พักสายนั้นไว้และลองโทรหาสมาชิกในครอบครัวของคุณแยกกัน หากมีสายที่น่าสงสัยมาจากหมายเลขของสมาชิกในครอบครัว โปรดทราบว่าก็สามารถถูกปลอมแปลงได้เช่นกัน อย่าจ่ายเงินให้ผู้อื่นด้วยบัตรของขวัญ เพราะบัตรเหล่านั้นติดตามได้ยาก และระวังการขอเงินสด แม็กสัน กล่าวเตือน

เช่นเดียวกับรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ Fox News สหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่อ้างความเห็นของ มอร์แกน ไรท์ (Morgan Wright) หัวหน้าที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ SentinelOne บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ความรวดเร็วของการหลอกลวง และความเหมือนของเสียงที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี AI ทำให้มิจฉาชีพได้เปรียบเหยื่อ โดยยกกรณีของ เจนนิเฟอร์ เดสเตฟาโน ที่ถูกหลอกว่าลูกสาวของเธอโดนคนร้ายจับตัวเรียกค่าไถ่ เป็นตัวอย่าง

มิจฉาชีพพบเสียงไม่ว่าจะเป็นบนติ๊กต๊อก เฟซบุ๊ก หรืออะไรก็ตาม เสียงที่มากพอจะสร้างเสียงของลูกสาวขึ้นมาใหม่ได้ แม้ว่านั่นไม่ใช่ลูกแต่มันเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองเชื่อ พวกเขากันคุณออกไปและจะไม่ให้เวลาผู้ปกครองในการตอบสนอง คุณกำลังได้ยินเสียงที่คุณเชื่อว่าเป็นลูกของคุณ และตอนนี้พวกเขามีอำนาจแล้ว เพราะคุณไม่รู้ว่าลูกของคุณอยู่ที่ไหน ไรท์ กล่าว

ความอันตรายของเทคโนโลยี AI ปลอมแปลงเสียงบุคคล ไม่ได้หยุดอยู่แต่เพียงการหลอกลวงทรัพย์สินเงินทองจากปัจเจกเฉพาะราย แต่อาจก่อความปั่นป่วนโกลาหลได้อย่างกว้างขวางในสังคม รายงานจากสำนักข่าว Euronews เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของยุโรปที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2566 ยกตัวอย่างการทดลองใช้เทคโนโลยีนี้เลียนแบบเสียงของ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ให้อ่านออกเสียงข้อความในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf)” งานเขียนของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมัน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

บรรดาผู้เชี่ยวชาญเริ่มเป็นกังวลกับการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การทำให้เชื่อว่านักการเมืองออกแถลงการณ์ที่น่าตกใจทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง หรือเพื่อหลอกลวงผู้คนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่ง แมทธิว ไรท์ (Matthew Wright) ประธานสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า ที่น่าห่วงคือมิจฉาชีพไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างเสียงของเป้าหมายเป็นจำนวนมาก 

คุณลองจินตนาการดูว่าพวกเขาแค่โทรหา แสร้งทำเป็นเป็นพนักงานขาย และบันทึกเสียงให้เพียงพอเพื่อให้ใช้งานได้ และนั่นอาจเป็นเพียงทั้งหมดที่พวกเขาต้องการเพื่อหลอกใครสักคน แมทธิว กล่าว

สำหรับคำเตือนถึงประชาชนทั่วไป แมทธิว แนะนำว่า จงระมัดระวังสายโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิดและพยายามเร่งเร้าเพื่อเพื่อให้โอนเงินเช่น อาจลองถามคำถามที่เป็นส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตน หรืออาจอ้างว่าเดี๋ยวขอติดต่อกลับเอง เพื่อเปิดช่องให้ได้ตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลหรือช่องทางอื่นๆ อาทิ การโทรศัพท์ไปสอบถามบุคคลที่อ้างว่ามาขอให้โอนเงินว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่เราทราบอยู่แล้วก่อนหน้านั้น

ทั้งนี้ เรื่องของมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี AI ปลอมเสียงหลอกเงินเหยื่อนั้นไม่ไกลตัวคนไทยอีกต่อไป โดยเริ่มมีการรายงานผ่านหน้าสื่อ อาทิ สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 พาดหัวข่าว เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน วันที่ 26 ก.ย. 2565 ว่าด้วยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เล่าว่า มีคนอ้างเป็นเพื่อนโทรศัพท์มาขอยืมเงิน 15,000 บาท แถมยังขอให้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้โทร.มา และลบหมายเลขเดิมที่บันทึกไว้ออกด้วย โดยอ้างว่าเปลี่ยนหมายเลขแล้ว

ด้วยความที่ได้ฟังแล้วเชื่อว่าเป็นเสียงของเพื่อน ในตอนแรกผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ก็หลงเชื่อลบหมายเลขโทรศัพท์เก่าออก แต่ก็เริ่มเอะใจเมื่ออีกฝ่ายส่ง SMS มาเป็นบัญชีธนาคารชื่อบุคคลอื่น และเคราะห์ดีที่ยังมีไลน์ของเพื่อนคนดังกล่าวตัวจริง จึงโทรศัพท์ผ่านไลน์ไปสอบถาม จนรู้ว่าถูกหลอกแล้วเพราะเพื่อนคนที่ว่านอกจากจะไม่ได้ขอยืมเงินแล้วยังไม่ได้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์อีกต่างหาก ทำให้ไม่พลาดท่าเสียเงิน และเมื่อนำข้อมูลไปแจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าในไทยมีเหยื่อโดนแบบนี้แล้วหลายราย 

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2566 ในกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานภาพยนตร์สนทนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี โดย 2 นายตำรวจจากกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มาเป็นวิทยากรในงานดังกล่าว คือ พ.ต.ท.ธนธัส กังรวมบุตร และ พ.ต.ท.วัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง ได้ฝากแนวทางรับมือมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นคนรู้จักหลอกยืมหรือขอเงิน ดังนี้

1.โทรศัพท์ไปถามเจ้าตัวก่อนโอน อาจจะเสียเวลา (หรืออาจเจออีกฝ่ายบ่นบ้าง) ก็ยังดีกว่าเสียเงินให้มิจฉาชีพ และย้ำว่า ให้โทรด้วยหมายเลขโทรศัพท์เดิมที่เคยจดไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น อย่าโทรไปหมายเลขใหม่ที่บัญชีนั้นเพิ่งให้มา หรืออย่าโทรโดยผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพราะยังเสี่ยงเจอมิจฉาชีพให้หมายเลขโทรศัพท์หรือบัญชีไลน์ปลอมอีก กับ 2.อย่าโอนเงินถ้าชื่อคนขอเงินกับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน เจอแบบนี้คิดไว้ก่อนได้เลยว่ามิจฉาชีพแน่นอน

