‘พลเมืองดิจิทัลในการรับมือยุคนิวนอร์มอล’ ถอดบทเรียนวิกฤติ‘โควิด’จากมุมนักคิดหลากวงการ

สัมมนา‘พลเมืองดิจิทัลในการรับมือยุคนิวนอร์มอล’
ถอดบทเรียนวิกฤติ‘โควิด’จากมุมนักคิดหลากวงการ

“การระบาดของไวรัสโควิด-19” ถือเป็นหายนะร้ายแรงครั้งล่าสุดของมนุษยชาติ ส่งผลกระทบไม่เพียงด้านสุขภาพที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเท่านั้น ยังรวมถึงด้านเศรษฐกิจที่เมื่อรัฐบาลหลายประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ ปิดเมืองและปิดบ้าน ทำให้สถานประกอบการมากมายไม่สามารถแบกรับภาระต่อไปได้ ต้องปลดพนักงานหรือแม้แต่ปิดกิจการ กลายเป็นปัญหาคนว่างงานตามมา รวมถึง “การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ “โควิด-19 เข้ามาเร่งปฏิกิริยาให้รวดเร็วขึ้น” ซึ่งสามารถมองได้ทั้งเป็นวิกฤติและโอกาส

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2563 มีการจัดสัมมนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 14 ส่งท้ายปี 2020 สรุปบทเรียนชวนคิดว่าด้วยเรื่อง “พลเมืองดิจิทัลในการรับมือยุคนิวนอร์มอล” ที่ห้องประชุมชั้น 22 โรงแรมเดอะควอเตอร์ อารีย์ ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ TIJ , Centre for Humanitarian Dialogue (“hd) , ภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย , สถาบัน Change Fusion และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน

อณูวรรณ วงศ์พิเชษฐ์ รองผู้อำนวยการ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ TIJ กล่าวว่า ในฐานะที่ TIJ เป็นองค์กรเจ้าภาพร่วมจัดงาน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งนักคิดด้านดิจิทัล รวมถึงภาคประชาสังคม สื่อมวลชน และภาควิชาการ ที่สนับสนุนให้กิจกรรมนี้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา และแม้จะเป็นช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังมีการดำเนินการจัดงานต่อไป ซึ่งหากนับถึงงานครั้งนี้ที่เป็นการจัดงานส่งท้ายปี 2563 ก็นับเป็นครั้งที่ 14 แล้ว นับเป็นความพิเศษแรก

“ความพิเศษอันที่ 2 คือยิ่งจัดยิ่งมีการขยายวงขึ้น อันนี้ถือว่าเป็น Indicator (ตัวชี้วัด) ที่น่าประทับใจแล้วก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จ ในการที่มีกลุ่มเครือข่ายที่มาด้วยความสมัครใจในการรวมตัวกัน เราเห็นความสำคัญร่วมกันในการศึกษาว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคต่อไปนั้น ภาคประชาสังคมหรือภาคพลเมือง จะมีส่วนช่วยในการตอบรับกับสถานการณ์นี้อย่างไร” อณูวรรณ กล่าว

รอง ผอ.TIJ กล่าวต่อไปว่า TIJ มีภารกิจด้านหนึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา พบเห็นรูปแบบการก่ออาชญากรรมที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ดำเนินการโดยองค์กรเครือข่ายขนาดใหญ่หรือมีลักษณะข้ามชาติ (Transnational) เช่น ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้อาชญากรรมสามารถดำเนินการได้ในบ้านและขยายวงกว้างด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายยังมีข้อจำกัดในการปราบปรามอาชญากรรมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้นหากภาคประชาสังคมหรือประชาชนรู้สิทธิและมีความเท่าทันในการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล สามารถดูแลตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อตั้งแต่ชั้นแรก จะเป็นตัวช่วยในการทำให้หน่วยงานของภาครัฐทำงานได้ง่ายขึ้น

มัทนา ถนอมพันธุ์ หอมลออ

มัทนา ถนอมพันธุ์ หอมลออ ประธานกรรมการกำกับทิศทาง แผนระบบสื่อและวิถีสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นคือนิยามคำว่าพลเมืองดิจิทัลมีความเหลื่อมกับคำว่าพลเมืองมนุษย์ทั่วไปอย่างไร เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ต่อไปว่าในภาวะวิกฤติที่ไม่เฉพาะโรคระบาดโควิด-19 แต่ยังมีอีกหลายวิกฤติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งการรับมือวิกฤติจะเป็นเพียงการปรับตัวอย่างยืดหยุ่น (Resilience) หรือจะนำไปสู่การสร้างฝันสร้างอนาคต ลงหลักปักฐานในโลกที่ยั่งยืนได้ ตนคาดหวังว่าบทเรียนจากเวทีสัมมนาครั้งนี้จะทำให้ภาพต่างๆ มีความชัดเจน ทั้งนี้ สสส. ชื่อนั้นบอกอยู่แล้วว่าทำงานด้านสุขภาพ ดังนั้นการสร้างพลเมืองให้มีขีดความสามารถในการสร้างวิถีสุขภาวะ จึงเป็นหนึ่งในภารกิจด้วย

ในช่วงเช้าเป็นการนำเสนอ 2 หัวข้อ โดย พณชิต กิตติปัญญางาม ซีอีโอ ZTRUS กล่าวถึง “การส่งเสริมเทคโนโลยีภาคพลเมือง (Civic Tech) ในการรับมือโรคระบาด” ว่า มีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดระบบสนับสนุนบริการสาธารณสุขช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ทั้งที่ยังไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่สิ่งที่ได้คิดคือ “คนทำงานด้านดิจิทัลไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถรักษาคนได้ แต่ถนัดเรื่องบริหารจัดการข้อมูล” คนทำงานด้านดิจิทัลสามารถมีบทบาทเชื่อมต่อระหว่างผู้มีความต้องการ (Demand) กับผู้ที่พร้อมจัดบริการ (Supply) เข้าหากันได้

“ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องพบแพทย์แบบต่อหน้า นั่นหมายถึงทรัพยากรทางการแพทย์เราอาจจะเพียงพอที่จะรับมือกันผู้ป่วย แต่ไม่เพียงพอกับการรับมือความตระหนกของประชาชนเหล่านั้น เพราะทุกคนจะเปลี่ยนโปรไฟล์เฟซบุ๊กตัวเองว่า..กูคิดหรือยังวะ..ก็จะเห็นโปรไฟล์นี้ เพราะทุกคนตระหนกว่าตัวเองติดหรือยัง แล้วทุกคนก็จะวิ่งเข้าไปหาโรงพยาบาลทันทีที่มีไข้ แล้วแพทย์ก็ต้องมารองรับ ผมก็ไปดูโรงพยาบาล ก็จะมีแพทย์อื่นๆ มานั่งสัมภาษณ์ก่อน ซึ่งแพทย์กลุ่มนั้นควรจะ Stand By (เตรียมพร้อม) รักษาโรคอื่นๆ ผู้ป่วยอื่นๆ” พณชิต กล่าว

เพื่อแก้ปัญหาการระดมแพทย์ทุกสาขามารับมือโรคอุบัติใหม่จนส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคอื่นๆ ที่ต้องการรับการรักษาเช่นกัน พณชิต เล่าว่า ต้องขอบคุณกรมควบคุมโรคที่ให้โอกาสได้เข้าไปร่วมทำงาน ซึ่งเมื่อทีมงานได้รับความรู้เรื่องการคัดกรองกลุ่มเสี่ยง จึงทำแบบคัดกรองผ่านช่องทางออนไลน์ขึ้น แต่ก็ต้องปรับแก้แบบกันเป็นระยะๆ กว่าจะลงตัว จากนั้นจัดให้ผู้ที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง ได้พบแพทย์ผ่านเทคโนโลยีสื่อสารทางไกลแบบเห็นหน้า (Teleconsult) เพื่อให้แพทย์ได้สอบถามในเบื้องต้นว่ากลุ่มเสี่ยงสูงแต่ละรายนั้นเสี่ยงจริงหรือวิตกกังวลไปเอง เมื่อได้ระบบคัดกรองแล้ว สิ่งที่ต้องคิดต่อมาคือ “แล้วจะให้เดินทางไปอย่างไร” จะให้ขับรถไปเองบางรายก็ไม่มี จะให้ใช้บริการขนส่งมวลชนก็เสี่ยงทำให้การระบาดขยายออกไปอีก แต่ระบบรถพยาบาลของภาครัฐก็มีข้อจำกัดเนื่องจากระเบียบกำหนดให้ต้องได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลก่อนเท่านั้นจึงจะไปรับได้ ทำให้ต้องประสานกับผู้ประกอบการภาคขนส่ง เพื่อดัดแปลงรถที่ใช้ในงานปกติให้เหมาะสมกับการขนย้ายผู้ป่วย นำมาใช้ในการรับกลุ่มเสี่ยงมายังโรงพยาบาล รวมถึงให้ช่วยจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ที่ไม่กล้ามาโรงพยาบาลในช่วงดังกล่าว

