10 ก.พ. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) จัดประชุมเรื่อง “เจาะ (อิทธิพล) ปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ (Online Manipulation) กับผลการเลือกตั้ง : บทเรียนจากฟิลิปปินส์สู่ไทย” ณ โรงแรมโอเรียนทัล เรสซิเดนซ์ ถ.วิทยุ กรุงเทพฯ
โมริทช์ ไคลเนอ-บรอคฮอฟฟ์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ (FNF) กล่าวว่า ตนนั้นอายุ 68 ปีแล้ว เติบโตมาในเยอรมนียุคทศวรรษ 1970-1980 (ปี 2513-2532) สื่อมวลชนหลักในยุคนั้น คือวิทยุ-โทรทัศน์ และข้อมูลข่าวสารที่มาจากภาครัฐ ซึ่งความสำคัญของสื่อในช่วงเวลานั้นคือข้อมูลต้องเชื่อถือได้ แต่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และตัวเราต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อในข้อมูลที่ได้รับเหล่านั้นหรือไม่ เพราะมีข่าวลวง (Fake News) อยู่มากมายเต็มไปหมด
แต่ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน การแข่งขันนั้นมีทุกยุคทั้งนักการเมืองหรือบริษัท หรือแม้แต่มูลนิธิ ซึ่งไม่ว่าองค์กรแบบใด หากโกหกแล้วถูกจับได้ความน่าเชื่อถือจะดิ่งลงเหวไปและยากมากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาได้ แต่ข้อสังเกตคือยุคปัจจุบันการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารปลอมหรือบิดเบือนนั้นมียุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การทำผิดพลาดแบบครั้งต่อครั้ง อย่างเช่นเรื่องของโดนัลด์ ทรัมป์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) ในการเลือกตั้งที่สหรัฐฯ หรือเรื่องอื่นๆ เป็นทราบกันดีว่ามีการสร้างเรื่องราวขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องแต่ก็ใช้การอย่างได้ผล
“การทำหัวข้อรณรงค์ที่เป็น Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อน) อย่างเป็นระบบ กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคมไปแล้ว ซึ่งผมรู้สึกตกใจมาก เพราะเราอยู่กันตรงนี้เพื่อดูบทเรียนจากฟิลิปปินส์ และผมคิดว่าเราสามารถจะทำอะไรในการต่อต้านปฏิบัติการข้อมูลบิดเบือนในออนไลน์ได้บ้าง ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ แล้วฟิลิปปินส์เพิ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อไม่นานนี้ช่นเดียวกัน” ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ กล่าว
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในบางครั้งมีความซับซ้อนระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น ซึ่งเราต้องแยกให้ได้ระหว่างข้อเท็จจริงกับสิ่งต่างๆ ที่แทรกเข้ามาในการเมือง ดังนั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ทุกคนควรอยู่บนแพลตฟอร์มที่เปิดเผย ปลอดภัยและสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ และยินดีที่จะได้รายงานว่าสิ่งนี้เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว นี่คือสิ่งที่โคแฟคต้องการทำ
ตัวอย่างจากเมื่อเร็วๆ นี้ ตนเพิ่งไปประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้พบคนรุ่นใหม่จากฟิลิปปินส์ซึ่งมาจากพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมก้าวหน้า ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) จำนวนมาก แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เพราะบางครั้งผู้คนก็ไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงแต่เลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ สำหรับโคแฟคความจริงสำคัญที่สุด แต่ในแง่การเมืองหลายคนก็บอกว่าข้อเท็จจริงไม่สำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลต่างๆ ที่โยนเข้าไปในโลกออนไลน์
