พาราเซตามอลทำทารกออทิสติก” จริงหรือ? ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริงในโคแฟคสนทนา

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.19 ออกอากาศเวลา 19:00–19:30 น. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างที่ว่า “พาราเซตามอล” ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านอาจทำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์มีภาวะออทิสติกหรือพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ทรัมป์ ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และวงการเภสัชกรรม การสนทนาครั้งนี้นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.ภญ.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว. องครักษ์) และ เต ฐานันดร จากอีสานโคแฟค เครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงภาคอีสาน

สุภิญญา กล่าวว่า ข่าวลือนี้สร้างความกังวลอย่างมากเนื่องจากพาราเซตามอลเป็นยาที่อยู่คู่ครัวเรือนทั่วโลกมานาน และมักใช้เป็นยาลดไข้และบรรเทาอาการปวดในหลายสถานการณ์ เธอตั้งข้อสังเกตว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งต้องตรวจสอบเจตนาเชิงลึกต่อไป แต่เน้นว่าการสนทนาครั้งนี้จะยึดข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก

รศ.ดร.ภญ.มยุรี อธิบายว่า ปัจจุบันไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะออทิสติกหรือสมาธิสั้นในทารก งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งติดตามผลในกลุ่มตัวอย่างกว่า 2 ล้านคนในสวีเดนเป็นเวลา 10 ปี พบความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างการใช้พาราเซตามอลในหญิงตั้งครรภ์กับความผิดปกติในเด็ก แต่เมื่อควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง ความสัมพันธ์นี้หายไป ผลวิจัยระบุว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลมากกว่าพาราเซตามอล นอกจากนี้ งานวิจัยในนอร์เวย์ที่ควบคุมปัจจัยพันธุกรรมก็ให้ผลสอดคล้องกันว่า พาราเซตามอลไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะดังกล่าว

อาจารย์มยุรี ย้ำว่า หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นยาตัวแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะหรือกล้ามเนื้อ โดยแนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด สำหรับขนาดยาที่เหมาะสมในผู้ใหญ่ ควรคำนวณตามน้ำหนักตัวที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยพิจารณาอาการเป็นหลัก และไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หรือ 4 กรัมในกรณีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อตับ ส่วนเด็กต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว โดยขนาดสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน

เต ฐานันดร ถามถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์ที่กังวลเกี่ยวกับการใช้ยา อาจารย์มยุรี ตอบว่า หากอาการปวดหรือไข้ไม่รุนแรง หญิงตั้งครรภ์ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ยา แต่หากจำเป็น พาราเซตามอลยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่ายาทางเลือกอื่น เช่น สมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร ซึ่งห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกผ่านน้ำนม และสมุนไพรที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด หรือยาขมของจีน ก็ไม่แนะนำสำหรับกลุ่มนี้

อาจารย์มยุรี ยังเตือนถึงความเสี่ยงจากการใช้ยาหรือสมุนไพรเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น ผู้ที่มีไขมันพอกตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ผู้ดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือผู้ใช้สมุนไพรที่มีรสขมเป็นประจำการใช้พาราเซตามอลเกิน 4 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเกิน7 วัน หรือใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลโดยไม่รู้ตัว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อตับได้ เธอแนะนำให้อ่านฉลากยาให้ชัดเจน และปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม

สำหรับฟ้าทะลายโจร ผู้ชมถามว่าสามารถใช้เป็นประจำได้หรือไม่ อาจารย์มยุรี อธิบายว่า ไม่ควรกินติดต่อกันทุกวันเกิน 1 เดือน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อตับโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ใช้ยาลดไขมันร่วมด้วย ฟ้าทะลายโจรเหมาะสำหรับบรรเทาอาการเจ็บคอหรือร้อนในจากไวรัส แต่ฤทธิ์ลดไข้สู้พาราเซตามอลไม่ได้ และต้องใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดี

สุภิญญา สรุปว่า คำกล่าวอ้างของทรัมป์ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และประชาชนไม่ควรกังวลเกินเหตุพาราเซตามอลยังเป็นยาสามัญที่ปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี แต่ไม่ควรใช้พร่ำเพร่อหรืออดทนจนเกินไปโดยไม่ใช้ยาเมื่อจำเป็น เธอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หากมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือจากโซเชียลมีเดีย


ขอบคุณที่มา ubonconnect

สิ้นสุดยุคแห่งข้อเท็จจริง? การพูดคุยของ Cofact Live Talk เกี่ยวกับ”Information Armageddon”

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 — เนื่องในวันข่าวโลก (World News Day) Cofact Live Talk ได้ตั้งวงคุยหัวข้อ “Information Integrity vs. Information Armageddon” เพื่อสะท้อนมุมมองจากสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยมีแขกรับเชิญพิเศษคือ Shataakshi Verma ผู้จัดการโครงการและพัฒนาจาก Reporters Without Borders (RSF) สำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในวง Live Talk มี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เจษฎา ศาลาทอง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมดำเนินรายการพูดคุย โดยได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งเธอได้ให้คำจำกัดความของสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็น “Armageddon” หรือการทำลายล้างครั้งใหญ่ของข้อมูล ในยุคนี้ ข่าวปลอมแพร่กระจายเร็วกว่าข้อเท็จจริงถึง 6 เท่าบนโซเชียลมีเดีย และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ให้รางวัลกับความเกลียดชังมากกว่าความเห็นอกเห็นใจ ส่งผลให้เกิดความกลัว ความโกรธ และความเกลียดชัง สุภิญญาเน้นย้ำว่า Maria มองว่า “Information integrity” หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูล คือการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด เพราะความรุนแรงบนโลกออนไลน์ได้นำไปสู่ความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการขาดความน่าเชื่อถือของข้อมูลอาจนำไปสู่การล่มสลายของสถาบันและความเชื่อใจในสังคม

นิยามของ “Information Armageddon” และภัยคุกคาม

Shataakshi Verma จาก RSF อธิบายว่าการใช้คำว่า “Armageddon” ของ Maria Ressa ไม่ได้หมายถึงจุดจบ แต่เป็นคำเตือนว่าเรายังพอมีเวลา เธอมองว่า “Information Armageddon” คือการที่สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริงของผู้คนทั่วโลกกำลังถูกคุกคาม และขาดความจริงในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป เธอยังชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามหลายด้านที่เชื่อมโยงกับปัญหานี้ ได้แก่:

การบิดเบือนข้อมูล: มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างแพร่หลาย

การผูกขาดข้อมูล: แพลตฟอร์มต่าง ๆ กำลังผูกขาดข้อมูลและเนื้อหาที่นำเสนอ

สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของสื่อ: ผู้สื่อข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้บทบาทของสื่ออิสระลดลง

อำนาจนิยม: ระบบอำนาจนิยมในหลายภูมิภาคทั่วโลกใช้การควบคุมข้อมูลเป็นเครื่องมือในการทำงาน

เศรษฐกิจ: รูปแบบทางเศรษฐกิจของสื่ออิสระกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก ทำให้ไม่มีเงินทุนสนับสนุนสื่ออิสระอีกต่อไป และในบางประเทศเช่น จีนและเวียดนาม สื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อที่ควบคุมโดยรัฐทำให้ไม่มีช่องทางในการตรวจสอบข้อมูล

ความปลอดภัยของนักข่าวและผลกระทบต่อวิชาชีพ

Shataakshi กล่าวว่า นักข่าวคือศูนย์กลางของภัยคุกคามนี้ มีความรุนแรงทางออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปที่นักข่าว ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจและนำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเอง เธอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับนักข่าวในไต้หวันที่ทำงานเกี่ยวกับจีน ซึ่งถูกคุกคามทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องจนต้องปิดบัญชีส่วนตัว เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ในฐานะอาจารย์สอนวิชารู้เท่าทันสื่อ (media literacy) ที่ไต้หวันว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นนักข่าวอีกต่อไป ด้วยเหตุผลว่าการเป็นนักข่าวเป็นอาชีพที่ยากลำบาก ไม่สร้างรายได้ และมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพ ทั้ง สุภิญญาและอาจารย์เจษฎาต่างก็พบเห็นแนวโน้มเดียวกันนี้ในนักศึกษาของตน

ความสำคัญของ “Information Integrity” และความรับผิดชอบร่วมกัน

Shataakshi ให้คำจำกัดความของ “Information Integrity” ว่าหมายถึงการผลิตข้อมูลที่ยึดหลักจริยธรรมเป็นแกนหลัก ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่ผลิตขึ้นมา และยังเน้นถึงบทบาทของ AI ที่จะส่งผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการควบคุม เธอจึงเสนอว่าควรมีการควบคุม AI ในระดับรัฐบาลและระดับโลก RSF เองก็มีโครงการที่ชื่อว่า Journalism Trust Initiative (JTI) ซึ่งพยายามตรวจสอบและนำเสนอระเบียบการสำหรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อมูลที่เผยแพร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง

นอกจากบทบาทขององค์กรและรัฐบาลแล้ว อาจารย์เจษฎาและShataakshi เน้นย้ำว่าผู้บริโภคข้อมูลก็มีส่วนสำคัญในการต่อสู้กับ”Information Armageddon” นี้ อาจารย์เจษฎาเปรียบเทียบการบริโภคข่าวสารเหมือนกับการบริโภคอาหาร และกล่าวว่าเราต้องเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและมีวิจารณญาณ เพื่อให้สุขภาพทางดิจิทัลของเราแข็งแรงและยั่งยืน

โครงการเพื่อนักข่าวหญิงในประเทศไทย

Shataakshi ยังได้กล่าวถึงโครงการที่ RSF จะร่วมมือกับ Cofact ในประเทศไทยเพื่อจัดการอบรมสำหรับนักข่าวหญิง โดยโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะสอนเรื่องความปลอดภัยทางดิจิทัล การตรวจสอบข้อมูล (fact-checking) และการใช้เครื่องมือทางดิจิทัลต่าง ๆ พร้อมกับดูแลสุขภาพจิตของนักข่าวด้วย โดยเฉพาะนักข่าวหญิงในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความรุนแรงทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 

สุภิญญาได้กล่าวเสริมถึงกรณีของนักข่าวหญิงไทยชื่อดังอย่างคุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่นอกจากผลงานจะถูกขโมยแล้ว ยังถูกโจมตีทางออนไลน์เมื่อทำข่าวที่มีประเด็นอ่อนไหว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วภูมิภาค

สรุปความโดย Gemini


ขอบคุณที่มา ubonconnect

คลิปสร้างกำแพงกันดินที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถูกนำมาอ้างเท็จว่าสร้างรั้วที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปการก่อสร้างในพื้นที่อื่น** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Ornrapim PNi Kongcharond” โพสต์คลิปวิดีโอการวางกำแพงคอนกรีต ฝังข้อความในคลิปว่า “เริ่มสร้างรั้วชายแดนไทยกัมพูชา ของจริง กำลังสร้างรั้ว” และเขียนบรรยายในโพสต์ว่ารถแบ็คโฮกำลังวางรั้วสำเร็จกั้นชายแดนไทยกัมพูชา

โพสต์นี้มียอดการชมถึง 2.1 ล้านครั้งและถูกแชร์มากกว่า 1,600 ครั้ง (ณ วันที่ 30 ก.ย. 68) 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ที่เพจเฟซบุ๊ก “เซฟ คมพิศิษฐ์ พี.เอส.ที. เอ็นจิเนียริ่ง” เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 68 ระบุข้อความในคลิปว่า “ติดตั้งกำแพงกันดินสูง 2.50 เมตร” ในโพสต์ใส่แฮชแท็กเกี่ยวกับการรับงานติดตั้งกำแพงกันดินสำเร็จรูป

โคแฟคสอบถามเพิ่มเติมไปยังบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ข้อมูลว่าเป็นคลิปงานติดตั้งกำแพงกันดินให้ลูกค้าที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

‘พาราเซตามอล’ทำทารก‘ออทิสติก’จริงหรือ? เมื่อ ‘ทรัมป์’ออกมาเตือนไม่อยากให้หญิงมีครรภ์ใช้

By : Zhang Taehun

ผมอยากจะพูดตรงๆ ว่า อย่ากินไทลินอล อย่ากินมัน (I want to say it like it is, don’t take Tylenol. Don’t take it)” 

คำกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 เตือนประชาชน “อย่าให้หญิงมีครรภ์ใช้ยาไทลินอล (Tylenol) เพราะจะส่งผลให้เด็กเกิดมาเป็นออทิสติก(Autism)” และเสนอให้ใช้ ลิวโคโวริน (Leucovorin) กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางคำถามว่า “จริงหรือไม่?”ผู้นำสหรัฐฯ อ้างอิงจากหลักฐานอะไร?