ทุกวันนี้เรามีไลน์ ปัญหาที่ตามมาคือเราไม่ค่อยจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันแล้ว สมัยก่อนเราบอกเพื่อน เฮ้ย! ขอเมมเบอร์ไว้หน่อย ปีใหม่-สงกรานต์ก็ส่ง SMS ให้เพื่อน แต่ทุกวันนี้ส่งไลน์ ส่งให้เป็นกลุ่ม โดยที่เราไม่รู้ว่าเพื่อนเราเบอร์โทรอะไร ฉะนั้นกลับไปเมมเบอร์เพื่อน เมมเบอร์ลูกหลานไว้ เผื่อฉุกเฉินได้คุยกัน นายตำรวจวิทยากรทั้ง 2 ท่าน ฝากข้อคิด


อ้างอิง

https://www.nbc15.com/2023/04/10/ive-got-your-daughter-mom-warns-terrifying-ai-voice-cloning-scam-that-faked-kidnapping/ (‘I’ve got your daughter’: Mom warns of terrifying AI voice cloning scam that faked kidnapping : WMTV nbc15.com 11 เม.ย. 2566)

https://www.washingtonpost.com/technology/2023/03/05/ai-voice-scam/ (They thought loved ones were calling for help. It was an AI scam. : The Washington Post 5 มี.ค. 2566)

https://www.foxnews.com/tech/scammers-are-using-your-snapchat-and-tiktok-posts-in-their-ai-schemes (How scammers are using your Snapchat and TikTok posts in their AI schemes : Fox News 23 เม.ย. 2566)

https://www.euronews.com/next/2023/03/25/audio-deepfake-scams-criminals-are-using-ai-to-sound-like-family-and-people-are-falling-fo (Audio deepfake scams: Criminals are using AI to sound like family and people are falling for it : Euronews 25 มี.ค. 2566)

https://www.thaich8.com/news_detail/112669 (เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน : ช่อง 8 26 ก.ย. 2565)

https://blog.cofact.org/forum6604042/ (ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด : เพจ ‘Cofact โคแฟค’ 14 เม.ย. 2566)


5 ประเด็นข่าวลวงการเมืองช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566

สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม, อ้างผลงาน, โยนความผิดให้รัฐบาลในอดีต, ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงแบบผิดๆ และให้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนนโยบายของคู่แข่ง เป็นเนื้อหาของข่าวลวงทางการเมืองที่โคแฟคพบว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566

ข่าวลวงทางการเมือง (political disinformation) หมายถึง ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนที่สร้างขึ้นโดยเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ประสบการณ์จากการเลือกตั้งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์พบว่า ข่าวลวงทางการเมืองถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเอาชนะคู่แข่งในการเลือกตั้ง หรือเพื่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเป็นการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย เนื่องจากการตัดสินใจของประชาชนอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ผิด บิดเบือนและไม่เป็นความจริง

จากการติดตาม เฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวลวงการเมืองนับตั้งแต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้วันที่ 14 พ.ค. 2566 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป โคแฟคพบว่าเนื้อหาของข่าวลวงและข้อมูลที่บิดเบือนที่พบบ่อยมีอย่างน้อย 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ปลุกกระแส “เกลียดกลัวอิสลาม”  

ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ถูกนำมาใช้โจมตีทางการเมืองเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองนั้นให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ รวมทั้งกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการกลืนชาติ” ที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเพื่อให้ไทยกลายเป็น “รัฐอิสลาม”

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเท็จที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยา นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่ไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันสนทนามาไม่ต่ำกว่า 7 ปี แต่ถูกนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การเลือกตั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าข้อมูลเท็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลามที่มักเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กและยูทูปที่มีความเชื่อมโยงกับองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) และสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายและกฎหมายที่พวกเขามองว่าเอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์ การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เป็นต้น

นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2566 มีการส่งต่อคลิปวิดีโองานครบรอบ 76 ปี การก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อ 6 เม.ย. 2565 พร้อมให้ข้อมูลเท็จว่า ปชป. จัดพิธีทางศาสนาอิสลามโดยไม่มีพิธีทางศาสนาพุทธ และตั้งคำถามว่า “การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า ชาวพุทธยังจะเอาพรรคนี้อีกหรือไม่” ส่งผลให้โฆษก ปชป. ออกมาชี้แจงว่าเนื้อหานี้เป็นเท็จและงานดังกล่าวมีการจัดพิธีทั้งศาสนาพุทธและอิสลาม

อ่านเพิ่มเติม: ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย”

2. อ้างผลงาน

การให้ข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเกี่ยวกับโครงการหรือนโยบายของรัฐเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผลงานความสำเร็จของรัฐบาลหรือพรรคการเมือง เป็นข้อมูลบิดเบือนที่นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกขั้วการเมืองนิยมนำมาใช้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

การกล่าวอ้างผลงานในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่โคแฟคนำมาตรวจสอบ ได้แก่ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี การก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และการก่อสร้างสวนสาธารณะเบญจกิติ

ทั้งพรรคเพื่อไทยและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างอ้างว่าการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมาเป็นผลงานของตน ซึ่งจากการสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานรรัฐที่เกี่ยวข้อง โคแฟคพบว่าทั้งสองโครงการอยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อนุมัติเมื่อปี 2540 จากนั้นรัฐบาลอีกหลายชุดได้ดำเนินงานต่อเนื่องมายาวนานกว่า 20 ปี คำกล่าวอ้างว่าโครงการเหล่านี้เป็นผลงานของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการให้ข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

พล.อ.ประยุทธ์ถ่ายภาพที่สวนเบญจกิติในวันที่เขาร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกการส่งมอบและรับมอบสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 บางส่วนให้กรุงเทพมหานครดูแลเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564

เช่นเดียวกับการกล่าวอ้างของ พล.อ.ประยุทธ์ บนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่สวนเบญจกิติเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2566 ที่อ้างว่าเขาเป็นคนผลักดันโครงการก่อสร้างสวนสาธารณะเบญจกิติมาตั้งแต่ต้นจนก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่าโครงการสวนสาธารณะเบญจกิติได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2534 สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ และมีการพัฒนาต่อเนื่อง รัฐบาลแต่ละชุดจึงมีส่วนร่วมในระดับที่แตกต่างกันไป สำหรับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสร้างส่วน “สวนป่า” ซึ่งมีทั้งหมด 3 ระยะ ดำเนินการระหว่างปี 2559-2564 

อ่านเพิ่มเติม:

3. โยนความผิด

กรณีที่ชัดเจนที่สุดของการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเพื่อกล่าวหาพรรคการเมืองคู่แข่งว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาบางอย่าง คือ การเผยแพร่ข้อมูลโดยแกนนำ รทสช. ที่ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาแพง เนื่องจากเร่งอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซื้อไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์จากบริษัท กัลฟ์ เอนเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่เมื่อปี 2555

โคแฟคตรวจสอบพบว่า การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์กับบริษัทกัลฟ์ฯ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์จริง แต่การสรุปว่าการเซ็นสัญญานี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงในปัจจุบันอาจไม่ถูกต้องนัก เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้า เช่น ราคาเชื้อเพลิง ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างของการที่พรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงเพียงบางส่วนเพื่อโจมตีคู่แข่งในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งเน้นที่การนำเสนอนโยบายของพรรคตน

อ่านเพิ่มเติม: ค่าไฟแพงเพราะอะไร คำตอบไหนเชื่อถือได้?

4. ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงแบบผิดๆ  

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยโดยใช้องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือ ซึ่งความเชื่อนี้ถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งอย่างเป็นระบบโดยเชื่อมโยงกับการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อกล่าวหานี้มีต้นตอมาจากบทวิเคราะห์ของนายไบรอัน เบอร์เลติก (Brian Berletic) ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ในไทย โดยเขาระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อกำจัดรัฐบาลที่ขัดขวางผลประโยชน์และแทนที่ด้วยรัฐบาลที่ “พร้อมรับใช้” อเมริกา การแทรกแซงนี้กระทำผ่านการให้เงินสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งนายไบรอันเปรียบว่าเป็น “ซีไอเอภาคพลเรือน” ที่ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมาบังหน้าปฏิบัติการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ

นายไบรอันยังได้อ้างถึงความร่วมมือระหว่าง กกต. และไอลอว์ในการสังเกตการณ์การเลือกตั้งว่า เท่ากับ กกต. “เปิดช่อง” ให้องค์กรที่สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของไทย

บทวิเคราะห์ของนายไบรอันถูกนำมาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียโดยสื่อมวลชนและองค์กรแสดงตัวชัดว่าสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เช่น Top News และสถาบันทิศทางไทย รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาอย่างนายสมชาย แสวงการ

โคแฟคเห็นว่าการวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องที่บุคคลจะกระทำได้ แต่ข้อกล่าวหาว่าสหรัฐฯ กำลังแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโออย่างไอลอว์ ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับ และเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลตามแนวทางทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ประชาชนจึงต้องแยกแยะระหว่างความคิดเห็นกับข้อเท็จจริงก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์

อ่านเพิ่มเติม: กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”

5. สร้างข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน

ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนเป็นเนื้อหาข่าวลวงทางการเมืองที่พบได้บ่อย ทั้งข้อมูลเท็จที่สร้างขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง และการบิดเบือนนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อทำลายความนิยม อย่างเช่นกรณีข่าวลวงเรื่องพรรคก้าวไกลมีนโยบายตัดบำนาญข้าราชการ และการบิดเบือนว่านโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคก้าวไกลจะทำให้ประเทศไทยไม่มีกองทัพปกป้องประเทศ เป็นต้น 

กลางเดือนเมษายน 2566 มีการเผยแพร่ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรบใกล้ชายแดนไทยและคลิปคำพูดของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เตือนว่าจะเกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหากเขาไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่า คลิปการซ้อมรบและคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นคลิปเก่าที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่ ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ยืนยันว่าไม่มีการซ้อมรบตามแนวชายแดนในช่วงเวลาดังกล่าว เนื้อหาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียว่ามีการซ้อมรบประชิดชายแดนไทยในขณะนี้จึงไม่เป็นความจริง

คลิปวิดีโอซ้อมรบที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก @military4karmy โพสต์คลิปความยาวเกือบ 5 นาทีเมื่อ 11 เม.ย. 2566 พร้อมคำบรรยายว่า “กองทัพกัมพูชาระดมพลซ้อมรบครั้งใหญ่ที่ จ.พระตะบอง ห่างจากชายแดนเพียง 20 กว่ากิโล” ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ตรวจสอบแล้วพบว่า เนื้อหาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการซ้อมรบนั้นไม่เป็นความจริง

มีความเป็นไปได้ว่า ผู้ที่สร้างและเผยแพร่ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรบและการนำคำพูดของนายกฯ กัมพูชามาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิด อาจมีเจตนาเพื่อโจมตีนโยบายปฏิรูปกองทัพและข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคก้าวไกล และเป็นการตอบโต้คำพูดของหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ตั้งคำถามบนเวทีปราศรัยว่า “ทหารมีไว้ทำไม”

ข่าวเท็จเรื่องกัมพูชาซ้อมรับใกล้ชายแดนไทย เป็นการนำประเด็นด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีความละเอียดอ่อน มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่ใหญ่เกินกว่าผลแพ้หรือชนะการเลือกตั้ง

อ่านเพิ่มเติม: คลิป “กัมพูชาซ้อมรบ” และ “ฮุน เซนขู่สงครามปะทุ” มาจากไหน เกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยอย่างไร

โคแฟคคาดว่า หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 การใช้ข้อมูลบิดเบือนและการปล่อยข่าวลวงทางการเมืองจะยังดำเนินต่อไป มีเนื้อหาที่หลากหลายและเผยแพร่อย่างเป็นระบบมากขึ้น ขณะที่การรับมือกับข่าวลวงด้วยการสกัดกั้นที่ต้นทางการเผยแพร่เป็นเรื่องยาก สิ่งที่ประชาชนทำได้ก็คือการรู้เท่าทันปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทั้งของภาครัฐและองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ แยกแยะระหว่างเนื้อหาที่เป็นความคิดเห็นกับข้อเท็จจริง รวมทั้งพิจารณาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2566

“ผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” ผู้ป่วยในรับการรักษาได้เลยไม่ต้องขอใช้สิทธิ #ระบบใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dxkyb6qb5zt8#_=_


ไม่ควรรับประทานหน่อไม้ดิบ มันฝรั่งดิบ และมันสำปะหลังดิบ โดยเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/110p7vvnkxaml


ปิดหีบเลือกตั้งล่วงหน้า 7 พ.ค. กกต. ยอมรับ จนท. “ผิดพลาด” เขียนรหัสหน้าซองผิด 100 คนที่นนทบุรี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38whwy4ei5jml


วันกาชาดโลก 8 พฤษภาคม 2566 ร่วมรำลึกถึงนายอังรี ดูนังต์ ผู้ก่อตั้งองค์กรกาชาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rfrdh0ethbtq


เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14jeg6gseatuq#_=_


ไทยผจญคลื่นความร้อนเอเชีย อุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียส…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zw0xn8ordg47#_=_


โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมฉลองวาระวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ด้วยบทความแปลจาก Reuters Institute ว่าด้วยอนาคตสื่อในยุคเอไอ

ChatGPT คือโอกาสหรืออุปสรรคของสื่อมวลชน? มุมมองจาก 5 ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์  

