สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 กันยายน 2568

งูสวัดใช้เนื้อกล้วยรักษาได้ & งูสวัดขึ้นรอบเอวแล้วต้องตาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3kqrdpj3o6elx


วิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ให้ใช้ของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1o5dregako6ql


คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2rt4xnc1urtau


“ไวรัสพาราโบลา” ติดจากหมาแมว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ik1aaudt2aus


“สาวน้อย Alyssa Carson จะเป็นนักบินอวกาศ  ไปสู่ดาวอังคาร โดยเดินทางเที่ยวเดียว ไม่กลับมา”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2e94kpakk7ma


“ดร. รุ่ง จากโรงพยาบาลจุฬา แนะนำรักษาโรคมะเร็ง ไม่ให้ไปทำคีโมรักษา แต่ให้กำหนดลมหายใจและกินอาหารที่ไม่เป็นกรด”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pai0x5qqwdjk


คลิปแผ่นดินไหวในประเทศอัฟกานิสถาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fmdi22bplmc1


มรสุมถล่ม 40 จังหวัด ฝนตกหนัก กทม. 70% อัปเดตล่าสุด เส้นทาง “พายุมิแทก”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ckv1icxwza2h


เขมรผวา จีนประกาศซ้อมรบร่วมกับไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3v7swt8h6xgzr


 ข่าวประกาศจากกรมบังคับคดี วันที่ 12 ถึง 15 กันยายน 2568…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37qofz2eerdqr


กลับมาอีกแล้ว มิจฯ ลวงเป็น “การไฟฟ้า” คืนเงินประกันมิเตอร์ 2,500 บาท หากแอดไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3v7m7e2469egy


‘ไทย-กัมพูชา’ชายแดนขัดแย้ง ‘สงครามข้อมูล’คนถูกปั่นได้ง่าย น่าห่วง‘เชื่อ-แชร์แม้ไม่จริง’เพราะตรงใจ

17 ก.ย. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สถาบัน ChangeFusion มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย)The Centre for Humanitarian Dialogue (HD)Tratpost news The Reporters และ ThaiPBS จัดเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 29 (ภูมิภาค #1/2568)หัวข้อ สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ณ ห้องพิบูลสงคราม อาคาร 60 พรรษามหาราชินี 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ปรากฎการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา อาจรู้สึกว่าไกลจาก ม.บูรพา แต่ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับรู้นั้นทำให้ไม่ไกลเพราะทะลุทะลวงติดตามเราไปทุกที่ ดังนั้นเราจะเรียนรู้จากปรากฏการณ์สงครามข้อมูลข่าวสาร และจะปรับตัวอยู่ในสังคมดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารมาจากหลากหลายทิศทางนี้ได้อย่างไร 

เวทีนี้เป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการที่เราจะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกันในการที่จะรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร เตรียมความพร้อมที่เราจะอยู่ร่วมกับสังคมดิจิทัลได้อย่างดี คิดว่าในการจัดเวทีในครั้งนี้จะเป็นการที่เราได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์จากหลายภาคส่วน ก็คิดว่าเราจะได้มุมมองหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ทั้งในเชิงที่เราจะขับเคลื่อนงานด้านนี้ต่อไป รศ.ดร.สุชาดา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้เราจะขัดแย้งกันแต่การจะย้ายแผ่นดินหรือย้ายบ้านหนีก็คงยาก ท้ายที่สุดก็น่าจะมีทางที่จะกลับมาอยู่ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม จากความขัดแย้งที่ผ่านมา การสู้รบไม่ได้มีแต่ในส่วนของกองทัพหรือทหารเท่านั้น แต่ยังมีสมรภูมิบนโลกออนไลน์ที่ร้อนแรงมากจากทั้ง 2 ประเทศ นักรบออนไลน์ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ (Organic) และที่เหมือนจะมีการเตรียมการมา หรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ – Information Operation) อีกทั้งมาพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพและเสียงปลอม (Deepfake) เกิดเป็นภาพหรือคลิปวิดีโอที่หลายคนอาจหลงเชื่อ

ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งไทย  กัมพูชาเท่านั้น เราได้เห็นว่าทั่วโลกมีความขัดแย้ง มีสงครามเกิดขึ้นที่โน่นที่นี่เยอะแยะไปหมด และสิ่งที่ตามมาจากปรากฎการณ์ทั่วโลกเหมือนกันคือ Information Warfare (สงครรมข้อมูลข่าวสาร) เต็มไปด้วยข่าวจริงบ้าง – ไม่จริงบ้าง ทุกคนต้องตั้งสติมากๆ เลยว่าตกลงเราจะเชื่ออะไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น หลายต่อหลายเรื่องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วแต่คนก็ยังเลือกเชื่อตามความชื่อของตัวเอง พยายามมองข้ามไปไม่อยากคิดว่ามันไม่จริงเพราะตอบสนองอุดมการณ์ของเรา สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา”มีวิทยากร 5 ท่าน โดย ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายปรากฏการณ์ข่าวลวง ว่า แบ่งได้ทั้ง 1.รูปแบบ ที่มีทั้ง “มุ่งเป้า” ส่งสารเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกลุ่มช่วงอายุ และ “ทั่วไป” คือเผยแพร่แบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย

กับ 2.ช่องทาง พบได้มากในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทั้งที่เผยแพร่เป็นสาธารณะและที่เป็นกลุ่มปิด ซึ่งในกรณีของกลุ่มปิด ข่าวลวงจะถูกสร้างให้ตรงกับความเชื่อของคนในกลุ่มนั้นและทำให้ยิ่งเชื่อแบบถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากนั้นยังพบในแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอ ที่จะพบการใช้ AI สร้างวิดีโอเสมือนว่าเป็นเรื่องจริงทั้งที่ไม่จริง ตลอดจนเว็บไซต์และบล็อก (Website & Blog) ที่แม้จะเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในยุคทศวรรษ 2000 (ปี 2543 – 2552) แต่ปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้อยู่จำนวนหนึ่ง 

ถ้าเราจัดเป็นกลุ่ม เราจะเห็น 3 กลุ่มที่เป็นข้อมุลลวง 1.Text Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่สื่อสารด้วยตัวอักษร) 2.Video Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่เผยแพร่แบบคลิปวิดีโอ) และ 3.Image Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่ใช้รูปภาพ) ทั้ง 3 อย่างนี้ผมจะใส่วงให้ซ้อนกันอยู่ เพราะในบางครั้ง Disinformation (ข้อมูลลวง) 1 ชิ้นอาจจะผสมทั้ง 3 อย่างนี้ อาจจะมี 2 ใน 3 ส่วนใหญ่เท่าที่ผมไปเจอมาจะใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กัน ดร.วศิน กล่าว

สมคิด เพชรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงมุมมองของผู้รับสารต่อการรับมือข่าวลือหรือโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ว่า ท้ายที่สุดจะเกิดภาวะสับสนอลหม่านในการกรองข้อมูลว่าตกลงแล้วอะไรจริง – ไม่จริง แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า อคติแบบเข้าข้างความเชื่อของตนเอง (Confirmation Bias)เช่น กรณีของตนมีพื้นเพเป็นคนที่เติบโตมาในบริเวณชายแดนไทย – กัมพุชา ฟังภาษาเขมรรู้เรื่องและคุ้นชินกับชาวกัมพูชา เมื่อรับรู้ข่าวสารเชิงลบเกี่ยวกับกัมพูชาก็จะยิ่งตอกย้ำ 

อาทิ มีคำพูดกันว่าเขมรเชื่อไม่ได้หลังเพล หมายถึงชาวกัมพูชามาขอข้าวปลาอาหารจากชาวไทย แต่เมื่อชาวกัมพูชากินอิ่มแล้วก็เชื่อถือไม่ได้อีก ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นอคติอย่างหนึ่งที่อาจทำให้เราตัดสินไปก่อนล่วงหน้า  ขณะที่เมื่อเราเลือกรับข้อมูลข่าวสาร เราก็อาจเลือกรับที่ยืนยันตรงกับอคติของเรา อย่างที่มีสำนวนไทยว่า ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ ข้อมูลข่าวสารนั้นอาจมีข้อเท็จจริงเพียงร้อยละ 10 ที่เหลือเป็นการใส่สีตีไข่ แต่ผู้รับสารก็เลือกจะเชื่อไว้ก่อน นี่คือทุกขลาภของคนยุคปัจจุบัน และอย่าคิดว่าข้อมูลข่าวสารหรือสื่อไทยเป็นแบบเปิด (Open Gateway) ส่วนกัมพูชาเป็นแบบปิด (Single Gateway) แล้วข้อมูลข่าวสารในไทยจะน่าเชื่อถือไปทุกเรื่อง ผู้รับสารต้องมีความตระหนัก

พอสื่อสารออนไลน์ ทุกคนเป็นผู้สื่อข่าวได้ ปัญหาคือพอไม่ได้เรียนเรื่องของหลักการจริยธรรมเรื่องของความรับผิดชอบในแง่ของข้อมูล บวกกับยอดรายได้จาก Viral (การกระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง) มันก็เป็นปัญหาอยู่พอสมควร ถ้าเราดูในระบบของข้อมูลมันจะทำให้คนเกิดภาวะที่จะถูกปั่นได้ง่าย ในการปั่นไป  มาบางทีก็ทำให้เกิดการทะเลาะกัน สมมติแฟนลิเวอร์พูลปั่นแฟนแมนฯ ยูฯ (ทีมฟุตบอลในอังกฤษ) ก็ทะเลาะกัน ไม่ต้องพูดถึงไทยกับกัมพูชา ทั้งที่เราไม่เคยไปเมืองแมนเชสเตอร์ ไม่เคยไปเมืองลิเวอร์พูล เรายังตีกันได้ที่นี่ อาจารย์สมคิด กล่าว

จักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดตราด ตั้งข้อสังเกตในประเด็น นักข่าวเลือกข้าง เรียกว่านักข่าวสายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนรัฐบาลก็นำเสนอข้อมูลด้านลบ เช่น ทำกันจนบอกว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา จนมีกลุ่มอาชีวะรักสถาบันฯ มาทำกิจกรรมใน จ.ตราด มีรัฐมนตรีที่ไม่เคยเดินทางมา จ.ตราด ให้ความสนใจไปลงพื้นที่เกาะกูด ซึ่งชาวบ้านบนเกาะกูดรู้ดีว่าเกาะกูดเป็นของไทย 

แต่ปัญหาคือรัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ อาทิ เรื่องน้ำมัน – ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 50,000 หรือ 1 ต่อ 200,000 ชาวบ้านไม่เข้าใจ แต่ชาวเกาะกูดและชาว จ.ตราด รู้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ทุกวันนี้กระแสสงครามข่าวสาร ข้อมูลโต้กันไป – มาจนไม่รู้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง แม้กระทั่งตนเองก็เคยพลาด อาจเป็นเพราะเก็บข้อมูลได้ไม่ทั่วถึง 