“ เราคิดว่าข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และแน่นอนสันติภาพ เพราะเราต้องการเห็นเรื่องของหลักนิติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีการนำมาใช้ในเวทีเลือกตั้งในครั้งนี้ แน่นอนมันไม่ง่าย มันมีข้อมูลท่วมเราเหมือนกับทะเล แล้วก็เห็นข้อมูลอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้ง มีการปั่นให้เกิดขึ้นทางออนไลน์ด้วยบางครั้ง อันนี้เราก็ดูว่าทางผู้ที่ต้องดูแลจะต้องทำอย่างไร ทั้งความเท็จรวมทั้งปฏิบัติืการทางออนไลน์ด้วย เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรอวจสอบ ” สุภิญญา กล่าว
จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “ถอดบทเรียนการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ 2022 จากมุมมองสื่อสารมวลชน” โดยมีวิทยากรจากประเทศฟิลิปปินส์ 2 ท่าน ซึ่ง ผศ.คลิฟ วี.อาร์เกวยเยส ภาควิชารัฐศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัย เดอ ลา ซาลล์ เปิดประเด็นด้วยคำถาม “ทำไมต้องตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน?” ซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแตกต่างจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จด้วยความเข้าใจผิด ตรงที่ “ข้อมูลบิดเบือนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ” มีจุดประสงค์ในการสร้างผลเสียต่อบุคคล ชุมชนหรือสังคมทั้งหมด
ข้อมูลบิดเบือนทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมือง เกิดความเกลียดชัง เกิดการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มศาสนาที่เป็นชนกลุ่มน้อย เช่น การทำร้ายชาวโรฮิงญาในเมียนมา หรืออาจดึงความสนใจจากสาธารณชนออกไป อย่างในฟิลิปปินส์ที่มีการเลือกตั้งมาแล้วก็มีการใช้ข้อมูลบิดเบือนมากมายซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจใช้สิทธิ์ออกเสียงของเรา ดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงว่าข้อมูลบิดเบือนบั่นทอนความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง เช่น มีการกล่าวหาว่ามีการโกงเลือกตั้งทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ อย่างในสหรัฐฯ ก็นำไปสู่การประท้วงอย่างรุนแรง
ข้อมูลบิดเบือนยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนในสายตาประชาชน ไม่ว่าสื่อนั้นจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนก็ตาม ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่จำเป็นต้องมีการตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ 1.แบบหยาบ ( Crude) ข้อมูลไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี ออกแนวความเห็นป่วนๆ (Troll) มากกว่า กับ 2.แบบซับซ้อน ( Sophisticate) มีการใช้เทคโนโลยี หรือใช้กลวิธีประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้เกิดเป็นกระแส (Viral) ได้จริง เช่น Deep Fake (เทตคโนโลยีปลอมแปลงภาพ-เสียงของบุคคลอื่น)
