การแพร่กระจายข้อมูลสิ่งแวดล้อมปลอม อันตรายกว่าที่คุณคิด Cofact Special Report #6

Cofact Special Report #6

การแพร่กระจายข้อมูลสิ่งแวดล้อมปลอม อันตรายกว่าที่คุณคิด

English Summary
The effect of global warming and climate change is now visible everywhere we go. Scientists agree that the severe storms and floods we have seen in the past few years prove that we need to do something quick to save the Earth from getting warmer. However, many fossil fuel companies and heavy industries still believe that climate change are not the cause of the natural disasters that become more severe and more frequent. These companies, along those who benefit from them are driving to spread misinformation on climate change. We look into most common misinformation and the facts on climate change.


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่พบเห็นบ่อยขึ้นอย่างพายุ น้ำท่วม หรืออากาศหลงฤดู นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากบอกว่า สภาพอากาศที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอันเนื่องมาจากอุณหภูมิของพื้นผิวโลกที่สูงขึ้น

บทวิเคราะห์ของ The Momentum เมื่อวันที่ 7 มกราคมปี 2020 ระบุว่า ประเทศไทยถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศมากเมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และจีน แต่ไทยเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากที่สุด

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างสรุปตรงกันว่า ก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้นานาประเทศจะพยายามหาวิธีการที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มของอุณหภูมิพื้นผิวโลกได้ โดยข้อมูลจากจาก ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาโลกมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้นกว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงกว่า 1.1 องศาเซลเซียส ถึงแม้ตัวเลขจะดูไม่สูง แต่ก็สามารถทำให้ระบบนิเวศเสียหายได้

ถึงแม้ข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะสรุปตรงกัน แต่การเผยแพร่และกระจายข้อมูลข่าวสารเท็จเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศบนโลกออนไลน์ก็มีมากเช่นกัน จากรายงานของสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาระบุว่า ผู้ให้บริการสื่อโซเชียลเช่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และยูทูบยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดการกับเนื้อหาเท็จ และเนื้อหาลวงเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเมื่อเทียบกับการจัดการกับเนื้อหาลวงเกี่ยวกับวัคซีนโควิด หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งๆ ที่ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสร้างความเสียหายในชีวิตของประชาชนมากกว่า

รายงานของเอพียังบอกด้วยว่า ในสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วมักจะเจอการแพร่กระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศจากนักการเมืองฝั่งอนุรักษ์นิยมที่ยังคงเห็นความสำคัญของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ และบริษัทพลังงานที่ยังคงหารายได้จากแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก อย่างน้ำมันและถ่านหิน พวกเขาจะพยายามแสดงข้อมูลที่ระบุว่าการผลิตพลังงานสะอาด เช่นพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ หรือกังหันลมกลางทะเลเป็นตัวการทำลายฝูงนกท้องถิ่น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนปราศจากแหล่งที่มาทางวิชาการที่อ้างอิงได้

ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่เรามักพบเห็นบ่อยครั้ง

เว็บไซต์กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF รวบรวม 10 ความเชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เรามักเข้าใจผิดบ่อยครั้ง ได้แก่

  1. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิพื้นผิวโลกเป็นเรื่องปกติ
    ความจริง: ปัจจุบันอุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงที่สุดนับตั้งแต่เคยมีการบันทึกมา สาเหตุหลักมาจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่มากขึ้นนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และปัจจุบันยังไม่มีทีท่าว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่จะลดลงแต่อย่างใด
  2. พืชล้วนต้องการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นปริมาณ CO2 มากไม่ได้มีผลต่อพืช
    ความจริง: จริงอยู่ที่พืชล้วนต้องการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง แต่ปัจจุบันมนุษย์ได้ตัดไม้ทำลายป่า ทำลายระบบนิเวศของพืชอย่างต่อเนื่องจนระบบนิเวศไม่สามารถดูดซึม CO2 ได้ทัน ส่งผลให้ปริมาณ CO2 คงค้างในชั้นบรรยากาศในปริมาณมาก
  3. สภาวะโลกร้อนไม่มีอยู่จริง มิเช่นนั้นทำไมเรายังเจอกับอากาศหนาวอยู่?
    ความจริง: อุณหภูมิพื้นผิวโลกที่สูงขึ้น ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดภัยแล้งที่ยาวนานขึ้น แต่ยังส่งผลให้สภาวะอากาศแปรปรวน และเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น เช่นพายุฝนฟ้าคะนอง ไต้ฝุ่น และพายุหิมะที่เกิดบ่อยขึ้น และหลายครั้งพายุเหล่านี้กินเวลานานหลายวันกว่าจะสลายตัว
  4. สภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาไกลตัว อีกนานกว่าเราจะเห็นผลกระทบในชีวิตประจำวัน
    ความจริง: อุณหภูมิพื้นผิวโลกที่สูงขึ้นเกือบแตะ 1.5 องศาเซลเซียสในปัจจุบัน ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน ประชาชนในหลายประเทศได้รับผลกระทบจากปัญหานี้แล้ว เช่น ประเทศในแถบแอฟริกาและตะวันออกกลางที่ประสบกับภัยแล้ง ไม่สามารถทำมาหากินในบ้านเกิดตัวเองได้ จนต้องอพยพย้ายถิ่นไปยังยุโรป และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ปัญหาขาดแคลนพืชผลทางการเกษตรบางชนิด และปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจนเกิดการสู้รบกันในบางพื้นที่
  5. การผลิตพลังงานทางเลือกมีต้นทุนสูง
    ความจริง: หลายคนมีความเชื่อว่าการผลิตพลังงานทางเลือกมีต้นทุนสูง แต่ที่จริงแล้วการผลิตพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสดงอาทิตย์ และพลังงานลมใช้ต้นทุนต่ำกว่าการผลิตพลังงานจากฟอสซิล (เช่น น้ำมัน และ ถ่านหิน) บางประเทศบริษัทพลังงานไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตพลังงานฟอสซิลได้ และจำเป็นต้องให้รัฐบาลอุ้มธุรกิจของพวกเขา เช่นสหภาพยุโรปที่รัฐบาลอังกฤษต้องอุ้มธุรกิจพลังงานฟอสซิลถึงกว่า 1 หมื่นล้านปอนด์ หรือกว่า 4.5 แสนล้านบาท
  6. ประชากรหมีขั้วโลกเพิ่มขึ้น
    ความจริง: อุณหภูมิพื้นผิวโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลายอย่างรวดเร็ว แผ่นน้ำแข็งเหล่านั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของหมีขั้วโลก เมื่อพื้นที่อาศัยของพวกมันลดลง พวกมันก็ไม่สามารถหาอาหารได้เหมือนแต่ก่อน ทำให้ประชากรหมีขั้วโลกอดตายมากขึ้น WWF คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรหมีขั้วโลกจะลดลงจากปัจจุบันถึง 30%
  7. พลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่ที่มีเมฆมาก หรือไม่มีลม
    ความจริง: เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถปรับรูปแบบการกักเก็บ และจ่ายพลังงานสะอาดได้ดีขึ้น ถึงแม้วันไหนที่ไม่มีแสงแดด หรือไม่มีลม ระบบการจ่ายพลังงานก็ยังคงทำงานได้ดี
  8. สัตว์สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้
    ความจริง: จริงอยู่ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน จะระบุว่าสัตว์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่อการดำรงอยู่ของสายพันธุ์ตนได้ แต่ผลการศึกษาของ WWF พบว่า ไม่ใช่สัตว์หรือพืชทุกชนิดที่สามารถปรับตัวได้ พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การสร้างเขื่อน และการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เป็นตัวกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตบางประเภทไม่สามารถปรับตัวได้ตามธรรมชาติอย่างที่พวกมันควรจะเป็น
  9. การลดประชากรมนุษย์จะช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้
    ความจริง: จริงอยู่ที่มนุษย์เป็นตัวการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองตรงกันว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์จะช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด และลดการใช้ทรัพยากรที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ แต่การจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้ไปสู่จุดนั้นได้จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคการเมือง และภาคธุรกิจที่จะต้องมีความจริงจังและจริงใจต่อการปรับเปลี่ยนธุรกิจของตนเองให้ไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย
  10. จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด
    ความจริง: รายงานจากเว็บไซต์ USA Today ระบุว่า ในปี 2018 จีนเป็นประเทศที่มีการผลิตพลังงานถ่านหิน และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมพลังงานมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตามจีนกลับเป็นประเทศที่มีการลงทุนด้านพลังงานทางเลือก และพลังงานสะอาดมากที่สุดในโลก ต่างจากสหรัฐฯ ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นอันดับสอง แต่ปริมาณการปล่อย CO2 สะสมของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมีประมาณมากกว่าจีนหลายเท่า และนโยบายเรื่องการผลิตพลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาดยังน้อยและล่าช้ากว่าจีนมาก

ที่มา:
https://www.wwf.org.uk/updates/10-myths-about-climate-change


https://www.cbsnews.com/news/climate-change-myths-what-science-really-says/


https://www.usatoday.com/story/money/2019/07/14/china-us-countries-that-produce-the-most-co-2-emissions/39548763/

https://apnews.com/article/joe-biden-wildfires-climate-change-misinformation-climate-d5909c4ddfb13e82174dafcef4af94ff
https://themomentum.co/5-environmental-issue-in-thailand-in-2020/

เกี่ยวกับผู้เขียน
ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand
ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

จากวัคซีนพลังแม่เหล็กถึงใบกระท่อมต้านโควิด…สรุป 5 ข่าวปลอมสุดป่วนในวิกฤติโรคระบาด

#Misinformation on Covid19 in 2021

จากวัคซีนพลังแม่เหล็กถึงใบกระท่อมต้านโควิด สรุป 5 ข่าวปลอมสุดป่วนในวิกฤติโรคระบาด

ผ่านมาแล้วกว่าปีครึ่งกับสถานการณ์โรคระบาด “โควิด-19” ซึ่งต้องบอกว่า “ศึกนี้ยืดเยื้อยาวนาน” โดยเฉพาะการมาของ “ตัวแปรเดลตา (Delta Variant)” หรือไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์สายเดลตา ที่พบครั้งแรกในประเทศอินเดียก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลกแซงหน้าสายพันธุ์อื่นๆ ขณะที่วัคซีนที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันไม่ว่ายี่ห้อใดๆ ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ดังจะเห็นทุกประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่อประชากรสูงมาก จำนวนผู้ติดเชื้อก็ยังไม่ลดลง