สงครามข่าวสารยังไม่จบ แล้วมันเป็นสงครามข่าวสารที่เราไม่สามารถจะบอก อาจมีข่าวลวงเยอะมากกว่าที่มีความจริงด้วยซ้ำ ก็ผสมปนเปกันแล้วเราจะทำอย่างไร? โคแฟคเป็นองค์กรหนึ่งที่ต้องการจะตรวจสอบข้อเท็จจริง ใช้วิธีการอะไรต่างๆ AFP (สำนักข่าวฝรั่งเศส) ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ แม้กระทั่ง DE (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ก็กำลังทำ ชัวร์ก่อนแชร์ (อสมท.ก็เป็นจุดหนึ่ง แต่ผมอยากเห็นว่าอย่าพึ่งองค์กรพวกนี้ แต่พึ่งพวกเรา ให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะนำเสนออะไร เพราะวันนี้ทุกคนเป็นสื่อได้หมดจักรกฤชณ์ กล่าว

ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารด้านข่าวออนไลน์ ThaiPBS เล่าถึงความยากในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ในยุคที่ใครก็สามารถสื่อสารได้ ว่า ข้อมูลที่ ณ เวลานี้บอกว่าจริง ผ่านไปไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นเท็จได้ เช่น เพจทางการของกองทัพให้ข้อมูลอย่างหนึ่ง สื่อก็นำเสนอไป ต่อมามีอีกเพจที่ก็เป็นเพจทางการเหมือนกัน หรือไม่ก็เป็นโฆษกของหน่วยงานออกมาบอกว่าไม่จริง แต่ในวันเดียวกันก็มีการออกมาแก้ข่าวอีกว่าเป็นเรื่องจริง สถานการณ์แบบนี้ทำให้คนทำสื่อสับสนมาก 

ซึ่งจากการคุยกันภายในทีมงาน ได้ข้อสรุปว่าเราไม่สามารถนำเสนออย่างรวดเร็วได้ นอกจากข่าวลวงยังมีเรื่องของชุดความจริง หมายถึงเป็นความจริง ณ ช่วงเวลานี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก้อาจไม่ใช่ความจริงอีก เพราะถูกหักล้างโดยชุดความจริงหรือข้อมูลอีกประเภทหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง หรือความเข้าใจที่แตกต่างกันของคำว่า พิกัด ระหว่างทหารกับสื่อมวลชน มีการถกเถียงกันว่าพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาสามารถรายงานได้หรือไม่ 

โดยฝ่ายทหารมองว่าไม่ควรเผยแพร่เพราะทำให้ฝ่ายกัมพูชารู้ว่าปฏิบัติการสำเร็จ แต่สื่อมวลชนก็อยากรายงานให้เห็นผลกระทบของคนในพื้นที่ แต่เมื่อนำเสนอไปแล้วก็มีประชาชนตำหนิสื่อว่าไปบอกพิกัดทำไมเดี๋ยวกัมพูชาก็รู้ แม้จะบอกเพียงกว้างๆ ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน ปรากฏการณ์แบบนี้ตนก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในการทำงานข่าว ในการมีบริบทสังคมบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคล้ายกับเป็นการควบคุมว่าไม่ควรทำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของสื่อ การทำงานในบริบทสังคม ณ เวลานั้นก็ต้องประนีประนอมพอสมควร

เชื่อไหมว่าเวลาผ่านไปหลังจากเจรจาหยุดยิง สิ่งที่ประชาชนกังวลเรื่องพิกัดหายไปเลย ไม่มีใครพูดถึงเลย ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 2 อาทิตย์เรื่องนี้หายไปเลย เห็นไหมว่าการนำเสนอไม่ได้เป็นแค่เรานำเสนอ ในฐานะที่เป็นสื่อไม่ได้นำเสนอแค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว เรื่องของความรอบด้านหรือข้อมูลต่างๆ เรายังต้องคำนึงถึงเรื่องของบริบทสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ ด้วยว่า ณ วันนี้เรานำเสนออะไรได้  ไม่ได้บ้าง แล้วจะต้องนำเสนอด้วยความรอบคอบอย่างไร ชุตินธรา กล่าว

ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวถึงคำว่า การสร้างความได้เปรียบทางข้อมูล (ไอเอ  Information Advantage)” ซึ่งมาจากเอกสารผลการศึกษาชื่อ “ADP 3-13” โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา การทำไอเอจะแตกต่างจากการทำไอโอ กล่าวคือ ไอโอหรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร จะเป็นการระดมกำลังเพื่อสนับสนุนฝ่ายตนเองและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งเท่านั้น หรือคิดได้เพียงใช่หรือไม่ (Yes or No) ในขณะที่ไอเอเป็นการใช้ข้อมูลจริง แต่จะใช้อย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ 

เช่น หากต้องการสื่อสารข้อมูลชุดหนึ่งกับกลุ่มคนที่ชอบกีฬาฟุตบอล ก็จะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลก่อน เพราะหากเริ่มด้วยเรื่องสงครามในทันทีกลุ่มเป้าหมายอาจไม่เข้าใจ หรือหากจะสื่อสารกับคนเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องเริ่มด้วยการกล่าวถึงทฤษฎี หรือหากเป็นการทำบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ ก็ต้องควบคุมให้กลุ่มความเห็นที่ได้รับความนิยมสูงสุด (Top Comments) หรือความเห็นแรกๆ อยู่ในทิศทางที่เป็นบวกกับฝ่ายเรา เพราะพฤติกรรมผู้รับสารในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์มักมีแนวโน้มจะเชื่อความเห็นกลุ่มนี้ 

อนึ่ง มีตัวอย่างจากความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เมื่อออกไปดูกระแสสังคมระดับโลก พบว่าชาวโลกมีแนวโน้มเชื่อกัมพูชามากกว่าไทย เนื่องจากอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ใครปักธงก่อนได้เปรียบฝ่ายกัมพูชาสื่อสารออกไปก่อนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ฝ่ายไทยการสื่อสารภาษาอังกฤษยังกระท่อนกระแท่น ซึ่งเมื่อทดลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต ตั้งเงื่อนไขคัดกรองว่าไม่นับข้อมูลจากสื่อมวลชนของไทยและกัมพูชา พบผลการค้นหาเป็นไปในทางไทยเป็นฝ่ายทำร้ายกัมพูชา ไม่ใช่กัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีไทย 

ใครบอกว่านักนิเทศศาสตร์กำลังจะตาย ผมว่าไม่ใช่ นักนิเทศศาสตร์นี่ละคือเรื่องใหญ่ที่ต้องสร้างตัวตนขึ้นมาให้ได้ แต่นิเทศศาสตร์จะทำอย่างไรที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจบริบท ไม่ใช่แค่ใช้เฟซบุ๊กเป็น ใช้ทวิตเตอร์ ใช้ติ๊กค๊อกเก่ง มันต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะขายของหรือขายข้อมูลนี้ให้คนประเภทไหน โดยข้อมูลประโยคเดียวกัน บิดนิดหนึ่งได้นักศึกษา ได้อาจารย์ ได้นักข่าว ระวี กล่าว 

ยังมีการสวนาหัวข้อ ถอดบทเรียนการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชาจากวิทยากร 4 ท่าน โดย กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกต 3 ประการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ข่าวลวงในสถานการณ์ไทย – กัมพูชา คือ 1.พบการใช้วิธีการทุกรูปแบบ ตั้งแต่ 1.0 เช่น กุคำพูดขึ้นมาดื้อๆกรณีโพสต์ภาพ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) พร้อมข้อความบอกว่าเขมรไม่ใช่ญาติ หากจะตายก็ให้ตายไป ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล ไม่ได้พูดถ้อยคำดังกล่าว 

หรือกรณีโพสต์ภาพ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมข้อความว่าขอประณามโรงพยาบาลที่ไม่รับรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา ซึ่งแม้ทางพรรคประชาชนจะเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของโรงพยาบาลในประเด็นการรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา แต่ไม่มีคำพูดดังกล่าวแต่อย่างใด การใช้ภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง กรณีฝ่ายกัมพูชาใช้ภาพเครื่องบินโปรยสารเคมีดับเพลิงกล่าวหาไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา หรือภาพฝูงนกที่ถูกนำมาทำให้เข้าใจว่าเป็นฝูงแร้งกินซากศพทหารกัมพูชา ไปจนถึง การใช้ AI สร้างภาพปลอม เช่น ภาพของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ยกมือไหว้และยอมให้ ฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ใช้มือลูบศีรษะ เป็นต้น

2.สื่อมวลชนมีส่วนเผยแพร่เนื้อหาเท็จ เช่น รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ แชร์ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” บอกว่าฝ่ายไทยเข้ายึดปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งต่อมาทางกองทัพบกได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง , รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ แชร์คลิปจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” ที่อ้างว่าเป็นชายชราชาวกัมพูชาวัย 87 ปี บอกลาลูกหลานเตรียมไปออกรบ แต่ต่อมาผู้ถ่ายคลิปดังกล่าวได้โพสต์คลิปชี้แจงว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงอดีตทหารที่แต่งเครื่องแบบมาซื้อยาที่ร้านขายยา ล่าสุดทางไทยรัฐนิวส์โชว์น่าจะลบข่าวนี้ไปแล้ว , 

สถานีโทรทัศน์ PPTV นำภาพจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกแชร์ต่อกันมาว่าทหารกัมพูชากำลังซ้อมตาย ทั้งที่จริงๆ เป็นภาพการฝึกปฐมพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งแม้ผู้ประกาศข่าวจะบอกในระหว่างการนำเสนอว่าไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในภาพข้อเท็จจริงคืออะไร แต่การเป็นสื่อนั้นสิ่งใดที่ไม่ชัดเจนก็ไม่ควรนำเสนอหรือไม่  และ 3.คนบางส่วนรับได้กับเนื้อหาเท็จหากสอดคล้องกับความเชื่อหรือความคิดของตนเอง เช่น ทำให้ฝ่ายที่เป็นศัตรูดูแย่ 

อย่างกรณีข่าวนกแร้งที่เราตรวจสอบว่าภาพไม่ใช่นกแร้ง ก็มีคนมาบอกว่ารู้มันไม่จริงแต่มันสะใจดี ปั่นประสาทเขมรดี หรือว่าเอาฮาคุณจะไปสนใจอะไร หรือข่าวปลอมว่ากรมศิลปากรไฟเขียวให้ทำลายปราสาทได้เพื่อรักษาดินแดน รักษาอธิปไตย ซึ่งกรมศิลปากรไม่เคยออกมาพูดแบบนั้น คนที่มาแสดงความเห็นบอกว่าเนื้อหาอาจเป็นเท็จแต่เห็นด้วยในสาระสำคัญ เพราะมันก็จริงว่าปราสาททำลายไปเถอะมันไม่สำคัญ ดินแดนของเราสำคัญกว่า กุลธิดา กล่าว