คำถามต่อมา “ จะต่อต้านข้อมูลบิดเบือนได้อย่างไร? ” ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศมีข้อมูลบิดเบือนที่แตกต่างกัน อย่างแรกจึงต้องดูลักษณะการบิดเบือน ต่อมาต้องมีผู้เฝ้าระวังทางสังคม (Watchdog) อยู่ แต่จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับระบบที่มีในประเทศนั้นๆ เช่น กฎเกณฑ์ของรัฐระบุการดำเนินการไว้อย่างไร หรือความแตกต่างของแต่ละสื่อและการเผยแพร่ในแต่ละแพลตฟอร์ม สุดท้ายคือบทบาทของภาคประชาสังคมและภาคเอกชนในการมีส่วนร่วม ซึ่งอย่างหลังนี้เองเป็นตัวแบบ (Model) ที่ปกป้องเสรีภาพได้มากที่สุด
ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนอาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายรัฐหรือฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐก็ได้ ผ่านการใช้สื่อที่เป็นเชิงพาณิชย์เข้าไปเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งเป็นกลวิธีแบบ Sophisticate อย่างหนึ่ง เพราะใช้กลไกความเสรีของสื่อ ใช้ความสร้างสรรค์สูงในการทำข้อมูลปั่นกระแส ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสื่อต่างๆ จะมีการตรวจสอบแค่ไหน และต้องพิจารณาความหลากหลายของสื่อเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการข้อมูลบิดเบือน
ส่วนการที่รัฐจะออกระเบียบมาควบคุมข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นอันตรายเพราะสื่อจะรู้สึกว่าถูกควบคุม และการที่รัฐไม่สามารถขยายอำนาจการควบคุมไปถึงสื่ออินเตอร์เน็ต ก็เท่ากับรัฐไม่สามารถควบคุมกระแสทางออนไลน์ได้ อนึ่ง รัฐเองอาจมีทางเลือกน้อยสำหรับการเข้าถึงและกระจายสื่อที่เป็นข้อเท็จจริง ในขณะที่ภาคประชาสังคมอาจทำได้ดีกว่าในการต่อต้านข้อมูลบิดเบือน แต่ก็้ต้องยอมรับว่าหากเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนก็เป็นเรื่องยากในการจัดการ เรื่องนี้จึงเหมือนแมวไล่จับหนู หมายถึงการต้องคอยดูว่าจะจัดการอย่างไร
“ ในการเข้าใจว่ามันมีการผลิต Disinformation อันนี้มาจากการศึกษาการจัดเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2562 ล่าสุดคือ 2565 มันกลายเป็นสิ่งที่เป็น Mainstream ( กระแสหลัก) เป็นส่วนหนึ่งของการทำยุทธศาสตร์การเลือกตั้งทั่วไปในฟิลิปปินส์แล้ว ถือเป็น Content ( เนื้อหา) หนึ่งเลยทีเดียว แล้วมันมีแต่ละขั้นตอนในการทำข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้ แต่ละคนก็จะมีบทบาทที่แตกต่างกันไป จุดที่มันเป็นยุทธศาสตร์บนๆ เรื่องของการโฆษณา ก็จะเป็นคนระดับสูงๆ จะบอกแบบว่าตัว Disinformation Content ( เนื้อหาบิดเบือน) จะเป็นอย่างไร จะมีประสิทธิภาพได้แบบไหนบ้าง
เสร็จแล้วก็ส่งมาในทีมที่เป็น Production (ฝ่ายผลิต) เป็นมือโปรในทำ PR ( ประชาสัมพันธ์) ทำแผนยุทธศาสตร์การโฆษณาต่างๆ ทำมีม รูป Infographic ต่างๆ ที่เขาทำบิดเบือนขึ้นมา จากนั้นส่งต่อมาที่ทีมเทคนิค พวกนี้เป็น Social Media Manager ( ผู้จัดการสื่อสังคมออนไลน์) เป็นบริษัทเทคโนโลยี แล้วถ้าเรามาดูวิถีนี้ แนวทางนี้ก็จะเห็นได้เลยว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตทั้งหมดจำเป็นจะต้องมีมาตรการในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ” ผศ.คลิฟ ระบุ
ผศ.คลิฟ ยังกล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง หากทำงานกับองค์กรที่ควบคุมการติดตามผลการเลือกตั้ง เช่น ในประเทศไทยคือ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อตรวจสอบการออกแบบหัวข้อรณรงค์หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ มีการรายงานว่างบประมาณที่ใช้จัดทำมาจากแหล่งใด ก็จะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การผลิตข้อมูลบิดเบือนด้วยเช่นกัน
