สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566

รักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยการดื่มน้ำกระชายผสมน้ำผึ้งมะนาว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/73dw6ffxk5qu


ทาวาสลีนในรูจมูก ช่วยดักจับฝุ่น PM 2.5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/3tfzhz6xfkvrt


กินยาเม็ดหรือแคปซูลกับน้ำเย็นเท่านั้นจริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่     https://cofact.org/article/13nvmvax2nbii


 เมื่อ อายุ 65 ปีขึ้นไป จะได้รับ “ยกเว้นภาษี 190,000 บาท”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24yzgxob8m5de


21 กพ. 66 “รถบรรทุกแก๊ส”พลิกคว่ำ ไฟลุกท่วมกลางถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี กม.8

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zjhikwfcvw8p


กั๊กที่จอดรถบนถนนสาธารณะ มีความผิด คนแจ้งเบาะแสได้ส่วนแบ่งค่าปรับ 50%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3458dpmbow7cv


การงีบหลับกลางวันเป็นประจำ จะทำให้บุคคลที่เป็นเพศหญิง ลดการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงมากถึง 37%…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/13ddzhinbkk7v


ถูกดูดเงินจากบัญชี ธนาคารต้องรับผิดชอบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2p8bv9i4wss97


ถอดบทเรียนจาก‘ฟิลิปปินส์’ถึง‘ไทย’ ‘ข้อมูลบิดเบือน-ปฏิบัติการข่าวสาร’ปัจจัยเสี่ยงการเลือกตั้ง

10 ก.พ. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) จัดประชุมเรื่อง “เจาะ (อิทธิพล) ปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ (Online Manipulation) กับผลการเลือกตั้ง : บทเรียนจากฟิลิปปินส์สู่ไทย” ณ โรงแรมโอเรียนทัล เรสซิเดนซ์ ถ.วิทยุ กรุงเทพฯ

โมริทช์ ไคลเนอ-บรอคฮอฟฟ์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ (FNF) กล่าวว่า ตนนั้นอายุ 68 ปีแล้ว เติบโตมาในเยอรมนียุคทศวรรษ 1970-1980 (ปี 2513-2532) สื่อมวลชนหลักในยุคนั้น คือวิทยุ-โทรทัศน์ และข้อมูลข่าวสารที่มาจากภาครัฐ ซึ่งความสำคัญของสื่อในช่วงเวลานั้นคือข้อมูลต้องเชื่อถือได้ แต่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และตัวเราต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อในข้อมูลที่ได้รับเหล่านั้นหรือไม่ เพราะมีข่าวลวง (Fake News) อยู่มากมายเต็มไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน การแข่งขันนั้นมีทุกยุคทั้งนักการเมืองหรือบริษัท หรือแม้แต่มูลนิธิ ซึ่งไม่ว่าองค์กรแบบใด หากโกหกแล้วถูกจับได้ความน่าเชื่อถือจะดิ่งลงเหวไปและยากมากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาได้ แต่ข้อสังเกตคือยุคปัจจุบันการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารปลอมหรือบิดเบือนนั้นมียุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การทำผิดพลาดแบบครั้งต่อครั้ง อย่างเช่นเรื่องของโดนัลด์ ทรัมป์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) ในการเลือกตั้งที่สหรัฐฯ หรือเรื่องอื่นๆ เป็นทราบกันดีว่ามีการสร้างเรื่องราวขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องแต่ก็ใช้การอย่างได้ผล

“การทำหัวข้อรณรงค์ที่เป็น Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อน) อย่างเป็นระบบ กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคมไปแล้ว ซึ่งผมรู้สึกตกใจมาก เพราะเราอยู่กันตรงนี้เพื่อดูบทเรียนจากฟิลิปปินส์ และผมคิดว่าเราสามารถจะทำอะไรในการต่อต้านปฏิบัติการข้อมูลบิดเบือนในออนไลน์ได้บ้าง ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ แล้วฟิลิปปินส์เพิ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อไม่นานนี้ช่นเดียวกัน” ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในบางครั้งมีความซับซ้อนระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น ซึ่งเราต้องแยกให้ได้ระหว่างข้อเท็จจริงกับสิ่งต่างๆ ที่แทรกเข้ามาในการเมือง ดังนั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ทุกคนควรอยู่บนแพลตฟอร์มที่เปิดเผย ปลอดภัยและสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ และยินดีที่จะได้รายงานว่าสิ่งนี้เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว นี่คือสิ่งที่โคแฟคต้องการทำ 

ตัวอย่างจากเมื่อเร็วๆ นี้ ตนเพิ่งไปประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้พบคนรุ่นใหม่จากฟิลิปปินส์ซึ่งมาจากพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมก้าวหน้า ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) จำนวนมาก แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เพราะบางครั้งผู้คนก็ไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงแต่เลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ สำหรับโคแฟคความจริงสำคัญที่สุด แต่ในแง่การเมืองหลายคนก็บอกว่าข้อเท็จจริงไม่สำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลต่างๆ ที่โยนเข้าไปในโลกออนไลน์

เราคิดว่าข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และแน่นอนสันติภาพ เพราะเราต้องการเห็นเรื่องของหลักนิติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีการนำมาใช้ในเวทีเลือกตั้งในครั้งนี้ แน่นอนมันไม่ง่าย มันมีข้อมูลท่วมเราเหมือนกับทะเล แล้วก็เห็นข้อมูลอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้ง มีการปั่นให้เกิดขึ้นทางออนไลน์ด้วยบางครั้ง อันนี้เราก็ดูว่าทางผู้ที่ต้องดูแลจะต้องทำอย่างไร ทั้งความเท็จรวมทั้งปฏิบัติืการทางออนไลน์ด้วย เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรอวจสอบ สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “ถอดบทเรียนการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ 2022 จากมุมมองสื่อสารมวลชน” โดยมีวิทยากรจากประเทศฟิลิปปินส์ 2 ท่าน ซึ่ง ผศ.คลิฟ วี.อาร์เกวยเยส ภาควิชารัฐศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัย เดอ ลา ซาลล์ เปิดประเด็นด้วยคำถาม “ทำไมต้องตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน?” ซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแตกต่างจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จด้วยความเข้าใจผิด ตรงที่ “ข้อมูลบิดเบือนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ” มีจุดประสงค์ในการสร้างผลเสียต่อบุคคล ชุมชนหรือสังคมทั้งหมด 

ข้อมูลบิดเบือนทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมือง เกิดความเกลียดชัง เกิดการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มศาสนาที่เป็นชนกลุ่มน้อย เช่น การทำร้ายชาวโรฮิงญาในเมียนมา หรืออาจดึงความสนใจจากสาธารณชนออกไป อย่างในฟิลิปปินส์ที่มีการเลือกตั้งมาแล้วก็มีการใช้ข้อมูลบิดเบือนมากมายซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจใช้สิทธิ์ออกเสียงของเรา ดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงว่าข้อมูลบิดเบือนบั่นทอนความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง เช่น มีการกล่าวหาว่ามีการโกงเลือกตั้งทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ อย่างในสหรัฐฯ ก็นำไปสู่การประท้วงอย่างรุนแรง

ข้อมูลบิดเบือนยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนในสายตาประชาชน ไม่ว่าสื่อนั้นจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนก็ตาม ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่จำเป็นต้องมีการตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ 1.แบบหยาบ (Crude) ข้อมูลไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี ออกแนวความเห็นป่วนๆ (Troll) มากกว่า กับ 2.แบบซับซ้อน (Sophisticate) มีการใช้เทคโนโลยี หรือใช้กลวิธีประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้เกิดเป็นกระแส (Viral) ได้จริง เช่น Deep Fake (เทตคโนโลยีปลอมแปลงภาพ-เสียงของบุคคลอื่น)

คำถามต่อมา จะต่อต้านข้อมูลบิดเบือนได้อย่างไร? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศมีข้อมูลบิดเบือนที่แตกต่างกัน อย่างแรกจึงต้องดูลักษณะการบิดเบือน ต่อมาต้องมีผู้เฝ้าระวังทางสังคม (Watchdog) อยู่ แต่จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับระบบที่มีในประเทศนั้นๆ เช่น กฎเกณฑ์ของรัฐระบุการดำเนินการไว้อย่างไร หรือความแตกต่างของแต่ละสื่อและการเผยแพร่ในแต่ละแพลตฟอร์ม สุดท้ายคือบทบาทของภาคประชาสังคมและภาคเอกชนในการมีส่วนร่วม ซึ่งอย่างหลังนี้เองเป็นตัวแบบ (Model) ที่ปกป้องเสรีภาพได้มากที่สุด

ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนอาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายรัฐหรือฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐก็ได้ ผ่านการใช้สื่อที่เป็นเชิงพาณิชย์เข้าไปเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งเป็นกลวิธีแบบ Sophisticate อย่างหนึ่ง เพราะใช้กลไกความเสรีของสื่อ ใช้ความสร้างสรรค์สูงในการทำข้อมูลปั่นกระแส ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสื่อต่างๆ จะมีการตรวจสอบแค่ไหน และต้องพิจารณาความหลากหลายของสื่อเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการข้อมูลบิดเบือน 

ส่วนการที่รัฐจะออกระเบียบมาควบคุมข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นอันตรายเพราะสื่อจะรู้สึกว่าถูกควบคุม และการที่รัฐไม่สามารถขยายอำนาจการควบคุมไปถึงสื่ออินเตอร์เน็ต ก็เท่ากับรัฐไม่สามารถควบคุมกระแสทางออนไลน์ได้ อนึ่ง รัฐเองอาจมีทางเลือกน้อยสำหรับการเข้าถึงและกระจายสื่อที่เป็นข้อเท็จจริง ในขณะที่ภาคประชาสังคมอาจทำได้ดีกว่าในการต่อต้านข้อมูลบิดเบือน แต่ก็้ต้องยอมรับว่าหากเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนก็เป็นเรื่องยากในการจัดการ เรื่องนี้จึงเหมือนแมวไล่จับหนู หมายถึงการต้องคอยดูว่าจะจัดการอย่างไร