ถึงกระนั้น การฉีดวัคซีนย่อมดีกว่าไม่ฉีด เพราะแม้จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเหล่านั้นยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากการระบาดระลอกก่อนหน้าที่จะมีวัคซีนคือ เมื่อฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการป่วยหนักและผู้เสียชีวิตลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ ระบบสาธารณสุขไม่ต้องรับภาระหนัก ทำให้ไม่ต้องล็อกดาวน์ปิดกิจการหรือสั่งห้ามทำกิจกรรมต่างๆ แต่หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางเป้าหมายการฉีดวัคซีนคือ “ข่าวปลอม (Fake News)” ที่ระบาดเกลื่อนโลกออนไลน์จนทำให้ผู้คนลังเลใจไม่กล้าไปฉีดวัคซีน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1.ฉีดวัคซีนแล้วมีโอกาสเสี่ยงตายเพราะโควิดสายพันธุ์เดลตามากกว่าไม่ฉีด กรณีนี้น่าจะเป็นการส่งต่อข้อมูลจริงแต่ภายหลังกลับคลาดเคลื่อน (Misinformation) เป็นข้อมูลผิดเพี้ยน โดยคาดว่าน่าจะมาจากผลการศึกษาทั้งที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษและสิงคโปร์ ซึ่งพบว่า ทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนตามที่แต่ละชนิดกำหนด (ส่วนใหญ่คือ 2 เข็ม) และผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน สามารถตรวจพบไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน

เรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ Nature วารสารวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของอังกฤษ ในชื่อบทความ “How do vaccinated people spread Delta? What the science says” แต่บทความเดียวกันก็ได้กล่าวไว้ด้วยว่า แม้จะพบการติดเชื้อทั้งผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนและผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว แต่ปริมาณไวรัสในร่างกายของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจะลดลงเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน รวมถึงตรวจพบปริมาณไวรัสน้อยกว่าด้วย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) เผยแพร่บทความ Delta Variant: What We Know About the Science (ฉบับปรับปรุงวันที่ 26 ส.ค. 2564) ชี้ให้เห็นว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงในผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เห็นได้จากผู้ป่วยที่อาการหนักต้องนอนโรงพยาบาล รวมถึงผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่มีประวัติยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19

นอกจากนี้ แม้ทั้งผู้ที่ฉีดและไม่ฉีดวัคซีนจะตรวจพบปริมาณไวรัสได้มากไม่ต่างกัน แต่ปริมาณไวรัสในร่างกายผู้ฉีดวัคซีนแล้วจะลดลงเร็วกว่า หมายถึงมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้น้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่วัคซีนขณะนี้ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนักในการป้องกันการติดเชื้อ จึงแนะนำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคควบคู่กันไปด้วย เช่น สวมหน้ากากปิดปาก-จมูกในอาคารสถานที่ปิด

2.ฉีดวัคซีนแล้วกลายเป็นยอดมนุษย์มีพลังแม่เหล็ก ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮากันมากเมื่อช่วงกลางปี 2564 กรณีมีการส่งต่อภาพและคลิปวีดีโอของคนที่อ้างว่าไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ มาแล้วมีพลังวิเศษ ร่างกายแปรสภาพเป็นมนุษย์แม่เหล็กสามารถดูดโลหะติดไว้กับผิวหนังได้ หรือหนักไปกว่านั้นคือกลายเป็นเสียงร่ำลือว่ามีการแอบฝังไมโครชิปไว้ในร่างกายมนุษย์โดยผ่านทางวัคซีน ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวและไม่กล้าไปฉีด

เชื่อว่าเรื่องนี้คงปั่นป่วนโลกออนไลน์ของชาวตะวันตกอยู่ไม่น้อย ถึงขนาดที่บรรดาสำนักข่าวดังๆ ของประเทศแถบนั้นพร้อมใจกันออกมาเตือนว่าเป็นข่าวปลอมอย่าเชื่อและอย่าแชร์ อาทิ สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างถึงคำอธิบายของ ไมเคิล โคเอย์ (Michael Coey) นักฟิสิกส์จาก Trinity College Dublin มหาวิทยาลัยชั้นนำของไอร์แลนด์ ที่บอกว่า ถ้าอยากจะให้มีแม่เหล็กถาวรบริเวณที่ฉีดวัคซีน ต้องใช้โลหะเหล็ก 1 กรัม แถมยังกล่าวอย่างติดตลกด้วยว่า ภรรยาของตนก็เพิ่งไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 มา แต่ตนก็ไม่เห็นว่าภรรยาจะมีพลังแม่เหล็กสถิตอยู่ที่แขนแต่อย่างใด

สำนักข่าว BBC ประเทศอังกฤษ กล่าวถึงเรื่องนี้ โดยย้ำว่า แม้วัคซีนบางชนิดจะมีส่วนผสมของอะลูมิเนียม แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาแม่เหล็กได้ และ เอริค ปาล์ม (Eric Palm) นักฟิสิกส์จาก Florida State University มหาวิทยาลัยในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อธิบายเพิ่มเติมว่า เข็มฉีดวัคซีนมีขนาดเล็กมากๆ ดังนั้นต่อให้ฉีดอนุภาคแม่เหล็กที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไป มันก็ยังน้อยเกินกว่าจะทำให้เกิดปฏิกิริยาแม่เหล็กบนผิวหนังได้ ส่วนคลิปที่มีคนเอาเหรียญโลหะมาติดบนร่างกายแล้วอ้างว่ามีแม่เหล็กจากการฉีดวัคซีน จริงๆ มันคือการใช้น้ำมันหรือสารอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความเหนียวหนืด

สำนักข่าว DW (Deutsche Welle) ประเทศเยอรมนี รายงานข่าวกรณีคลิปฉีดวัคซีนแล้วมีปฏิกิริยาแม่เหล็ก ว่าได้กลายเป็นกระแสที่แพร่หลายบนแอปพลิเคชั่น TikTok ซึ่งก็มีทั้งคนที่ทำคลิปเล่นอย่างสนุกสนาน แต่บ้างก็ถูกนำไปแชร์ต่อในเชิงสร้างข่าวปลอมทำให้คนไม่กล้าฉีดวัคซีน โดย มารี เธอเรส (Marie Theres) ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวโมเลกุล อธิบายว่า วัคซีนเทคโนโลยี mRNA (เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา) สิ่งที่อยู่ในนั้นคือโมเลกุลมหภาคที่สอดคล้องกับโปรตีน และไม่มีโลหะไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ

สถานีโทรทัศน์ France 24 ประเทศฝรั่งเศส เผยแพร่คำอธิบายของ ฌอง-มิเชล ดอนเญ (Jean-Michel Dogne) ผู้เชี่ยวชาญจากคณะเภสัชศาสตร์ University of Namur ที่กล่าวว่า เมื่อฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการอักเสบที่ผิวหนังบริเวณนั้น ทำให้มีการหลั่งไขมันหรือน้ำส่วนเกิน และนั่นทำให้ผิวหนังเหนียวกว่าปกติ และเมื่อนำสารแมกนีเซียมซัลเฟตซึ่งใช้ในแป้งฝุ่นไปทา เมื่อนั้นความเหนียวก็ถูกลบล้าง สิ่งที่อ้างว่าเป็นปฏิกิริยาแม่เหล็กก็หายไปด้วย ซึ่งทางคณะฯ พร้อมให้ผู้ที่กังวลกับปฏิกิริยาแม่เหล็กหลังการฉีดวัคซีน เข้ามาทำการทดสอบได้

3.บิล เกตส์ เตือนให้เลิกใช้วัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด ข่าวปลอมนี้ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Bill Gates calls for the withdrawal of all Covid-19 Vaccines” ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) ถูกอ้างถึงในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ผู้ที่มีเชื่อในลัทธิต่อต้านวัคซีน (Anti-Vaxx) ได้อ้างว่า บิล เกตส์ ต้องการควบคุมมนุษย์ผ่านการฝังไมโครชิปโดยวิธีการฉีดวัคซีน

ข่าวลือใหม่นี้ที่เริ่มปรากฎในเดือน ส.ค. 2564 อ้างถึงคำกล่าวของ บิล เกตส์ ที่ว่า “เราต้องการปกป้องผู้คนจากอันตราย แต่กลายเป็นไวรัสอันตรายน้อยกว่าที่คิดไว้ ในขณะที่วัคซีนอันตรายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้” ซึ่งในเวลาต่อมา ทีมงานตรวจสอบข่าวปลอมของสำนักข่าวรอยเตอร์ อธิบายไว้ว่า ข่าวลือดังกล่าวมาจาก The Expose เว็บไซต์ที่เผยแพร่บทความแนวเสียดสีประชดประชัน

บทความต้นฉบับนั้นใช้ชื่อว่า “SATIRE – In an alternative universe Bill Gates has called for the withdrawal of all Covid-19 Vaccines” โดยกองบรรณาธิการของ The Expose อุตส่าห์เตือนไว้ในย่อหน้าแรกแล้วว่าเป็นเพียงเรื่องเสียดสีเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โดยเป้าหมายของการเผยแพร่บทความดังกล่าวคือ ต้องการให้สังคมสนใจรายงานเชิงสืบสวนกรณีความสัมพันธ์ระหว่าง บิล เกตส์ กับโมเดอร์นา หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 และหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแพทย์ของอังกฤษ แต่กลับมีคนเชื่อไปแล้วว่า บิล เกตส์ เสนอให้เลิกใช้วัคซีนจริง

4.สื่อสหรัฐอเมริกายกวัคซีนจากประเทศจีนดีกว่าของชาติตนเอง สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเมืองระหว่างประเทศที่จีนกับสหรัฐฯ ขับเคี่ยวแย่งชิงการนำในการแก้ไขวิกฤติโรคระบาด และในประเทศที่นักการเมืองและประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างผู้ที่เชื่อมั่นและผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล เช่น กรณีของประเทศไทยที่มีกรณีของ “ซิโนแวค” วัคซีนสัญชาติจีน ที่เป็นหนึ่งในหัวข้อถกเถียงสำคัญของทั้ง 2 ฝ่าย