นับตั้งแต่มีการเปิดตัวแชทบอท ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สื่อมวลชนต่างถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีนี้จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข่าวอย่างไร คำถามหลัก ๆ คือความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) จะมาแทนที่สื่อมวลชนจำนวนเท่าไหร่และรวดเร็วเพียงใด สื่อมวลชนสาขาไหนที่จะได้รับผลกระทบจากการเติบโตของเทคโนโลยีนี้ และเราควรมองว่า ChatGPT นั้นเป็นอุปสรรคหรือโอกาสในการแก้ปัญหาที่อุตสาหกรรมข่าวกำลังเผชิญ? ฟรานเชสโก มาร์โคนี มัดฮูมิตา เมอร์เจีย ชาร์ลี เบคเกตต์และสองผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพร่วมให้ความเห็นต่อผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) ในอุตสาหกรรมสื่อ 

รายงานชิ้นนี้ต้องการเปิดประเด็นถกเถียงที่กำลังร้อนแรงในหัวข้อนี้ด้วยการนำความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้เห็นภาพว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language models) จะส่งผลต่องานสื่อสารมวลชนในระยะสั้นและระยะกลางอย่างไร 

ผู้เชี่ยวชาญคนแรกคือฟรานเชสโก มาร์โคนี (Francesco Marconi) นักข่าวสายข้อมูลและผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัท AppliedXL ที่มีประสบการณ์การทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ The Wall Street Journal และหัวหน้าฝ่ายผลิตข่าวและปัญญาประดิษฐ์ของ  The Associated Press มาร์โคนีได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ AI และสื่อสารมวลชนชื่อ “Newsmakers: Artificial Intelligence and the Future of Journalism” และได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 2563 ผู้เชียวชาญคนถัดมาคือมัดฮูมิตา เมอร์เจีย (Madhumita Murgia) บรรณาธิการข่าวจากปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ของหนังสือพิมพ์ The Financial Times และศาสตราจารย์ชาร์ลี เบคเกตต์(Charlie Beckett) หัวหน้าโครงการ JournalismAI ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของสถาบันวิจัยด้านการสื่อสารมวลชนประจำมหาวิทยาลัย London School of Economics (LSE) ซึ่งมีงานวิจัยและตีพิมพ์รายงานในหัวข้อ AI และการสื่อสารมวลชน และทุนสำหรับสื่อมวลชนและนักเทคนิคด้านเทคโนโลยี รวมถึงโครงการอบรมสำหรับสำนักข่าวขนาดเล็กไปจนถึงการเผยแพร่ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในงานด้านสื่อสารมวลชนให้กับผู้สนใจ

นอกจากนี้ รายงานชิ้นนี้ได้รวมความเห็นจากเจนนี โรมาโน (Jenny Romano) และเปโดร เอนริเกซ(Pedro Henriques) สองผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชัน The Newsroom โมเดลใหม่ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ด้านการสื่อสารมวลชน โดยแอปพลิเคชันนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการนำเสนอสรุปข่าวสำคัญรายวันที่เน้นนำเสนอข้อเท็จจริงหลักจากเนื้อหาข่าว บริบทของข่าวและจุดยืนของการนำเสนอข่าวนั้น

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการทำงานด้านสื่อสารมวลชนและผลิตข่าวเป็นสิ่งที่หลายสำนักข่าวดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง ฟรานเชสโก มาร์โคนีจัดกลุ่มของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในงานสื่อสารมวลชนช่วงศตวรรษที่ผ่านมาออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีให้ช่วยทำงาน (Automation) การใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายการวิเคราะห์ (Augmentation) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลิตเนื้อหา (Generation)

ในระยะแรก การนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ความสำคัญกับการผลิตเนื้อหาข่าวด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น รายงานด้านการเงิน ผลการแข่งขันกีฬา และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language generation) ฟรานเชสโกกล่าวว่าตอนนี้สำนักข่าวระดับโลกหลายแห่งได้ใช้เทคโนโลยีนี้ในการทำงานแล้ว เช่น รอยเตอร์ (Reuters ) เอเอฟพี (AFP) และเอพี (AP) รวมถึงสำนักข่าวเล็ก ๆ อีกหลายแห่งด้วย

ฟรานเชสโก มาร์โคนีระบุว่าระยะที่สองของการใช้เทคโนโลยีเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการขยายการใช้งานด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ (machine learning) และเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) ที่สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่มีขนาดมหาศาลและระบุเทรนด์ต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีระยะที่สองนี้สามารถดูได้จากหนังสือพิมพ์ La Nación หนังสือพิมพ์รายวันของอาร์เจนตินาที่ริเริ่มนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาสนับสนุนการทำงานของทีมข้อมูลในปี 2562 และก่อตั้งห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (AI lab) ที่ทำงานร่วมกับนักวิเคราะห์ข้อมูลและนักพัฒนาซอร์ฟแวร์

สำหรับคลื่นลูกที่สามที่พัฒนาและใช้ในปัจจุบันคือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง ซึ่งฟรานเชสโกอธิบายว่าเป็นการประมวลผลด้วยโมเดลข้อมูลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตข้อความจำนวนมากได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านการสื่อสารมวลชนไปไกลกว่าการรายงานหรือวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ ตอนนี้ เราสามารถสั่งให้แชทบอทเขียนบทความขนาดที่ยาวขึ้นด้วยจุดยืนที่เป็นกลางในเรื่องต่าง ๆ หรือเขียนความเห็นจากจุดยืนหนึ่ง อีกทั้งเรายังสามารถสั่งให้เขียนในสไตล์ของนักเขียนชื่อดังคนใดคนหนึ่งหรือสำนักพิมพ์ใดสักที่หนึ่งก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคโนโลยีนี้คือการใช้แชทบอทในการเขียนและตรวจสอบแก้ไขข่าว ซึ่งสื่อมวลชนได้ทดลองใช้กันอย่างแพร่หลายมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา 

มัดฮูมิตา เมอร์เจียอธิยายว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แชตบอท ChatGPT และเครื่องมืออื่น ๆ สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจเป็นเพราะเทคโนโลยีนี้มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากและสามารถสื่อสารในภาษาที่เป็นธรรมชาติ เธอกล่าวว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนมีสมองกลอัจฉริยะอยู่จริง  ๆ แม้ว่าอันที่จริงมันก็แค่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการพยากรณ์สิ่งที่เราต้องการ