ในการเข้าใจว่ามันมีการผลิต Disinformation อันนี้มาจากการศึกษาการจัดเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2562 ล่าสุดคือ 2565 มันกลายเป็นสิ่งที่เป็น Mainstream (กระแสหลัก) เป็นส่วนหนึ่งของการทำยุทธศาสตร์การเลือกตั้งทั่วไปในฟิลิปปินส์แล้ว ถือเป็น Content (เนื้อหา) หนึ่งเลยทีเดียว แล้วมันมีแต่ละขั้นตอนในการทำข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้ แต่ละคนก็จะมีบทบาทที่แตกต่างกันไป จุดที่มันเป็นยุทธศาสตร์บนๆ เรื่องของการโฆษณา ก็จะเป็นคนระดับสูงๆ จะบอกแบบว่าตัว Disinformation Content (เนื้อหาบิดเบือน) จะเป็นอย่างไร จะมีประสิทธิภาพได้แบบไหนบ้าง

เสร็จแล้วก็ส่งมาในทีมที่เป็น Production (ฝ่ายผลิต) เป็นมือโปรในทำ PR (ประชาสัมพันธ์) ทำแผนยุทธศาสตร์การโฆษณาต่างๆ ทำมีม รูป Infographic ต่างๆ ที่เขาทำบิดเบือนขึ้นมา จากนั้นส่งต่อมาที่ทีมเทคนิค พวกนี้เป็น Social Media Manager (ผู้จัดการสื่อสังคมออนไลน์) เป็นบริษัทเทคโนโลยี แล้วถ้าเรามาดูวิถีนี้ แนวทางนี้ก็จะเห็นได้เลยว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตทั้งหมดจำเป็นจะต้องมีมาตรการในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ผศ.คลิฟ ระบุ

ผศ.คลิฟ ยังกล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง หากทำงานกับองค์กรที่ควบคุมการติดตามผลการเลือกตั้ง เช่น ในประเทศไทยคือ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อตรวจสอบการออกแบบหัวข้อรณรงค์หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ มีการรายงานว่างบประมาณที่ใช้จัดทำมาจากแหล่งใด ก็จะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การผลิตข้อมูลบิดเบือนด้วยเช่นกัน

ด้าน รศ.อีวอน ชัว วิทยาลัยสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ในฟิลิปปินส์มีข้อมูลบิดเบือน หรือ Disinformation จำนวนมาก โดย 9 ใน 10 ของชาวฟิลิปปินส์มีประสบการณ์ได้รับข้อมูลบิดเบือนโดยเฉพาะเรื่องการเมือง ซึ่งในฟิลิปปินส์มีเว็บไซต์ tsek.ph ซึ่ง Tsek คือการเขียนคำว่า Check ในภาษาฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นจากการสร้างความร่วมมือเกิดเป็นเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2562 ภาคีเครือข่ายนอกจากสื่อแล้วยังมีภาควิชาการ จากนั้นในปี 2563 มีการดึงภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของสื่อในฟิลิปปินส์มีการแข่งขันกันจึงไม่ต้องการให้สื่อใดเป็นผู้นำ จึงต้องอาศัยภาควิชาการเพราะต้องการคนที่เป็นกลาง แต่การทำงานในรูปแบบภาคีไม่อาจบังคับหรือกำหนดให้ใครทำอะไรได้ ต้องเป็นข้อเสนอเข้ามา แต่จะมีการตกลงเรื่องการให้แชร์ข้อมูลที่ตรวจสอบเพื่อนำไปกระจายในอุตสาหกรรมสื่อ เช่น ให้เผยแพร่ได้เพียงกี่ย่อหน้า แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วในการนำไปใช้ต่อต้านข้อมูลบิดเบือน 

มีการทำข้อตกลงอย่างละเอียดร่วมกันแล้วว่าอะไรทำได้แค่ไหน รวมถึงยังต้องมีฝ่ายกฎหมายเพื่อดูแลหากเกิดการฟ้องร้องขึ้น ส่วนมาตรฐานการตรวจสอบข้อมูลก็ยึดตามแนวทางของ International Fact Checking Network (IFCN) มีการตกลงระบบการให้เรตติ้ง (จริง ปลอม บิดเบือน ฯลฯ) ในภาคีเครือข่ายเป็น 5 ระดับ สำหรับใช้ในฐานข้อมูลกลาง โดยมีบรรณาธิการของภาคีเครือข่ายเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนการใส่ข้อมูลลงในฐานข้อมูลก็ฝากทางมหาวิทยาลัยดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาคนทำงานสื่อที่ไม่มีเวลา

มีการประชุมจัดทำหลักสูตร ใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้ได้หลักสูตรอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร แบบเป็นหลักสูตรเร่งรัด 1 วัน รวมไปถึงจัดหลักสูตร 1 เทอม ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วย ทำให้บางครั้งจะพบว่านักศึกษามีความรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทำงานสื่อ แม้จะทำไม่สำเร็จตามเป้าทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวลวง

กระทั่งในปี 2565 ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ครั้งนี้คณะทำงาน tsek.ph มีความเข้าใจแล้วและมีแนวทางอยู่จึงทำเพียงส่งคำเชิญภาคีเครือข่ายเท่านั้น ที่สำคัญครั้งนี้ยังมีภาคประชาสังคมที่มีศักยภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาอีก มีสื่อหลายสำนักที่มาเข้าร่วม รวมถึงภาควิชาการที่ในแต่ละ 1 มหาวิทยาลัยอาจมีหลายโครงการก็ได้ มีอาสาสมัครสังเกตการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา มีการฝึกอบรมที่ขยายจากทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเพิ่มการทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ มีจรรยาบรรณ และมีความปลอดภัยทั้งทางกาย กฎหมาย รวมถึงทางจิตใจ

การปล่อยข่าวลวงข่าวปลอมมีมาเป็นสิบๆ ปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องตระหนักยึดไว้เสมอก็คือว่า ถ้าพวกเขาใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะสร้างข้อมูลปลอมพวกนี้ได้ เราไม่สามารถถล่มมันได้ภายในคืนเดียว สิ่งที่สำคัญมากคือต้องอย่าล้มเลิกความหวัง แม้กระทั่งการเลือกตั้งจะจบลงไปแล้ว ถึงคุณคิดว่าความพยายามของคุณไม่เกิดดอกออกผลอะไรเลย ไม่ใช่! แต่ถามตัวคุณเองว่าเราจะทำอะไรได้อีกในการเผชิญกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในเรื่องที่เราเรียกว่าข้อมูลบิดเบือนรศ.อีวอน กล่าว

รศ.อีวอน ยังกล่าวถึงความท้าทายในสังคมฟิลิปปินส์ เนื่องจากข้อมูลบิดเบือนมาทางคลิปวีดีโอมากกว่าตัวหนังสือ ซึ่งก็มีทั้งคลิปยาวบ้าง-สั้นบ้าง และไม่รู้ว่าแทรกข่าวลวงไว้ตรงไหน คนทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงต้องมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลในแพลตฟอร์มดังกล่าวด้วย เคยมีการทำคลิปวิดีโอตรวจสอบข้อเท็จจริง ภายในเวลาไม่กี่วันมียอดคนดูถึง 7 หมื่น ชี้ให้เห็นว่าเป็นสื่อที่ดึงดูดมาก จึงต้องลงทุนเล่าเรื่องและจี้ลงไปว่าอะไรที่บิดเบือน

สุดท้ายคือเรื่องของการดึงสื่อสำนักต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย ซึ่งอาจจะมีทั้งสื่อที่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ซ้าย-ขวา หรือชอบ-ไม่ชอบรัฐบาล เรื่องนี้ก็เหมือนกับการแต่งงานที่ไม่สามารถบังคับใครได้ ดังนั้นสื่อที่ไม่พอใจกรอบข้อตกลงก็จะไม่เข้ามาร่วม จึงต้องยอมรับว่าไม่สามารถดึงสื่อมาเข้าร่วมได้ทุกสำนัก แต่หากสมมติ เช่น มีสื่อ 30 สำนัก ดึงมาเข้าร่วมได้ 14 สำนัก ก็ถือว่าดีแล้ว และตนอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นการสร้างสมรรถนะของแต่ละภาคส่วนสำหรับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เพื่อปกป้องข้อมูลที่ถูกต้อง

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “เราพลาดตรงไหน-อะไรที่ไม่ได้ทำ-ต้องทำอย่างไร เพื่อให้การหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสร้างภูมิคุ้มกันต่อปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์” โดยมีวิทยากร 3 ท่าน เริ่มจาก เจสัน อาร์ กอนซาเลซ ผู้อำนวยการพรรคเสรีนิยม ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ข้อมูลบิดเบือนเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อประชาธิปไตยของฟิลิปปินส์ และการกลับมายิ่งใหญ่ของตระกูลมาร์กอสหลังจากที่ต้องอับอายหลบหนีไปนานก็เพราะมาจากการทำข้อมูลลักษณะนี้

รายงานการศึกษาเรื่อง “Fake News and internet propaganda , and the Philippine elections : 2022 พบว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูบ (Youtube) และติ๊ี๊กต๊อก (TikTok) คือแพลตฟอร์มออนไลน์ 3 อันดับแรกที่พบข้อมูลบิดเบือนในฟิลิปปินส์ พบผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลเหล่านี้ถึง 67 ล้านครั้ง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทัศนคติของคนฟิลิปปินส์จำนวนมาก มองว่าอะไรที่ตนเองไม่เห็นด้วยคือข่าวลวง (Fake News) ทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วง

ในปี 2561 มีงานวิจัยชื่อ “This is what a paid operation looks like.” ว่าด้วยกระบวนการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากลูกค้าที่เป็นนักการเมือง มีการกำหนดหัวข้อรณรงค์ ข้อความที่ต้องการสื่อออกไป ก่อนแปรรูปเป็นเนื้อหาสำหรับเผยแพร่โดย อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือบุคคลที่เก่งในการผลิตเนื้อหาบนโลกออนไลน์และมีชื่อเสียงมีผู้คนให้ความสนใจติดตามมาก สุดท้ายถูกทำให้แพร่กระจายโดยบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำปลอมขึ้น กระบวนการนี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การดำเนินการเกิดขึ้นในบ้านซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัท

ในปี 2565 ยังมีการศึกษาหัวข้อ “Parallel Public Spheres : Influence Operations in the 2022 Philippine Elections” พบกระบวนการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในบทบาทที่หลากหลาย เช่น บางคนถูกวางตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีการใช้ชาวต่างชาติที่อาศัยในฟิลิปปินส์ที่หน้าตาดีมาดึงดูดความสนใจ เป็นต้น อนึ่ง พฤติกรรมของผู้รับสารที่ชอบอะไรสั้นๆ ก็มีผลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวคือ ผูุ้้รับสารจะอ่านเพียงพาดหัวข่าวแต่ไม่ได้สนใจเนื้อหาภายในข่าว แล้วก็มาอ่านเฉพาะความเห็นที่มีผู้โพสต์ถึงเนื้อหานั้น