อีกคำถามคือ “แล้วจะให้อยู่ที่ไหน” กลุ่มเสี่ยงสูงที่ได้รับการวินิจฉัยจากโรงพยาบาลแล้ว หากปล่อยให้กลับไปพักอาศัยร่วมกับคนอื่นๆ ย่อมมีความเสี่ยงแพร่เชื้อได้ จึงประสานกับผู้ประกอบการโรงแรมที่มีความพร้อมให้ใช้ห้องพักเป็นสถานที่กักกันโรค ประสานงานร่วมกับแพทย์ในการวางมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนผ่าน “เทใจ (taejai.com)” เว็บไซต์สื่อกลางบริจาคเพื่อผู้ประสบภัยต่างๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับทางโรงแรม ซึ่งเมื่อนำทุกขั้นตอนมาร้อยเรียงกัน พบว่าได้ระบบการรับมือโรคระบาดครั้งนี้อย่างครบวงจร
“จากวันที่ 7 มี.ค. 2563 ผ่านไป 44 วัน เรารองรับคนแล้วประมาณ 1 แสนกว่าคน ซึ่งพอพ้นในช่วง 2 เดือนเรารองรับเป็นหลัก 2-3 แสนคน จินตนาการว่า 2-3 แสนคนที่มีความตระหนกทุกคนเทไปยังโรงพยาบาลจะเกิดอะไรขึ้น มันคือความวุ่นวาย เราก็เลยมองว่าสิ่งที่เราคิดในเบื้องต้นน่าจะตอบโจทย์ คือเรากรองคนที่ใช่ให้ไปรับ แต่มันมีอยู่ไม่กี่คนที่ให้ไปรับ แล้วความเสี่ยงสูงประมาณ 2 หมื่นกว่าคน แล้วส่งไปให้ รพ.จุฬาฯ กับ รพ.ราชวิถี วันละ 50 ราย เราก็บริหารจัดการมา
แล้วเราก็เอาข้อมูลจากโรงแรมที่เป็นพันธมิตรกับเรา ที่จัดเตรียมแล้วขึ้นมาออนไลน์เหมือน Agoda (เว็บไซต์จองห้องพักโรงแรมทั่วโลก) เพื่อให้คนที่อยากกลับจากต่างประเทศ อาจจะมีความเสี่ยง ตรวจเช็คแล้วผลเป็นบวก (ติดโควิด-19) แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนไปหาที่พักตรงนี้ แล้วเราก็ระดมทุนบางก้อนจากเทใจมา Support (สนับสนุน) ที่พักของคนกลุ่มนี้ เพราะหลายคนเราค้นพบว่าเขาไม่มีเงินจ่าย โรงแรมที่มี Quality (คุณภาพ) ขนาดนี้ เราก็เลยต้องระดมทุนมาช่วยในเรื่องของค่าขนส่งคน ค่าที่พัก เพราะพื้นที่ตรงนี้สวัสดิการรัฐยังลงไปไม่ถึง” พณชิต ระบุ

หลังมาตรการล็อกดาวน์ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ เริ่มเตรียมการผ่อนคลายมาตรการโดยให้กิจการแต่ละประเภททยอยกลับมาเปิดได้เรียงจากความเสี่ยงต่ำ ปานกลางและสูงตามลำดับ สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลหลายประเทศต้องการให้มีคือ “ระบบติดตามเพื่อสืบสวนโรค (Contact Tracing)” เช่น ในประเทศไทยมีแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ให้ประชาชนใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) เมื่อเข้า-ออกสถานที่ต่างๆ โดยหากพบผู้ติดเชื้อก็จะได้จำกัดวงในการค้นหากลุ่มเสี่ยงเฉพาะที่อยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกัน

แต่ระบบนี้ก็ถูกตั้งคำถามทั้งในไทยและต่างประเทศในเรื่อง “ข้อมูลส่วนบุคคล” เพราะรัฐหรือแม้แต่เอกชนที่รัฐมอบหมายให้บริหารจัดการข้อมูล จะรู้หมดว่าคนคนหนึ่งเดินทางไปที่ไหนบ้างหรือพบปะกับใคร ซึ่ง ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นำเสนอหัวข้อที่ 2 ในช่วงเช้า “บทเรียนของประเทศไทยในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวเพื่อป้องกันการยับยั้งโรคระบาด” ได้กล่าวว่า เทคโนโลยีจะถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีนั้นด้วย

“ความเชื่อมั่น (Trust) ต่อเทคโนโลยีมันจะนำไปสู่การที่ข้อมูลไหลเวียนได้อย่างอิสระ นำไปสู่ขั้นต่อไปคือทำให้เกิด Competition (การแข่งขัน) หรือ Operation (ปฏิบัติการ) Competition ในสภาวะการแข่งขันทางเทคโนโลยี ส่วน Operation ก็ในภาวะโรคระบาดแบบนี้ ที่มันจะทำให้แต่ละองค์กรแต่ละหน่วยงานสามารถเอาข้อมูลมา Share (แบ่งปัน) กันเพื่อสร้างความร่วมมือกันได้ แต่ทีนี้มันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่นต่อกัน ซึ่งมีทั้งในมุมที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเรื่องนี้มันชัดเจนมากในช่วงที่ผ่านมา ว่าเราก็มี Contact Tracing Application (แอพพลิเคชั่นติดตามเพื่อสืบสวนโรค) มีการให้ข้อมูลกับสถานที่ต่างๆ ที่เราไป แล้วเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเราไม่ไว้ใจพื้นที่นั้นเราก็จะไม่ค่อยอยากไปเท่าไร เราก็จะไม่ค่อยอยากใช้แอพพลิเคชั่นหรืออยากให้ข้อมูลเหล่านั้นเท่าไร” ฐิติรัตน์ อธิบาย

ฐิติรัตน์ กล่าวต่อไปว่า หลักการจัดเก็บและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มี 3 ประการคือ 1.จำเป็น ต้องมีเหตุผลเพียงพอว่าจะนำข้อมูลไปใช้ทำอะไร 2.โปร่งใสและเป็นธรรม ใครจะมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้บ้าง และ 3.ปลอดภัย ข้อมูลต้องถูกจัดเก็บโดยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับข้อมูลนั้น ทั้งนี้ “ตามมาตรฐานของ สหภาพยุโรป (EU) กำหนดให้เฉพาะหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมโรคเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของแอพพลิเคชั่นติดตามเพื่อสืบสวนโรค” หน่วยงานอื่นๆ เช่น หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ หรือบริษัทเอกชน ไม่มิสิทธิ์เข้าถึง

ส่วนในช่วงบ่าย เริ่มต้นด้วย สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion นำเสนอหัวข้อที่ 3 “โควิด-19 คิดแต่ไม่ถึง กับความเหลื่อมล้ำยุคดิจิทัล” โดยกล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลสามารถแบ่งได้ 1.การเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิต ได้แก่ 1.1 ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที เช่น เมื่อรัฐบาลไทยตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร พบว่าข้อมูลเชิงรายละเอียดมักถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กเป็นหลัก
กับ 1.2 เข้าไม่ถึงสิทธิตามมาตรการช่วยเหลือของรัฐ เช่น โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาทติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ร้านค้าถูกปิดหรือกลายเป็นคนว่างงานขาดรายได้ แต่การลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาต้องทำผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งหากย้อนไปดูช่วงเดือน เม.ย. 2563 ที่รัฐบาลเปิดรับลงทะเบียน มีการสำรวจพบผู้เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก

สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion

ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อมูลของ สำนักงานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อปี 2562 พบว่า มีคนไทย 50.1 ล้านคนเข้าถึงอินเตอร์เน็ต จากประชากรทั้งหมด 66.5 ล้านคน หรือข้อมูลจาก โครงการอินเตอร์เน็ตประชารัฐ ในปี 2561 มีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้ประมาณ 6 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2561 พบว่า มีประชากรราวร้อยละ 40 ไม่ใช้อินเตอร์เน็ต เท่ากับว่ายังมีคนบางส่วนหลุดหายไป และการเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ตในยุคนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยฉุดรั้งผู้คนไม่ให้หลุดพ้นจากความยากจน 2.การมีทักษะในการอยู่กับโลกดิจิทัล ซึ่งมีหลายเรื่อง อาทิ 2.1 การตรวจสอบข่าวปลอม ผู้ที่ขาดทักษะดังกล่าวย่อมสุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ โดยในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ มีการส่งต่อข่าวที่ไม่มีที่มาที่ไป เช่น การรักษาความชุ่มชื้นของลำคอช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ การใส่หน้ากากอนามัยทำให้เลือดเป็นกรด การทดสอบว่าติดเชื้อหรือไม่ด้วยการกลั้นหายใจ ฯลฯ แต่เคราะห์ดีที่ในไทยยังไม่มีใครเสียชีวิตจากการทำตามข่าวปลอมอย่างในต่างประเทศ แต่ก็มีความเสี่ยงโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ หากไม่มีทักษะนี้มักมีแนวโน้มเชื่อและส่งต่อได้ง่าย

กับ 2.2 การใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้คนตกงานสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก และแต่ละคนก็ต้องดิ้นรนหารายได้ ซึ่งมีปรากฏการณ์ทั้งด้านบวก เช่น มีเพจหรือกลุ่มเฟซบุ๊กระดับท้องถิ่นที่ตั้งเป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์ว่าพื้นที่นั้นมีบริษัทห้างร้านใดเปิดรับสมัครงานบ้าง หรือช่องยูทูปที่สอนเทคนิคการขายของออนไลน์ และด้านลบ เช่น การขายบริการทางเพศในหลายรูปแบบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าห่วงโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อาจจะทำตามเพื่อน หรือการถูกล่อลวงให้ไปเล่นหรือไปทำงานเป็นเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์
และ 3.การเป็นพลเมืองดิจิทัล ประเด็นสำคัญคือ “การสร้างการมีส่วนร่วม” ด้านหนึ่งประเทศไทยยังขาดการเปิดเผยข้อมูลจากภาครัฐ แต่อีกด้านเห็นความร่วมมือจากภาคประชาชน เช่น ในช่วงแรกๆ ที่มีข่าวหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขาดแคลนในโรงพยาบาลหลายแห่ง พบประชาชนหลากหลายกลุ่มใช้ช่องทางออนไลน์ระดมจัดหาสิ่งของเหล่านั้นเพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว ในขณะที่ภาครัฐไม่อยากให้โรงพยาบาลเปิดเผยข้อมูลเรื่องการขาดแคลน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

หรือการทำแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ต่างคนต่างทำกันเองอย่างสะเปะสะปะ กรณีของไทยนั้นมีคนพยายามทำแอพฯ ระบุพิกัดว่าร้านไหนมีหน้ากากอนามัยจำหน่ายบ้างในช่วงที่หน้ากากขาดแคลน แต่เพราะไม่มีรัฐช่วยจึงไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล ปล่อยให้ประชาชนใส่ข้อมูลกันเอง ต่างจากไต้หวันที่มีแอพฯ อย่างเดียวกัน แต่มีรัฐเป็นผู้สนับสนุนเชื่อมฐานข้อมูลร้านจำหน่ายหน้ากากอนามัยกับแอพฯ ดังกล่าวให้
“ไทยไม่ได้ขาดเรื่องเทคโนโลยีหรือนักเทคโนโลยี มีพอสมควร มีดีด้วย และทำงานกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ดีพอสมควร แต่พอมันจะขึ้นไปถึงระดับนโยบายที่เราต้องใช้เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ มันมักจะไม่สำเร็จ แล้วก็อาจจะสุดท้ายไปทำเอง หรือไม่ยอมให้ทำ หรือไม่อยากเปิดเผยข้อมูล ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจว่าจะพัฒนาหรือเรียนรู้จากบทเรียนเหล่านี้ แล้วค่อยๆ เปิดการพูดคุยว่าความกังวลของทั้ง 2-3 ฝ่ายมันคืออะไร แล้วจะแก้ปัญหาในอนาคตอย่างไรขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานที่ทำงานในลักษณะเปิด หรือสร้างการมีส่วนร่วมอยู่แล้ว เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สสส. ก็ออกมาหนุนเรื่องนี้พอสมควร” สุนิตย์ กล่าว

และหัวข้อที่ 4 ของการสัมมนาครั้งนี้ “พลเมืองยุคดิจิทัลกับการรับมือโรคระบาดของข้อมูลข่าวสาร” นำเสนอโดย พีรพล อนุตรโสตถิ์  ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท. กล่าวว่า พลเมืองดิจิทัลหมายถึง ผู้ที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตแล้วสามารถใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อมีส่วนร่วมในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบ และมีความปลอดภัย ซึ่งการเป็นพลเมืองดิจิทัลต้องมี 8 ทักษะ คือ 1.การรักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเอง 2.การรักษาข้อมูลส่วนตัว 3.การคิดวิเคราะห์และมีวิจารณญาณที่ดี 4.จัดสรรเวลาหน้าจอได้ 5.รับมือกับการคุกคามทางออนไลน์ 6.บริหารจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้งานทิ้งไว้ (Digital Footprint) จะโพสต์อะไรต้องตระหนักว่าเป็นร่องรอยทิ้งไว้ 7.รักษาความปลอดภัยของตนเองทางออนไลน์ และ 8.ใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม คำถามคือ “ทักษะเหล่านี้รับมือโรคระบาดของข้อมูลข่าวสาร (Infodemic) ได้เพียงใด” กระทั่งการมาของไวรัสโควิด-19 จึงเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ

โดยหากย้อนไปในปี 2558  บิลล์ เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ตอนหนึ่งว่า “โลกยังไม่พร้อมรับมือสถานการณ์โรคระบาด” แล้วอีก 5 ปีให้หลังเมื่อโควิด-19 มาเยือน การจัดการอะไรหลายๆ อย่างก็พบว่ายังห่างไกลจากคำว่าความพร้อมจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ต่างจากภัยออนไลน์ต่างๆ เช่น การถูกเจาะระบบ (Hack) หรือถูกหลอกลวง เป็นสิ่งที่คาดเดาได้และเตือนให้ระวังตัวได้ และยิ่งกับผู้ที่ขาดทักษะการเป็นพลเมืองดิจิทัลด้วยแล้วอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เช่น กลายเป็นผู้เผยแพร่ข่าวปลอม

“มีคุณหมอคนจีนที่เขาบอกว่าเป็นตำนาน ที่เป็นคนรู้คนแรกแล้วก็ไปแจ้งตำรวจแล้วพยายามจะเตือน แต่สุดท้ายตำรวจที่จีนมาล็อกเขาแล้วก็ไม่ยอมให้เขาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผมคิดว่าการเปิดโครงสร้างความเสรีเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะมันเกิดที่จีน มันอาจจะส่งผลหรือเกี่ยวข้องกับสถานการณ์กลับมาด้วยเหมือนกัน หลังจากนั้นก็จะมีข้อมูลข่าวสารหลายๆ อย่างซึ่งหลายคนคงจะเคยเห็นภาพพวกนี้อยู่แล้ว มี Conspiracy Theory (ทฤษฎีสมคบคิด) มันกำเนิดมาจากแล็บตรงนั้นตรงนี้ มีข้อมูลชิ้นนั้นชิ้นนี้เพื่อสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดเหล่านั้น  มีการโยงกับเรื่องที่เป็นส่วนตัว มีการเอาภาพจากต่างประเทศมาทำให้สถานการณ์ที่มีอยู่แล้วก็รู้สึกแย่ลง ซึ่ง Loop (วงจร) แบบนี้มันไม่ได้เกิดที่แค่ที่ประเทศไทย แต่ในช่วงต้นๆ พอประเทศไหนมีการระบาด มันจะมี Set (ชุด) ของข้อมูล ที่มาใกล้เคียงกัน คือมีภาพคนล้ม คนตาย ภาพอะไรออกมาที่มันทำให้เกิดความตื่นตระหนก เหมือนกับที่เราเจอในประเทศไทยช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 2563 พอพม่า (เมียนมา) ระบาดหนัก ภาพเหล่านี้ก็เกิดขึ้นที่พม่าเหมือนกัน” พีรพล ยกตัวอย่าง

พีรพล กล่าวสรุปว่า ในมุมหนึ่งการมีข้อมูลข่าวสารและเกิดความตระหนักเป็นเรื่องดี แต่ในบางกรณีเมื่อไปบวกกับความบกพร่องในวงจรการสื่อสาร หรือความไม่สมบูรณ์ของวงจรการสื่อสารในปัจจุบัน เช่น การที่มีผู้ปล่อยข่าวปลอมแล้วยังมีรายได้จากการปล่อยข่าวปลอมนั้นอยู่ หรือการสร้างข้อมูลเท็จที่ทำขึ้นได้ง่าย หรือมีข้อมูลเท็จไว้ใช้เพื่อวัตภุประสงค์อื่น ทำให้สถานการณ์ในโลกจริงเลวร้ายลงไปด้วย เพราะโลกจริงกับโลกอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงกัน

ปิดท้ายด้วยการระดมความคิดเห็นในหัวข้อ “การส่งเสริม Digital Intelligence ให้พลเมืองดิจิทัลรับมือด้านมืดไชเบอร์ยุคนิวนอร์มอล” โดยเริ่มจาก สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย ยกตัวอย่างด้านมืดที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเรื่องเพศสำหรับผู้ใหญ่มีผู้คนเข้าชมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 คำถามคือคลิปวีดีโอในเว็บไซต์เหล่านั้นมาจากความยินยอมของบุคคลที่ปรากฏในคลิปนั้นเอง หรือมาจากการละเมิดที่มีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อ
รศ.มาลี บุญศิริพันธ์ อดีตคณบดี คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่างปรากฏการณ์ Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน) หรือ Filter Bubble (ฟองสบู่ตัวกรอง) เนื่องจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งนำมาใช้บริหารจัดการสื่อออนไลน์ต่างๆ จะคัดเลือกแต่ข้อมูลที่ผู้ใช้งานแต่ละคนชอบหรือสนใจมาให้ และกันข้อมูลด้านอื่นๆ ออกไปจากความรับรู้ นานวันเข้าแต่ละคนก็จะเคยชินกับการรับข้อมูลด้านเดียวโดยไม่รู้ตัว และนำไปสู่การแบ่งแยกในสังคมอันเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก


สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้อำนวยการองค์กร Phandeeyar กล่าวถึงภาวะที่ผู้คนใช้ชีวิตกับโลกออนไลน์จนหลงลืมชีวิตในโลกจริง ทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญไป 2 เรื่องคือ 1.การย้อนดูตนเอง (Self-Reflection) มนุษย์จำเป็นต้องมีเวลาอยู่กับตนเองบ้าง เพราะมีความสำคัญกับการทำงานของสมองซึ่งมีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีเวลาให้กับตนเองเพราะว่างเมื่อใดก็มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอด กับ 2.มนุษย์สัมพันธ์ (Relationship) เช่น แม้จะมานัดรวมตัวกันในร้านกาแฟ แต่ละคนก็จะนั่งดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทนที่จะพูดคุยกับคนตรงหน้า เป็นต้น…

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร “เราจะเข้าถึงข้อมูลรัฐบาลดิจิทัลได้อย่างไร”

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร
“เราจะเข้าถึงข้อมูลรัฐบาลดิจิทัลได้อย่างไร”
โดย ดร.สุพจน์  เธียรวุฒิ  Dr. Supot Tiarawut
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) DGA Thailand  DGA Thailand

จากงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 12
“เมื่อต้องรับมือข่าวสารจริง-ลวงด้วยข้อมูลเปิด เราจะเข้าถึงรัฐบาลดิจิทัลได้อย่างไร”
Digital Thinkers Forum #12
Fighting Fake News & Opacity with Open Data:
How to enable fact-checking by digital government?
เปิดประเด็น​โดย ดร.สุพจน์​ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการ​สำนัก​งานพัฒนา​รัฐบาล​ดิจิทัล​ (องค์การมหาชน- DGA)

ณ ห้องประชุมชั้น 15 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย อาคาร GPF ถนนวิทยุ

คลิกลิงก์ เพื่อดาวน์โหลดเอกสาร
https://drive.google.com/file/d/1wmvrTqdPjrqgFWXai7JERxzn24aHthR4/view?usp=sharing

“Cofact” Innovation Creates a New Culture of “Fact Checker” Fostering Thai society as Fact Checker for Collaborative Fact Checking

The key intent of the innovation of “CoFact”, or Collaborative Fact Checking, the newest online platform, is to help Thai people from being victimized by all forms of “fake news”, which was officially launched at the Digital Thinkers Forum#11 on “In digital age, why CoFact is important?” The launch was co-organized last week by the fact-checking and fake news preventing network such as Thai Health Promotion Foundation, Thailsnd Media Fund, ThaiPBS, Foundation for Consumers, The National Press Council of Thailand, Thai Institute of Justice (TIJ), JitArsa Bank, 77 Kaoded, ChangeFusion, Opendream, UbonConnect, Friedrich Naumann Foundation, and Centre for Humanitarian Dialogue (HD). It is no less interesting for this new dimension of screening before forwarding the upcoming news.