หนึ่งในข้อมูลที่ถูกอ้างอิงในพื้นที่ความขัดแย้งทางการเมืองไทยกับวัคซีนโควิด-19 คือรายงานที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ The New York Times อันเป็นหนังสือพิมพ์เก่าแก่ฉบับหนึ่งของสหรัฐฯ อ้างว่าสื่อฉบับดังกล่าวจัดอันดับให้วัคซีนจีน 4 ยี่ห้อ คือ ซิโนฟาร์ม ซิโนแวค เคอซิง และแคนซิโน สูงกว่าวัคซีนของโลกตะวันตกทั้งแอสตราเซเนกา (อังกฤษ) ไฟเซอร์ (สหรัฐฯ) โมเดอร์นา (สหรัฐฯ) จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (สหรัฐฯ) ในด้านความปลอดภัย

ศูนย์ตรวจสอบข่าวปลอม สำนักข่าว AFP ประจำประเทศไทย รายงานเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2564 ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยรายงานของ The New York Times ที่ถูกอ้างถึงนั้นคือบทความ “It’s Time to Trust China’s and Russia’s Vaccines” ซึ่งเขียนโดย อาชาล ประภาลา (Achal Prabhala) นักเคลื่อนไหวด้านสาธารณสุขชาวอินเดีย และ ฉีหยกหลิง (Chee Yoke Ling) ทนายความสาธารณประโยชน์ชาวมาเลเซีย เผยแพร่วันที่ 5 ก.พ. 2564 บทความดังกล่าวเป็นบทวิเคราะห์ของผู้เขียนทั้ง 2 คน ไม่ได้รับรองโดยฝ่ายบรรณาธิการ และไม่ได้เป็นการรายงานโดยผู้สื่อข่าวของ The New York Times ซึ่งทาง The New York Times ได้ชี้แจงตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2564 แล้ว

อีกทั้งเมื่อเข้าไปดูในเนื้อหา จะพบว่า ไม่ได้มีการจัดอันดับวัคซีนแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้เขียนได้ให้ความเห็นว่า ในขณะที่วัคซีนโควิด-19 ของโลกตะวันตกถูกประเทศร่ำรวยกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมาก และประเทศยากจนกว่าก็กำลังกังวลว่าจะไม่สามารถหาวัคซีนได้ วัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาในประเทศจีนและรัสเซียก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการเติมเต็มส่วนที่ขาด พร้อมกับอ้างผลการทดสอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

5.ใบกระท่อมรักษาอาการป่วยจากไวรัสโควิด-19 ได้ เรียกว่าเป็นกระแสที่มาแรงมากสำหรับ “พืชกระท่อม” ตั้งแต่เมื่อทางการไทยเริ่มเปรยถึงนโยบาย “ปลดกระท่อมพ้นยาเสพติด” และเมื่อกฎหมายใหม่ประกาศใช้ในวันที่ 24 ส.ค. 2564 เป็นต้นมา ก็จะเริ่มเห็นพ่อค้านำใบกระท่อมมาเปิดท้ายรถกระบะจอดขายกันริมถนน จากสิ่งผิดกฎหมายกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้กันเป็นกอบเป็นกำ

อย่างไรก็ตาม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฝากเตือนผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีมีการแชร์ข้อมูลกันว่า “ใบกระท่อมรักษาโควิดได้” ไว้ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 ระบุว่า “ยังไม่พบรายงานการวิจัยของฤทธิ์ต้านเชื้อโควิด-19 ของใบกระท่อม” ดังนั้น ข่าวดังกล่าว ถือว่าเป็นข่าวที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ จากการพบว่ามีการโฆษณาชวนเชื่อในสื่อออนไลน์โดยผู้ผลิตผลิณภัณฑ์จากกระท่อมว่าสามารถใช้ใบกระท่อมป้องกันหรือรักษาโรคโควิด-19 แต่มีจดหมายจาก US-FDA เตือนเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ไม่ได้รับการพิจารณาด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างโฆษณาดังกล่าว ดังนั้น ถือว่าเป็นข่าวปลอม
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง
https://www.nature.com/articles/d41586-021-02187-1 (How do vaccinated people spread Delta? What the science says)
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/variants/delta-variant.html (Delta Variant: What We Know About the Science)
https://www.reuters.com/article/factcheck-coronavirus-vaccine-idUSL2N2N41KA (CORRECTION-Fact Check-‘Magnet test’ does not prove COVID-19 jabs contain metal or a microchip)
https://www.bbc.com/news/av/57207134 (Covid Vaccines: No, your jab isn’t magnetic)
https://www.dw.com/en/can-the-covid-vaccine-can-make-you-magnetic/av-57890465 (Can the COVID vaccine can make you magnetic?)
https://observers.france24.com/en/tv-shows/truth-or-fake/20210701-truth-or-fake-magnetism-after-a-covid-19-vaccine-in-belgium-an-expert-explains (Truth or Fake: Magnetism after a Covid-19 vaccine in Belgium? An expert explains)
https://www.reuter

ทำความรู้จัก “โมลนูพิราเวียร์” ยารักษาโควิด-19 Cofact Special Report #5

Cofact Special Report #5

ทำความรู้จัก “โมลนูพิราเวียร์” ยารักษาโควิด-19 

English Summary

Merck & Co says its experimental COVID-19 pill “Molnupiravir” proves to reduce hospitalization in patients with mild or moderate symptoms. If approved by FDA, it will be the first oral pill to treat COVID-19 patients. Thai medical professionals are taking a close look at this pill and promise that Thailand will be among one of the first countries to receive the pills. We also take a closer look at how the pill works and answer the most frequently asked questions, especially if this pill can replace vaccine in the future.

เมื่อไม่นานมานี้ บ.เมิร์ค แอนด์ โค (Merck & Co) บริษัทยาสัญชาติสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการทดลองทางคลินิกเฟส 3 ในการใช้ยา “โมลนูพิราเวียร์” ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และยังเป็นยารับประทานชนิดแรกที่ผ่านการทดสอบมาถึงเฟสที่ 3 และอยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อใช้ในการสาธารณสุขฉุกเฉินโดยคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้ เรารวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาตัวนี้ และยาอื่นๆ ที่อาจจะช่วยพลิกสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดได้

โมลนูพิราเวียร์คืออะไร?

Molnupiravir เป็นยาชนิดเม็ดที่มีฤทธิ์เข้าไปยับยั้งการจำลองแบบของเชื้อโควิด-19 ในร่างกายของผู้ใช้ยา หรือพูดง่ายๆ ยาตัวนี้จะพุ่งไปที่ตัวเชื้อ และปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตัวเชื้อให้ผิดเพี้ยน ทำให้พวกมันไม่สามารถแบ่งตัว และกระจายเชื้อในร่างกายของเราต่อได้ 

ประสิทธิภาพของโมลนูพิราเวียร์ดีแค่ไหน?

แรกเริ่มเดิมทียาตัวนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ แต่เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นักวิจัยจึงนำตัวยานี้มาทดสอบในการรักษาโควิด-19 และผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ในการศึกษาเฟส 3 ยาตัวนี้สามารถลดการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลในผู้ติดเชื้อโควิดระดับน้อยถึงปานกลางได้ถึง 50% และไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานยาตัวนี้ ขณะที่ผู้ที่รับประทานยาหลอก 55 คน จาก 377 คนมีอาการป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล และในจำนวน 8 คนเสียชีวิต ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากลงความเห็นว่าโมลนูพิราเวียมีประสิทธิภาพ สามารถนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้

เมื่อไรโมลนูพิราเวียร์จะได้รับการอนุมัติใช้รักษาโควิด-19 ในไทย

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทเมิร์ค แอนด์ โค ผู้ผลิตและวิจัยยาตัวนี้ยื่นเอกสารให้องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ขึ้นทะเบียนยาเพื่อใช้ในการฉุกเฉินแล้ว หากยาตัวนี้ผ่านการรับรองโดย FDA ทาง อย.ไทยก็จะอนุมัติยาตัวนี้เพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนหลังจากที่ FDA สหรัฐฯ อนุมัติ

โมลนูพิราเวียร์ ต่างจาก ฟาวิพิราเวียร์ ที่ไทยใช้อยู่หรือไม่? ทำไมเราจำเป็นต้องใช้ยาตัวใหม่นี้?

ต่างกัน เพราะฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ไม่มีผลการทดลองทางคลินิกว่าสามารถยับยั้งแบบจำลองของเชื้อโควิด-19 ได้ แต่มีความสามารถในการลดความรุนแรงของโรคได้คล้ายกันกับโมลนูพิราเวียร์ ดังนั้นโมลนูพิราเวียร์จึงเป็นยารับประทานชนิดแรกที่สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้โดยตรง 

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์มีอะไรบ้าง?

ผลการทดลองในเฟส 3 ที่สหรัฐฯ พบว่าผู้ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์มีอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์เพียง 1.3% ผู้ผลิตยาระบุด้วยว่า ในช่วงการทดลองเบื้องต้นยาตัวนี้ยังไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ ส่วนผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ที่มีอาการน้อยหรือปานกลาง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวสามารถรับประทานยานี้ได้

ใครเหมาะสมกับยาตัวนี้ และควรรับประทานยาตัวนี้เมื่อไร?

ผู้ผลิตยาระบุว่า ระหว่างการทดสอบเฟส 3 ยาตัวนี้ให้ประสิทธิภาพดีที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือปานกลาง โดยผู้ที่ทราบว่าตนติดเชื้อโควิด-19 และเริ่มมีอาการควรรับประทานยานี้โดยทันที ต่อเนื่องกันเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน วันละ 8 เม็ด แบ่งเป็น เช้า 4 เม็ด และ เย็น 4 เม็ด อย่างไรก็ตามเราต้องรอผลการอนุมัติจาก FDA สหรัฐฯ และ อย. ไทยอีกครั้งว่าเมื่อยาตัวนี้นำมาใช้ในไทยจริงจะต้องใช้ในปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม

ไทยจะได้รับยาโมลนูพิราเวียร์เร็วที่สุดเมื่อไร? เราจะตกขบวนเหมือนวัคซีนไหม?