กมล หอมกลิ่น อีสานโคแฟค กล่าวว่า ในความยากของการสื่อสารคือจะทำอย่างไรให้คนในพื้นที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่จากการพูดคุยกับคนทำงานสื่อในพื้นที่ด้วยกัน เช่น ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งใน อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับคำตอบว่า พูดอะไรไม่ได้ เพราะหากพูดออกไปว่าเสียงคนชายแดนเรียกร้องอย่ายิงกันเลยแล้วจะถูกทัวร์ลง ความยากคือไม่รู้จะสื่อสารแบบไหนเพราะมีกระแสบางอย่างอยู่ แต่คนในพื้นที่ที่กำลังเตรียมตัวอพยพคาดหวังอย่างเดียวว่าเมื่อใดเหตุการณ์จะสงบ จะได้กลับไปทำไร่ทำนา ลูกหลานจะได้กลับไปเรียนหนังสือ เป็นต้น 

โดยในช่วงที่ผ่านมา อีสานโคแฟคพยายามทำงานค่อนข้างมาก แต่ก็มีคำถามว่ายังทำไม่ถึงหรือไม่ เพราะหลายอย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ไม่สามารถไปรายงานให้เกิดการหักล้างข้อมูลได้ หรือเจอข่าวในพื้นที่ก็ไม่สามารถรายงานให้เป็นกระแสได้เพราะเป็นเพียงทีมงานกลุ่มเล็กๆ ช่องทางที่ทำคนติดตามก็ยังมีไม่มาก แต่ก็ได้พูดคุยกันว่าในเมื่อเป็นทีมสื่อเล็กๆ ก็คงไม่ต้องเน้นยอดการติดตามที่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่ขอให้การสื่อสารออกไปเป็นประโยชน์กับชาวบ้านให้มากที่สุด 

เราจะต้องให้ชาวบ้านเขาได้เหมือนกับมีสิทธิ์มีเสียงในการส่งเสียงของพวกเขาบ้าง อย่างเช่นเราจะต้องลงไปทำข่าวในจุดที่มีการอพยพ เราก็ต้องไปถามว่าเขามีสุขมีทุกข์เกี่ยวกับอะไร มากกว่าที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เทรนด์ มากกว่าเรื่องเทรนด์ของสังคม ซึ่งมันไม่ใช่เทรนด์แต่เป็นวิถีชีวิตที่พวกเขาจะได้ประโยชน์มากที่สุด กมล กล่าว 

ณัฐพล ทุมมา เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโสThaiPBS เล่าว่า จาการจับตาสถานการณ์ขัดแย้งไทย – กัมพูชา ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 พบข่าวในช่วงแรกๆ เป็นภาพปลอม ภาพ AI ทำขึ้น เป็นการสร้างความไม่ชอบฝ่ายเรา – ฝ่ายเขา ต่อมาจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทางออนไลน์ในรูปแบบข่าวลวงจากมวลชนทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา กระทั่งเมื่อเกิดการปะทะกันจะเริ่มเห็นข่าวลวงทั้งจากสื่อไทยและกัมพูชา 

โดยในกรณีของสื่อไทย ช่วงที่หลงไปนำเสนอข่าวลวงเพราะการเข้าถึงข้อมูลหรือแหล่งข่าวทำได้จำกัด เพราะช่วงที่ปะทะกันกองทัพกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจการปะทะ และสื่อเข้าใจว่าเพจบางแห่งนำเสนอภาพที่กองทัพปล่อยออกมา ทั้งนี้ ลักษณะของข่าวลวงมีทั้งภาพปลอม คลิปวิดีโอปลอม หรือภาพเก่า คลิปวิดีโอเก่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไทย – กัมพูชา อย่างล่าสุดที่เจอคือนำคลิปวิดีโอการประท้วงที่เนปาล มาอ้างว่าเป็นการประท้วงในไทยขอให้เปิดพรมแดน ในช่วงที่มีการประชุม GBC ระหว่างไทยกับกัมพูชา  

เรื่องการตรวจสอบเราจะเน้นไม่เดินไปตามเขา เพราะเราไม่ต้องการความเร็ว เราต้องการความถูกต้อง เราเสนอข่าวช้าได้แต่เสนอข่าวที่ผิดไม่ได้ เพราะการที่ปล่อยเขาเดินไปก่อนเหมือนกับเราถอยมา 1 ก้าว ข่าวที่บอกว่า ร.31 รอ. ยิงถล่ม ที่เป็นคลิปภาพสีเขียวๆ ยิงถล่มตอนกลางคืน อันนั้นก็เล่นกันหลายช่อง แต่ไปตรวจสอบแล้วเป็นคลิปการซ้อมรบในเวลากลางคืน ต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงที่เกิดเหตุทุกคนอยากเป็นคนที่อยู่แนวหน้า อยากใกล้ชิดกับเหตุการณ์มากที่สุด อยากจะแชร์ แต่อย่าลืมว่าเรื่องเหล่านี้ถ้าเราไปแชร์ผิดๆ โดยเฉพาะเราเป็นสื่อ เราจะยิ่งเหมือนถูกผลกระทบ 2 เท่า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสื่อ” ณัฐพล กล่าว 

สุชานาถ อินทปิ่น  นิสิตวาขานิเทศศาสตร์ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทาลัยบูรพา กล่าวว่า ข่าวที่มีแนวโน้มเป็นข้อมูลเท็จ มักตั้งพาดหัวแบบล่อเป้าให้เข้าไปติดตาม (Clickbait) เมื่อกดเข้าไปอ่านจะมีการอ้างแหล่งข้อมูลที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่พบเนื้อหาข่าวเดียวกันปรากฏในสื่อกระแสหลักในว่าสำนักข่าวของไทยหรือของต่างประเทศ ดังนั้นเด็กยุคนี้ต้องได้รับการส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) อย่างมาก 

หรืออย่างโพสต์ข่าวแล้วมีผู้มาแปะ Link อ้างอิงในช่องแสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจเป็น Link เว็บไซต์ที่รายงานข่าวจริงหรือข่าวลวงก็ได้ จึงแนะนำว่าอยากให้ทุกคนจำ URL เว็บไซต์ของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ไว้ ส่วน URL ชื่อแหล่งข่าวที่ดูแปลกๆ มีตัวเลขแปลกๆ ไม่ควรกด ก่อนจะกดอะไรเข้าไปก็สังเกตดีๆ ว่าชื่อ URL เป็นชื่อสำนักข่าวจริงๆ ใช่หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบจากสำนักข่าวหรือแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ว่ารายงานตรงกันหรือไม่

อย่างต่ำๆ เลยเราจะหาอย่างน้อย 2 แหล่งที่มา คือถ้าเราเห็นอะไรสักอย่างใน Social Media เราก็จะเริ่มหาข้อมูล ค้นหาเว็บไซต์ว่าเรื่องนี้จริงไหม? ออกข่าวสำนักไหนบ้าง? หรือมีใครพูดถึงเกี่ยวกับอะไรของมันอีกไหม? ใน Comment (ช่องแสดงความเห็น) บอกว่าอย่างไร? อย่างน้อยๆ คือ 2 แหล่งที่มา ถึงจะชัวร์ว่าอันนี้ดูจะจริ สุชานาถกล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เพจเฟซบุ๊กโพสต์เนื้อหาเท็จวิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนแก๊สน้ำตา

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: วิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ให้ใช้ของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ แม้มีเจตนาให้ตลกขบขัน แต่อาจสร้างความใจผิดและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่อาจหลงเชื่อ** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 18 ก.ย.  68 เพจเฟซบุ๊ก “โม่งดำ-Black Hood Operator” ซึ่งเป็นเพจของผู้สนใจกีฬายิงปืนและยุทธวิธีทางการทหาร-ตำรวจ มีผู้ติดตามเกือบ 2 แสนราย โพสต์ข้อความภาษาไทยและภาษาเขมรเรื่อง “วิธีการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา” โดยอ้างว่าให้ใช้สารที่เป็นกรด เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจานหยอดที่บริเวณดวงตาเพื่อช่วยลดอาการแสบร้อน (ลิงก์บันทึก)

โพสต์นี้ถูกเผยแพร่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจควบคุมฝูงชนของไทยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมผู้ชุมนุมชาวกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2568

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตาว่า “ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือในปริมาณมาก” โดยเอียงหน้าเทน้ำล้างให้ไหลจากหว่างคิ้วไปทางหางตา นานอย่างน้อย 10-15 นาที 

สพฉ. ระบุว่าการออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตาจะเกิดขึ้นทันทีที่สัมผัสหรือภายใน 30 วินาที และจะคงอยู่นานราว 10-30 นาทีหลังการสัมผัส เมื่อถูกร่างกายจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุผิวที่สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจ 

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา คือ 

1. นำผู้ถูกแก๊สน้ำตาออกมาอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก

2. หากถูกผิวหนัง ควรถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นให้ล้างตัวด้วยน้ำประปาหรือน้ำสะอาด โดยให้น้ำไหลผ่านจำนวนมากอย่างน้อย 10-15 นาที 

3. หากมีการระคายเคืองตา ถ้าใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ต้องถอดออกก่อน แล้วจึงล้างตาด้วยน้ำประปาหรือน้ำสะอาด โดยเอียงหน้าเทน้ำล้างให้ไหลจากหว่างคิ้วไปทางหางตา นานอย่างน้อย 10-15 นาที 

4. บ้วนปากหลายครั้งด้วยน้ำสะอาด หลังจากนั้นสามารถดื่มน้ำหากรู้สึกระคายคอ 

เนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊ก “โม่งดำ-Black Hood Operator” ที่ระบุว่าให้ใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตาจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่หลงเชื่อ ซึ่งขณะนี้โพสต์ยังถูกแชร์ไปมากกว่า 140 ครั้ง

📢 ข้อสังเกตโคแฟค: แม้ว่าโพสต์นี้จะจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยมีเจตนาล้อเล่นหรือสร้างความตลกขบขัน แต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและชีวิตหากมีผู้หลงเชื่อ  

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 68 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการสร้างข่าวปลอม ข้อมูลลวง และข้อมูลอันเป็นเท็จทุกรูปแบบที่นำไปสู่การยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาทางการทูตและการสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยขอให้ประชาชนรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ ตรวจสอบข้อมูลที่อาจเป็นเท็จทุกครั้ง ใช้สื่อทุกแพลตฟอร์มอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน 

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

มองสถานการณ์ขัดแย้ง‘ไทย-กัมพูชา’ น่าห่วง‘ความเกลียดชัง’ถูกปั่นด้วย‘ข่าวลวง’

By : Zhang Taehun

เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วสำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดไทย – กัมพูชา ตั้งแต่รุ่งเช้าเมื่อฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีจนมีพลเรือนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต นำไปสู่การตอบโต้ของฝ่ายไทย กลายเป็นการสู้รบต่อเนื่อง 5 วัน ระหว่างวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ตามด้วยการหยุดยิงที่มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นมา มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) 

แต่นอกจากสมรภูมิที่เป็นทางการทั้งของฝ่ายทหารและรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศแล้ว ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา พื้นที่ออนไลน์ ได้กลายเป็นสนามรบเชิงข้อมูลข่าวสาร มีการเผยแพร่ทั้งข่าวจริง ข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือนจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นไปได้ทั้งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) การมีอารมณ์ร่วมของปัจเจกบุคคล ไปจนถึงแรงจูงใจด้านรายได้จากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นำไปสู่ผลข้างเคียงที่น่ากังวลอย่าง การสร้างความเกลียดชัง ในระดับประชาชน ดังตัวอย่างการตรวจสอบของโคแฟคต่อไปนี้

