โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมฉลองวาระวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ด้วยบทความแปลจาก Reuters Institute ว่าด้วยอนาคตสื่อในยุคเอไอ

ChatGPT คือโอกาสหรืออุปสรรคของสื่อมวลชน? มุมมองจาก 5 ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์  

นับตั้งแต่มีการเปิดตัวแชทบอท ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สื่อมวลชนต่างถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีนี้จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข่าวอย่างไร คำถามหลัก ๆ คือความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) จะมาแทนที่สื่อมวลชนจำนวนเท่าไหร่และรวดเร็วเพียงใด สื่อมวลชนสาขาไหนที่จะได้รับผลกระทบจากการเติบโตของเทคโนโลยีนี้ และเราควรมองว่า ChatGPT นั้นเป็นอุปสรรคหรือโอกาสในการแก้ปัญหาที่อุตสาหกรรมข่าวกำลังเผชิญ? ฟรานเชสโก มาร์โคนี มัดฮูมิตา เมอร์เจีย ชาร์ลี เบคเกตต์และสองผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพร่วมให้ความเห็นต่อผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) ในอุตสาหกรรมสื่อ 

รายงานชิ้นนี้ต้องการเปิดประเด็นถกเถียงที่กำลังร้อนแรงในหัวข้อนี้ด้วยการนำความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้เห็นภาพว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language models) จะส่งผลต่องานสื่อสารมวลชนในระยะสั้นและระยะกลางอย่างไร 

ผู้เชี่ยวชาญคนแรกคือฟรานเชสโก มาร์โคนี (Francesco Marconi) นักข่าวสายข้อมูลและผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัท AppliedXL ที่มีประสบการณ์การทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ The Wall Street Journal และหัวหน้าฝ่ายผลิตข่าวและปัญญาประดิษฐ์ของ  The Associated Press มาร์โคนีได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ AI และสื่อสารมวลชนชื่อ “Newsmakers: Artificial Intelligence and the Future of Journalism” และได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 2563 ผู้เชียวชาญคนถัดมาคือมัดฮูมิตา เมอร์เจีย (Madhumita Murgia) บรรณาธิการข่าวจากปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ของหนังสือพิมพ์ The Financial Times และศาสตราจารย์ชาร์ลี เบคเกตต์(Charlie Beckett) หัวหน้าโครงการ JournalismAI ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของสถาบันวิจัยด้านการสื่อสารมวลชนประจำมหาวิทยาลัย London School of Economics (LSE) ซึ่งมีงานวิจัยและตีพิมพ์รายงานในหัวข้อ AI และการสื่อสารมวลชน และทุนสำหรับสื่อมวลชนและนักเทคนิคด้านเทคโนโลยี รวมถึงโครงการอบรมสำหรับสำนักข่าวขนาดเล็กไปจนถึงการเผยแพร่ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในงานด้านสื่อสารมวลชนให้กับผู้สนใจ

นอกจากนี้ รายงานชิ้นนี้ได้รวมความเห็นจากเจนนี โรมาโน (Jenny Romano) และเปโดร เอนริเกซ(Pedro Henriques) สองผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชัน The Newsroom โมเดลใหม่ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ด้านการสื่อสารมวลชน โดยแอปพลิเคชันนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการนำเสนอสรุปข่าวสำคัญรายวันที่เน้นนำเสนอข้อเท็จจริงหลักจากเนื้อหาข่าว บริบทของข่าวและจุดยืนของการนำเสนอข่าวนั้น

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการทำงานด้านสื่อสารมวลชนและผลิตข่าวเป็นสิ่งที่หลายสำนักข่าวดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง ฟรานเชสโก มาร์โคนีจัดกลุ่มของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในงานสื่อสารมวลชนช่วงศตวรรษที่ผ่านมาออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีให้ช่วยทำงาน (Automation) การใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายการวิเคราะห์ (Augmentation) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลิตเนื้อหา (Generation)

ในระยะแรก การนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ความสำคัญกับการผลิตเนื้อหาข่าวด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น รายงานด้านการเงิน ผลการแข่งขันกีฬา และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language generation) ฟรานเชสโกกล่าวว่าตอนนี้สำนักข่าวระดับโลกหลายแห่งได้ใช้เทคโนโลยีนี้ในการทำงานแล้ว เช่น รอยเตอร์ (Reuters ) เอเอฟพี (AFP) และเอพี (AP) รวมถึงสำนักข่าวเล็ก ๆ อีกหลายแห่งด้วย

ฟรานเชสโก มาร์โคนีระบุว่าระยะที่สองของการใช้เทคโนโลยีเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการขยายการใช้งานด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ (machine learning) และเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) ที่สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่มีขนาดมหาศาลและระบุเทรนด์ต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีระยะที่สองนี้สามารถดูได้จากหนังสือพิมพ์ La Nación หนังสือพิมพ์รายวันของอาร์เจนตินาที่ริเริ่มนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาสนับสนุนการทำงานของทีมข้อมูลในปี 2562 และก่อตั้งห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (AI lab) ที่ทำงานร่วมกับนักวิเคราะห์ข้อมูลและนักพัฒนาซอร์ฟแวร์

สำหรับคลื่นลูกที่สามที่พัฒนาและใช้ในปัจจุบันคือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง ซึ่งฟรานเชสโกอธิบายว่าเป็นการประมวลผลด้วยโมเดลข้อมูลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตข้อความจำนวนมากได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านการสื่อสารมวลชนไปไกลกว่าการรายงานหรือวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ ตอนนี้ เราสามารถสั่งให้แชทบอทเขียนบทความขนาดที่ยาวขึ้นด้วยจุดยืนที่เป็นกลางในเรื่องต่าง ๆ หรือเขียนความเห็นจากจุดยืนหนึ่ง อีกทั้งเรายังสามารถสั่งให้เขียนในสไตล์ของนักเขียนชื่อดังคนใดคนหนึ่งหรือสำนักพิมพ์ใดสักที่หนึ่งก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคโนโลยีนี้คือการใช้แชทบอทในการเขียนและตรวจสอบแก้ไขข่าว ซึ่งสื่อมวลชนได้ทดลองใช้กันอย่างแพร่หลายมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา 

มัดฮูมิตา เมอร์เจียอธิยายว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แชตบอท ChatGPT และเครื่องมืออื่น ๆ สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจเป็นเพราะเทคโนโลยีนี้มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากและสามารถสื่อสารในภาษาที่เป็นธรรมชาติ เธอกล่าวว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนมีสมองกลอัจฉริยะอยู่จริง  ๆ แม้ว่าอันที่จริงมันก็แค่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการพยากรณ์สิ่งที่เราต้องการ

โมเดลการประมวลผลภาษาที่เครื่องมือเหล่านี้ใช้นั้นมาจากการป้อนคำสั่งของเราตอนผลิตเนื้อหาใหม่ ไม่ได้มาจากการคิดขึ้นมาเองของปัญญาประดิษฐ์ โมเดลการทำงานเกิดจากการป้อนเนื้อหาและข้อมูลที่ทำให้สามารถผลิตผลลัพธ์ออกมาจากสิ่งที่ถูกป้อนเข้าไป นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีนั้นมีประโยชน์ในการสังเคราะห์ข้อมูล แก้ไขข้อมูลและรายงานข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว เธอเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างที่เราเห็นในปัจจุบันยังขาดทักษะสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถมีบทบาทมากกว่านี้ในงานสื่อสารมวลชน มัดฮูมิตา เมอร์เจียอธิบายว่าจากจุดที่เรายืนอยู่ในวันนี้ การทำงานของ AI ไม่ได้เป็นเนื้อหาที่ผลิตขึ้นเองและไม่ได้เสนออะไรใหม่ การทำงานของเอไอมาจากการประมวลผลของข้อมูลที่มีอยู่แล้วและ AIไม่ได้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ดังนั้น ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านการผลิตเนื้อหาข่าวเชิงวิเคราะห์หรือแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อ่านต้องการเมื่อรับข่าวจากสำนักข่าว เช่น เดอะไฟแนนเชียล ไทม์ แม้แต่ ChatGPT ก็ยังเห็นด้วยในประเด็นนี้

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างนั้นไม่สามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพหรือก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เพราะยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีกันต่อ แต่เธอต้องการสะท้อนถึงข้อดีของเสียงและความเห็นที่มาจากมนุษย์ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ได้ และเธอเชื่อว่าโมเดลการวิเคราะห์ภาษาในปัจจุบันนั้นยังไม่สร้างสรรค์หรือยังไม่ใช่ต้นฉบับที่ผลิตเนื้อหาอะไรใหม่ ๆ ได้ เพียงแต่สามารถลอกเลียนแบบมนุษย์ได้ดีมาก ๆ เท่านั้นเอง

ข้อท้าทายอีกประการของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างในงานสื่อสารมวลชนคือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการประมวลผลของ ChatGPT ที่พบบ่อย แม้แต่ในตัวอย่างเครื่องมือที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของกูเกิลหรือไมโครซอฟท์ อีกทั้ง ChatGPT ยังระบุแหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่ไม่มีจริงด้วย มาร์โคนีกล่าวว่าโมเดลการทำงานของเอไอเหล่านี้ยังพบปัญญาในการผลิตข้อมูลที่แม่นยำและข้อเท็จจริงที่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือการรายงานข้อมูลที่เกิดขึ้นทันที (real-time data) ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือเอไอที่มีตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการรายงานข่าวด่วน (breaking news) ที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ปฏิบัติการด้านงานข่าวที่เข้มข้น และต้องตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยการอ้างอิงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง

นอกจากนี้ โมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างยังมีปัญหาในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข ผลงานของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างที่วิเคราะห์คำนวนตัวเลขที่ถูกต้องยังไม่มีความแม่นยำมากนัก การบกพร่องในการตรวจสอบการผลิตอัลกอริทึ่มมีความเสี่ยงสูงเพราะการทำงานของมันเกี่ยวข้องกับการระบบการทำงานของข้อมูลทั้งระบบ ทั้งนี้ ความเห็นนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างจะไม่มีบทบาทในงานสื่อสารมวลชนเพียงแต่ว่าเราไม่สามารถพึ่งพาการทำงานของเอไอเพียงอย่างเดียวได้

 ศาสตราจารย์ชาร์ลี เบคเกตต์ หัวหน้าโครงการวิจัย Polis/LSE Journalism AI แนะนำให้ใช้เทคโนโลยีนี้ด้วยความระมัดระวังและไม่สนับสนุนให้สื่อมวลชนใช้เครื่องมือใหม่เหล่านี้โดยไม่มีการกำกับควบคุมโดยมนุษย์ ศาสตราจารย์ชาร์ลีกล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่การผลิตเนื้อหาข่าวอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบแต่มันคือการช่วยให้สื่อมวลชนมีเครื่องมือในการทำงานที่เร็วขึ้นและให้สื่อมีเวลาในการทำงานที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุด งานสื่อสารมวลชนด้วยมนุษย์ยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมากและเราก็ลดความเสี่ยงนี้ด้วยระบบบรรณาธิการ เรื่องนี้ก็ต้องใช้กับเทคโนโลยีเอไอด้วย สื่อมวลชนต้องมั่นใจว่าตนเองเข้าใจเครื่องมือนั้น ๆ รวมถึงความเสี่ยงของเครื่องมือและอย่าคาดหวังกับเทคโนโลยีจนมากเกินไป

มาร์โคนีอธิบายเพิ่มเติมว่าสื่อมวลชนควรทำงานร่วมกับเทคโนโลยีโดยยอมรับและเผชิญหน้ากับจุดอ่อนของมันด้วย เขากล่าวว่านวัตกรรมในงานสื่อสารมวลชนควรเน้นเรื่องข้อจำกัดของโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบ GPT โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนข้อผิดพลาดต่าง ๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ในการตรวจตราข้อมูลทันทีแบบ real-time การรวมระบบเตือนเหล่านี้กับโมเดลภาษาขนาดใหญ่จะช่วยเปิดทางให้เราสามารถพัฒนารูปแบบใหม่ในการทำงานสื่อสารมวลชนได้

