ตรวจสอบข่าวลวงประเด็นสุขภาพ

ข้อความ

ดูทั้งหมด >>
1 คนสงสัย
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นสามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น คือ น้ำมันที่ได้จากเนื้อมะพร้าวสดโดยไม่ใช้ความร้อนสูงในกระบวนการสกัด หรือที่เรียกว่าวิธีการสกัดเย็น ซึ่งการสกัดแบบนี้จะช่วยรักษาสารอาหารและคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันมะพร้าวไว้ได้มากที่สุด สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็นที่ช่วยในการลดน้ำหนัก คือ 1. กรดไขมันกลาง การรบริโภคกรดไขมันสายกลางสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย 2. เพิ่มความอิ่ม การบริโภคน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยเพิ่มความอิ่มและลดความอยากอาหาร 3. เพิ่มกระบวนการเผาผลาญไขมัน กรดไขมันสายกลางในน้ำมันมะพร้าวที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น - ทานก่อนมื้ออาหาร 1 ช้อนโต๊ะประมาณ 20 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วและลดปริมาณการทานอาหารในมื้อนั้น - ใส่น้ำมันมะพร้าวในอาหารเช้า เช่น โยเกิร์ตหรือข้าวโอ๊ต เพื่อเพิ่มพลังงานและช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน (ข้อมูลจากเว็ปไซต์ : https://www.bedee.com/articles/wellness/virgin-coconut-oil-for-weight-loss ) แต่เนื่องจากยังไม่มีผลวิจัยที่ชัดเจนจึงไม่ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักเสียเอง หรืออาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องเสีย หรือเกิดอาการแพ้ได้ แม้กระทั่งอาจเป็นการเพิ่มคอเรสเตอรอลในเลือดจำนวนมากทำให้เสี่ยงเกี่ยวกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ ข้อแนะนำในการรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นคือ ควรรับประทานในปริมาณที่พอดี ใช้เป็นเพียงตัวช่วยเสริมในการลดน้ำหนัก หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยนช์ และพักผ่อนให้เพียงพอควบคู่ไปด้วย และควรเลือกซื้อยี้ห้อที่เป็นสากลและต้องมีการขออนุญาตและได้รับรับรองแล้ว (ข้อมูลจาก : เภสัชกรณภัทร นวลสกุลกฤป)
สุขภาพ ความสวยความงาม ลดความอ้วน
meter
1 ความคิดเห็น
jirachyaa  •  3 วัน ที่แล้ว
1 คนสงสัย
รับประทานเฉพาะไข่ต้ม 7 วัน ลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
ไข่ต้มเมนูที่หลายคนนิยมนำมาเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยความเชื่อว่าไข่ต้มมีโปรตีนที่สูง ช่วยให้อิ่มนาน และมีแคลอรี่ต่ำ แต่การกินไข่ต้มเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 7 วัน จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริงหรือ? จากการสัมภาษณ์ อ.ดร. ธาริณี นิลกำแหง อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์   ประจำหลักสูตรวิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า การรับประทานไข่ต้ม ต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากไข่ต้มมีโปรตีนสูงช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ควบคุมความอยากอาหาร และยังช่วยในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ มีแคลอรี่ที่ต่ำเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ ทำให้สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักเพิ่ม ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.rattinan.com/ ) นอกจากนั้นไข่ต้มยังมีประโยชน์ในเรื่อง ช่วยเร่งการเผาผลาญ โปรตีนจากไข่ต้มสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก สะดวกและง่ายต่อการเตรียม ไข่ต้มเป็นอาหารที่เตรียมง่าย สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคอาหารและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น การบริโภคที่หลากหลาย ไข่ต้มสามารถนำไปใช้ในเมนูอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น สลัดไข่ต้ม แซนด์วิชไข่ หรือแม้กระทั่งเป็นส่วนประกอบในซุป ทำให้ไม่น่าเบื่อและสามารถใช้ในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.jenniferoomthailand.com ) แต่ร่างกายของคนเรานั้นต้องการแคลอรี่ใน 1 วัน ประมาณ 1800 - 2000 ต่อวันซึ่งไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง การกินไข่ต้มทุกวันวันละ 1-2 ฟอง จึงเป็นการเพิ่มพลังงานและสารอาหารให้ร่างกายได้อย่างเหมาะสม แต่ไม่ควรทำต่อเนื่องเพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อระบบการย่อยและการดูดซึม ส่วนบุคคลที่เป็นโรคไตไม่ควรทำเพราะจะทำให้ไตเกิดการทำงานหนักขึ้น แต่อย่างไรก็ตามควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยควรควบคู่กับการควบคุมแคลอรีจากอาหารอื่นๆ รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.homefittools.com/news/boiled-eggs-low-fat.html ) ดังนั้น การกินไข่ต้มเป็นส่วนหนึ่งของอาหารมื้อเพื่อสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การกินไข่ต้มเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 7 วัน ไม่ใช่ทางลัดในการลดน้ำหนักที่ยั่งยืนและปลอดภัย ควรเลือกวิธีการลดน้ำหนักที่เน้นความสมดุลของสารอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
สุขภาพ ภาคอีสาน
0 ความคิดเห็น
suthinantanle20192545  •  2 สัปดาห์ ที่แล้ว
1 คนสงสัย
30 บาทรักษาทุกที่ เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถขอรับยาฟรี 32 อาการได้ที่ร้านยา
สุขภาพ
meter
1 ความคิดเห็น
ไม่ระบุชื่อ  •  2 สัปดาห์ ที่แล้ว
1 คนสงสัย
อาการ Mucus Fishing Syndrome หากดึงเมือกออกมา จะกระตุ้นการระคายเคือง
สุขภาพ
meter
1 ความคิดเห็น
ไม่ระบุชื่อ  •  2 สัปดาห์ ที่แล้ว
1 คนสงสัย
ปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?
“ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้ง
สุขภาพ
meter
1 ความคิดเห็น
ธนกฤต ราชัย  •  2 สัปดาห์ ที่แล้ว
1 คนสงสัย
สุขภาพ ผู้บริโภคเฝ้าระวัง มีม
meter
1 ความคิดเห็น
ไม่ระบุชื่อ  •  3 สัปดาห์ ที่แล้ว

เช็คข่าวลวง
ชวน Add LINE

@cofact
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็น ข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ส่งข้อความนั้นมาให้ Chatbot ของเราช่วยตรวจสอบได้เลย
@cofact
คุณก็สามารถเริ่มตรวจสอบข้อความหรือข่าวนั้นได้ทันที