อาทิ สำนักข่าวรอยเตอร์ ในวันเดียวกัน ได้รายงานเสียงโต้แย้งจากกลุ่มสนับสนุนทางการแพทย์ การวิจัย และออทิสซึมหลายสิบกลุ่ม รวมถึงสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) และวิทยาลัยสูตินรีแพทย์และนรีเวชวิทยาแห่งอเมริกา (American College of Obstetricians and Gynecologists) ที่ระบุว่า ข้อมูลที่อ้างถึงไม่ได้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่าไทลีนอลเป็นสาเหตุของออทิสติกและลิวโคโวรินสามารถใช้เป็นยารักษาได้ 

– ไทลินอลคืออะไร? : ไทลินอล เป็นหนึ่งในชื่อทางการค้าของตัวยา พาราเซตามอล (Paracetamol)หรือ อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เป็นยาที่มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถใช้ได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา โดยทั่วไปเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเว้นแต่ว่ารับประทานยาเกินขนาดหรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเกิดอันตรายต่อตับและไตได้

Drugs.com เว็บไซต์ฐานข้อมูลสารานุกรมเภสัชกรรมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลยาแก่ผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีสำนักงานในสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์ ระบุว่า อะเซตามิโนเฟน เป็นชื่อสามัญของตัวยา ในขณะที่ ไทลินอล เป็นชื่อทางการค้าของยาซึ่งผลิตโดย McNeil Consumer บริษัทในเครือ Kenvue ยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในสหรัฐฯ โดยอะเซตามิโนเฟนเป็นยาบรรเทาปวดสำหรับอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น อาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดฟัน และมีไข้

– ไทลินอลอันตรายต่อทารกในครรภ์ เสี่ยงต่อการทำให้เกิดออทิสติกจริงหรือ? : รายงานของรอยเตอร์ Explainer: Is Tylenol safe to take during pregnancy? วันที่ 22 ก.ย. 2568 อ้างถึงงานวิจัยหลายชิ้น เช่น Acetaminophen Use During Pregnancy and Children’s Risk of Autism, ADHD, and Intellectual Disability ซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ขงอสหรัฐฯ อย่าง JAMA เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2567 ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเด็กเกือบ 2.5 ล้านคนในสวีเดน ไม่พบความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนในครรภ์กับความผิดปกติทางพัฒนาการทางระบบประสาท เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น (ADHD)

งานวิจัยหัวข้อ Evaluation of the evidence on acetaminophen use and neurodevelopmental disorders using the Navigation Guide methodology เผยแพร่ทางวารสารวิชาการของอังกฤษอย่าง BioMed Central เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 ซึ่งศึกษางานวิจัยก่อนหน้านี้ 46 ชิ้น ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนก่อนคลอดกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเหล่านี้ แต่นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ไอคาห์น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และคณะอื่นๆ กล่าวว่า การศึกษานี้ไม่ได้พิสูจน์ว่ายาเป็นสาเหตุของผลลัพธ์ดังกล่าว โดยแนะนำว่าสตรีมีครรภ์ควรใช้อะเซตามิโนเฟนต่อไปตามความจำเป็น ในขนาดยาที่ต่ำที่สุด และในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้ว่าแนวโน้มอัตราความผิดปกติทางพัฒนาการของระบบประสาท (NDD) ในระดับประชากรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงการวินิจฉัยที่ดีขึ้นและการสัมผัสจากภายนอก แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เหล่านี้และพิจารณาสาเหตุและกลไก ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุมีความเป็นไปได้เนื่องจากความสอดคล้องของผลการศึกษาและการควบคุมอคติที่เหมาะสมในการศึกษาทางระบาดวิทยาส่วนใหญ่ รวมถึงผลกระทบทางชีวภาพของอะเซตามิโนเฟนต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ในการศึกษาเชิงทดลอง

(While population-level trends in NDD rates have risen, potentially due to several factors including improved diagnostics and external exposures, further research is needed to confirm these associations and determine causality and mechanisms. A causal relationship is plausible because of the consistency of the results and appropriate control for bias in the large majority of the epidemiological studies, as well as acetaminophen’s biological effects on the developing fetus in experimental studies.)” งานวิจัยดังกล่าวให้ข้อสรุป 

ในวันเดียวกัน องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ FDA Responds to Evidence of Possible Association Between Autism and Acetaminophen Use During Pregnancy ระบุว่า FDA ได้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงฉลากยาอะเซตามิโนเฟน (ไทลีนอลและผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน) เพื่อสะท้อนหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนในหญิงตั้งครรภ์อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคทางระบบประสาท เช่น ออทิสติกและสมาธิสั้นในเด็ก นอกจากนี้ หน่วยงานยังได้ออกจดหมายแจ้งเตือนแพทย์ทั่วประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย

แนวทางของ FDA อ้างถึงงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในฐานข้อมูลหอสมุดแพทย์แห่งชาติอเมริกันในกำกับดูแลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NLM-NIH) เช่น Use of Negative Control Exposure Analysis to Evaluate Confounding: An Example of Acetaminophen Exposure and Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder in Nurses’ Health Study II (เผยแพร่ 1 เม.ย. 2562) , 

Association of Cord Plasma Biomarkers of In Utero Acetaminophen Exposure With Risk of Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder and Autism Spectrum Disorder in Childhood (เผยแพร่ 1 ก.พ. 2563) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม รายงานของ FDA ทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ แม้ว่าจะมีการศึกษาหลายชิ้นที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอะเซตามิโนเฟนและภาวะทางระบบประสาท แต่ก็ยังไม่พบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ชัดเจน และมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดแย้งกัน 

อะเซตามิโนเฟนเป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไปเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาไข้ระหว่างตั้งครรภ์ และไข้สูงในหญิงตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อลูกได้ นอกจากนี้ แอสไพรินและไอบูโพรเฟนยังมีรายงานผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์อย่างชัดเจนรายงานของ FDA ระบุ 

มารืตี้ มาคารี (Marty Makary) กรรมการ FDA กล่าวว่า FDA กำลังดำเนินการเพื่อให้ผู้ปกครองและแพทย์ตระหนักถึงหลักฐานจำนวนมากเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน แต่ถึงกระนั้น การตัดสินใจก็ยังคงเป็นของผู้ปกครอง หลักการป้องกันไว้ก่อนอาจทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการใช้อะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไข้ต่ำส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม สตรีมีครรภ์ยังคงมีความเหมาะสมที่จะใช้อะเซตามิโนเฟนในบางสถานการณ์

วันที่ 23 ก.ย. 2568 สื่อหลายสำนัก เช่น สถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศส อ้างรายงานข่าว WHO sees no autism links to Tylenol, vaccinesระบุว่า ทาริค ยาซาเรวิค (Tarik Jasarevic) โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้แจงกับสื่อโดยยอมรับว่า งานวิจัยเชิงสังเกตบางชิ้น ซึ่งอาศัยการสังเกตเพียงอย่างเดียวและไม่ได้รวมกลุ่มควบคุมหรือกลุ่มที่ได้รับการรักษา ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนหรือพาราเซตามอลก่อนคลอดกับโรคออทิสติก อย่างไรก็ตาม หลักฐานยังคงไม่สอดคล้องกับงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว จึงไม่ควรสรุปอย่างผิวเผินเกี่ยวกับบทบาทของอะเซตามิโนเฟนกับโรคออทิสติก 

อลิสัน เคฟ (Alison Cave) หัวหน้าส่วนงานด้านความปลอดภัย องค์การกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพของอังกฤษ (MHRA) กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลระหว่างตั้งครรภ์ทำให้เกิดภาวะออทิสติกในเด็กเช่นเดียวกับ สเตฟเฟน เธิร์สทรัป (Steffen Thirstrup) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ขององค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ที่กล่าวว่า คำแนะนำของเรามีพื้นฐานมาจากการประเมินอย่างเข้มงวดจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ และไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้เด็กเป็นออทิสติก

ในวันเดียวกัน สำนักงานบริหารสินค้าเพื่อการบำบัดรักษา (TGA) หน่วยงานภายใต้กระทรวงสุขภาพ ผู้พิการและผู้สูงอายุของออสเตรเลีย เผยแพร่จดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ Paracetamol use in pregnancy ระบุว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลในระหว่างตั้งครรภ์กับภาวะออทิสติกหรือโรคสมาธิสั้น โดยมีงานวิจัยขนาดใหญ่และเชื่อถือได้หลายชิ้นที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างเหล่านี้โดยตรง

แม้ว่าจะมีบทความตีพิมพ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลในมารดากับภาวะออทิสติกในวัยเด็ก แต่บทความเหล่านั้นก็มีข้อจำกัดเชิงวิธีการ งานวิจัยล่าสุดและน่าเชื่อถือกว่าได้หักล้างข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ โดยสนับสนุนน้ำหนักของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่ไม่สนับสนุนความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างยาพาราเซตามอลกับภาวะออทิสติกหรือโรคสมาธิสั้นรายงานของ TGA ระบุ 

รายงานของ TGA ยังกล่าวด้วยว่า ในออสเตรเลีย พาราเซตามอลยังคงอยู่ในกลุ่มยาสำหรับหญิงตั้งครรภ์ประเภท A ในออสเตรเลีย ซึ่งหมายความว่ายานี้ถือว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์เมื่อใช้ตามคำแนะนำในเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ (PI) และเอกสารข้อมูลยาสำหรับผู้บริโภค (CMI) ที่ได้รับการรับรองจาก TGA กล่าวคือ ยานี้ถูกใช้โดยสตรีมีครรภ์และสตรีวัยเจริญพันธุ์จำนวนมาก โดยไม่พบหลักฐานว่าพบความผิดปกติทางร่างกายหรือผลกระทบที่เป็นอันตรายอื่นๆ ต่อทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นก็เช่นเดียวกับการใช้ยาอื่นๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ ที่สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของตนก่อนใช้ยาพาราเซตามอล

ในวันที่ 24 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “World Health Organization (WHO)” ขององค์การอนามัยโลก เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ “WHO statement on autism-related issues” โดยย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดที่ยืนยันถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างออทิสติกและการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (หรือที่เรียกว่าพาราเซตามอล) ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยทั่วโลกมีผู้ป่วยกลุ่มโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) เกือบ 62 ล้านคน (หรืออัตราส่วน 1 ใน 127 คน) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของสมอง 

ซึ่งแม้ว่าความตระหนักรู้และการวินิจฉัยโรคจะดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคออทิสซึมได้ และเป็นที่เข้าใจกันว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้อง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงการศึกษาขนาดใหญ่ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์และโรคออทิสติก แต่ ณ ขณะนี้ ยังไม่มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน

องค์การอนามัยโลกแนะนำให้สตรีทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยประเมินสถานการณ์เฉพาะบุคคลและแนะนำยาที่จำเป็นได้ควรใช้ยาใดๆ อย่างระมัดระวังในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรก และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพรายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุ 

ท่าทีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยว่าอย่างไร?


วันที่ 25 ก.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่อง “อย. แจง พาราเซตามอลยังปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แนะใช้เท่าที่จำเป็น” ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด รวมถึงท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาทั่วโลก ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่ายาพาราเซตามอลเป็นสาเหตุของโรคออทิสติก และปัจจุบันยังคงเป็นยาทางเลือกแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการรักษาอาการปวดและลดไข้

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย. ชี้แจงว่า “แม้บางประเทศจะมีการพิจารณาปรับปรุงฉลากยาเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่อาจมี แต่ทุกหน่วยงานยังย้ำว่า ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นสาเหตุและมีการศึกษาที่ขัดแย้งกัน” อย. จึงขอแนะนำให้สตรีมีครรภ์และประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด สามารถใช้ยาได้ตามปกติ

“แต่ควรยึดหลักสำคัญคือ ใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดที่ให้ผลการรักษา และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ” เลขาธิการ อย. กล่าว

โดยสรุปแล้ว แม้จะมีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ความเป็นไปได้ที่อาจมีความเชื่อมโยงกันระหว่างโรคออทิสติกในเด็กกับการใช้ยาแก้ปวด – ลดไข้ไทลินอล (อะเซตามิโนเฟนหรือพาราเซตามอล) ของหญิงตั้งครรภ์ แต่เป็นข้อค้นพบที่ยังไม่ชัดเจนและต้องศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนั้นยังขัดแย้งกับงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้ในภาพรวมของหน่วยงานสาธารณสุขนานาชาติ ยังคงอนุมัติให้ยาดังกล่าวยังคงใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ เมื่อเทียบกับยาแก้ปวด – ลดไข้บางชนิดที่มีรายงานผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ชัดเจนกว่า