มาร์โคนียกตัวอย่างระบบเตือนปัญหาที่พบในบริษัท AppliedXL ที่ตนเองเป็นเจ้าของว่าเป็นบริษัทที่ใช้ระบบเตือนภัยทำงานร่วมกับคนที่มีใจรักงานสื่อสารมวลชนเพื่อการผลิตข่าว ซึ่งทีมงานของเขามีเป้าหมายในพัฒนาการผลิตข่าวที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในคน เช่น แจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อพบสัญญาณผิดปกติในชุดข้อมูลก่อนที่บริษัทต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณชนพร้อมก่อให้เกิดปัญหา

การใช้งานปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง

สำนักข่าวหลายแห่งได้ประกาศแผนงานที่จะนำปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างมาใช้หรือบางแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการแล้ว BuzzFeed ประกาศว่าจะนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในแบบทดสอบบุคลิกภาพที่โด่งดัง และนิวยอร์คไทม์ได้ทดลองใช้ ChatGPT ให้ผลิตข้อความสำหรับวันวาเลนไทน์ด้วยคำสั่งต่าง ๆ ที่ออกแบบไว้

สำนักข่าวหลายแห่งยังอยู่ระหว่างการค้นหาแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานข่าว รวมถึง Axel Springer สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของเยอรมันที่เพิ่งตีพิมพ์เผยแพร่บทความชิ้นแรกที่เขียนขึ้นโดย AI ในเว็บไซต์สำนักข่าวท้องถิ่นแห่งหนึ่ง หนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลีก็ได้ประกาศชวนผู้อ่านเล่นเกมทายว่าบทความสั้นชิ้นไหนที่ผลิตขึ้นโดย AI ในสรุปข่าวรายวันของหนังสือพิมพ์เป็นระยะเวลา 30 วันเริ่มต้นจากอาทิตย์ที่สองของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำหรับผู้อ่านที่ทายได้ถูกต้องต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะได้เป็นสมาชิกฟรีพร้อมแชมเปญหนึ่งขวด

สำหรับเปโดร เอนริเกซและเจนนี โรมาโน การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในงานสื่อสารมวลชนเป็นหัวใจของธุรกิจ The Newsroom ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 พวกเขาได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ผลิตสรุปข่าวสำคัญประจำวัน ซึ่งข่าวเหล่านี้ไม่ได้เป็นข่าวด่วน แต่เป็นข่าวที่รายงานโดยสำนักข่าวหลาย ๆ แห่งแล้ว ประเด็นสำคัญในการทำงานของแอปพลิเคชันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการรายงานข้อมูลใหม่ให้แก่ผู้อ่านแต่ต้องการฉายให้เห็นภาพของข้อเท็จจริงที่สำนักข่าวหลาย ๆ แห่งมีความเห็นตรงกันและชี้ให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างด้วย

เอนริเกซอธิบายว่าขั้นตอนแรกของการทำงานคือการรวบรวมข้อมูลจากสำนักข่าวหลายแห่งเพื่อทำความเข้าใจว่ามีข่าวใดที่ได้รับความสนใจและใครรายงานข่าวเรื่องนี้บ้าง 

เมื่อรวบรวมบทความข่าวที่รายงานเรื่องเดียวกันและอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับ เขาใช้โมเดลการประมวลผลข้อมูลสองแบบที่แยกย่อยองค์ประกอบของเนื้อหาข่าวออกมา เอนริเกซกล่าวว่า พวกเขาจะระบุว่ามีองค์ประกอบส่วนไหนบ้างที่หลายสำนักข่าวมีความเห็นตรงกันและความเห็นที่ตรงกันนั้นตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงใดบ้าง รวมถึงระบุด้วยว่าองค์ประกอบส่วนไหนที่มีการรายงานข่าวแตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่คำถามถัดไปว่าในหัวข้อนี้มีมุมมองที่แตกต่างอย่างไร หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเขียนบทความขึ้นใหม่ที่ร้อยเรียงคำตอบทั้งหมด เริ่มต้นจากองค์ประกอบของประเด็นที่สำนักข่าวต่าง ๆ มีความเห็นตรงกัน ข้อมูลเบื้องต้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจากนั้นผู้อ่านก็สามารถอ่านความเห็นผ่านมุมมองที่หลากหลายที่ได้รวบรวมไว้ ภายใต้แถบเมนู “มุมมองที่หลากหลาย” ได้รวบรวมรายการสรุปเนื้อหาของหัวข้อข่าวดังกล่าวจากสำนักพิมพ์หลาย ๆ แห่งพร้อมกับมีลิงค์ของรายงานข่าวด้วย

บทความของ The Newsroom ที่เขียนขึ้นโดย AI จะได้รับการตรวจทานจากมนุษย์ก่อนเผยแพร่อีกที ขณะที่มนุษย์จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลควบคุมเนื้อหา โรมาโนกล่าวว่าพวกเขากำลังพยายามลดขั้นตอนการทำงานด้วยเช่นกัน “พวกเราวางแผนที่จะให้มีแนวทางที่หลากหลายรีวิวด้วยคนสำหรับหัวข้อแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน” เอนริเกซกล่าวว่า “ยกตัวอย่างเช่นหัวข้อที่พวกเขากำลังทำงานเป็นหลักคือเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) ปัญหาโลกร้อน (Climate change) เป็นต้น แต่เมื่อพวกเราเริ่มที่จะทำงานในหัวข้อที่มีความเสี่ยงน้อยกว่านี้ เช่น หัวข้อกีฬา เป็นต้น พวกเราคิดว่าเราจะมีระดับการรีวิวที่แตกต่างไปในหัวข้อเหล่านี้”

ในตอนนี้ Newstime ประมวลผลจากข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษและเผยแพร่สรุปข่าวเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่พวกเขามีแผนว่าจะขยายการทำงานให้ครอบคลุมภาษาอื่นด้วยเพื่อปรับปรุงให้มีความหลากหลายเชิงภูมิศาสตร์ของช่องทางการเผยแพร่บทความ ซึ่งเป็นความพยายามในอุตสาหกรรมสื่อหลัก แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ในการใช้แชตบอท ChatGPT ในหลาย ๆ ภาษาแต่คุณภาพของผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ได้เท่ากัน

เมื่อถามว่าพวกเขามีประสบการณ์ปัญหาแบบเดียวกับโมเดลอื่นประสบหรือไม่ เอนริเกซและโรมาโนกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญปัญหานั้น โมเดลการทำงานของพวกเขาไม่ได้ผลิต “ภาพหลอน” (hallucinations) ที่เกิดขึ้นเมื่อ AI ผลิตข้อความที่ไม่ได้มาจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไป อีกทั้งคู่มือการรีวิวของพวกเขาเน้นเรื่องการระบุข้อผิดพลาดบนฐานของข้อเท็จจริง “พวกเราไม่ได้ทำงานกับข่าวประเภทข่าวด่วน (breaking news) เวลาที่มีการรายงานข่าวด่วน เราไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น ข้อมูลที่รายงานโดย Newsroom จึงเป็นข้อมูลที่ตั้งใจรายงานภายหลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว” เอนริเกซกล่าว

ขณะนี้ แอปพลิเคชันดังกล่าวยังอยู่ในขั้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ใช้งานได้จริง ซึ่งตอนนี้มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 1,000 คนในหลายประเทศทและส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป โดยกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 35 ปี โรมาโนกล่าวว่ากลุ่มผู้ใช้งานของ Newsroom แบ่งออกคร่าว ๆ ได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ใช้งานที่อ่านข่าวจากสื่อหลาย ๆ แห่งอยู่แล้วและอีกกลุ่มเป็นผู้ใช้งานที่ไม่อ่านข่าว ซึ่งทีมงานของพวกเขาพบผู้ใช้งานกลุ่มนี้จากการติดต่อพูดคุยกับผู้ใช้งานบางคนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม เอนริเกซเน้นว่าแอปพลิเคชันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเป็นแหล่งข่าวเดียวสำหรับผู้ใช้เท่านั้น พวกเขามองว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยนำทางให้ผู้ใช้ในการอ่านข่าวต่าง ๆ และไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แล้วและเป็นแหล่งข่าวเดียวที่ผู้อ่านสามารถใช้ได้ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้ผู้คนได้เริ่มเข้าไปอ่านและไม่ได้จบที่ตรงนี้ หลังจากนั้นผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ ต่อไปในเรื่องที่ตัวเองสนใจจริง ๆ 

มองไปในอนาคต

เมอร์เจียและมาร์โคนีกล่าวว่าบทบาทของสื่อมวลชนคือการสังเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลตามบริบทและระบุเรื่องที่จะรายงาน มาร์โคนีบอกว่าสิ่งเหล่านี้จะยิ่งยากขึ้นมากกว่าเดิม “การระเบิดของข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เซ็นเซอร์ อุปกรณ์มือถือและดาวเทียมได้สร้างโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล ตอนนี้พวกเราผลิตข้อมูลขึ้นมากกว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้การคัดเลือกข้อมูลที่ไม่สำคัญออกไปเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น” มาโคนีกล่าว

เขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นอีกด้านหนึ่งของงานสื่อสารมวลชนที่เทคโนโลยี AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดภาระงานของมนุษย์ เขามองว่า AI ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยผลิตเนื้อหาแต่เป็นเครื่องมือในการช่วยพวกเราในการกรองเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกระบุว่าในปี 2569 เนื้อหาร้อยละ 90 ที่เผยแพร่ออนไลน์อาจมาจากการผลิตขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ตอนนี้พวกเราต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างสมองกลที่ช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่สำคัญออกไป แยกข้อเท็จจริงจากเรื่องที่แต่งขึ้น และเน้นว่าอะไรคือเรื่องสำคัญ

มาร์โคนีเชื่อว่าสื่อมวลชนควรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ใหม่ ๆ เช่น การเขียนอัลกอริทึมที่สามารถทำหน้าที่บรรณาธิการได้และประยุกต์ใช้หลักการด้านการสื่อสารมวลชนเข้าไปในเทคโนโลยี เหล่านี้ เขากล่าวว่าอุตสาหกรรมข่าวต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับการปฏิวัติเทคโนโลยีของเอไอ ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้น บริษัทสื่อเหล่านี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้เล่นหลักในเรื่องนี้เพราะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่มีค่าสำหรับการพัฒนาเอไอ คือข้อมูลภาษาสำหรับป้อนคำสั่งและหลักจริยธรรมสื่อสำหรับการสร้างระบบที่มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

ที่มาของบทความ

https://reutersinstitute.politics.ox.ac.uk/news/chatgpt-threat-or-opportunity-journalism-five-ai-experts-weigh (Is ChatGPT a threat or an opportunity for journalism? Five AI experts weigh in)


กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

ข้อกล่าวหาเรื่องสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยโดยใช้องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งทุนในสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือ กำลังกลับมาวนซ้ำในช่วงที่ไทยนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 หลังจากที่ข้อกล่าวหานี้เคยถูกเผยแพร่หลายมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 ช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย และการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2563 และก่อนหน้านี้มีมาเป็นระยะนับตั้งแต่ช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยปี 2553

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อกล่าวหานี้มีต้นตอมาจากบทวิเคราะห์ของนายไบรอัน เบอร์เลติก (Brian Berletic) ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นนักวิเคราะห์อิสระด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ในไทย และถูกนำมาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียโดยสื่อมวลชนและองค์กรแสดงตัวชัดว่าสนับสนุนรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่น Top News และสถาบันทิศทางไทย