“Influence Operations (ปฏิบัติการสร้างอิทธิพล) ถือเป็นกรอบใหญ่ในการที่จะระบุบุคลิกลักษณะ ตัวแพลตฟอร์ม แล้วก็แนวปฏิบัติที่จะสามารถยึดเอาความเห็น เอาความสนใจของสาธารณะได้ แล้วก็มีการขับเคลื่อนความคิดเห็น แล้วมีผลต่อผลลัพธ์ของการเลือกตั้งได้ด้วย พูดง่ายๆ คุณจะจัดการกับการใส่ร้ายป้ายสีได้อย่างไร กับการเปรียบเทียบไปเป็นพิน็อกคิโอ (ตัวละครในนิทาน) เฉยๆ ลอยๆ ขึ้นมา 

ตัว Influence Operations สามารถที่จะใช้ข้อมูล Disinformation ได้อย่างยาวนาน พูดง่ายๆ มันมีอันตรายมากในช่วงการเลือกตั้ง แต่เมล็ดพันธุ์ของมันถูกเพาะไว้ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะให้เติบโตในหัวของคน แล้วมันเติบโตทั้งปริมาณด้วย บ่อยครั้งเราจะเห็นหลายแพลตฟอร์ม แล้วก็มีอินฟลูเอนเซอร์มากมาย หรือมีคนหยิบยกข้อความเดียวกันมาย้ำๆ นั่นคือวิธีที่คุณเปลี่ยนคำโกหกให้กลายเป็นความจริง” เจสัน กล่าว

ขณะที่ ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยหัวหน้าโครงการ Monitoring Center on Organized Violence Events (MOVE) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า เริ่มสนใจ ไอโอ (IO-Operation Information) หรือการทำ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร บนโลกออนไลน์เมื่อ 5 ปีก่อน โดยเฝ้าสังเกตการณ์ไอโอทั้งที่ถูกจัดตั้งและไม่ถูกจัดตั้ง อย่างไรก็ตาม ในบริบทสังคมตะวันตกที่การเมืองเป็นแบบเปิด จึงเปราะบางต่อการแทรกแซงของข้อมูลข่าวสาร การถกเถียง (Debate) เกี่ยวกับไอโอในสังคมแบบนี้ จึงว่าด้วยผลกระทบด้านความเป็นปึกแผ่นของสังคม

เช่น จะมีการแบ่งขั้ว-แยกข้าง หรือมีความคิดสุดโต่งเกิดขึ้นในสังคมเพียงใด ซึ่งทำให้ความเป็นประชาธิปไตยในสังคมเสื่อมลง ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นก็มีการเมืองแบบเปิด ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจึงเป็นแบบกระจาย ดังนั้นจึงไม่อาจนำกรณีของประเทศไทยไปเทียบเคียงได้ เพราะไทยนั้นมีบรรยากาศของข้อมูลข่าวสารที่ถูกควบคุม ดังนั้นสำหรับไทยนอกจากข้อมูลข่าวสารจะถูกควบคุมแล้วยังมีการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบรรยากาศแบบนี้อำนาจมีความไม่เท่ากันอยู่ อาทิ ทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้ทำไอโอของพรรคการเมืองแต่ละฝั่งไม่เท่ากัน

หรืออาจกล่าวได้ว่า ภายใต้บรรยากาศที่อำนาจไม่เท่ากัน ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจะถูกใช้เพื่อรักษาฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า มีตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น อินเดีย ที่พรรครัฐบาลคือ BJP สามารถกดดันแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก ไม่ให้จัดการกับถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่มาจากพรรค BJP ได้ ส่วนในบริบทประเทศไทย มีทั้งการใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่าง การจับกุมดำเนินคดี ไปจนถึงการใช้สปายแวร์ (Spyware) สอดส่องตัวละครทางการเมือง ไม่ใช่แค่นักเคลื่อนไหวแต่รวมถึงนักการเมืองด้วย

ทั้งนี้ การทำสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ในบริบทการเลือกตั้ง หรือในสังคมที่ขัดแย้งกัน แต่การทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่อันตราย คือในบริบทที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย เพราะจะนำมาซึ่งวิธีการต่างๆ เช่น กระจายข้อมูลที่เป็นการทำลายชื่อเสียง ตั้งคำถามถึงศีลธรรมหรืออารมณ์ความรู้สึกของบุคคลซึ่งผู้ถูกกระทำจะกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม และเป็นการสร้างฉากต่อไปคือการดำเนินคดี แต่ข้อค้นพบนี้จะเกิดขึ้นในบริบทของไทยหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป

สมมติว่าเราเอาบรรยากาศการเลือกตั้งเข้ามาวางในท่อวิเคราะห์ของดิฉัน คำถามต่อไปคือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลข่าวสาร ขณะเดียวกันก็เกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและบรรยากาศการควบคุมครรลองของการเลือกตั้ง ฉะนั้นสิ่งที่เราจะเห็นก็คือการผสมกันของ หนึ่ง..การดำเนินคดีของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ต่อผู้โพสต์ข้อความ ต่อผู้แชร์ข้อมูลที่อาจจะไม่ตรงหรือว่าผิดกติกา ตามที่ กกต. เห็น และการแชร์ข้อมูลเหล่านี้หลายครั้งเป็นข้อมูลที่มาจากกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของราชการ

คำถามก็คือการแชร์ข้อมูลเหล่านี้ที่โดนดำเนินคดี โดยกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งอื่นๆ มันจะส่งผลต่อความสามารถในการตรวจสอบการเลือกตั้งของภาคประชาสังคมหรือไม่ ประเด็นถัดมาก็คืองานวิจัยที่ทำอยู่และกำลังจะดำเนินต่อไป พบว่าการตรวจตราสอดส่องมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันทำให้ผู้ที่ตรวจตราสอดส่องตัวละครทางการเมืองทั้งหลายมีข้อมูลมากพอ นอกจากจะชี้ว่าใครทำผิดกฎหมายอะไรในโลกออนไลน์บ้างแล้ว สามารถ Craft (ประดิษฐ์) สามารถออกแบบข้อความที่ใช้ในการโจมตีตัวละครทางการเมืองได้ด้วย ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว

ด้าน ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เปรียบเทียบไทยกับฟิลิปปินส์ในประเด็น ตระกูลการเมือง กล่าวคือ หากรุ่นลูกถูกเสนอชื่อเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งสำคัญอย่างประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประวัติของรุ่นพ่อจะถูกขุดคุ้ยมาบอกเล่า เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกเล่าแบบใด หากเป็นฝ่ายที่ชอบรุ่นพ่อก็จะเล่าในแง่บวก แต่หากเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะเล่าในแง่ลบ และจะมีทั้งการขุดข้อมูลเก่ามาฉายซ้ำและการตีความข้อมูลนั้นใหม่

ส่วนการทำสงครามข้อมูลข่าวสารระหว่างฝ่ายต่างๆ นั้นจะมีทั้งกลุ่มจัดตั้งและกลุ่มที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสถภาวะแบบนี้ก็จะผลิตข้อมูลมาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันตลอดเวลา นอกจากนั้น ในทุกวันเราทุกคนผลิตข้อมูลกันตลอดเวลา บางอย่างเป็นข้อเท็จจริงแต่บางอย่างก็เป็นความคิดเห็น หรือบางอย่างก็เป็นบทวิเคราะห์ที่วิเคราะห์จากอะไรก็ไม่รู้ คำถามคือเราจะตรวจสอบกันไหวหรือไม่หรือจะปล่อยให้แต่ละคนเลือกเชื่อและเลือกวิเคราะห์กันเอง

ช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร ที่มันน่าสนใจก็ตรงที่ว่า เราสังเกตดีๆ ช่องทางที่กังวลเยอะๆ เช่น Social Media มันเริ่มมีสัดส่วนคนที่รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้งช่องทางนี้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต ส่วนสื่อ Traditional (ดั้งเดิม) วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อะไรนี่ตกไปเลย แต่ที่น่าสนใจคือช่องทางรับข้อมูลที่มันมาจากช่องทางธรรมชาติ มันยังเป็นช่องทางที่คนจำนวนไม่น้อยเขารับอยู่

โดยเฉพาะการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร-พรรคการเมือง โดยเฉพาะคำบอกเล่าของคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน อันนี้เป็นช่องทางที่เขารับข้อมูลข่าวสาร คืออะไรที่มันมาจากช่องทางที่มันเป็นทางการมันก็ยังมีการคัดกรอง มีการเช็คกันได้ หรือ Social Media อินเตอร์เน็ต มันก็ยังมีระบบเข้าไปช่วยได้ แต่ที่มาจากตัวต่อตัวจากนักการเมือง เวลาเขาพูดถึงตัวเองเขาก็ต้องพูดในทางที่ดี ส่วนพูดถึงคู่แข่งก็ต้องพูดทางที่ร้าย การพูดคุยกันเองระหว่างผู้คน ก็ตั้งเป็นประเด็นไว้ว่าเราจะเช็คกันไหวหรือ” ดร.สติธร กล่าว 

ในตอนท้าย ดร.ไมเคิล วาติกิโอดิส ที่ปรึกษาอาวุโส Centre for Humanitarian Dialogue (HD) เป็นผู้กล่าวปิดงาน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยคิดว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของเงิน แต่วันนี้เห็นได้ชัดและต้องขยับจากเงินมาเป็นข้อมูล และการเล่าเรื่อง (Narrative) เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการทำให้เกิดการเสวนา (Dialogue) ก็ต้องมาจากการเล่าเรื่องที่ดี ทั้งนี้ ในบริบทประเทศไทย ตนคิดว่าสิ่งที่จะช่วยได้จริงๆ ในการตอบโต้ข้อมูลเหล่านี้คือการนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เพราะจะเป็นหนทางในการเอาชนะข้อมูลบิดเบือน เพราะการมีเรื่องเล่าส่งผลต่อการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากฟิลิปปินส์คือถ้าคนอ่านประวัติของยุคมาร์กอสจริงๆ เขาก็จะสามารถทำการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงออกไปตอนลงคะแนนเสียงแน่นอน เพราะมันมีประวัติอยู่แล้ว และผมก็คิดถึงความสำคัญมากๆ ในตอนนี้ ในการพูดถึงประวัติศาสตร์ออกไป แล้วก็เปลี่ยนให้มันเป็นกระบวนการ สำหรับผมคิดว่ามันมีประโยชน์มากสำหรับพรรคการเมือง สำหรับภาคประชาสังคมต่างๆ ในประเทศไทย ในการสร้างการหารือ ทำความคุ้นเคยกับคนที่มาลงคะแนนเสียงในยุคใหม่ๆ หรือว่าเด็ก-เยาวชน ให้เข้าใจอดีตที่เกิดขึ้น ดร.ไมเคิล ฝากทิ้งท้าย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อกตั้ง

มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี ผลงานรัฐบาลไหน?


ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือ “มอเตอร์เวย์” เป็นเมกะโปรเจกต์ที่ฝ่ายการเมืองมักนำมากล่าวอ้างว่าเป็นหนึ่งใน “ผลงาน” ของฝ่ายตน โดยเฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โคแฟคตรวจสอบคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวในเวทีปราศรัยใหญ่ที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อ 29 ม.ค. 2566 ว่ามอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรีที่คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า “เริ่มมาตั้งแต่สมัยไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และอยู่ในโครงการ (เงินกู้) สามล้านล้าน ตอนสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของเพื่อไทย” ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ออกมาวิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงความล่าช้าในการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และกล่าวว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์และได้เป็นรัฐบาล “จะเร่งรัดการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน”

การที่พรรคเพื่อไทยหยิบยกมอเตอร์เวย์ขึ้นมาหาเสียง ทำให้ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันโลกออนไลน์” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 34,000 คน โพสต์ข้อความว่า “มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช เป็นผลงานของรัฐบาลปัจจุบันทั้งหมด ตั้งแต่ตอกเสาตอม่อต้นแรกจนใกล้แล้วเสร็จ พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” และสรุปว่ารัฐบาลของนายทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายบางปะอิน-โคราช หรือทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายอื่นๆ 

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อ 15 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า หนึ่งในผลงานช่วง 8 ปีที่เขาเป็นนายกฯ คือ การสร้างมอเตอร์เวย์เพิ่มขึ้น 3 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมา บางใหญ่-กาญจนบุรี และพัทยา-มาบตาพุด สอดคล้องกับเพจเฟซบุ๊กพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แชร์อินโฟกราฟิกรวม “33 ผลงานภาคอีสาน” ของรัฐบาลประยุทธ์ หนึ่งในนั้นคือมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานต่างๆ เช่น ราชกิจจานุเบกษา มติคณะรัฐมนตรีย้อนหลังในเว็บไซต์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมทางหลวง และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม เป็นต้น พบว่าโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. วงเงินลงทุนรวม 84,600 ล้านบาท และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. วงเงินลงทุนรวม 61,034 ล้านบาท ดำเนินงานมายาวนานกว่า 20 ปี และเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหลายชุด จากข้อมูลออนไลน์ที่โคแฟคสืบค้นเมื่อ 16 ก.พ. 2566 สรุปความเป็นมาของโครงการได้ดังนี้ 

มอเตอร์เวยสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6)

1. เป็น 1 ใน 13 โครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองซึ่งได้รับการอนุมัติจาก ครม. เมื่อ 22 เม.ย. 2540 สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
2. รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของโครงการ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อ 23 พ.ย. 2549 ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ โดยได้รับแต่งตั้งหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 
3. กรมทางหลวงดำเนินการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จในปี 2551 สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ต่อด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
4. พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 26 เม.ย. 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
5. รัฐบาลยิ่งลักษณ์บรรจุโครงการนี้ไว้ในแผนงานภายใต้ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ “ร่าง พ.ร.ก.เงินกู้สองล้านล้าน” แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อ 12 มี.ค. 2557 ว่าขัดรัฐธรรมนูญ จึงตกไป
6. ครม. รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มีมติเมื่อ 14 ก.ค. 2558 อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้าง
7. อีไอเอฉบับปรับปรุงได้รับความเห็นชอบเมื่อ 21 ก.ย. 2559 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
8. เปิดทดลองให้ประชาชนใช้ฟรีเฉพาะช่วง อ.ปากช่อง-อ.สีคิ้ว เป็นครั้งแรกช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 และช่วงวันหยุดยาว/เทศกาลปี 2565 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
9. ครม. ประยุทธ์อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติม 4,970 ล้านบาท ขณะที่รองโฆษกรัฐบาลแถลงเมื่อ 25 ม.ค. 2566 ว่าการก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 98 คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2568

มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81)

1. เป็นโครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อนุมัติเมื่อปี 2540 เช่นเดียวกับสายบางปะอิน-นครราชสีมา 
2. รายงานอีไอไอของโครงการช่วงบางใหญ่-บ้านโป่ง ได้รับความเห็นชอบ 29 ก.ค. 2541 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย และอีไอเอของช่วงบ้านโป่ง-กาญจนบุรี ได้รับความเห็นชอบ 25 ส.ค. 2546 สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
3. กรมทางหลวงสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จในปี 2552 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
4. พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 10 ก.ย. 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งบรรจุโครงการนี้ในแผนงานภายใต้ ร่าง พ.ร.ก.เงินกู้สองล้านล้านบาท ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ
5. ครม. ประยุทธ์มีมติเมื่อ 14 ก.ค. 2558 อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้าง
6. อีไอเอฉบับปรับปรุงได้รับความเห็นชอบเมื่อ 21 ก.ย. 2559 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
7.รองโฆษกรัฐบาลแถลงเมื่อ 25 ม.ค. 2566 ว่าการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 85 คาดว่าจะเปิดบริการเต็มรูปแบบปี 2568

ข้อสรุปโคแฟค

หากนับมติ ครม. ปี 2540 ที่เห็นชอบแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเป็นจุดเริ่มต้น โครงการมอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สายนี้เกิดขึ้นมากว่า 20 ปีแล้ว โดยรัฐบาลชุดต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องและบทบาทมากน้อยต่างกันไป คำกล่าวอ้างว่าโครงการเหล่านี้เป็นผลงานของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน แต่หากกล่าวเฉพาะการก่อสร้าง มอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สายเริ่มก่อสร้างในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลังจาก ครม. อนุมัติการก่อสร้างเมื่อ 14 ก.ค. 2558

ควรบันทึกด้วยว่าตลอดระยะการดำเนินโครงการ มีเสียงร้องเรียนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต้องถูกเวนคืนที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน และมีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ทั้งการอนุมัติอีไอเอ การประมูลงานและบริหารสัญญากับเอกชน 

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566

ภาพหลวงปู่ทวด เมื่อ 300 ปี พ.ศ. 2268 ฝรั่งถ่ายไว้ได้ ใครเห็นถือเป็นบุญวาสนา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3j1n9o4q1tctw


แว๊กซ์ในถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อันตรายต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/2hnam5pxsgdgx


พรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญราชการ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2p18snt76u74x


13 กพ.66 เกิดเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ 3.7 แมกนิจูด ที่ อ.กะปง จ.พังงา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/380hf3wg8i84q


ภาพสุนัขกู้ภัยไทยช่วยภารกิจที่ตุรกี ที่แท้เป็นภาพปลอม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18tomadxhm11n


พ.ร.บ. อุ้มหาย : มติ ครม. เลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา เหตุจัดซื้อกล้องตำรวจ 1.71 แสนตัวไม่ทัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ejb1tnvt62kc


พนักงานสถานีโทรทัศน์ พักผ่อนน้อย โหมงานหนัก ทำงาน 7 วัน จนร่างกายทรุด ตายหน้าคอม ที่บริษัทเพื่อนร่วมงานคิดว่านอนหลับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/22nf2sdfc0cdo


หยุดใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pfz5xjpu2v7k


WiFi ปลอม ดักข้อมูล-ขโมยรหัส-ดูดเงินเกลี้ยงบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3b551wsv6p5jj


5 คนสื่อชวนจับตาเลือกตั้ง’66  พรรคการเมืองจัดเต็มสงครามข่าว-หาเสียง กับบทบาททับซ้อนตำแหน่งบริหารราชการ

16 ก.พ. 2566 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค  โคแฟค (ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนา Media Forum ครั้งที่ 18 หัวข้อ จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกันที่ห้องคึกฤทธิ์ ปราโมท  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.สุรัตน์ ทีรฆาภิบาล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารท่าพระจันทร์และวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมและการเมืองมายาวนาน ในทางการเมืองก็มีผู้เข้าไปผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศในหลายๆ ครั้ง

“ในช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งก็เหมือนทางข่าวของฝั่งการเมืองจะร้อนแรงพอสมควร ซึ่งการเลือกตั้งแน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นหัวใจที่สำคัญมากของประชาธิปไตย ฉะนั้นบทบาทของสื่อเองผมเชื่อว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะต้องนำเสนอข่าวสารต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาแล้ว เพราะสามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง บทบาทของสื่ออีกอย่างในยุคสมัยนี้คือ กระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมากขึ้นและง่ายขึ้น” รศ.ดร.สุรัตน์ กล่าว

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า  ช่วงนี้เป็นเวลาฝุ่นตลบจริงๆ อย่างนักการเมืองที่ยังไม่รู้ว่าขปอยู่พรรคไหน วันนี้อยู่พรรคหนึ่งตอนใกล้ๆ เลือกตั้งก็อาจไปอยู่อีกพรรคหนึ่งก็ได้ หรือการเมืองยังเป็นเรื่องที่มีคณิตศาสตร์เข้ามาด้วย เช่น ตัวเลขของการจัดตั้งรัฐบาล ตัวเลขของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เป็นตัวแปรซึ่งจะบอกว่าไม่มีบทบาทคงไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนในฐานะเป็นผู้บริโภคสื่อต้องมีความรู้และความเข้าใจ

“หลายครั้งเวลารายงานข่าวการเลือกตั้ง เราก็จะรายงานแบบถ้าตำราของต่างประเทศจะเรียกรายงานแบบม้าแข่ง ก็คือรายงานว่าพรรคไหนจะชนะ พรรคไหนจะได้เสียงมากกว่ากัน แต่ไม่ค่อยรายงานเรื่องของนโยบาย หรือแนวคิดของแต่ละพรรคที่เมื่อเข้ามาแล้วจะบริหารประเทศอย่างไร จะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับพี่น้องประชาชนอย่างไร  แต่ช่วงหลังมีเรื่องของนโยบายมาขายกัน เป็นลักษณะนโยบายประชานิยม หรือนโยบายขายฝัน มันเป็นไปได้หรือไม่ได้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนในฐานะผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ” ชวรงค์กล่าว

ดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวว่า การทำงานข่าวยุคนี้ด้านหนึ่งง่ายเพราะพรรคการเมืองหรือนักการเมืองมีการทำข่าวสำเร็จรูป (Press Release) ส่งให้ผู้สื่อข่าวทุกวัน แต่ความยากคือ การที่ผู้สื่อข่าวต้องฉุกคิดว่าในการส่งข่าวมาให้นั้นเป็นการปล่อยข่าวหรือไม่ หรือผู้สื่อข่าวก็มีข้อจำกัดในการสอบถามเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับการไปสัมภาษณ์แบบเจอหน้ากัน เรื่องนี้เป็นความท้าทายของผู้สื่อข่าวที่หากหยิบเพียงชิ้นข่าวนั้นมานำเสนอก็อาจเป็นการรายงานเพียงด้านเดียว สื่อก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองในการปล่อยข่าวได้

ขณะที่สิ่งที่พบในสนามข่าวปัจจุบันซึ่งเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ที่ต้องจับตาคือ บุคคลที่สวมหมวก 2 ใบ คือมีฐานะทั้งผู้มีอำนาจในรัฐบาล พร้อมกับมีตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมือง   เวลาที่ลงพื้นที่ไปพบปะประชาชนไปในฐานะใด  และจากที่ลงไปร่วมทำข่าวพบว่าใช้การหาเสียงในเวลาราชการ 

สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวว่า ปัจจุบันข่าวทะลักมาเป็นจำนวนมากซึ่งก็มาจากพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แต่นี่คือความท้าทายของคนทำงานสื่อที่บางครั้งดูเหมือนนักข่าวจะกลายเป็นพีอาร์หรือประชาสัมพันธ์ เพราะฝ่ายการเมืองจะไม่ส่งข่าวมุมลบมาให้อย่างแน่นอน ดังนั้นนักข่าวก็ต้องคอยตรวจสอบด้วย ซึ่งแม้บางครั้งแหล่งข่าวอาจจะโกรธหรืองอนนักข่าว แต่ก็ต้องมีวิธีพูดคุยกับแหล่งข่าว 

ทั้งนี้ มีความพยายามของพรรคการเมืองในการเข้าถึงตัวบรรณาธิการเพื่อขอฝากข่าว ดังนั้นการรักษาระยะห่างระหว่างคนทำงานสื่อกับฝ่ายการเมืองจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ แม้จะรู้จักกันหรือสนิทกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝากข่าวได้ ส่วนประเด็นการลาราชการไปหาเสียงให้พรรคการเมือง ก็มีประเด็นให้คิดต่อว่าเป็นการลาแบบใด 

เสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า  การเมืองหน้าฉากกับหลังฉากเป็นคนละเรื่องกัน และส่วนใหญ่เรื่องจริงมักอยู่ด้านหลัง ในขณะที่ด้านหน้าคือการเรียบเรียงเพื่อตั้งใจส่งสัญญาณให้ไปกระทบอีกฝ่าย หรือประเมินเสียงตอบรับ (Feedback) ทั้งนี้ ภาพรวมการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้านหนึ่งบอกได้ว่าค่อนข้างดุเดือดในรอบหลายปีเพราะมีการเดิมพันสูงมาก แต่อีกด้านก็เป็นเรื่องแปลกเพราะเหมือนรู้ล่วงหน้าแล้วว่าใครจะชนะ กระทั่งมองข้ามขั้นไปคุยกันเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว  ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ประสบการณ์อธิบายให้ผู้คนเข้าใจ ซึ่งหากสังเกตดูดีๆ จะมีการส่งสัญญาณสลับขั้วกันอยู่เรื่อยๆ  สิ่งเหล่านี้พอจะดูออกว่ามันคือ เกม และเป็นศิลปะที่ไม่ง่ายในการสื่อสารให้คนทราบ

“กอง บก. เองก็เหนื่อย รอบนี้เหนื่อยกับสงครามข่าวที่มันมีจำนวนมาก  แล้วผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเดิมพันแปลกๆ คือเหมือนกับเลือกตั้งไปก็ไม่ได้คิดว่าจะจบแค่การบริหาร คือมันมีเดิมพันไกลมาก บางคนก็จะกลับมาติดคุก-ไม่ติดคุก บางคนจะต้องรักษาอำนาจต่อ บางคนต้องผนึกเครือข่าย คือผมคิดว่าตอนนี้มันเดิมพันเยอะ เพราะฉะนั้นทุกคนลงกันเต็มที่  ดังนั้นการสื่อสารเต็มรูปแบบ Media (สื่อ) ก็ด้านหนึ่ง ไม่นับ IO (Information Operation-ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) มีทุกอย่าง” เสถียร กล่าว

สมฤดี ยี่ทอง บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี กล่าวว่า สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปัจจุบันน่าจะมีปัญหาเหมือนกันคือจำนวนนักข่าวลดลงในขณะที่พรรคการเมืองมีจำนวนเท่าเดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นกอง บก. จึงจำเป็นต้องเลือก โดยทั่วไปก็จะเป็นพรรคหลักๆ ตามความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทิ้งพรรคอื่นๆ ไม่เช่นนั้นพรรคใหม่ๆ คงไม่สามารถเกิดขึ้น  แต่อีกด้านหนึ่งพรรคการเมืองเองก็ปรับตัว มีการทำข่าวหรือคลิปวีดีโอส่งมาให้สื่อมากขึ้น ซึ่งคนทำงานสื่อก็ต้องตระหนักว่าหากเป็นการส่งข่าวทางเดียวก็จะได้แต่ภาพในด้านดีด้านเดียว ดังนั้นแม้จะไม่ได้ส่งนักข่าวไปลงพื้นที่ก็อาจต้องหาข้อมูลจากทางอื่น เช่น จากเพื่อนๆ ในวงการที่ไปลงพื้นที่ ซึ่งทางองค์กรต้นสังกัดจะย้ำเสมอในเรื่องการรักษาสมดุล (Balance) ความเป็นกลาง 

วราวิทย์ ฉิมมณี ผู้ดำเนินรายการ คมชัดลึก และข่าวข้นคนข่าว สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี กล่าวว่า อย่าปฏิเสธว่าการเมืองไม่ใช่เกม และนักการเมืองที่บอกว่าไม่ได้เล่นเกมจริงๆ ก็กำลังเล่นอยู่  ได้คุยกับแขกรับเชิญที่เป็นนักการเมืองมามาก บางทีหน้าฉากอย่างหนึ่งหลังฉากก็อีกอย่างหนึ่ง แต่การนำเรื่องหลังฉากมาถามกันตรงๆ หน้าฉากอาจไม่เหมาะสมจึงต้องหาวิธีการอื่นๆ   บางทีไม่ได้สัมภาษณ์นักการเมืองคนนั้น แต่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้รับการบอกเล่ามาเล่าผ่านหน้าจอเพื่อให้ทุกคนเท่าทัน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าประชาชนจะชอบหรือไม่ชอบใคร  สิ่งที่หวังที่สุดแล้วคือ อยากให้ประชาชนมีความเท่าทันเกมการเมือง  

“อย่างล่าสุดให้จับตามอง บอกว่าโคราชจะมีปราศรัยใหญ่ จะมีคนมาฟัง 4-5 หมื่นคน รู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนมาฟังจำนวนนั้น  ซึ่งแปลว่ามีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้ภาพแบบนี้มันเกิดขึ้น คือถึงแม้ว่าภาพนั้นมันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ว่าสารนั้นมันก็ได้เข้าไปแล้ว ทีนี้เวลาเรารายงานว่าใครไปทำอะไร เราก็จะสอดแทรกแง่มุมข้อสังเกตตรงนี้เข้าไปตลอดเพื่อให้ประชาชนคนรับสื่อรู้ทัน” วราวิทย์ กล่าว

ในตอนท้าย ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ รองประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)  กล่าวปิดการเสวนา ระบุว่า งานนี้เป็นเวทีที่มีคุณค่าและน่าสนใจ ซึ่งในช่วงเลือกตั้งนี้โคแฟคร่วมกับภาคีทั้งในและต่างประเทศ เตรียมทำระบบตรวจสอบข้อมูลเท็จ หลอกลวง สร้างความเกลียดชัง ใส่ร้ายกันและยินดีให้ทุกสื่อใช้ประโยชน์และเข้ามาร่วมมือกัน

อย่างที่ทุกท่านพูดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเดิมพันสูง ทุกท่านพูดว่านักการเมืองเขาก็เต็มที่ ตัวเงินก็ไม่น้อย แต่ในนามประชาชนก็เสี่ยงสูงเหมือนกัน เชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทเต็มรูป 100% มันจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้เป็นระดับประเทศ ฉะนั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน การทำหน้าที่ของสื่อออนไลน์ รวมทั้งการทำหน้าที่ของประชาชนจะมีความสำคัญมาก เวทีวันนี้เป็นเวทีเริ่มต้น คิดว่าจะต้องจับไต๋การเมืองกันต่อไป ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

พรรคก้าวไกลเสนอลดบำนาญข้าราชการ ข่าวลวงที่กลับมาช่วงเลือกตั้ง   

ข้อความที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญข้าราชการ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นเนื้อหาที่บิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิด ได้ถูกนำมาเผยแพร่ในแอปพลิเคชันไลน์และโซเชียลมีเดียอีกครั้งหลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ

“พรรคก้าวไกลเรียกข้าราชการบำนาญว่าพวกช้างป่วย งานไม่ทำ ได้รับเงินเดือน ตั้งงบประมาณไว้เลี้ยงช้างป่วยรอวันตาย” และ “ถ้าผม (พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-หัวพน้าพรรคก้าวไกล) ได้เป็นนายกฯ ผมจะตัดบำนาญข้าราชการ” เป็นตัวอย่างข้อความที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา โดยเนื้อหาลักษณะเดียวกันนี้ ได้ถูกส่งต่อทั้งในในแอปพลิเคชันไลน์และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก มีทั้งการแต่งกลอนโจมตีพรรคก้าวไกล และข้อความเชิญชวนให้ข้าราชการบำนาญลงชื่อเสนอกฎหมายตัดบำนาญ ส.ส. เพื่อเป็นการตอบโต้