โมเดลการประมวลผลภาษาที่เครื่องมือเหล่านี้ใช้นั้นมาจากการป้อนคำสั่งของเราตอนผลิตเนื้อหาใหม่ ไม่ได้มาจากการคิดขึ้นมาเองของปัญญาประดิษฐ์ โมเดลการทำงานเกิดจากการป้อนเนื้อหาและข้อมูลที่ทำให้สามารถผลิตผลลัพธ์ออกมาจากสิ่งที่ถูกป้อนเข้าไป นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีนั้นมีประโยชน์ในการสังเคราะห์ข้อมูล แก้ไขข้อมูลและรายงานข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว เธอเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างที่เราเห็นในปัจจุบันยังขาดทักษะสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถมีบทบาทมากกว่านี้ในงานสื่อสารมวลชน มัดฮูมิตา เมอร์เจียอธิบายว่าจากจุดที่เรายืนอยู่ในวันนี้ การทำงานของ AI ไม่ได้เป็นเนื้อหาที่ผลิตขึ้นเองและไม่ได้เสนออะไรใหม่ การทำงานของเอไอมาจากการประมวลผลของข้อมูลที่มีอยู่แล้วและ AIไม่ได้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ดังนั้น ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านการผลิตเนื้อหาข่าวเชิงวิเคราะห์หรือแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อ่านต้องการเมื่อรับข่าวจากสำนักข่าว เช่น เดอะไฟแนนเชียล ไทม์ แม้แต่ ChatGPT ก็ยังเห็นด้วยในประเด็นนี้

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างนั้นไม่สามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพหรือก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เพราะยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีกันต่อ แต่เธอต้องการสะท้อนถึงข้อดีของเสียงและความเห็นที่มาจากมนุษย์ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ได้ และเธอเชื่อว่าโมเดลการวิเคราะห์ภาษาในปัจจุบันนั้นยังไม่สร้างสรรค์หรือยังไม่ใช่ต้นฉบับที่ผลิตเนื้อหาอะไรใหม่ ๆ ได้ เพียงแต่สามารถลอกเลียนแบบมนุษย์ได้ดีมาก ๆ เท่านั้นเอง

ข้อท้าทายอีกประการของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างในงานสื่อสารมวลชนคือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการประมวลผลของ ChatGPT ที่พบบ่อย แม้แต่ในตัวอย่างเครื่องมือที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของกูเกิลหรือไมโครซอฟท์ อีกทั้ง ChatGPT ยังระบุแหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่ไม่มีจริงด้วย มาร์โคนีกล่าวว่าโมเดลการทำงานของเอไอเหล่านี้ยังพบปัญญาในการผลิตข้อมูลที่แม่นยำและข้อเท็จจริงที่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือการรายงานข้อมูลที่เกิดขึ้นทันที (real-time data) ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือเอไอที่มีตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการรายงานข่าวด่วน (breaking news) ที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ปฏิบัติการด้านงานข่าวที่เข้มข้น และต้องตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยการอ้างอิงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง

นอกจากนี้ โมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างยังมีปัญหาในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข ผลงานของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างที่วิเคราะห์คำนวนตัวเลขที่ถูกต้องยังไม่มีความแม่นยำมากนัก การบกพร่องในการตรวจสอบการผลิตอัลกอริทึ่มมีความเสี่ยงสูงเพราะการทำงานของมันเกี่ยวข้องกับการระบบการทำงานของข้อมูลทั้งระบบ ทั้งนี้ ความเห็นนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างจะไม่มีบทบาทในงานสื่อสารมวลชนเพียงแต่ว่าเราไม่สามารถพึ่งพาการทำงานของเอไอเพียงอย่างเดียวได้

 ศาสตราจารย์ชาร์ลี เบคเกตต์ หัวหน้าโครงการวิจัย Polis/LSE Journalism AI แนะนำให้ใช้เทคโนโลยีนี้ด้วยความระมัดระวังและไม่สนับสนุนให้สื่อมวลชนใช้เครื่องมือใหม่เหล่านี้โดยไม่มีการกำกับควบคุมโดยมนุษย์ ศาสตราจารย์ชาร์ลีกล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่การผลิตเนื้อหาข่าวอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบแต่มันคือการช่วยให้สื่อมวลชนมีเครื่องมือในการทำงานที่เร็วขึ้นและให้สื่อมีเวลาในการทำงานที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุด งานสื่อสารมวลชนด้วยมนุษย์ยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมากและเราก็ลดความเสี่ยงนี้ด้วยระบบบรรณาธิการ เรื่องนี้ก็ต้องใช้กับเทคโนโลยีเอไอด้วย สื่อมวลชนต้องมั่นใจว่าตนเองเข้าใจเครื่องมือนั้น ๆ รวมถึงความเสี่ยงของเครื่องมือและอย่าคาดหวังกับเทคโนโลยีจนมากเกินไป

มาร์โคนีอธิบายเพิ่มเติมว่าสื่อมวลชนควรทำงานร่วมกับเทคโนโลยีโดยยอมรับและเผชิญหน้ากับจุดอ่อนของมันด้วย เขากล่าวว่านวัตกรรมในงานสื่อสารมวลชนควรเน้นเรื่องข้อจำกัดของโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบ GPT โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนข้อผิดพลาดต่าง ๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ในการตรวจตราข้อมูลทันทีแบบ real-time การรวมระบบเตือนเหล่านี้กับโมเดลภาษาขนาดใหญ่จะช่วยเปิดทางให้เราสามารถพัฒนารูปแบบใหม่ในการทำงานสื่อสารมวลชนได้

มาร์โคนียกตัวอย่างระบบเตือนปัญหาที่พบในบริษัท AppliedXL ที่ตนเองเป็นเจ้าของว่าเป็นบริษัทที่ใช้ระบบเตือนภัยทำงานร่วมกับคนที่มีใจรักงานสื่อสารมวลชนเพื่อการผลิตข่าว ซึ่งทีมงานของเขามีเป้าหมายในพัฒนาการผลิตข่าวที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในคน เช่น แจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อพบสัญญาณผิดปกติในชุดข้อมูลก่อนที่บริษัทต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณชนพร้อมก่อให้เกิดปัญหา

การใช้งานปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง

สำนักข่าวหลายแห่งได้ประกาศแผนงานที่จะนำปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างมาใช้หรือบางแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการแล้ว BuzzFeed ประกาศว่าจะนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในแบบทดสอบบุคลิกภาพที่โด่งดัง และนิวยอร์คไทม์ได้ทดลองใช้ ChatGPT ให้ผลิตข้อความสำหรับวันวาเลนไทน์ด้วยคำสั่งต่าง ๆ ที่ออกแบบไว้

สำนักข่าวหลายแห่งยังอยู่ระหว่างการค้นหาแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานข่าว รวมถึง Axel Springer สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของเยอรมันที่เพิ่งตีพิมพ์เผยแพร่บทความชิ้นแรกที่เขียนขึ้นโดย AI ในเว็บไซต์สำนักข่าวท้องถิ่นแห่งหนึ่ง หนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลีก็ได้ประกาศชวนผู้อ่านเล่นเกมทายว่าบทความสั้นชิ้นไหนที่ผลิตขึ้นโดย AI ในสรุปข่าวรายวันของหนังสือพิมพ์เป็นระยะเวลา 30 วันเริ่มต้นจากอาทิตย์ที่สองของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำหรับผู้อ่านที่ทายได้ถูกต้องต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะได้เป็นสมาชิกฟรีพร้อมแชมเปญหนึ่งขวด