บทวิเคราะห์เกี่ยวกับการเมืองไทยของนายไบรอันมีทั้งบทความออนไลน์และวิดีโอในยูทูป เนื้อหาหลักเป็นการกล่าวหารัฐบาลสหรัฐฯ ว่าเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อกำจัดรัฐบาลที่ขัดขวางผลประโยชน์และแทนที่ด้วยรัฐบาลที่ “พร้อมรับใช้” อเมริกา การแทรกแซงนี้กระทำผ่านการให้เงินสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งนายไบรอันเปรียบว่าเป็น “ซีไอเอภาคพลเรือน” ที่ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมาบังหน้าปฏิบัติการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ  

เฟซบุ๊กสถาบันทิศทางไทยนำเนื้อหาจากบทวิเคราะห์ของไบรอัน เบอร์เลติก
มาเผยแพร่ต่อเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566

โคแฟคเห็นว่า ประเด็นเรื่องสหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยผ่านเอ็นจีโอที่รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงความคิดเห็นและข้อกล่าวหาที่ยังไม่มีบทสรุป หรือที่เรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)  แม้การวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องที่บุคคลจะกระทำได้ แต่ประชาชนควรรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ แยกแยะระหว่างเนื้อหาที่เป็นความคิดเห็นและข้อเท็จจริง พิจารณาข้อมูลให้รอบด้านก่อนเชื่อหรือแชร์ โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่อาจมีการปล่อยข่าวลวงโน้มน้าวให้เชื่อข้อมูลบางอย่างที่บั่นทอนและทำลายกระบวนการเลือกตั้งเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ “ไบรอัน เบอร์เลติก”

นายไบรอันให้สัมภาษณ์ในรายการ “Talk 2 Ways” ของ Top News เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564 ว่าเขาเป็นอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่เคยเดินทางมาประเทศไทยเพื่อฝึกซ้อมรบ ด้วยความที่ชอบประเทศไทยมาก หลังจากปลดประจำการจึงเดินทางมาอยู่ที่ไทยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยทำงานด้านการออกแบบอุตสาหกรรม และศึกษาค้นคว้าด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นงานอดิเรก ประเด็นที่สนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษคือสหรัฐฯ กับการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ

ไบรอันบอกว่าเขาเริ่มสนใจบทบาทของสหรัฐฯ กับการเมืองไทยในปี 2553 ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง จึงเริ่มเขียนแสดงความคิดเห็นโดยใช้นามปากกาว่า “โทนี คาตาลุชชี” (Tony Cartalucci) เผยแพร่ในเว็บไวต์วารสารออนไลน์ New Eastern Outlook ของรัสเซีย และ Land Destroyer ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เขาก่อตั้งและดูแลเอง

ไบรอันให้สัมภาษณ์ในรายการ Talk 2 Ways ทางสถานีโทรทัศน์ Top News เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ในเดือนกรกฎาคม 2562 เฟซบุ๊กได้ปิดเพจและลบบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊ก กว่า 20 รายการ รวมทั้งเพจ/บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เผยแพร่บทวิเคราะห์ของนายไบรอัน หลังจากสอบสวนพบว่าเพจ/บัญชีผู้ใช้เหล่านี้ดำเนินการโดยเครือข่ายของผู้ที่ใช้ตัวตนปลอม (Coordinated Inauthentic Behavior) ซึ่งมักเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความแตกแยกเกี่ยวกับการเมืองไทย การเคลื่อนไหวของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน การประท้วงในฮ่องกง เฟซบุ๊กยังพบด้วยว่าหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมเหล่านี้ “เป็นบุคคลที่พำนักอยู่ในไทยและมีความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์วารสารออนไลน์ New Eastern Outlook ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย”

นายไบรอันกล่าวว่าบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ทั้งหมดของเขาถูกลบจริง ซึ่งเขามองว่าเป็นการเซ็นเซอร์มากกว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ตามที่เฟซบุ๊กอ้าง

ข้อกล่าวหาเดิมในบริบทใหม่

นายไบรอันเผยแพร่บทวิเคราะห์ว่าด้วยการแทรกแซงการเมืองไทยโดยสหรัฐฯ หลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมักจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง

สำหรับการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 นายไบรอันได้เผยแพร่ข้อกล่าวหาเรื่องสหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 7 เม.ย. 2566 ซึ่งเขาโพสต์วิดีโอวิเคราะห์การเมืองไทยทางช่องยูทูป @TheNewAtlas บทวิเคราะห์นี้อ้างถึงบทความเรื่อง “Shut Out of Democracy Summit, Thailand Prepares for May Elections as Restrictive Laws Aim to Silence Youth Activists” ที่เขียนโดย น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ “ทนายจูน” ผู้ร่วมก่อตั้งและทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และเผยแพร่บนเว็บไซต์ Just Security เมื่อ 28 มี.ค. 2566 โดยไบรอันตีความว่าบทความชิ้นนี้เป็นการเรียกร้องให้สหรัฐฯ แทรกแซงการเมืองไทยและกดดันรัฐบาลไทยให้ยกเลิกการตั้งข้อหาและการดำเนินคดีนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย เขาระบุว่าศูนย์ทนายฯ เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับทุนจาก NED และกรณีนี้เป็นตัวอย่างของการที่สหรัฐฯ ใช้เอ็นจีโอเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงกิจการภายในของไทย  

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 นายไบรอันได้โพสต์วิดีโอทางยูทูป อ้างถึงรายงานข่าวเมื่อ 23 เม.ย.2566 ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมมือกับไอลอว์ในการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง โดยนายไบรอันตั้งคำถามว่า “ทำไม กกต. ถึงยอมทำอะไรก็ตามร่วมกับไอลอว์ ทั้งที่ไอลอว์เป็นองค์กรที่รับเงินสนับสนุนจากประเทศที่เข้ามายุ่งเหยิงกับกิจการภายในของไทยอย่างโจ่งแจ้ง” ก่อนสรุปในตอนท้ายว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. นี้ “ไม่ได้มาจากการกำหนดอนาคตตนเองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวไทย แต่มาจากการแทรกแซงของต่างชาติ”

ในวิดีโอวิเคราะห์การเมืองไทยของนายไบรอัน เขามักนำเสนอภาพนี้ โดยบอกว่าเป็นรายชื่อองค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก NED ของสหรัฐอเมริกา

บทวิเคราะห์ของนายไบรอันทั้ง 2 ชิ้น ซึ่งแต่ละคลิปมียอดการเข้าชมกว่า 5 หมื่นครั้ง ถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดย Top News และสถาบันทิศทางไทย ซึ่งระบุว่านายไบรอันเป็น “ผู้ชำนาญการด้านสถานการณ์ต่างประเทศของสถาบันทิศทางไทย” ขณะที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก ให้ความเห็นทำนองเดียวกับนายไบรอันว่า “เตือนสติ กกต. ดึงต่างชาติแทรกแซงการเลือกตั้ง…มีตั้งหลายหน่วยงานทั้งเอกชนและรัฐออกมาช่วยกันตรวจสอบเลือกตั้งให้สุจริต กกต. ดันไม่สนใจ แต่ไปสนใจองค์กร NGO ที่รับเงินต่างประเทศ” พร้อมกับนำลิงก์วิดีโอยูทูปของนายไบรอันมาประกอบ

คำอธิบายจากไอลอว์

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า ไอลอว์ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก NED จริง โดยปีนี้เป็นปีที่ 9 ที่ NED ซึ่งเป็นแหล่งทุนอิสระของสหรัฐอเมริกาที่รับทุนจากสภาครองเกรสเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยในโลก อนุมัติเงินทุนสนับสนุนไอลอว์ในการดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย แต่ยืนยันว่า NED ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายหรือกำกับการดำเนินงานของผู้รับทุน

“NED เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นองค์กรใต้ดิน มีระบบการเสนอโครงการเพื่อขอรับทุน เราเป็นผู้เสนอโครงการไป ถ้าเขาอนุมัติเงินทุนให้ เราก็กลับมาดำเนินการตามโครงการที่เราเป็นผู้ริเริ่มเองทั้งหมด และมีหน้าที่รายงานผลการดำเนินงานว่าสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ เขาไม่ได้เข้ามาจี้หรือเป็นนายจ้าง ไม่ใช่ว่าทำงานสำเร็จแล้วเขาถึงจะจ่ายเงิน แต่เราเป็นคนคิดและทำทั้งหมด ซึ่งก็มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ” นายยิ่งชีพให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566

ในส่วนของการทำงานร่วมกับ กกต. นั้น ผู้จัดการไอลอว์อธิบายว่า ไอลอว์ได้หารือและแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ กกต. 2-3 ครั้งในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2566 ตามคำเชิญของนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ซึ่งนายยิ่งชีพบอกว่า “นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ไอลอว์และ กกต.ได้สื่อสารกันโดยตรง”

วันที่ 14 ก.พ. 2566 นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้การต้อนรับตัวแทนจากไอลอว์ และ We Watch ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชนสังเกตการณ์เลือกตั้ง และตัวแทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือในการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566

นายยิ่งชีพให้ข้อมูลว่าประเด็นที่ กกต. กังวลมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ การซื้อเสียง ขณะที่ไอลอว์เป็นห่วงเรื่องการโกงผลการเลือกตั้งในช่วงนับคะแนน เลขา กกต. จึงได้ประสานให้ไอลอว์ประชุมร่วมกับ ร.ต.อ. มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 ของ กกต. ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือกันถึงแนวทางการรับและตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการซื้อเสียง และได้ข้อสรุปว่าจะร่วมกันผลิตคลิปวิดีโอสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเกี่ยวกับกระบวนการร้องเรียน การแจ้งเบาะแส การคุ้มครองพยานและการให้รางวัลนำจับเพื่อสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้ประชาชน 

“ความร่วมมือระหว่าง กกต.และไอลอว์เป็นเพียงการประสานงานกันในระดับผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความราบรื่นและสุจริต…ไอลอว์ไม่มีอำนาจใดที่จะแทรกแซงการทำงานของ กกต. ดังนั้นข้อกล่าวหาว่าการที่ กกต. ร่วมมือกับไอลอว์เป็นการเปิดประตูให้สหรัฐฯ แทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจึงไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง”  ผู้จัดการไอลอว์กล่าว

กกต. “พร้อมให้ความร่วมมือองค์กรภาคประชาสังคม”

ทางด้านสำนักงาน กกต. เผยแพร่เอกสารข่าวเมื่อ 26 เม.ย. 2566 ระบุว่า กกต.“มีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจขององค์กรภาคประชาสังคมในการสังเกตการณ์เลือกตั้ง” โดยพร้อมสนับสนุนทุกองค์กร ไม่เพียงไอลอว์และ We Watch ที่ประสานงานมาเท่านั้น เพราะเล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพื่อทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

เรื่องแนะนำ

‘ทำงานต่างประเทศ’ความหวังสร้างรายได้ของใครหลายคน! เช็คก่อนเชื่อเพื่อไม่ให้ถูกหลอก

By : Zhang Taehun

เขียนป้ายไปปักไว้ บอกคนทั้งหลายว่าอยากขายที่นา นำทรัพย์สินเงินตราจากขายที่นาตีตั๋วเครื่องบิน จะไปซาอุท่อนเริ่มของบทเพลง ซาอุดรฯ จากวงคาราบาว ซึ่งสะท้อน ความหวัง ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องการไป แสวงโชคในต่างแดน ดังท่อนต่อมาที่ร้องว่า บอกเมียและลูกน้อย คอยพี่หน่อยพ่อหน่อยเถิดหนา อีกไม่นานกลับมาเยี่ยงราชาเงินทองล้นกาย จะมีโทรทัศน์วิทยุ สเตอริโอ บ้านตึกหลังโตโต โอ้ฮะโอ นั่งกินนอนกิน ด้วยเชื่อว่าการทำงานในต่างประเทศจะสามารถเก็บเงินส่งกลับบ้านที่เมืองไทยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