ด้าน รศ.อีวอน ชัว วิทยาลัยสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ในฟิลิปปินส์มีข้อมูลบิดเบือน หรือ Disinformation จำนวนมาก โดย 9 ใน 10 ของชาวฟิลิปปินส์มีประสบการณ์ได้รับข้อมูลบิดเบือนโดยเฉพาะเรื่องการเมือง ซึ่งในฟิลิปปินส์มีเว็บไซต์ tsek.ph ซึ่ง Tsek คือการเขียนคำว่า Check ในภาษาฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นจากการสร้างความร่วมมือเกิดเป็นเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2562 ภาคีเครือข่ายนอกจากสื่อแล้วยังมีภาควิชาการ จากนั้นในปี 2563 มีการดึงภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของสื่อในฟิลิปปินส์มีการแข่งขันกันจึงไม่ต้องการให้สื่อใดเป็นผู้นำ จึงต้องอาศัยภาควิชาการเพราะต้องการคนที่เป็นกลาง แต่การทำงานในรูปแบบภาคีไม่อาจบังคับหรือกำหนดให้ใครทำอะไรได้ ต้องเป็นข้อเสนอเข้ามา แต่จะมีการตกลงเรื่องการให้แชร์ข้อมูลที่ตรวจสอบเพื่อนำไปกระจายในอุตสาหกรรมสื่อ เช่น ให้เผยแพร่ได้เพียงกี่ย่อหน้า แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วในการนำไปใช้ต่อต้านข้อมูลบิดเบือน
มีการทำข้อตกลงอย่างละเอียดร่วมกันแล้วว่าอะไรทำได้แค่ไหน รวมถึงยังต้องมีฝ่ายกฎหมายเพื่อดูแลหากเกิดการฟ้องร้องขึ้น ส่วนมาตรฐานการตรวจสอบข้อมูลก็ยึดตามแนวทางของ International Fact Checking Network (IFCN) มีการตกลงระบบการให้เรตติ้ง (จริง ปลอม บิดเบือน ฯลฯ) ในภาคีเครือข่ายเป็น 5 ระดับ สำหรับใช้ในฐานข้อมูลกลาง โดยมีบรรณาธิการของภาคีเครือข่ายเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนการใส่ข้อมูลลงในฐานข้อมูลก็ฝากทางมหาวิทยาลัยดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาคนทำงานสื่อที่ไม่มีเวลา
มีการประชุมจัดทำหลักสูตร ใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้ได้หลักสูตรอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร แบบเป็นหลักสูตรเร่งรัด 1 วัน รวมไปถึงจัดหลักสูตร 1 เทอม ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วย ทำให้บางครั้งจะพบว่านักศึกษามีความรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทำงานสื่อ แม้จะทำไม่สำเร็จตามเป้าทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวลวง
กระทั่งในปี 2565 ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ครั้งนี้คณะทำงาน tsek.ph มีความเข้าใจแล้วและมีแนวทางอยู่จึงทำเพียงส่งคำเชิญภาคีเครือข่ายเท่านั้น ที่สำคัญครั้งนี้ยังมีภาคประชาสังคมที่มีศักยภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาอีก มีสื่อหลายสำนักที่มาเข้าร่วม รวมถึงภาควิชาการที่ในแต่ละ 1 มหาวิทยาลัยอาจมีหลายโครงการก็ได้ มีอาสาสมัครสังเกตการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา มีการฝึกอบรมที่ขยายจากทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเพิ่มการทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ มีจรรยาบรรณ และมีความปลอดภัยทั้งทางกาย กฎหมาย รวมถึงทางจิตใจ