สำหรับเปโดร เอนริเกซและเจนนี โรมาโน การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในงานสื่อสารมวลชนเป็นหัวใจของธุรกิจ The Newsroom ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 พวกเขาได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ผลิตสรุปข่าวสำคัญประจำวัน ซึ่งข่าวเหล่านี้ไม่ได้เป็นข่าวด่วน แต่เป็นข่าวที่รายงานโดยสำนักข่าวหลาย ๆ แห่งแล้ว ประเด็นสำคัญในการทำงานของแอปพลิเคชันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการรายงานข้อมูลใหม่ให้แก่ผู้อ่านแต่ต้องการฉายให้เห็นภาพของข้อเท็จจริงที่สำนักข่าวหลาย ๆ แห่งมีความเห็นตรงกันและชี้ให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างด้วย

เอนริเกซอธิบายว่าขั้นตอนแรกของการทำงานคือการรวบรวมข้อมูลจากสำนักข่าวหลายแห่งเพื่อทำความเข้าใจว่ามีข่าวใดที่ได้รับความสนใจและใครรายงานข่าวเรื่องนี้บ้าง 

เมื่อรวบรวมบทความข่าวที่รายงานเรื่องเดียวกันและอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับ เขาใช้โมเดลการประมวลผลข้อมูลสองแบบที่แยกย่อยองค์ประกอบของเนื้อหาข่าวออกมา เอนริเกซกล่าวว่า พวกเขาจะระบุว่ามีองค์ประกอบส่วนไหนบ้างที่หลายสำนักข่าวมีความเห็นตรงกันและความเห็นที่ตรงกันนั้นตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงใดบ้าง รวมถึงระบุด้วยว่าองค์ประกอบส่วนไหนที่มีการรายงานข่าวแตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่คำถามถัดไปว่าในหัวข้อนี้มีมุมมองที่แตกต่างอย่างไร หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเขียนบทความขึ้นใหม่ที่ร้อยเรียงคำตอบทั้งหมด เริ่มต้นจากองค์ประกอบของประเด็นที่สำนักข่าวต่าง ๆ มีความเห็นตรงกัน ข้อมูลเบื้องต้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจากนั้นผู้อ่านก็สามารถอ่านความเห็นผ่านมุมมองที่หลากหลายที่ได้รวบรวมไว้ ภายใต้แถบเมนู “มุมมองที่หลากหลาย” ได้รวบรวมรายการสรุปเนื้อหาของหัวข้อข่าวดังกล่าวจากสำนักพิมพ์หลาย ๆ แห่งพร้อมกับมีลิงค์ของรายงานข่าวด้วย

บทความของ The Newsroom ที่เขียนขึ้นโดย AI จะได้รับการตรวจทานจากมนุษย์ก่อนเผยแพร่อีกที ขณะที่มนุษย์จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลควบคุมเนื้อหา โรมาโนกล่าวว่าพวกเขากำลังพยายามลดขั้นตอนการทำงานด้วยเช่นกัน “พวกเราวางแผนที่จะให้มีแนวทางที่หลากหลายรีวิวด้วยคนสำหรับหัวข้อแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน” เอนริเกซกล่าวว่า “ยกตัวอย่างเช่นหัวข้อที่พวกเขากำลังทำงานเป็นหลักคือเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) ปัญหาโลกร้อน (Climate change) เป็นต้น แต่เมื่อพวกเราเริ่มที่จะทำงานในหัวข้อที่มีความเสี่ยงน้อยกว่านี้ เช่น หัวข้อกีฬา เป็นต้น พวกเราคิดว่าเราจะมีระดับการรีวิวที่แตกต่างไปในหัวข้อเหล่านี้”

ในตอนนี้ Newstime ประมวลผลจากข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษและเผยแพร่สรุปข่าวเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่พวกเขามีแผนว่าจะขยายการทำงานให้ครอบคลุมภาษาอื่นด้วยเพื่อปรับปรุงให้มีความหลากหลายเชิงภูมิศาสตร์ของช่องทางการเผยแพร่บทความ ซึ่งเป็นความพยายามในอุตสาหกรรมสื่อหลัก แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ในการใช้แชตบอท ChatGPT ในหลาย ๆ ภาษาแต่คุณภาพของผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ได้เท่ากัน

เมื่อถามว่าพวกเขามีประสบการณ์ปัญหาแบบเดียวกับโมเดลอื่นประสบหรือไม่ เอนริเกซและโรมาโนกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญปัญหานั้น โมเดลการทำงานของพวกเขาไม่ได้ผลิต “ภาพหลอน” (hallucinations) ที่เกิดขึ้นเมื่อ AI ผลิตข้อความที่ไม่ได้มาจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไป อีกทั้งคู่มือการรีวิวของพวกเขาเน้นเรื่องการระบุข้อผิดพลาดบนฐานของข้อเท็จจริง “พวกเราไม่ได้ทำงานกับข่าวประเภทข่าวด่วน (breaking news) เวลาที่มีการรายงานข่าวด่วน เราไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น ข้อมูลที่รายงานโดย Newsroom จึงเป็นข้อมูลที่ตั้งใจรายงานภายหลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว” เอนริเกซกล่าว

ขณะนี้ แอปพลิเคชันดังกล่าวยังอยู่ในขั้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ใช้งานได้จริง ซึ่งตอนนี้มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 1,000 คนในหลายประเทศทและส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป โดยกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 35 ปี โรมาโนกล่าวว่ากลุ่มผู้ใช้งานของ Newsroom แบ่งออกคร่าว ๆ ได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ใช้งานที่อ่านข่าวจากสื่อหลาย ๆ แห่งอยู่แล้วและอีกกลุ่มเป็นผู้ใช้งานที่ไม่อ่านข่าว ซึ่งทีมงานของพวกเขาพบผู้ใช้งานกลุ่มนี้จากการติดต่อพูดคุยกับผู้ใช้งานบางคนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม เอนริเกซเน้นว่าแอปพลิเคชันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเป็นแหล่งข่าวเดียวสำหรับผู้ใช้เท่านั้น พวกเขามองว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยนำทางให้ผู้ใช้ในการอ่านข่าวต่าง ๆ และไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แล้วและเป็นแหล่งข่าวเดียวที่ผู้อ่านสามารถใช้ได้ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้ผู้คนได้เริ่มเข้าไปอ่านและไม่ได้จบที่ตรงนี้ หลังจากนั้นผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ ต่อไปในเรื่องที่ตัวเองสนใจจริง ๆ 

