สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565

จริงหรือไม่…? ปรับลดระยะกักตัวเหลือ 5 วัน สำหรับคนที่ไม่มีอาการ

ไม่จริง

เพราะ…กรมการแพทย์ฯ ไม่มีการออกแนวทางการรักษาคนไข้โควิด-19 โดยปรับลดระยะกักตัวเหลือ 5 วัน สำหรับคนไม่มีอาการแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2tcc8onr9fl5a


จริงหรือไม่…? จังหวัดชลบุรีจะมีล็อคดาวน์อีกครั้งเพราะสาเหตุจากโอไมครอน

ไม่จริง

เพราะ…สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นความจริงดังที่กล่าวอ้าง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1hmd066ly71sw


จริงหรือไม่…? น้ำต้มใบกะเพรา สามารถช่วยล้างสารพิษจากวัคซีนได้

ไม่จริง

เพราะ…กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ชี้แจง การดื่มน้ำต้มกะเพราไม่สามารถล้างพิษจากการฉีดวัคซีนได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1uu5g27bbjs5x


จริงหรือไม่…? “ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด” รัฐบุรุษแห่งประเทศมาเลเซีย และอดีตนายกรัฐมนตรี  เสียชีวิตแล้ว

ไม่จริง

เพราะ…มีอาการเจ็บป่วย แต่หายแล้ว คนใกล้ชิด ยืนยันว่ายังไม่เสียชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36gljmf1ikdz1


จริงหรือไม่…? #ชลบุรี ให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวสามารถเข้ารับวัคซีน #โควิด19 ฟรีตามนโยบายจังหวัด

จริง

เพราะ…เพื่อกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงประชาชนทุกกลุ่ม แจ้งได้ที่โรงพยาบาลรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3of36301fnovs


จริงหรือไม่…? พบเด็กในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ป่วยด้วยภาวะเมทฮีโมโกลบินจากการกินไส้กรอกไม่มี อ.ย

จริง

เพราะ…เด็กทั้ง 6 คนที่ป่วย มีประวัติว่ากินไส้กรอกซึ่งไม่มียี่ห้อ ไม่มีอย. ไม่มีฉลากระบุที่มา หรือผู้ผลิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2rnnzu0f7npgf


จริงหรือไม่…? สปสช. ให้บริการ “ยาคุมกำเนิด” หญิงไทย อายุระหว่าง 15-59 ปี ทุกสิทธิ์

จริง

เพราะ…เป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และเพิ่มความปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/r5ar3j8l61ic


จริงหรือไม่…? กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เสี่ยงโรคไตวายและความดันโลหิตสูง

จริง

เพราะ…ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานกำหนด เมื่อสะสมไปนานๆ ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและไตวายได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15gtyyp8afkgj


จริงหรือไม่…? อุบลราชธานี พบโรคอหิวาห์แอฟริกาในหมู ประกาศเขตโรคระบาดชั่วคราวเฝ้าระวังและห้ามเคลื่อนย้ายสุกร

จริง

เพราะ…ทางจังหวัดออกประกาศเขตโรคระบาด 2 หมู่บ้าน #บ้านชีทวน อ.เขื่องใน และ บ้านจานไหล อ.เมือง ห้ามเคลื่อนย้าย เข้า-ออก 1 กพ.- 2 มีค.65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ik5qbfy8q243


จริงหรือไม่…? การใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันที่รั่วในทะเลเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ

จริง

เพราะ…ทำให้จุลินทรีย์ชีพไม่สามารถย่อยสลายได้ทัน จนเกิดตะกอนทำให้พืชในทะเลไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ น้ำมันดังจะทำลายไข่และมีผลต่อการฟักตัวของตัวอ่อนสัตว์ทะเล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32frixommk3gh


จริงหรือไม่…? ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง เพิ่มทางเลือกผู้ป่วยไตสิทธิบัตรทองฟอกเลือดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

จริง

เพราะ…มติคกก.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บอร์ด  #สปสช มีนโยบายเพิ่มทางเลือกผู้ป่วยโรคไตสามารถเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตได้ เริ่ม 1 ก.พ. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/141su5nrm56x0


จริงหรือไม่…? โรคซึมเศร้า สามารถรักษาฟรีได้ด้วยสิทธิบัตรทอง

จริง

เพราะ…สามารถใช้สิทธิได้ทันที หากได้รับคำวินิจฉัยจากจิตแพทย์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2cj6mfd9y5dgh


สรุปข่าวลวง ข่าวหลอก เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G Cofact Special Report #15

English Summary:

Major airlines around the world cancelled some flights to US last week due to the deployment of 5G technology near major US airports. Some airlines worry that the radio frequency spectrum (C-Band) the US telecommunication companies use is too close to the radio frequency uses in aircraft instrument, which is important for aircraft landing in low visibility. According to the Federal Aviation Authority, the radio band that AT&T and Verizon, two major telecommunication companies in the US use for 5G does not interfere with aircraft instrument, but many experts suggest that the FAA and Federal Communication Commission (FCC) should work together and came up with better solution earlier so both 5G and aviation safety can coexist.  

เทคโนโลยี 5G เป็นเทคโนโลยีไร้สายล่าสุดที่กำลังเข้ามาแทนที่ระบบ 4G ความพิเศษของ 5G คือการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงถึงระดับกิกะบิตต่อวินาที ช่วยให้การรับชมวิดีโอ และการถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่มีความรวดเร็วภายในพริบตา เปิดทางให้อุปกรณ์สื่อสารรูปแบบใหม่สามารถใช้งานร่วมกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้มากยิ่งขึ้น 

การขยายเครือข่าย 5G อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกนำไปเชื่อมโยงกับกลุ่มสร้างทฤษฎีสมคบคิด และผู้ไม่หวังดีที่แอบอ้างว่าเทคโนโลยี 5G เป็นส่วนหนึ่งของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมแปรปรวน ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นจริงทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่บริษัทโทรคมนาคมกำลังเร่งตรวจสอบและแก้ไขก็คือคลื่นความถี่ 5G บางคลื่นอาจส่งผลกระทบต่อวิทยุการบิน และระบบนำร่องของเครื่องบิน จนเป็นเหตุให้สายการบินบางรายในสหรัฐฯ เขียนจดหมายถึงรัฐบาลกดดันให้บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ชะลอการเปิดให้บริการคลื่นความถี่ 5G บางคลื่น โดยเฉพาะในบริเวณใกล้กับสนามบินขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนระบบนำร่องของเครื่องบิน

1. คลื่นความถี่ 5G รบกวนระบบนำร่องของเครื่องบิน: ยังพิสูจน์ไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ สายการบินหลายแห่งในสหรัฐฯ และสายการบินต่างชาติบางแห่งยกเลิกเที่ยวบินเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งเที่ยวบินเกือบทั้งหมดที่ให้บริการด้วยเครื่องแบบโบอิ้ง 777 หลังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ เอทีแอนด์ที และเวอร์ไรซัน ยังคงเดินหน้าขยายโครงข่าย 5G บริเวณใกล้กับสนามบิน โดยสายการบินกังวลว่าย่านคลื่นความถี่ที่บริษัทโทรคมนาคมใช้จะรบกวนอุปกรณ์นำร่องของเครื่องบิน ซึ่งมีความสำคัญในการควบคุมเครื่องบินลงจอดในช่วงที่ทัศนวิสัยไม่ชัด 

อย่างไรก็ตามสำนักงานการบินพลเรือนของสหรัฐฯ หรือ FAA ออกมายืนยันแล้วว่าคลื่นความถี่ที่บริษัทโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ใช้ไม่ได้เป็นย่านเดียวกันกับคลื่นความถี่ที่ระบบสื่อสารและระบบนำร่องของเครื่องบินใช้ และอนุญาตให้สายการบินให้บริการเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777 ในสนามบินของสหรัฐฯ ได้ต่อไป 

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สายการบินคลายความวิตกกังวล เนื่องจากคลื่นความที่ C-Band ที่ใช้สำหรับเครือข่าย 5G ในสหรัฐฯ อยู่ในความถี่ระหว่าง 3.7-3.98 GHz ซึ่งใกล้เคียงกับย่านความถี่ที่ระบบนำร่องของเครื่องรุ่นโบอิ้ง 777 ใช้ ซึ่งเป็นความถี่ระหว่าง 4.2-4.4 GHz ด้าน FAA ระบุว่า FAA ได้ทำข้อตกลงกับสำนักงานกิจการโทรคมนาคมสหรัฐฯ หรือ FCC และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือให้มีการเพิ่มคลื่นความถี่บัฟเฟอร์ 200 MHz ขั้นระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ส่งสัญญาณ 5G ไม่ให้รบกวนระบบนำร่องของเครื่องบิน และขอให้ผู้ให้บริการเครือข่ายติดตั้งเสาสัญญาณ 5G ห่างจากตัวสนามบินอย่างน้อย 2 ไมล์ และปรับการติดตั้งเสาสัญญาณไม่ให้ชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างเสาสัญญาณอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ แต่การปรับปรุงเรื่องคลื่นความถี่สามารถทำได้ทันที

ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมระบุกับสำนักข่าว The New York Times และเว็บไซต์ CNET ว่า หลังจากนี้ทั้ง FCC และ FAA จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน เพื่อให้การขยายโครงข่าย 5G และความปลอดภัยด้านการบินสามารถไปด้วยกันได้ เนื่องจากการขยายโครงข่าย 5G มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก ขณะที่ความปลอดภัยในการเดินทางอากาศก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