Because nowadays Thai people are facing the problem of “fake news”, spreading like a pandemic in the society, especially the online one. For instance, misinformation on health, sales fraud, Ponzi scheme, online gambling, disaster news, as well as political issues. This causes confusion, and misunderstanding, making it difficult to believe. If the people in the society are not aware, they might fall victims or unconsciously become fake news spreaders. Based on the data of the Foundation for Consumer, it found that in early 2020, only between January and March, there were 1,055 complaints about health and related products filed to the Foundation.

Thus, the solution to enhance the quality of Thai society, particularly in terms of receiving and forwarding any information, Mr. Supreda Adulyanon, the CEO of Thai Health Promotion Foundation, a partner of the network, stated that there is necessity to create space for everyone to conduct collaborative fact checking. And that this CoFact community, either on www.CoFact.org or Line @CoFact, will become the mechanism in lighting up, and uniting the citizens to work together in driving the fact-checking process of the civic sector.

Similar to the representatives of Friedrich Naumann Foundation (FNF), Mr.Frederic Spohr and Centre for Humanitarian Dialogue (HD), Ms.Theerada Suphaphong, partners from Germany and Switzerland, who also agreed that CoFact Community will help Thailand in tackling fake news, and political hate speech. It is because the concept that allows everyone to be part of collaborative fact checking on the constructive and safe space is not contrary to the principles of Democracy, Rights and Liberties. It responds to the need more than fighting fake news with the use of state power.

But this is a very new topic, to achieve the goal is not an easy task. Therefore, CoFact Thailand was adapted for Thailand by using the inspiration from the CoFacts project in Republic of China, where the civil society of Taiwan believes in the civic power in tackling the fake news through the establishment of the common open space for every sectors to fact check as fact could change over time and factors.

Ms. Supinya Klangnarong, Co-founder of CoFact.org, said that to drive CoFact mechanism to be successful, it is necessary to expand the work from creating online platform to creating community of fact checking where everyone can help awaken fact checker-ness in themselves.


“This is considered as the media form in the digital era by strengthening the civic sector, and fighting fake news with journalism principles such as verifying the credibility of the source, and creating and turning this new value to the new culture of society.” She again emphasized on the next step of CoFact Thailand.

There is, however, a theory on fake news. It explains that fake news can be compared as a virus. The person who leaks/spreads it is called ‘Spreader’, whereas some fake news could spread quickly and widely because of ‘Super Spreader’, who could be celebrity, media influencer, or social influencer on other aspects. The solution is, therefore, using ‘Super Corrector’, who has the same level of influence to provide the correct information and to do so immediately.

However, if it is fake news at the community level which is spread on social media, Ms. Supinya says this needs ‘Many Correctors’—a lot of ordinary people to fact check, while also replacing with correct information—in order to stop such fake news. Hence, CoFact.org is a platform specifically for this purpose.

“We want to go beyond the Sure and Share approach. It means that in addition to fact checking any mis/disinformation, there must also correct it with the most updated fact into the database so that others could also fact check again whether it is fake or true. The press could too use this platform to verify its content before publishing it to the public.

Currently, there are 1,500 sets of data in the database of CoFact.org. Most of them are about health, COVID-19, and related propaganda. Whereas, there is not much data yet on social and politics as it is a complicated matter. Ms. Supinya announced that in the future, this topic will be made into in-depth news, by compiling a dataset then accompanying comments rather than deciding whether it is true or not because politics is a sensitive issue with many different aspects.


As for Ms. Kanokporn Prasitpol, the Director of New Media of ThaiPBS, she stated that as the press representative before publishing any news, the press must focus on multi-step fact checking on its content, coupled with the speed in presentation for the highest benefit of the audience. Because for the general public, including those living in Bangkok, the recognition of sharing information without fact checking is still a far-away matter for them.

While for Mr. Wannasingh Prasertkul, the documentary producer and social influencer, believed that, as a media consumer himself, if CoFact is practical and lives up to its expected effectiveness, it could be a great tool for the society, causing improvement on the discussion atmosphere in the society. Because at one point whether it is true, most of the people are going to still be in the state of willingness to consume information that matches with their belief, now they all could just send to CoFact, a reference point accepted and understood by everyone, in order to resolve the matter. This is all up to the credibility of the project, and a very broad and comprehensive database.

Same as Mr. Jikhaideel Chelaeh, the famous Youtuber of Deen Vlog from Narathiwas, who also agrees that this creative space of CoFact.Org will help alleviate the Southern Thailand conflict from fake news.

“I could remember that fake news in Southern Thailand has occurred since I was just a kid. It spread on MSN, then Hi5, and now on Line. The fake news situation is constantly escalating. For example, The Muslim burned out a temple in Malaysia, or A Muslim shot Thai Buddhist or the other way around. Such thing occurs almost every month, causing hatred not only within the Southern Border provinces but it became feud between the Thai Buddhists and Thai Muslim in the area. Even if neither of them do so, there is an attempt from some groups who try to create and benefit from this fear. This impacts the way of living and the economy. I can assured that having grown up in this area, there is no such thing, we all live harmoniously—Buddhism, Islam, and Christian. Therefore, if fake news is still circulated, the economy and revenue of villagers from the Southern Border provinces would never be better.”

This Youtuber from Deen Vlog also said that one thing that his friends and himself could do is to feed more positive information, and more facts about the three Southern Border provinces through creating this Youtube channel for the Thais and everyone in the World to see. As for the content of Deen Vlog is not touching upon estrangement, but instead by using positive framing of facts, which is really helpful. As for CoFact.org, it uses similar methodology but on the bigger and more credible platform, it could be another tool to, more or less, help solve Southern Thailand conflict. Therefore, this is a call for everyone to volunteer with CoFact Network in order to help with fact checking before sharing information.

Even Mr. Peerapon Anutarasoat, manager of Sure and Share of MCOT, also emphasized that CoFact is another channel in fact checking, which could be dependable for the people and by the people. It could also adjust behaviors of the people in the society to have more critical thinking, to look at any information with a fair heart, and to judge on rationality. CoFact could additionally be a space for experts and specialists to share the correct information on the online society. This is another good point. And, some information from the Sure and Share is re-published on this new platform too.

The CoFact project of Taiwan, the initial inspiration of Thailand’s CoFact.org, took eight months to be successful. It is supervised by four hundred editors while there are 20,000 citizen fact checkers who monitor and feed information. And, there are 150 issues per week being fact-checked and corrected. Therefore, CoFact Thailand will grow strongly in no time. The people in the country need to join hands in creating a new culture of fact checker so as to fact checking together with correcting before sharing to intercepting fake news from spreading.

Goodwill messages from Taiwan’s Digital Minister, Audrey Tang, to congratulate Cofact Thailand’s launching event in August 28, 2020

For Cofact annual event in August 28, 2020, Taiwanese’s Digital Minister, Audrey Tang who virtually appeared as a special guest to deliver a good will messages to Cofact Thailand and elaborated that: “In this era the explosion of information, disinformation has also become like a wildfire which causes social panic. It is an issue that we cannot ignore. To counter the tough challenges, we firmly believed that it is only cross- sector of partnership, we can reconsolidate to protect the value that we share which is a liberal democracy.”

นวัตกรรม “Cofact” สร้างวัฒนธรรมใหม่ “Fact Checker” ปั้นสังคมไทยนักเช็คข่าวลวง เปิดพื้นที่ร่วมหาข้อเท็จจริง

นวัตกรรม “Cofact” สร้างวัฒนธรรมใหม่ “Fact Checker”
ปั้นสังคมไทยนักเช็คข่าวลวง เปิดพื้นที่ร่วมหาข้อเท็จจริง

“ทำให้ทุกคนกลายเป็นคนตรวจสอบข่าว หรือ Fact Checker และสร้างพื้นที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย”




เจตนาสำคัญของนวัตกรรม “โคแฟค” (COFACT.ORG) หรือ Collaborative Fact Checking แพลตฟอร์มออนไลน์น้องใหม่ ที่จะช่วยให้คนไทยไม่ตกเป็นเหยื่อของ “ข่าวลวง” (Fake News) ทุกรูปแบบ ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 11 “ยุคดิจิทัล ทำไมความจริงร่วมจึงสำคัญ” โดยกลุ่ม ภาคีเครือข่ายป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ThaiPBS มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สภาการหนังสือพิมพ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์กรมหาชน) หรือ TIJ ธนาคารจิตอาสา 77 ข่าวเด็ด Opendream มูลนิธิฟรีดิชเนามัน – Friedrich Naumann Foundation และ The Centre for Humanitarian Dialogue (HD) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับว่าน่าสนใจไม่น้อยกับมิติใหม่แห่งการคัดกรองและส่งต่อข่าวสารที่กำลังจะเกิดขึ้น

เพราะปัจจุบันคนไทยกำลังเผชิญปัญหา “ข่าวลวง” ที่ระบาดหนักในสังคม โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ผิดๆ ด้านสุขภาพ การหลอกขายสินค้า แชร์ลูกโซ่ การพนันออนไลน์ ข่าวภัยพิบัติ รวมถึงประเด็นทางการเมือง ที่สร้างความสับสน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด จนยากที่จะเชื่อถือในข่าวสารนั้นๆ ซึ่งถ้าหากคนในสังคมไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อ หรือเผยแพร่ส่งต่อโดยไม่รู้ตัว โดยข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพบว่า แค่ช่วงต้นปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม มีเรื่องร้องเรียนด้านสุขภาพและผลิตภัณฑ์เข้ามาที่มูลนิธิสูงถึง 1,055 รายการ