บทเพลง ซาอุดรฯ เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2528 ซึ่งเวลานั้น ซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปทำงาน และหลายคนเผชิญกับสถานการณ์ที่ในเพลงบอกว่า เกิดมาเป็นคนจนยามคบคนไม่เคยเป็นต่อ คิดคิดไปใจท้อ คนหนอคนยิ่งจนยิ่งเจ็บ เก็บเงินเราไปแล้วเรือบินแจวลงจอดบนลาน บนแผ่นดินอีสาน ขนานนามว่า ซาอุดร ซึ่งสะท้อนถึงปัญหา ถูกหลอกลอยแพนอกจากจะไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศแล้วยังเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก แต่ผ่านไปเกือบ 40 ปี ภัยจากมิจฉาชีพประเภทนี้ก็ยังคงดำรงอยู่ และเข้าถึงเหยื่อได้ง่ายผ่านเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)

บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 ซึ่งผู้เขียนลองสืบค้นในฐานข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยใช้คำว่า ทำงาน พบว่า มีการเตือนภัยการหลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างแดนหลายครั้งและหลายประเทศ ตัวอย่างเช่นใน เดือนธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นผลการค้นหาเก่าที่สุดที่หาได้ พบ 1 รายการ หัวข้อ กรมการจัดหางานเปิดโอกาสทำงานเกาหลี ญี่ปุ่น และต่างประเทศได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอนเงินเพื่อจองสิทธิ์ ข่าวปลอม หลอกลวงประชาชน อย่าหลงเชื่อ!!” โดยเป็นการแอบอ้าง กรมการจัดหางาน มีการใช้โลโก้ของกรมฯ และหลอกให้โอนเงิน

ดูเหมือนข่าวลวงดังกล่าวจะเงียบหายไปนานกว่า 2 ปี เมื่อโลกเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 เพราะแต่ละประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์และคุมเข้มการเดินทางข้ามพรมแดน แต่แล้วเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย การเดินทางและกิจกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ ข่าวลวงประเภทนี้ก็กลับมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้ง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการ ซ้ำเติมความทุกข์ ของคนไทยก็ว่าได้ เพราะในเวลานั้นหลายคนยังได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ นั่นคือการตกงานและกำลังมองหางานใหม่เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว

จากการสืบค้นในฐานข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ นับตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2565 พบว่ามี 3 ข่าวลวง แบ่งเป็น ข่าวลวงที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 รายการ เกาหลีใต้ 1 รายการ และโปรตุเกส 1 รายการ เดือนกันยายน 2565 พบ 1 ข่าวลวงที่ชวนคนไทยไปทำงานในเกาหลีใต้ , เดือนตุลาคม 2565” พบ 6 ข่าวลวง ทั้งหมดเป็นการชวนคนไทยไปทำงานในเกาหลีใต้ , เดือนพฤศจิกายน 2565พบ 5 ข่าวลวง แบ่งเป็น เกาหลีใต้ 4 รายการ ไต้หวัน 1 รายการ , เดือนธันวาคม 2565” พบ 5 ข่าวลวง ทั้งหมดเป็นการชวนคนไทยไปทำงานในเกาหลีใต้ , 

เดือนมกราคม 2566 พบ 13 ข่าวลวง แบ่งเป็น เกาหลีใต้ 8 รายการ ฮังการี 2 รายการ โครเอเชีย โคลัมเบีย (โคลอมเบีย) และซาอุดิอาระเบีย ประเทศละ 1 รายการ , เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบ 13 รายการ แบ่งเป็น ฮังการี 3 รายการ เกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์ ประเทศละ 2 รายการ โครเอเชีย ซาอุดิอาระเบีย โปรตุเกสและออสเตรเลีย ประเทศละ 1 รายการ , เดือนมีนาคม 2566 พบ 6 รายการ แบ่งเป็น ฮังการี 3 รายการ คาซัคสถาน แคนาดาและญี่ปุ่น ประเทศละ 1 รายการ , เดือนเมษายน 2566 (สืบค้นถึงวันที่ 18 เม.ย. 2566) พบ 4 รายการ แบ่งเป็น ญี่ปุ่น 2 รายการ ฮังการีและไต้หวัน ประเทศละ 1 รายการ

ลักษณะของข่าวลวง ได้แก่ 1.เคยเป็นข่าวจริงแต่ผ่านพ้นไปแล้ว เช่น ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เตือนข่าวลวงเรื่อง กระทรวงแรงงานเปิดรับสมัครไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายได้เดือนละ 40,000 บาท ซึ่งข้อเท็จจริงคือ เป็นข่าวที่กรมการจัดหางานเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2564 โดยมีสาระสำคัญว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานกับนายจ้างบริษัท CROWN EMIRATES COMPANY LTD. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (U.A.E)  จำนวน 17 อัตรา ระยะเวลาจ้างงาน 3 ปี ดูแลอาหาร 3 มื้อ สมัครฟรีตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2564 ไม่เว้นวันหยุดราชการ ดังนั้น การรับสมัครตามประกาศนี้ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว 

2.ข่าวลวงอ้างถึงงานประเภทหนึ่ง แต่ในข้อเท็จจริงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการไปทำงานอีกประเภทหนึ่ง เช่น ข่าวลวงเรื่อง เกาหลีเปิดรับคนไทยทำงานถูกกฎหมายที่ไร่ผักสลัด ค่าแรง 75,000 บาท ที่มีการเตือนในวันที่ 26 ต.ค. 2565 หรือข่าว เกาหลีเตรียมเปิดรับสมัครงานอุตสาหกรรม 75,000 อัตรา ที่มีการเตือนในวันที่ 3 ธ.ค. 2565 ข้อเท็จจริงของข่าวเหล่านี้คือ กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางาน ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ในขณะนั้นมีเพียงการรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 11 เพื่อไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประเภทกิจการก่อสร้างเท่านั้น อีกทั้งได้สิ้นสุดการรับสมัครไปตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2565

3.แอบอ้างชื่อบริษัทหรือหน่วยงาน หรือไม่ระบุชื่อบริษัทจัดหางาน เช่น ข่าวลวงเรื่อง บริษัท work and smile ประเทศฮังการี เปิดรับแรงงาน เงินเดือนสูง​ ถูกกฎหมายผ่านกรมการจัดหางานที่มีการเตือนในวันที่ 11 ม.ค. 2566 มีการใส่ชื่อบริษัทพ่วงกับอ้างถึงกรมการจัดหางาน หรือข่าวลวงเรื่อง กระทรวงแรงงานรับสมัครพนักงานนวดหญิงไปทำงานที่ประเทศโคลัมเบีย ที่มีการเตือนในวันที่ 26 ม.ค. 2566 ไม่มีการระบุรายละเอียดใดๆ เลย นอกจากให้ติดต่อผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่นไลน์ อนึ่ง ข่าวลวงหลายข่าวมักใช้คำว่า กรมแรงงาน แทนที่จะเป็นกระทรวงแรงงาน

หรือจะเป็นข่าวลวงเรื่อง บริษัทจัดหางานวินซ์ เพลสเมนท์ จำกัด รับสมัครแรงงานผ่านกรมการจัดหางาน ที่มีการเตือนในวันที่ 7 ก.พ. 2566 เนื้อหาเป็นการโฆษณาชักชวนไปทำงานต่างประเทศ (คาดว่าน่าจะเป็นประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากระบุรายได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สิงคโปร์) แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีการขอประกาศหาแรงงานในตำแหน่งที่อ้างถึงกับกรมการจัดหางาน ตามที่โฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด 

จากข้อมูลบนเว็บไซต์ https://lb.mol.go.th ซึ่งเป็นระบบ e-Labour บริการประชาชน โดยสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เผยแพร่บทความในหมวด คนหางาน/คนว่างงาน หัวข้อ งานในต่างประเทศ เรื่อง การไปทำงานต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมายระบุว่า การไปทำงานต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมายมี 5 วิธี ประกอบด้วย 

1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง มีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ต้องแสดงใบอนุญาตการจดทะเบียนต่อกรมการจัดหางาน ไว้ในที่เปิดเผยและเห็นชัด ณ สำนักงานที่ได้รับอนุญาต 1.2  ต้องจดทะเบียนลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานที่ทำงานให้บริษัทไม่ใช้สายหรือเป็นนายหน้าเถื่อน 1.3 เรียกเก็บค่าหัวตามกฏหมายและออกใบเสร็จรับเงินให้คนหางานไว้เป็นหลักฐาน 1.4 เรียกเก็บเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน 30 วันก่อนเดินทาง ถ้าไม่ส่งไปทำงานตามกำหนด ต้องคืนเงินให้ทันที 1.5 ต้องส่งคนงานไปตรวจโรค ณ สถานพยาบาลตามที่กรมการจัดหางานประกาศรายชื่อไว้ 1.6 ต้องส่งคนหางานไปทดสอบฝีมือ ณ สถานทดสอบฝีมือตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานอนุญาต 1.7 ต้องพาคนงานเข้ารับการฝึกอบรมจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานก่อนเดินทาง และ 1.8 ต้องพาคนหางานเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานของกรมการจัดหางาน ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงแรงงานแนะนำให้ติดต่อบริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน

2.กรมการจัดหางานจัดส่ง เป็นบริการของรัฐที่ส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ นอกจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าภาษี สนามบิน ค่าสมาชิกกองทุนฯ ค่าที่พักสำหรับเตรียมตัวก่อนเดินทาง สำหรับโครงการจัดส่งโดยรัฐ เช่น 2.1 โครงการจ้างตรง : ไต้หวัน 2.2 โครงการ IM : ประเทศญี่ปุ่น 2.3 โครงการ EPS : สาธารณรัฐเกาหลี 2.4 โครงการ TIC : ประเทศอิสราเอล

3.เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง คนหางานติดต่อนายจ้างต่างประเทศด้วยตนเองหรือคนงานที่ทำงานครบสัญญาจ้างแล้วได้ต่อสัญญาจ้าง เมื่อเดินทางกลับมาพักผ่อน ในประเทศไทยและจะเดินทางกลับไปทำงานอีก ต้องแจ้งต่อกรมการจัดหางานก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 15 วัน 

4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน นายจ้างในประเทศไทยที่มีบริษัทในเครืออยู่ในต่างประเทศ หรือประมูลงานในต่างประเทศได้ ส่งลูกจ้างที่อยู่ในประเทศไทยไปทำงานต้องขออนุญาตต่อกรมการจัดหางาน

และ 5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน มี 2 ประเภทคือ กรณีไม่เกิน 45 วัน และกรณีเกิน 45 วัน สำหรับนายจ้างที่ประสงค์จะส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศไม่เกิน 45 วัน ให้ยื่นแบบแจ้งตามแบบ จง.46 ดังนี้ 5.1 กรณีนายจ้างมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ให้ยื่นแบบแจ้ง (จง.46) ณ สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หรือสำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ที่ตั้งสำนักงาน 5.2 กรณีนายจ้างมีสำนักงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่น ให้ยื่นแบบแจ้ง (จง.46) ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนั้น

สำหรับผู้สนใจไปทำงานต่างประเทศแล้วพบเห็นการโฆษณาที่น่าสงสัยในสื่อสังคมออนไลน์ สามารถตรวจสอบด้วยการสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-248-4792 ของกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือที่สายด่วน 1694 ของกรมการจัดหางาน รวมถึงเพจเฟซบุ๊ก กองทะเบียนจัดหางานกลางเเละคุ้มครองคนหางานโดย URL ที่ถูกต้องคือ https://www.facebook.com/DoeCepd/ สามารถแคปภาพหน้าจอแล้วส่งไปสอบถามได้ นอกจากนั้นยังมีเว็บไซต์ https://www.doe.go.th/prd/ipd ที่ประกาศรายชื่อบริษัทจัดหางานที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเลือกหมวด ดาวน์โหลด หัวข้อ เกี่ยวกับบริษัทจัดหางาน