มองไปในอนาคต

เมอร์เจียและมาร์โคนีกล่าวว่าบทบาทของสื่อมวลชนคือการสังเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลตามบริบทและระบุเรื่องที่จะรายงาน มาร์โคนีบอกว่าสิ่งเหล่านี้จะยิ่งยากขึ้นมากกว่าเดิม “การระเบิดของข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เซ็นเซอร์ อุปกรณ์มือถือและดาวเทียมได้สร้างโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล ตอนนี้พวกเราผลิตข้อมูลขึ้นมากกว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้การคัดเลือกข้อมูลที่ไม่สำคัญออกไปเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น” มาโคนีกล่าว

เขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นอีกด้านหนึ่งของงานสื่อสารมวลชนที่เทคโนโลยี AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดภาระงานของมนุษย์ เขามองว่า AI ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยผลิตเนื้อหาแต่เป็นเครื่องมือในการช่วยพวกเราในการกรองเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกระบุว่าในปี 2569 เนื้อหาร้อยละ 90 ที่เผยแพร่ออนไลน์อาจมาจากการผลิตขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ตอนนี้พวกเราต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างสมองกลที่ช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่สำคัญออกไป แยกข้อเท็จจริงจากเรื่องที่แต่งขึ้น และเน้นว่าอะไรคือเรื่องสำคัญ

มาร์โคนีเชื่อว่าสื่อมวลชนควรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ใหม่ ๆ เช่น การเขียนอัลกอริทึมที่สามารถทำหน้าที่บรรณาธิการได้และประยุกต์ใช้หลักการด้านการสื่อสารมวลชนเข้าไปในเทคโนโลยี เหล่านี้ เขากล่าวว่าอุตสาหกรรมข่าวต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับการปฏิวัติเทคโนโลยีของเอไอ ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้น บริษัทสื่อเหล่านี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้เล่นหลักในเรื่องนี้เพราะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่มีค่าสำหรับการพัฒนาเอไอ คือข้อมูลภาษาสำหรับป้อนคำสั่งและหลักจริยธรรมสื่อสำหรับการสร้างระบบที่มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

ที่มาของบทความ

https://reutersinstitute.politics.ox.ac.uk/news/chatgpt-threat-or-opportunity-journalism-five-ai-experts-weigh (Is ChatGPT a threat or an opportunity for journalism? Five AI experts weigh in)


กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

ข้อกล่าวหาเรื่องสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยโดยใช้องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งทุนในสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือ กำลังกลับมาวนซ้ำในช่วงที่ไทยนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 หลังจากที่ข้อกล่าวหานี้เคยถูกเผยแพร่หลายมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 ช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย และการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2563 และก่อนหน้านี้มีมาเป็นระยะนับตั้งแต่ช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยปี 2553

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อกล่าวหานี้มีต้นตอมาจากบทวิเคราะห์ของนายไบรอัน เบอร์เลติก (Brian Berletic) ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ในไทย และถูกนำมาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียโดยสื่อมวลชนและองค์กรแสดงตัวชัดว่าสนับสนุนรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่น Top News และสถาบันทิศทางไทย

บทวิเคราะห์เกี่ยวกับการเมืองไทยของนายไบรอันมีทั้งบทความออนไลน์และวิดีโอในยูทูป เนื้อหาหลักเป็นการกล่าวหารัฐบาลสหรัฐฯ ว่าเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อกำจัดรัฐบาลที่ขัดขวางผลประโยชน์และแทนที่ด้วยรัฐบาลที่ “พร้อมรับใช้” อเมริกา การแทรกแซงนี้กระทำผ่านการให้เงินสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งนายไบรอันเปรียบว่าเป็น “ซีไอเอภาคพลเรือน” ที่ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมาบังหน้าปฏิบัติการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ  

เฟซบุ๊กสถาบันทิศทางไทยนำเนื้อหาจากบทวิเคราะห์ของไบรอัน เบอร์เลติก
มาเผยแพร่ต่อเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566

โคแฟคเห็นว่า ประเด็นเรื่องสหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโอที่รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงความคิดเห็นและข้อกล่าวหาที่ยังไม่มีบทสรุป หรือที่เรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)  แม้การวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องที่บุคคลจะกระทำได้ แต่ประชาชนควรรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ แยกแยะระหว่างเนื้อหาที่เป็นความคิดเห็นและข้อเท็จจริง พิจารณาข้อมูลให้รอบด้านก่อนเชื่อหรือแชร์ โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่อาจมีการปล่อยข่าวลวงโน้มน้าวให้เชื่อข้อมูลบางอย่างที่บั่นทอนและทำลายกระบวนการเลือกตั้งเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ “ไบรอัน เบอร์เลติก”

นายไบรอันให้สัมภาษณ์ในรายการ “Talk 2 Ways” ของ Top News เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564 ว่าเขาเป็นอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่เคยเดินทางมาประเทศไทยเพื่อฝึกซ้อมรบ ด้วยความที่ชอบประเทศไทยมาก หลังจากปลดประจำการจึงเดินทางมาอยู่ที่ไทยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยทำงานด้านการออกแบบอุตสาหกรรม และศึกษาค้นคว้าด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นงานอดิเรก ประเด็นที่สนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษคือสหรัฐฯ กับการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ

ไบรอันบอกว่าเขาเริ่มสนใจบทบาทของสหรัฐฯ กับการเมืองไทยในปี 2553 ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง จึงเริ่มเขียนแสดงความคิดเห็นโดยใช้นามปากกาว่า “โทนี คาตาลุชชี” (Tony Cartalucci) เผยแพร่ในเว็บไวต์วารสารออนไลน์ New Eastern Outlook ของรัสเซีย และ Land Destroyer ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เขาก่อตั้งและดูแลเอง

ไบรอันให้สัมภาษณ์ในรายการ Talk 2 Ways ทางสถานีโทรทัศน์ Top News เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ในเดือนกรกฎาคม 2562 เฟซบุ๊กได้ปิดเพจและลบบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊ก กว่า 20 รายการ รวมทั้งเพจ/บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เผยแพร่บทวิเคราะห์ของนายไบรอัน หลังจากสอบสวนพบว่าเพจ/บัญชีผู้ใช้เหล่านี้ดำเนินการโดยเครือข่ายของผู้ที่ใช้ตัวตนปลอม (Coordinated Inauthentic Behavior) ซึ่งมักเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความแตกแยกเกี่ยวกับการเมืองไทย การเคลื่อนไหวของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน การประท้วงในฮ่องกง เฟซบุ๊กยังพบด้วยว่าหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมเหล่านี้ “เป็นบุคคลที่พำนักอยู่ในไทยและมีความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์วารสารออนไลน์ New Eastern Outlook ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย”

นายไบรอันกล่าวว่าบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ทั้งหมดของเขาถูกลบจริง ซึ่งเขามองว่าเป็นการเซ็นเซอร์มากกว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ตามที่เฟซบุ๊กอ้าง