ภาพที่ 1 : คลิปรื้อบ้านในอินโดนีเซีย ถูกอ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดนไทย

– รื้อบ้านชาวกัมพูชารุกล้ำเขตประเทศไทย : วันที่ 20 ส.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ข่าวด่วน ทันทุกเหตุการณ์” โพสต์คลิปรถแบ็คโฮกำลังรื้อถอนบ้านหลังหนึ่ง พร้อมบรรยายว่า “แม่ทัพสั่งบุกรื้อบ้านเขมรสั่งรื้อ 80 หลังคาเรือน ประชาชนคิดเช่นไร?” มียอดเข้าชมกว่า 1.2 ล้านครั้งและถูกแชร์มากกว่า 1,300 ครั้ง และยังมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อีกหลายคนที่แชร์คลิปนี้ด้วยคำบรรยายในทำนองเดียวกัน 

โดยในช่วงดังกล่าว มีรายงานข่าวฝ่ายไทยยึดพื้นที่บ้านหนองจาน ซึ่งกองทัพบกยืนยันว่าเป็นเขตแดนของไทย แต่ได้ให้ชาวกัมพูชาซึ่งลี้ภัยสงครามกลางเมืองได้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2520 และหลังจากนั้นพบว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์และนอกบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ในฝั่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนให้ประชาชนมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวร และมีกระแสเรียกร้องจากชาวไทยให้ขับไล่ชาวกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวออกไปโดยเร็ว 

อย่างไรก็ตาม จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางพร้อมคำบรรยายภาษาอินโดนีเซียตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว (อ้างอิงจาก KARO News วันที่ 16 ตรงกับวันเสาร์ ส่วนวันที่ 20 คลิปที่เอามาแชร์ เป็นวันพุธ)หนึ่งในนั้นเป็นคลิปความยาว 4.24 นาทีที่เผยแพร่โดยเพจเฟซบุ๊ก “KARO News” เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2568 บรรยายคลิปเป็นภาษาอินโดนีเซีย แปลสรุปเป็นภาษาไทยได้ว่า เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานในอินโดนีเซียสนธิกำลังเข้ารื้อถอนสถานบันเทิงชื่อ Diskotik Marcopolo และโรงแรมขนาด 30 ห้องพักในจังหวัดสุมาตราเหนือ 

ซึ่งหลังการสอบสวนพบว่าเป็นแหล่งมั่วสุมและมีการจำหน่ายยาเสพติด ระหว่างการรื้อถอนมีคนกลุ่มหนึ่งมาประท้วง รวมถึงเจ้าของสถานที่ซึ่งอ้างว่าอาคารแห่งนี้ (ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับสถานบันเทิง) เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของเขา นอกจากนี้เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Bangka Pos ของอินโดนีเซีย รายงานว่าเจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ารื้อถอนอาคารสถานบันเทิง Diskotek Marcopolo เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 เนื่องจากตำรวจพบว่ามีการค้ายาเสพติดที่สถานที่แห่งนี้

ภาพที่ 2 : คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร ซึ่งเป็นคลิปเก่านำมาเผยแพร่ผิดบริบท

– คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร : วันที่ 22-23 ส.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกเผยแพร่คลิปเจ้าหน้าที่ไทยจากหลายหน่วยงานเตรียมส่งมอบสิ่งของให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด้านหน้าป้ายจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ มีการระบุคำบรรยายภาพ https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1071074198562432&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH) ในคลิปเป็นภาษาอังกฤษแปลเป็นไทยว่า “โรงพยาบาลเอกชนของไทยส่งยาให้ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ไม่สามารถมารับยาเองได้” เสียงบรรยายในคลิปแสดงความไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไทยใช้ภาษีของคนไทยไปให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชา คลิปนี้ถูกแชร์ต่อโดยมีการเติมข้อความเช่น “เงินคนไทยไปซื้อยาให้เขมร” และ “ดูข้าราชการไทยมันทำ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบพบว่า คลิปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว (อ้างอิงจากข่าวของ ศบ.ทก. ที่โพสต์ 28 มิ.ย. 2568 https://web.facebook.com/AdHocCentreforThailandCambodiaBorderSituation/posts/pfbid02XaKcTspEVEzT4mMUbMx9T2Wj1dmhLFBjHUzpLEgrYBJitxBQ4qkTrEgCPLX6RPsCl) ซึ่งเป็นช่วงที่ทางการไทยและกัมพูชาเริ่มปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน ทำให้ชาวกัมพูชาที่มารักษาพยาบาลในไทยไม่สามารถเดินทางมาพบแพทย์ตามนัดและรับยาที่ต้องกินต่อเนื่องได้ โดยเฟซบุ๊กศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โพสต์ภาพเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568 บรรยายภาพว่า เจ้าหน้าที่หน่วยทหารและสาธารณสุข “ดำเนินการส่งมอบยารักษาโรคให้กับผู้ป่วยชาวกัมพูชาจำนวน 33 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ กัมพูชาเป็นผู้รับมอบ ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ”

นอกจากนั้น เมื่อสอบถามไปยัง นพ.ธวัชชัย ทองประเสริฐ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เนื่องจากถุงบรรจุยามีชื่อ “SPS Premium รพ.สรรพสิทธิประสงค์” ได้รับการชี้แจงว่า ช่วงที่ทางการไทยเริ่มปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน ทางโรงพยาบาลเคยจัดส่งยาให้ผู้ป่วยกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางมารับยาได้จริง โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยของคลินิกพรีเมียมที่จ่ายค่ารักษาและค่ายาเองทั้งหมด การส่งมอบยานี้เกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนจะมีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568

ภาพที่ 3 : คลิปชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทยซึ่งเป็นคลิปเก่าที่สถานสงเคราะห์เด็กในกัมพูชา

– คลิปชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย :  วันที่ 25 ส.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกในไทยเผยแพร่คลิปกลุ่มคนทำอาหารด้วยการเทกุ้งลงไปในกระทะใบใหญ่ ก่อนจะตักใส่ถ้วยแบ่ง โดยระบุคำบรรยายภาพในคลิปว่า “ชาวเขมรทำแกงกุ้งอวดโชว์คนไทยฉ่ำ” ซึ่งคลิปนี้ถูกเผยแพร่หลังจากที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนไทยบางสำนักเผยแพร่ภาพโรงครัวในศูนย์พักพิงของชาวกัมพูชาที่หนีภัยสู้รบระหว่างทหารไทย-กัมพูชา โดยบรรยายว่าอาหารที่ทางการกัมพูชาจัดให้ผู้หนีภัยการสู้รบนั้นมีแต่ผัก ไม่มีเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในไทยจำนวนมากนำมาเผยแพร่ในเชิงเย้ยหยัน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า คลิปนี้ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 – 10 มิ.ย. 2568 โดยวันที่ 9 มิ.ย. 2568 เป็นคลิปที่โพสต์โดยเพจเฟซบุ๊กชื่อ “Ton ChanSeyma” ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กของนักร้องสาวกัมพูชาที่มีผู้ติดตามกว่า 3.3 ล้านคน และวันที่ 10 มิ.ย. 2568 โพสต์โดย TSM Vlog และ Ton ChanSeyma តន់ (https://web.facebook.com/watch/?v=1729432807778972&_rdc=2&_rdr#) ภาพในคลิปและข้อความบรรยายระบุว่าเป็นกิจกรรมทำอาหารเลี้ยงเด็กที่สถานสงเคราะห์เด็กชื่อ Ptea Clara ในจังหวัดกันดาลของกัมพูชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรไม่แสวงกำไรในฝรั่งเศส

นอกจากนั้นเมื่อสอบถามไปยังผู้ประสานงานภาพสนามของ Ptea Clara ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าภาพในคลิปเป็นภาพการเลี้ยงอาหารที่สถานสงเคราะห์เด็ก Ptea Clara เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2568 ดังนั้นโดยสรุปแล้ว คลิป “ทำแกงกุ้งโชว์” ที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในไทยนำมาเผยแพร่โดยอ้างว่าเป็นการทำอาหารอวดคนไทยว่ามีเนื้อสัตว์อย่างดีนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาหรือศูนย์พักพิงของชาวกัมพูชาที่หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนแต่อย่างใด

ภาพที่ 4 : คลิปอ้างชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม แต่แท้จริงเป็นคลิปน้ำท่วมในประเทศไทย

– คลิปชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม : วันที่ 29 ส.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Nattida Sopimpa” โพสต์คลิปเหตุการณ์น้ำท่วม มีคำบรรยายภาษาไทยว่า “น้ำท่วมเขมรอย่างหนักขอให้ทางการไทยช่วยเหลือ” และคำบรรยายภาษาเขมร แปลด้วย Google Translate ได้ว่า “ท่วมไปหมดแล้ว ขอเทวดาคุ้มครอง” ใส่อิโมจิรูปธงชาติไทย ธงชาติกัมพูชา ยกมือไหว้และจับมือ คลิปนี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 800 ครั้ง (ณ วันที่ 1 ก.ย. 68) และความเห็นมากกว่า 1,100 ข้อความ โดยความเห็นจำนวนมากแสดงถึงความเกลียดชังและไม่ต้องการให้ส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Virak Hin” เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 โดยฝังข้อความและคำบรรยายภาษาเขมรในลักษณะที่ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อคนไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า คลิปนี้เคยถูกโพสต์เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “Phanpaka Noo” พร้อมกับให้ข้อมูลว่าเป็นภาพเหตุการณ์แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำเข้าท่วมบริเวณหน้าวัดคูหาสุวรรณ อ.เมือง จ.สุโขทัย

และเมื่อสอบถามไปยังเพจเฟซบุ๊ก “วัดคูหาสุวรรณ – หลวงพ่อห้อม อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย” ซึ่งเป็นเพจทางการของวัด ได้รับคำยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏในคลิปเป็นวัดคูหาสุวรรณจริง โดยเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 ซึ่งตรงกับการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสว่าช่วงเช้าของวันที่ 26 ก.ค. 2568 เกิดเหตุแม่น้ำยมล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมชุมชนวัดคูหาสุวรรณ

ข้อสรุปของโคแฟค

กรณีตัวอย่างข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของข้อมูลลวงในลักษณะนี้ ไม่ว่าโดยเจตนาหรือความรู้เท่าไม่ถึงการ นอกจากจะปลุกเร้าและตอกย้ำอารมณ์ความเกลียดชังระหว่างประชาชน 2 ประเทศแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลทั้งสองประเทศในการหาแสวงหาแนวทางร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนโดยสันติ !!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1067743818895470&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปอ้างแม่ทัพสั่งรื้อบ้านชาวเขมร : 21 ส.ค. 2568)

https://www.thaich8.com/news_detail/141498 (ทบ.ยืนยัน บ้านหนองจานอยู่ในเขตไทย : ช่อง 8 18 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/KaroNews/videos/3004026773102391/ (คลิป KARO News 16 ส.ค. 2568)

https://bangka.tribunnews.com/2025/08/15/profil-samsul-tarigan-diduga-pemilik-diskotek-marcopolo-yang-dirobohkan-bobby-nasution-ketua-grib (Profil Samsul Tarigan, Diduga Pemilik Diskotek Marcopolo yang Dirobohkan Bobby Nasution, Ketua GRIB : Bangka Pos 15 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1071074198562432&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร : 25 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/AdHocCentreforThailandCambodiaBorderSituation/posts/pfbid02XaKcTspEVEzT4mMUbMx9T2Wj1dmhLFBjHUzpLEgrYBJitxBQ4qkTrEgCPLX6RPsCl (เฟซบุ๊ก ศบ.ทก. โพสต์ภาพ “น้ำใจไทยผ่านชายแดน ส่งมอบยารักษาโรคให้ 33 ผู้ป่วยชาวกัมพูชา” เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1074318648237987&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย : 29 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/watch/?v=570699159123096&rdid=9OLoJMI2NiDq3czi (โพสต์ของ Ton ChanSeyma តន់ ចន្ទសីម៉ា , 9 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/watch/?v=1729432807778972&_rdc=2&_rdr# (โพสต์ของ TSM Vlog และ Ton ChanSeyma តន់  , 10 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1077107437959108&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม : 2 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/reel/718953387565777(โพสต์ของ Phanpaka Noo 26 ก.ค. 2568)


ฝึกผสม Falcon Strike 2025 ของกองทัพอากาศไทย-จีน ถูกนำมาบิดเบือนในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “เขมรผวา จีนประกาศซ้อมรบร่วมกับไทย”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน การฝึกร่วมของกองทัพอากาศไทย-จีน เป็นการฝึกประจำปีที่มีมานานก่อนเกิดความขัดแย้งและการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 17 ก.ย. 68 เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าว Top News โพสต์คลิป Reel เป็นภาพเครื่องบินรบ ฝังข้อความ “เขมรผวาตัวสั่น จีนประกาศซ้อมรบทางอากาศร่วมกับไทย” พร้อมคำบรรยายใต้ว่า “เขมรผวาน่านฟ้า! จีนประกาศซ้อมรบร่วมทางอากาศกับไทยกันยายนนี้ ภายใต้ปฏิบัติการ ‘เหยี่ยวพิฆาต-2025’ กัมพูชามองตาปริบ ๆ เป็นได้แค่หมาเห่าเครื่องบิน” 

เสียงบรรยายในคลิประบุว่า สื่อจีนอ้างแถลงการณ์กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 68 ว่ากองทัพอากาศจีนและกองทัพไทยจะเปิดการซ้อมรบช่วงกลางถึงปลายเดือนกันยายนนี้ที่ประเทศไทยภายใต้ปฏิบัติการ Falcon Strike 2025 หรือ “เหยี่ยวพิฆาต 2025” โดยจีนจะส่งเครื่องบินรบและทหารภาคพื้นดินสังกัดกองทัพอากาศเข้าร่วมซ้อมรบ มีเป้าหมายพัฒนาทักษะและยุทธวิธี รวมทั้งเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ 

“การซ้อมรบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะเป็นการจับมือกันของ 2 กองทัพอากาศที่ทรงพลัง” ท็อปนิวส์ระบุในคลิป

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: การฝึกผสมกองทัพอากาศไทย-จีน Falcon Strike มีมาตั้งแต่ปี 2558 จัดขึ้นครั้งแรกที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นก็จัดเป็นประจำเกือบทุกปี ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี ครั้งล่าสุดคือ Falcon Strike 2024 ในเดือน ส.ค. 67

สำหรับปีนี้ เพจเฟซบุ๊ก “RTAF News” ซึ่งเป็นเพจข่าวของกองทัพอากาศรายงานเมื่อเดือน มี.ค. 68 ว่า พล.อ.ต.สิทธิพล ป้อมตรี ผู้แทนกองทัพอากาศไทยและ น.อ. (พิเศษ) Sun Jun กับผู้แทนกองทัพอากาศจีน ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันว่าการฝึกผสม Falcon Strike 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 68 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี 

ต่อมาในเดือน มิ.ย. 68 ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสมของกองทัพอากาศไทยและจีนร่วมประชุมวางแผนขั้นสุดท้าย และลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึก ณ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน  

อย่างไรก็ตาม การฝึกผสม Falcon Strike 2025 ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงกลางเดือน ก.ย. 68 

วันที่ 15 ก.ย. 68 เว็บไซต์ภาษาอังกฤษของกระทรวงกลาโหมจีนเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เรื่อง “China, Thailand to hold ‘Falcon Strike 2025’ joint air force training” ระบุว่าการฝึกผสมประจำปีนี้จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน ก.ย. โดยกองทัพจีนจะส่งเครื่องบินหลายชนิดและกองกำลังภาคพื้นดินเข้าร่วมการฝึกผสมในครั้งนี้

วันที่ 16 ก.ย. 68 เพจ RTAF News ของกองทัพอากาศไทยโพสต์ภาพ พล.อ.อ. พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ พล.อ.ต. หลู่ หงโจว ผู้บัญชาการฐานทัพอากาศคุนหมิงและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ฝ่ายกองทัพอากาศจีน ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ พร้อมกับระบุว่า การฝึกผสม Falcon Strike 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-25 ก.ย. 68 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี และเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเพื่อดำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

📌 สรุปว่าการฝึกผสม Falcon Strike ของกองทัพอากาศไทย-จีนดำเนินมานานนับสิบปีแล้ว สำหรับการฝึกประจำปี 2568 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงและวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้นปี แต่คลิปของท็อปนิวส์นำการฝึกผสมนี้มาเชื่อมโยงกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการฝึกผสมนี้เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างถึงกัมพูชา

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ส.ค. 68 โคแฟคพบคลิปวิดีโอในยูทูบและติ๊กตอกที่อ้างในลักษณะเดียวกันว่า การฝึกผสมร่วมกองทัพไทย-จีนภายใต้รหัส Falcon Strike และการซ้อมรบทางทะเล Blue Strike คือการที่จีนส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา ซึ่งเป็นการนำการฝึกผสมระหว่างกองทัพไทยและจีนที่มีมานานแล้ว มาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของจีนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ถั่วลิสงเสี่ยงมะเร็งตับ? เปิดความจริงจากงานวิจัยและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.17 ได้ออกอากาศในหัวข้อ “มีสารก่อมะเร็งในถั่วลิสงจริงหรือ?” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งCOFACT, นายณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และน้องออม สุมัณฑิรา ศรีสังวาลย์ ตัวแทนคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดยนายสุชัย เจริญมุขยนันท

ในรายการ นายณัฐฐศรัณฐ์ หรือ “พี่โด่ง” เปิดเผยว่าถั่วลิสงมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า “อัลฟาท็อกซิน” (Aflatoxin) ซึ่งเกิดจากเชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus สารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งระดับ 1 โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเกิดมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซีซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งตับเมื่อได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก

นายณัฐฐศรัณฐ์ อ้างอิงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2555 ถึงมกราคม 2556 และตีพิมพ์ในปี 2559 โดยสุ่มตัวอย่างถั่วลิสงจากตลาดค้าปลีกในกรุงเทพมหานครจำนวน 60 ตัวอย่าง ผลพบว่า ถั่วลิสงดิบมีการปนเปื้อนอัลฟาท็อกซินสูงถึง 80% ส่วนถั่วลิสงแปรรูป เช่น ถั่วคั่วและถั่วบด พบการปนเปื้อน100% โดยปริมาณอัลฟาท็อกซินในถั่วบดสูงถึง 362 นาโนกรัมต่อกรัม เฉลี่ย 68 นาโนกรัมต่อกรัม ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนดถึง 18 เท่า

เพื่อลดความเสี่ยง นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้ผู้บริโภคสังเกตถั่วลิสงก่อนรับประทาน โดยใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐาน ดังนี้  

1. สายตา : ตรวจดูเปลือกถั่วลิสง หากมีจุดดำหรือรอยราบนเปลือก แสดงว่ามีความเสี่ยงการปนเปื้อนเชื้อรา 

2. กลิ่น : ถั่วที่มีกลิ่นเหม็นหืนหรือกลิ่นอับ อาจบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนเชื้อรา  

3. รสชาติ : ถั่วมีรสขมผิดปกติ แทนที่จะมีรสมันตามธรรมชาติ ควรงดบริโภค  

4. การล้าง : เมื่อล้างถั่วลิสง เมล็ดที่ลอยน้ำมักเป็นเมล็ดเสีย ส่วนเมล็ดที่จมน้ำมีโอกาสปลอดภัยกว่า  

นอกจากนี้ เขายังแนะนำว่าไม่ควรเก็บถั่วลิสงไว้นานเกิน 3 วัน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา การเก็บรักษาควรอยู่ในภาชนะที่แห้งและปิดมิดชิดเพื่อลดความชื้น และไม่แนะนำให้เก็บในตู้เย็นนานเกินไปเพราะความชื้นในตู้เย็นอาจกระตุ้นการเกิดเชื้อราได้

นายณัฐฐศรัณฐ์ ระบุว่า การปรุงอาหารด้วยความร้อนทั่วไป เช่น การต้มหรือนึ่งที่อุณหภูมิราว 100 องศาเซลเซียส ไม่สามารถทำลายอัลฟาท็อกซินได้เนื่องจากสารนี้จะถูกทำลายที่อุณหภูมิสูงถึง 260-270 องศาเซลเซียสเท่านั้น ดังนั้น ถั่วที่มีการปนเปื้อนตั้งแต่ต้นทาง เช่น ตั้งแต่การปลูกหรือเก็บเกี่ยว จะยังคงมีความเสี่ยง แม้จะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม

สำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสง เช่น ขนมหรือถั่วบด นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้เลือกซื้อจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีบรรจุภัณฑ์ปิดมิดชิด และระบุวันหมดอายุชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์จากโรงงานที่ได้มาตรฐาน เช่นผ่านการรับรอง ISO หรือกระทรวงสาธารณสุข มีโอกาสปนเปื้อนน้อยกว่าถั่วที่จำหน่ายแบบแบ่งใส่ถุงรัดยาง ซึ่งมักพบเชื้อราเกือบ 100%

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นเรื่องถั่วลิสงและสารก่อมะเร็งเป็น “ข่าวลวงแบบคลาสสิก” ที่วนเวียนกลับมาเป็นกระแสซ้ำๆ แต่ครั้งนี้มีงานวิจัยรองรับ ทำให้เกิดความตื่นตัวในสังคม เธอแนะนำให้ผู้บริโภคมีสติในการเลือกบริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วลิสงในปริมาณมากและต่อเนื่อง รวมถึงระมัดระวังการเก็บรักษาอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวโพดพริกแห้ง หรืองาดำ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อราในลักษณะเดียวกัน