สำหรับประเทศไทย และอีกกว่า 40 ประเทศทั่วโลกที่มีการใช้คลื่นความถี่ 5G อย่างกว้างขวางจะนิยมใช้ย่านความถี่ C-Band ระหว่าง 3.4-3.8 GHz ซึ่งอยู่ในย่านที่ต่ำกว่าที่สหรัฐฯ ใช้งาน ปัจจุบันยังไม่พบว่าย่านความถี่นี้ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์นำร่องของเครื่องบินแต่อย่างใด

2. คลื่นความถี่ 5G ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็ง: ไม่จริง

คลื่นความที่ 5G ถึงแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่า แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มคลื่นความถี่เดียวกันกับเทคโนโลยี 4G ที่เราใช้กันมานานแล้ว จากข้อมูลของเว็บไซต์ Orange ของอังกฤษ และบทความจากเว็บไซต์ The New York Times ระบุว่าคลื่นความถี่ 5G ถึงแม้จะเป็นคลื่นความถี่สูง แต่ลักษณะทางกายภาพของตัวคลื่นไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสมอง และไม่มีสารก่อมะเร็ง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าคลื่นความถี่ 5G ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนยังคงศึกษาถึงผลกระทบของคลื่นความถี่โทรคมนาคมต่อสุขภาพของมนุษย์อยู่ และยังหาข้อสรุปไม่ได้

3. คลื่นความถี่ 5G ทำให้นกและผึ้งบางสายพันธุ์เสียชีวิต: ไม่จริง

มีการแชร์ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลในยุโรป ระบุว่าคลื่นความถี่ 5G ส่งผลให้นกจำนวนมากในเนเธอร์แลนด์ตาย และยังทำให้ประชากรผึ้งลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นข่าวการปล่อยคลื่นความถี่ 5G บนเรือสำราญเมื่อเดือนเมษายน 2020 จากเรือลำหนึ่ง ส่งผลให้นกที่อยู่บริเวณนั้นตายเกลื่อน สำนักข่าวรอยเตอร์ตรวจสอบแล้วพบว่าสาเหตุมาจากแสงไฟที่สาดออกมาจากตัวเรือทำให้ฝูงนกหลงทิศทาง และบินผิดไปจากเส้นทางที่พวกมันอพยพถิ่นฐานตามธรรมชาติ ทำให้พวกมันบินชนกันและตกลงมาตาย นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าพฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่

4. คลื่นความถี่ 5G เป็นส่วนหนึ่งในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19: ไม่จริง

ในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา มีโพสในสื่อโซเชียลจำนวนหนึ่งระบุว่า เสาส่งสัญญาณ 5G มีส่วนในการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะเสาส่งสัญญาณที่ใช้ชื่อว่า “เดลต้า” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดที่สร้างขึ้นมา ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ เชื่อมโยงกับการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้น โควิด-19 เป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายทางอากาศ ผ่านละอองฝอยและสารคัดหลั่งจากคนสู่คน ไม่สามารถแพร่กระจายผ่านคลื่นความถี่ หรือคลื่นวิทยุได้


ที่มา…

https://radio-waves.orange.com/en/radio-networks-and-antennas/5g/facts-and-fiction-about-5g/

https://www.allconnect.com/blog/5g-dangers-fact-vs-fiction

https://radio-waves.orange.com/en/radio-networks-and-antennas/5g/facts-and-fiction-about-5g/

https://www.allconnect.com/blog/5g-dangers-fact-vs-fiction

https://leadstories.com/hoax-alert/2021/12/fact-check-no-evidence-5g-millimeter-waves-causes-health-problems.html

https://www.reuters.com/article/factcheck-birds-5g/fact-check-hundreds-of-dead-birds-on-ship-deck-have-been-baselessly-linked-to-5g-radiation-idUSL1N2OS1FK?fbclid=IwAR1EdAGArORrSjTwpjnzZ8i0vaFJ3jZmrcB_yxuCUBVz893XrRqMcsipuQQ

https://fullfact.org/online/no-evidence-birds-found-dead-ship-were-killed-5g/

https://www.nytimes.com/2019/07/16/science/5g-cellphones-wireless-cancer.html

https://www.cnet.com/tech/mobile/how-the-faa-went-to-war-against-5g/


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกาแล้ว

ไม่จริง

เพราะ…สำนักข่าว USA Today ของสหรัฐฯ ได้ออกมารายงานข่าวกรณี ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกาแล้วว่าเป็นข่าวปลอม โดยมีที่มาจากสหรัฐฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1syk2w2wsfu4i


จริงหรือไม่…? ยาเขียวตราใบโพธิ์ สามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้

ไม่จริง

เพราะ…ยาขมยาเขียวไม่มีฤทธิ์ต่อไวรัส #โควิด ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือรักษา สรรพคุณของยาเขียวที่ถูกต้องคือแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นไข้ ปวดหัวตัวร้อน ถอนพิษไข้ หรือออกหัดอิสุกอีใส

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vqj2sr4vg4p2


จริงหรือไม่…? ยาสีฟันสามารถรักษาสิวได้

ไม่จริง

เพราะ…แม้ว่าจะมีส่วนผสมบางชนิดเป็นชนิดเดียวกับที่อยู่ในยารักษาสิว แต่เนื่องจากมีความเข้มข้นไม่มากพอ จึงไม่สามารถรักษาสิวได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nzn6tipmgren


จริงหรือไม่…? ทาปิโตรเลียมเจลลี่ในรูจมูก ช่วยป้องกันและดักจับฝุ่น PM 2.5 ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ ควรใส่หน้ากากอนามัย ที่สามารถกรองได้อย่างน้อย 95% ขึ้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wn00ikdx2mon


จริงหรือไม่…? กงเต๊กวัคซีน รับตรุษจีน สะท้อนปัญหาโควิด

จริง

เพราะ…ร้านขายเครื่องกระดาษไว้เจ้า บอก ปีนี้ยุคโควิด-19 กงเต็ก ชุด วัคซีนโควิด-19 และ ชุดตรวจ ATK ขายดีมาก จนบางร้านขาดตลาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g5ivhd7bxd35


จริงหรือไม่…? อาคเนย์ประกันภัย เลิกกิจการแล้ว

จริง

เพราะ…อยู่ในขั้นตอนเสนอเรื่องการพิจารณาที่ประชุมคกก.สนง.คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย #คปภ วันที่ 28 มค. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/h4aq1ci8a1xp


จริงหรือไม่…? น้ำมันปาล์มแพง ขวด 1 ลิตรใกล้ทะลุ 70 บาท จังหวัดห่างไกลราคายิ่งสูง

จริง

เพราะ…ผลปาล์มมีน้อยและอยู่ในช่วงปลายฤดู ราคาจึงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับมีการ “ส่งออกน้ำมันปาล์ม” มากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25bj1v6xuupgt


จริงหรือไม่…? การดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงทำให้เกิดฟันผุ

จริง

เพราะ…มีกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก ซึ่งสารดังกล่าวจะกีดขวางการดูดซึมแคลเซียมของกระดูก รวมทั้งมีน้ำตาล กับ น้ำ หากไม่มีการทำความสะอาดช่องปากและฟัน จะก่อให้เกิดฟันผุได้ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6ljlrnk9vaqz


จริงหรือไม่…? การดื่มน้ำมะพร้าว มีผลทำให้ขนาดหน้าอกขยายเพิ่ม

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…‘เอสโตรเจน’มีในน้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงจากธรรมชาติที่มีหน้าที่ทำให้ร่างกายพัฒนาเจริญเติบโตพร้อมแสดงลักษณะเด่นของเพศหญิงจึงช่วยทำให้หน้าอกของผู้หญิงมีขนาดขยาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dgq35dzh2yod


จริงหรือไม่…? การฉีดวัคซีนต้านโรค “โควิด-19” เข็มกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…การฉีดเข็มกระตุ้นทุก ๆ 4 เดือน จะส่งผลกระทบข้างเคียงในทางลบ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักเกินไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/307f8qq7x7ee6


ตรวจสอบภาพเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในตองกา COFACT Special Report #14

English Summary:

Volcanic eruption in Tonga last week was one of the strongest eruptions in years. It created a massive tsunami, affected many coastal areas in the US and Latin America. However, there have been a lot of misinformation related to this incident, including old photos and videos from previous eruptions in Europe and the Caribbean. Some contents can be spotted easily if you listen to the language they spoke in the videos, or can be debunked easily using a reverse image search platform.

ตรวจสอบภาพเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในตองกา

เหตุภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดในตองกาเป็นภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก แรงระเบิดส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิในรัศมีหลายพันกิโลเมตร แม้แต่ประเทศแถบซีกโลกเหนืออย่างสหรัฐฯ ยังรับรู้ถึงความรุนแรงของแรงระเบิด และได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกโซเชียล และสื่อหลายแห่งเผยแพร่ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในตองกา แต่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความเสียหายต่อระบบสื่อสารในตองกา ทำให้เกิดภาพข่าวลวง ข่าวหลอก และมีการนำภาพเหตุการณ์เก่ามาแชร์ซ้ำกันอย่างแพร่หลาย

1. ภาพชาวตองกาถ่ายขณะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ: ไม่จริง

ผู้ใช้งานทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสคลิปวีดีโอชาวบ้านกำลังถูกน้ำซัดจากเหตุภัยธรรมชาติ ในคำอธิบายคลิประบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตองกาวันที่ 15 มกราคม ซึ่งตรงกับวันที่เกิดภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุพอดี ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวถูกแชร์ในโลกโซเชียลอย่างรวดเร็ว มีสื่อกระแสหลักในต่างประเทศบางเจ้านำภาพเหตุการณ์นี้ไปนำเสนอข่าว แต่ความเป็นจริงแล้วคลิปดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในตองกา สำนักข่าวเอเอฟพีตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมและดินถล่มในอินโดนีเซีย สังเกตได้จากภาษาที่บุคคลในคลิปพูดคุยกัน เป็นภาษาอินโดนีเซีย และจุดที่เกิดเหตุอยู่บริเวณแม่น้ำกำปาบนเกาะสุมาตรา ชมคลิปเหตุการณ์จริงที่​: https://www.youtube.com/watch?v=_ncwGCCgTIA

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบข่าวนี้ที่​: https://factcheck.afp.com/http%253A%252F%252Fdoc.afp.com%252F9WB9NG-1 

2. ภาพการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเลระยะประชิด: ไม่จริง

ในโลกโซเชียลมีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งเผยแพร่ภาพคลิปวีดีโอภูเขาไฟระเบิดในระยะประชั้นชิด ในคำอธิบายคลิประบุว่าเป็นภาพภูเขาไฟในตองกาที่กำลังระเบิด พร้อมกับมีคลื่นยักษ์สึนามิที่กำลังเริ่มก่อตัว คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปบนทวิตเตอร์ เหว่ยโป๋ (เว็บไซต์สื่อโซเชียลในจีน) และติ๊กตอก มีผู้เข้ามากดไลค์หลายหมื่นคน

สำนักข่าวเอเอฟพี ตรวจสอบภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยวิธีค้นหาภาพย้อนกลับ (Reverse Image Search) พบคลิปเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2019 เป็นภาพเหตุการณ์ภูเขาไฟสตรอมโบลีในอิตาลีระเบิด ไม่ใช่ภูเขาไฟในตองการะเบิดแต่อย่างใด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://factcheck.afp.com/http%253A%252F%252Fdoc.afp.com%252F9WE2HL-1 

3. ภาพปลาตายเกลื่อนหาด: ไม่จริง

ในเพจเฟซบุ๊ก YTS News มีการแชร์ภาพปลาและปูจำนวนมากตายเกลื่อนหาด ในคำอธิบายภาพระบุเป็นภาพจากตองกา ปลาและสัตว์ทะเลจำนวนมากลอยมากับคลื่นยักษ์สึนามิ โพสดังกล่าวถูกแชร์บนเฟซบุ๊กถึงหลายพันครั้ง

จากการตรวจสอบภาพแบบย้อนกลับบนกูเกิลของสำนักข่าวเอเอฟพี พบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพเดียวกันกับรายงานข่าวในออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2015 โดยภาพแรกที่เป็นภาพปลาตายเกลื่อนหาดเป็นภาพที่เกิดขึ้นบนหาดบุดดีนาในรัฐควีนส์แลนด์ ในเนื้อหาข่าวระบุผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่สามารถระบุถึงสาเหตุที่ปลาจำนวนมากลอยขึ้นมาบนผิวหาด

ภาพที่สองเป็นภาพจากรายงานข่าวในอุรุกวัยเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2015 เป็นภาพปลาลอยขึ้นมาบริเวณหาดในเมืองมอนเตวิเดโอ ในเนื้อหาข่าวระบุปลาจำนวนหลายหมื่นตัวลอยขึ้นมาบนหาดเนื่องจากเป็นช่วงน้ำลง ปริมาณออกซิเจนในน้ำต่ำผิดปกติ ทำให้ปลาจำนวนมากปรับตัวไม่ทันและลอยขึ้นมาบริเวณริมหาด

ภาพที่สามเป็นภาพปูจำนวนมากที่ถ่ายโดยเจ้าของเฟซบุ๊กชื่อ Aisea Kai’tu เป็นภาพปูจำนวนมากขึ้นมาวางไข่บนชายหาดบนเกาะเกาในฟิจิ เขาบอกว่าเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติปกติอยู่แล้ว เพราะพวกมันมักจะขึ้นมาบนชายหาดแบบนี้เป็นประจำปีละสองครั้ง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.9WK9MV 

4. ภาพความเสียหายจากเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุ: ไม่จริง

ปกติแล้วเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดหลายครั้ง เราจะเห็นภาพเถ้าภูเขาไฟปกคลุมบ้านเรือนเป็นเรื่องปกติ และภาพเหล่านี้มักจะเป็นภาพที่ตรวจสอบได้ยาก เช่นภาพที่ถูกแชร์บนโลกโซเชียลสามภาพต่อไปนี้ 

ในภาพแรก เว็บไซต์ Boom และสำนักข่าวเอเอฟพีตรวจสอบพบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังเหตุภูเขาไฟระเบิดในกัวเตมาลา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2018 ภาพต้นฉบับถ่ายโดยสำนักข่าวเอพี ในเนื้อหาข่าวระบุว่าเป็นภาพถ่ายมุมสูงจากเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่สามารถลงไปให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ เนื่องจากสภาพถนนยังปกคลุมด้วยขี้เถ้าภูเขาไฟจำนวนมาก

ภาพที่สองเป็นภาพจากรายงานของสำนักข่าวสกายนิวส์ (Sky News) ของอังกฤษ เป็นภาพโดรนมุมสูงที่ถ่ายหลังเหตุภูเขาไฟระเบิดในเซนต์วินเซนต์ ประเทศเกาะที่อยู่กลางทะเลแคริบเบียนเมื่อเดือนเมษายน 2021 นอกจากนี้ในคลิปยูทูบขององค์การสหประชาชาติยังมีภาพมุมสูงที่ถ่ายจากพื้นที่เดียวกันอีกด้วย

ภาพที่สามเป็นภาพความเสียหายจากขี้เถ้าภูเขาไฟในวานูอาตู ภาพต้นฉบับเผยแพร่โดยผู้ใช้เฟสบุ๊ก Wilfred Woodrow เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2018 และเผยแพร่บนเว็บไซต์ข่าว Express ในอังกฤษ 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://www.boomlive.in/world/tonga-tsunami-volcanic-eruption-guatemala-fake-news-fact-check-16450


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? การรับประทานของมันมากๆ และการดื่มชาร้อนจะสามารถช่วยขับไขมัน

ไม่จริง

เพราะ…กระบวนการของร่างกาย จะมีการย่อย ดูดซึม และขับไขมันออกเอง แม้จะดื่มชาร้อนร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมเอง ไม่ได้ช่วยล้างไขมันในร่างกาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3olbxjb3u6l46


จริงหรือไม่…? กรมธรรม์ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ ยังสามารถเคลมประกันภัยได้

จริง

เพราะ…คปภ.ยืนยันกรมธรรม์ประกันภัยโควิดฯ ยังให้ความคุ้มครองปกติสามารถเคลมประกันภัยกับบริษัทประกันภัยได้ เตรียมเรียก 14 บริษัทประกันภัยทำความเข้าใจ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32hush8ud5r29


จริงหรือไม่…? “โรคตุ่มน้ำพองใส” อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

จริง

เพราะ…อาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดร่วมกันหรือเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากวัคซีนต้าน #โควิด19 ได้ พบไม่มาก ไม่ใช่โรคติดต่อและสามารถรักษาให้หายได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1x6ak2qb5c1g2


จริงหรือไม่…? อังกฤษลองแนวทางใหม่ เตรียมยกเลิกมาตรการคุมโควิดทั้งหมด

จริง

เพราะ…นายกฯ ประกาศ อังกฤษจะยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทั้งหมด รวมถึงการบังคับสวมหน้ากาก การทำงานจากบ้าน และการใช้บัตรรับรองการฉีดวัคซีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23ogk3732gi0h


จริงหรือไม่…? คลอรีนไม่ได้ทำให้ขาว และยังเป็นอันตรายต่อผิว

จริง

เพราะ…ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงต่อผิวหนังและเยื่อบุไหม้ เป็นเนื้อตาย ดวงตา จมูก หรือระบบทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคืองได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ngfxe1l9qzk9


จริงหรือไม่…? อาการคล้ายผีเข้า ควบคุมตัวเองไม่ได้ อาจเป็นโรคสมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน

จริง

เพราะ…อาการคล้ายคลึงโรคทางจิตเวช อาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงละเลยการตรวจรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ควรเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1sz7zpu3x75nx


จริงหรือไม่…? การใส่หน้ากากอนามัย ส่งผลร้ายต่อการทำงานของสมองของเด็กต่ำกว่า 12 ปี

จริง

เพราะ…อาจจะขัดขวางพัฒนาการทางสังคมและการแสดงออกทางอารมณ์ในเด็กเล็ก การใส่หน้ากากจะทำให้รับออกซิเจนปกติได้รับน้อยลง ควรใส่เท่าที่จำเป็น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ova1ac0nxo2p


จริงหรือไม่…? “สสวท.” เปิดช่องสื่อออนไลน์ใช้ฟรี ระดับประถมถึงมัธยมปลายในช่วงโควิดเรียนออนไลน์ 

จริง

เพราะ…ใช้งานฟรีที่เว็บไซต์ http://proj14.ipst.ac.thยูทูป IPST Proj 14 หรือ เฟซบุ๊ค IPST Proj14 https://www.facebook.com/ipstproj14 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33zkd7z616yvu


จริงหรือไม่…? การดื่มเบียร์เพิ่มความเสี่ยงให้อ้วนลงพุงได้

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…มีแคลอรี่สูงและเพิ่มความเสี่ยงให้อ้วนลงพุงได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2909oaqvkr497


จริงหรือไม่…? อาการ พูดไม่ชัด พูดช้า พูดไม่ออก เป็นอาการของ SLE เริ่มลงสมอง..หรือโรคหลอดเลือดสมอง

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…เป็นอาการแสดงความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง ไม่ใช่อาการชี้บ่งโรคใดโรคหนึ่งที่จำเพาะ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5if0gluaeqxk

ที่มาของคำว่า “เฟคนิวส์” และทำไมเราถึงควรเลิกใช้คำนี้ COFACT Special Report #13

English Summary

For the past decade “Fake News” has been used to discredit journalists who expose corruptions and government’s scandals. Donald Trump often uses “Fake News” to discredit established news organizations, asking his supporters to watch conservative media outlets that spread misinformation about the election, which resulted in the January 6 insurrection. Fake News rhetoric is very popular in countries such as Russia, Myanmar, Venezuela, and Syria, where political leaders often use “Fake News” to attack journalists and democratic values. Many news organizations avoid using the term “Fake News” so they won’t be a part of political rhetoric, and replacing it with “Misinformation” or “Disinformation” to describe false or misleading information online or by people in power instead.