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์บอกว่า ไทยได้เจรจาสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์แล้วจำนวน 2 แสนคอร์ส โดยไทยได้จัดทำร่างสัญญาสั่งซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าเราจะได้รับยาล็อตแรกภายในเดือนธันวาคมปีนี้ เหตุผลที่ไทยเราได้รับยาโมลนูพิราเวียร์เร็วกว่าเมื่อช่วงที่เราสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 เมื่อช่วงต้นปีเพราะโรงพยาบาลในไทยหลายแห่งทำข้อตกลงร่วมมือในการศึกษาวิจัยกับบ.เมิร์ค แอนด์ โค ในการทดลองยาโมลนูพิราเวียร์มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และเดิมทียาตัวนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ เมื่อผลการทดลองออกมาว่าสามารถรักษาโควิด-19 ได้ด้วย ทำให้ผลพลอยได้ตกมาอยู่กับไทยด้วย

ราคาของโมลนูพิราเวียร์แพงเกินไป?

ราคาขายกลางของโมลนูพิราเวียร์ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 700 ดอลลาร์ หรือประมาณ 24,000 บาทต่อคอร์ส แต่จากคำชี้แจงของนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตยาจะคิดราคาค่ายากับประเทศกำลังพัฒนาในราคาที่ถูกกว่าราคากลาง แต่จะเป็นราคาเท่าไรยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นความลับทางธุรกิจ นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตยายังมีการว่าจ้างการผลิตยาในโรงงานอีก 5 แห่งในอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตยาถูกลง และราคายาก็จะถูกลงตามไปด้วย

ล่าสุดองค์การอนามัยโลกยังจัดตั้งโครงการจัดซื้อยารักษาโควิด-19 ซึ่งรวมถึงโมลนูพิราเวียร์ในราคา 10 ดอลลาร์ หรือประมาณ 320 บาทต่อคอร์สเพื่อส่งต่อให้กับประเทศยากจนได้เข้าถึงยารักษาโควิด-19 ได้ง่ายขึ้น

โมลนูพิราเวียร์สามารถใช้แทนวัคซีนได้หรือไม่?

โมลนูพิราเวียร์ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อการ “รักษา” ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ซึ่งผู้ที่จะรับประทานยาตัวนี้ได้จะต้องเป็นผู้ป่วยโควิด-19 อยู่แล้ว ต่างจากวัคซีนที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อ “ป้องกัน” การติดเชื้อและการป่วยสำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโควิด-19 มาก่อน วัคซีนจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ยาโมลนูพิราเวียร์ช่วยในการรักษาและไม่สามารถทดแทนการฉีดวัคซีนได้

ที่มา:

https://www.cnbc.com/2021/10/11/covid-pill-merck-asks-fda-to-authorize-antiviral-for-emergency-use.html

https://www.reuters.com/world/india/indias-everest-organics-starts-making-molnupiravir-drug-ingredient-2021-10-12/

https://www.tnnthailand.com/news/covid19/94194/

https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2209142

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2213276

https://www.sanook.com/news/8454078/

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

YouTube แบนข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ “วัคซีนโควิด” COFACT SPECIAL REPORT #4

YouTube แบนข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ “วัคซีนโควิด” 

COFACT SPECIAL REPORT #4

English Summary:

This week, YouTube announced the ban on all vaccine misinformation contents across the globe. This move aims to help users get the right information of the vaccines from scientific experts. YouTube says it removes more than 130,000 vaccine misinformation videos from its platform so far. This new policy affects some news outlets, including RT DE, the German-language news service of the Russian state media outlet, and many conservative creators who do not believe in the vaccine. Some of them believe this new policy violates their right to speak, but many experts say misinformation from YouTube does more harm than good. 

ยูทูบ (YouTube) เว็บไซต์โซเชียลวีดีโอยอดนิยมออกนโยบายใหม่ แบนชื่อบัญชีและเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด เนื่องจากบริษัทได้รับรายงานว่ามีครีเอเตอร์หลายคนนำเสนอเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัคซีน ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด และไม่ยอมไปฉีดวัคซีนเพราะได้รับข้อมูลเหล่านี้ โดยยูทูบจะใช้นโยบายนี้กับครีเอเตอร์ในทุกประเทศ ทั้งครีเอเตอร์อิสระ และครีเอเตอร์เจ้าใหญ่

ยูทูบระบุว่า คลิปวีดีโอที่มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ จะได้รับคำแจ้งเตือนให้นำคลิปลงจากระบบ 

  1. วัคซีนที่ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของผู้ที่ได้รับวัคซีน
  2. วัคซีนไม่ช่วยลดอัตราการติดเชื้อและการป่วย
  3. วัคซีนทำให้เกิดอาการคล้ายผู้ป่วยออทิสติก
  4. วัคซีนทำให้เกิดมะเร็ง
  5. วัคซีนทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  6. มีการใส่ชิพตรวจจับตำแหน่งของผู้ได้รับวัคซีน หรืออุปกรณ์สื่อสารใดๆ เข้าสู่ร่างกายผู้ที่ได้รับวัคซีน

อย่างไรก็ตาม ยูทูบจะไม่แบนคลิปที่เป็นการสนทนาหรือให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อโต้แย้งทฤษฎีต่างๆ หรือพูดถึงผลการศึกษาของวัคซีนแต่ละประเภท

ยูทูบยอมรับในคำแถลงการณ์ว่า แพลตฟอร์มของตนมีความสำคัญต่อประชาชน โดยเฉพาะในภาวะโรคระบาดในปัจจุบัน ประชาชนหลายคนสืบค้นวีดีโอที่เกี่ยวข้อกับโควิด-19ในยูทูบจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง บริษัทจึงต้องปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่ผิด จนเกิดความวิตกกังวลและไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่ผ่านการรับรองแล้ว

ล่าสุดยูทูบชี้แจงกับสำนักข่าวบีบีซีว่า บริษัทได้ลบคลิปวีดีโอที่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 แล้วกว่า 1.3 แสนคลิป ทั้งหมดเป็นคลิปที่มีการเผยแพร่ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดเมื่อปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน แต่ในคำชี้แจงไม่ได้ระบุว่ามีการลบคลิปวีดีโอจากครีเอเตอร์ประเทศใดไปแล้วบ้าง 

สำหรับครีเอเตอร์ที่โพสคลิปวีดีโอที่เข้าข่ายผิดนโยบายใหม่ของยูทูบจะได้รับคำแจ้งเตือนก่อนหนึ่งครั้ง ครีเอเตอร์จะต้องชี้แจงหากเนื้อหาที่ตนผลิตไม่ได้มีเจตนาทำผิด หรือไม่มีข้อมูลเท็จ แต่ถ้าหากไม่ชี้แจง หรือมีการกระทำผิดซ้ำ ระบบก็จะบล็อกบัญชีดังกล่าวทันที

“สื่อรัสเซียลั่น เตรียมแบนยูทูบ”

หลังจากยูทูบประกาศนโยบายใหม่ออกมา สื่อค่ายแรกๆ ที่ถูกยูทูบแบนเนื้อหาทันทีคือช่อง RT DE สื่อของรัฐบาลรัสเซียภาคภาษาเยอรมัน ซึ่งเผยแพร่เนื้อหาด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลเยอรมนีใช้ ยูทูบออกคำเตือน RT DE ให้หยุดเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวทันที พร้อมกับบล็อกการโพสวีดีโอชั่วคราว จนกว่า RT DE จะลบเนื้อหาดังกล่าวออกจากระบบ 

ผลจากนโยบายนี้สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก โดยโฆษกประจำเครมลินชี้แจงว่า ยูทูบไม่เคารพเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และรัฐบาลรัสเซียเรียกร้องให้กูเกิล (Google) บริษัทแม่ของยูทูบปลดบล็อกให้กับ RT DE ทันที มิเช่นนั้นรัฐบาลอาจปรับหรือแบนการประกอบกิจการของกูเกิลในรัสเซีย

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อในเยอรมนีระบุว่า ถึงแม้ RT DE จะเป็นสื่อของรัฐบาลรัสเซีย แต่เนื้อหาที่นำเสนอเป็นภาษาเยอรมัน และมีการประกอบกิจการในเยอรมนี การแบนบัญชีดังกล่าวเกิดขึ้นในเยอรมนี ที่สำคัญ RT DE ปฏิบัติตัวเป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาลรัสเซีย และนำเสนอเนื้อหาปลุกปั่น สร้างความเข้าใจที่ผิดให้กับประชาชนในเยอรมนีอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้รัฐบาลรัสเซียมองเหตุผลการแบนบัญชี RT DE เป็นประเด็นทางการเมือง

ด้านโฆษกของรัฐบาลเยอรมนีระบุว่า การตัดสินใจแบนบัญชี RT DE มาจากยูทูบ รัฐบาลเยอรมนีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด 

“เฟซบุ๊ก – ทวิตเตอร์ ออกมาตรการคล้ายกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร”

ก่อนหน้านี้แพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ยอดนิยมทั้งทวิตเตอร์ (Twitter) และเฟซบุ๊ก (Facebook) ต่างออกมาตรการควบคุมเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 อาทิ การใส่ตัวหนังสือกำกับบริเวณโพสที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโควิด-19 และแบนบัญชีที่นำเสนอข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีน แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้เนื้อหาเหล่านี้หมดไปจากแพลตฟอร์มได้ หลายครั้งเราจะเห็นการโพสเนื้อหาผ่านกลุ่มส่วนตัว หรือการแชร์ข้อความบนหน้าโปรไฟล์ส่วน หรือส่งหากันผ่านแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ (อาทิ Messenger, Line, WhatsApp) ข้อความเท็จเหล่านี้มักถูกส่งต่อในกลุ่มเพื่อน และญาติของเจ้าของบัญชีนั้น จนนำไปสู่การเชื่อข้อมูลที่ผิด และสื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้ก็ไม่สามารถเอาผิดใดๆ กับเจ้าของบัญชีเหล่านี้ได้ เนื่องจากหลายครั้งข้อความเหล่านี้ไม่ได้เปิดเผยแบบสาธารณะ

สำนักข่าว NPR ของสหรัฐฯ พบว่า ข้อความเท็จเกี่ยวกับวัคซีนมักสร้างขึ้นโดยกลุ่มบุคคลฝ่ายอนุรักษ์นิยม และกลุ่มคลั่งลัทธิบางกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ พวกเขาจะนำเสนอเนื้อหาที่ลดคุณค่าของการศึกษาวิจัยวัคซีน และโน้มน้าวไม่ให้ประชาชนไปฉีดด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุผลด้านสุขภาพและสาธารณสุข หลังจากสื่อสังคมออนไลน์หลายแพลตฟอร์มเริ่มเอาจริงกับผู้สร้างเนื้อหาเหล่านี้ เช่นการเขียนกำกับว่าเป็นข้อมูลที่ขัดกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขก่อนตัดสินใจเชื่อ ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาเท็จหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น Rumble หรือเว็บแชร์วีดีโอที่ไม่มีการกำกับดูแลเข้มงวด 

ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมจะสามารถลบเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับวัคซีน หรือโควิด-19 ไปได้ วิธีการที่เราทุกคนจะช่วยได้คือไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ปราศจากแหล่งอ้างอิง ควรเช็คแหล่งที่มาหลายๆ แหล่งว่ารายงานข้อมูลตรงกันหรือไม่ หากไม่มั่นใจให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในประเทศ และต่างประเทศ หากข้อมูลที่ได้ยังไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานเหล่านี้ เราอาจสันนิษฐานก่อนได้ว่าข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ อาจจะต้องค้นหาที่มาเพิ่มเติมก่อนที่จะปักใจเชื่อ หรือส่งต่อไปให้ผู้อื่น 

อ่านคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายแบนเนื้อหาเท็จที่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของยูทูบเพิ่มเติมที่: https://blog.youtube/news-and-events/managing-harmful-vaccine-content-youtube/

ที่มา:

https://www.npr.org/2021/09/29/1041493544/youtube-vaccine-misinformation-ban

https://www.bbc.com/news/technology-58743252

https://www.aljazeera.com/news/2021/9/29/youtube-shuts-german-channels-of-russian-broadcaster-rt

https://www.reuters.com/technology/russia-threatens-youtube-block-after-rt-tvs-german-channels-are-deleted-2021-09-29/

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

Post-truth VS. Primary source กับ Cofact Vocab

Cofact Vocab วันนี้มาแล้ว มารู้ 2 ศัพท์ใหม่กัน

Post-truth
ไม่สนใจความจริง เป็นคำอธิบายที่สะท้อนภาพจากสถานการณ์ที่ความคิดเห็นของผู้คนในสังคมถูกหล่อหลอมจากความเชื่อส่วนบุคคลและความรู้สึก มากกว่าสิ่งที่มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริง

Primary source
ข้อมูลปฐมภูมิ คือสารสนเทศที่ได้มาจากต้นแหล่งโดยตรง หรือข้อมูลที่ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาและสถานที่จริง เช่น อัตชีวประวัติ ไดอารี่ จดหมาย บทสัมภาษณ์ สุนทรพจน์ เอกสารทางประวัติศาสตร์ บทความในหนังสือพิมพ์ที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาของเหตุการณ์ ข้อมูลต้นฉบับ นวนิยาย ภาพวาด และงานศิลปะอื่น ๆ การสืบค้นข้อมูลปฐมภูมิจะช่วยให้เราได้รับข้อมูลที่ตรงตามความจริงยิ่งขึ้น

ประกาศแจ้งการเลื่อนการประกาศผล Cofact Video Cover Contest 2021

ประกาศแจ้งการเลื่อนการประกาศผล Cofact Video Cover Contest 2021

เนื่องจากมีผู้ส่งวิดีโอ TikTok cover วิทยุชุมชนครั้งนี้จำนวนมาก (มากจริงๆ แบบสุดปัง)
ทีมผู้จัดกิจกรรมจึงขอเลื่อนการประกาศผลเป็นวันที่ 15 ต.ค 64
ทางผู้จัดกิจกรรมขออภัยสำหรับทุกการรอคอยนะคะ

และตอนนี้คลิปวิดีโอทั้งหมดของน้องๆ ได้เผยแพร่ลงในเพจ Cofact Youth Network เรียบร้อยแล้ว
โดยน้องๆ สามารถชวนเพื่อนๆ มา Like&Share ได้ถึงวันที่ 10 ต.ค 64
https://www.facebook.com/Cofact-Youth-Network-100765405554755/

Google News Initiative และ Cofact Thailand ชวนร่วม โครงการ Verification Workshop

เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา คนทำงานสายข่าว หรือผู้ที่ทำงานตรวจสอบข้อมูล ร่วม โครงการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบข้อมูล Verification Workshop จัดโดย Google News Initiative ร่วมกับ Cofact Thailand

วัตถุประสงค์
เพื่อฝึกฝนทักษะ วิธีคิด และกระบวนการทำงานตรวจสอบข้อมูลสำหรับการทำงานในกองบรรณาธิการ โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการส่งต่อจากอินเทอร์เน็ตก่อนนำไปเผยแพร่ต่อ เพื่อให้การรายงานข่าวมีความสมบูรณ์ ปราศจากข้อมูลเท็จ

รายละเอียดหลักสูตร
6 บทเรียน บทเรียนละ 1:30 ชั่วโมง
เรียนทุกวันอังคาร และ พฤหัสบดี ตั้งวันที่ 12 ถึง 28 ตุลาคม 2021
เวลา 19:00 – 20:30 ผ่านทาง Google Meet

12 ตุลาคม – ทำความเข้าใจและแยกแยะข้อมูลกับความคิดเห็น อะไรที่ตรวจสอบและหักล้างได้
14 ตุลาคม – กระบวนการทำงานในกองบรรณาธิการตรวจสอบข้อมูล
19 ตุลาคม – เครื่องมือตรวจสอบข้อมูล 1: ตรวจสอบข้อมูลบนสื่อโซเชียล
21 ตุลาคม – เครื่องมือตรวจสอบข้อมูล 2: ตรวจสอบข้อมูลด้วยภาพและวีดีโอ
26 ตุลาคม – เครื่องมือตรวจสอบข้อมูล 3: ยืนยันตำแหน่งและสถานที่เกิดเหตุ
28 ตุลาคม – จริยธรรมในการตรวจสอบข้อมูล

หลักสูตรนี้ผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Google News Initiative แล้ว

วิทยากร
ธนภณ เรามานะชัย – AAJA-Asia Training Network by Google News Initiative
พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท.

คุณสมบัติของผู้เข้าอบรม
นักเรียน นักศึกษา บุคลากรด้านสื่อ นักข่าว หรือผู้ที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อมูล

ผู้เข้าอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรจาก Cofact Thailand และ Google News Initiative หลังจบการอบรม เราขอสงวนสิทธิ์มอบประกาศนียบัตรให้กับผู้ที่เข้าอบรมครบทั้ง 6 วันเท่านั้น

สนใจสมัครได้ที่นี่ คลิก (ปิดรับสมัครวันที่ 10 ต.ค. 64)

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSedZb9Tvv26t_QA_BozZbPDv_X6qeDfWxZejm0GWBOKU4wNWQ/viewform

ตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวลือโรคระบาดต่างๆ ในปี 2021 COFACT Special Report #3

ตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวลือโรคระบาดต่างๆ ในปี 2021

English Summary

The recent global pandemic makes people aware of diseases around them. There have been reports of other diseases that could potentially spread widely just like COVID-19, including Acute Flaccid Myelitis (AFM) or Polio-like disease, Nipah Virus, and Respiratory Syncytial Virus. World Health Organization has been watching these three diseases closely but all of them do not spread in the way COVID-19 does. Therefore, no warning of the new epidemic has been issued. We take a closer look at the symptoms of each disease, how they spread, and how much should you worry or not to worry about them.

การแพร่ระบาดอย่างหนักของ COVID-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมาส่งผลให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยวิตกกังวลว่าจะมีโรคระบาดอื่นๆ นอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ จนทำให้เกิดกระแสข่าวโรคระบาดอื่นๆ ตามมาเป็นจำนวนมาก บางโรคเป็นโรคจริงที่เกิดการแพร่ระบาดแต่ยังไม่เป็นวงกว้าง บางโรคเป็นโรคประจำฤดูที่เคยแพร่ระบาดมาก่อน และบางโรคเป็นการนำเสนอข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกเกินจริง 

1) โรคระบาดคล้ายโปลิโอในสหรัฐฯ?

ในสหรัฐฯ มีการแชร์ภาพและบทความที่ระบุว่า สำนักงานควบคุมโรคสหรัฐฯ หรือ CDC เตือนประชาชนให้เฝ้าระวังรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคคล้ายโปลิโอ ชื่อ Acute Flaccid Myelitis หรือเอเอฟเอ็ม ที่คาดว่าจะแพร่ระบาดอย่างหนักในอีก 4 เดือนข้างหน้า ข้อความดังกล่าวถูกแชร์ต่อหลายร้อยครั้งและสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา สก็อต พอลลี โฆษกประจำสำนักงานควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า CDC ยังไม่ได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังโรคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม CDC แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้กับบุคลากรทางการแพทย์และหาทางรับมือหากเกิดการระบาดขึ้นจริง 

เอเอฟเอ็มเป็นโรคที่มีอาการคล้ายกับโปลีโอ และพบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะพบในเด็ก ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง ระบบประสาทสัมผัสไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ 

2) ไวรัสนีปาห์ในอินเดีย? 

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานจากสื่อในอินเดียว่า เด็กชายอายุ 12 ปีในรัฐเกรละเสียชีวิตจากไวรัสนีปาห์ สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานข่าวนี้พร้อมกับระบุว่าไวรัสตัวนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน และผู้ติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 40-75%

ไวรัสนีปาห์ที่จริงแล้วไม่ใช่ไวรัสชนิดใหม่แต่อย่างใด ไวรัสตัวนี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1999 ในฟาร์มสุกรที่มาเลเซีย ต่อมาพบว่าสัตว์ที่เป็นพาหะนำเชื้อคือค้างคาวผลไม้ การติดเชื้อมาจากการสัมผัสหรือถูกสัตว์กัดเข้าที่ผิวหนัง อาการที่พบได้คือมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นมีความผิดปกติทางระบบทางเดินหายใจ และอาการชัก ปัจจุบันยังไม่มียารักษา ต้องประคับประคองและรักษาตามอาการ

ไวรัสนีปาห์สามารถแพร่กระจายเชื้อจากคนสู่คนได้ผ่านทางสารคัดหลั่ง ออย่างไรก็ตามจำนวนผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่มีการค้นพบไวรัสตัวนี้มามีเพียง 260 รายเท่านั้น ทั้งหมดอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไวรัสตัวนี้แตกต่างจาก COVID-19 ตรงที่นักวิทยาศาสตร์ทราบต้นตอของการแพร่ระบาดมาจากค้างคาวผลไม้ และส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพร่เชื้อจากคนสู่สัตว์ ดังนั้นวิธีการรับมือกับไวรัสนีปาห์ที่ได้ผลที่สุด คือการตรวจสอบที่มาของการแพร่เชื้อในชุมชน ทำลายฟาร์มสัตว์หรือแหล่งที่พบการแพร่ระบาด และกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อก่อนหน้า

องค์การอนามัยโลกยังคงเฝ้าจับตาไวรัสตัวนี้ แต่ยังคงไม่ออกคำเตือนว่าไวรัสตัวนี้แพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ไวรัสนีปาห์เป็นเชื้อโรคที่เราทราบกันดีว่ามีต้นตอจากสัตว์ พบว่าเคยมีผู้ป่วยในไทยมาก่อน แต่ยังไม่มีการรายงานว่ามีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง วิธีที่จะตัดวงจรการแพร่เชื้อได้คือมนุษย์ต้องเลิกบุกรุกทำลายระบบนิเวศน์ของสัตว์ ธรรมชาติ และทำให้สัตว์ป่าที่ปฏิบัติตัวเป็นแหล่งรังโรค โดยไม่มีอาการทำการย้ายถิ่นฐาน และมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังมนุษย์ และสัตว์เศรษฐกิจได้ง่าย จนระบาดมายังคน

3) ไวรัสอาร์เอสวีระบาดนอกฤดูกาล?