ทั้งนี้ ในกรณีขงหญิงตั้งครรภ์ มีคำแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/trump-expected-link-autism-with-tylenol-experts-say-more-research-needed-2025-09-22/ (Trump links autism to Tylenol and vaccines, claims not backed by science : รอยเตอร์ 22 ก.ย. 2568)

https://www.naewna.com/inter/916086 (ช็อกทั้งโลก! ‘ทรัมป์’เตือนหญิงตั้งครรภ์เลี่ยงกินยาไทลินอล พบเสี่ยงทำลูกเป็นออทิสติก : แนวหน้า 23 ก.ย 2568)

https://www.rama.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/knowledge_general_population/paracetamol (การใช้และปัญหาจากยาใกล้ตัว : ทำความรู้จักยาพาราเซตามอล (paracetamol) : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)

https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=8410 (Acetaminophen ใช้รักษาอาการปวดในผู้ป่วยข้ออักเสบ(ข้อเข่า ข้อสะโพก) ถ้าใช้เป็นเวลานานจะมีความปลอดภัยหรือไม่ และต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์หรือว่าสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป : คลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

https://www.drugs.com/medical-answers/acetaminophen-tylenol-3002135/ (Is acetaminophen the same as Tylenol? : Drugs.com 16 ต.ค. 2567)

https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1944048/000162828023012570/exhibit211-sx1a4.htm (Subsidiaries of Kenvue Inc. : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (SEC) 4 ม.ค. 2566)

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/is-tylenol-safe-take-during-pregnancy-2025-09-22/ (Explainer: Is Tylenol safe to take during pregnancy? : รอยเตอร์ 22 ก.ย. 2568)

https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2817406 (Acetaminophen Use During Pregnancy and Children’s Risk of Autism, ADHD, and Intellectual Disability : JAMA 9 เม.ย. 2567)

https://ehjournal.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12940-025-01208-0 (Evaluation of the evidence on acetaminophen use and neurodevelopmental disorders using the Navigation Guide methodology : BioMed Central 14 ส.ค. 2568)

https://www.fda.gov/news-events/press-announcements/fda-responds-evidence-possible-association-between-autism-and-acetaminophen-use-during-pregnancy (FDA Responds to Evidence of Possible Association Between Autism and Acetaminophen Use During Pregnancy : FDA 22 ก.ย. 2568)

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30923825/ (Use of Negative Control Exposure Analysis to Evaluate Confounding: An Example of Acetaminophen Exposure and Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder in Nurses’ Health Study II :NLM-NIH 1 เม.ย. 2562)

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31664451/ (Association of Cord Plasma Biomarkers of In Utero Acetaminophen Exposure With Risk of Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder and Autism Spectrum Disorder in Childhood : NLM – NIH 1 ก.พ. 2563)

https://www.france24.com/en/live-news/20250923-who-sees-no-autism-links-to-tylenol-vaccines (WHO sees no autism links to Tylenol, vaccines : France24 23 ก.ย. 2568)

https://www.tga.gov.au/news/media-releases/paracetamol-use-pregnancy (Paracetamol use in pregnancy : TGA Australia 23 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/100064481988528/posts/1236350181857703/?rdid=WYv9ogHF7ZoUrCBn# (WHO statement on autism-related issues : เพจ World Health Organization (WHO) 24 ก.ย. 2568)

https://oryor.com/media/newsUpdate/media_news/3306 (อย. แจง พาราเซตามอลยังปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แนะใช้เท่าที่จำเป็น : อย. 25 ก.ย. 2568)


การเรียกร้องระดับโลกเพื่อความจริงและความรับผิดชอบ ต่อการสังหารนักข่าวในความขัดแย้งกาซา

กรุงเทพฯ — กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ร่วมอภิปรายถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่นักข่าวกำลังเผชิญอยู่ในเขตสงครามกาซา ซึ่งนับเป็นความขัดแย้งที่คร่าชีวิตผู้สื่อข่าวมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ความจริง” เนื่องในวันสันติภาพสากล เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568

Cofact Live Talk ซึ่งจัดโดยโคแฟคประเทศไทย โดยมีนักข่าวจาก ThaiPBS World กิติพัฒน์ ชื่นสุขจิต และแขกรับเชิญพิเศษ Arthur Rochereau

ผู้สื่อข่าวจากองค์กร นักข่าวไร้พรมแดน (RSF) (สำนักงานประเทศไต้หวัน) ได้ร่วมอภิปรายถึงต้นทุนชีวิตของการรายงานข่าวในเขตสงคราม บทบาทที่เป็นอันตรายของข้อมูลบิดเบือน และความสำคัญเชิงชีวิตของการบอกเล่าความจริง ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการเสวนา “Dying for Truth in Gaza” ได้สะท้อนความจริงอันโหดร้ายว่า นักข่าวไม่ได้เพียงทำหน้าที่รายงานความขัดแย้ง—แต่กำลังกลายเป็นเหยื่อของมันด้วย

การเสวนามี คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่ทั้งขมขื่นและเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะเป็นการเฉลิมฉลองจิตวิญญาณแห่งสันติภาพ แต่ผู้ร่วมเสวนาก็ยอมรับถึงความจริงอันโหดร้ายของความขัดแย้ง โดยเฉพาะในกาซา ซึ่งการแสวงหาความจริงได้กลายเป็นภารกิจที่แลกด้วยชีวิต

  • นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 RSF ได้บันทึกการเสียชีวิตของนักข่าวอย่างน้อย 220 คน ในกาซา ทำให้ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุดบนโลกสำหรับผู้ทำงานสื่อ “สถานการณ์ตอนนี้สำหรับนักข่าวในกาซาไม่ต่างอะไรจากหายนะโดยสิ้นเชิง” Arthur กล่าว พร้อมอธิบายว่านักข่าวถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิด การยิงสไนเปอร์ และการยิงปืนใหญ่ แม้จะแสดงตัวชัดเจนด้วยเสื้อกั๊กที่มีสัญลักษณ์ PRESS

RSF ยังบันทึกกรณีที่นักข่าวถูกกองทัพอิสราเอลโจมตีโดยเจตนาอย่างน้อย 56 ครั้ง ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งArthur อธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือและหยุดยั้งการรายงานข่าวจากภาคสนาม เขายกกรณีของผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา อนัส อัล-ชาริฟ ที่ถูกสังหารในการโจมตีใกล้โรงพยาบาล หลังจากกองทัพอิสราเอลกล่าวหาอย่างไร้มูลความจริงว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย

Arthur ยังเปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่ากังวลว่า อิสราเอลได้สั่งห้ามนักข่าวต่างชาติเดินทางเข้าสู่กาซาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ทำให้เกิด “การปิดกั้นสื่อโดยสิ้นเชิง” ทิ้งภาระการรายงานทั้งหมดไว้กับนักข่าวชาวปาเลสไตน์เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่เพียงต้องเผชิญความเสี่ยงต่อชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ยังต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุด ทั้งการพลัดถิ่น การขาดแคลนไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมถึงขาดปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหารและน้ำสะอาด สื่อมากกว่า 50 แห่งถูกทำลายเสียหายทั้งหมดหรือบางส่วน และนักข่าวปาเลสไตน์อีกจำนวนมากถูกคุมขัง บางรายมีรายงานว่าถูกทรมาน

ในประเด็นเรื่องความสำคัญของความจริงในเขตความขัดแย้ง กิติพัฒน์ย้ำว่า “การรายงานภาคสนามไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบความรับผิดชอบ และเป็นองค์ประกอบหลักของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” Arthur เห็นด้วย โดยกล่าวว่านักข่าวคือ “ดวงตาและหูของโลก” ในยุคที่ข้อมูลบิดเบือนท่วมท้นบนโซเชียลมีเดีย การรายงานข่าวอย่างอิสระจึงเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลที่บิดเบือนจากทุกฝ่ายในสงคราม หากปราศจากนักข่าว ต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม—ความทุกข์ยากของพลเรือน การทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐาน และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ—ก็จะไม่มีใครมองเห็น

Arthur ยังเล่าถึงการสืบสวนของ RSF ที่พบว่ากองทัพอิสราเอลมีการทำ “แคมเปญ” มุ่งทำลายชื่อเสียงนักข่าวปาเลสไตน์ โดยใช้ภาพตัดต่อที่มีเป้ากำกับบนใบหน้านักข่าว พร้อมกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไร้หลักฐาน นี่ไม่ใช่เพียงการบิดเบือนข้อมูล แต่เป็นการยุยงให้เกิดความรุนแรงโดยตรง “ข้อมูลบิดเบือน ไม่ได้แค่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังฆ่านักข่าวโดยตรงด้วย” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่าเป็นความพยายามทำให้การโจมตีนักข่าวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ลดแรงกดดันจากสังคมโลก และบั่นทอนความเห็นใจจากสาธารณชน

ผู้ร่วมเสวนายอมรับว่าการแสวงหาความยุติธรรมในภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อนักข่าวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าไป แต่ RSF กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้สรุปข้อเรียกร้องที่ชัดเจนขององค์กร ได้แก่ การคุ้มครองนักข่าวปาเลสไตน์ การเปิดโอกาสให้นักข่าวต่างชาติเข้าพื้นที่ได้อย่างอิสระ และการจัดทางเลือกให้กับนักข่าวที่ติดอยู่ในพื้นที่สามารถอพยพออกมาได้ นอกจากนี้ RSF ยังเดินหน้ารณรงค์สร้างการรับรู้ในระดับโลก เช่น แคมเปญที่ให้สื่อ 280 แห่งใน 50 ประเทศ ร่วมกันพิมพ์หน้ากระดาษสีดำ เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่จะไม่มีใครเหลืออยู่เพื่อรายงานข่าวจากกาซาอีกต่อไป

ในเชิงสถาบัน RSF ยังได้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่กรุงเฮกแล้ว 4 ครั้ง เกี่ยวกับการสังหารและการบาดเจ็บของนักข่าว โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวนในฐานะอาชญากรรมสงครามที่กองทัพอิสราเอลก่อขึ้นต่อผู้สื่อข่าว อัยการของ ICC ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาล ถือเป็นแสงแห่งความหวังว่าผู้กระทำผิดอาจต้องรับผิดชอบในอนาคต

การสนทนายังกล่าวถึงบทบาทของสาธารณชนและบริษัทเทคโนโลยี โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ต้องถือว่ามีความรับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน เขาเรียกร้องให้มีกรอบกฎหมายใหม่ที่ยอมรับความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มต่อเนื้อหาที่พวกเขาเผยแพร่

สำหรับสาธารณชน ข้อความคือการกระทำและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เขาเน้นย้ำว่าการโจมตีนักข่าวคือการโจมตีสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลโดยตรง ประชาชนสามารถสนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ด้วยการติดตามและขยายผลงานของนักข่าวอิสระ การสมัครสมาชิกสำนักข่าว และการแสดงออกคัดค้านการโจมตีเสรีภาพสื่อ กิติพัฒน์ชี้ว่าบทบาทของประชาชนมีสองด้าน คือ การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่เสี่ยงชีวิต และการลงมือป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความโปร่งใส การยืนกรานให้มีการคุ้มครอง และที่สำคัญที่สุดคือ “การไม่ยอมจำนนต่อความเงียบ”

การเสวนาปิดท้ายด้วยคำเรียกร้องอันทรงพลังและเป็นเอกภาพว่า “อย่าสังหารผู้ส่งสาร” เพราะสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความจริง นักข่าวคือผู้ที่บันทึกอาชญากรรมสงครามและเปิดโปงการละเมิด ทำให้ต้นทุนชีวิตของความขัดแย้งปรากฏชัด การปกป้องนักข่าวและสิทธิในการรายงานข่าวจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่คือการปกป้องสิทธิร่วมกันของมนุษยชาติที่จะได้รับรู้ และคือการวางรากฐานของความยุติธรรมและสันติภาพที่ยั่งยืน


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 กันยายน 2568

ยืนฉี่ตอนอาบน้ำ ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน อ่อนแอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3toy7u4iploey


สเต็มเซลล์ที่รากฟันคุดสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jz66gtsch5pr


ห้ามกินคอไก่ มีสารพิษอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/yi66zvqe3f61


คอร์สออนไลน์ “Reiki Therapist” ช่วยให้เป็นนักบำบัดพลังงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2r1zvsp7nwn9v


น้ำมันสกัดเย็น 11 ชนิด ขับสารพิษจากไต ไม่ต้องฟอกไต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ear5nz2ymxqf


 เลี่ยงรถติดด่วน ปิดสะพานข้ามแยกลำสาลี เริ่มวันนี้ ปิดยาว 4 เดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mea08u0ui48g


ฉีดวัคซีนป้องกัน ‘โรคหนองในเทียม’ ให้ ‘โคอาลา’ ช่วยชีวิตได้กว่า 65%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y1hb4q97wdoa


เจาะลึกหลุมยุบ วสท. ชี้ ‘ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ’ ท่อประปาแตกแค่ ‘ปัจจัยเร่ง’

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1c9i8d6a0ghp


เพิกถอนทะเบียน “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15fiz1mvs7wn3