เฟคนิวส์ (Fake News) หรือ ข่าวปลอม เป็นคำที่ใช้เรียกข้อมูลลวง หรือข้อมูลบิดเบือนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ถึงแม้เราจะทราบกันดีว่าข้อมูลลวง หรือข้อมูลบิดเบือนนั้นมีมานานแล้ว แต่คำว่าเฟคนิวส์ถูกนำมาใช้ในสังคมไทยมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาตามกระแสของต่างประเทศ 

ข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และสังคมโลก การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และการสร้างข่าวสารเพื่อโน้มน้าว หรือจูงใจคนให้เชื่อในวาทกรรมของผู้มีอำนาจนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เฟคนิวส์ที่เราเข้าใจในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ที่เป็นกระแส ถูกแชร์กันเป็นจำนวนมาก มีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ถูกแชร์เพื่อสร้างความตื่นตระหนก ข้อมูลบางประเภทสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้รับสื่อมีความเชื่อด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง จนไม่ยอมรับข้อมูลอีกด้าน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันในสังคม เนื่องจากผู้ที่รับข้อมูลข่าวสารเหล่านี้จะอยู่ในกลุ่มของผู้ที่คิดเห็นเหมือนๆ กัน และจะเชื่อว่าสิ่งที่ตนคิดถูกต้อง อีกฝ่ายเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอันตรายต่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางประชาธิปไตย

เฟคนิวส์ ถูกใช้เป็นวาทกรรมทางการเมือง

เฟคนิวส์ เป็นวาทกรรมที่ถูกใช้มากในสหรัฐฯ ในช่วงสองปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งของอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ซึ่งเป็นช่วงที่ขั้วการเมืองต่างๆ แสดงจุดยืนของตนอย่างชัดเจน และใช้ข้อมูลลวงต่างๆ โจมตีคู่แข่ง โดยเฉพาะโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสังกัดพรรครีพับลิกันในช่วงนั้นมักจะนำข้อมูลลวงมาใช้โจมตีฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต และมีการใช้สื่อโซเชียล เช่นเฟสบุ๊ก ในการกระจายข้อมูลลวงเหล่านี้ จนทำให้เกิดกระแสการสร้างกลุ่มต่างๆ ทางการเมืองที่แชร์เฉพาะข้อมูลในฝั่งของตัวเอง และด้วยระบบอัลกอริทึมของเฟสบุ๊กที่มักจะเลือกข้อมูลที่ผู้ใช้งานชอบอ่านขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ยิ่งทำให้พวกเขาอยู่ในโลกของข้อมูลข่าวสารด้านเดียว หรือ Echo Chamber ของตนเองมากขึ้น โดยไม่ตั้งคำถามถึงข้อมูลที่ได้มาว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่

หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เขาได้ใช้วาทกรรม “เฟคนิวส์” ในการด้อยค่าการนำเสนอข่าวของสื่อในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสื่อที่มีการตรวจสอบการทำงานและปัญหาคอรัปชั่นในรัฐบาล มีการใช้คำพูดเช่น “สื่อเหล่านี้เป็นศัตรูกับประชาชน” ทำให้หลายครั้งสื่อบางสำนักที่ไม่ได้นำเสนอข่าวสนับสนุนทรัมป์ถูกเป็นเป้าโจมตีของผู้สนับสนุนทรัมป์ และมักจะถูกคุกคามขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บ่อยครั้ง 

เมื่อคำว่า เฟคนิวส์ ถูกใช้เพื่อด้อยค่าสื่อและสร้างความแตกแยก ผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนมากจึงเลือกที่จะบริโภคสื่อที่อยู่ฝั่งทางการเมืองที่ตนสนับสนุน และเชื่อคำพูดของทรัมป์และนักการเมืองฝ่ายขวาซึ่งชวนให้ประชาชนมาชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาสหรัฐฯ ลงคะแนนรับรองผลการเลือกตั้งให้โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งทรัมป์และพวกใช้วาทกรรมเฟคนิวส์ และการไม่รับซึ่งผลการเลือกตั้งเพื่อเป็นเหตุผลให้เกิดการก่อจลาจล ส่งผลให้มีตำรวจและผู้ชุมนุมเสียชีวิต 9 ราย

รัฐบาลหลายประเทศ ใช้วาทกรรมเฟคนิวส์ โจมตีการตรวจสอบของสื่อ

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว รัฐบาลและผู้มีอำนาจในหลายประเทศก็ใช้วาทกรรมเฟคนิวส์ในการโจมตีการทำงานของสื่อเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่ไม่ได้ปกครองในระบบประชาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอ เช่น ซีเรีย, เวเนซูเอลา, รัสเซีย และเมียนมา ตามรายงานของเว็บไซต์ uua.org ระบุว่า ในประเทศเหล่านี้ เมื่อสื่อมีการรายงานข่าวเรื่องคอรัปชั่น หรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผู้นำของประเทศก็จะออกมาโจมตีการทำงานของสื่อ และใส่ร้ายว่าพวกเขาเป็นเฟคนิวส์อยู่เสมอ

ไม่ใช่แค่ประเทศกลุ่มนี้ที่สื่อต้องทำงานภายใต้การถูกกล่าวหาว่าเป็นเฟคนิวส์ ประเทศประชาธิปไตยอย่างออสเตรเลียก็พบนักการเมืองที่โจมตีการทำงานของสื่อด้วยการใช้คำว่าเฟคนิวส์เช่นกัน ในรายงานของเว็บไซต์ theconversation.com พบว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝั่งอนุรักษ์นิยมมักจะใช้คำว่าเฟคนิวส์โจมตีการทำงานของสื่อบ่อยครั้ง สอดคล้องกับในหลายๆ ประเทศที่พบว่านักการเมืองฝั่งอนุรักษ์นิยมมักจะใช้วาทกรรมเฟคนิวส์ด้อยค่าสื่อ โดยเฉพาะเมื่อสื่อมีการตรวจสอบการทำงานหรือขุดคุ้ยประเด็นเกี่ยวกับคอรัปชั่นของพวกเขา

ถ้าไม่ใช้คำว่า “เฟคนิวส์” เราควรใช้คำว่าอะไร?

สำนักข่าวขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก เริ่มแบนและเลิกใช้คำว่า “เฟคนิวส์” หลังจากคำคำนี้ถูกใช้เป็นวาทกรรมทางการเมืองโจมตีผู้เห็นต่าง โดยเปลี่ยนเป็นคำว่า “ข่าวลวง” (Misinformation) หรือ “ข่าวหลอก” (Disinformation) เนื่องจากสองคำนี้มีความหมายตรงตัวมากกว่า ข่าวลวง หมายถึงข่าวสารที่นำเสนอความจริงบางส่วน ไม่ได้นำเสนอความจริงรอบด้าน หรือนำเสนอเฉพาะฝั่งที่ตนต้องการเพื่อผลประโยชน์ ส่วน ข่าวหลอก หมายถึงข่าวสารที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง 

อย่างไรก็ตามเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า คำว่า เฟคนิวส์ หรือ ข่าวปลอม ถูกใช้อย่างแพร่หลายจนหลายคนติดปากและเคยชิน และอาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะไม่ให้คนในสังคมเลิกใช้คำนี้โดยทันที แต่ถ้าเราศึกษาผลเสียและวาทกรรมการใช้เฟคนิวส์แล้วจะพบว่า ผู้ที่ใช้วาทกรรมนี้ล้วนหวังผลในการด้อยค่าการทำงานของสื่อมวลชนที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เพื่อประโยชน์ต่อสังคม หากสื่อเป็นผู้นำเสนอข้อมูลผิดพลาดจริง เราควรใช้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้อง มากกว่าการโจมตีหรือให้ร้ายด้วยการใช้คำว่า เฟคนิวส์ 


 ที่มา: https://www.nytimes.com/2017/01/11/upshot/the-real-story-about-fake-news-is-partisanship.html

https://www.nytimes.com/2022/01/05/us/politics/jan-6-capitol-deaths.html

https://www.bbc.co.uk/bitesize/articles/zwcgn9q

https://www.uua.org/international/blog/freedom-press-fake-news-disinformation

https://theconversation.com/the-real-news-on-fake-news-politicians-use-it-to-discredit-media-and-journalists-need-to-fight-back-123907