อาร์เอสวี หรือไวรัสมวลเซลล์รวมระบบหายใจ ปกติมักจะพบมากในช่วงฤดูหนาวของประเทศเขตเหนือ อาการที่พบได้บ่อยคืออาการหายใจลำบาก ไอ หอบ ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็ก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากลับพบว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน และอาการของโรคใกล้เคียงกันกับ COVID-19 ทำให้ผู้ปกครองหลายคนกังวลว่าไวรัสตัวนี้อาจยิ่งทำให้เด็กมีโอกาสป่วยมากขึ้น

สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า โรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น พบผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อจากไวรัส RSV ในช่วงฤดูใบไม่ผลิ และฤดูร้อนจำนวนมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ไวรัสตัวนี้จะไม่ค่อยแพร่เชื้อ เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่น 

แพทย์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมที่ผิดแปลกของไวรัสชนิดนี้อาจมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ และมาตรการด้านสุขอนามัยต่างๆ ส่งผลถึงไวรัสชนิดอื่นๆ ด้วย เมื่อมาตรการต่างๆ ในหลายประเทศเริ่มผ่อนคลาย ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ก็ทำให้ไวรัสบางชนิดที่เป็นไวรัสประจำฤดูกาลกลับมาแพร่ระบาดได้อีก ถึงแม้จะไม่ใช่ฤดูของพวกมันก็ตาม

สำนักงานควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่าไวรัสตัวนี้ไม่น่ากังวลเท่าไร เพราะส่วนมากเด็กเกือบทุกคนจะต้องติดเชื้อไวรัสตัวนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในอายุ 2 ขวบ อาการที่พบได้บ่อยคือน้ำมูกไหล ไอ หรือจาม จากนั้นมักจะหายป่วยไปเอง บางรายอาจมีภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ และอาการอักเสบที่ปอดส่วนล่าง ทำให้หายใจและรับประทานอาหารลำบาก วิธีการรักษาคือการให้ออกซิเจนทางจมูก จากนั้นอาการก็จะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน

หากพบว่าบุตรหลานของท่านติดเชื้อไวรัส RSV วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในครัวเรือนเดียวกันเข้าใกล้กับเด็กที่มีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เพื่อไม่ให้บุคคลดังกล่าวนำเชื้อไปแพร่ต่อให้กับเด็กคนอื่นๆ 

ที่มา: 

https://factcheck.afp.com/http%253A%252F%252Fdoc.afp.com%252F9MZ7X9-1

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/nipah-virus

https://www.cbsnews.com/news/nipah-virus-outbreak-india-kerala/

https://www.npr.org/sections/goatsandsoda/2021/09/12/1035571714/why-the-world-should-be-more-than-a-bit-worried-about-indias-nipah-virus-outbrea

https://www.komchadluek.net/news/484444

https://www.bbc.com/thai/international-58570983

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

ถาม-ตอบ ปัญหาคาใจผู้ปกครอง: วัคซีน COVID-19 สำหรับเด็ก CO-FACT Special Report 2

CO-FACT Special Report 2  

รายงานพิเศษโคแฟค ตรวจสอบความจริงร่วมเรื่องวัคซีน ฉบับที่

ถามตอบ ปัญหาคาใจผู้ปกครอง: วัคซีน COVID-19 สำหรับเด็ก

กระทรวงสาธารณสุขประกาศนโยบายฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12-18 ปีตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยจะเน้นไปที่จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด วัคซีนที่จะนำมาใช้ฉีดให้กับเยาวชนกลุ่มนี้คือ Pfizer-BioNTech ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ให้ใช้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และเป็นวัคซีนเพียงชนิดเดียวในขณะนี้ที่สามารถฉีดให้กับเยาวชนได้ ก่อนที่ผู้ปกครองจะนำบุตรหลานของท่านไปฉีดวัคซีน ท่านอาจจะมีคำถามเหล่านี้ในใจ:

คำถาม: วัคซีน Pfizer-BioNTech มีความปลอดภัยในเด็กมากน้อยเพียงใด?

คำตอบ: ผลการศึกษาจากบริษัท Pfizer และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ระบุว่าวัคซีนชนิดนี้มีความปลอดภัย เหมาะสำหรับฉีดให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ผลการศึกษาดังกล่าวยังระบุด้วยว่าเด็กอายุ 12-17 ปีที่ได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้มีภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนชนิดเดียวกัน

คำถาม: วัคซีน Pfizer-BioNTech สำหรับเด็กจะต้องฉีดกี่เข็ม ระยะเวลาต่อเข็มห่างกันเท่าไร?

คำตอบ: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า วัคซีน Pfizer-BioNTech จะฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ซึ่งตรงกับคำแนะนำของผู้ผลิตวัคซีน และเป็นไปตามผลการรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) 

คำถาม: ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเด็กติดเชื้อและป่วยจาก COVID-19 ไม่มาก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ทำไมฉันจึงจำเป็นต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนด้วย?

คำตอบ: นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เชื้อเกิดการพัฒนาและกลายพันธุ์ให้สามารถแพร่กระจายได้ง่าย และจำนวนเชื้อที่ติดมีปริมาณมากขึ้น โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดอย่างหนักในปัจจุบัน สำนักงานควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุจำนวนเด็กที่ติดเชื้อ COVID-19 ระลอกใหม่คิดเป็นจำนวนถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีเพียง 2-3% ในจำนวนผู้ติดเชื้อเด็กที่ป่วยหนักและต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล (ผู้ป่วยสีเหลือง หรือแดง) แสดงให้เห็นว่า COVID-19 สายพันธุ์เดลต้ายังไม่ส่งผลให้เด็กป่วยหนักมากนัก แต่ก็ทำให้เห็นว่าเด็กสามารถติดเชื้อได้มากไม่ต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้า และหากเด็กไปโรงเรียนแล้วนำเชื้อเข้ามาสู่คนในบ้านก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้คนในบ้านด้วย ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงจากการป่วยในเด็ก และถ้านักเรียนในโรงเรียนได้ฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนก็จะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงการป่วยในโรงเรียนจากการติดเป็นกลุ่มก้อนได้มากขึ้นด้วย

คำถาม: ก่อนไปฉีดวัคซีน เด็กควรเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง?

คำตอบ: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แนะนำให้เด็กที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนนอนหลับพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนวันฉีดวัคซีน เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่ หากเด็กมีประวัติแพ้ยาให้ปรึกษาแพทย์และแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่บริเวณจุดคัดกรองก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน

คำถาม: ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน Pfizer-BioNTech ในเด็กมีอะไรบ้าง?

คำตอบ: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แนะนำให้เด็กที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ควรวิ่ง หรือออกำลังกายหนักๆ 2-3 วันหลังจากได้รับวัคซีน ส่วนอาการหลังการฉีดวัคซีนในเด็กจะพบได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ อาจมีอาการเจ็บ ปวดบวมบริเวณที่ฉีด มีไข้อ่อนๆ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งเป็นอาการทั่วไปเช่นเดียวกับผู้ใหญ่หลังจากที่ได้รับวัคซีน วิธีการดูแลตนเองก็จะเหมือนกัน คือรับประทานยาแก้ปวด ลดไข้ ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะหายเองภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าผ่านไป 2-3 วันแล้วอาการยังทวีความรุนแรงขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์

คำถาม: ฉันยังไม่อยากให้ลูกฉีดวัคซีน เนื่องจากกลัวว่าผลข้างเคียงอาจทำให้เขาพิการหรือเสียชีวิตได้จริงหรือไม่?

คำตอบ: โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สภากาชาดไทย และมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ สหรัฐฯ ระบุตรงกันว่า ผลการศึกษาการฉีดวัคซีน Pfizer-BioNTech ในเด็ก พบผลข้างเคียงที่พบหลังจากฉีดวัคซีนจะคล้ายกับผู้ใหญ่ เช่นมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่อาการเหล่านี้จะหายเองภายในไม่กี่วัน ส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบพบได้ในอัตราที่ต่ำมาก อ้างอิงตัวเลขจากรายงานของอนุกรรมการขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งมีคณะที่ปรึกษาระดับโลกในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน (COVID-19 subcommittee of the WHO Global Advisory Committee on Vaccine Safety -GACVS: updated guidance regarding myocarditis and pericarditis reported with COVID-19 mRNA vaccines พบรายงานในสหรัฐอเมริกา (US Vaccine Adverse Events Reporting System -VAERS)  ว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสในหนึ่งล้านราย ช่วงอายุ 12-29 ปีนั้นมีผู้ชายประมาณ 40.6 รายและผู้หญิง 4.2 รายที่พบอาการดังกล่าว (รายงานถึงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2564)  ด้านรพ.จุฬาฯ ยืนยันว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนในเด็กมีมากกว่าผลข้างเคียง อย่างไรก็ตามผู้ปกครองที่ยังรู้สึกไม่สบายใจ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถปรึกษากับแพทย์ประจำตัวของบุตรหลานของท่านได้

คำถาม: ทำไมวัคซีน COVID-19 สำหรับเด็กจึงใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติ?