การกลับมาของเนื้อหาที่บิดเบือนคำพูดของนายพิธาในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ทำให้พรรคก้าวไกลและนายพิธาต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง โดยนายพิธาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ว่า

“…มีข่าวปลอมข่าวหนึ่งที่วนกลับมา ถูกส่งต่อในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มไลน์ บิดเบือนว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า เราไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ สิ่งที่เราเสนอคือให้ลดงบประจำที่ไม่ใช่เงินเดือนของข้าราชการ เช่น การไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา โครงการที่ซ้ำซ้อน รวมถึงลดงบกลางที่เป็นเงินสำรองที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเอาไปใช้ได้ตามใจชอบ โดยไม่เกิดประโยชน์”

โคแฟคตรวจสอบ

วันที่ 13 ก.พ. 2566 โคแฟคตรวจสอบข่าวนี้พบว่า จุดเริ่มต้นของประเด็นงบประมาณบำนาญข้าราชการนี้ มาจากเนื้อหาส่วนหนึ่งของการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2566 ในวาระที่ 1 โดยนายพิธาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2565

จากคลิปบันทึกการอภิปรายของนายพิธา ความยาว 30 นาที สรุปใจความสำคัญได้ว่า นายพิธาเห็นว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลขาดความสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย เขาเปรียบโครงสร้างงบประมาณปี 2566 ว่าเป็นเหมือน “ช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้” และแสดงข้อมูลประกอบว่า งบประมาณรายจ่ายกว่า 3 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลตั้งไว้สำหรับปี 2566 นั้น เป็นรายจ่ายบุคลากรภาครัฐถึง 40 เปอร์เซ็นต์ รายจ่ายที่สูงที่สุดคือบำนาญข้าราชการ

“ตัวเลขที่สูงที่สุดในงบประมาณรายจ่ายคือเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ มูลค่า 3 แสนกว่าล้านบาท สูงเท่ากับกระทรวงศึกษาธิการทั้งกระทรวงที่ดูแลเด็กทั้งประเทศ อันนี้เป็นปัญหาเรื่องช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้” นายพิธากล่าวต่อที่ประชุมสภา

เขายังให้ข้อมูลอีกว่า งบประมาณรายจ่ายส่วนที่เป็นบำนาญข้าราชการเพิ่มขึ้นจาก 1.4 แสนล้านบาทในปี 2557 เป็น 3 แสนล้านบาทในปี 2564 และ 3.2 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนคาดว่าจำนวนข้าราชการบำนาญจะเพิ่มจาก 8 แสนคนในขณะนี้ เป็น 1.2 ล้านคนในปี 2580

“แค่บำนาญ แค่บุคลากรเนี่ย เกินงบประมาณที่เราจะใช้ไปเยอะมากเลยทีเดียว อันนี้เป็นยาขมที่เราต้องกลืน และผมก็ต้องส่งสัญญาณดังๆ ไปยังพี่น้องข้าราชการที่เคารพรักทุกท่านว่าเราต้องมาช่วยกันคิดว่ากระบวนการรัฐราชการ ช้างอุ้ยอ้าย ช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้แบบนี้ เราจะแก้ไขปัญหากันยังไง” นายพิธากล่าวก่อนจะอภิปรายเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ส่วนอื่นๆ ต่อไป

การอภิปรายของนายพิธาเมื่อวันที่่ 31 พ.ค. ซึ่งเป็นที่มาของการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับบำนาญข้าราชการ

หลังการอภิปราย ปรากฏว่ามีการนำคำพูดของนายพิธามาบิดเบือนและเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันไลน์ เช่น ข้อความที่ระบุว่านายพิธาเสนอให้ตัดบำนาญข้าราชการ กล่าวว่าเงินบำนาญคือตัวปัญหาของการพัฒนาประเทศ และเปรียบข้าราชการบำนาญว่าเป็น “ช้างป่วย” ที่เป็นภาระงบประมาณประเทศ เป็นต้น ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ได้ปรากฏในการอภิปรายของนายพิธา

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์โคแฟคว่า พรรคก้าวไกลรับมือกับ “ระลอกแรก” ของข่าวปลอมว่าด้วยการตัดบำนาญข้าราชการ ซึ่งคาดว่าเริ่มต้นจากการส่งข้อวามในแอปพลิเคชันไลน์ ด้วยการชี้แจงผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้แทนสหพันธ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทยและศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทยโดยตรง พร้อมกับแถลงข่าวร่วมกันที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2565

สำหรับ “ระลอกที่สอง” ของข่าวเท็จเรื่องบำนาญข้าราชการในช่วงปลายเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 นายพริษฐ์วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพราะบริบททางการเมืองที่กำลังเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเขาคาดว่าอาจจมีข่าวปลอมอื่นๆ ที่ถูกผลิตขึ้นใหม่หรือถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำมากขึ้นในช่วงนี้ หนึ่งในนั้นข่าวเท็จที่บอกว่าพรรคก้าวไกลเสนอให้ยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้านในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“ข่าวปลอมมันกระทบกับฝ่ายที่ถูกกล่าวหาในทางที่ผิด แต่เราเข้าใจดีว่าทางออกไม่ใช่การให้อำนาจกับรัฐในการผูกขาดว่าอะไรเป็นข่าวปลอมแล้วปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ทางแก้ปัญหาคือการมีพื้นที่ตรงกลางที่ให้ฝ่ายที่เสียหายชี้แจงได้ และสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงชุดข้อมูลที่แตกต่างหลากหลายมากที่สุด” นายพริษฐ์กล่าวกับโคแฟค

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด งดแชร์

ข้อความที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญข้าราชการเป็นข้อมูลเท็จและบิดเบือนจากคำอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 ในสภาของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ข่าวนี้เป็นข่าวลวงวนซ้ำ โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกันแล้ว

รับชม! Media Forum “จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกัน” พฤ 16 ก.พ. 66 10โมง FB #Cofact #โคแฟค

สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โคแฟค(ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมจัดเสวนา Media Forum ครั้งที่ 18 ในหัวข้อ “จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกัน” ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ก.พ. 2566 เวลา 10.00 น.

ร่วมเสวนา โดย

  • นางสาวสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
  • นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี
  • นางสาวสมฤดี ยี่ทอง บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี
  • นางสาวดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
  • นายวราวิทย์ ฉิมมณี ผู้ดำเนินรายการ คมชัดลึก และข่าวข้นคนข่าว สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี

ติดตามชมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก ThaiPBS, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ Cofact โคแฟค และสภาองค์กรของผู้บริโภค


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566

แคะจมูกบ่อยๆทำให้จมูกบาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/rpcwqr1vfoov#_=_


ดื่มน้ำมะนาวล้างไตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/34o2p2479wwqq


ฟันผุติดต่อกันได้ ผ่านการหอมหรือจูบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3uxe9z4ur9uum#_=_


ใช้มือถือตอนฝนตกอาจโดนฟ้าผ่า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/1pxx76tlryvht#_=_


 วิตามิน C เมื่อรับประทานมากเกินไป ทำให้ปัสสาวะมีลักษณะสีเหลือง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/16m25torykil3#_=_


ธนบัตรชำรุด สามารถแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรใหม่ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26vfvrgmbqgef#_=_


รับประทานหมูดิบทำให้หูดับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/87s4696pcod6#_=_


 เตือน “ช้อปปิ้งออนไลน์” ห้ามโอนเงินผ่าน WIFI เสี่ยงถูกแฮกบัญชี ทำสูญเงิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/luwuk5bhotf2#_=_


พล.อ.ประยุทธ์ ชวนคนติดตามข่าวช่อง Top News ข่าวจริงที่มาพร้อมกับเสียงวิจารณ์

คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ชื่นชมและเชิญชวนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม Top News เป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียให้ความสนใจมากที่สุดประเด็นหนึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่ในสตูดิโอรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ของช่อง Top News พร้อมข้อความ “ประยุทธ์ขอให้ทุกคนดูข่าวช่อง Top News เป็นช่องเสนอข่าวจากข้อเท็จจริง วิเคราะห์ข่าวอย่างมีหลักเกณฑ์ที่ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง” ถูกเผยแพร่ในทวิตเตอร์และแอปพลิเคชันไลน์ในวันที่ 1 ก.พ. 2566 ขณะที่สื่อกระแสหลักก็เสนอข่าวในทำนองเดียวกัน เช่น เพจเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์โพสต์ภาพนายกฯ พร้อมคำพูด “ประชาชนที่รับฟังอยู่ทางบ้าน ขอให้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากช่อง Top News นะครับ เป็นช่องที่นำเสนอข่าวจากข้อเท็จจริง” โดยไทยรัฐให้ข้อมูลว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดระหว่างเยือน Top News เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 2 ปี

คำพูดของนายกฯ ที่ถูกหยิบยกมาบางส่วนและการสรุปความ ทำให้ขาดรายละเอียดและบริบท หลายคนจึงอาจสงสัยถึงที่มาที่ไป กระทั่งคิดว่าเป็นข่าวปลอม เพราะแม้ว่าการที่บุคคลสำคัญไปร่วมงานวันเกิดสื่อจะเป็นเรื่องปกติ แต่การที่นายกรัฐมนตรีชักชวนให้ประชาชนรับข่าวสารจากสื่อสำนักใดสำนักหนึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้ง Top News ไม่ได้เป็นสื่อในกำกับของรัฐบาลหรือสื่อกระแสหลัก แต่เป็นสื่อเอกชนที่ออกอากาศทางทีวีดาวเทียมและช่องทางออนไลน์มาได้เพียง 2 ปี 

โคแฟคตรวจสอบ

จากวิดีโอบันทึกภาพและรายงานข่าวกิจกรรมวันครบรอบ 2 ปีของ Top News พล.อ.ประยุทธ์เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงในแวดวงการเมือง ตำรวจ ทหารและภาคธุรกิจที่เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับ Top News นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์แล้วยังมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต. วินธัย สุวารี ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็นต้น 

พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาอยู่ที่ Top News ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยออกตัวว่า “มาในหลายสถานะ” และกล่าวถึง Top News ว่า “เป็นสื่อที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ให้ความเชื่อถือและติดตามจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”

นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Top News นำนายกฯ เข้าเยี่ยมชมสตูดิโอ ซึ่งขณะนั้นกำลังออกอากาศสดรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ที่มีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เป็นพิธีกร คำพูดของนายกฯ จึงได้รับการเผยแพร่ในรายการดังกล่าวด้วย ช่วงหนึ่งนายกฯ พูดกับพิธีกรว่า “ผมติดตาม [Top News] เพราะว่าเราพูดจากข้อเท็จจริง ความเป็นจริง…เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์ข่าวก็อยากให้เป็นแบบนี้ แล้วก็ทำยังไงมันจะไม่สร้างความขัดแย้งกันมากมาย พูดกันด้วยข้อเท็จจริง…ผมก็ติดตามมา มีเวลาผมก็เปิดดู แล้วก็เห็นว่าเป็นสื่อที่มีคุณภาพ”

ก่อนจะออกจากสตูดิโอ นายกฯ ถามพิธีกรว่ายังถ่ายทอดสดอยู่หรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ เขาจึงหันมาพูดกับกล้อง เชิญชวนให้คนติดตามข่าวจาก Top News ซึ่งโคแฟคถอดคำพูดจากคลิปรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูป @TOPNEWSLIVE77 เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ดังนี้

“สวัสดีอีกครั้งนะครับ ก็ขอให้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากช่องท็อปนิวส์นะครับ ซึ่งเป็นช่องที่เสนอข่าวที่มาจากข้อเท็จจริง เท่าที่ผมประเมินเอานะ เสนอจากข้อเท็จจริง แล้วก็วิเคราะห์อย่างมีหลักมีเกณฑ์อะไรต่างๆ เหล่านี้ คือไม่ใช่เพื่อความขัดแย้ง ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าอะไรมันเป็นอะไร อันนั้นคือสิ่งสำคัญ ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งก็ตรงกับเจตนารมณ์ของผม แล้วก็กับแนวทางการปฏิบัติของผมสืบต่อไปในวันข้างหน้า”

ข้อสรุปโคแฟค: ข่าวจริง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเชิญชวนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากช่อง Top News จริง ซึ่งเป็นการพูดออกอากาศในรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ขณะไปร่วมอวยพรวันครบรอบการก่อตั้งสถานี แต่ก็มีบางช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในเชิงเสนอแนะให้ Top News วิเคราะห์ข่าวบนพื้นฐานความจริง พูดข้อเท็จจริงและไม่สร้างความขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม น่าบันทึกไว้ด้วยว่า การชื่นชมยกย่อง Top News ของนายกฯ ได้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนไม่น้อยถึงความเหมาะสมของการที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีสนับสนุน Top News อย่างชัดเจน บางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่า Top News เสนอข้อเท็จจริงและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งวันต่อมา ผู้ประกาศข่าว Top News ก็ได้ออกมาตอบโต้เสียงวิจารณ์เหล่านั้น เช่น นายสันติสุข มะโรงศรี พิธีกรรายการ “ข่าวมีคม” กล่าวว่ามีการนำคำพูดของนายกฯ ไปทำแบนเนอร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่านายกฯ ชี้นำให้ประชาชนดูแต่ Top News 

“[พล.อ.ประยุทธ์] ไม่ได้บอกว่าให้ดูเฉพาะจาก Top News แบนเนอร์ถูกเอาไปโจมตี เอาไปด้อยค่าว่าช่องนี้เสนอแต่ข่าวปลอมข่าวเท็จ…บอกมาสิว่าข่าวไหนเท็จ ถ้ามันเท็จ ถ้ามันไม่ตรงเราจะแก้ให้” นายสันติสุขกล่าว

เรื่องแนะนำ

เมื่อรูปถ่ายคุณทวดกลายเป็นรูป “หลวงปู่ทวด” ลูกหลานวอนหยุดแชร์-หยุดแพร่ความเข้าใจผิด

เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่ภาพของชายและหญิงชราสองคน พร้อมด้วยข้อความว่า “ภาพหลวงปู่ทวดเมื่อ 300 ปี พ.ศ. 2263 ฝรั่งถ่ายไว้ได้ ใครเห็นถือเป็นบุญวาสนา” ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชั่นไลน์ แม้ลูกหลานของบุคคลในภาพจะออกมายืนยันว่า ชายในภาพไม่ใช่หลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งภาคใต้ที่คนจำนวนมากเคารพศรัทธา แต่ก็ยังคงมีคนนำภาพนี้มาโพสต์และแชร์อยู่เสมอ

ภาพถ่ายขาวดำนี้มักถูกนำมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียโดยผู้ที่ศรัทธาพระเกจิอาจารย์หรือผู้ที่เดินทางไปยังสถานที่มีประวัติเชื่อมโยงกับหลวงปู่ทวด เช่น วัดช้างให้ จ.ปัตตานี หรือวัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนขนาดใหญ่ของหลวงปู่ทวด นอกจากนี้ยังมีการตัดภาพ (crop) ให้เป็นภาพเดี่ยวของชายชราผมสั้นเกรียน ห่มผ้าพาดบ่าคล้ายพระสงฆ์พร้อมกับเติมข้อความเป็นการ์ดอวยพร ทำให้ภาพนี้ถูกส่งต่อแพร่หลายยิ่งขึ้น

ข้อมูลและประวัติหลวงปู่ทวดที่เผยแพร่อยู่ทั่วไปนั้น เป็นการผสมกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์กับตำนานที่เล่าขานต่อกันมา เว็บไซต์นิตยสารสารคดีและจดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือในด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ระบุว่า หลวงปู่ทวดเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคใต้ ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีในการบันทึกภาพในโลก รูปลักษณ์หน้าตาของท่านที่เห็นจากพระเครื่องหรือประติมากรรมในยุคหลังที่ห่างจากช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่หลายร้อยปี ล้วนเป็นภาพจากนิมิตที่ว่ากันว่าท่านแสดงอภินิหารให้เห็น

โคแฟคคาดว่า ช่วงต้นเดือนมีนาคมจะมีการแชร์ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพถ่ายหลวงปู่ทวดนี้กันมากขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและสื่อมวลชนบางสำนักที่ระบุว่า วันที่ 6 มี.ค. เป็นวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ทวด

โคแฟคตรวจสอบ


กรณี “รูปถ่ายหลวงปู่ทวด”
นี้ เคยมีผู้หักล้างข้อมูลโดยอ้างอิงประวัติศาสตร์การถ่ายภาพที่ระบุว่า ภาพถ่ายใบแรกของโลกถ่ายโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเมื่อปี 1826 (พ.ศ. 2369) ขณะที่ประวัติหลวงปู่ทวดที่เผยแพร่โดยทั่วไประบุว่า ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยปลายอยุธยา ซึ่งยังไม่มีการใช้กล้องถ่ายรูป และมรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2226 ซึ่งหมายความว่า หลวงปู่ทวดมรณภาพก่อนที่จะมีการถ่ายภาพขึ้นในโลกถึงกว่า 140 ปี

นอกจากนี้ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธ ฆราวาสจะไม่นั่งเสมอพระสงฆ์ หากชายชราในภาพเป็นพระสงฆ์จริง หญิงชราย่อมจะไม่นั่งเสมอท่าน

ปี 2563 ลูกหลานตระกูลไชยรักษ์อย่างน้อยสองคน คือนายจิตติศักด์ ไชยรักษ์ และนายล้ำเลิศ ไชยรักษ์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กยืนยันว่า บุคคลในภาพคือบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่ใช่พระอริยสงฆ์ชื่อดังและไม่ได้เป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อ 300 ปีก่อนอย่างที่ลือกัน

วันที่ 23 ม.ค. 2566 นายจิตติศักดิ์ อายุ 47 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เกี่ยวกับที่มาของภาพถ่ายนี้ว่า ชายชราในภาพคือ นายพ่วง ไชยรักษ์ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ คือภรรยาชื่อนางรอด ไชยรักษ์ ภาพนี้ถ่ายที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่ทราบว่าถ่ายเมื่อใดและใครเป็นคนถ่าย เขาเห็นภาพถ่ายนี้ที่บ้านตั้งแต่เด็กๆ และได้รับคำบอกเล่าว่าทั้งสองท่านคือบรรพบุรุษของครอบครัวไชยรักษ์

หากนับตามลำดับญาติ นายพ่วงมีศักดิ์เป็น “เทียด” หรือพ่อของทวดของนายจิตติศักดิ์ แต่ลูกหลานรุ่นหลังมักเรียกท่านว่า “ทวดพ่วง”

“ทวดพ่วงเป็นคนพัทลุง เดินทางเอาช้างมาให้ที่นครศรีธรรมราชแล้วมาได้เมียที่นี่ เครือญาติและลูกหลานของทวดพ่วงจึงมีอยู่ทั้งที่พัทลุงและนครฯ หลายบ้านก็มีภาพนี้อยู่ แต่ใครเป็นคนถ่าย ถ่ายปีไหนนั้นเราไม่รู้ คนเฒ่าคนแก่ที่พอจะรู้ก็ตายไปกันหมดแล้ว” นายจิตติศักดิ์บอกกับโคแฟค

นายจิตติศักดิ์เล่าว่า ราวปี 2560 ครอบครัวไชยรักษ์ได้จัดงานรวมญาติ และมีการพิมพ์ภาพนี้แจกลูกหลาน รวมทั้งส่งไฟล์ภาพไปในไลน์กลุ่มครอบครัว ต่อมาก็พบว่ามีการเผยแพร่ภาพนี้ในโซเชียลมีเดียพร้อมกับข้อความเท็จที่ระบุว่าเป็นภาพของหลวงปู่ทวด

นายจิตติศักดิ์กล่าวว่า ลูกหลานของทวดพ่วงรู้สึกไม่สบายใจที่มีการนำภาพบรรพบุรุษไปเผยแพร่และให้บิดเบือนว่าบุคคลในภาพคือหลวงปู่ทวด ทางครอบครัวอยากให้หยุดส่งต่อภาพนี้

“ผมก็ได้แต่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กยืนยันไปว่าคนในภาพคือทวดของผม ส่วนใครจะเชื่ออะไรยังไงก็ว่ากันไป…โซเชียลมีเดียมันกว้างขวาง มันทำอะไรไม่ได้”

ขณะที่นายล้ำเลิศ ไชยรักษ์ สมาชิกครอบครัวอีกคนหนึ่งโพสต์ข้อความชี้แจงในทำนองเดียวกันและทิ้งท้ายว่า “ขอความกรุณาอย่าแชร์ อย่าเอาหลวงพ่อทวดมาจาบจ้วง อย่าเอาภาพบรรพบุรุษของผมและลูกหลานไชยรักษ์มาบิดเบือน”