“ การปล่อยข่าวลวงข่าวปลอมมีมาเป็นสิบๆ ปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องตระหนักยึดไว้เสมอก็คือว่า ถ้าพวกเขาใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะสร้างข้อมูลปลอมพวกนี้ได้ เราไม่สามารถถล่มมันได้ภายในคืนเดียว สิ่งที่สำคัญมากคือต้องอย่าล้มเลิกความหวัง แม้กระทั่งการเลือกตั้งจะจบลงไปแล้ว ถึงคุณคิดว่าความพยายามของคุณไม่เกิดดอกออกผลอะไรเลย ไม่ใช่ ! แต่ถามตัวคุณเองว่าเราจะทำอะไรได้อีกในการเผชิญกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในเรื่องที่เราเรียกว่าข้อมูลบิดเบือน ” รศ.อีวอน กล่าว
รศ.อีวอน ยังกล่าวถึงความท้าทายในสังคมฟิลิปปินส์ เนื่องจากข้อมูลบิดเบือนมาทางคลิปวีดีโอมากกว่าตัวหนังสือ ซึ่งก็มีทั้งคลิปยาวบ้าง-สั้นบ้าง และไม่รู้ว่าแทรกข่าวลวงไว้ตรงไหน คนทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงต้องมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลในแพลตฟอร์มดังกล่าวด้วย เคยมีการทำคลิปวิดีโอตรวจสอบข้อเท็จจริง ภายในเวลาไม่กี่วันมียอดคนดูถึง 7 หมื่น ชี้ให้เห็นว่าเป็นสื่อที่ดึงดูดมาก จึงต้องลงทุนเล่าเรื่องและจี้ลงไปว่าอะไรที่บิดเบือน
สุดท้ายคือเรื่องของการดึงสื่อสำนักต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย ซึ่งอาจจะมีทั้งสื่อที่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ซ้าย-ขวา หรือชอบ-ไม่ชอบรัฐบาล เรื่องนี้ก็เหมือนกับการแต่งงานที่ไม่สามารถบังคับใครได้ ดังนั้นสื่อที่ไม่พอใจกรอบข้อตกลงก็จะไม่เข้ามาร่วม จึงต้องยอมรับว่าไม่สามารถดึงสื่อมาเข้าร่วมได้ทุกสำนัก แต่หากสมมติ เช่น มีสื่อ 30 สำนัก ดึงมาเข้าร่วมได้ 14 สำนัก ก็ถือว่าดีแล้ว และตนอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นการสร้างสมรรถนะของแต่ละภาคส่วนสำหรับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เพื่อปกป้องข้อมูลที่ถูกต้อง
จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “เราพลาดตรงไหน-อะไรที่ไม่ได้ทำ-ต้องทำอย่างไร เพื่อให้การหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสร้างภูมิคุ้มกันต่อปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์” โดยมีวิทยากร 3 ท่าน เริ่มจาก เจสัน อาร์ กอนซาเลซ ผู้อำนวยการพรรคเสรีนิยม ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ข้อมูลบิดเบือนเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อประชาธิปไตยของฟิลิปปินส์ และการกลับมายิ่งใหญ่ของตระกูลมาร์กอสหลังจากที่ต้องอับอายหลบหนีไปนานก็เพราะมาจากการทำข้อมูลลักษณะนี้
รายงานการศึกษาเรื่อง “Fake News and internet propaganda , and the Philippine elections : 2022 ” พบว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูบ (Youtube) และติ๊ี๊กต๊อก (TikTok) คือแพลตฟอร์มออนไลน์ 3 อันดับแรกที่พบข้อมูลบิดเบือนในฟิลิปปินส์ พบผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลเหล่านี้ถึง 67 ล้านครั้ง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง “ ทัศนคติของคนฟิลิปปินส์จำนวนมาก มองว่าอะไรที่ตนเองไม่เห็นด้วยคือข่าวลวง ( Fake News) ทั้งหมด ” ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วง