คำตอบ: สำนักงานควบคุมโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ระบุว่า การเก็บข้อมูลและผลการศึกษาการฉีดวัคซีนในเด็กแตกต่างจากการเก็บข้อมูลในผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในการทดสอบ ตัวแปรต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบซึ่งมีความละเอียดอ่อนมากกว่า ดังนั้นผลการศึกษาการฉีดวัคซีนในเด็กจึงออกมาช้ากว่ากำหนด อย่างไรก็ตาม FDA มีข้อมูลเพียงพอที่อนุญาตให้ฉีดวัคซีน Pfizer-BioNTech ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปสำหรับการใช้งานฉุกเฉิน และ 16 ปีขึ้นไปสำหรับการใช้งานทั่วไป และในเร็วๆ นี้ FDA กำลังจะอนุมัติวัคซีนตัวอื่นๆ เช่น Moderna เพิ่มเติมด้วย 

คำถาม: พาเด็กไปฉีดวัคซีน COVID-19 ได้ที่ไหนบ้าง?

คำตอบ: กระทรวงสาธารณสุขวางแผนฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนอายุ 12 ปีขึ้นไปที่สถานศึกษาที่นักเรียนกำลังศึกษาอยู่ ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ผู้ปกครองสามารถติดตามรายละเอียดได้จากประกาศของสถานศึกษาของนักเรียน สำหรับผู้ปกครอง หรือสถานศึกษาที่สนใจเข้าร่วมโครงการฉีดวัคซีน Sinopharm “VACC 2 School” ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://vaccine.cra.ac.th/

คำถาม: นอกจาก Pfizer-BioNTech แล้ว ยังมีวัคซีนชนิดไหนอีกบ้างที่เด็กสามารถฉีดได้?

คำตอบ: ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติให้ใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เป็นวัคซีนตัวเดียวที่ผ่านการอนุมัติเพื่อการใช้ฉุกเฉิน โดยจะฉีดให้ฟรีกับเด็กทั่วประเทศ และเมื่อไม่นานมานี้ อย. ยังอนุมัติวัคซีนทางเลือก Moderna สำหรับฉีดในเด็กเพิ่มเติม ขณะที่บางประเทศ เช่นจีน และยูเออีอนุมัติให้ใช้วัคซีน Sinopharm ในเด็กแล้ว และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เตรียมนำวัคซีนชนิดนี้มาฉีดให้กับเด็กเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ปกครอง แต่วัคซีนชนิดนี้จะไม่ใช่วัคซีนหลักที่จะใช้กับเด็กทั่วประเทศจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจาก อย. อย่างเป็นทางการ

คำถาม: เมื่อไรเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีจะได้ฉีดวัคซีน COVID-19?

คำตอบ: บริษัทผู้ผลิตยาหลายแห่งทั่วโลกต่างเร่งศึกษาผลการฉีดวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดยบริษัทที่ทำการศึกษาในระยะที่สาม และกำลังเตรียมยื่นผลการศึกษาให้กับหน่วยงานด้านอาหารและยาแล้วคือ Pfizer-BioNTech โดยบริษัทบอกว่าผลการศึกษากับเด็กอายุระหว่าง 5-12 ปีเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) จะออกใบอนุญาตให้ใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech ในเด็กช่วงอายุดังกล่าวได้ภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ 

ขณะที่จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เป็นสองชาติในโลกที่อนุมัติให้มีการใช้วัคซีน Sinopharm กับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป โดยอ้างอิงผลการศึกษาในเด็กทั้งสองประเทศ แต่ขณะนี้ อย.ไทยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาต ซึ่งวัคซีนที่ อย.ไทยอนุญาตให้ฉีดในเด็ก ณ ขณะนี้มี Pfizer-BioNTech และ Moderna อย่างไรก็ตาม อย. อนุญาตให้หน่วยงานที่ได้รับอนุญาต เช่น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สามารถฉีดวัคซีน Sinopharm ให้เด็กได้ โดยต้องอยู่ในความควบคุมของบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด

คำถาม: หากเด็กได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว สามารถถอดแมสก์ หรือทำกิจกรรมในโรงเรียนได้ตามปกติเหมือนก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้หรือไม่?

คำตอบ: ผู้อำนวยการ CDC สหรัฐฯ ระบุว่า COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ในปริมาณเชื้อที่สูงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ถึงแม้เราจะได้รับวัคซีนแล้ว แต่ก็ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ วัคซีนสามารถช่วยยับยั้งอาการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ดี แต่ก็ไม่สามารถลดจำนวนเชื้อที่อยู่บริเวณโพรงจมูกได้ ดังนั้นการสวมหน้ากากครอบบริเวณปากและจมูก รวมทั้งการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดจำนวนเชื้อที่สูดเข้าไปในร่างกาย และช่วยให้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนแล้วได้รับเชื้อในปริมาณที่น้อยเกินกว่าจะทำให้ร่างกายป่วยจาก COVID-19 ได้ ดังนั้นการสวมหน้ากาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคนอยู่จำนวนมากเช่นโรงเรียนจึงยังจำเป็นอยู่ในช่วงนี้

หมายเหตุ
มติ อย. ไม่อนุญาตให้ฉีดวัคซีน Sinopharm ในเด็กอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ชี้ข้อมูลความปลอดภัย-ประสิทธิภาพไม่เพียงพอ

วันที่ 20 กันยายน 2564 นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่ บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าวัคซีน Sinopharm ในประเทศไทย ได้ยื่นเอกสารกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขออนุญาตขยายกลุ่มอายุผู้ใช้วัคซีน จากเดิมกำหนดไว้ที่ 18 ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ อย. และผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงานได้ร่วมกันพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยมีมติยังไม่สามารถอนุญาตขยายการฉีดวัคซีน Sinopharm ในเด็กตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัยในการใช้วัคซีนยังไม่เพียงพอ และขาดข้อมูลด้านประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันโรคในกลุ่มอายุ 3-17 ปี

ทั้งนี้ อย. ได้แจ้งให้ทาง บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด รับทราบ และขอให้นำส่งข้อมูลเพิ่มเติมแก่ อย. โดยด่วน โดยเฉพาะข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิผลที่ได้จากประสบการณ์การใช้วัคซีนแบบฉุกเฉินในเด็กจากประเทศต่างๆ ที่อนุญาต เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาโดยเร็วต่อไป

แหล่งข่าว https://thestandard.co/

ที่มา:

https://www.who.int/news/item/09-07-2021-gacvs-guidance-myocarditis-pericarditis-covid-19-mrna-vaccines

https://www.cnbc.com/2021/09/14/pfizers-covid-vaccine-data-for-kids-under-age-5-may-come-in-late-october-ceo-says-.html

https://www.fda.gov/news-events/press-announcements/fda-will-follow-science-covid-19-vaccines-young-children

https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/recommendations/adolescents.html

https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/coronavirus/covid19-vaccine-what-parents-need-to-know

https://www.reuters.com/world/middle-east/uae-rolls-out-sinopharm-covid-19-vaccine-children-aged-3-17-2021-08-02/

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/154926

https://www.thairath.co.th/news/local/2195938

https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2193591

https://www.thairath.co.th/news/society/2195538

เกี่ยวกับผู้เขียน 

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com/

FacebookTwitterLINEEmail

FACTkathon: Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic นัดแถลง 22 ก.ย. เชิญ นศ.จัดทีมร่วมกิจกรรม

FACTkathon: Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มูลนิธิสภาการหนังสือพิมพ์
สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย Thailand Institute of Justice (TIJ)
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth
มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย Fnf Thailand
สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion
Centre for Humanitarian Dialogue (HD)
และ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) Cofact โคแฟค
ขอเชิญผู้สื่อข่าว นักศึกษาด้านสื่อสารมวลชน ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานแถลงข่าว โครงการแข่งขันระดมสมอง “การหักล้างมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” “FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic”
ในวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ผ่านทางระบบออนไลน์ (ZOOM Meeting) เวลา 10.00-12.00 น. จากนั้นในช่วงบ่ายขอเชิญรับฟังการเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 18
ในหัวข้อ “การหักล้างข้อมูลเท็จในยุคโควิด บทเรียนจากเอเชีย Debunking Dis-infodemic in Asia”
โครงการ “FACTkathon” เป็นการส่งเสริมให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ จัดระดมสมองค้นคว้าเชิงลึก เพื่อนำไปสู่ต้นแบบการพัฒนากลไกการทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับคุณภาพของสื่อสารมวลชน และพลเมืองดิจิทัล ในการรับมือสถานการณ์โรคระบาดของข่าวลวง ข่าวปลอม ที่ทำให้สังคมตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่านเช่นในปัจจุบัน
สำหรับทีมนิสิตนักศึกษาและอาจารย์ที่สนใจ ลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวและเสวนาได้ที่นี่
https://docs.google.com/…/1FAIpQLScb422QC4jr8…/viewform
ติดตามการถ่ายทอดสดได้ที่เพจ สภาการสื่อมวลชน แห่งชาติ @Cofact โคแฟค @FnF Thailand.

รายงานพิเศษโคแฟค ตรวจสอบความจริงร่วมเรื่องวัคซีน ฉบับที่ 1

รายงานพิเศษโคแฟค ตรวจสอบความจริงร่วมเรื่องวัคซีน ฉบับที่

CO-FACT Special Report #1 by Mike Raomanachai

CoronaVac vaccine by Sinovac is one of the major COVID-19 vaccines in Thailand. Recently there has been many news and information about the lack of effectiveness against COVID-19, especially the Delta variant. To help Thai people understand this vaccine better, we put together 10 most common myths about CoronaVac and debunk them with facts from creditable sources, including World Health Organization, medical journals, and research from well-known institutions both in the country and abroad. These myths include the effectiveness of the vaccine against Delta variant, mixing the vaccine with viral vector vaccine (e.g., AstraZeneca), health concerns among pregnant women, and misinformation about the vaccine in the news.