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

บทสรุปและข้อเสนอแนะ โครงการ ‘FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic’

‘FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic’
บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรมการแข่งขันระดมสมอง “หักล้างมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” “FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และเป็นความร่วมมือกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มูลนิธิสภาการหนังสือพิมพ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย (Fnf Thailand) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) นับตั้งแต่วันแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรมในวันที่ 22 ก.ย. 2564 ถึงการมอบรางวัลในวันที่ 24 พ.ย. 2564

งานนี้นอกจากจะเป็นการประชันไอเดียของคนรุ่นใหม่ระดับมหาวิทยาลัย ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ปัญหาข่าวลวงที่มากมายในโลกออนไลน์แล้ว ยังมีการระดมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการหา “ความจริงร่วม” ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมของผู้ที่มีความเห็นต่างได้อย่างปกติสุข เกิดเป็นบทสรุปของโครงการ ดังนี้

1) ทวงถามความรับผิดชอบกับผู้ผลิตและส่งต่อข่าวลวง : มีข้อเสนอแนะให้มีวิธีการป้องกันและแก้ไขข้อความ
ผู้ผลิตและผู้ส่งต่อข่าวลวง ที่จะช่วยลดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นลงได้

2) ให้ความสำคัญกับทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” : การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ไม่ใช่วิชาที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคดิจิทัล แต่ถูกพูดถึงเรื่องนี้นับตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของสื่อมวลชนยุคอนาล็อก (วิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์) เช่น กลยุทธ์หรือเทคนิคที่ใช้ผลิตเนื้อหาผ่านสื่อแต่ละประเภทใช้ส่งสารถึงปัจเจกชนหรือกลุ่มคนซึ่งเป็นผู้รับสาร บทบาทของสื่อต่อการสร้างกระแสค่านิยมหรือวัฒนธรรมต่างๆ ในสังคม เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล การผลิตและส่งต่อข้อมูลข่าวสารเพิ่มมากขึ้นทั้งกว้างขวางและรวดเร็ว การรู้เท่าทันสื่อจึงยิ่งมีความสำคัญเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือน

ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook , Twitter , Instagram , Line ฯลฯ ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างไร และผู้ผลิตเนื้อหา (Content) ใช้วิธีการอย่างไรในการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้รับสาร ซึ่งจะซับซ้อนกว่าสื่อดั้งเดิม เช่น แพลตฟอร์มบางชนิดสามารถใช้วิธีการบางอย่างเพื่อให้สาร (ข้อความ ภาพ คลิปวีดีโอ คลิปเสียง) ถูกมองเห็นอย่างกว้างขวางและในความถี่ต่อเนื่อง หรือมีสถิติการส่งต่อจำนวนมาก ผู้ที่ไม่รู้เท่าทันวิธีการเหล่านี้อาจเชื่อไปก่อนแล้วว่าเป็นเรื่องจริงโดยไม่ได้ตรวจสอบ

3) ลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล : แม้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะถูกมองว่าเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) จึงใช้งานได้คล่องกว่าคนวัยอื่นๆ ที่อาจจะเพิ่งรู้จักเทคโนโลยีดิจิทัลในวัยกลางคนหรือวัยเกษียณ แต่ในความเป็นจริงก็ยังพบช่องว่าง กล่าวคือ เด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่ไม่มีทุนทรัพย์จัดหาเครื่องมือเชื่อมต่อ (Device) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และ/หรือเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้านดิจิทัล อาทิ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่สัญญาณมีความเสถียร ย่อมมีข้อจำกัดในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลเมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่มีความพร้อม

4) สนับสนุนบทบาทขององค์กรที่ทำงานต่อต้านข่าวลวงที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถนำข้อมูลไปถึงผู้คนได้ง่าย : ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการต่อสู้กับปัญหาข่าวลวง ทั้งภาครัฐที่มีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ภาคสื่อมวลชนที่มีศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ของ อสมท. และภาควิชาการ-ประชาชน ที่รวมตัวกันในนามโคแฟค ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนให้องค์กรเหล่านี้ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วแล้ว ควรพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่เมื่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตไปพบข้อมูลบางอย่างแล้วสงสัย สามารถส่งไปประมวลผลกับระบบขององค์กรข้างต้นได้ทันทีว่าเคยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วหรือยัง (ข่าวลวงหลายข่าวมักมีลักษณะ “แชร์วนซ้ำ” บางเรื่องพิสูจน์กันไปแล้วหลายปีว่าไม่จริงแต่ก็ยังมีการส่งต่อวนกลับมาอีก)

5) ขยายแนวร่วมตรวจสอบข่าวลวงสู่ระดับท้องถิ่น : ในความเป็นจริงที่การสื่อสารรวดเร็ว ข้อมูลถูกผลิตและส่งต่ออย่างมหาศาล ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนจึงมีความหลากหลายซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นกระแสมากพอที่องค์กรจากส่วนกลางจะมองเห็นและเข้าไปตรวจสอบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างแนวร่วมในระดับชุมชน ซึ่งอาจเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น หรือแกนนำชุมชน (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ฯลฯ) โดยให้ผู้ที่สนใจประเด็นข่วงลวงมาฝึกฝนทักษะการตรวจสอบ รวมถึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะว่าจะส่งเสริมเรื่องนี้ในระดับท้องถิ่นของตนเองอย่างไร เพราะแต่ละพื้นที่นั้นมีบริบททางสังคมไม่เหมือนกัน

6) สร้างวัฒนธรรม “ตั้งคำถาม” และ “ยอมรับความเปลี่ยนแปลง” : ได้รับข้อมูลอะไรมาอย่าเพิ่งเชื่อในทันที แต่ต้องสงสัยไว้ก่อนซึ่งจะนำไปสู่การสืบค้นข้อเท็จจริง อีกทั้งเข้าใจว่าข้อมูลต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้หากมีข้อเท็จจริงใหม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนความคิดตามข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าละอาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเป็นสังคมที่คุ้นชินกับการเชื่อตามๆ กันมา ไม่ว่าเชื่อในวัยวุฒิ (อาวุโสกว่า อายุมากกว่า) หรือคุณวุฒิ (การศึกษาสูงกว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่า) ดังนั้นต้องเริ่มจากระบบการศึกษาที่นักเรียนต้องสามารถตั้งคำถามกับตำราหรือสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนได้ แต่ประเด็นนี้ก็มีความท้าทายที่ต้องไปเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน รวมถึงการฝึกอบรมครูในมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์

7) เปิดพื้นที่ให้ “ผู้เห็นต่าง” ได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความเข้าใจและหาจุดร่วมของแต่ละฝ่าย : เนื่องจากเรื่องราวหนึ่งนั้นมีหลายมุม และแต่ละคนมักเลือกรับข้อมูลเพียงมุมใดมุมหนึ่งที่ตรงกับอารมณ์ความรู้สึก (อคติ-Bias) หรือความเชื่อของตนเองและไม่เปิดรับชุดข้อมูลที่แตกต่าง นานวันเข้าจึงทำให้เกิดความแตกแยกและขัดแย้ง ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะมีพื้นที่ให้ผู้เห็นต่างได้มาพูดคุยกันโดยไม่มีแรงกดดันจากสถานะที่แตกต่าง (เช่น วัย อำนาจ)

แม้ว่าแต่ละฝ่ายจะไม่ได้เห็นด้วยเหมือนกันหมดทุกเรื่อง แต่ “การเปิดใจรับฟังกันและกัน” ย่อมเปิดโอกาสนำไปสู่การแสวงหาและค้นพบแง่มุมที่แต่ละฝ่ายสามารถยอมรับร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม ข้อแสนอนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุผลเดียวกับเรื่องการสร้างวัฒนธรรมตั้งคำถาม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยคุ้นชินกับการยึดมั่นในวัยวุฒิหรือคุณวุฒิที่มีลำดับชั้นต่ำ-สูง อีกทั้งยังขาดการฝึกฝนทักษะการสื่อสารกับผู้ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ความคิดเห็นและแง่สถานะต่างๆ ทางกายภาพและทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งท้าทายที่ต้องฝึกทักษะเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้นในทุกช่วงวัย


ขอบคุณที่มา
https://www.presscouncil.or.th/7014

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? “เนื้อดิบ”  มีสรรพคุณเป็นยา ป้องกันและรักษา #โควิด19

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ยืนยัน และการรับประทานเนื้อดิบอาจมีผลทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/k0uo7sjukrs4


จริงหรือไม่…? ข้อมูลผู้ป่วยรพ. ศิริราชกว่า 39 ล้านคน รั่วไหล และถูกนำไปประกาศขายในอินเทอร์เน็ต 

ไม่จริง

เพราะ…คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่พบการรั่วไหลของข้อมูลในสังกัดแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1adohe7p85fab


จริงหรือไม่…? #เมล็ดฝรั่ง ทำให้เกิดไส้ติ่ง

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบสาเหตุหลักเกิดจากการอุดตันของไส้ติ่งเอง เมล็ดกะท้อนมีความเสี่ยงจะทำให้ลำไส้อุดตันมากกว่าฝรั่ง เพราะมีขนาดใหญ่