ประกาศเขตโรคระบาด 1 เดือน โรคพิษสุนัขบ้าแพร่ ปทุมธานี – สายไหม กทม.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pr44kb5m9dz2


กสทช. เร่งฟื้นฟูสัญญาณสื่อสาร เหตุถนนทรุด พร้อมมาตรการเยียวยา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3h8orkhpmsxoy


ยาพาราเซตามอล  อาจทำให้เกิดโรคออทิซึม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wr8vbsziuu2d


คลิปความวุ่นวายในที่ประชุมสภาของไทยเมื่อ 13 ปีก่อน ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เพจเฟซบุ๊กกัมพูชาโพสต์คลิปเหตุวุ่นวายในที่ประชุมสภาไทย 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำคลิปเหตุการณ์ในอดีตเมื่อวันที่ 30-31 พ.ค. 2555 มาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก “PRO Electronics,ប៉ោយប៉ែត” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 4 หมื่นราย โพสต์คลิป Reel ความยาว 41 วินาที ฝังข้อความภาษาเขมร ใช้เครื่องมือ Google Translate แปลได้ว่า “การทะเลาะกันในรัฐสภาของไทย” ระบุวันที่ 23 ก.ย. 68 พร้อมกับอ้างที่มาของคลิปว่าได้มาจาก “แหล่งข่าวในสยาม” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 4 พันครั้ง (ณ วันที่ 26 ก.ย. 68) 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า ภาพและเสียงในคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นภาพที่ตัดต่อจากเหตุการณ์จริงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรของไทยเมื่อวันที่ 30-31 พ.ค. 2555 เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ประกอบด้วย 3 เหตุการณ์หลัก ๆ ดังนี้ 

▪ เสียงตะโกน “เป็นลูกจ้างใครหรือเปล่า ประชุมมา 2 ชั่วโมง รีบไปไหน ใครรอไม่ได้ พวกผมเป็น สส. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร มีสิทธิ์ทำหน้าที่ในรัฐสภา ท่านมีสิทธิ์อะไรจะมาตัดการทำหน้าที่ผู้แทนของปวงชนชาวไทย” เป็นเสียงของนายธนา ชีรวินิจ สส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ (ในขณะนั้น) ในการประขุมเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2555 ตามรายงานของสื่อมวลชนไทย อาทิ Thaipublica มติชน และ The Momentum รวมทั้งคลิปที่มีการเผยแพร่ในยูทูบในช่วงเวลานั้น 

▪ ภาพ สส. หญิงลากเก้าอี้ประธานสภาฯ เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2555 เมื่อ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี สส. จังหวัดสมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ บุกขึ้นไปลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ในช่วงที่ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นสั่งพักการประชุม ท่ามกลางเหตุความวุ่นวายจากการประท้วงของกลุ่ม สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่พอใจการทำหน้าที่ของประธานสภา

▪ ภาพปาเอกสารใส่ประธานสภาฯ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 31 พ.ค. 2555 ไทยพีบีเอสรายงานว่าความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อมีการลงมติเห็นชอบให้เลื่อน พ.ร.บ.ปรองดอง เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อประชุมในวันที่ 1 มิ.ย. 2555 โดยมีการขว้างปาเอกสารใส่นายสมศักดิ์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังสั่งปิดการประชุม

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ถูกเสนอโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิในขณะนั้น ทำให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลในขณะนั้นที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร อาจกำลังพยายามเร่งรีบกระบวนการนิรโทษกรรมให้บุคคลบางคนหรือบางกลุ่มหรือไม่ 

📌 ข้อสรุปโคแฟค: คลิปที่เพจเฟซบุ๊กของผู้ใช้งานกัมพูชานำมาโพสต์เป็นการตัดต่อคลิปจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรของไทยเมื่อวันที่ 30-31 พ.ค. 2555 แม้จะเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ผู้โพสต์นำมาบิดเบือนโดยใส่วันที่และข้อความให้เข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 68 ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์รัฐสภา (parliament.go.th) ระบุว่าไม่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันดังกล่าว

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ผู้เชี่ยวชาญชี้ ช่วยคนถูกไฟดูดด้วยการ “นอนบนแผ่นสังกะสี-เอาทรายกลบ” เป็นความเชื่อและวิธีที่ผิด

กองบรรณาธิการโคแฟค

ช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 สื่อมวลชน เพจเฟซบุ๊กและผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากแชร์เหตุการณ์ที่อ้างว่าชายคนหนึ่งรอดชีวิตจากการถูกไฟดูดจากการที่เพื่อนช่วยชีวิตด้วยการให้นอนบนแผนสังกะสีและเอาทรายกลบทั้งตัว แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุตรงกันว่าเป็นวิธีการที่ผิด

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 6 ก.ย. 2568 เว็บไซต์แนวหน้ารายงานข่าวพาดหัวว่า “คนงานถูกไฟดูดหมดสติ เพื่อนทำตามความเชื่อโบราณ กลบทรายบนสังกะสี รอดตายปาฏิหาริย์” เนื้อหาของข่าวระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานที่ก่อสร้างของโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใน ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบว่าชายที่ถูกไฟดูดรายนี้นอนอยู่บนแผ่นสังกะสี มีทรายจำนวนกลบจนมิดตัวเหลือเพียงช่วงศีรษะและใบหน้า หลังจากปฐมพยาบาลพบว่าเขากลับมามีชีพจรอีกครั้งจึงเคลื่อนย้ายพาตัวส่งโรงพยาบาล (ลิงก์บันทึก)

แนวหน้ารายงานโดยอ้างคำพูดของเพื่อนคนงานที่ให้ความช่วยเหลือว่า วิธีการนี้เป็นความเชื่อของคนงานที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าหากมีคนถูกกระแสไฟฟ้าดูให้รีบนำตัวมาวางบนแผ่นสังกะสีแล้วนำทรายมาเทกลบร่าง โดยเชื่อว่าจะสามารถดึงกระแสไฟจากภายในร่างกายออกมาได้  

เนื้อหานี้ถูกนำมาแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย

โคแฟคตรวจสอบ

ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่าวิธีช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูดวิธีนี้ เป็นวิธีที่ผิด

“มาตรฐานสากล IEC 60479-1 Effects of Current on Human Beings and Livestock ระบุว่าร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถกักเก็บกระแสไฟฟ้าได้ เมื่อนำร่างกายออกห่างจากต้นแหล่งไฟฟ้าที่ดูดก็จะไม่มีกระแสตกค้างอยู่ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องดึงกระแสไฟฟ้าที่ค้างในร่างกายออกใด ๆ การนำทรายไปกลบร่างจะเป็นการขัดขวางการช่วยเหลือชีวิตที่ถูกวิธีเช่นการทำ CPR หรือใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ หรือ AED” ดร.สุพรรณระบุ

ดร.สุพรรณอธิบายว่าการที่ผู้ที่ถูกไฟดูดจะรอดชีวิตได้นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณกระแส ระยะเวลา และเส้นทางของไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกาย สำหรับคนงานรายนี้ ปริมาณกระแสและระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายนั้นอาจจะยังไม่ถึง “โซนอันตราย” คือค่าที่จะทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ประสบเหตุอาจรู้สึกชา เกร็ง ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกไฟดูด แต่ก็ยังไม่ถึงกับเสียชีวิต

เส้นทางของไฟฟ้าที่ไหลก็มีผลเช่นกัน คือ หากกระแสไฟฟ้าไหลเข้าแขนซ้ายผ่านทรวงอกสู่หัวใจและกระแสออกที่เท้า อาจรบกวนการเต้นของหัวใจหรือทำให้หัวใจหยุดเต้นซึ่งจะเกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกไฟดูดได้มากกว่าเส้นทางอื่นเช่น กระแสไฟดูดไหลเข้าขาข้างขวาและไหลออกทางด้านซ้าย สภาวะความชื้นของร่างกายคือหากเปียกน้ำอยู่จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าร่างกายได้ง่ายกว่า (ความต้านทานกระแสไฟฟ้าลดลง) การใส่รองเท้าก็เป็นการเพิ่มความต้านทานแก่ร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายลงสู่ดินครบวงจรทางเดินกระแส ดร.สุพรรณระบุ

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเตือนประชาชนว่าอย่าเชื่อข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด

“ถ้าเจอผู้ได้รับอุบัติเหตไฟฟ้าดูดก็อย่าไปเสียเวลาเอาไปฝังทรายหรือไปวางบนแผ่นสังกะสีอย่างที่มีเชื่อกันครับ ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย เสียเวลาในการปฐมพยาบาลเปล่า ๆ เพราะจริง ๆ กระแสไฟฟ้าที่ดูดนั้น มันไหลออกจากร่างกายไปแล้วแทบจะทันทีที่โดนไฟดูด โดยได้ทำลายระบบการทำงานของหัวใจและอวัยวะต่าง ๆ ไปแล้วด้วย ซึ่งอาจจะถึงขั้นที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น หมดสติ และเสียชีวิตได้” รศ.ดร.เจษฎาระบุ “สิ่งที่ต้องทำคือ รีบย้ายผู้ป่วยออกจากการถูกไฟดูด แล้วถ้าหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ก็ให้รีบทำ CPR ปั๊มหัวใจ ผายปอดทันที พร้อมๆ กับรีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 เพื่อนำส่งแพทย์โดยเร็ว”

Thai PBS Verify ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เช่นกัน โดยสรุปว่า “แนวทางดังกล่าวไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์รองรับ ด้านแพทย์ชี้ การช่วยชีวิตที่ถูกต้องควรใช้การปฐมพยาบาลและทำ CPR อย่างทันท่วงที เตือนความเชื่อผิดอาจทำให้เสียโอกาสในการช่วยชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ข้อมูลจาก สพฉ.

สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) แนะนำวิธีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยถูกไฟดูด-ไฟช็อตไว้ดังนี้

  • ก่อนอื่นผู้ที่เข้าช่วยเหลือจะต้องตั้งสติ และหากพบผู้ป่วยฉุกเฉินจะต้องโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านสายด่วน 1669
  • ต้องจำไว้เสมอว่าห้ามสัมผัสตัวผู้ถูกไฟช็อตด้วยมือเปล่าเด็ดขาด ควรใช้วัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าป้องกันตัวก่อน เช่น ถุงมือยาง ผ้าแห้ง พลาสติกแห้ง เป็นต้น และจะต้องตัดกระแสไฟในที่เกิดเหตุทันที ยกเว้นเป็นสายไฟแรงสูง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  • จากนั้นให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในพื้นที่ปลอดภัย เพราะบางครั้งสถานที่ที่ถูกไฟช็อตอาจอยู่ใกล้ป้ายโฆษณา หรือต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายซ้ำได้ โดยต้องเคลื่อนย้ายอย่างถูกวิธีด้วย เพราะบางครั้งการเคลื่อนย้ายอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บมากขึ้น
  • ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟบ้านทั่วไป และมีเพียงบาดแผลไม่ลึก ไม่มีอาการผิดปกติอื่น สามารถสังเกตอาการที่บ้านได้ ยกเว้น ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคไต โรคหัวใจ ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ประเมินอาการอีกครั้ง
  • ผู้ป่วยที่หมดสติจะต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจหรือไม่ หากหยุดหายใจจะต้องรีบทำการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ (CPR) ทันที

ข้อสรุปโคแฟค

การช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟดูดด้วยการนำไปวางบนแผ่นสังกะสีและกลบด้วยทรายเป็นความเชื่อที่ผิดและเป็นวิธีการปฐมพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง และอาจจะยิ่งทำให้เสียเวลาในการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ สิ่งที่ควรทำคือรีบเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บออกจากจุดที่ถูกไฟดูด ถ้าหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นให้รีบทำการปั๊มหัวใจและผายปอด

โคแฟคพบว่าแม้ผู้เชี่ยวชาญจะออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลคนถูกไฟดูดแล้ว แต่เนื้อหาเท็จในเรื่องนี้ยังคงปรากฏอยู่ในอินเทอร์เน็ต ทั้งในเว็บไซต์แนวหน้าและโพสต์เฟซบุ๊ก ผู้เผยแพร่เนื้อหาจึงควรรับผิดชอบด้วยการนำเนื้อหานี้ออกจากระบบเพื่อหยุดการสร้างความเข้าใจและความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟดูด

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

‘ปัสสาวะริมกำแพงวัง-ทิ้งขยะเกลื่อน’ เมื่อภาพเก่าถูกเล่าใหม่โดยไม่บอกบริบท ซ้ำเติมอารมณ์ในความขัดแย้ง ‘ไทย-กัมพูชา’

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : 2 ก.ย. 2568 เพจ “Army Military Force” แชร์ชุดภาพความไร้ระเบียบ – ไม่สะอาด บริเวณบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ในกรุงพนมเปญของกัมพูชา 
ที่มา : https://web.facebook.com/share/p/16UvuYZZ8n/

นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์สู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” กลายเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่ทั้งสื่อมวลชนกระแสหลักรวมถึงผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์นิยมนำไปเผยแพร่ต่อ แม้ทางเพจจะขึ้นประกาศชัดเจนไว้ว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพบกไทย (not affiliated with the Royal Thai Army)” ก็ตาม โดยเพจนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568 ในชื่อ “Thai 2025” จากนั้นวันที่ 2 มิ.ย. 2568 เปลี่ยนชื่อเป็น “Army Military Force – สำรอง” และเปลี่ยนมาเป็น Army Military Force ในวันที่ 3 ส.ค. 2568 ที่มีเนื้อหามุ่งเสนอเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์และการทหารจากทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงวันที่ 2 – 3 ก.ย. 2568 โคแฟคพบการแชร์ชุดภาพความไร้ระเบียบที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในกรุงพนมเปญของกัมพูชา เช่น ทหารรักษาการณ์ยืนปัสสาวะบริเวณกำแพงพระราชวัง รวมถึงภาพกองขยะถูกทิ้งเกลื่อนกลาดทั้งบริเวณวังและสวนสาธารณะ ในสื่อสังคมออนไลน์ตลอดจนสื่อหลักบางสำนัก และบางแหล่งมีการอ้างอิงถึงเพจ Army Military Force ซึ่งเมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า หลายภาพเป็นภาพเก่าที่ถูกเผยแพร่มานานแล้วหลายปี ก่อนถูกนำกลับมาแชร์อีกครั้ง ดังนี้

ภาพ 02 : ภาพชุดทหารรักษาการณ์พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ยืนปัสสาวะใส่กำแพงพระราชวัง ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Force เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568) 
ที่มา : 
https://web.facebook.com/photo?fbid=122157838040761044&set=pcb.122157838328761044 
https://web.facebook.com/photo?fbid=122157837530761044&set=pcb.122157838328761044 
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837542761044&set=pcb.122157838328761044 
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157838094761044&set=pcb.122157838328761044
ภาพ 03 : ภาพชุดเดียวกัน ถูกโพสต์โดยเพจ “camnews” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560
ที่มา : https://web.facebook.com/share/p/19YqyYotZt/

– ภาพทหารรักษาการณ์พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ยืนปัสสาวะใส่กำแพงพระราชวัง : จากการค้นหาพบว่า ช่วงเวลาที่เก่าที่สุดเท่าในการโพสต์เท่าที่พอจะหาได้ พบอยู่ในวันที่ 20 ก.ค. 2560 โดยเพจเฟซบุ๊ก “camnews” ซึ่งระบุตนเองว่าเป็นสำนักข่าวในกัมพูชา พร้อมบรรยายภาษาเขมรว่า ម៉េចបាននាំគ្នានោមដាក់របងចឹង បងៗ ??? ភ្នំពេញមុខវាំងអត់បង្គន់ ឬបងៗខ្ជិល ? រូបថត ថ្ងៃទី២០ ខែកក្កដា ឆ្នាំ ២០១៧ម៉ោង ៩និង៤០នាទី ព្រឹក เมื่อใช้เครื่องมือ Google Translate แปลได้ใจความว่า พี่น้อง ทำไมปัสสาวะรดรั้วกันหมด??? พนมเปญไม่มีห้องน้ำหรือขี้เกียจกันแน่? ภาพ 20 ก.ค. 2560 เวลา 09:40 น. โดยมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาเขมรจำนวนมาก มีทั้งตำหนิการกระทำดังกล่าว เรียกร้องให้เอาผิดทางกฎหมาย รวมถึงเรียกร้องให้รัฐจัดเตรียมห้องสุขาให้เพียงพอ

ภาพ 04 : ภาพขยะถูกทิ้งกองเกลื่อนกลาดบริเวณพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Force เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568)
ที่มา : 
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157838010761044&set=pcb.122157838328761044 
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837950761044&set=pcb.122157838328761044

ภาพ 05 : ภาพชุดเดียวกันบนเว็บไซต์ thehotwind.com หรือ 热风网 โพสต์เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2567
ที่มา : https://thehotwind.com/archives/7714

– ภาพขยะถูกทิ้งกองเกลื่อนกลาดบริเวณพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล : จากการตรวจสอบพบ 2 ภาพที่เคยถูกโพสต์บนเว็บไซต์ thehotwind.comหรือชื่อเว็บไซต์เป็นภาษาจีนคือ 热风网 เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2567 โดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพชุดหัวข้อ 跨年夜背后的清洁工人 ซึ่งใช้เครื่องมือ Google Translate แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘ทำความสะอาดหลังงานฉลองปีใหม่”

ภาพชุดดังกล่าวมีคำบรรยายว่า 昨晚新年跨年夜后,金边皇宫河边等地留下大片垃圾。今天上午再去河边看,却是已经焕然一新。这背后是金边清洁工人们的连夜工作。(หลังคืนส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา ขยะจำนวนมากถูกทิ้งไว้ใกล้พระราชวังและริมแม่น้ำในกรุงพนมเปญ แต่ในช่วงเช้าเมื่อกลับไปเยี่ยมชมอีกครั้ง แม่น้ำดูเหมือนใหม่เอี่ยม ต้องขอบคุณความขยันขันแข็งของพนักงานทำความสะอาดที่ทำงานตลอดทั้งคืน)

และยังบรรยายด้วยว่า 1月1日凌晨3点开始,金边的250名清洁工开始对垃圾进行清洁,到上午9点,把所有垃圾清洁完毕,重新焕然一新。 (เริ่มตั้งแต่เวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม พนักงานทำความสะอาด 250 คนในกรุงพนมเปญเริ่มทำความสะอาดขยะ จนกระทั่งเวลา 09.00 น. ขยะทั้งหมดก็ถูกเก็บกวาดจนหมด และเมืองก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง) ทั้งนี้ หากเข้าไปดูภาพชุดดังกล่าว จะมีภาพผู้คนทั้งที่แต่งและไม่แต่งเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาด ช่วยกันกวาดและเก็บขยะตามพื้นและริมแม่น้ำด้วย

ภาพ 06 : ภาพกองขยะถูกทิ้งเกลื่อนกลาดในกรุงพนมเปญของกัมพูชา ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Force เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568)
ที่มา : https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837680761044&set=pcb.122157838328761044
ภาพ 07 : ภาพเดียวกันจากเว็บไซต์ khmernote.com.kh เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2562 
ที่มา : https://khmernote.com.kh/news/28415

– ภาพขยะถูกทิ้งเกลื่อนกลาดในกรุงพนมเปญ :ตรวจสอบพบเคยถูกโพสต์เป็นภาพชุดในเว็บไซต์ khmernote.com.kh ซึ่งเป็นสำนักข่าวในกัมพูชา เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2562 ในหัวข้อข่าว យប់ថ្ងៃឆ្លងឆ្នាំហើយ សំរាមគរាយប៉ាយពេញសួនច្បារ (ขยะเกลื่อนสวนสาธารณะในวันฉลองปีใหม่) เนื้อหาระบุว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 31 ธ.ค. 2561 ประชาชนได้ออกมาเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่า – ต้อนรับปีใหม่ ขณะที่พ่อค้า – แม่ค้าก็นำอาหารมาขายตามสวนสาธารณะ 

ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการเฉลิมฉลองดังกล่าว ประชาชนได้แยกย้ายกันกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือการทิ้งขยะในสวนสาธารณะและริมฝั่งแม่น้ำ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมและความสวยงามของเมือง โดยทางสำนักงานโยธาธิการและการขนส่งกรุงพนมเปญ ระบุว่า หลังจากเสร็จสิ้นงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ ได้ระดมเจ้าหน้าที่ไปทำความสะอาดสวนสาธารณะต่างๆ ในเมือง

ภาพ 08 : ภาพธงชาติกัมพูชา รายรอบด้วยขยะถูกทิ้งกองเกลื่อนกลาดบริเวณพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Forceเมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568)
ที่มา :
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837800761044&set=pcb.122157838328761044
https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837668761044&set=pcb.122157838328761044
ภาพ 09 : ภาพเดียวกันจากเว็บไซต์ kohsantepheapdaily.com.kh เผยแพร่เมื่อวันที่ 27พ.ย. 2566 
ที่มา : https://kohsantepheapdaily.com.kh/article/1840288.html

– ภาพธงชาติกัมพูชา รายรอบด้วยขยะถูกทิ้งกองเกลื่อนกลาดบริเวณพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ตรวจสอบพบเคยถูกโพสต์เป็นภาพชุดในเว็บไซต์kohsantepheapdaily.com.kh ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ในกัมพูชา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2566 เวลา 08.42 น. โดยพาดหัวข่าวเป็นภาษาเขมรว่า អុំទូក​ថ្ងៃ​ទី​១ បន្សល់​ទុក​គំនរ​សំរាម​លើ​សួនច្បារ​កើន​លើស​២​ដង បើ​ប្រៀបធៀប​ថ្ងៃ​ទី​១​ឆ្នាំ​មុន ซึ่งเมื่อใช้เครื่องมือ Google Translate แปลเป็นภาษาไทย จะได้ความว่า “วันแรกของเทศกาลมีขยะในสวนสาธารณะมากกว่าวันแรกของปีที่แล้วถึง 2 เท่า” 

เนื้อหาข่าวนี้กล่าวถึง “เทศกาลน้ำ (ព្រះរាជពិធីបុណ្យអុំទូក – Royal Water Festival)” ประเพณีของชาวกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดียวกับเทศกาลลอยกระทงของชาวไทย อย่างไรก็ตาม เทศกาลน้ำของกัมพูชาจะมี 3 วัน คือระหว่างวันขึ้น 14 – 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี ในขณะที่เทศกลายลอยกระทงของไทยจะมีเพียงวันเดียว คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี ทั้งนี้ ในปี 2566 เทศกาลน้ำของกัมพูชา จะตรงกับวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน คาบเกี่ยวกับเทศกาลลอยกระทงของไทย ซี่งตรงกับวันที่ 27 พฤศจิกายน 

ในข่าวจาก kohsantepheapdaily.com.kh อ้างการเปิดเผยของ Su Saran ผู้อำนวยการกองสวนและพืช สำนักงานโยธาธิการและการขนส่งกรุงพนมเปญ(ในขณะนั้น) ว่าในวันที่ 26 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นค่ำคืนแรกของเทศกาลน้ำประจำปี 2566 พบปริมาณขยะเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับวันแรกของเทศกาลน้ำประจำปี 2565 โดยจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 26 พ.ย. จนถึงเวลา 07.30 น. ของวันที่ 27 พ.ย. 2566

ภาพที่ 10 : ภาพประชาชนชาวกัมพูชา นั่งล้อมวงสังสรรค์บริเวณสวนหน้าพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ท่ามกลางขยะถูกทิ้งเกลื่อน ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Force เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568)
ที่มา : https://web.facebook.com/photo/?fbid=122157837560761044&set=pcb.122157838328761044
ภาพที่ 11 : ภาพเดียวกันจากเว็บไซต์ www.norkorthom.com เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2559
ที่มา : https://www.norkorthom.com/archives/16460

– ภาพประชาชนชาวกัมพูชา นั่งล้อมวงสังสรรค์บริเวณสวนหน้าพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคลท่ามกลางขยะถูกทิ้งเกลื่อน : ตรวจสอบพบเคยถูกโพสต์เป็นภาพชุดในเว็บไซต์ norkorthom.com ซึ่งเป็นสำนักข่าวในกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2559 ในพาดหัวข่าว មួយ​ឆ្នាំ​មាន​ម្តង ទិដ្ឋ​ភាព​ក្រោយ​ចប់ បុណ្យ​អុំទូក (ครั้งหนึ่งในแต่ละปี ทิวทัศน์หลังจบเทศกาลน้ำ) และบรรยายถึงเทศกาลน้ำของกัมพูชา ประจำปี 2559 วันสุดท้ายคือวันที่ 15 พ.ย. 2559 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่ทิ้งไว้ให้เป็นเรื่องปวดหัวของทางการ คือนิสัยมักง่ายของประชาชนบางส่วนที่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาดไม่เป็นที่เป็นทาง

รายงานข่าวอ้างการเปิดเผยของ Mean Chanyada โฆษกสำนักงานเทศบาลกรุงพนมเปญ (ในขณะนั้น) ว่า ในแต่ละวัน ประชาชนเกือบ 2 ล้านคนในกรุงพนมเปญสร้างขยะมากกว่า 1,000 ตัน อย่างไรก็ตาม ในเทศกาลน้ำประจำปี 2559 มีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางมารวมตัวกันในกรุงพนมเปญเพื่อร่วมเฉลิมฉลองราว 500,000 – 1 ล้านคน ทำให้จำนวนขยะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2,000 ตันต่อวัน