ถามตอบ 10 ข้อสงสัยว่าด้วยวัคซีน Sinovac

ปัจจุบันจีนมีวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ในประเทศ และส่งออกให้กับต่างประเทศหลักๆ 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีน Coronavac ผลิตโดยบริษัท Sinovac และ Sinopharm วัคซีนทั้งสองชนิดผลิตด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อตาย ปัจจุบันเราจะเห็นว่าตามสื่อสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ต่างๆ มีผลการศึกษาหลายชิ้น และการนำเสนอข่าวสารที่ระบุถึงประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในหลากหลายทิศทาง วันนี้เรารวบรวมคำถามคำตอบที่มักพบบ่อยเกี่ยวกับวัคซีนเชื้อตาย และข้อมูลความเป็นจริง เน้นที่ Sinovac ซึ่งเป็นวัคซีนหลักที่ใช้ในไทย โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

Myth: Sinovac มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดในบรรดาวัคซีนโควิดทั้งหมด

Fact: ตัวเลขประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 ของวัคซีน Sinovac ที่เราเห็นทั่วไปตามสื่อต่างๆ ที่ 50-51% มาจากผลการศึกษาระยะที่ 3 ในบราซิลที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างไรก็ตามมีผลการศึกษาในหลายประเทศที่ใช้วัคซีนตัวนี้ได้ตัวเลขสูงกว่าผลการศึกษาในบราซิล ดังนั้นเราจึงไม่สามารถฟันธงได้ว่า Sinovac มีประสิทธิภาพต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆ ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากตัวแปร และสภาพแวดล้อม บวกกับช่วงเวลาที่ใช้ทดสอบวัคซีน Sinovac ของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน

Myth: Sinovac ไม่ได้รับความไว้วางใจในหลายประเทศ

Fact: ผลการศึกษาที่ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า วัคซีน Coronavac ที่พัฒนาขึ้นโดย Sinovac มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ในการแพทย์ฉุกเฉินได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ตามในบางประเทศอาจมีการเลือกหรือไม่เลือกใช้วัคซีนชนิดนี้ก็ได้ ในบางประเทศที่ไม่ได้เลือกใช้วัคซีน Coronavac เป็นวัคซีนหลัก เช่น สิงคโปร์ แต่ก็อนุญาตให้ประชาชนเลือกฉีดวัคซีน Coronavac เป็นทางเลือกได้หากมีความจำเป็น 

Myth: Sinovac ไม่ป้องกันการติดเชื้อ COVID-19

Fact: จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนชนิดใดที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ วัตถุประสงค์หลักของวัคซีนคือการป้องอาการป่วยจากเชื้อ COVID-19 ซึ่งวัคซีนแต่ละชนิดให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยแตกต่างกัน แต่ทุกชนิดสามารถป้องการกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ในระดับที่น่าพึงพอใจตามการประเมินขององค์การอนามัยโลก ซึ่งรวมถึง Sinovac ด้วยเช่นกัน 

Myth: วัคซีน Sinovac ไม่ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า

Fact: รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ปัจจุบันหน่วยงานของจีนยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าอย่างเป็นทางการ แต่ผลการศึกษาล่าสุดของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล พบว่า วัคซีน Sinovac สร้างภูมิ (Antibody) ได้น้อยกว่าวัคซีนประเภทไวรัลเวกเตอร์ เช่น AstraZeneca และวัคซีนประเภท mRNA เช่น Pfizer-BioNTech 

Myth: ผู้สูงอายุไม่เหมาะที่จะฉีด Sinovac

Fact: ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้วัคซีน Sinovac ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุสามารถฉีดวัคซีน Sinovac ได้

Myth: สตรีมีครรภ์ไม่ควรฉีด Sinovac

Fact: รายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีผลการศึกษาเพียงพอถึงผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์หลังจากฉีดวัคซีน Sinovac แต่ด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อตายที่ใช้พัฒนาวัคซีนชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกันกับวัคซีนที่เราใช้มาก่อน อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนตับอักเสบบี ซึ่งสตรีมีครรภ์สามารถฉีดได้ แต่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้สตรีมีครรภ์ปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน 

Myth: วัคซีนเชื้อตายเช่น Sinovac ให้ภูมิคุ้มกันได้ไม่เพียงไม่กี่เดือน

Fact: ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ MedRXiv ระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac ครบ 2 โดยไปแล้ว 6 เดือนจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันเชื้อ COVID-19 ต่ำลง แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับหนึ่ง ดังนั้นการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น

Myth: การฉีดวัคซีนแบบไขว้ เช่น Sinovac ต่อด้วย AstraZeneca เป็นอันตรายมากกว่าการฉีดวัคซีนชนิดเดียวกัน 2 เข็ม

Fact: ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกเฟิร์ด (University of Oxford) เผยผลการศึกษาว่า การฉีดวัคซีนไขว้ ระหว่าง Pfizer-BioNTech และ AstraZeneca ให้ภูมิต้านทานเชื้อ COVID-19 สูงกว่าการฉีด AstraZeneca อย่างเดียว 2 เข็ม และมีความปลอดภัย ขณะที่ไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ฉีดวัคซีนไขว้ ระหว่าง Sinovac หนึ่งเข็ม ต่อด้วย AstraZeneca อีกหนึ่งเข็ม ผลการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า สูตรการฉีดไขว้นี้ให้ภูมิคุ้มกันการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าการฉีด Sinovac สองเข็ม และมีความปลอดภัย สามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปได้

Myth: การฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่ 3 (ต่อจากการฉีด Sinovac เข็มที่ 1+2) ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวัคซีนประเภท mRNA เช่น Pfizer-BioNTech

Fact: ปัจจุบันผลการศึกษาการฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่สามยังไม่มีความชัดเจน จากรายงานของสำนักข่าว South China Morning Post ระบุว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของจีน ระบุว่าการฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่ 3 ช่วยป้องกัน COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าได้ดี แต่ผลการศึกษาดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ที่รับการฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่ 3 มีภูมิต้านทานมากกว่า หรือเทียบเท่ากับวัคซีนชนิดอื่น ที่สำคัญผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์โดยนักวิจัยจากฝั่งของจีนเท่านั้น และยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก หรือ Peer Review ดังนั้นเราจึงยังไม่สรุปได้ว่าการฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่ 3 ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวัคซีนชนิดอื่นได้หรือไม่

Myth: บางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ประชาชนนิยมฉีดวัคซีน Sinovac มากกว่าเนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่าวัคซีน mRNA 

Fact: รายงานของสำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์ระบุว่า ประชาชนชาวสิงคโปร์จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนต้องการฉีดวัคซีนที่ผลิตจากจีน เช่น Sinovac เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าวัคซีนที่ผลิตจากจีนมีความปลอดภัยกว่า และการฉีดวัคซีนที่จีนรับรองจะช่วยให้พวกเขาเดินทางในจีนสะดวก อย่างไรก็ตามรัฐบาลสิงคโปร์ยังคงยืนยันว่า Sinovac ไม่ใช่วัคซีนหลักที่ใช้ในประเทศ (วัคซีนหลักของสิงคโปร์คือ Pfizer-BioNTech และ Moderna) ประชาชนที่ต้องการฉีด Sinovac จะต้องเข้ารับการฉีดที่คลินิกเอกชน 

รัฐบาลสิงคโปร์ยืนยันว่าวัคซีนหลักที่ใช้อยู่มีผู้ทำการศึกษาวิจัยยืนยันว่าให้การป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ดีอยู่แล้ว ประชาชนคนไหนที่อยากฉีดวัคซีนตัวอื่น เช่น Sinovac ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล รัฐบาลจะไม่ก้าวก่ายการติดสินใจ ส่วนผู้ที่มีความจำเป็นด้านสุขภาพ เช่นมีอาการแพ้วัคซีน Pfizer-BioNTech หรือ Moderna ให้แพทย์เป็นผู้ออกดุลยพินิจในการให้ฉีดวัคซีน Sinovac ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ขณะที่มาเลเซีย และบางประเทศในภูมิภาคเอเชียประกาศหยุดการสั่งซื้อวัคซีน Sinovac โดยให้เหตุผลว่าวัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพต่ำกว่าวัคซีนประเภทอื่นๆ ในท้องตลาด โดยเฉพาะวัคซีนประเภทไวรัลเวคเตอร์ เช่น AstraZeneca และวัคซีนประเภท mRNA แต่เนื่องจากกำลังการผลิตของ Sinovac ที่มากกว่า และการกระจายวัคซีนที่ดีกว่าโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้องค์การอนามัยโลกยังคงแนะนำให้ใช้วัคซีนตัวนี้ รวมถึงรัฐบาลในบางประเทศยังคงเลือกใช้ Sinovac ไปพลางก่อน จนกว่าพวกเขาจะได้รับวัคซีนประเภทอื่น หรือจนกว่า Sinovac จะพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากกว่ารุ่นปัจจุบัน

ที่มา: https://www.who.int/news-room/feature-stories/detail/the-sinovac-covid-19-vaccine-what-you-need-to-know?gclid=Cj0KCQjw-NaJBhDsARIsAAja6dOKykMlP4lXFQw2oxMqmnD45QMIkL1UqqjscuH72LJ4NWLSQA3LELMaArRPEALw_wcB

https://www.reuters.com/world/china/are-chinese-covid-19-shots-effective-against-delta-variant-2021-06-29/

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/antibodies-sinovacs-covid-19-shot-fade-after-about-6-months-booster-helps-study-2021-07-26/

https://www.scmp.com/news/china/science/article/3147852/delta-vaccine-chinese-researchers-find-sinovac-booster-aids

https://www.globaltimes.cn/page/202107/1229716.shtml

https://www.pharmaceutical-technology.com/features/covid-19-vaccine-mixing-astrazeneca-pfizer/

https://www.si.mahidol.ac.th/th/hotnewsdetail.asp?hn_id=2691

https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.07.23.21261026v1

https://www.todayonline.com/singapore/moh-helping-private-institutions-facilitate-ordering-more-sinovac-covid-19-vaccine-doses

https://www.channelnewsasia.com/singapore/sinovac-vaccine-covid-19-recipients-national-count-evidence-data-1987511

https://thediplomat.com/2021/07/malaysia-to-phase-out-chinas-sinovac-vaccine/

https://cofact.org/article/1dkf1qsrehrti

เกี่ยวกับผู้เขียน 

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)

Parody vs. Peer review

รู้ศัพท์ ฉบับ Cofact วันนี้ กับ 2 คำใหม่

Parody
การล้อเลียน การเลียนแบบสไตล์ของนักเขียน นักร้องหรือศิลปินโดยมีเจตนาให้เกินจริง เพื่อให้ตลกขบขัน

Peer review
การตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นกระบวนการในการนำผลงานทางวิชาการ (เช่น ข้อเขียนหรือหัวข้องานวิจัย) ไปตรวจสอบโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในสาขาเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐาน ก่อนที่จะนำไปเผยแพร่หรือให้การยอมรับ