ดังนั้นหนทางแก้ไขและน่าจะเป็นอีกตัวช่วยยกระดับสังคมไทยให้มีคุณภาพ ในเรื่องการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. หนึ่งในภาคีเครือข่ายป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง ระบุชัดว่า จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้มาแสวงหาความจริงร่วมกัน และเครือข่ายชุมชนโคแฟคทั้งบนเว็บไซต์ Cofact.org และไลน์ @Cofact นี้เอง จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการจุดประกาย สานพลังใจพลเมือง ให้หันมาจับมือช่วยกันขับเคลื่อนกระบวนการตรวจสอบข่าวสารโดยภาคประชาชน

ไม่ต่างจากตัวแทนของ มูลนิธิฟรีดิชเนามัน – Friedrich Naumann Foundation และ The Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ภาคีต่างประเทศจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสมาพันธรัฐสวิส ที่เห็นด้วยว่าเครือข่ายชุมชนโคแฟคจะช่วยให้ประเทศไทยรับมือข่าวลวงต่างๆ และ Hate Speech ทางการเมืองได้ เพราะแนวคิดที่ให้ทุกคนมาหาความจริงร่วมกันบนพื้นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไม่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ตอบโจทย์มากกว่าการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแก้ไข



แต่เพราะเป็นเรื่องใหม่ การจะเดินให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย กับการนำแรงบันดาลใจจาก โครงการโคแฟคในสาธารณรัฐจีน ที่ภาคประชาสังคมไต้หวันมีความเชื่อมั่นในพลังของพลเมืองต่อการรับมือกับด้านมืดของข้อมูลข่าวสาร ผ่านการมีพื้นที่กลางให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย มาปรับประยุกต์ใช้ในสังคมไทย


สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT.ORG กล่าวว่า การจะขับเคลื่อนให้กลไกโคแฟคสำเร็จได้จริงนั้น ต้องขยายงานจากการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ไปสู่การสร้างชุมชนเพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง และทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน ปลุกความเป็น Fact Checker ในตัวเอง
“นับว่าเป็นการปฏิรูปสื่อในยุคดิจิทัล ด้วยการหันกลับมาสร้างความเข้มแข็งในภาคพลเมือง และแก้ไขข่าวลวงด้วยหลักวารสารศาสตร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนเสมอ และสร้างค่านิยมใหม่นี้ให้กลายเป็นวัฒนธรรมของสังคม” เธอย้ำอีกครั้งถึงแนวทางที่โคแฟคไทยจะเดินต่อไปจากนี้

อย่างไรก็ดี หลักการของข่าวลวงหรือ Fake News นั้นมีทฤษฎี โดยข่าวลวงนั้นเปรียบได้กับไวรัส คนที่ปล่อยข่าวลวงคือ Spreader แต่บางข่าวลวงที่ไปเร็วและขยายวงกว้างเพราะมี Super Spreader ที่เป็นเซเลบริตี อินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลทางสังคมในมิติต่างๆ เป็นผู้ปล่อยสาร แนวทางแก้ไขจึงต้องใช้ Super Corrector ที่มีอิทธิพลในระดับเดียวกันมาให้ข้อมูลด้านที่ถูกต้องและต้องทำทันที หากเป็นข่าวลวงในระดับพื้นที่ชุมชนที่แพร่กระจายตามโซเชียลมีเดียต่างๆ สุภิญญา บอกว่า ต้องอาศัย Many Correctors หรือประชาชนทั่วไปจำนวนมากมาช่วยกันตรวจสอบแก้ไข พร้อมใส่ข้อมูลที่ถูกต้องแทนลงไป จึงจะสามารถหยุดยั้งข่าวลวงนั้นได้ และ COFACT.ORG คือกลไกพื้นที่ที่สอดรับกับวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว


“เราอยากไปไกลกว่าการชัวร์ก่อนแชร์ คือถ้าเห็นอะไรผิดนอกจากจะช่วยตรวจสอบแล้ว อยากให้เกิดการ Correct เอาข้อมูลที่ถูกต้องที่เป็นปัจจุบันที่สุดมาใส่ไว้เป็น Data Base ด้วย เพื่อให้คนอื่นมาเช็คได้ว่าข่าวนี้ลวงหรือจริง โดยสื่อมวลชนเองก็สามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ตรวจสอบเนื้อหา ก่อนเผยแพร่ข่าวสารออกสู่สาธารณะได้เช่นกัน”
ขณะนี้ COFACT.ORG มีฐานข้อมูลอยู่ประมาณ 1,500 เรื่อง ส่วนมากเป็นประเด็นด้านสุขภาพเน้นไวรัสก่อโรคโควิด-19 และกลุ่มโฆษณาชวนเชื่อ ส่วนด้านสังคมและการเมืองที่มีความซับซ้อน ยังไม่มีฐานข้อมูลมากนัก ซึ่ง สุภิญญา แจ้งว่า ในอนาคตจะทำเป็นข่าวเจาะเชิงลึก นำชุดข้อมูลมาเรียบเรียง แล้วค่อยนำความเห็นมาประกอบ มากกว่าการฟันธงว่าอะไรจริงไม่จริง เพราะการเมืองเป็นประเด็นละเอียดอ่อนมีหลากหลายแง่มุม



ด้าน กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อใหม่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนสื่อมวลชนก่อนปล่อยข่าวใดๆ ออกไป อยากให้สื่อมุ่งเน้นกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาหลายขั้นตอน ควบคู่ไปกับความรวดเร็วในการนำเสนอ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับข่าวสาร เพราะปัจจุบันสำหรับชาวบ้านทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่คนในกรุงเทพฯ การตระหนักถึงการแชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ ประชาชนยังมองเป็นเรื่องไกลตัว



ขณะที่ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ผู้ผลิตรายการสารคดีและนักพัฒนาสังคม กล่าวในฐานะผู้เสพสื่อว่า หากแพลตฟอร์มโคแฟคใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุดตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่ดีของสังคม ทำให้บรรยากาศการถกกันในสังคมอาจจะดีขึ้น เพราะถึงจุดหนึ่งไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง และคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะที่ยินดีเสพข้อมูลต่างๆ หากว่าตรงกับความเชื่อของตนเอง แค่ส่งไปถามโคแฟคที่เป็นจุดอ้างอิงที่ทุกคนยอมรับและเข้าใจตรงกันก็ได้ข้อยุติแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องทำให้โปรเจ็กต์นี้น่าเชื่อถือ และมีฐานข้อมูลวงกว้างมากๆ


จิคัยดีล เจะและ Deen Vlog จ.นราธิวาส


เช่นเดียวกับ จิคัยดีล เจะและ ยูทูปเบอร์คนดัง Deen Vlog จาก จ.นราธิวาส ที่เห็นด้วยว่า พื้นที่สร้างสรรค์ COFACT.ORG จะช่วยบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จากข่าวลวงได้


“จำได้ว่า Fake News ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีตั้งแต่ตอนที่ผมยังเล็กๆ จากสมัย MSN มา Hi5 จนปัจจุบันก็เป็น LINE ที่สถานการณ์ก็หนักมากขึ้นเรื่อยๆ มักมีการปล่อยข่าวลวงต่างๆ ว่าคนอิสลามไปเผาวัดที่มาเลเซีย หรือคนอิสลามไปยิงคนไทยพุทธ คนไทยพุทธยิงคนอิสลาม อะไรแบบนี้ใน LINE แทบจะทุกเดือน ซึ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังที่ไม่ใช่แค่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่กลายเป็นความบาดหมางระหว่างคนไทยพุทธและไทยมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีคนบางกลุ่มพยายามทำให้เราหวาดกลัวซึ่งกัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ ซึ่งผมยืนยันว่าเราโตมาในพื้นที่มันไม่มีอะไร เราอยู่กันแบบปกติสุขทั้ง 3 ศาสนา พุทธ อิสลาม คริสเตียน ดังนั้น ถ้า Fake News ยังไม่หมด เศรษฐกิจรายได้ของชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็จะไม่ดีขึ้น”



ยูทูปเบอร์จาก Deen Vlog บอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนๆ ทำได้ คือการป้อนข้อมูลด้านดี ด้านที่เป็นจริงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผ่านการทำช่อง YouTube ให้คนไทยคนทั่วโลกได้เห็น โดยเนื้อหาของ Deen Vlog ไม่ได้แตะเรื่องความบาดหมาง แต่กลับอาศัยการใส่ข้อมูลน้ำดีลงไปซึ่งช่วยได้มาก ส่วน COFACT.ORG ที่ใช้หลักการทำงานคล้ายๆ กัน แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่กว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า น่าจะเป็นอีกเครื่องมือช่วยแก้ไขปัญหาความาขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ได้ไม่น้อย จึงอยากให้ทุกคนเข้าร่วมเป็นจิตอาสาเครือข่ายโคแฟค และช่วยกันตรวจเช็คข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข้อมูล


แม้แต่ พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ก็ย้ำชัดว่าโคแฟคคืออีกหนึ่งช่องทางในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยตัวประชาชนเอง ช่วยปรับพฤติกรรมให้คนในสังคมมีความคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้น มองข้อมูลด้วยใจเป็นธรรม ตัดสินบนความเป็นเหตุเป็นผล ยังเป็นพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือถนัดในด้านต่างๆ ได้นำข้อมูลที่ถูกต้องมาแชร์กันบนโลกออนไลน์ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และข้อมูลจากชัวร์ก่อนแชร์บางส่วนก็ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำบนแพลตฟอร์มใหม่นี้ด้วย

สารแห่งมิตรไมตรีจากคุณออเดรย์ ถัง Audrey Tang รมต.ดิจิทัล #ไต้หวัน ในงานเปิดตัวนวัตกรรมและชุมชน #โคแฟคเมืองไทย #Cofact