ภาพที่ 12 : ภาพคนยืนปัสสาวะบริเวณกำแพงพระบรมมหาราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา แม้จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์อยู่ด้านบน ถูกนำมาโพสต์ในเพจ Army Military Force เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2568 (วันที่ค้นหา 4 ก.ย. 2568)
ที่มา : https://web.facebook.com/photo/?fbid=122158013066761044&set=a.122139041594761044
ภาพที่ 13 : ภาพเดียวกันถูกโพสต์โดยเพจเฟซบุ๊ก “Koh Santepheap Daily” เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2559 
ที่มา : https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1058544164181224&id=199228423446140&set=a.200310650004584&_rdc=1&_rdr#

– ภาพคนยืนปัสสาวะบริเวณกำแพงพระบรมมหาราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา แม้จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์อยู่ด้านบน จากการตรวจสอบพบภาพนี้ถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2559 บนเพจเฟซบุ๊ก “Koh Santepheap Daily” ของเว็บไซต์ kohsantepheapdaily.com.kh ของหนังสือพิมพ์ชื่อเดียวกันในกัมพูชา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ โดยมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งตำหนิการกระทำของบุคคลดังกล่าว ขณะที่อีกส่วนตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เพียงพอของจำนวนห้องน้ำสาธารณะในเมือง

ทั้งนี้ เมื่อดูการนำเสนอของสื่อกระแสหลักในไทยที่นำภาพชุดข้างต้นจากเพจ Army Military Forceไปแชร์ต่อเป็นข่าว เช่น เว็บไซต์ mgronline.comของ นสพ.ผู้จัดการ ในวันที่ 3 ก.ย. 2568 , เว็บไซต์ naewna.com ของ นสพ.แนวหน้า ในวันที่ 4 ก.ย. 2568 พบว่า สื่อทั้ง 2 สำนัก ระบุในเนื้อหาของข่าวว่า เพจ Army Military Force ไม่ได้ระบุช่วงเวลาหรือที่มาของภาพต่างๆ ที่นำมาเผยแพร่ จึงไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อใด ขณะที่กระแสความเห็นในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับภาพชุดนี้ ทั้งในเพจ Army Military Force ตลอดจนเพจอื่นๆ ที่มีการนำไปแชร์ต่อ ส่วนใหญ่ไปในทางเสียดสีประชดประชันชาวกัมพูชา มากกว่าจะตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของภาพดังกล่าว

ต้องขอย้ำว่าบทความนี้มีได้มีเจตนาอยากจับผิดสื่อ เพจหรืออินฟลูเอนเซอร์ใดๆ แต่ต้องการสร้างความตระหนักในสังคมร่วมกันว่า แม้จะเป็นภาพจริงแต่หากนำมาเผยแพร่โดยไม่ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อใด ก็อาจสร้างความเข้าใจผิดและนำไปสู่การกระตุ้น “กระแสความเกลียดชัง” ระหว่างประชาชนสองประเทศได้โดยเฉพาะในสถานการณ์อ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ดังกรณีตัวอย่างนี้ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา และกำลังมีความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/244242 (ทำความรู้จัก “เทศกาลบอนอมตึ๊ก”: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 26 ธ.ค. 2566)

https://web.facebook.com/photo/?fbid=797313959101864&set=a.651936126972982 (27 พฤศจิกายน “วันลอยกระทง” ปี 2566 ชวนออเจ้าเที่ยวงานเทศกาลลอยกระทง ร่วมส่งเสริม Soft Power เทศกาลประเพณีไทยไปด้วยกัน : เพจ “ข่าวสารท่องเที่ยว ททท.” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 27 พ.ย.2566)

https://mgronline.com/travel/detail/9680000084274 (อนาถ! เพจดังเผยภาพ “วังหลวงเขมร” ขยะเกลื่อน-คนยืนฉี่สบายใจเฉิบ : ผู้จัดการ 3 ก.ย. 2568) 

https://www.naewna.com/likesara/911827 (อ้วกแทบพุ่ง! ทหาร-ตำรวจยืนปัสสาวะริมรั้วพระราชวังกัมพูชา แถมขยะเกลื่อน : แนวหน้า 4 ก.ย. 2568)


ตรวจสอบ 3 โพสต์เท็จเรื่อง “กัมพูชาเสริมกำลังพลที่ชายแดนไทย”

กองบรรณาธิการโคแฟค

ครบรอบ 2 เดือนเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งในไทยและกัมพูชายังคงผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จเพื่อปลุกปั่นสถานการณ์และความเกลียดชังกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดโคแฟคพบว่าเนื้อหาเท็จ “ยอดนิยม” ที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวไทยแชร์กันจำนวนมากช่วงสัปดาห์นี้ (22-25 ก.ย. 2568) คือโพสต์เท็จที่อ้างว่ากองทัพกัมพูชาเสริมกำลังพลที่ชายแดน โดยนำคลิปเก่าจากหลายเหตุการณ์ รวมทั้งคลิปในเมียนมา มาอ้างเท็จว่าเป็นภาพการเคลื่อนกำลังพลในปัจจุบัน

โคแฟคตรวจสอบ 3 โพสต์เฟซบุ๊กที่นำคลิปเก่าที่เคยถูกเผยแพร่ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะไทย-กัมพูชา และคลิปที่ถ่ายในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดีของเมียนมา มาอ้างเท็จว่าเป็นการเสริมกำลังพลของกัมพูชา

1) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปกัมพูชาเติมกำลังพลสู่แนวหน้า 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปเก่ามาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 22 ก.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก “ดู ไป เรื่อย” โพสต์คลิปวิดีโอทหารกัมพูชาในเครื่องแบบจำนวนมากเดินแถวไปบนถนน ฝังข้อความว่า “ด่วนๆ เลย กัมพูชาเติมกำลังพบสู่แนวหน้า 22/9/68” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์โดยผู้ใช้ติ๊กตอกชาวกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 68 แต่ผู้โพสต์ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิป เมื่อสืบค้นเพิ่มเติมพบว่ามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายโพสต์ภาพเหตุการณ์เดียวกันนี้ หนึ่งในนั้นเขียนคำบรรยายภาษาอังกฤษว่าเป็นภาพวันเฉลิมฉลองครบรอบ 31 ปีของการสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา (Royal Gendarmerie) เมื่อเดือน ก.ค. 2567 ซึ่งเมื่อตรวจสอบสัญลักษณ์บนเครื่องแบบในคลิปพบว่าเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยดังกล่าวจริง

📌 หมายเหตุ: โคแฟคไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่ากัมพูชาเติมกำลังพลสู่แนวหน้าจริงหรือไม่ แต่ตรวจสอบคลิปที่นำมาประกอบคำกล่าวอ้างนี้ ซึ่งพบว่าเป็นคลิปเก่า ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน คาดว่าน่าจะเป็นภาพกิจกรรมในวันสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา

2) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กองกำลังพิทักษ์ “ฮุน เซน” เคลื่อนพล

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปเก่ามาบิดเบือน**

📝  เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 21-22 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “มาดามปู Channel” โพสต์คลิป Reel เป็นภาพขบวนรถหุ้มเกราะของทหารกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นภาพกองกำลังพิทักษ์สมเด็จฮุน เซน “ออกมาเต็มท้องถนน” คลิปนี้ยังถูกเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งพร้อมคำบรรยายที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นภาพการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกัมพูชา 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชามาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2568 หรือเกือบหนึ่งเดือนก่อนการสู้รบไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 ผู้โพสต์ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นภาพเหตุการณ์ใด

โคแฟคตรวจสอบพบว่าตราสัญลักษณ์ที่ติดข้างรถหุ้มเกราะเป็นสัญลักษณ์ของกองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา (Royal Gendarmerie) ในขณะที่ถนนที่ขบวนรถหุ้มเกราะเคลื่อนไปนั้นคล้ายกับบริเวณที่ปรากฏในคลิปที่เคยมีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ซึ่งผู้โพสต์ระบุว่าเป็นกิจกรรมในวันเฉลิมฉลองครบรอบ 31 ปีของการสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์

โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ภาพการเคลื่อนกำลังพลกัมพูชาในปัจจุบัน เนื่องจากคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2568

3) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กองทัพเขมรหลายพันนายเคลื่อนพลเข้าสู่ชายแดนไทย

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำมาภาพจากเมียนมามาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 23 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “เดชา นฤนารท” โพสต์ภาพนิ่งจำนวน 3 ภาพ เป็นภาพกลุ่มคนนั่งบนรถกระบะ บางส่วนสวมเครื่องแบบทหาร ข้อความในโพสต์ระบุว่า “ภาพกองทัพเขมรหลายพันนายเคลื่อนพลเข้าสู่เขตชายแดนไทยในทางของแม่ทัพภาค 2 อุบลราชธานี ศรีสะเกษและสุรินทร์” และอ้างว่ากองทัพภาคที่ 2 ของไทยพร้อมสนับสนุนการอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ติดชายแดนไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยแล้ว โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 1 พันครั้ง (ณ วันที่ 24 ก.ย. 68)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าภาพชุดดังกล่าวเป็นภาพที่แคปเจอร์จากวิดีโอความยาว 25 วินาที ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งชาวไทยและกัมพูชานำมาโพสต์บิดเบือนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 68 โดยบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “ธนกฤต ส้มส้า” อ้างว่าคลิปนี้เป็นภาพการเสริมกำลังของทหารเขมร ขณะที่บัญชีเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาอ้างว่าเป็นภาพทหารพม่าเตรียมปะทะทหารไทย

โคแฟคตรวจสอบภาพในคลิปอย่างละเอียดพบว่าช่วงท้ายของคลิปมีวงเวียนพร้อมป้ายขนาดใหญ่เขียนด้วยภาษาพม่า เมื่อนำภาพป้ายนี้ไปสืบค้นในกูเกิลและให้ผู้รู้ภาษาพม่าแปลพบว่าเป็นป้ายที่ระบุชื่อเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี

ป้ายภาษาพม่าที่ปรากฏในช่วงท้ายของคลิปมีชื่อเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี (ภาพจากเฟซบุีก Chan Bro Pov)

เมื่อนำภาพป้ายทะเบียนรถของรถกระบะในคลิปวีดีโอไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ worldlicenseplates.com ซึ่งเป็นฐานข้อมูลลักษณะป้ายทะเบียนรถจากทั่วโลก พบว่าเป็นป้ายทะเบียนที่ใช้ในเมียนมา ไม่ใช่ในกัมพูชา

📌 ข้อสรุปโคแฟค: ภาพนิ่งที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เดชา นฤนารท” นำมาอ้างเท็จว่าเป็นการเคลื่อนพลของทหารเขมรนั้น เป็นภาพที่นำมาจากคลิปที่ถ่ายในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี สหภาพเมียนมา ไม่ใช่ภาพ “ทหารเขมร” ตามที่ผู้โพสต์อ้าง อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถระบุที่มา เหตุการณ์และวัน/เวลาที่ถ่ายคลิปได้

นอกจากนี้เพจเพซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” ไม่มีการประกาศให้ประชาชนตามแนวชายแดนอพยพ โดยประกาศศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวันที่ 23 ก.ย. ว่า “ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง” แต่มีเหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กยาวจำนวน 3 นัดซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

คลิปชาวกัมพูชาเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุน มาเนต

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชาใช้ “เนปาลโมเดล” ประท้วงขับไล่รัฐบาล 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปการเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 68 มาบิดเบือน** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป:  วันที่ 14 ก.ย. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกเผยแพร่คลิปวิดีโอการเดินขบวนของชาวกัมพูชา พร้อมกับเขียนคำบรรยายที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุน มาเนต ที่เกิดขึ้นโดยมีการประท้วงลุกฮือของคนรุ่นใหม่ในเนปาลเป็นต้นแบบ

บัญชีเฟซบุ๊ก “ธนกฤต รุ่งกิจจานนท์” โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพการเดินขบวนของชาวกัมพูชา ระบุข้อความ “ชาวเขมรรณรงค์ใช้เนปาลโมเดลต่อต้านตระกูลฮุน” และบรรยายว่าชาวกัมพูชาเริ่มออกมารณรงค์ใช้ “เนปาลโมเดล” โค่นอำนาจตระกูลฮุน

ขณะที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “tikparamotor” ได้โพสต์คลิปเดียวกัน ฝังข้อความว่า “Gen Z @ Khmer” เพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์ในภาพเข้ากับการประท้วงของคนหนุ่มสาว Gen Z ในเนปาลเพื่อขับไล่รัฐบาลที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-13 ก.ย. 68 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาด้วย Google Lens พบว่าเหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวเป็นการชุมนุมเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 68 หรือราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ โดยเพจเฟซบุ๊ก “FK MEDIA TV” โพสต์คลิปวีดีโอพร้อมข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า ชาวกัมพูชารวมตัวกันบริเวณบึงกักในกรุงพนมเปญเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่ากัมพูชารักสันติภาพ

รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” นำคลิปเดียวกันนี้มาเผยแพร่ทางยูทูบโดยรายงานว่าชาวกัมพูชาชุมนุมกลางกรุงพนมเปญ แสดงพลังเรียกร้องสันติภาพ ต่อต้านสงคราม

สรุปว่าคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกโพสต์เมื่อวันที่ 14 ก.ย. โดยอ้างว่าเป็นเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของชาวกัมพูชาที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุประท้วงที่เนปาลนั้น เป็นภาพการชุมนุมเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ไม่ใช่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลกัมพูชา

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

‘ไทย’เป้าหมาย‘สหรัฐฯ’ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ : เมื่อ2บทความต่างประเทศถูกมัดรวมและนำเสนออย่างเกินเลย

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิป TikTok อ้างรายงานของ RAND Corporation ไทยเหมาะสมตั้งฐานขีปนาวุธของสหรัฐฯ

ข้อมูลจาก RAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่เป็นเบื้องหลังการวางหมากของกองทัพสหรัฐ เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2565 แล้วว่าประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐฯ ระยะยิง 5,500 กิโลเมตร ที่ว่ามานี้ไม่ใช่แค่ป้องกันภัยใกล้ตัว แต่มันครอบคลุมทุกมณฑลของจีน ตั้งแต่ยูนนานไปจนถึงซินเจียง 

พูดให้ชัดคือกรุงเทพฯจะเป็นชนวนสงครามนิวเคลียร์เอเชีย หากฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ เกิดขึ้นที่ จ.พังงา แล้วใครคือคนที่ RAND รอคอยเปิดดีล คำตอบคือรัฐบาลไทยภายใต้ผู้นำที่สหรัฐฯหนุนหลัง ทักษิณ และธนาธร นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่คือเอกสารจริงจาก RAND ที่ยังสามารถค้นอ่านได้จนถึงวันนี้

ตามที่ปรากฏคลิปวีดีโอในTikTok ที่ถูกโพสต์โดยบัญชีผู้ใช้งานชื่อ “satangkomonjinda” เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 พร้อมกับภาพแผนที่ประเทศไทย และ คำบรรยาย “ทำไมยุทธศาสตร์ของมะกันถึงเกี่ยวกับไทย” โดยมีการอ้างรายงานRAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่แนะนำรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าประเทศไทยเหมาะสมกับการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง ซึ่งยิงได้ทุกพื้นที่ของจีน และยังอ้างชื่อนักการเมืองไทยที่รัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะเจรจาให้อนุมัติได้ด้วย 

คลิปดังกล่าวมีที่มาอย่างไร?

โคแฟคได้ตรวจสอบคลิปดังกล่าวพบว่า ในช่วงประมาณ 1 นาที 15 วินาทีแรกของคลิป ใช้ภาพประกอบจากช่องยูทูบ “Why History” ซึ่งเป็นช่องการสื่อสารความรู้เชิงประวัติศาสตร์ ก่อนจะต่อด้วยการใช้ภาพข่าวต่างๆ รวมถึงภาพที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

อย่างไรก็ตาม คลิปต้นฉบับในช่อง Why History ถูกตั้งชื่อว่า “ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา?” โพสต์เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 โดยเนื้อหาอธิบายปัจจัยและเหตุผลหากสหรัฐฯ สามารถขอใช้พื้นที่ จ.พังงา ของไทยเพื่อตั้งฐานทัพเรือไว้ดังนี้ คือ 1.ทำเลที่ตั้งของ จ.พังงา เปรียบเหมือนประตูควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านช่องแคบมะละกา

2.เติมเต็มช่องว่างของฐานทัพสหรัฐฯ ในฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ มีเพียงฐานทัพในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การมีฐานทัพใน จ.พังงา จะทำให้สหรัฐฯ สามารถปิดล้อมจีนได้ทั้ง 2 ฝั่ง 

3.ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ใน จ.พังงา หากเกิดขึ้นจะเป็นการตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งมีการสร้างฐานทัพใน จ.พระสีหนุ (สีหนุวิลล์) ของกัมพูชา และ

4.เชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการของไทยที่ต้องการสร้างถนน ท่าเรือและเส้นทางรถไฟเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย อย่างไรก็ตาม “คลิปของช่อง Why History ไม่มีการกล่าวถึงการตั้งฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ แต่อย่างใด” โดยทิ้งท้ายไว้เพียงว่า ไทยไม่มีแผนที่จะให้สหรัฐฯใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ เพราะอาจตกเป็นเป้าหมายของความขัดแย้งทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น

ภาพ 02 : บทความของ RAND และของ New Eastern Outlook ที่น่าจะถูกนำมาเชื่อมโยงกัน
 

บทความ 2 บท” ที่น่าจะถูกนำมาเชื่อมโยงกันกับประเด็นการตั้งฐานยิงจรวดในไทย?

โคแฟคได้ค้นหาเพิ่มเติมด้วยข้อความ “RANDUS Thailand missiles” พบโพสต์เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 จากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Stapnavatr Vajira” ที่เนื้อหาคล้ายกับคลิป TikTok ของบัญชีsatangkomonjinda ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยในโพสต์กล่าวถึงข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์วิจัยทางการทหารของสหรัฐ คือ RAND corporation เมื่อปี 2565 ว่าประเทศไทยไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งฐานทัพ แต่ประเทศไทยเป็นลำดับที่ 1 ในเชิงกลยุทธที่สหรัฐต้องหาทางมาติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง คือ ยิงได้ไกลถึง 5,500 กิโลเมตร ซึ่งระยะขนาดนี้ คือ สามารถยิงครอบคลุมได้ไกลไปถึงซินเจียง หรือหมายความว่าครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งประเทศจีน โดยในบทวิเคราะห์ ระบุชัดว่าเขารอคอยการต่อรองกับรัฐบาลที่สหรัฐให้การสนับสนุนเบื้องหลังอยู่ คือ ทักษิณ หรือ ธนาธร คนไทยจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของพรรคแดงส้มในครั้งนี้ ที่อาจนำพาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวงกับประเทศไทยได้ จีนจะไม่อยู่เฉยแน่ ถ้ามีฐานยิงนิวเคลียร์ไปได้ทุกมณฑลของจีนในไทย

โพสต์ดังกล่าวแม้จะอ้างอิงบทความจาก RAND แต่ภาพประกอบมีการกล่าวถึงบทความ 2 บท คือ 1.Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific Assessing the Positions of U.S. Allies เขียนโดย Jeffrey W. Hornung เป็นบทความที่เผยแพร่บน www.rand.org เว็บไซต์ทางการของ RAND corporation ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2565 และ 2.Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เขียนโดย Brian Berletic เป็นบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ journal-neo.su ของวารสารด้านภูมิรัฐศาสตร์ New Eastern Outlook ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงมอสโกของรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565  

ในบทความแรก Jeffrey ได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ในส่วนของประเทศไทย เขากล่าวถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการที่สหรัฐจะเจรจากับไทยเรื่องขอตั้งฐานยิงจรวด GBIRM ถึงแม้ว่าไทยเป็นพันธมิตรระดับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2361 และได้ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ในปี 2376 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกของสหรัฐฯ กับประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกและยังมีมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นผ่านกรอบความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญามะนิลา (Manila Pact) ในปี 2497 ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO)และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ถนัด-รัสก์ (Thanat-Rusk communique) ระหว่างดร.ถนัด คอมันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนาย ดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ในปี 2505 และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมสำหรับพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐฯ ปี 2555 ซึ่งถือเป็นรากฐานของพันธกรณีด้านความมั่นคงของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้การที่กองทัพไทยทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐฯ สะดุดลง ซึ่งรวมถึงการลดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงกับไทย  และการฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีแบบเดิมก็ทำได้ยากขึ้น

Jeffry กล่าวถึง “เหตุผล 2 ประการที่ทำให้ประเทศไทยยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะยอมให้ใช้พื้นที่เป็นฐานติดตั้ง GBIRM” คือ 1. การที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2562 ยังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และทำให้สถาบันประชาธิปไตยของไทยอ่อนแอลง ทำให้สหรัฐไม่อาจกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติได้ และ 2. รัฐบาลไทยแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับจีน นับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร โดยงานวิจัยเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยไม่ว่าฝ่ายทหารหรือไม่ก็ตาม มองว่าอิทธิพลของจีนที่มีต่อนโยบายความมั่นคงของไทยในปัจจุบันเทียบเท่ากับอิทธิพลของสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์หลายคนมองจีนเป็นประเทศที่อ่อนโยนมากกว่าที่จะเป็นมหาอำนาจที่เน้นการแก้ไขหรือเป็นภัยคุกคามทางทหาร โดยปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการพี่งพาทางทหารระหว่างกันที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากการซื่อรถถังและเรือดำน้ำจากจีนหรือการอนุญาตให้กองทัพเรือจีนเข้าถึงฐานทัพเรือสัตหีบ (ซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือรบสหรัฐฯ มักแวะจอด) รวมถึงการฝึกซ้อมรบกับจีนเป็นประจำทุกปี โดยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเหล่านี้ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่ควรมีภาพลวงตาว่าไทยจะเป็นพันธมิตรที่แข็งขันในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจีน

เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้โดยรวมแล้ว ถือเป็นเหตุผลที่หนักแน่นที่จะสรุปได้ว่าสหรัฐฯ คงไม่ต้องการให้ไทยเป็นที่ตั้ง GBIRM และแม้สหรัฐฯ จะร้องขอก็คงเป็นไปได้สูงที่ไทยจะไม่ยินยอม Jeffrey W. Hornung ผู้เขียนบทความเรื่องนี้ของ RAND กล่าว

ส่วนบทความที่สองซึ่งเขียนโดย Brian เน้นวิพากษ์วิจารณ์ข้อค้นพบและการวิเคราะห์ของJeffryในบทความแรก โดยในช่วงแรกเขาอ้างถึงเรื่องสหรัฐฯได้ถอนตัวจาก Intermediate-Range Nuclear Forces (INF) Treaty หรือ สนธิสัญญากำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง และวัตถุประสงค์ของบทความของ Jeffry คือการพิจารณาตำแหน่งที่ดีที่สุดในการติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ใน5 ประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก คือไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น และในส่วนของประเทศไทย Brianได้ยกข้อความจากบทความของJeffry ที่อ้างถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งเกิดขึ้นหลังรัฐประหารว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และหากรัฐบาลที่สนับสนุนโดยกองทัพยังอยู่ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นั่นหมายถึงความเป็นไปได้น้อยมากที่สหรัฐฯ จะขอใช้พื้นที่ประเทศไทยติดตั้งระบบ GBIRM

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นทรรศนะของ Brian เอง ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเนื้อหาที่ Jeffryเขียนไว้ในบทความข้างต้นของ RAND” โดย Brian ได้วิจารณ์ความคิดเห็นของ Jeffry ที่ว่าการเลือกตั้งในประเทศไทย “ไม่ยุติธรรมเลย” นั้น ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าขั้วอำนาจที่สหรัฐฯเป็นผู้เลือก ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มพันธมิตรของมหาเศรษฐีที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อย่างทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ได้ชนะเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดและฟอร์มรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์สูงสุดของไทยกลับได้เข้ารับตำแหน่ง ทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยถูกกำหนดขึ้นในลักษณะที่นำไปสู่อุปสรรคประการที่ 2 (ท่าทีของไทยที่อิงเข้าหาจีน ตามบทความของ Jeffry) ในการที่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ จะถูกติดตั้งในไทย

ทั้งนี้ Brian ได้ขยายความต่อไปอีกในประเด็นความสัมพันธ์จีน – ไทย ว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ที่สุด และแหล่งการท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทย จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆในการลดการพึ่งพาอาวุธและความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ และถึงแม้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจีนนั้นจะเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่การดำเนินความสัมพันธ์ก็กระทำอย่างมีสติเพื่อรักษาระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เอาไว้

อาจสันนิษฐานได้ว่าผู้กำหนดนโยบายที่อยู่เบื้องหลังรายงาน RAND ฉบับนี้อยากเห็นนโยบายของไทยและรัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว แต่นั่นก็หมายความว่านโยบายของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำลายผลประโยชน์สูงสุดของไทย เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของวอชิงตัน เนื่องจากกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทยในปัจจุบันปฏิเสธที่จะให้ผลประโยชน์ของวอชิงตันเหนือกว่าผลประโยชน์ของตนเอง วอชิงตันจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทย Brian ให้ความเห็นในบทความของตน 

หมายเหตุ : สามารถอ่านประวัติ Brian Berleticและความเกี่ยวข้องกับ New Eastern Outlook ได้จากงานเขียนของโคแฟค เรื่อง “กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”” เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 https://blog.cofact.org/article-election2023-brian-berletic/