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/kzem545ykwqt


จริงหรือไม่…? พืชกระท่อมสามารถยับยั้งและทำลายเชื้อไวรัสโคโรน่าได้

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่ายังไม่มีกลไกงานวิจัยในการต้านไวรัส และยังไม่ได้มีคำอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน การกินใบกระท่อมมีผลระยะยาวทำให้เกิดการเสพติดได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/l4pq4h1cnl9u


จริงหรือไม่…? คนว่างงานหรือมองหารายได้เสริมสามารถเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อรับเงินแสน เงินสงเคราะห์ + เงินสนับสนุน รับเงิน 1,400 บ.และรับเงินทันทีหลังจากทำงานและลงทะเบียนเสร็จ

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการแอบอ้างกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยไม่ได้รับอนุญาต

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1w52v3d5ievlj


จริงหรือไม่…? กทม. ได้เพิ่มจุดฉีดวัคซีนทั่ว กทม. 101 จุด รับมือโควิด

จริง

เพราะ…ณ ศูนย์เยาวชนฯไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง/ รพ.สังกัด กทม. 11 แห่ง/ 20 โรงพยาบาลเครือข่ายความร่วมมือ และ 69 ศูนย์บริการสาธารณสุข ของ กทม. สามารถลงทะเบียนจองคิวผ่าน แอปฯ QueQ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/f7ygqg0pp9tz


จริงหรือไม่…? ไวรัสโคโรนาเสียสมรรถนะการติดเชื้อมนุษย์ 90% หมดภายใน 20 นาทีที่ออกมาลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งอัตราการสูญเสียส่วนใหญ่ภายใน 5 นาทีแรก

จริง

เพราะ…เว็บ medRxiv ชี้ให้เห็นว่า หากหากสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างจากบุคคลอื่น โอกาสในการติดเชื้อก็จะน้อยลง 

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3w14bb4p8b8mf


จริงหรือไม่…? กทม.- หลายจังหวัด จับผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย ภายในรถ

จริง

เพราะ…เพื่อให้ประชาชนเคร่งครัดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด19

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/29vipnp3wy2dc


จริงหรือไม่…? โควิดโอมิครอน ติดเชื้อและเพิ่มจำนวนในเซลล์ทางเดินหายใจ ทำให้แพร่กระจายได้ง่าย

จริง

เพราะ…แพร่เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาประมาณ 70 เท่า แต่ที่เซลล์เนื้อปอดกลับเพิ่มจำนวนได้ช้ากว่า เป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมสายพันธุ์โอมิครอนถึงแพร่เร็ว เพราะมันชุกชุมในทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งแพร่กระจายไปยังผู้คนรอบข้างได้ง่าย แต่ไม่ค่อยมีอันตรายอะไรมาก

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/20wwfx70jlcba


จริงหรือไม่…? วัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดวันเดียวกับวัคซีนโควิด 19 ได้

จริง

เพราะ…เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยลง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/22lf1rily4mwz


จริงหรือไม่…? มีโรคระบาด “อหิวาต์แอฟริกันหมู ASF “ ในประเทศไทย

จริง

เพราะ…กรมปศุสัตว์ยอมรับ ตรวจพบโรคระบาดร้ายแรง ที่นครปฐม เมื่อปี 2561 ต่อมา ครม.มีมติเป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 พร้อมประกาศเขตโรคระบาด-แจ้งองค์การโรคระบาดสัตว์ #OIE

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/17sas038qzpbk


จริงหรือไม่…? การหาวบ่อย อาจเป็นสัญญาณของโรคอันตราย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…อาจเกี่ยวข้องโรคหรือภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคลมชัก ตับวาย ฯลฯ หากหาวบ่อยผิดปกติควรได้รับการตรวจจากแพทย์

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1t7r5p0tgln0r


จริงหรือไม่…? การดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี ก่อให้เกิดสมองเสื่อมได้

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…น้ำไม่เพียงพอเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย ทำให้เลือดมีความข้นหนืดมากขึ้นทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้ เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3akjz74e4r07t

มาตรการรับมือกับโอมิครอนในต่างประเทศ Cofact Special Report #12

มาตรการรับมือกับโอมิครอนในต่างประเทศ

ปัจจุบันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดหนักและแทนที่สายพันธุ์เดลต้าแล้วในหลายประเทศ แต่ละประเทศมีมาตรการรับมือไวรัสสายพันธุ์นี้แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะคล้ายกันก็คือมาตรการที่ใช้กับโอมิครอนไม่เข้มงวดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์ดั้งเดิม เนื่องจากผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับระบุตรงกันว่าความรุนแรงของเชื้อโอมิครอนน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ บวกกับการฉีดวัคซีนและภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยครองเตียง และผู้ป่วยหนักน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า

ฝรั่งเศสผ่านร่างกฎหมาย Vaccine Pass เกือบทุกกิจการต้องตรวจปชช.ก่อนเข้าใช้บริการ

เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอนุมัติแผนการออกเอกสารอนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสสามารถเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ หรือ Vaccine Pass โดยบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจะต้องแสดงคิวอาร์โค้ดที่ระบุว่าตนได้รับการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสแล้ว ทั้งนี้ฝรั่งเศสยังไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ หรือปิดสถานประกอบการต่างๆ ถึงแม้จะมียอดผู้ติดเชื้อต่อวันถึงหลักแสนคน เนื่องจากรัฐบาลบอกว่าปัจจุบันอัตราครองเตียงของผู้ป่วยโควิดนั้นอยู่ราวๆ 50-60% ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน

โรงเรียนในสหราชอาณาจักรยังคงเปิดตามปกติ

รัฐบาลอังกฤษยังคงอนุญาตให้โรงเรียนในประเทศเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ตามปกติในภาคเรียนใหม่ โดยนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนทุกคนจะต้องมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบมาแสดงก่อนเข้าโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก อย่างไรก็ตามนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา อายุ 12 ปีขึ้นไปจะต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในพื้นที่โรงเรียนตลอดเวลา ถึงแม้จะมีผลตรวจโควิดเป็นลบ และฉีดวัคซีนครบจำนวนโดสแล้วก็ตาม 

สหราชอาณาจักรกำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนครูที่สามารถเข้าสอนในโรงเรียนได้ นาดฮิม ซาฮาวี รัฐมาตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสหราชอาณาจักรระบุว่า ในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีครูลาป่วยเนื่องจากป่วยด้วยโควิด หรือมีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูงกว่า 8% และเขาคาดว่าในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนพอดี อาจจะมีจำนวนครูที่ลาป่วยมากกว่านี้

รัฐนิวเซาท์เวลส์สั่งปิดสถานบันเทิง สกัดโอมิครอน

ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐที่มีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย ซึ่งมีเมืองสำคัญอย่างนครซิดนีย์ สั่งปิดสถานบันเทิงชั่วคราวเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน พร้อมกับเพิ่มมาตรการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการร้านอาหาร และคาเฟ่ ห้ามมีการยืนดื่มสุรา หรือเต้น และห้ามมีการเล่นดนตรีสดในร้านอาหาร ส่วนห้างสรรพสินค้า ฟิตเนส และสถานประกอบการอื่นๆ ยังเปิดให้บริการได้ตามปกติ

ออสเตรเลียกำลังประสบกับปัญหาจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงถึง 35,000 ราย

สหรัฐฯ อนุมัติฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป

เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติให้ใช้วัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป โดย FDA กำหนดเกณฑ์ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 เดือน 

รอเชล วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ระบุว่า เด็กมีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของเชื้อ และยังมีส่วนช่วยให้การเรียนการสอนในโรงเรียนดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องกลับไปเรียนออนไลน์ที่บ้าน เนื่องจากมีผลการศึกษาชัดเจนว่าการเรียนในโรงเรียนส่งผลดีต่อพัฒนาการและทักษะการเข้าสังคมของเด็ก สุขภาพจิตของเด็กดีกว่า 

ขณะที่อดีตคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่บทความในเว็บไซต์วารสารทางการแพทย์ JAMA แนะนำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนแนวคิดใหม่เพื่อรับมือกับโควิด-19 เนื่องจากผลการศึกษาหลายแห่งระบุตรงกันว่า โควิด-19 กำลังจะเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้นรัฐบาลควรหันมาดูแลผู้ป่วยเสมือนผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง เร่งการฉีดวัคซีน และปรับมาพัฒนายารักษา พร้อมกับมีมาตรการให้ประชาชนเข้าถึงยา และอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัยคุณภาพสูงแบบ N95 และ KN95 และชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเองที่บ้าน (ATK) ได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่กับโควิด-19 ให้ได้

เกาหลีใต้ออกมาตรการห้ามผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเข้าห้างฯ-ซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ประชาชนสามารถรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ได้ไม่เกิน 4 คน และสถานประกอบการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพจะต้องปิดให้บริการภายในเวลา 22:00 นอกจากนี้รัฐบาลยังขยายขอบเขตประเภทกิจการที่ผู้เข้าใช้บริการต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนเข้าใช้บริการเพิ่มเติม ได้แก่ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้อนุมัติให้ใช้กับร้านอาหารแบบนั่งรับประทานในร้าน โรงภาพยนตร์ ฟิตเนสและสปามาแล้ว ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจะต้องแสดงหลักฐานดังกล่าว (วัคซีนพาส) ก่อนเข้าใช้บริการสถานที่เหล่านี้ ส่วนแผนการใช้วัคซีนพาสกับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปยังคงเลื่อนไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังมีเด็กอีกกว่า 30% ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว ทั้งนี้รัฐบาลจะขอเวลาใช้มาตรการนี้อีก 2 สัปดาห์เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าระบบสาธารณสุขยังสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยได้อยู่หรือไม่