โครงการโคแฟคของไต้หวัน แรงบันดาลใจตั้งต้น COFACT.ORG ไทย ใช้เวลา 8 เดือน ก็ประสบผล มีกองบรรณาธิการดูแลถึง 400 คน มีประชาชนที่เป็น Fact Checker คอยเฝ้าระวังและป้อนข้อมูลมากถึง 20,000 คน ข่าวสารที่ถูกตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องมีถึง 150 ประเด็นต่อสัปดาห์ ฉะนั้น โคแฟคไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในเร็ววัน ประชาชนในประเทศต้องจับมือกัน สร้างวัฒนธรรมใหม่ Fact Checker ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ พร้อมแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อสะกัดกั้นข่าวลวง

Talk Show – Politics of fake news around the globe

ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการ Talk Show – Politics of fake news around the globe.
โดย อาจารย์วศิน ปั้นทอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จากงานเสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 11 เปิดตัวโคแฟค “ทำไมความจริงร่วมจึงสำคัญ” วันที่ 28 สิงหาคม 2563


คลิก เพื่อดาวน์โหลดเอกสาร

https://drive.google.com/file/d/1ePzL-HwGk4cl4Qu4414dzZw2dZooX4Qz/view?usp=sharin

โคแฟคชวนอ่านบทสรุป “โครงการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาด และกรณีศึกษาด้านสุขภาพของไทย”

ชวนอ่านบทสรุป งานวิจัยเรื่อง “โครงการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง(fake news) ข้อมูลบิดเบือน(disinformation) ข้อมูลผิดพลาด(misinformation) และกรณีศึกษาด้านสุขภาพของไทย” แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาดในต่างประเทศ และส่วนที่สองคือกรณีศึกษาข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาดด้านสุขภาพของประเทศไทย

โดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และพรรษาสิริ กุหลาบ

ร่วมสนับสนุนและจัดทำโดย โครงการโคแฟค Cofact.org และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส)

ดาวน์โหลดที่นี่

https://docs.google.com/document/d/1GcLW2cNVK0zaaXlb3dhjy1Jsi68W9tsWGI-M_wdEg9E/edit?usp=sharing

Media Forum 12th เรื่อง “ข่าว ไม่ใช่ละคร | เส้นแบ่งอาชญากรรมเสมือนจริง”

นักจิตวิทยาสังคม- นักวิชาการห่วงการเสนอข่าวเป็นละคร ผลวิจัยชัด เสี่ยงชี้นำ เลียนแบบและทำให้ความก้าวร้าวรุนแรงเป็นเรื่องปกติ เรียกร้องคนถูกละเมิดฟ้องสื่อเป็นตัวอย่าง เอเจนซี่ไม่หนุนโฆษณา

(24 ก.ค. 63) สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ Cofact ร่วมกันจัดงานเสวนาออนไลน์ Media Forum 12th เรื่อง “ข่าว ไม่ใช่ละคร | เส้นแบ่งอาชญากรรมเสมือนจริง”

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวเปิดเสวนาว่า ปรากฏการณ์เรตติ้งรายการข่าวสูงกว่าละครบางรายการ โดยนำเสนอในรูปแบบละคร ใช้กราฟิคและเทคนิคเล่าเรื่องที่เน้นอารมณ์เพื่อเรียกความสนใจคนดูให้มากขึ้นแต่ถูกตีความผิดเพี้ยนไป ซึ่งหลายฝ่ายห่วงใย จนมีความเคลื่อนไหวจากคนหลายกลุ่ม ทั้งส่วนของกรรมาธิการในสภาฯ กสทช. ภาคประชาสังคม กลุ่มเกี่ยวกับเด็ก-เยาวชน เรียกร้องให้สื่อทบทวนการทำงานลักษณะนี้

“หวังว่าเวทีการแลกเปลี่ยนวันนี้จะได้หารือกันอย่างเต็มที่ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของสื่อ และจะได้มีการแลกเปลี่ยนกับคนที่ทำงานในวิชาชีพต่อไป ผมเชื่อว่าฝ่ายผู้ประกอบการสื่อน่าจะยินดีรับฟัง”

ผศ. ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นำเสนอข้อมูลสำรวจข่าวของสื่อโทรทัศน์จากกรณีศึกษาต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีการเสนอข่าวอาชญากรรมเสมือนจริงอย่างละครในรูปแบบการเล่าข่าว เทคนิค Immersive ใช้น้ำเสียงเร้าอารมณ์ ใช้ภาพจำลองเหตุการณ์ที่ล่อแหลมต่อการส่งเสริมความรุนแรง และให้ผู้สื่อข่าวเสมือนเข้าไปอยู่ร่วมในเรื่องทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์จริง ใช้จินตนาการและการคาดเดาข้อมูลเรื่องราว มีการละเมิดบุคคลในข่าว จึงเป็นคำถามต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมจากการทำงานของสื่อมวลชนในลักษณะดังกล่าว

“การนำเสนอข่าวแบบนี้ ส่งผลกระทบต่อความอ่อนไหวในการก่ออาชญากรรมของคนในสังคมกลุ่มไหน อย่างไร เมื่อสื่อทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน ไม่ใช่สื่อเชิงสืบสวน ส่งผลต่อรูปคดี บุคคล สังคมและมาตรฐานวิชาชีพสื่ออย่างไร”

รศ. ดร. ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด รองศาสตราจารย์ประจำหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตสาขาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม (หลักสูตรพิเศษ) คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการที่สื่อเสนอรายละเอียดของข้อมูลในเหตุการณ์ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ บางกรณีสื่อเป็นผู้เปิดเผยและเชื่อมโยงเบาะแสทำให้คดีคลี่คลาย แต่ที่ควรต้องระวังคือเรื่องอคติและความถูกต้องของข้อมูล เพราะคนให้ข้อมูลมีเป้าหมายแตกต่างกัน

“สื่ออย่าทำให้ข้อเท็จจริงกลายเป็นนิยายแล้วไปด่วนตัดสินเองเสียก่อน การให้ข้อมูล ให้รายละเอียดนั้นเป็นเรื่องที่ดีและควรทำแต่ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง บนความถูกต้อง”

ผศ. ดร. วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า เทคโนโลยีและสร้างภาพจำลอง ทำให้คนทำงานข่าวก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากแต่มีจุดที่ต้องระวังในด้านลบด้วยเช่นกัน

“มีงานวิจัยชี้ชัดเจนว่า สิ่งที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนสามารถกระตุ้นและมีอิทธิพลกับคนดูได้มาก หากนำเสนอเป็นแรงจูงใจทางลบ อาจกลายเป็นตัวอย่างพฤติกรรมไม่ดี ความก้าวร้าว การใช้ความรุนแรง ในเมื่อเรามีเครื่องมือทรงพลังในมือ อยู่ที่สื่อจะเลือกใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด”

ดร. มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจุบันข่าวเชิงสืบสวนลดน้อยลง ขณะที่การนำประเด็นอาชญากรรมมาทำ Immersive เรียกความสนใจคนดูมากขึ้น เมื่อผู้บริหารเห็นเรตติ้งเพิ่มขึ้น มีโฆษณามาก จึงไม่สนใจจริยธรรม ดังนั้นเรียกร้องให้คนถูกละเมิดใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อให้สื่อเพิ่มความระวังมากขึ้น

“ถ้าไม่อยากให้มีข่าวแบบนี้ คนดูก็ต้องเลือกไม่ดู และเอเจนซี่โฆษณาก็ต้องไม่สนับสนุน หลายภาคส่วนต้องสนับสนุนข่าวน้ำดีด้วย การทำข่าวเสนอเรื่องที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล สื่อมีแนวโน้มจะไม่เสนอเรื่องของคนที่เสี่ยงจะถูกฟ้อง แต่จะเป็นคนธรรมดาที่ต่อรองได้น้อยกว่า ผมกลัวว่าในอนาคตจะขยายมากขึ้น ไม่เฉพาะข่าวอาชญากรรมแต่อาจลามไปถึงข่าวการเมือง ปัญหาจะยิ่งใหญ่โตมากขึ้น”

รศ. รุจน์ โกมลบุตร ประธานอนุกรรมการด้านสื่อและโทรคมนาคม คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า พัฒนาการของสื่อมวลชนในการคุ้มครองสิทธิของแหล่งข่าวในรอบสิบปีที่ผ่านมาถือว่าดีขึ้น มีความระมัดระวัง แต่ปัจจุบันการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่มาทำให้ข่าวน่าสนใจนั้นต้องพิจารณาให้รอบคอบกว่านี้

“ต้องดูว่าการใช้กราฟิคนั้นเพื่อเป้าหมายใด ควรใช้กรณีที่มีความซับซ้อน หรือใช้ในเรื่องใหญ่เพื่อแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างช่วยลดทอนความรุนแรงของเรื่องหรือไม่ ส่งผลกระทบใครบ้าง มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องมากเพียงพอที่จะใช้หรือไม่ สื่อ ต้องตั้งคำถามก่อนเสนอข่าวว่า ถ้าเป็นญาติเรา จะเสนอข่าวนี้แบบไหน ถ้าไม่นำเสนอแล้ว ประชาชนจะเสียอะไร รวมทั้งต้องยึดหลักป้องกันไว้ก่อน เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากจำเป็นต้องละเมิด ต้องอธิบายประชาชนให้ได้ว่า ทำด้วยเหตุผลอะไร”

รศ. รุจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สนับสนุนการให้สื่อกำกับดูแลกันเองมากกว่าให้หน่วยงานรัฐ หรือ กสทช. มาควบคุม ขณะที่ผู้บริโภคและประชาชนต้องตระหนักว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หากไม่ต้องการ

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ บอกว่าจริง ๆ สื่อมีการกำกับตนเองเต็มที่ ถ้าข่าวอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นกับคนมีบารมีหรือมีเงิน สื่อจะเกรงใจไม่กล้าเจาะลึก แต่พอเป็นข่าวคนธรรมดาสื่อก็ขาดความเกรงใจ ผลิตซ้ำเรื่องราวจนละเมิดสิทธิโดยเฉพาะกรณีที่เป็นเด็กและเยาวชนมีกฎหมายคุ้มครองชัดเจนไม่ใช่แค่ละเมิดจริยธรรม.