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาเป็นเท็จ หยุดแชร์

ภาพนี้ไม่ใช่ภาพของหลวงปู่ทวด ลูกหลานของบุคคลในภาพยืนยันกับโคแฟคว่า นี่เป็นภาพของนายพ่วงและนางรอด ผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไชยรักษ์ อีกทั้งจากประวัติของหลวงปู่ทวดที่มีการบันทึกไว้ว่า ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยา ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดบันทึกภาพของหลวงปู่ทวดไว้ได้


วงประชุมโคแฟคเห็นความสำคัญของการต่อต้านข้อมูลลวงช่วงการเลือกตั้ง

วงประชุมโคแฟคเห็นความสำคัญของการต่อต้านข้อมูลลวงช่วงการเลือกตั้ง

หนุนสร้างความร่วมมือหลายฝ่ายสกัดและลดผลกระทบของการปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์

กรุงเทพมหานคร—นักวิชาการและสื่อมวลชนจากฟิลิปปินส์และไทยที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เจาะ (อิทธิพล) ปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ (Online Manipulation) กับผลการเลือกตั้ง: บทเรียนจากฟิลิปปินส์สู่ไทย” สนับสนุนความริเริ่มในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมต่อข่าวปลอมและปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยในปีนี้ 

การประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ร่วมจัดโดยโคแฟค (ประเทศไทย) และองค์กรภาคีเครือข่าย โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) สื่อมวลชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคมเข้าร่วมกว่า 50 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาแนวทางในการสร้างความรู้เท่าทันของสังคมและแสวงหาวิธีการรับมือกับปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง และการสร้างความเข้าใจผิดและความสับสนให้แก่ประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองทางสื่อสังคมออนไลน์  

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวนำการประชุมว่า ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เป็นธรรม แต่ยอมรับว่าการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในช่วงเลือกตั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะปริมาณข้อมูลที่ล้นหลามและความพยายามในการปั่นและกระพือความขัดแย้งมีความรุนแรงขึ้น

“ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญต่อสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ สันติภาพ และหลักนิติธรรมในการเลือกตั้ง…การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นปัญหาและต้องป้องกันก็จริง แต่เราไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ดังนั้นจึงต้องร่วมกันคิดว่าควรรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร”

ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศยทั้งที่เป็นประชาธิปไตยและเผด็จการ และส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อผลการเลือกตั้ง ดังที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

 

คลีฟ วี. อาร์เกวยเยส ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดอ ลา ซาลล์ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทความวิชาการในรายงาน Disinformation in the Global South 2023 กล่าวว่า การจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง การทำลายชื่อเสียงของบุคคล หรือสร้างความเกลียดชังกลุ่มชาติพันธุ์ เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

อาร์เกวยเนสกล่าวว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริง การสกัดข่าวลวง และการรับมือกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปฏิบัติการเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบในหลายระดับและอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและบั่นทอนความสุจริตของการเลือกตั้ง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

อีวอน ชัว อดีตผู้สื่อข่าว ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ฟิลิปปินส์ เล่าประสบการณ์การก่อตั้งเว็บไซต์ www.tsek.ph ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นักวิชาการด้านสื่อและสื่อมวลชนหลายสำนักในฟิลิปปินส์ร่วมกันทำ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางการเมืองในการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ในปี 2019 และ 2022 ว่าเป็นตัวอย่างของความพยายามในการสกัดข่าวลวงในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 

เธอเล่าว่า ธรรมชาติของสื่อมวลชนนั้นมีการแข่งขันกันสูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ภาควิชาการอย่างวิทยาลัยสื่อสารมวลชนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์จึงเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ริเริ่มและประสานงาน จนเกิดเป็นแพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริง tsek.ph ขึ้น นับเป็นมิติใหม่ที่สื่อมวลชนจากหลายสำนักมาทำงานร่วมกัน โดยมีทั้งนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ และภาคประชาสังคมร่วมให้การผู้สนับสนุน 

แม้การทำงานของ tsek.ph จะมีอุปสรรคและไม่บรรลุเป้าหมายในบางด้าน แต่เธอเชื่อว่าความริเริ่มนี้ได้พัฒนาทักษะของผู้สื่อข่าวในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารและการหักล้างข้อมูลเท็จ (debunk) รวมทั้งทำให้ประชาชนรู้เท่าทันข้อมูลในโลกออนไลน์มากขึ้น

“เราต้องไม่ลืมว่า การปล่อยข่าวปลอมนั้นเกิดขึ้นมาเป็นสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกำจัดมันได้ภายในวันเดียว สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องอย่ายอมแพ้ การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง แม้การเลือกตั้งจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม” อาจารย์ชัวให้ความเห็นและย้ำว่า การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลออนไลน์เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่แค่สื่อมวลชน 

“แม้แต่ข่าวที่สื่อนำเสนอก็จะต้องถูกตรวจสอบความถูกต้องด้วยเช่นกัน ทั้งโดยสื่อด้วยกันเองและโดยประชาชนผู้รับข่าวสาร” เธอกล่าว

เจสัน อาร์. กอนซาเลซ ผู้อำนวยการพรรคเสรีนิยม ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่าเขาได้เห็นถึงอานุภาพของการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ในการทำลายคู่แข่งทางการเมืองและเพื่อชักนำทัศนคติของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

“ชาวฟิลิปปินส์ถูกถล่มด้วยคลื่นข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมเข้าใส่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมพูดได้ว่า การจงใจปล่อยข้อมูลเท็จเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง” นายกอนซาเลสกล่าว

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ปี 2022 นายกอนซาเลสเป็นกำลังสำคัญในทีมรณรงค์หาเสียงของนางเลนี โรเบรโด รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในขณะนั้น ซึ่งลงชิงตำแหน่งในนามอิสระ ในช่วงนั้นนางเลนีถูกโจมตีจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่นายกอนซาเลสเชื่อว่า “ลงทุนทำอย่างเป็นระบบ”

หลังการเลือกตั้งซึ่งผลออกมาว่านายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้รับชัยชนะ นายกอนซาเลสจึงได้ตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า BUILD Pilipinas เพื่อต่อสู้กับปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารทางการเมือง โดยคิดค้นและออกแบบวิธีการทำงานที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่การตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการต่อสู้กับข่าวลวงในฟิลิปปินส์

ผศ.ดร. จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากการศึกษาและสังเกตการณ์ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองในโซเชียลมีเดียของไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีสองส่วน คือ ปฏิบัติการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตน

“เวลาที่เราบอกว่ามีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและการควบคุมข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่เราต้องสนใจคือ อำนาจทางการเมืองอยู่ที่ใคร ในบรรยากาศแบบนี้ อำนาจมันไม่เท่ากัน ทรัพยากรในการจ้าง การผลิต การสนับสนุนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองของแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเมื่อเรากังวลต่อการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวในบริบทการเลือกตั้งไทย เราต้องถามก่อนว่าใครมีอำนาจในการทำของแบบนี้มากกว่า อำนาจรัฐอยู่ที่ไหน” ผศ.ดร.จันจิรากล่าว

ผศ.ดร.จันจิราคาดการณ์ว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปีนี้ สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ “การผสมกันของการดำเนินคดีกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้โพสต์ข้อความ และผู้แชร์ข้อมูลที่ไม่ตรงหรือผิดกติกาตามความเห็นของ กกต. ซึ่งมักจะเป็นข้อมูลที่มาจากการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐ”

“คำถามก็คือการดำเนินคดีกับผู้ที่แชร์ข้อมูลเหล่านี้ จะส่งผลต่อความสามารถในการตรวจสอบการเลือกตั้งของภาคประชาสังคมหรือไม่” เธอกล่าว

ผศ.ดร.จันจิรา กล่าวด้วยว่า สงครามข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องปกติของการเมืองและในบริบทการเลือกตั้ง แต่สงครามข้อมูลที่อันตรายคือสงครามข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะมันนำมาซึ่งการทำลายชื่อเสียง สร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามและการดำเนินคดีกับบุคคล  

ดร. สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ว่าการเมืองไทยกับฟิลิปปินส์ มีความคล้ายกันตรงที่เป็นการเมืองแบบ “ตระกูลการเมือง” คือตระกูลการเมืองมีผลต่อการได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจึงคาดได้ว่าปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่จะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง 2566 จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลการเมือง

ดร.สติธรยอมรับว่าการตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งนั้นมีความยาก เนื่องจาก “การผลิตความจริง” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยคนทุกกลุ่ม ปริมาณข้อมูลหรือสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างอ้างว่าเป็น “ความจริง” นั้นก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตยหยิบยกงานวิจัยเกี่ยวกับการรับข้อมูลข่าวสารในช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่พบว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ความสนใจข่าวสารของผู้คนจะสูงขึ้นเสมอ

งานวิจัยยังพบอีกว่า ช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารนั้น แม้โซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางหลัก แต่การรับข้อมูลโดยตรงจากการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งและจากคำบอกเล่าของคนที่รู้จักข้อมูลก็มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนอย่างมากเช่นกัน 

สำหรับข้อเสนอต่อการรับมือและสกัดข่าวลวงในช่วงเลือกตั้ง ดร.สติธรกล่าวว่าเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายริเริ่มการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นภารกิจที่ภาควิชาการและสถาบันวิจัยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนได้ 

 

 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ 2566

ติดเชื้อไวรัส Parabola จากสุนัขและแมว ทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/n73yyox9qlgz


อย. เตือน ‘ขนมควันทะลัก’ ผสมไนโตรเจนเหลว จะกินต้องรอให้ควันหมดก่อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zctn2ys9rr7j


ธ.กรุงไทย เตือนมุกใหม่มิจฉาชีพ ใครเจอเหตุการณ์นี้ ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2yzfi1kae8yl5


Whoscall แอปบล็อกเบอร์กวนใจ รู้ทันมิจฉาชีพ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kyw23s2jviuq


ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ “ยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2mn2ky9040bk1


 ฟิลิปปินส์ขาดแคลนหัวหอม หัวหอม 1 กก. แพงกว่าค่าแรง 1 วันในฟิลิปปินส์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5kq0rgg6968i


‘ญี่ปุ่น’ ครองแชมป์ ‘หนังสือเดินทาง’ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/zrazp50p96q1


เราไม่ควรล้างไก่สดก่อนนำมาปรุงอาหาร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zv9msbxw99rz