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.antifakenewscenter.com/ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)

https://www.antifakenewscenter.com/เศรษฐกิจ/กรมการจัดหางานเปิดโอกา/ (กรมการจัดหางานเปิดโอกาสทำงานเกาหลี ญี่ปุ่น และต่างประเทศได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอนเงินเพื่อจองสิทธิ์ ข่าวปลอม หลอกลวงประชาชน อย่าหลงเชื่อ!! : 25 ธ.ค. 2562)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทรวงแรงงานเปิดรับสมัครไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์-รายได้เดือนละ-40000-บาท/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทรวงแรงงานเปิดรับสมัครไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายได้เดือนละ 40,000 บาท : 23 ส.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-เกาหลีเปิดรับคนไทยทำงานถูกกฎหมายที่ไร่ผักสลัด-ค่าแรง-75000-บาท/(ข่าวปลอม อย่าแชร์! เกาหลีเปิดรับคนไทยทำงานถูกกฎหมายที่ไร่ผักสลัด ค่าแรง 75,000 บาท : 26 ต.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-เกาหลีเตรียมเปิดรับสมัครงานอุตสาหกรรม-75000-อัตรา/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! เกาหลีเตรียมเปิดรับสมัครงานอุตสาหกรรม 75,000 อัตรา : 3 ธ.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-บริษัท-work-and-smile-ประเทศฮังการี-เปิดรับแรงงาน-เงินเดือนสูง-ถูกกฎหมายผ่านกรมการจัดหางาน/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! บริษัท work and smile ประเทศฮังการี เปิดรับแรงงาน เงินเดือนสูง​ ถูกกฎหมายผ่านกรมการจัดหางาน : 11 ม.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทรวงแรงงานรับสมัครพนักงานนวดหญิงไปทำงานที่ประเทศโคลัมเบีย/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทรวงแรงงานรับสมัครพนักงานนวดหญิงไปทำงานที่ประเทศโคลัมเบีย : 26 ม.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-บริษัทจัดหางานวินซ์-เพลสเมนท์-จำกัด-รับสมัครแรงงานผ่านกรมการจัดหางาน/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! บริษัทจัดหางานวินซ์ เพลสเมนท์ จำกัด รับสมัครแรงงานผ่านกรมการจัดหางาน : 7 ก.พ. 2566)

https://lb.mol.go.th/คนหางาน-คนว่างงาน/งานในต่างประเทศ/การไปทำงานต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฏหมาย (การไปทำงานต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฏหมาย : ระบบ e-Labour บริการประชาชน โดยสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน)

https://www.facebook.com/DoeCepd/ (เพจเฟซบุ๊ก “กองทะเบียนจัดหางานกลางเเละคุ้มครองคนหางาน”)

https://www.doe.go.th/prd/ipd/downloads/param/site/155/cat/104/sub/0/pull/category/view/list-label (เกี่ยวกับบริษัทจัดหางาน : กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน)


‘ตรวจสอบรายชื่อเลือกตั้ง’ เว็บไซต์จริงไม่อันตรายโดยกรมการปกครอง น่าสังเกตข่าวลวงอาจแชร์ผ่านกลุ่มปิด

By : Zhang Taehun

ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2566 อย่าตรวจนะ มันให้กรอกเลขบัตรประชาชน เดี๋ยวเขตส่งมาให้เราเอง (เว็บไซต์อันตราย)

ข้อความที่ถูกแชร์กันในหมู่ประชาชน ซึ่งทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Thailand) กระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้นำมาเปิดเผยและชี้แจงเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2566 ระบุว่า กรณีที่มีการส่งต่อข้อความเตือนระบุว่า อย่ากรอกข้อมูลตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากเว็บไซต์อันตรายนั้น ทางกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงแต่ละประเด็นว่าเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง 

ข้อมูลเท็จดังกล่าวถูกส่งต่อกันแพร่หลายสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2566 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ซึ่งกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 17.00 น. เป็นวันเลือกตั้ง และกำหนดวันเลือกตั้งล่วงหน้า ในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 โดยในส่วนของเว็บไซต์ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ที่เว็บไซต์ของสำนักบริหารการทะเบียน www.bora.dopa.go.th หรือผ่านแอปพลิเคชัน Smart Vote ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

จากการตรวจสอบโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ แล้วพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเผยแพร่โดย สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ไม่ใช่เว็บไซต์ปลอมหรือเว็บไซต์อันตรายตามที่กล่าวอ้าง โดยประชาชนสามารถใช้ตรวจสอบรายละเอียดผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้ตามปกติ ทั้งนี้ โปรดตรวจสอบลิงก์ก่อนกรอกข้อมูลอีกครั้ง เพราะอาจมีมิจฉาชีพปลอมแปลงเว็บไซต์ขึ้นมาได้ โดยลิงก์เว็บไซต์จริงคือ https://boraservices.bora.dopa.go.th/election/enqelection/ 

เช่นเดียวกับบัญชีทวิตเตอร์ “@iLawClub” ของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย​ประชาชน (ไอลอว์) ก็โพสต์ข้อความชี้แจงในวันเดียวกันว่าให้ “ระวังข่าวปลอม! ที่มีการส่งต่อข้อความในไลน์/โซเชียลมีเดีย ว่าเว็บไซต์เช็คสิทธิ #เลือกตั้ง เป็นของปลอม ห้ามกรอกเลข 13 หลัก กกต. แจ้งแล้ว เข้าลิงก์นี้ เว็บจริงแน่นอน เป็นของกรมการปกครอง ไม่ใช่เว็บไซต์ปลอมหรือเว็บไซต์อันตราย เช็คสิทธิกันได้เลยhttps://boraservices.bora.dopa.go.th/election/enqelection/”

การใช้งานตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2566 สามารถทำได้ง่าย โดยเมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์ www.bora.dopa.go.th ในหน้าแรกให้เลือกหัวข้อ “การให้บริการ” ตามด้วยหัวข้อ “การเลือกตั้ง” และเลือกหัวข้อ “ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การเลือกตั้ง ส.ส.” ซึ่งอยู่ในหมวด การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือจากหน้าแรกของเว็บไซต์ สามารถกดเลือก Icon หีบเลือกตั้ง โดยใต้ Icon ก็จะมีข้อความบรรยายว่า การเลือกตั้ง เมื่อกดเข้าไปแล้วก็จะเจอหมวด การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และมีหัวข้อ ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การเลือกตั้ง ส.ส. ให้เลือกเช่นกัน โดยทั้ง 2 วิธี ระบบจะพาเข้าไปที่ https://boraservices.bora.dopa.go.th/election/enqelection/ ซึ่งจะมีช่องให้กรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก แล้วระบบจะระบุ ชื่อ-นามสกุล เขตเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้ง สถานที่เลือกตั้ง และลำดับที่ในบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้ หากไม่ใช่ผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า (วันที่ 7 พ.ค. 2566)  ระบบจะแจ้งวันไปใช้สิทธิ์ เป็นวันที่ 14 พ.ค. 2566 หรือเป็นวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ 

อนึ่ง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ข้อความข่าวลวงที่ทาง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ นำมาชี้แจงนั้น อาจเป็นข้อความที่ส่งต่อกันทางแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ซึ่งเป็นแอปฯ สนทนา (Chat) ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ใช่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่มีการโพสต์ข้อความเปิดเผยเป็นสาธารณะ (เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ต่างๆ) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ดังที่เคยมีการเตือนกันมาสักระยะแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนอผลการศึกษาโดย ชิตพงษ์ กิตตินราดร ผู้แทนทีมวิจัยสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น เมื่อเดือน พ.ค. 2564 ซึ่งโคแฟค ประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานแถลงข่าว (ออนไลน์) “ถอดรหัสข่าวลวง: เปิดรายงานโคแฟค ที่มา ลักษณะข่าวลวงและข้อเสนอแนะ” (De-coding Disinformation: Cofact Original Report and Recommendations) กล่าวถึงข่าวลวง เช่น มะนาวโซดาฆ่าเชื้อโควิด-19 , คลิปเสียงแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราชที่ระบุว่าการดื่มยาเขียวช่วยป้องกันและรักษาโรคจากไวรัสโควิด-19 ได้, ข่าวแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์ สามารถใช้กู้ยืมเงินสดได้ เป็นต้น ซึ่งมีข้อค้นพบจากการศึกษาว่าข่าวลวงส่วนใหญ่นั้นคาดว่าแพร่กระจายกันอยู่ในกลุ่มปิด (เช่น ไลน์กลุ่ม) และมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการหารือร่วมกับทางบริษัทไลน์สาขาประเทศไทย เพื่อหาช่องทางตรวจสอบข่าวลวงบนแพลตฟอร์มดังกล่าว ขณะเดียวก็ต้องฝากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสารที่ส่งต่อกันในช่องทางนี้ด้วย!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-อย่ากรอกข้อมูลตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง-เนื่องจากเว็บไซต์อันตราย/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! อย่ากรอกข้อมูลตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากเว็บไซต์อันตราย : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 21 เม.ย. 2566)

https://twitter.com/iLawclub/status/1649293737632358400/photo/1

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG230417201557885 (กกต. แจ้งให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส. สามารถตรวจสอบรายชื่อของตัวเองได้แล้ว ตั้งแต่ 18 เมษายนนี้ : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 17 เม.ย. 2566)

www.bora.dopa.go.th(สำนักบริหารหารทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)

https://blog.cofact.org/cofact-press-may-27-21/ (งานวิจัยพบ‘ข่าวลวง’เสี่ยงระบาดหนักใน‘กลุ่มปิด’ แนะแพลตฟอร์มหาวิธีแก้ไข-สร้างอาสาฯร่วมตรวจสอบ : Cofact 27 พ.ค. 2564)


จับตา‘เลือกตั้ง2566’ไม่จบแค่วันหย่อนบัตร หวั่นปฏิบัติการข่าวสารกระทบผลโหวต-ก่อความรุนแรง

26 เม.ย. 2566 ที่ รร.เซาท์เทิร์นแอร์พอร์ต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการจัดเสวนา Open Forum หัวข้อ “ทำไมต้องมีการตรวจสอบข้อมูลทั้งก่อน-ระหว่าง-หลังการเลือกตั้งทั่วไป 2566” พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการพัฒนาศักยภาพการเป็นวิทยากรผู้ให้การอบรมเพิ่อเครือข่ายพลเมืองนักตรวจสอบข้อมูลทางการเมือง-สังคมและการเลือกตั้ง” จัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ระหว่างวันที่ 26-28 เม.ย. 2566


ชุติกาญจน์ สุขมงคลไชย เจ้าหน้าที่โครงการ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) กล่าวว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้ (วันที่ 14 พ.ค. 2566) จะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่อินเตอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือของพรรคการเมืองและนักการเมืองในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย หรือก็คือฐานเสียง โดยการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ (ปี 2562) พรรคอนาคตใหม่ ได้ทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง จนมีตัวแทนของพรรคได้เข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภา ด้วยคะแนนนิยมเป็นอันดับ 3