น้องออม สุมัณฑิรา ตัวแทนคนเช็กข่าว ถามถึงทางเลือกทดแทนถั่วลิสง โดยนายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้พิจารณาถั่วชนิดอื่น เช่น อัลมอนด์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็มีราคาสูงกว่า เขายังชี้ว่า การบริโภคอาหารควรหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมสารพิษ และแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ (GAP) เพื่อความปลอดภัย

รายการปิดท้ายด้วยการย้ำเตือนให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงจากถั่วลิสง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบถั่วต้มหรือถั่วคั่วที่ซื้อจากร้านค้าทั่วไป รวมถึงแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเก็บรักษาอาหาร เพื่อลดโอกาสการสัมผัสสารก่อมะเร็งในระยะยาว


ขอบคุณที่มา ubon connect

คลิปอุบัติเหตุ ฮ.ตำรวจตกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่ากัมพูชายิงเครื่องบินรบไทยร่วง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจไทยตกเมื่อเดือน พ.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Lychee Tour” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้วัตถุบางอย่างบนพื้นหญ้า พร้อมข้อความบรรยายภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลสรุปใจความได้ว่า ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยที่ลุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตก 2 ลำ ในเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 68  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพในคลิปดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 #2215 ประจำหน่วยบินตำรวจกาญจนบุรี ตกที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68 ทำให้นักบินและช่างเครื่องเสียชีวิตรวม 3 นาย ซึ่งสื่อมวลชนไทยหลายสำนักเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ เช่น The Nation มติชน และช่อง Ch7HD  

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในประเทศไทยตั้งแต่เดือน พ.ค. 68 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอย่างสิ้นเชิง 

แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะไม่มีการปะทะทางการทหารนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังคงนำคลิปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพจากเหตุปะทะวันที่ 24-28 ก.ค. 68 อย่างต่อเนื่อง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

โพสต์เท็จอ้าง อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วิจารณ์แรง กรณีเปิดด่านไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด่าคนเสนอเปิดด่านไทย-กัมพูชา “เป็นพวกขายชาติ” 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเป็นเท็จ อ.เฉลิมชัยปฏิเสธว่าไม่ใช่คำพูดของตน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 14-15 ก.ย. 68 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์ภาพนายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชื่อดัง ฝังข้อความโจมตีเรื่องการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหม ประกอบข้อความว่า “เห็นด้วยกับ อ.เฉลิมชัย” ทำให้เข้าใจว่าข้อความดังกล่าวเป็นคำพูดของนายเฉลิมชัยที่วิจารณ์นายอนุทินและ พล.อ.ณัฐพล ด้วยถ้อยคำรุนแรง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: วันที่ 15 ก.ย. 68 นายเฉลิมชัยได้อัดคลิปวิดีโอโชว์ภาพโพสต์ดังกล่าวและชี้แจงว่าตนไม่ได้พูดเรื่องการเปิด-ปิดด่านอย่างที่ปรากฏในโพสต์นั้น นายเฉลิมชัยกล่าวด้วยว่าที่ผ่านมา เขาถูกนำไปอ้างเท็จว่าพูดวิจารณ์การเมืองหลายครั้งทั้งที่ย้ำมาตลอดว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องการเมือง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

📣 17 กย.68 ติดตามเสวนานักคิดดิจิทัล (ภูมิภาค #1/68) : สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริงกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 29 (ภูมิภาค #1/2568)หัวข้อ: สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริงกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

📍 วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568 | เวลา 13.00 – 16.30 น.
ณ ห้องพิบูลสงคราม อาคาร 60 พรรษามหาราชินี 2
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี

🔍 เจาะลึกเบื้องหลังสนามข่าวในพื้นที่เปราะบาง
📌 ถอดบทเรียน “การตรวจสอบข้อเท็จจริง” ท่ามกลางกระแสข้อมูลปะทะกันบนแนวรบออนไลน์
🎙 พบกับนักสื่อสาร นักข่าว และนักวิชาการมากประสบการณ์ ที่จะร่วมเปิดมุมมองใหม่
ว่าด้วย “วารสารศาสตร์แห่งความจริง” ในโลกที่ข้อมูลคืออาวุธ

ถ่ายทอดสดทางเพจ The Reporters และ Cofact โคแฟค

เสวนานักคิดrดิจิทัล29 #DigitalThinkers #สงครามข้อมูล #ไทยกัมพูชา #BUU #FactChecking

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 กันยายน 2568

“อนุทิน” เปิดด่านไทย-กัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/whj34vhnt5az


ภาพข่าวอุบัติเหตุรถบรรทุกชนรถบัส มีผู้เสียชีวิต 15 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vsr8c1wnbvn4


ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ไทยคนแรกที่ต้องจำคุก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18pbvc3s351p8


“ไผ่ พงศธร” เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ynzyapd8h090


ยุโรปแบนยาทาเล็บเจล เพราะเป็นสารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/160kjr4sch68r


คนงานถูกไฟดูดหมดสติ เพื่อนทำตามความเชื่อโบราณ กลบทรายบนสังกะสี รอดตายปาฏิหาริย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wvsrtxu7b2md


กลับมาอีกครั้ง! รถไฟฟ้า BTS ประกาศขาย ‘แพ็กเกจเที่ยวเดินทาง’ เริ่มต้น 27 บาทต่อเที่ยว ซื้อได้วันแรก 11 ก.ย. นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hav89olywxi1


เกลือ เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1xlaf539nca45


สารพิษในพริกป่น-ถั่วลิสง ก่อมะเร็งจริงไหม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3iod1cftk1j5v


นาซ่าเจอ ซากของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yxrxj8v9slek


ข่าวลวง ‘คนดังเสียชีวิต’ กลยุทธ์ล่าสุดที่ใช้โปรโมทเว็บพนันออนไลน์

By : Zhang Taehun

(หมายแหตุ : บทความนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนาเชิญชวนให้เข้าไปเล่นการพนันออนไลน์ เป็นเพียงการชี้ให้เห็นการเกิดขึ้นของข่าวลวงที่ถูกนำไปใช้เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจดังกล่าวเท่านั้น เพื่อการรู้เท่าทันของประชาชน)

ภาพที่ 1 : บัญชีเฟซบุ๊ก “พล ประกอบผล” โพสต์คลิป Reel เนื้อหา “ไผ่ พงศธร” นักร้องลูกทุ่งชื่อดังเสียชีวิต เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2568 แต่พบการใช้ภาพวิดีโอประกอบจากอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 
 

วงการลูกทุ่งสุดเศร้า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เกิดเหตุสลดบนถนนสายหลัก เมื่อรถยนต์ของไผ่ พงศธร หรือนายพงศธร ศรีจันทร์ อายุ 43 ปี นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เสียหลักพุ่งชนขอบทางอย่างแรง ทำให้เจ้าตัวเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ สร้างความตกใจให้กับวงการบันเทิงและแฟนเพลงทั่วประเทศ  จากการตรวจสอบภายในรถ เจ้าหน้าที่พบเงินสดจำนวน 4 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าเป็นเงินที่เตรียมจะเอาไปบริจาคให้เด็กกำพร้า เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ ส่วนร่างของ ไผ่ พงศธร ถูกส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาล และจะมีการประสานครอบครัว มารับตัวไปบำเพ็ญกุศลต่อไป” 

เสียงบรรยายในคลิป Reel ที่บัญชีเฟซบุ๊ก “พล ประกอบผล” โพสต์เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2568 พร้อมกับโพสต์ถึงคลิปนี้ไว้ด้วยว่า “คนดีๆไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย” ซึ่งมีการกดถูกใจ 491 ครั้ง และส่งต่อ 119 ครั้ง (ณ วันที่ 9 ก.ย. 2568 เวลา 10.25 น.) อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันในภายหลังว่า นี่เป็นข่าวลวงเพราะในวันที่ 8 ก.ย. 2568 ทางค่ายเพลง Grammy Gold ต้นสังกัด ได้ออกมายืนยันว่า ไผ่ พงศธร ยังสุขภาพแข็งแรงและยังทำงานเป็นศิลปินอยู่ พร้อมทั้งเตือนกลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลวงนี้ว่าหากยังไม่หยุดจะดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ขณะที่ทีมงานโคแฟค ตรวจสอบที่มาของคลิปวิดีโอที่ถูกนำมาอ้างประกอบข่าวลวงนี้ ซึ่งปรากฏโลโก้สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS และรายการเช้าวันใหม่ โดยใช้คำค้น “รถ 10 ล้อ ตัดหน้ารถตู้รับส่งพนักงานเกิดอุบัติเหตุ” ซึ่งปรากฏในคลิปดังกล่าว พบว่า เป็นคลิปรายการเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 25 ส.ค. 2560 (เวลาประมาณ 05.25 น.) โดยทาง Thai PBS รายงานว่า รถบรรทุก10 ล้อเลี้ยวกระทันหัน ทำให้รถตู้รับ – ส่งพนักงานที่ขับตามมาพุ่งชนท้าย กระเด็นไปชนกับรถบรรทุก 6 ล้อ บรรทุกสินค้าอีกคันหนึ่ง ซึ่งกู้ภัยต้องใช้อุปกรณ์ตัดถ่าง นำร่างผู้บาดเจ็บออกจากจากซากรถ โดยจุดเกิดเหตุเป็นช่วงโค้งป่ายาง ข้างทางเข้า อบต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 

นอกจากนั้นยังมีรายงานจากสื่อสำนักอื่นๆ เช่น เว็บไซต์ นสพ.ข่าวสด พาดหัวข่าว “โดนสิบล้อตัดหน้ากะทันหัน รถตู้เบรกไม่ทันพุ่งชนท้าย ก่อนเสย 6 ล้อ พังยับ” ระบุเป็นเหตุการณ์วันที่ 24 ส.ค. 2560 , เว็บไซต์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ พาดหัวข่าว “รถบรรทุกสิบล้อเลี้ยวกะทันหัน รถตู้รับส่งพนักงานพุ่งชนท้าย” ระบุเป็นเหตุการณ์วันที่ 24 ส.ค. 2560 เวลา 16.30 น. เป็นต้น 

ทีมงานโคแฟคยังค้นหาภาพด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า มีการโพสต์คลิปเดียวกันผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งจากการตรวจสอบกับเว็บไซต์ trevorfox.com ที่ให้บริการ TikTok Post Date Finder หรือเครื่องมือตรวจสอบวันที่คลิปถูกโพสต์บน TikTok พบว่า โพสต์ในวันที่ 5 ก.ย. 2568 โดยบัญชีชื่อ “saga4761ed3” อีกทั้งยังพบการโพสต์คลิปเนื้อหาระบุ ไผ่ พงศธร เสียชีวิต ทางแพลตฟอร์ม TikTok เป็นจำนวนมาก แต่ใช้ภาพหรือคลิปวีดีโออุบัติเหตุที่แตกต่างกันไป