ในปี 2561 มีงานวิจัยชื่อ “This is what a paid operation looks like.” ว่าด้วยกระบวนการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากลูกค้าที่เป็นนักการเมือง มีการกำหนดหัวข้อรณรงค์ ข้อความที่ต้องการสื่อออกไป ก่อนแปรรูปเป็นเนื้อหาสำหรับเผยแพร่โดย “ อินฟลูเอนเซอร์ ( Influencer)” หรือบุคคลที่เก่งในการผลิตเนื้อหาบนโลกออนไลน์และมีชื่อเสียงมีผู้คนให้ความสนใจติดตามมาก สุดท้ายถูกทำให้แพร่กระจายโดยบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำปลอมขึ้น กระบวนการนี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การดำเนินการเกิดขึ้นในบ้านซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัท
ในปี 2565 ยังมีการศึกษาหัวข้อ “Parallel Public Spheres : Influence Operations in the 2022 Philippine Elections” พบกระบวนการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในบทบาทที่หลากหลาย เช่น บางคนถูกวางตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีการใช้ชาวต่างชาติที่อาศัยในฟิลิปปินส์ที่หน้าตาดีมาดึงดูดความสนใจ เป็นต้น อนึ่ง “ พฤติกรรมของผู้รับสารที่ชอบอะไรสั้นๆ ก็มีผลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ” กล่าวคือ ผูุ้้รับสารจะอ่านเพียงพาดหัวข่าวแต่ไม่ได้สนใจเนื้อหาภายในข่าว แล้วก็มาอ่านเฉพาะความเห็นที่มีผู้โพสต์ถึงเนื้อหานั้น
“Influence Operations ( ปฏิบัติการสร้างอิทธิพล) ถือเป็นกรอบใหญ่ในการที่จะระบุบุคลิกลักษณะ ตัวแพลตฟอร์ม แล้วก็แนวปฏิบัติที่จะสามารถยึดเอาความเห็น เอาความสนใจของสาธารณะได้ แล้วก็มีการขับเคลื่อนความคิดเห็น แล้วมีผลต่อผลลัพธ์ของการเลือกตั้งได้ด้วย พูดง่ายๆ คุณจะจัดการกับการใส่ร้ายป้ายสีได้อย่างไร กับการเปรียบเทียบไปเป็นพิน็อกคิโอ (ตัวละครในนิทาน) เฉยๆ ลอยๆ ขึ้นมา
ตัว Influence Operations สามารถที่จะใช้ข้อมูล Disinformation ได้อย่างยาวนาน พูดง่ายๆ มันมีอันตรายมากในช่วงการเลือกตั้ง แต่เมล็ดพันธุ์ของมันถูกเพาะไว้ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะให้เติบโตในหัวของคน แล้วมันเติบโตทั้งปริมาณด้วย บ่อยครั้งเราจะเห็นหลายแพลตฟอร์ม แล้วก็มีอินฟลูเอนเซอร์มากมาย หรือมีคนหยิบยกข้อความเดียวกันมาย้ำๆ นั่นคือวิธีที่คุณเปลี่ยนคำโกหกให้กลายเป็นความจริง” เจสัน กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยหัวหน้าโครงการ Monitoring Center on Organized Violence Events (MOVE) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า เริ่มสนใจ “ ไอโอ ” (IO-Operation Information) หรือการทำ “ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ” บนโลกออนไลน์เมื่อ 5 ปีก่อน โดยเฝ้าสังเกตการณ์ไอโอทั้งที่ถูกจัดตั้งและไม่ถูกจัดตั้ง อย่างไรก็ตาม ในบริบทสังคมตะวันตกที่การเมืองเป็นแบบเปิด จึงเปราะบางต่อการแทรกแซงของข้อมูลข่าวสาร การถกเถียง (Debate) เกี่ยวกับไอโอในสังคมแบบนี้ จึงว่าด้วยผลกระทบด้านความเป็นปึกแผ่นของสังคม
เช่น จะมีการแบ่งขั้ว-แยกข้าง หรือมีความคิดสุดโต่งเกิดขึ้นในสังคมเพียงใด ซึ่งทำให้ความเป็นประชาธิปไตยในสังคมเสื่อมลง ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นก็มีการเมืองแบบเปิด ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจึงเป็นแบบกระจาย ดังนั้นจึงไม่อาจนำกรณีของประเทศไทยไปเทียบเคียงได้ เพราะไทยนั้นมีบรรยากาศของข้อมูลข่าวสารที่ถูกควบคุม ดังนั้นสำหรับไทยนอกจากข้อมูลข่าวสารจะถูกควบคุมแล้วยังมีการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบรรยากาศแบบนี้อำนาจมีความไม่เท่ากันอยู่ อาทิ ทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้ทำไอโอของพรรคการเมืองแต่ละฝั่งไม่เท่ากัน