อีกทั้งยังเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่เกิดขึ้นหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปี 2563 อีกด้านหนึ่งก็ต้องจับตาขั้วอำนาจเดิมที่คะแนนนิยมลดลง ว่าจะใช้กลไกที่เคยวางไว้เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบในการเลือกตั้งอย่างไรบ้าง เช่น ข้าราชการประจำ กฎหมาย ขณะเดียวกันในพื้นที่ออนไลน์ยังเกิดสภาวะสงครามข่าวสาร ที่พรรคการเมืองหรือฐานเสียงใช้เนื้อหาซึ่งรวมถึงข้อมูลบิดเบือน หรือมีการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO-Information Operation) ปลุกปั่นความรุนแรง จึงไม่เอื้อให้พื้นที่ออนไลน์เป็นการแข่งขันเชิงนโยบายของพรรคการเมือง แต่นอกจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มฐานเสียงที่เป็นผู้สนับสนุนแล้ว ยังมีข้อมูลที่ถูกผลิตโดยภาคธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทประชาสัมพันธ์ (PR) บริษัทด้านการตลาดดิจิทัล ที่เข้ามารับงานจากพรรคการเมือง (Outsource) ประเด็นที่น่าคิดคือ ในขณะที่การดำเนินการของพรรคการเมืองต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและมีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำกับดูแล แล้วบริษัทเอกชนเหล่านี้มีกรอบกำกับดูแลด้วยหรือไม่


ยังมีความท้าทายอีกประเด็นหนึ่ง คือเมื่อพูดถึงการเลือกตั้งหลายคนมักมองกันเฉพาะวันลงคะแนน แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือการมองการเลือกตั้งให้เห็นเป็นรูปแบบของกระบวนการ หมายถึงการมองตั้งแต่วันเริ่มรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง วันเลือกตั้ง วันลงคะแนนเสร็จแล้ว และอาจต้องดูจนถึงการจัดตั้งรัฐบาล เพราะรูปแบบของปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือการใช้ชุดข้อมูลบิดเบือน จะถูกออกแบบมาให้สอดรับกับแต่ละช่วงจังหวะของกระบวนการเลือกตั้ง ทั้งการเผยแพร่ข้อมูลผ่านกลุ่มสนทนาในแอปพลิเคชั่นต่างๆ (เช่น Line) ไปจนถึงโพลที่น่าสงสัยเรื่องวิธีการสำรวจ


“เราเข้ามาดูการเลือกตั้งเป็นพิเศษเพราะรู้สึกว่าตั้งแต่การชี้นำ ความพยายามสร้างการชี้นำทั้งหมดตลอดกระบวนการ สุดท้ายแล้วเรากังวลเรื่องความรุนแรงในโลกกายภาพที่อาจจะเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่ที่ไปโหวตแล้วเขาไม่ได้พรรคที่เขาเลือกมาเป็นรัฐบาล มันอาจทำให้เขากลับมาสู่ท้องถนนใหม่อีกครั้ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เขาเลือกพรรคของเขาเข้ามาแล้วเขาก็ไม่ได้เพราะเขาได้คะแนนน้อย เขาก็อาจจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดการปะทะกัน” ชุติกาญจน์ กล่าว


รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) กล่าวว่า เมื่อย้อนไปดูการเลือกตั้งในปี 2562 จะพบว่ามีการกำหนดไว้แล้ว เช่น การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวหรือวิธีการนับคะแนน แต่จะกำหนดได้มาก-น้อยเพียงใดก็อยู่ที่ประชาชน เพราะประชาชนก็ไม่ได้อยู่นิ่งแต่หาทางต่อสู้กับระบบที่ไม่เห็นด้วย ผลการเลือกตั้งจึงออกมาแบบไม่เบ็ดเสร็จ อีกทั้ง กกต. ยังถูกประชาชนตั้งคำถามอย่างมากในเวลานั้น เพราะมองว่าระบบการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม

ขณะที่ในการเลือกตั้งปี 2566 อยู่ภายใต้กติกาใหม่คือบัตรเลือกตั้งที่เปลี่ยนจากใบเดียวเป็น 2 ใบ ผลที่เกิดขึ้นคือพรรคการเมืองขนาดเล็กมีแนวโน้มหายไป แต่ในทางรัฐศาสตร์มองว่าบ้านใหญ่จะมีอิทธิพลมากขึ้น ทั้งนี้ ระบบบัตร 2 ใบแม้จะมีความง่ายคือประชาชนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบ่งแบ่งเขต แต่ก็มีความยากอยู่ที่หมายเลขของพรรคการเมืองกับผู้สมัครสังกัดพรรคนั้นๆ ในแต่ละเขตไม่เหมือนกัน ทำให้ประชาชนต้องจำทั้งหมายเลขพรรคการเมืองสำหรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหมายเลขผู้สมัครสำหรับ ส.ส.แบบแบ่งเขต

ส่วนการที่พรรคการเมืองเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ออนไลนไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม อย่างหนึ่งที่เชื่อมั่นได้คือประชาชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นอิสระจะไม่เอาด้วยกับความไม่จริง ต่อให้มีการรับจ้าง-รับงาน แต่ความไม่จริงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโกหกกันได้ และเมื่อประชาชนเห็นว่าไม่จริงก็พร้อมจะต่อต้านสิ่งที่ไม่จริงนั้น สิ่งนี้คือข้อดีของพื้นที่ออนไลน์ที่ให้เสียงประชาชนได้ตั้งคำถามและตรวจสอบ


“ผมเกรงว่าหลังจากการเลือกตั้ง ถ้าผลของการเลือกตั้ง การนับคะแนน การประกาศ การรวมจัดตั้งรัฐบาลที่มันไม่ตรงไปตรงมาหรือทำให้ประชาชนผิดหวัง และการมี สว. (สมาชิกวุฒิสภา) 250 โหวตไปไม่ตามเสียงประชาชน ผมคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์การชุมนุมและความรุนแรงเกิดขึ้น การเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะไม่เห็นความรุนแรงช่วงการเลือกตั้ง แต่หลังการเลือกตั้งความรุนแรงอาจจะเกิดขึ้น อยากฝากทิ้งไว้ว่าหลังจากการเลือกตั้งเราจะรับมืออย่างไร” รศ.เอกรินทร์ กล่าว


ภูวสิษฏ์ สุขใส บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคใต้โฟกัส กล่าวว่า การตรวจสอบการเลือกตั้งในกรอบของกฎหมายจะเป็นการตรวจสอบคนทำหน้าที่ คือเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กกต. และการตรวจสอบพรรคการเมืองหรือผู้เข้าสู่กระบวนการทางการเมือง ซึ่งสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า คือการส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนในการร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง ที่ถอยหลังไปจากเดิมนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 โดยระบบรวมศูนย์มาจากสวนกลาง ในขณะที่คนในพื้นที่มีบทบาทน้อย แม้กระทั่งภาคประชาสังคมที่ร่วมตรวจสอบก็ยังมาจากส่วนกลาง ซึ่งสามารถดูข้อมูลองค์กรภาคประชาสังคมที่ กกต. ประกาศให้เข้าร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งได้จากเว็บไซต์ของ กกต. ในขณะที่การเลือกตั้งก่อนปี 2562 คนในพื้นที่สามารถรวมกลุ่มเข้าไปมีส่วนร่วมรณรงค์ให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้งได้ ซึ่งล่าสุด บทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งเผยแพร่ไป เปิดหัวข้อท้าทายว่า หาก จ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีการให้ใบแดงผู้สมัคร ก็ไม่น่าจะมี กกต. อีกต่อไป ซึ่งก็น่าจะได้ยินกันบ้างแล้ว อาทิ การเก็บบัตรยกหมู่บ้าน การจ่ายเงินรายหัว


“ตรงนี้เรามีคนพร้อมร่วมทำงาน ทุกจังหวัดมีแบบนี้หมด ถ้าเราช่วยกันจัดการตรงนี้จะมีอานิสงส์ต่อประเทศชาติของเราอย่างมาก อีกประการคือเรื่องโพลไม่มีผลต่อการเลือกตั้งเท่าการพนัน วันนี้เริ่มมีการพนันแล้วว่าเขตไหนใครจะได้ อันนี้มีผลต่อคนโหวตมากกว่าโพล และโดยข้อกฎหมาย ก่อน 7 วันเราเปิดเผยโพลไม่ได้ เอ็กซิทโพลก็เปิดเผยไม่ได้ ต้องเปิดเผยหลังปิดหีบไปแล้ว โพลไม่มีผลต่อการหย่อนบัตรเท่ากับการพนัน” ภูวสิษฏ์ กล่าว


ธนิสรา เรืองเดช Punch Up (Data Storytelling Studio) กล่าวว่า จากการรวมกลุ่มทำเว็บไซต์ ELECT เพื่อจับตาการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งได้รับความสนใจเข้ามาใช้งานเป็นวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ตามมาด้วยการติดตามทั้งการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การโหวตผ่าน-ไม่ผ่านกฎหมายต่างๆ การทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ตลอด 4 ปีของอายุสภาและรัฐบาลชุดล่าสุด เพราะประชาธิปไตยไม่ได้จบเพียงวันเลือกตั้ง ซึ่งก็ทำให้ร่วมทำงานกับ กกต. มากขึ้น มีการพูดคุยกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร


อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังพบปัญหา เช่น ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้งแล้วแต่ยังพบปัญหาการสื่อสารความเข้าใจ อาทิ เรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ บัตรสีไหนเลือก ส.ส. ประเภทใด หรือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งยังสงสัยว่าตนเองอยู่ในเขตเลือกตั้งใดซึ่งบางครั้งก็ห่างกันเพียงคนละฝั่งของถนน โดยการเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งทำงานในชื่อกลุ่ม WeVis (We Visualize Data for Democracy) จะทำงานใน 2 ส่วน
1.ทบทวนผลงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของรัฐสภา เนื่องจากหลายเขตเลือกตั้งมี ส.ส. คนเดิมลงสมัครไม่ว่าจะสังกัดพรรคเดิมหรือไม่ก็ตาม อยากให้ประชาชนในฐานะผู้จ่ายเงินภาษีได้รู้ว่าตลอด 4 ปีในสภาได้เข้าไปทำอะไรบ้าง กับ

2.ให้ความรู้กับประชาชนว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันเลือกตั้ง ทั้งกติกาการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้ง ข้อมูลผู้สมัคร พรรคการเมืองและนโยบาย เป็นการเตรียมข้อมูลให้ค้นหาได้ง่าย


“ล่าสุดมีคนพูดว่าเวทีดีเบตเยอะมาก แต่อยากเห็นที่หนึ่งที่รวมทุกนโยบายของทุกพรรคไว้ให้หน่อยแล้วให้ค้นหาได้ง่าย เราก็เลยคิดว่าจะรอให้สื่อหรือ กกต. ทำ ไม่ทำไม่เป็นไรเดี๋ยวเราทำเอง ก็เพิ่งทำเสร็จ ใช้ชื่อว่า Policy Shop คิดภาพเราเดินเข้าไปร้านสะดวกซื้อแล้วเราสามารถช็อปปิ้งนโยบายที่เราสนใจได้ เช่น อยากดูเรื่องสุขภาพ หรืออยากดูเรื่องระบบป้องกันภัย เวลาไฟไหม้มีเตือนภัย ค้นคำไหนมันก็จะรวมนโยบายของทุกพรรคที่มีแล้วก็เอามาไว้ที่เดียวกัน” ธนิสรา กล่าว


-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 เมษายน 2566

“ประกันสังคม เปิดรับพนักงาน part-time คุณแม่อยู่บ้านอยากมีรายรับ ทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องเดินทาง 400-1600 ต่อวัน *เพศหญิงพิจารณาพิเศษ”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/noh9mtzp0nzo#_=_


น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นโรคมะเร็งอันดับ 1 ของโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2jbjudd9oq827#_=_


อาหารเสริมสมุนไพร ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอตาหรือเรตินา ลดการอักเสบของดวงตา บำรุงสายตา ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับตา รักษาเบาหวานขึ้นตาให้หายด้วย Balance E…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/256ryrz3t6mz7


“คลื่นความร้อน” แผดเผาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำอุณหภูมิพุ่งสูงทุบสถิติ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/38kjv68o65qft#_=_


ออมสิน เตือนผู้ใช้แอป MyMo รีบนำบัตรประชาชนไปที่แบงก์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gcl8h1w5j9m4#_=_