ภาพที่ 2 : บัญชี TikTok “ko40567’ โพสต์เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2568 ระบุ “ไผ่ พงศธร จากไปอย่างไม่มีวันกลับ” เปรียบเทียบภาพกับคลิปวีดีโออุบัติเหตุรถชนกันหลายคัน บริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดระยอง ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 โพสต์โดยเพจเฟซบุ๊ก “ZOOM Rayong ซูมระยอง”
ภาพที่ 3 : บัญชี TikTok “pink88425” โพสต์เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ระบุ “สลดวงการ รถยนต์ ไผ่พงศธร พลิกคว่ำ” เปรียบเทียบภาพกับคลิปวีดีโออุบัติเหตุรถกระบะลากรถไถประสานงากับรถเก๋งบนถนนทางหลวงสายศรีสงคราม-ท่าแร่  ตรงช่วงรอยต่ออำเภอศรีสงครามและอำเภอโพนสวรรค์จ.นครพนม ซึ่งโพสต์ไว้โดยเพจเฟซบุ๊ก “ที่นี่ศรีสงคราม” เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2567

เช่น บัญชี “ko40567’ โพสต์เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2568 ระบุ “ไผ่ พงศธร จากไปอย่างไม่มีวันกลับ” แต่ใช้คลิปวีดีโอประกอบเป็นภาพอุบัติเหตุรถชนกันหลายคัน บริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดระยอง ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 โดยเปรียบเทียบกับคลิปวิดีโอที่เพจเฟซบุ๊ก “ZOOM Rayong ซูมระยอง” โพสต์ไว้ในวันที่ 22 ส.ค. 2568  นอกจากนั้น นสพ.ผู้จัดการ ยังรายงานข่าว พาดหัว “ฝนตกถนนลื่นทำกระบะพุ่งข้ามเลนชนเก่งที่วิ่งสวนมาหน้าศูนย์ราชการระยอง เจ็บระนาว”ระบุว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 เวลา 07.00 น.

หรือบัญชี “pink88425” โพสต์เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ระบุ “สลดวงการ รถยนต์ ไผ่พงศธร พลิกคว่ำ” แต่ใช้คลิปวีดีโอประกอบเป็นภาพอุบัติเหตุรถกระบะลากรถไถประสานงากับรถเก๋งบนถนนทางหลวงสายศรีสงคราม-ท่าแร่  ตรงช่วงรอยต่ออำเภอศรีสงครามและอำเภอโพนสวรรค์ จ.นครพนม ซึ่งโพสต์ไว้โดยเพจเฟซบุ๊ก “ที่นี่ศรีสงคราม” เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2567 เป็นต้น

ภาพที่ 4 : บัญชี TikTok “todayusla0q” โพสต์เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2568 อ้าง สุนารี ราชสีมา เสียชีวิต เปรียบเทียบภาพกับคลิปรถกระบะเสียหลักพลิกคว่ำ ทางด่วนบูรพาวิถี กม.16 ขาออก เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2568 ซึ่งเจ้าตัวได้ออกมาเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อข่าวลวงนี้

นอกจากไผ่ พงศธรแล้ว ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ยังพบโพสต์ใน TikTok อ้างการเสียชีวิตของคนดังอีกหลายราย เช่น สุนารี ราชสีมา นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ที่เจ้าตัวต้องโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Sunaree Ratchasima – สุนารี ราชสีมา” เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 ระบุว่า “สุนยังไม่ตุยเด้อจ้ายังหมักปลาร้าทำของVายทุกวันระวังนะมันเป็นเวฟพนันอย่าเผลอไปกดลิงค์ที่มันแปะไว้นะเดี๋ยวโดนหลอก” แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลวง

ตัวอย่างโพสต์ข่าวลวงอ้างการเสียชีวิตของ สุนารี ราชสีมา เช่น บัญชี TikTok “todayusla0q”โพสต์เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2568 มีการใช้ภาพทำให้ดูเหมือนเป็นข่าวในรายการ “เรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์” ทางช่อง 3 มีข้อความบรรยาย “ข่าวด่วนวันนี้ ครูสุนารีจากไปไม่มีหวนกลับ” แต่เมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า คลิปอุบัติเหตุที่นำมาประกอบนั้น เป็นเหตุการณ์รถกระบะเสียหลักพลิกคว่ำ ทางด่วนบูรพาวิถี กม.16 ขาออก เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2568 ตามการโพสต์คลิปโดยบัญชี TikTok “stafan1” ในวันดังกล่าว 

ขณะที่เว็บไซต์ นสพ.มติชน รายงานข่าว “ระทึก รถปิกอัพ พลิกคว่ำบนทางด่วน น้ำมันไหลนอง แนะเลี่ยงเส้นทาง-รถติด” ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 19 ก.พ. 2568 เวลาประมาณ 12.00 น. เป็นอุบัติเหตุรถกระบะบรรทุกน้ำยากาว ยางระเบิด บนทางด่วน บูรพาวิถี ฝั่งขาออกมุ่งหน้าชลบุรี กม.16 มีถังน้ำยาแตกหกบนพื้นถนน โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิทยุ จส.100 และกู้ภัยนคร 45 (Nakon45) จ.สมุทรปราการ

ภาพที่ 5 : บัญชี TikTok “alis.37” โพสต์เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 อ้าง บีม – กวี ตันจรารักษ์ เสียชีวิตพร้อมครอบครัว เปรียบเทียบภาพจากข่าวอุบัติเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ เสียหลักพุงข้ามเกาะกลางถนนมาชนกับรถตู้นักเรียน ที่บริเวณถนนสายศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสัย ฝั่งขาออกจากตัวเมืองศรีสะเกษ เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 15 ส.ค. 2568

เช่นเดียวกับ บีม – กวี ตันจรารักษ์ อดีตนักร้องบอยแบนด์วง D2B ก็ถูกนำไปแอบอ้างสร้างข่าวลวงว่าเสียชีวิต โดยบัญชี TikTok  “alis.37” ซึ่งจากการตรวจสอบกับเว็บไซต์ trevorfox.com ที่ให้บริการ TikTok Post Date Finder พบว่า คลิปวิดีโอถูกโพสต์เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 โดยคลิปมีฉากหลังเป็นรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3 ใส่คำบรรยายว่า “อุบัติเหตุพรากชีวิต บีม  กวี ตันจรารักษ์ พร้อมครอบครัวสิ้นทั้งหมด” และเป็นคลิปอุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า คลิปอุบัติเหตุนั้นถูกโพสต์ในช่องยูทูบ “เรื่องเล่าเช้านี้” ซึ่งเป็นช่องทางการของรายการดังกล่าว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2568 

โดยทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้บรรยายไว้ใต้คลิปว่า เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 เวลา 17.45 น. มีอุบัติเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ เสียหลักพุงข้ามเกาะกลางถนนมาชนกับรถตู้นักเรียน ที่บริเวณถนนสายศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสัย ฝั่งขาออกจากตัวเมืองศรีสะเกษ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 11 ราย ซึ่งนอกจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ยังมีสื่อสำนักอื่นที่รายงานข่าวเดียวกัน เช่น เว็บไซต์ นสพ.เดลินิวส์ รายงานข่าว “รถบรรทุกเสียหลักข้ามเกาะกลางถนน ชนรถตู้รับส่งนักเรียนดับ 2 เจ็บระนาว” เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 ส.ค. 2568 เป็นต้น รวมถึงเมื่อเข้าไปดูที่เพจเฟซบุ๊ก “Beamkawee” ซึ่งเป็นเพจทางการของ บีม – กวี ตันจรารักษ์ ก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยยังคงโพสต์ภาพและคลิปของเจ้าตัวกำลังเลี้ยงลูกอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องi

ภาพที่ 6 และ 7 : โพสต์ความเห็นใต้คลิปข่าวลวงอุบัติเหตุกับคนดัง ชี้ชวนไปสู่เว็บไซต์การพนันออนไลน์

ข้อสังเกตสำคัญ 2 ประการที่ผู้เขียนพบ คือ 1.ข่าวลวงอ้างดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิต มักจะมีเสียงบรรยายที่อ้างว่าพบเงินสดจำนวนมากอยู่กับผู้เสียชีวิตด้วย แต่จะแตกต่างกันไป เช่น จำนวนเงิน 4 ล้านบ้าง 5 ล้านบ้าง หรือมากกว่านั้น รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับเงินนั้น เช่น บอกว่าผู้ตายกำลังจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้องค์กรการกุศลช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือไม่ก็เป็นข้อสงสัยที่จะนำไปสู่การสืบสวนว่าเงินนั้นมีที่มาอย่างไร 

กับ 2.ในช่องแสดงความคิดเห็นมักมีการระดมโพสต์ข้อความจากหลายๆ บัญชี โดยกล่าวถึงชื่อเว็บไซต์หรือบัญชีแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งเมื่อลองนำไปค้นหาจะพบว่าเป็นเว็บไซต์หรือบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ โดยโพสต์เหล่านั้นมักอ้างว่าตนเองได้เงินจากเว็บไซต์ดังกล่าว หรือแม้กระทั่งอ้างว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งถูกนำมาอ้างอย่างไม่เป็นความจริงนั้นก่อนเสียชีวิตก็ได้เงินจากเว็บพนันที่ถูกอ้างถึงนี้ด้วย

ซึ่งการทำแบบนี้น่าจะเป็นกลยุทธ์ของธุรกิจการพนันออนไลน์ที่ต้องการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แทนที่จะอ้างถึงเว็บพนันโดยตรงตั้งแต่ต้นโพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอซึ่งมีโอกาสสูงในถูกลบออกจนถึงระงับการใช้งานบัญชีนั้น ได้เปลี่ยนมาเป็นการโพสต์ข่าวลวงที่เร้าอารมณ์ดึงคนเข้ามาดูได้มากกว่า (อย่างข่าวการเสียชีวิตของคนดัง) แล้วใช้บัญชีอื่นๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นชี้ชวนให้เกิดความอยากรู้ว่าชื่อเว็บไซต์หรือไอดีไลน์นั้นคืออะไร 

กล่าวโดยสรุป นี่คือการ โฆษณาเว็บพนันอย่างแนบเนียน ซึ่งเมื่อบวกกับการระดมโพสต์ในเวลาไล่เลี่ยกันจำนวนมากๆ โดยอาศัยต้นทุนที่ค่อนข้างถูก ก็ยิ่งทำให้สกัดกั้นได้ยาก!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://web.facebook.com/reel/1150713660238227(โพสต์บัญชีเฟซบุ๊ก “พล ประกอบผล” 6 ก.ย. 2568) 

https://web.facebook.com/share/p/168QRASJKP/ (โพสต์จากเพจ Grammy Gold 8 ก.ย. 2568)

https://nineentertain.mcot.net/line-today-top-story-6703585 (ไผ่ พงศธร โดนกุข่าวเสียชีวิต ต้นสังกัด เตือน! ถ้าไม่หยุดจะดำเนินคดีตามกฎหมาย : ไนน์เอ็นเตอร์เทน 8 ก.ย. 2568)

https://www.youtube.com/watch?v=ByvMbw2fA0M (รถ 10 ล้อ ตัดหน้ารถตู้รับส่งพนักงานเกิดอุบัติเหตุ (25 ส.ค. 60) : ThaiPBS 25 ส.ค. 2560)