ขอบคุณที่มา http://www.presscouncil.or.th/archives/5484

จริงหรือไม่? #กรุงปักกิ่ง ประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินภาวะสงคราม” หลังพบผู้ติดเชื้อ #COVID19 45 คน

จริงหรือไม่? เตรียมนำยาฟ้าทะลายโจร ทดลองในคน เพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิผลการรักษา COVID-19

สื่อยุคใหม่หลังโควิด “ความถูกต้องสำคัญกว่าความเร็ว”

ครบรอบ 23 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติยืนหยัดทำหน้าที่ท่ามกลางความท้าทายใหม่ “หมอประเวศ”​ แนะกระบวนทัศน์ใหม่ในการสื่อสาร สื่อ​ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ซับซ้อน ​เสนอมีเครื่องมือเชิงสถาบันสนับสนุนการทำงาน ขณะที่เวทีเสวนา ย้ำ บทบาทสื่อยุควิกฤตโรคระบาดไม่ใช่แค่นำเสนอข้อเท็จจริงแต่ต้องเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนด้วย เชื่อการทำงานสื่อยุคใหม่ต้องทำงานเป็นทีม ความถูกต้องต้องสำคัญกว่าความเร็ว

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2563 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ​สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 23 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดย นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวเปิดงานว่า ที่ผ่านมาสภาการฯ ได้กำกับดูแลการทำหน้าที่หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ของสมาชิกให้เป็นไปตามข้อบังคับที่ร่วมกันร่างขึ้น โดยในโอกาสครบรอบ 23 ปี เป็นอีกปีที่มีความท้าทายเรื่องภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมีโรคระบาดทั่วโลก ทำให้การทำหน้าที่สื่อเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ความยากลำบากของสื่อที่จะรักษามาตรฐาน และยึดมั่นจริยธรรมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นหน้าที่สภาการฯ ว่าจะดูแลสมาชิกจะทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องรอบด้านอยู่ในกรอบจริยธรรม

จากนั้นเป็นการปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “บทบาทและจริยธรรมสื่อในภาวะโรคระบาด” โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นผู้แสดงปาฐกถาพิเศษ โดยระบุว่า การระบาดของ โควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพราะเรื่องสุขภาพคือทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องโรงพยาบาล สังคมไทยหลัง โควิด-19 ต้องมีการปรับตัวเพราะสังคมไทยยังติดอยู่กับวัฒนธรรมอำนาจ ซึ่งมีองค์ประอบ สามอย่าง คือ 1.คิดเชิงอำนาจ 2.สัมพันธภาพเชิงอำนาจ และ 3.โครงสร้างอำนาจ ทำให้ประเทศไทยติดอยู่ตรงนี้บินไม่ขึ้น แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย 88 ปี มาแล้วประชาธิปไตยก็ยังล้มลุกคลุกคลานเพราะมีวัฒนธรรมอำนาจ ดังนั้นหลังโควิด-19 เราต้องปรับตัว​

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นคลื่นที่น่ากลัวและยากที่สุด คลื่นลูกแรกคือสงครามเก้าทัพ 2.มหาอำนาจตะวันตกเข้ามาล่าเมืองขึ้น 3.ความขัดแย้ง คอมมิวนิสต์​ ​และ 4.วิกฤตแห่งการซับซ้อนเป็นคลื่นที่ยากที่สุดคือเราไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใครอยู่ไหน มีความซับซ้อน สิ่งที่เกิดขึ้นแห่งหนึ่งไปส่งผลกระทบถึงอีกที่หนึ่ง​ด้วยความซับซ้อน

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า ในระบบที่มีความซับซ้อน การใช้เงิน ​อำนาจ วาทกรรม บริภาษกรรม หรือใช้ความรู้สำเร็จรูป ล้วนแต่ไม่ได้ผล สิ่งที่จะทำให้ได้ผลคือการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริง ​ โดยจะเห็นว่าระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำเป็นปัญหาที่คนไม่ค่อยพูดถึง เพราะการท่องจำไม่ได้ทำให้เรียนรู้ความจริงของประเทศ ดังนั้น 100 กว่าปี จึงนำไปสู่การผลิตคนที่ไม่มีความรู้ความจริงประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่สำคัญในช่วงต่อจากนี้ กระบวนการทัศน์ใหม่ในการสื่อสาร สื่อจำเป็นต้องรู้เข้าไปในเรื่องที่ซับซ้อนต้องเข้าไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่าง ๆ นำเรื่องที่ซับซ้อนมาคลี่ให้สาธารณะเข้าใจ

นอกจากนี้ สื่อมวลชนเป็นสถาบันของสังคมชนิดหนึ่งที่ต้องการอิสระ โดยหลักจริยธรรมเดิมในบริบทใหม่สื่อต้องมีสัมมาวาจา ​​พูดเป็นความจริง มีที่มา มีที่อ้างอิง ใช้ ปิยะวาจา พูดถูกกาลเทศะ พูดแล้วเกิดประโยชน์ รวมทั้งต้องการเครื่องมือเชิงสถาบันเสริมสร้างสมรรถนะและสถานภาพของสื่อมวลชน โดย 1 มีพ.ร.บ.ราชวิทยาลัยสื่อมวลชน ส่งเสริมความสามารถสื่อมวลชน สนับสนุนการทำข่าวสืบสวนสอบสวน 2. ให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์พิจารณาสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันพัฒนาสื่อมวลชน 3. ภาคธุรกิจสนับสนุนการจัดตั้ง “มูลนิธิเพื่อสื่อมวลชน” หรือ “สถาบันส่งเสริมสื่อมวลชน” 4. กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เข้ามาให้การสนับสนุน

ส่วนเวทีเสวนา เรื่อง​ “บทบาทและจริยธรรมสื่อในภาวะวิกฤตโรคระบาด” นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การรับมือโรคติตต่ออันตรายทุกคนต้องลงเรือลำเดียวกัน ถ้าเราอยากให้ตัวเราปลอดภัยต้องทำให้สังคมปลอดภัยก่อนเราก็จะปลอดภัยไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องคิดแบบเดียวกันรวมถึงสื่อมวลชนด้วย สิ่งแรกที่มักเกิดขึ้นเวลามีโรคใหม่คือการสร้างภาพความน่ากลัว มีการหยิบคำว่า ตาย มฤตยู ถามว่าเหมาะสมไหมเราก็ไม่ควรเขียนภาพให้ศัตรูน่ากลัวเกินไปจนทำตัวไม่มีเหตุผล เช่น การสร้างความรังเกียจผู้ป่วยแบบไม่มีเหตุผล

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ในภาวะฉุกเฉินการสื่อสารความเสี่ยงต้องสื่อว่าคือความเสี่ยงคืออะไร เป็นผลมาจากการประเมินความเสี่ยง ว่าความเสี่ยงเกิดกับใครที่ไหน อีกด้านเรื่องความ​เสี่ยงสูง หรือ ความเสี่ยงต่ำ ไม่สำคัญเท่ากับการจัดการความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนสื่อกระแสหลักมีความสำคัญ แต่ปัจจุบันมีสื่อใหม่เกิดขึ้นมาก ผู้ส่งสารเป็นใครก็ได้ รอบนี้จะเห็นว่ามีคนที่เป็นใครไม่รู้ออกมาพูดก็เป็นข่าวได้ถ้าตรงกับประเด็นที่สังคมอยากจะฟัง ในช่วงเหตุการณ์ถ้ำหลวงกับเหตุการณ์นี้คล้ายกันคือระบบบัญชาการเหตุการณ์ถูกนำมาใช้ให้ข่าวเป็นพลังที่มีความสำคัญ

ทั้งนี้ การให้ข้อมูลต้องยึดหลัก Be First ข่าวร้ายภาครัฐต้องบอกคนแรก เช่นมีคนไข้คนแรกต้องเป็นภาครัฐบอกก่อนไม่ใช่เกิดข่าวลือก่อนแล้วมาบอกทีหลัง บางกรณีที่ออกมาให้ข่าวช้าเกินไป Be Right ถูกต้องชัดเจน บอกประเด็นสำคัญก่อนประเด็นสำคัญรองลงไปทีหลัง Be Credible ต้องพูดความจริงด้วยความซื่อสัตย์ ไม่จงใจบิดเบือนข้อมูล ซี่งการรวมศูนย์ข้อมูลที่เดียวถือเป็นเรื่องที่ดี ​อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าไทยจะไม่มีโอกาสกลับมามีผู้ป่วยอีกและแม้จะเจอคนไข้ติดเชื้ออีกไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เราต้องพร้อมรับมือเป็นฟืนเปียกไม่ติดไฟง่ายคือคงระดับการป้องกันไว้ ​รวมทั้งสร้างสมดุลการแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำบางเรื่องสุดโต่งเกินไป ต้องดูผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาวของประชาชน

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อเสนอของยูเนสโกที่เผยแพร่การนำเสนอของมูลช่วง​โควิด -19 ระบุว่าควรยึดหลักวารสารศาสตร์แห่งความจริงปราศจากความลำเอียง และความกลัว อย่างไรก็ตาม บทบาทการของสื่อทำได้ดีระดับหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา แม้ก่อนมี ศบค. มีความสับสนอยู่บ้าง แต่หลังมีการรวมศูนย์ข้อมูลทำให้ทิศทางออกมาไปทางเดียวกันแต่อาจถูกวิจารณ์เรื่องจริยธรรมมากว่าความจริง มีการตีตรา สร้างความเกลียดชัง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่าสื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพียงพอหรือยัง ซึ่งจะเห็นสื่อหลักพยายามอยู่บฐานข้อเท็จจริง แต่ข่าวลวงออกส่วนมากมาจากสื่อออนไลน์ ดังจะเห็นว่า เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็จับมือการแก้ปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญการเสนอข่าวคือข้อเท็จจริง แต่การจะสรุปว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนไม่จริงก็ยังต้องตรวจสอบ ​ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายของสื่อเองที่ต้องคัดสรร ซึ่งเสนอว่าสื่อควรมีฝ่ายเช็คข้อเท็จจริงมากขึ้นซึ่งแม้จะทำอยู่แล้วแต่ทุกองค์กรควรมีผู้เชี่ยวชาญ เข้าใจเทคโนโลยี อีกทั้งหน้าที่สื่อ ไม่ใช่แค่เสนอข้อเท็จจริง แต่สื่อมีสิทธิไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามแทนเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน ​ด้วย