“ญี่ปุ่น” ยกเลิกมาตรการคุมโควิดก่อนเข้าประเทศทั้งหมด เริ่ม 29 เม.ย. นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mwzluirb197d#_=_


สปสช. ชวนผู้มีสิทธิบัตรทอง 7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เริ่ม 1 พ.ค. – 31 ส.ค. 66

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1cu9xzbafmjmc


ผิวแห้ง คัน ในผู้สูงวัย นำไปก่อโรคการติดเชื้อ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1xyhwo60fphuq#_=_


‘งานออนไลน์รายได้ดี’ เรื่องน่าปวดหัวของ ‘ประกันสังคม’ ถูกมิจฉาชีพแอบอ้างสร้าง ‘ข่าวลวง’ วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

By : Zhang Taehun

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างจากมิจฉาชีพอยู่บ่อยครั้งจริงๆ ก่อนหน้านี้โคแฟค (ประเทศไทย) ได้เคยเขียนถึงไปแล้วในบทความ “4 ข่าวลวงวนซ้ำมาตรการเยียวยาประชาชนโดยรัฐในสถานการณ์โควิด-19” ว่าด้วย สปส. กับข่าวลวงที่วนมาเรื่อยๆ เรื่องแจกเงินช่วยเหลือประชาชนบ้าง ให้สินเชื่อกับผู้ประกันตนบ้าง แต่นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ การทำงานออนไลน์ ที่มีมิจฉาชีพไปตั้งเพจเฟซบุ๊กให้เหมือนเพจของ สปส. แล้วอ้างว่ารับคนทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)

ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการแชร์ภาพโฆษณา ประกันสังคม เปิดรับพนักงาน part-time คุณแม่อยู่บ้านอยากมีรายรับ ทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องเดินทาง 400-1600 ต่อวัน *เพศหญิงพิจารณาพิเศษ อีกทั้งยังอ้างชื่อหน่วยงาน ศูนย์สารนิเทศ ฝ่ายข่าว สำนักงานประกันสังคม ซึ่งก็สามารถฟันธงได้เลยว่า อย่าหลงเชื่อ เพราะย้อนไปเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2566 ทาง สปส. ก็ได้ฝากผ่าน ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเตือนเรื่องนี้แล้วครั้งหนึ่ง โดยอ้างถึงภาพเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งระบุข้อความว่า สำนักงานประกันสังคม สมัครฟรี เปิดรับพนักงาน รับงานอาชีพอิสระ ทำที่บ้านหรือนอกบ้านก็ได้ 350-1200 ต่อวัน เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด รวมถึงระบุด้านใต้ภาพว่า ศูนย์สารนิเทศ ฝ่ายข่าว สำนักงานประกันสังคม ซึ่งในครั้งนั้นมีคำชี้แจงว่า 

4“จากกรณีประเด็นการประกาศรับสมัครงานโดยระบุว่า สำนักงานประกันสังคม รับสมัครพนักงาน ทำงานที่บ้าน รายได้ 400 – 900 บาทต่อวัน และเปิดรับสมัครพนักงานอาชีพอิสระ รายได้ 350 – 1,200 บาทต่อวันนั้น ทางสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า สำนักงานประกันสังคมไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่การประชาสัมพันธ์ อีกทั้งก็ไม่มีการเปิดรับสมัครงานตามที่กล่าวอ้าง ข้อมูลดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคมทั้งสิ้น เป็นการกระทำชวนเชื่อของมิจฉาชีพที่แอบอ้างนำโลโก้ของสำนักงานประกันสังคมไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต”

ก่อนหน้านั้น 2 วัน ในวันที่ 10 มี.ค. 2566 บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ออกมาเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้นำตราสัญลักษณ์ หรือ โลโก้ สำนักงานประกันสังคม นำไปใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ประชาชนหลงเชื่อและแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น ประกันสังคมรับสมัครงานโครงการ WFH การันตีรายได้ ส่งข้อความเพื่อตรวจสอบสิทธิ์เยียวยาโควิด สิทธิประกันสังคมสร้างรายได้สำหรับคุณแม่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน หรือให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อรับสิทธิประโยชน์ เป็นต้น

นายบุญสงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นการชักชวน ทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ในลักษณะดังกล่าว โปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะอาจถูกหลอกให้เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครงาน หรือหลอกลวงขอข้อมูลส่วนบุคคลและนำไปสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือนำไปสวมตัวตนสมัครแอปพลิเคชันทางการเงิน หรือแม้กระทั่งนำไปหลอกลวงผู้อื่นต่อ ทั้งนี้ ผู้แอบอ้างจะมีความผิดฐานนำเข้าข้อมูลเท็จ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 

รวมถึง ความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายราชการ พ.ศ. 2482 ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดใช้เครื่องหมายราชการ เว้นแต่หน่วยราชการที่กำหนดเครื่องหมายนั้นจะอนุญาต และ ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมหรือเลียนแบบเครื่องหมายราชการ ไม่ว่าจะเป็นสีใด หรือทำด้วยวิธีใด ๆ หรือทำให้ปรากฏที่วัตถุหรือสินค้าใดๆ ก็ตาม หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 2,000 บาท 

แต่ก็ต้องบอกว่า ดูเหมือนคำเตือนจะเอาไม่อยู่จริงๆ เพราะหากลองใส่คำค้นว่า “ประกันสังคม เข้าไปในฐานข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ  จะพบว่ามีข่าวแบบเดียวกันเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แม้แต่ขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้ในช่วงค่ำของวันที่ 10 เม.ย. 2566 เมื่อลองค้นว่า “ประกันสังคม ในเว็บไซต์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ก็ยังพบว่ายังมีข้อมูลล่าสุดเรื่องมิจฉาชีพแอบอ้าง สปส. รับสมัครทำงานออนไลน์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2566 หรือ 1 วันก่อนหน้าการเขียนบทความนี้

สำหรับข่าวลวง สปส. รับสมัครทำงานออนไลน์ วันที่ 9 เม.ย. 2566 เป็นเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งระบุข้อความว่า สิทธิ์ประกันสังคม สำหรับคุณแม่อยากมีงานทำหลังลูกน้อยหลับ ยินดีแบ่งปัน 400-1800 ต่อวัน พร้อมกับภาพผู้หญิงและเด็กมีข้อความประกอบว่า เลี้ยงอยู่อยู่บ้านอย่างไรมีรายได้หลักแสน/ด. wfh ฟรี-ไม่มีค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าทาง สปส. ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เช่นเคย

ในการค้นหาคำว่าประกันสังคม ณ วันที่ 9 เม.ย. 2566 พบข่าวที่เกี่ยวข้อง 150 เรื่อง ในช่วง 9 วันแรกของเดือน เมษายน 2566 พบข่าวลวงเรื่อง สปส. รับสมัครคนทำงานออนไลน์ 4 เรื่อง อาทิ ปกส. ชวนคุณแม่สมัครงานรายได้ 1,800 บาท/วัน (9 เม.ย. 2566) , ประกันสังคมประกาศจ้างงาน WFH วันละ 300 บาท (8 เม.ย. 2566) , ประกันสังคมเปิดโครงการพิเศษสำหรับผู้ที่อยากมีรายได้เพิ่ม (7 เม.ย. 2566) , มาตรการช่วยเหลือจากปกส. จัดโครงการ WFH ทั่วประเทศ รายได้ 450 – 1600 บาท/วัน (2 เม.ย. 2566)

เดือนมีนาคม 2566 พบ 7 เรื่อง อาทิ ปกส. รับสมัครงาน รายรับ 700 – 1,500 บาท/วัน (27 มี.ค. 2566) สำนักงานประกันสังคมรับสมัครคนเลี้ยงลูกอยู่บ้าน รายได้เสริม 1200-3200 ต่อวันทำงานเวลาว่าง เวลาทำงาน 10-15 นาที (22 มี.ค. 2566) , สำนักงานประกันสังคมประกาศเปิดรับสมัครงาน 350-1200 บาท/วัน (12 มี.ค. 2566) , สำนักงานประกันสังคมเปิดรับสมัครพนักงาน สำหรับกลุ่มหางานออนไลน์ (11 มี.ค. 2566)  , สำนักงานประกันสังคม รับสมัครพนักงาน ไม่จำกัดวุฒิ ไม่ต้องมีประสบการณ์ รายได้ 300-1000 (8 มี.ค. 2566) , สิทธิประกันสังคมสำหรับคุณแม่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน สามารถสร้างรายรับ 1,500 – 3,500 บาท/วัน (6 มี.ค. 2566) , ปกส. จัดโครงการ WFH การันตีรายได้ 300 – 1,500 บาท/วัน (5 มี.ค. 2566) เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบ 1 เรื่อง คือ สำนักงานประกันสังคม รับสมัครพนักงาน รายได้ 400 – 1200 บาทต่อวัน (24 ก.พ. 2566) 

ส่วนหน่วยงาน ศูนย์สารนิเทศ ฝ่ายข่าว สำนักงานประกันสังคม จากการค้นหา ณ วันที่ 10 เม.ย. 2566 ไม่พบว่ามีเพจดังกล่าวในระบบของเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม พบเพจชื่อ ศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานหรือ URL ชื่อ https://www.facebook.com/profile.php?id=100069066824933 ซึ่งเป็น เพจเผยแพร่ข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ของ สปส. แต่เพจดังกล่าวไม่มีความเคลื่อนไหวมาหลายปีแล้ว โดยโพสต์สุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2558 

ทั้งนี้ เว็บไซต์ที่ถูกต้องของสำนักงานประกันสังคม คือ https://www.sso.go.th และเมื่อเข้าไปแล้ว ด้านซ้ายของ URL จะมีรูป แม่กุญแจ อันเป็นใบรับรองความปลอดภัยหรือเป็นเว็บไซต์จริงของหน่วยงาน ขณะที่เพจเฟซบุ๊กของ สปส. ที่ถูกต้องคือ “สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน – Social Security Office” หรือ https://www.facebook.com/ssofanpage ซึ่งเพจนี้ยังคง update ข้อมูลข่าวสารสม่ำเสมอในปัจจุบัน

โดยสรุป ณ ขณะนี้ ก็คงต้องบอกว่า เจอข่าวประกันสังคมรับสมัครงานออนไลน์ให้ระวังไว้ก่อนว่าอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพอย่าหลงเชื่อ (และไม่ต้องแชร์ต่อ) หากมีข้อสงสัยก็ให้สอบถามได้ที่เพจจริงของ สปส. ตามเว็บไซต์และชื่อเพจข้างต้น หรือสอบถามที่หมายเลขโทรศัพท์ 1506 สายด่วนประกันสังคม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://blog.cofact.org/special-report-36/ (4 ข่าวลวงวนซ้ำ‘มาตรการเยียวยาประชาชนโดยรัฐ’ในสถานการณ์โควิด-19 : COFACT SPECIAL REPORT #36 : 18 พ.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สำนักงานประกันสังคมประกาศเปิดรับสมัครงาน/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สำนักงานประกันสังคมประกาศเปิดรับสมัครงาน : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 12 มี.ค. 2566)

https://www.posttoday.com/business/691637 (“สำนักงานประกันสังคม” เปิด 4 รายชื่อเว็บปลอมหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว : โพสต์ทูเดย์ 10 มี.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/#searchall (ระบบค้นหาข้อมูลข่าวจริง-ข่าวลวง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ปกส-ชวนคุณแม่สมัครงานรายได้-1800-บาท-วัน/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ปกส. ชวนคุณแม่สมัครงานรายได้ 1,800 บาท/วัน : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 9 เม.ย. 2566)