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_485181 (โดนสิบล้อตัดหน้ากะทันหัน รถตู้เบรกไม่ทันพุ่งชนท้าย ก่อนเสย 6 ล้อ พังยับ : ข่าวสด 24 ส.ค. 2560)

https://www.bangkokbiznews.com/news/770143 (รถบรรทุกสิบล้อเลี้ยวกะทันหัน รถตู้รับส่งพนักงานพุ่งชนท้าย : กรุงเทพธุรกิจ 24 ส.ค. 2560)

https://www.tiktok.com/@saga4761ed3/video/7546616583616072977 (โพสต์ TikTok บัญชี “saga4761ed3” 5 ก.ย. 2568)

https://www.tiktok.com/@ko40567/video/7546770586068847890 (โพสต์ TikTok บัญชี “ko40567’ 6 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/ZoomRayong/videos/749587704564109 (22/8/2568 อุบัติเหตุหน้าศูนย์ราชการ รถชนกันจำนวนหลายคัน  ขอให้ปลอดภัย : ZOOM Rayong ซูมระยอง 22 ส.ค. 2568)

https://mgronline.com/local/detail/9680000080063 (ฝนตกถนนลื่นทำกระบะพุ่งข้ามเลนชนเก่งที่วิ่งสวนมาหน้าศูนย์ราชการระยอง เจ็บระนาว : ผู้จัดการ 22 ส.ค. 2568)

https://www.tiktok.com/@pink88425/video/7546744498798251284 (โพสต์ TikTok บัญชี “pink88425” 5 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/share/p/1F67mSfTKr/(โพสต์จากเพจ “Sunaree Ratchasima – สุนารี ราชสีมา” เตือนประชาชน 8 ก.ย. 2568)

https://www.tiktok.com/@todayusla0q/video/7547135732964478215 (โพสต์ TikTok บัญชี “todayusla0q” 7 ก.ย. 2568)

https://www.tiktok.com/@stafan1/video/7473007388182760712 (โพสต์ TikTok บัญชี “stafan1” 19 ก.พ. 2568)

https://www.matichon.co.th/local/news_5056312 (ระทึก รถปิกอัพ พลิกคว่ำบนทางด่วน น้ำมันไหลนอง แนะเลี่ยงเส้นทาง-รถติด : มติชน 19 ก.พ. 2568)

https://www.tiktok.com/@alis.37/video/7547886640300100871 (โพสต์ TikTok บัญชี “alis.37” 9 ก.ย. 2568)p

https://www.youtube.com/watch?v=aqa5kE9GchA (สลด รถบรรทุกเสียหลัก ข้ามเกาะกลางถนน ชนรถตู้รับส่งนักเรียน ดับ 2 ราย เจ็บระนาว : เรื่องเล่าเช้านี้ 16 ส.ค. 2568)

https://www.dailynews.co.th/news/5022248 (รถบรรทุกเสียหลักข้ามเกาะกลางถนน ชนรถตู้รับส่งนักเรียนดับ 2 เจ็บระนาว : เดลินิวส์ 15 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/BeamFanpage (เพจ “Beamkawee”)


เช็กประวัติการศึกษา “ไชยชนก ชิดชอบ” เรียนที่อังกฤษ-จบรัฐศาสตร์บัณฑิต ม.เฉลิมกาญจนา บุรีรัมย์

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

นายไชยชนก ชิดชอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ถูกจับตามองมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคเมื่อปี 2567 มาจนถึงวันที่เขามีชื่ออยู่โผคณะรัฐมนตรี “อนุทิน 1” ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่ข้อมูลบางอย่างที่ขาดหายไปในประวัติการศึกษาของ สส. วัย 35 ปีทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่าเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่ไหน? โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

“จากเด็กติดเกม สู่รัฐมนตรีดีอี”

วันที่ 8 ก.ย. 2568 กรุงเทพธุรกิจเผยแพร่รายงานเรื่อง “จากเด็กติดเกมสู่รัฐมนตรีดีอี ‘ไชยชนก ชิดชอบ’ จิ๊กซอว์อำนาจรุ่นใหม่” สรุปประวัตินายไชยชนก บุตรชายคนโตของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย หลังจากมีชื่อในโผ ครม. ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี 

กรุงเทพธุรกิจเขียนถึงประวัติการศึกษาของนายไชยชนกเพียงสั้น ๆ ว่า “ศึกษาที่อังกฤษยาวนานถึง 17 ปี” ผู้อ่านจำนวนหนึ่งจึงเข้ามาตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วเขาจบการศึกษาสาขาอะไร จากสถาบันการศึกษาใด บางคนระบุว่าการสืบค้นในอินเทอร์เน็ตไม่พบข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการศึกษาในระดับปริญญาตรีของเขา

ประวัติไม่ชัดเจน

ประวัติการศึกษาของนายไชยชนกที่สื่อมวลชนหลายสำนักนำเสนอในช่วงที่ผ่านมา โคแฟคพบว่าเกือบทั้งหมดรายงานเพียงแค่ว่า “ศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ยาวนานถึง 17 ปี” หรือ “จบการศึกษาจากอังกฤษ” 

สื่อบางสำนักเช่น The Standard ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าไชยชนกจบจาก Millfield Preparatory School และ “เรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเงินก่อนจะเปลี่ยนมาเรียนด้านการจัดการการเงินระหว่างประเทศ” แต่ก็ไม่ได้ระบุวุฒิและชื่อสถาบันการศึกษา ด้าน ไทยรัฐ รายงานว่า “สำเร็จการศึกษาไฮสกูล ที่ Millfield Preparatory School, England และ เศรษฐศาสตร์การเงิน มหาวิทยาลัยในลอนดอน”

ขณะที่เว็บไซต์วิกิพีเดีย เขียนถึงประวัติการศึกษาของไชยชนกไว้ว่า “เดินทางไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ขณะที่อายุ 8 ปี โดยจบการศึกษาระดับไฮสกูลที่โรงเรียน Millfield Preparatory School จากนั้นเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ในสาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ก่อนเปลี่ยนไปศึกษาต่อในด้านการจัดการการเงินระหว่างประเทศ”

เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียทางการของพรรคภูมิใจไทย บัญชีเฟซบุ๊ก “Nok Chidchob” “ไชยชนก ชิดชอบ Fanclub” ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารหลักของทีมงานนายไชยชนก ตลอดจนฐานข้อมูลออนไลน์ประวัติ สส. ของรัฐสภาไม่ปรากฏประวัติการศึกษาของนายไชยชนกเช่นกัน ส่วนบัญชีอินสตาแกรมของนายไชยชนก @noknokii ที่ตั้งค่าสาธารณะ ไม่พบว่ามีการโพสต์ภาพเกี่ยวกับการจบการศึกษาในประเทศอังกฤษหรือในไทย มีเพียงภาพใบประกาศนียบัตรสำเร็จคอร์สอบรมหลักสูตรการเป็นผู้นำจัดโดยบริษัทเอกชนชื่อ Bramely Lakes Learning and Development เมื่อปี 2556

โคแฟคตรวจสอบ

เดือนพฤษภาคม 2567 นายไชยชนกให้สัมภาษณ์ The Standard ว่า “ไปเรียนที่อังกฤษมาเกินครึ่งชีวิต แต่เรียนไม่จบที่นั่นนะ กลับมาเพราะว่าช่วงนั้นก็อาจจะมีดื้อบ้าง และต้องเรียนต่อแบบต่อเวลา จากเรียนเร็วไปเรียนช้า และช่วงนั้นจะทำสนามแข่งรถ อยากมีส่วนร่วม พ่อแม่บอกกลับมาทำไม ไม่กลับสนามก็สร้างได้ แต่เราอยากมีส่วนร่วม ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเหมือนกัน”

โคแฟคติดต่อพรรคภูมิใจไทยเพื่อขอข้อมูลประวัติการศึกษาของนายไชยชนก ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของพรรคเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2568 ว่านายไชยชนกจบการศึกษารัฐศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา บุรีรัมย์เมื่อเดือนมีนาคม 2561

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมกับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา บุรีรัมย์ ได้รับคำยืนยันว่านายไชยชนกเข้าศึกษาในคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น เมื่อปี 2558 และสำเร็จการศึกษาเมื่อปี 2561 

นอกจากนี้ยังพบว่าเพจเฟซบุ๊กของมหาวิทยาลัยโพสต์วิดีโอที่นายไชยชนกเป็นผู้แทนบัณฑิตนำกล่าวคำปฏิญาณตนในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ประจำปีการศึกษา 2560-2562 ในวันที่ 15 มี.ค. 2563 ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จ.นนทบุรี โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จมาพระราชทานปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษา

มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ก่อตั้งในปี 2547 ที่ จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ศูนย์ใน 7 จังหวัด รวมทั้งบุรีรัมย์ 

ภาพจากคลิปวิดีโอที่นายไชยชนกเป็นผู้แทนบัณฑิตนำกล่าวคำปฏิญาณตนในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ประจำปีการศึกษา 2560-2562 วันที่ 15 มี.ค. 2563 ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ข้อสรุปโคแฟค

การรายงานของสื่อมวลชนที่ระบุว่านายไชยชนกสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษโดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดถึงวุฒิและสถาบันการศึกษา ขณะที่พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องนี้ อาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าเขาเรียนจบปริญญาตรีจากประเทศอังกฤษ  แต่จากคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายไชยชนกและข้อมูลจากพรรคภูมิใจไทยสรุปได้ว่า นายไชยชนกเรียนที่ประเทศอังกฤษจริง แต่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษ โดยหลังจากกลับมาประเทศไทย เขาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา บุรีรัมย์ เมื่อปี 2558 และจบการศึกษารัฐศาสตร์บัณฑิตเมื่อปี 2561 และเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ เมื่อปี 2563

อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติม (25 ก.ย. 2568)

ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติการศึกษาของนายไชยชนก พบข้อมูลในบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Chaichanok Chidchob” ที่ระบุว่า “เคยศึกษาที่ City St George’s, University of London จบการศึกษาปี 2013”  

โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าบัญชีเฟซบุ๊กนี้เป็นของนายไชยชนกหรือไม่ แต่ก็ได้ส่งอีเมลไปที่สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ (Alumni Relations Office) ของมหาวิทยาลัย City St George’s, University of London เพื่อสอบถามว่านายไชยชนกเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้หรือไม่

วันที่ 24 ก.ย. 2568 โคแฟคได้รับอีเมลตอบกลับจากนายสตีฟ โอเวน โอ’ดอนเนลล์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลและกิจการศิษย์เก่าระบุว่าจากการสืบค้นฐานข้อมูลนักศึกษาพบว่านายไชยชนกเคยศึกษาที่ City, University of London แต่ถอนตัวก่อนจบการศึกษา

นายสตีฟให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า City เป็นมหาวิทยาลัยในเครือของ University of London ซึ่งต่อมาได้ควบรวมกับ St George’s, University of London เมื่อปี 2024 เป็น City St George’s, University of London ในปัจจุบัน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