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล หัวหน้าภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องเฟคนิวส์ ที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด เป็นเรื่องที่คุมได้ยากเพราะอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่จากที่ผ่านมาทางคณะนิเทศฯ ได้จับมือกับเวอร์คพ้อยต์ ทำข้อมูลดาต้า เจอนอลิซึม ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เพราะหากมีคนมาท้วงว่าสิ่งที่ทำมาผิดย่อมกระทบความน่าเชื่อถือ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญในยุคนี้ไม่ใช่ต้องเร็วแต่ต้องถูกต้อง

นอกจากนี้ การทำงานของนักข่าวในยุคปัจจุบันต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมทั้ง ดีเวลลอปเปอร์ ​กราฟฟิกดีไซเนอร์ ​แต่คนที่จะเช็คข้อเท็จจริง เลือกประเด็น เขียนพาดหัว ก็ยังต้องเป็นนักข่าว ทั้งนี้ สิ่งที่สื่อกำลังจะต้องทำต่อไปคือ การนำเสนอข่าวเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ที่ได้รับผลกระทบจากช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอะไรที่จะล้มบ้าง อย่างที่เห็นสื่อต่างประเทศเริ่มหันมาเสนอข้อมูลนอกเหนือจากประเด็นเรื่องตัวเลขผู้บาดติดเชื้อเสียชีวิต ในแต่ละวัน

นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในอนาคตแม้ทุกคนจะสื่อข่าวได้ง่ายขึ้น แต่การทำงานของสื่อมืออาชีพกับข้อมูลข่าวสารที่มีความซับซ้อน จะไม่ใช่เรื่องที่นักข่าวจะทำคนเดียว​แต่ต้องทำงานเป็นทีม ทั้ง นักวิชาการ โปรแกรมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ทิศทางในอนาคตต้องหานิยามของความเป็นสื่อกับสื่อมือาชีพ เพื่อให้สื่อมืออาชีพยังเข้าถึงสิทธิเช่นสิทธิเข้าถึงข้อมูล ​

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาองค์กรสื่อได้รวมตัวเข้าไปช่วยทำให้สถานการณ์ดีขั้น ทั้งช่วงแรกที่ข้อมูลต้นทางจากภาครัฐยังสับสน และยังมีความเป็นการเมืองจึงได้เสนอข้อเสนอให้นักการเมืองถอยออกไปในการให้ข่าว เป็นการให้ข่าวบนพื้นฐานทางการแพทย์ และเป็นเอกภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นพ้องกันและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อีกด้านที่ผ่านมาสื่อไม่ได้ทำหน้าที่ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดสถานการณ์ตามความจริงเท่านั้นแต่ยังส่งต่อกำลังใจใช้พลังบวก เอาชนะพลังลบความตื่นตัวความหวาดระแวง ​ทั้งหมดจะเป็นภูมิคุ้มกันหากเกิดการระบาดระลอกสองก็ไม่เป็นไร

….

ขอบคุณที่มา http://www.presscouncil.or.th/archives/5432

Cofact Live Talk กับ หน้าที่สื่อไทยยุคโควิด ควรนำเสนอความจริง สร้างความรู้เท่าทันให้กับประชาชน

29 มิ.ย. 2020
โดย สุชัย เจริญมุขยนันท

Cofact Live Talk กับ หน้าที่สื่อไทยยุคโควิด-19 ควรนำเสนอความจริง สร้างความรู้เท่าทันให้กับประชาชน

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 63 Cofact Thailand จัด Cofact Live Talk EP.4 “นักข่าวและนักวิทยาศาสตร์ ต่างกันตรงไหนในยุคโควิด-19 รีวิวโรคระบาดข้อมูลข่าวสารในรอบ 6 เดือน กับวงการ Fact Checkers ไทยและเทศ” เพื่อหาร่วมหาคำตอบของความเหมือนในความต่าง ความท้าทายของข่าวลวง เผยแพร่ทางเพจ Cofact และ UbonConnect

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย เผยว่า ภาพรวมของข่าวลวงในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกต้องยอมว่าในภาวะวิกฤตข่าวลวงถูกสร้างและแพร่ระบาดออกมาในทุกประเทศอย่างรวดเร็ว โดยบางเนื้อหาถูกดัดแปลงข้อมูลให้มีสอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือบริบทของภูมิประเทศนั้น โดยยกตัวอย่างเช่น พืช สมุนไพรหรืออาหาร ที่สามารถรักษาโรคโควิด-19ได้ และนอกจากนี้ในช่วงแรกของการระบาดเชื้อโควิด-19 การส่งต่อข้อมูลยอดผู้ติดเชื้อหรือพื้นที่ที่มีผู้ป่วยเป็นข้อมูลที่ได้ถูกรับความสนใจเป็นอย่างมากผู้คนส่งต่อข้อมูลกันการอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่สิ่งที่ตามและต้องระวังคือเรื่องของ Hate Speechและการตีตรา โดยผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายคนถูกคนในสังคมรังเกียจและตีตรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมีผลกระทบทางด้านจิตใจของผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องใช้เวลานานในการปรับตัวรักษาสภาพจิตใจและส่วนคนในสังคมต้องสร้างความเข้าใหม่ถึงการเกิดโรคระบาดอุบัติใหม่

ซึ่งหน้าที่ Fact Checkers เป็นหน้าที่สำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกัน แต่ทั้งนี้หากนักสื่อสารมวลชนหรือนักข่าวสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ ก็จะส่งผลให้การทำงานและการรายงานข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนได้รับข้อมูลที่เป็นจริงลดการสร้างความเข้าใจผิดในสังคม

ส่วนการรายงานข่าวในช่วงนี้ภาวะวิกฤตนี้ถือว่าเป็นเวลาที่ดีของสื่อมวลชนและนักวิทยาศาสตร์ที่จะมีพื้นที่และร่วมสื่อสารสร้างกรอบความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้ประชาชนเข้าใจประเด็น,สถานการณ์และเกิดองค์ความรู้ใหม่ติดตัวประชาชน ซึ่งองค์ความรู้ใหม่จะเป็นความรู้ที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ในอนาคตภายภาคหน้า

ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งcofact ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเห็นได้ว่าประเทศไทยสื่อมวลชนทำหน้าที่นำเสนอเรื่องราวไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งในช่วงการเกิดโรคระบาดสื่อไทยก็ทำหน้าที่รายงานข้อมูลได้ดี แต่ในเรื่องอื่นๆสื่อไทยยังคงนำเสนอเนื้อหาเร้าอารมณ์ส่งเสริมความเชื่อ โดยยอมรับว่าสื่อบนออนไลน์นั้นสามารถควบคุมเนื้อหาได้ยากกว่าสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ซึ่งเวลาแล้วที่สื่อมวลชนไทยจะต้องเริ่มหันหน้าพูดคุยกันเพื่อหาทางออกและแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ต่อมาที่ประเด็น Fact Checkers ใครๆก็เป็นได้ พีรพล อนุตรโสตถิ์ เสริมว่า หากประชาชนจะเริ่มตรวจสอบข้อมูลควรเริ่มต้นที่ตนเองด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อมูลก่อนส่งต่อให้ผู้อื่น ซึ่งหากข้อมูลผิดพลาดตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการส่งต่อข้อมูลนั้น ดังนั้นทักษะที่ประชาชนต้องมีคือทักษะการสงสัย เพราะเมื่อเกิดการสงสัยจะนำไปสู่การตรวจสอบข้อมูล โดยการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต้องใช้ความรู้เฉพาะด้าน ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลต้องใช้เวลาสะสมความรู้ในระยะยาว

ส่วนอนาคตทิศทางของFact Checkersในประเทศไทย สื่อมวลชนหรือองค์กรต่างๆ ต้องลุกขึ้นมาสร้างความรู้เท่าทันให้กับภาคประชาชน โดยโควิด-19 เป็นสถานการณ์ตัวอย่างทดสอบการเปิดรับข่าวสารความรู้อย่างถูกต้อง ซึ่งประชาชนจะเริ่มได้เห็นภาพสะท้อนจากสถานการณ์นี้

อย่างไรก็ตามหากมีหลายฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีประชาชนมีพื้นที่และส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นประชาชนต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาข้อมูลก่อน หากประชาชนเข้าใจข้อมูลข่าวสารแล้วสามารถตรวจสอบเนื้อหาเองได้ระดับหนึ่งก็จะเป็นการช่วยลดการส่งต่อข่าวปลอมได้อย่างดี

ขอบคุณที่มา https://www.77kaoded.com/news/suchai/1764757

ชิษณุพงศ์ สุนทรพาณิชย์ เรียบเรียง

สุชัย เจริญมุขยนันท
ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี
นิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หลักสูตรโปรดิวเซอร์ เนชั่น วิทยากรพิราบน้อย โครงการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยุ มูลนิธิหมอชาวบ้าน วิทยุเนชั่น ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยประจำจงอุบลราชธานี ผู้จัดการศูนย์ข่าวประชาสังคมอุบลราชธานี ปัจจุบัน เลขาธิการมูลนิธิสื่อสร้างสุข ผู้อำนวยการทีวีชุมชนอุบลราชธานี E : suchaiubon@gmail.com F : ทีวีชุมชนอุบลราชธานี T : 0818786440 LINE : SUCHAINEWS

จริงหรือไม่? พ่อครัว แม่ครัว ควรใส่ถุงมือปรุงอาหาร