หรืออาจกล่าวได้ว่า “ ภายใต้บรรยากาศที่อำนาจไม่เท่ากัน ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจะถูกใช้เพื่อรักษาฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า ” มีตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น อินเดีย ที่พรรครัฐบาลคือ BJP สามารถกดดันแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก ไม่ให้จัดการกับถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่มาจากพรรค BJP ได้ ส่วนในบริบทประเทศไทย มีทั้งการใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่าง การจับกุมดำเนินคดี ไปจนถึงการใช้สปายแวร์ (Spyware) สอดส่องตัวละครทางการเมือง ไม่ใช่แค่นักเคลื่อนไหวแต่รวมถึงนักการเมืองด้วย
ทั้งนี้ การทำสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ในบริบทการเลือกตั้ง หรือในสังคมที่ขัดแย้งกัน แต่การทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่อันตราย คือในบริบทที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย เพราะจะนำมาซึ่งวิธีการต่างๆ เช่น กระจายข้อมูลที่เป็นการทำลายชื่อเสียง ตั้งคำถามถึงศีลธรรมหรืออารมณ์ความรู้สึกของบุคคลซึ่งผู้ถูกกระทำจะกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม และเป็นการสร้างฉากต่อไปคือการดำเนินคดี แต่ข้อค้นพบนี้จะเกิดขึ้นในบริบทของไทยหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป
“ สมมติว่าเราเอาบรรยากาศการเลือกตั้งเข้ามาวางในท่อวิเคราะห์ของดิฉัน คำถามต่อไปคือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลข่าวสาร ขณะเดียวกันก็เกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและบรรยากาศการควบคุมครรลองของการเลือกตั้ง ฉะนั้นสิ่งที่เราจะเห็นก็คือการผสมกันของ หนึ่ง..การดำเนินคดีของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ต่อผู้โพสต์ข้อความ ต่อผู้แชร์ข้อมูลที่อาจจะไม่ตรงหรือว่าผิดกติกา ตามที่ กกต. เห็น และการแชร์ข้อมูลเหล่านี้หลายครั้งเป็นข้อมูลที่มาจากกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของราชการ
คำถามก็คือการแชร์ข้อมูลเหล่านี้ที่โดนดำเนินคดี โดยกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งอื่นๆ มันจะส่งผลต่อความสามารถในการตรวจสอบการเลือกตั้งของภาคประชาสังคมหรือไม่ ประเด็นถัดมาก็คืองานวิจัยที่ทำอยู่และกำลังจะดำเนินต่อไป พบว่าการตรวจตราสอดส่องมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันทำให้ผู้ที่ตรวจตราสอดส่องตัวละครทางการเมืองทั้งหลายมีข้อมูลมากพอ นอกจากจะชี้ว่าใครทำผิดกฎหมายอะไรในโลกออนไลน์บ้างแล้ว สามารถ Craft ( ประดิษฐ์) สามารถออกแบบข้อความที่ใช้ในการโจมตีตัวละครทางการเมืองได้ด้วย ” ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว
ด้าน ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เปรียบเทียบไทยกับฟิลิปปินส์ในประเด็น “ ตระกูลการเมือง ” กล่าวคือ “ หากรุ่นลูกถูกเสนอชื่อเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งสำคัญอย่างประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประวัติของรุ่นพ่อจะถูกขุดคุ้ยมาบอกเล่า เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกเล่าแบบใด ” หากเป็นฝ่ายที่ชอบรุ่นพ่อก็จะเล่าในแง่บวก แต่หากเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะเล่าในแง่ลบ และจะมีทั้งการขุดข้อมูลเก่ามาฉายซ้ำและการตีความข้อมูลนั้นใหม่