ภาพ 03 : หน้าบทความ 2 บท ที่เผยแพร่ใน RAND (ซ้าย) และ New Eastern Outlook (ขวา)

Brian ตั้งข้อสังเกตว่า บทความของ RAND ไม่ได้เพียงแค่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในประเทศไทยที่ขัดขวางไม่ให้สหรัฐฯ ติดตั้งขีปนาวุธในดินแดนของตน รวมถึงความพยายามอื่นๆ ที่จะปิดล้อมและจำกัดจีนทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังพยายามอย่างแข็งขันที่จะแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ผ่านการแทรกแซงทางการเมืองตั้งแต่การบังคับขู่เข็ญไปจนถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

เขาได้ให้ข้อสรุปว่า เป็นเพราะแนวทางของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่กับไทยเท่านั้น แต่กับประเทศต่างๆ ที่กล่าวถึงในรายงานของ Jeffry ที่ทำให้หลายประเทศเหล่านี้เริ่มกระจายการลงทุนออกจากการพึ่งพาเศรษฐกิจและการทหารจากตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐฯ และการค้าที่เพิ่มขึ้นกับจีนและนโยบายต่างประเทศที่ไม่แทรกแซงของจีนทำให้การหันไปพึ่งจีนเป็นทางเลือกที่ง่ายดาย ในขณะที่สหรัฐฯ จะพยายามโน้มน้าวประเทศต่างๆ ในอินโด-แปซิฟิกให้ทบทวนจุดเปลี่ยนนี้ด้วยการบีบบังคับและการแทรกแซงอย่างจริงจังเท่านั้น

ภาพ 04 : โพสต์บทความของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย และสื่อที่นำไปแชร์ต่อ

ผู้นำทางความคิดร่วมแชร์  สื่อร่วมเสนอข่าว

ในวันที่ 15 ก.ค. 2568 รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?” เผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของตนเอง อ้างถึงประเทศยูเครนที่สหรัฐฯ บอกว่าเข้าไปช่วยสร้างประชาธิปไตย แต่สุดท้ายกลายเป็นสนามรบและประชาชนต้องสูญเสีย โดยในโพสต์ของเขาได้อ้างรายงานของ RAND ในลักษณะเดียวกับโพสต์บัญชีเฟซบุ๊ก “Stapnavatr Vajira” ที่โพสต์ในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบช่วงเวลาได้ว่าใครเป็นผู้โพสต์ก่อน อนึ่ง ในวันที่ 16 ก.ค. 2568 พบสื่อนำบทความดังกล่าวไปนำเสนอ อาทิ เว็บไซต์ นสพ.แนวหน้า และเว็บไซต์ นสพ.ไทยโพสต์

ที่มาของประเด็นสหรัฐฯ ขอตั้งฐานทัพเรือที่ จ.พังงา

ในเดือน ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่คณะผู้แทนไทยต้องหาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลดภาษีนำเข้าสินค้า โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568 มีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันจะเก็บภาษีสินค้าไทยเข้าสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 เท่ากับที่ประกาศไปก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 และไทยมีเวลาเจรจาจนถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568 อันเป็นวันที่มาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ (ก่อนที่ไทยจะได้ลดภาษีลงเหลืออัตราร้อยละ 19 ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศในวันที่ 1 ส.ค. 2568)

หลังจากนั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่าสหรัฐฯ นำเรื่องภาษีมาต่อรองให้ไทยยอมให้สหรัฐฯ ใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งในวันที่ 15 ก.ค. 2568 เว็บไซต์ นสพ.ไทยรัฐ รายงานข่าว พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) ชี้แจงกับสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา เห็นเพียงจากการนำเสนอของสื่อ ยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า ยังไม่มีการพูดคุยเจรจากันเลย และเมื่อกระทรวงกลาโหมไม่รับทราบ ก็ไม่ทราบว่าจะมาจากทางไหน

ในวันเดียวกัน สำนักข่าว ThaiPBS รายงานโดยระบุว่า ยังไม่มีเอกสารยืนยันว่าสหรัฐฯ เสนอขอตั้งฐานทัพเรือที่ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา เป็นเงื่อนไขเจรจากำแพงภาษี ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องชี้แจงหากเป็นจริง ขณะที่กองทัพเรือ ก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่มีแผนอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพเรือทับละมุเป็นฐานถาวร

นายภูมิธรรมอธิบายว่า การที่เรือรบสหรัฐฯ เข้ามาเทียบท่าหรือใช้พื้นที่เป็นไปตาม “ข้อตกลงว่าด้วยการส่งกำลังบำรุงไทย-สหรัฐฯ” ที่มีมานาน และไม่เคยมีข้อเสนอหรือเอกสารอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ เรื่องการสนับสนุนงบประมาณหรือร่วมพัฒนาฐานทัพทับละมุ อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือมีแผนพัฒนาฐานทัพทับละมุอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในฝั่งอันดามัน ซึ่งปัจจุบันมีขนาดเล็กและรองรับภารกิจได้จำกัด

ผกล่าวโดยสรุป เรื่องสหรัฐฯ ต้องการตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ตามบทความของ RAND ที่ถูกอ้างถึง เป็นเพียงการประเมินความเป็นไปได้เท่านั้น (ซึ่ง ณ ช่วงเวลาที่บทความเผยแพร่ ถูกประเมินว่าเป็นไปได้น้อยมาก) แต่มีการนำไปขยายความต่อในบทความที่เผยแพร่ใน New Eastern Outlook ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี 2565กระทั่งเวลาผ่านเกือบ 3 ปี เมื่อรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลง ประกอบกับแรงกดดันจากนโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ทำให้ 2 บทความดังกล่าวถูกนำกลับมาแชร์อีกครั้งในลักษณะ “จับมัดรวม” ราวกับเป็นบทความเดียวกันโดยผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์รวมทั้งนักวิชาการทางการเมือง-ความมั่นคงและสื่อมวลชนบางสำนักที่มีทัศนะที่เห็นแย้งกับบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิค อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถระบุได้ว่าบัญชีผู้ใช้งานเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ประสานงานกันหรือเกี่ยวโยงกันหรือไม่ อย่างไร นอกจากความเชื่อมโยงในเนื้อหา และเวลาที่โพสต์ข้อความ!!!

หมายเหตุ : ลำดับเหตุการณ์ 
– สิงหาคม 2562 : สหรัฐอเมริกา ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือสนธิสัญญา INF (Intermediate-range Nuclear Forces Treaty) ที่เคยทำกับสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) เมื่อปี 2530 และเริ่มทดสอบขีปนาวุธประเภทดังกล่าว 
– 28 เมษายน 2565 : RAND เผยแพร่บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ซึ่งในกรณีของไทย สหรัฐฯ จะไม่สามารถขอความร่วมมือในเรื่องนี้ได้ เพราะการเลือกตั้งของไทยในปี 2562 รัฐบาลที่ได้มายังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และมีท่าทีหันเข้าหาจีน 
– 6 พฤษภาคม 2565 : New Eastern Outlook เผยแพร่บทความ Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เนื้อหาวิพากษ์บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ของ RAND โดยในกรณีของไทย ที่บทความของ RAND บอกว่าการเลือกตั้งจัดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม มีนัยแฝงหมายถึงไม่เป็นคุณกับบุคคลสำคัญทางการเมืองไทยที่สหรัฐฯ สนับสนุน โดยยกตัวอย่าง ทักษิณ ชินวัตร(ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งต่อมาคือพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ) และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งต่อมาคือพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ตามลำดับ)
– พฤษภาคม – สิงหาคม 2566 : การเลือกตั้ง สส. ในประเทศไทย แม้พรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่ง สส. ในสภามาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่สามารถรวมเสียง สส. จากพรรคการเมืองอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทยแม้จะได้ที่นั่ง สส. มาเป็นอันดับ 2 แต่สามารถรวมเสียง สส. ได้ ทำให้ได้เป็นฝ่ายรัฐบาล
–  เมษายน 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บอยู่ที่อัตราร้อยละ 36 แต่ได้ระงับมาตรการนั้นไว้เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้เข้ามาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ 
– 7 กรกฎาคม 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งหนังสือแจ้งทางการไทย ยืนยันว่ายังคงเก็บภาษีสินค้าไทยที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 มีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 2568 
– 15 กรกฎาคม 2568 : เริ่มพบการโพสต์และแชร์บทความของ RAND และ New Eastern Outlookในลักษณะผสมกันจนทำให้เข้าใจว่าทั้ง 2 เป็นบทความเดียวกัน และสื่อไปในทางว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้ไทยเป็นที่ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ โดยอ้างถึงการขอตั้งฐานทัพที่ จ.พังงา ซึ่งอาจทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ คือสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม(ในขณะนั้น) ชี้แจงว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา และยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า
– 1 สิงหาคม 2568 : สหรัฐฯ ลดอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย จากร้อยละ 36 เหลือร้อยละ 19 เท่ากับกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการสู้รบ 5 วันระหว่างไทย – กัมพูชา ช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 และตกลงหยุดยิงกันในวันที่ 29 ก.ค. 2568 โดยสหรัฐฯ ได้แสดงบทบาทสนับสนุนมาเลเซีย ในการเป็นคนกลางเจรจาระหว่าง 2 ชาติคู่ขัดแย้ง
– 6 สิงหาคม 2568 : ช่องยูทูบ Why History เผยแพร่คลิปสั้นอธิบาย ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? แต่เนื้อหาไม่มีการพูดถึงเรื่องสหรัฐฯ ขอตั้งฐานยิงขีปนาวุธ 
– 25 สิงหาคม 2568 : บัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” นำคลิปวิดีโอของช่อง Why History มาตัดต่อเพิ่มภาพข่าวและภาพจาก AI พร้อมบรรยายเนื้อหาที่อ้างเนื้อหาที่เกิดจากการผสมระหว่างบทความของ ของ RAND และ New Eastern Outlook

อ้างอิง
https://www.tiktok.com/@satangkomonjinda/video/7542442960885959954 (คลิปต้นทางจากบัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” อ้างรายงานRAND เผยแพร่ในวันที่ 25 ส.ค. 2568)
https://www.youtube.com/shorts/99jKd5528UM (ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? : Why History 6 ส.ค.2568)
https://web.facebook.com/share/p/15g2DuKyN3/(โพสต์ของ Stapnavatr Vajira 15 ก.ค. 2568)
https://www.rand.org/pubs/research_reports/RRA393-3.html (Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific : RAND 28 เม.ย. 2565
)
https://journal-neo.su/2022/05/06/washington-s-indo-pacific-allies-refuse-to-host-us-missiles/ (Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles : New Eastern Outlook 6 พ.ค. 2565)
https://web.facebook.com/share/p/1RfTkcpeQS/ (เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ? : สุวินัย ภรณวลัย 15 ก.ค. 2568)

https://www.naewna.com/politic/899405 (‘สุวินัย’เปิดข้อมูล‘RAND สหรัฐ’ เปรียบไทยไทยตกอยู่ในสถานะ‘ยูเครน 2’ไปครึ่งตัวแล้ว : แนวหน้า 16 ก.ค. 2568) 

https://www.thaipost.net/x-cite-news/824781/ (‘นักวิชาการ’ เตือน เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ ‘ยูเครน 2’ ไปครึ่งตัวแล้ว : ไทยโพสต์ 16 ก.ค. 2568)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354045 (ปฏิกิริยา “ภาษีทรัมป์” หลังร่อนจดหมายคงอัตราเก็บภาษีไทย 36% : ThaiPBS 8 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/354924(“ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% เท่ากัมพูชา มาเลเซีย มีผล 1 ส.ค. : ThaiPBS 1 ส.ค. 2568)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2870465 (“บิ๊กเล็ก” ปัดสหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เงื่อนไขภาษีทรัมป์ โต้ข่าวสร้างรั้วตาเมือนธม : ไทยรัฐ 15 ก.ค. 2568)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354256 (ทัพเรือไทยยืนยัน สหรัฐฯ ไม่มีข้อเสนอตั้งฐานทัพที่ทับละมุ จ.พังงา 15 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/283126 (สหรัฐฯ ทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางหลังออกจากสนธิสัญญา INF : ThaiPBS 20 ส.ค. 2562)
https://www.naewna.com/inter/874663 (‘ทรัมป์’จัดชุดใหญ่‘กำแพงภาษี’สินค้านำเข้าทั่วโลก ‘ไทย’โดนไปจุกๆ36% : แนวหน้า 3 ส.ค. 2568)

https://www.naewna.com/politic/876709 (‘ทรัมป์’ประกาศยืดเวลาอีก90วัน เลื่อนรีดภาษีโหด เปิดช่องหลายปท.เข้าเจรจา : แนวหน้า 11 เม.ย.2568)

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/404132 (“ทรัมป์” ส่งจดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% มีผล 1 สิงหาคมนี้ : กรมประชาสัมพันธ์ 8 ก.ค. 2568)