สิงคโปร์ปรับกฎใหม่ ฉีดวัคซีนครบ ต้อง 3 เข็ม

เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประกาศให้ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องไปฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป โดยชาวสิงคโปร์ และผู้พักอาศัยจะต้องไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใน 9 เดือน เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลสิงคโปร์จะปรับเกณฑ์ใหม่ว่าผู้ฉีดวัคซีนครบโดสจะต้องฉีด 3 เข็ม (2 เข็มสำหรับผู้ที่เคยฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันมาก่อน) ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจะไม่นับว่าเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ และอาจถูกปฏิเสธการใช้บริการสถานที่ต่างๆ เช่นการนั่งรับประทานอาหารในร้าน หรือการใช้บริการโรงภาพยนตร์และฟิตเนส 

ลอเรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลยังคงไม่ใช้มาตรการเข้ม เช่นการล็อกดาวน์ เนื่องจากจะกระทบกับภาคเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม ปัจจุบันสิงคโปร์ใช้มาตรการตรวจหลักฐานการฉีดวัคซีนสำหรับผู้เข้าใช้บริการสถานประกอบการในร่ม เช่น ร้านอาหาร ฟิตเนส ห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ และจำกัดจำนวนโต๊ะและผู้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะในร้านอาหาร

ที่มา​:

https://thehill.com/policy/healthcare/588342-boosters-needed-to-be-considered-fully-vaccinated-in-singapore?rl=1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-05/singapore-says-boosters-needed-to-be-considered-fully-vaccinated

uhttps://edition.cnn.com/world/live-news/omicron-variant-coronavirus-news-01-06-22/index.html

https://www.reuters.com/world/europe/french-parliament-approves-latest-covid-vaccine-measures-2022-01-06/

https://www.bbc.com/news/uk-59886078

http://www.arirang.com/news/News_View.asp?nseq=290610

https://www.channelnewsasia.com/world/covid-19-australia-new-south-wales-most-populous-state-reinstate-some-curbs-2419846


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? มุสลิมไทยได้เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารอิสลามทุกคน สามารถกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้คืนได้

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการแอบอ้างใช้ภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของมุสลิมไทยโพสต์ ลูกค้าที่ขอสินเชื่อกับธนาคารอิสลามจะต้องชำระเงินต้น และกำไรตามสัญญา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/yo08j5vm0g7k


จริงหรือไม่…? คนท้องสามารถกินน้ำกระท่อมได้

ไม่จริง

เพราะ…จะมีผลกับเด็กในท้อง เพราะมีสารออกฤทธิ์บางตัวที่คล้ายกับการทำงานของ พวกฝิ่น มอร์ฟีน ทรามาดอล (เขียวเหลือง) ดังนั้น หากใช้ในสตรีมีครรภ์ จึงมีความเป็นไปได้ว่า จะมีผลกับเด็กในท้อง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/qk2lh6m881ft


จริงหรือไม่…? ทุกสถานศึกษา #เชียงใหม่  ชะลอการเรียนแบบปกติ On site ตั้งแต่ 4 – 9 มกราคม 2565

จริง

เพราะ…ออกคำสั่งโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นรูปแบบอื่นตามความเหมาะสมเพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1tadgo5o5mc1u


จริงหรือไม่…? โอมิครอนหรือโอไมครอนรุนแรงน้อยกว่าโควิดสายพันธุ์อื่น

จริง

เพราะ…งานวิจัยเผย ผู้ป่วย #โอมิครอน นำตัวส่งโรงพยาบาลน้อยลง 60% เทียบกับผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1tc00c1tb8w4r


จริงหรือไม่…? การรับประทานยาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิด ตาจะมีอาการกลายเป็นสีม่วงเรืองแสง

จริง

เพราะ…ยาประกอบไปด้วยสารเรืองแสง ยาเลยกระจายไปทั่วร่าง ทั้งผิว เส้นผม เล็บ ลูกตา บางคนจะเห็นชัดเลยว่าเรืองแสง บางคนก็มองด้วยตาเปล่าแล้วเห็นเป็นสีม่วงๆ ทั้งนี้ร่างกายจะกำจัดยาออกไปเอง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/14e3fpi015n4


จริงหรือไม่…? การกินแล้วนอนสามารถทำให้อ้วนได้ 

จริง

เพราะ…กินเสร็จแล้วนอนทันที ร่างกายแทบจะไม่มีการนำเอาพลังงานมาใช้ น้ำตาลที่ได้จากการกินอาหาร แทนที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานกลับต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันแทน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1yyhr3zcf3ggy


จริงหรือไม่…? ยื่นภาษี 64 เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ต้องเสียภาษี

จริง

เพราะ…สําหรับพ่อค้าแม่ค้า ที่เข้าร่วมโดย “รายได้จากการขาย” คือ ยอดขายปกติ และ “ยอดขายคนละครึ่ง” ถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2bmyu7htw087r


จริงหรือไม่…? ช้อปดีมีคืน ปี 2565 ซื้อสินค้า-บริการ ลดหย่อนภาษี ใช้ลดหย่อนได้สูงสุด 30000 บาท 

จริง

เพราะ…สำหรับผู้มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถใช้สิทธิได้ทุกคน ยกเว้นพวกห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลไม่ต้องลงทะเบียน โดยซื้อของที่มี vat หนังสือ otop เก็บใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ เพื่อลดหย่อนภาษีปีภาษี 2565 ยื่น 2566

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/pdvxffx2izko


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…?  ฉีดวัคซีนเสี่ยงติดโควิดมากกว่าคนมีภูมิธรรมชาติ 13 เท่า

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลจากผู้มีแนวคิดต่อต้านวัคซีนในสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลจากเวบยังไม่ผ่านการ Peer Review หรือประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ จึงไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงในงานปฏิบัติการทางคลินิกได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/19wndw8al1fv


จริงหรือไม่…? Moderna และ Johnson&Johnson ปกปิดข้อมูลในฉลากวัคซีน

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่า ไม่ใช่การจงใจปิดบังข้อมูล แต่เป็นความต้องการให้ผู้คนค้นหาข้อมูลของวัคซีนทางออนไลน์ เนื่องจากมีการอัพเดทข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์มากกว่า

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/7dbjehi6342y


จริงหรือไม่…? ธนาคารออมสิน เปิดสินเชื่อสู้ภัยไวรัส ไม่มีงานทำก็กู้ได้ วงเงิน 500,000 บาท

ไม่จริง

เพราะ…สินเชื่อดังกล่าวมีชื่อว่า สินเชื่อสวัสดิการสู้ภัยโควิด ไม่มีชื่อเรียกอื่น และเป็นสินเชื่อที่ให้บริการแก่ผู้ที่มีเงินเดือนมีรายได้ประจำเท่านั้น

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/x11vehlwznwn


จริงหรือไม่…?  สหภาพยุโรป มีมติยอมรับ Thailand Digital Health Plus บนหมอพร้อม เพื่อเข้าประเทศในสหภาพยุโรปกว่า

จริง

เพราะ…เริ่มใช้งานได้ภายใน ม.ค. 65 ใช้เดินทางเข้าประเทศกว่า 60 แห่ง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/356lom19vs8c3


จริงหรือไม่…? “ไวรัสนิปาห์” ไม่มีวัคซีน โอกาสตาย 70%

จริง

เพราะ…เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน จากการสัมผัสมูลสัตว์ และสารคัดหลั่งของพาหะนำโรค ยังไม่มียาต้านทานไวรัสนิปาห์ได้โดยตรง รวมไปถึงยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1idck1qcvhp1c


จริงหรือไม่…? ครม. มอบของขวัญให้ลูกจ้างแรงงาน เพิ่มเงินสงเคราะห์ลูกจ้างสูงสุด 100 เท่า

จริง

เพราะ…เพิ่มอัตราเงินสงเคราะห์จากกองทุนฯลูกจ้างสูงสุด 100 เท่า รวมทั้งสมทบผู้ประกันตน ม.40 นาน 6 เดือนและฟรีดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน สำหรับการกู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/ywoluir96edx


จริงหรือไม่…? ไขมันพอกตับ คือสิ่งที่คนไทยเป็นกันเยอะมาก ไม่ใช่เพียงเพราะแอลกอฮอล์ แต่การกินขนมเครื่องดื่มก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…การกินอาหารให้พลังงานสูง แอลกอฮอลล์ เป็นสาเหตุของไขมันพอกตับ แต่ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับเพศ ประเภท ปริมาณและระยะเวลาดื่มแอลกอฮอล์ และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆด้วย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3b9j0j5gd7x2

แนะนำเครื่องมือตรวจสอบข้อมูลลวงด้วยตนเอง Cofact Special Report #11

ทำความรู้จัก OSINT วิธีการสำคัญสำหรับตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวเท็จ

นิก วอเตอร์ส บรรณาธิการของ Bellingcat ลาออกจากกองทัพอังกฤษเมื่อปี 2015 เขาได้ทำงานกับกองทัพมาเป็นเวลา 4 ปี ด้วยความที่เขาสนใจประเด็นเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้เขาตัดสินใจศึกษาต่อปริญญาโทสาขาด้านความมั่นคงและความขัดแย้งที่ King’s College London