ส่วนการทำสงครามข้อมูลข่าวสารระหว่างฝ่ายต่างๆ นั้นจะมีทั้งกลุ่มจัดตั้งและกลุ่มที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสถภาวะแบบนี้ก็จะผลิตข้อมูลมาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันตลอดเวลา นอกจากนั้น “ ในทุกวันเราทุกคนผลิตข้อมูลกันตลอดเวลา บางอย่างเป็นข้อเท็จจริงแต่บางอย่างก็เป็นความคิดเห็น หรือบางอย่างก็เป็นบทวิเคราะห์ที่วิเคราะห์จากอะไรก็ไม่รู้ คำถามคือเราจะตรวจสอบกันไหวหรือไม่ ” หรือจะปล่อยให้แต่ละคนเลือกเชื่อและเลือกวิเคราะห์กันเอง
“ ช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร ที่มันน่าสนใจก็ตรงที่ว่า เราสังเกตดีๆ ช่องทางที่กังวลเยอะๆ เช่น Social Media มันเริ่มมีสัดส่วนคนที่รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้งช่องทางนี้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต ส่วนสื่อ Traditional ( ดั้งเดิม ) วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อะไรนี่ตกไปเลย แต่ที่น่าสนใจคือช่องทางรับข้อมูลที่มันมาจากช่องทางธรรมชาติ มันยังเป็นช่องทางที่คนจำนวนไม่น้อยเขารับอยู่
โดยเฉพาะการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร-พรรคการเมือง โดยเฉพาะคำบอกเล่าของคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน อันนี้เป็นช่องทางที่เขารับข้อมูลข่าวสาร คืออะไรที่มันมาจากช่องทางที่มันเป็นทางการมันก็ยังมีการคัดกรอง มีการเช็คกันได้ หรือ Social Media อินเตอร์เน็ต มันก็ยังมีระบบเข้าไปช่วยได้ แต่ที่มาจากตัวต่อตัวจากนักการเมือง เวลาเขาพูดถึงตัวเองเขาก็ต้องพูดในทางที่ดี ส่วนพูดถึงคู่แข่งก็ต้องพูดทางที่ร้าย การพูดคุยกันเองระหว่างผู้คน ก็ตั้งเป็นประเด็นไว้ว่าเราจะเช็คกันไหวหรือ” ดร.สติธร กล่าว
ในตอนท้าย ดร.ไมเคิล วาติกิโอดิส ที่ปรึกษาอาวุโส Centre for Humanitarian Dialogue (HD) เป็นผู้กล่าวปิดงาน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยคิดว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของเงิน แต่วันนี้เห็นได้ชัดและต้องขยับจากเงินมาเป็นข้อมูล และการเล่าเรื่อง (Narrative) เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการทำให้เกิดการเสวนา (Dialogue) ก็ต้องมาจากการเล่าเรื่องที่ดี ทั้งนี้ ในบริบทประเทศไทย ตนคิดว่าสิ่งที่จะช่วยได้จริงๆ ในการตอบโต้ข้อมูลเหล่านี้คือการนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เพราะจะเป็นหนทางในการเอาชนะข้อมูลบิดเบือน เพราะการมีเรื่องเล่าส่งผลต่อการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากฟิลิปปินส์คือถ้าคนอ่านประวัติของยุคมาร์กอสจริงๆ เขาก็จะสามารถทำการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงออกไปตอนลงคะแนนเสียงแน่นอน เพราะมันมีประวัติอยู่แล้ว และผมก็คิดถึงความสำคัญมากๆ ในตอนนี้ ในการพูดถึงประวัติศาสตร์ออกไป แล้วก็เปลี่ยนให้มันเป็นกระบวนการ สำหรับผมคิดว่ามันมีประโยชน์มากสำหรับพรรคการเมือง สำหรับภาคประชาสังคมต่างๆ ในประเทศไทย ในการสร้างการหารือ ทำความคุ้นเคยกับคนที่มาลงคะแนนเสียงในยุคใหม่ๆ หรือว่าเด็ก-เยาวชน ให้เข้าใจอดีตที่เกิดขึ้น ” ดร.ไมเคิล ฝากทิ้งท้าย
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
อกตั้ง