ข้อกล่าวหาเดิมในบริบทใหม่

นายไบรอันเผยแพร่บทวิเคราะห์ว่าด้วยการแทรกแซงการเมืองไทยโดยสหรัฐฯ หลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมักจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง

สำหรับการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 นายไบรอันได้เผยแพร่ข้อกล่าวหาเรื่องสหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 7 เม.ย. 2566 ซึ่งเขาโพสต์วิดีโอวิเคราะห์การเมืองไทยทางช่องยูทูป @TheNewAtlas บทวิเคราะห์นี้อ้างถึงบทความเรื่อง “Shut Out of Democracy Summit, Thailand Prepares for May Elections as Restrictive Laws Aim to Silence Youth Activists” ที่เขียนโดย น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ “ทนายจูน” ผู้ร่วมก่อตั้งและทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และเผยแพร่บนเว็บไซต์ Just Security เมื่อ 28 มี.ค. 2566 โดยไบรอันตีความว่าบทความชิ้นนี้เป็นการเรียกร้องให้สหรัฐฯ แทรกแซงการเมืองไทยและกดดันรัฐบาลไทยให้ยกเลิกการตั้งข้อหาและการดำเนินคดีนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย เขาระบุว่าศูนย์ทนายฯ เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับทุนจาก NED และกรณีนี้เป็นตัวอย่างของการที่สหรัฐฯ ใช้เอ็นจีโอเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงกิจการภายในของไทย  

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 นายไบรอันได้โพสต์วิดีโอทางยูทูป อ้างถึงรายงานข่าวเมื่อ 23 เม.ย.2566 ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมมือกับไอลอว์ในการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง โดยนายไบรอันตั้งคำถามว่า “ทำไม กกต. ถึงยอมทำอะไรก็ตามร่วมกับไอลอว์ ทั้งที่ไอลอว์เป็นองค์กรที่รับเงินสนับสนุนจากประเทศที่เข้ามายุ่งเหยิงกับกิจการภายในของไทยอย่างโจ่งแจ้ง” ก่อนสรุปในตอนท้ายว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. นี้ “ไม่ได้มาจากการกำหนดอนาคตตนเองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวไทย แต่มาจากการแทรกแซงของต่างชาติ”

ในวิดีโอวิเคราะห์การเมืองไทยของนายไบรอัน เขามักนำเสนอภาพนี้ โดยบอกว่าเป็นรายชื่อองค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก NED ของสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์ของนายไบรอันทั้ง 2 ชิ้น ซึ่งแต่ละคลิปมียอดการเข้าชมกว่า 5 หมื่นครั้ง ถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดย Top News และสถาบันทิศทางไทย ซึ่งระบุว่านายไบรอันเป็น “ผู้ชำนาญการด้านสถานการณ์ต่างประเทศของสถาบันทิศทางไทย” ขณะที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก ให้ความเห็นทำนองเดียวกับนายไบรอันว่า “เตือนสติ กกต. ดึงต่างชาติแทรกแซงการเลือกตั้ง…มีตั้งหลายหน่วยงานทั้งเอกชนและรัฐออกมาช่วยกันตรวจสอบเลือกตั้งให้สุจริต กกต. ดันไม่สนใจ แต่ไปสนใจองค์กร NGO ที่รับเงินต่างประเทศ” พร้อมกับนำลิงก์วิดีโอยูทูปของนายไบรอันมาประกอบ

คำอธิบายจากไอลอว์

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า ไอลอว์ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก NED จริง โดยปีนี้เป็นปีที่ 9 ที่ NED ซึ่งเป็นแหล่งทุนอิสระของสหรัฐอเมริกาที่รับทุนจากสภาครองเกรสเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยในโลก อนุมัติเงินทุนสนับสนุนไอลอว์ในการดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย แต่ยืนยันว่า NED ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายหรือกำกับการดำเนินงานของผู้รับทุน

“NED เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นองค์กรใต้ดิน มีระบบการเสนอโครงการเพื่อขอรับทุน เราเป็นผู้เสนอโครงการไป ถ้าเขาอนุมัติเงินทุนให้ เราก็กลับมาดำเนินการตามโครงการที่เราเป็นผู้ริเริ่มเองทั้งหมด และมีหน้าที่รายงานผลการดำเนินงานว่าสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ เขาไม่ได้เข้ามาจี้หรือเป็นนายจ้าง ไม่ใช่ว่าทำงานสำเร็จแล้วเขาถึงจะจ่ายเงิน แต่เราเป็นคนคิดและทำทั้งหมด ซึ่งก็มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ” นายยิ่งชีพให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566

ในส่วนของการทำงานร่วมกับ กกต. นั้น ผู้จัดการไอลอว์อธิบายว่า ไอลอว์ได้หารือและแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ กกต. 2-3 ครั้งในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2566 ตามคำเชิญของนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ซึ่งนายยิ่งชีพบอกว่า “นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ไอลอว์และ กกต.ได้สื่อสารกันโดยตรง”

วันที่ 14 ก.พ. 2566 นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้การต้อนรับตัวแทนจากไอลอว์ และ We Watch ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชนสังเกตการณ์เลือกตั้ง และตัวแทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือในการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566

นายยิ่งชีพให้ข้อมูลว่าประเด็นที่ กกต. กังวลมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ การซื้อเสียง ขณะที่ไอลอว์เป็นห่วงเรื่องการโกงผลการเลือกตั้งในช่วงนับคะแนน เลขา กกต. จึงได้ประสานให้ไอลอว์ประชุมร่วมกับ ร.ต.อ. มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 ของ กกต. ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือกันถึงแนวทางการรับและตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการซื้อเสียง และได้ข้อสรุปว่าจะร่วมกันผลิตคลิปวิดีโอสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเกี่ยวกับกระบวนการร้องเรียน การแจ้งเบาะแส การคุ้มครองพยานและการให้รางวัลนำจับเพื่อสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้ประชาชน 

“ความร่วมมือระหว่าง กกต.และไอลอว์เป็นเพียงการประสานงานกันในระดับผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความราบรื่นและสุจริต…ไอลอว์ไม่มีอำนาจใดที่จะแทรกแซงการทำงานของ กกต. ดังนั้นข้อกล่าวหาว่าการที่ กกต. ร่วมมือกับไอลอว์เป็นการเปิดประตูให้สหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจึงไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง”  ผู้จัดการไอลอว์กล่าว

กกต. “พร้อมให้ความร่วมมือองค์กรภาคประชาสังคม”

ทางด้านสำนักงาน กกต. เผยแพร่เอกสารข่าวเมื่อ 26 เม.ย. 2566 ระบุว่า กกต.“มีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจขององค์กรภาคประชาสังคมในการสังเกตการณ์เลือกตั้ง” โดยพร้อมสนับสนุนทุกองค์กร ไม่เพียงไอลอว์และ We Watch ที่ประสานงานมาเท่านั้น เพราะเล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพื่อทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

เรื่องแนะนำ