ระหว่างที่เขาเรียน เขาเกิดสนใจประเด็นที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวกรองแบบ Open Source หรือ OSINT หรือการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่เขาเขียนคือหัวข้อ power of OSINT for investigating disinformation during the Ukrainian conflict หรือพลังของ OSINT ในการสืบค้นข้อมูลลวงเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทระหว่างยูเครน บทความนี้ถูกตีพิมพ์ใน Bellingcat เว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสืบสวนสอบสวน ก่อนหน้านั้นเขายังได้เขียนบทความเกี่ยวกับสงครามในเยเมน ข้อพิพาทในซีเรีย และข้อมูลการจู่โจมด้วยโดรนของประเทศต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลประเภท OSINT อีกด้วย

วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ OSINT ได้รับความนิยมมากในยุคสื่อสังคมออนไลน์ การเข้าถึงเซิร์จเอนจิ้น และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลบนโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยให้นักข่าว นักวิจัย หรือแม้แต่หน่วยงานความมั่นคงใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสืบสวนคดียากๆ 

Bellingcat ก่อตั้งโดย เอเลียต ฮิกกินส์ นักข่าวในเมืองเลเชสเตอร์ของอังกฤษ สำนักข่าวนี้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการค้นหาข้อมูลแบบ OSINT ในช่วงเริ่มแรกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ในสงครามซีเรีย ต่อมาพวกเขาได้รับความสนใจจากการนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวนกรณีเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2014 ปัจจุบันพวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกที่ใช้วิธีแบบ OSINT และฝึกอบรมผู้ที่สนใจในการทำข่าวด้วยวิธีนี้

วอเตอร์สบอกกับ First Draft ถึงทักษะ เครื่องมือ และความสามารถที่จำเป็นในการสืบสวนสอบสวนข้อมูลแบบโอเพนซอร์ส และนี่คือประเด็นสำคัญที่เขาได้สรุป

  1. ความคล่องแคล่วในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูล

การยืนยันความถูกต้องของรูปภาพและวีดีโอที่เราพบบนสื่อโซเชียลเป็นสิ่งสำคัญของกระบวนการ OSINT โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลบนโลกออนไลน์มีจำนวนมาก การยืนยันข้อมูลด้วยวิธี OSINT จึงสำคัญกับนักข่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นทักษะที่จะช่วยให้พวกเขาวิเคราะห์ที่มาของภาพได้

ปกติแล้วเรามักจะเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆ บันทึกภาพของพวกเขาแล้วโพสลงสื่อโซเชียลเช่นทวิตเตอร์ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะถูกเผยแพร่ผ่านทางสื่อกระแสหลัก ถึงแม้ข้อมูลเหล่านี้จะสำคัญต่อการนำเสนอข่าว แต่หลายครั้งภาพเหล่านี้ก็มักนำเสนอความจริงบางส่วน หรืออาจจะเป็นภาพเท็จก็ได้

ดังนั้นเราควรตั้งคำถามกับทุกเนื้อหา ภาพถ่าย และวีดีโอที่เราเห็นบนสื่อโซเชียล และตรวจสอบว่าผู้ที่โพสเป็นใคร เพราะอะไรเขาหรือเธอจึงโพสเนื้อหาเหล่านั้น เหมือนกับที่วอเตอร์สย้ำเสมอว่า “การวิเคราะห์ที่มาของข้อมูลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการ OSINT”

  1. ทักษะด้านการค้นหาขั้นสูง

นอกจากการเข้าใจว่าเราจะหาข้อมูลโอเพนซอร์ชจากไหนได้แล้ว การมีทักษะการใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลเหล่านั้นด้วยความเข้าใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ทวิตเตอร์และกูเกิลมีเครื่องมือที่เคล็ดลับและเครื่องมือค้นหาขั้นสูงที่ช่วยให้เราปลดล็อกข้อมูลสำคัญเหล่านี้ได้

การค้นหาขั้นสูงผ่านทวิตเตอร์ (Twitter’s advanced search) สามารถช่วยให้เราค้นหาทวีตที่มีข้อความ สถานที่ วัน เวลา ภาษา ประเภทชื่อบัญชี หรือแม้แต่แฮชแทคที่เราสนใจได้ (เมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊กได้ยุติการให้บริการฟังค์ชั่นค้นหาแบบละเอียด เช่นการใช้คีย์เวิร์ด สถานที่ หรือช่วงเวลาของโพสต่างๆ)

ขณะที่กูเกิลเองก็มีคำสั่งการค้นหาพิเศษ ที่จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลได้ละเอียดมากกว่าการค้นหาแบบปกติ วอเตอร์สบอกว่า “กูเกิลเป็นเครื่องมือค้นหาที่มีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด แต่หลายครั้งที่ผู้ใช้งานมักจะใช้เพียงฟังค์ชั่นพื้นฐานของมัน”

  1. แนวคิดแบบนักสืบ

การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบค้นข้อมูล OSINT ที่ดี คนคนนั้นจะต้องมีแนวคิดแบบนักสืบ วอเตอร์สบอกว่า “เขาจะไม่ตัดสินข้อมูลเพียงแค่การใช้เครื่องมือแค่หนึ่งหรือสองอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรา (นักวิจัยด้าน OSINT) สนุกกับการทำงานร่วมกันก็คือความรักในการแก้ปริศนาต่างๆ”

เขาบอกด้วยว่า การเข้าใจความรู้สึกและการกระทำของคนในเหตุการณ์สำคัญๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เราควรเรียนรู้พฤติกรรมของพวกเขาและนำมาใช้ในการสืบหาข้อมูล

วอเตอร์สบอกว่า “เครื่องมือต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือหลักการ และแนวคิดแบบสืบสวนสอบสวน รวมถึงการมองหาวิธีการที่หลากหลายในการสืบค้นหาความจริง”

  1. เข้าใจความเป็นจริงของเหตุการณ์ด้วยเครื่องมือตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ

หัวใจสำคัญของการวิจัยเรื่อง OSINT ของวอเตอร์ส คือการเข้าใจว่าภาพถ่าย หรือคลิปวีดีโอต่างๆ นั้นถ่ายจากสถานที่ใด 

เขาจะใช้เครื่องมือตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่าง Google Maps, Google Earth และการค้นหาภาพแบบย้อนกลับ (Reverse Image Search) จากเซิร์จเอนจิ้นของรัสเซีย Yandex และเว็บค้นหาภาพ RevEye ประกอบการยืนยันสถานที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้เขายังใช้เครื่องมือยืนยันสภาพอากาศ เช่น SunCalc และ ShadowCalculator เพื่อยืนยันว่าเวลาที่เกิดเหตุตรงกับภาพที่โพสหรือไม่

วอเตอร์สใช้วิธีการวาดเส้นเพื่อเปรียบเทียบจุดสองจุดในภาพถ่ายดาวเทียมว่าตรงกับจุดที่ผู้โพสภาพถ่ายหรือไม่ (ภาพจาก: Nick Waters/Twitter)

แต่การรู้จักวิธีใช้เครื่องมือการค้นหาพิกัดที่ตั้งต่างๆ อาจจะไม่เพียงพอเสมอไป

วอเตอร์สบอกว่า “หลายครั้งที่คนเรามักจะตัดสินทันทีว่าภาพที่ถ่ายเกิดในสถานที่ที่มีการกล่าวอ้างจริง การรู้จักภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในพื้นที่นั้นๆ หรือการเข้าใจวัฒนธรรมของภูมิภาคที่เกิดเหตุจะช่วยให้เรายืนยันสถานที่เกิดเหตุได้ง่ายขึ้น”

ซาเมีย ฮาร์บ (@obretix บนทวิตเตอร์) ผู้เชี่ยวชาญด้านพิกัดภูมิศาสตร์บอกว่า เขาได้นำเทคนิคการยืนยันสถานที่เกิดเหตุจากวอเตอร์สไปใช้ยืนยันสถานที่เกิดเหตุข้อพิพาทในซีเรีย

วอเตอร์สบอกว่า ฮาร์บมีความสามารถในการจับคู่ภาพกับสถานที่ รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ของซีเรียเป็นอย่างดี

  1. การส่วนร่วมในการสืบค้นข้อมูล

มูฮัมมัด อิดรีส์ อาหมัด อาจารย์ด้านวารสารศาสตร์ดิจิทัล มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิงได้เขียนถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการสืบสวนหาข้อมูลร่วมกันด้วยวิธี OSINT ในวารสาร The New York Review of Books

Bellingcat นำหลักการนี้มาใช้ต่ออีกขั้นด้วยวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนนักสืบสวนข้อมูลระดับโลก วอเตอร์สบอกว่า “นักสืบสวนข้อมูลทั่วโลกมีการใช้หลักการแบบ OSINT เหมือนๆ กัน หลายครั้งที่พวกเขารวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อช่วยยืนยันข้อมูลและจุดเกิดเหตุในสถานที่ที่อาจตรวจสอบได้ยาก พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายใหม่ๆ ไม่ได้เป็นงานที่น่าเบื่อ” 

เขายังบอกอีกด้วยว่า นักข่าวที่ใช้ทักษะ OSINT ควรใช้สื่อสังคมออนไลน์สร้างการมีส่วนร่วมในการยืนยันข้อมูลและสถานที่เกิดเหตุ เพราะการสร้างชุมชนที่มีส่วนร่วมในการยืนยันข้อมูลร่วมกัน ย่อมมีพลังมากกว่าการทำตามลำพัง

ที่มา: https://firstdraftnews.org/articles/the-skills-every-digital-investigator-needs/


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com