เปิดผลวิจัย‘ข้อความอันตราย’บนโลกออนไลน์ กระทบสิทธิมนุษยชน ห่วงลุกลามรุนแรง

25 เม.ย. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) FHI 360 มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ และภาคี จัดเวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 25 หัวข้อ “ตรวจสอบข้อความอันตรายบนโลกออนไลน์” โดยเป็นวงเสวนาออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค และเพจภาคีองค์กรร่วมจัด 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า เวทีนักคิดดิจิทัล ( Digital Thinkers Forum) โดยจัดขึ้นทั้งรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ครั้งนี้เวทีนักคิดดิจิทัล (Digital Thinkers Forum)ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 25 เพื่อเป็นพื้นที่พูดคุยระดมความคิดเห็นถึงผลกระทบของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่มีต่อพลเมืองในยุคดิจิทัล ทั้งในแง่สิทธิเสรีภาพ, สุขภาวะ ความรู้ความเข้าใจ, ความถูกต้อง-ไม่ถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร ,เนื้อหาที่ส่งผลกระทบในด้านลบ และวิธีการจัดการรับมือกับข่าวลวง

โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องเรียนรู้ร่วมกับ AI อยู่ในยุคอัลกอริทึม (algorithm) ยุคของสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ทุกท่านคงจะได้เห็นผลทั้งด้านบวกและด้านลบมาแล้ว ที่ผ่านมาเราก็มีฟอรั่มแบบนี้ พูดคุยกันมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะกระตุ้นให้สังคมได้เห็นความสำคัญและเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย สุภิญญา กล่าว 

สก็อต อารอนสัน (Scott Aronson) Chief of Party, Networks for Peace, FHI 360 กล่าวถึง ข้อความ หรือถ้อยคำอันตราย(Dangerous Speech) ว่าเป็นประเด็นสากลไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ผลกระทบในแง่ลบทั้งการบั่นทอนบรรทัดฐานของสังคมประชาธิปไตย บั่นทอนสื่อ ไปจนถึงขั้นเลวร้ายที่สุดคือนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งข้อความหรือถ้อยคำอันตรายก็จะแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศเช่นกัน

ถ้อยคำอันตรายมีอยู่ในสังคมไทย แต่อาจจะยังไม่รู้ในระดับร้ายแรงเหมือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ฉะนั้นตอนนี้อาจเป็นจังหวะที่ต้องทำงานหนักเพื่อทำความเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร และอาจจะต้องดำเนินการ ( Take Action )ในขณะนี้ ปัญหาของถ้อยคำอันตรายมันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก มีแง่มุมทั้งสังคม การเมือง มีแง่มุมเรื่องของเทคโนโลยีที่ต้องทำความเข้าใจและหาทางแก้ไข จึงจำเป็นมากที่ต้องทำงานแบบร่วมมือกันกับหลายฝ่าย เพื่อดึงความเชี่ยวชาญจากทุกฝ่าย มาหาทางแก้ที่เหมาะกับสังคมไทยมากที่สุด อารอนสัน กล่าว

สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น กล่าวถึงงานวิจัยเรื่องการตรวจสอบข้อความอันตรายในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ทำงานร่วมกับ Patani Forum , Boonmee Lab และ Trends Digital ว่า เริ่มศึกษาประเด็นข้อความหรือถ้อยคำอันตรายมาได้ประมาณ 1-2 ปี เพื่อที่จะดูว่าในการสนทนากันบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงนั้นมีลักษณะอย่างไร ซึ่งก็มีหลากหลายประเด็น อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน, มุมมองที่เกี่ยวกับศาสนา นำไปสู่การสรุปบทเรียนซึ่งน่าจะใช้ได้กับช่วงนี้ที่จะการเลือกตั้งรวมถึงหลังการเลือกตั้งไปแล้ว

“มีการสร้างกระแสจำนวนมากเพื่อการเลือกตั้ง แต่บทเรียนคือกระแสมันไม่ได้หมดไปพร้อมการเลือกตั้ง ถ้าเราดูในสหรัฐอเมริกา หรือในหลายๆ ประเทศ จริงๆ กระแสมันอาจจะโหดขึ้นหลังเลือกตั้งด้วยซ้ำเพราะมันจะมีฝั่งที่ได้และไม่ได้ สังคมอาจจะต้องดูว่าจะจัดการความคาดหวังที่ไปกันคนละทาง และความเชื่อที่ต่างกันมากๆ ออนไลน์ที่ Build (ปั่นกระแส) กันขึ้นมาอย่างไร” ผอ.สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น กล่าว

อังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ปาฐกถาเรื่อง การรับมือกับข้อความอันตรายออนไลน์ ในมุมมองของสิทธิมนุษยชน ในตอนหนึ่งระบุว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) โดยผู้รายงานพิเศษตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย เผยแพร่รายงานเมื่อปี 2563 ฉายภาพความรุนแรงของ การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture)”ว่ามีองค์ประกอบ 5 ประการ

 1.สร้างความทุกข์ทรมานกับเหยื่ออย่างแสนสาหัส

 2.เป็นไปโดยเจตนา 

3.มีจุดประสงค์ต้องการลงโทษหรือทรมานอย่างชัดเจน

 4.เป็นการทำให้เหยื่อรู้สึกไร้อำนาจ และ

 5.เป็นการกระทำที่มีวิธีการมุ่งโจมตีย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเหยื่ออย่างเป็นระบบ

 ซึ่ง การระรานทางออนไลน์ (Cyberbullying)” ก็สามารถใช้เป็นวิธีการทรมานทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เช่น มีการเตรียมภาพตัดต่อ ใช้ถ้อยคำปลุกปั่นสร้างกระแสให้เหยื่อถูกสังคมมองในแง่ลบ เพื่อให้สังคมมองว่าในเมื่อเป็นคนไม่ดีดังนั้นจะใช้ความรุนแรง คุกคามล่วงละเมิดอย่างไรก็ได้ อีกทั้งยังทำให้เหยื่อรู้สึกไร้อำนาจเพราะผู้เผยแพร่ภาพหรือข้อความนั้นเป็นอวตารหรือไม่มีตัวตน แม้จะแจ้งความแต่ก็ติดตามผู้กระทำได้ยาก

บางคนอาจคิดว่าการมีจิตใจเข้มแข็งจะทำให้เหยื่อหลุดพ้นความทรมานได้ แต่คนที่เจอปัญหานี้ด้วยตัวเอง พบว่าไม่ว่าจะมีจิตใจเข้มแข็งมากเพียงใดก็เป็นการยากที่จะหลุดพ้นทางจิตใจจากการถูกตีตราหรือถูกพิพากษาจากสังคมไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อถูกทำให้เป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ เหยื่อหลายคนมีปัญหาซึมเศร้า เผชิญอาการ PTSD หลายคนหนีหายจากสังคมไปเลย และอีกหลายคนก็คิดอยากจบชีวิตตัวเอง สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ข้อมูลข้อความหรือรูปภาพต่างๆ ที่ถูกนำมาสร้างความเกลียดชัง มันยังจะอยู่ในโลกโซเชียล และใครก็สามารถนำกลับมาใช้ได้เสมอ อังคณา กล่าว 

สำหรับผลการศึกษาเรื่องการตรวจสอบข้อความอันตรายในสื่อสังคมออนไลน์ ที่นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวระหว่างผู้นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามในประเทศไทย ใช้เวลาเก็บข้อมูลประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งมีข้อค้นพบ 5 ประการ 

 1.แม้ไทยไม่มีความขัดแย้งทางศาสนาโดยตรง แต่ก็พบการใช้ถ้อยคำอันตรายที่เกี่ยวกับศาสนา โดยพบแทบทุกสัปดาห์ ทั้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในภาพรวมทั่วประเทศ และระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มชาติพันธุ์มลายูมุสลิม ในพื้นที่ 3 จังหวัดขายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

2.ในกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้อยคำอันตรายมักปรากฏหลังปฏิบัติการของรัฐ ในลักษณะสนับสนุนปฏิบัติการนั้น เช่น มองว่าผู้ต้องสงสัยที่เสียชีวิตหรือถูกจับกุมควบคุมตัวนั้นสมควรแล้ว ซึ่งจะแตกต่างกับในต่างประเทศที่ถ้อยคำอันตรายมักเกิดขึ้นก่อนในลักษณะปลุกปั่นยั่วยุแล้วจึงนำไปสู่การใช้ความรุนแรง

 3.ความแตกต่างของผู้ใช้ถ้อยคำอันตรายระหว่างกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธ-มุสลิมในภาพรวมทั่วประเทศ กล่าวคือ กรณีแรกจะเป็นเพจเฟซบุ๊กที่ไม่ทราบต้นตอ (Anonymous) หรือเรียกกันว่า เพจอวตาร ในขณะที่กรณีหลังจะเป็นเพจเฟซบุ๊กที่ตั้งชื่อแบบประกาศอย่างเป็นทางการ เช่น เพจปกป้องศาสนาพุทธ 

4.ชาวพุทธโดยทั่วไปในประเทศไทย ไม่ซื้อแนวคิด แบบพุทธชาตินิยม ไม่สนใจการประโคมข่าวที่ทำให้ชาวพุทธเกิดความหวาดกลัวชาวมุสลิม มองว่าถ้อยคำบางคำไม่ควรได้รับการยอมรับอีกทั้งยังมีการโต้แย้งกันเองในกลุ่มชาวพุทธด้วย และ

 5.ในประเทศไทย กลุ่มศาสนิกชนมีการจัดการกันเองภายใน ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ใม่เกิดความขัดแย้งทางศาสนารุนแรงเหมือนในต่างประเทศ เช่น เมื่อมีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งเผยแพร่ข้อความที่ต้องการสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิม ก็จะมีชาวพุทธอีกกลุ่มหนึ่งออกมาโต้แย้ง

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยยังยกตัวอย่าง การดำเนินการตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันไม่ให้ถ้อยคำอันตรายสร้างความเกลียดชังในระดับลุกลามจนเกิดความรุนแรงทางกายภาพ 

กรณีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งช่วงหนึ่งพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากเป็นแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ในช่วงแรกๆ มีการเผยแพร่ข้อความสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ต่อชาวเมียนมาบนพื้นที่ออนไลน์ บางข้อความอ้างย้อนประวัติศาสตร์ไปจนถึงสมัยอยุธยา แต่เมื่อทาง ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องในช่วงแถลงข่าวประจำวันว่าไม่ควรเหยียดเชื้อชาติ ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังนั้นก็ลดลงไปมาก

ในช่วงท้ายมีการให้ความเห็นโดยวิทยากร 4 ท่าน อาทิ สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ที่ปรึกษา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปัจจุบัน Hate Speech หรือถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง แพร่กระจายไปทุกอนูของสังคม ไม่ว่าการเมือง ศาสนา บันเทิง ฯลฯ จนกลายเป็นสังคมแห่งความเกลียดชัง เพราะแต่ละคนก็เลือกที่จะเชื่อชุดข้อมูลตามแต่ที่เชื่อแล้วสบายใจ และผลักคนเห็นต่างให้ไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วน Dangerous Speech คือขั้นกว่าของ Hate Speech คือก้าวข้ามจากความไม่ตระหนักหรือความคึกคะนอง ไปเป็นความจงใจให้เกิดความรุนแรงขึ้น

การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทุกวันนี้ คือเครื่องมือสื่อสารถูกเอามาเป็นเป้าหมาย ถ้าทางธุรกิจก็เพื่อทำการตลาด (Marketing) สร้างแบรนด์ สร้างความนิยม ประชาสัมพันธ์ สร้างกิจกรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องมือสื่อสารออนไลน์มันถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์อีกฝ่าย นำมาสร้างความเกลียดชัง ใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเป้าหมาย หรือใช้เป็นเครื่องมือในการระราน-รังแก (Bully) ข่มขู่คุกคาม ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลมาจากมายาคดีที่เราอยู่ในสภาพสังคมแบบนี้อย่างยาวนาน สรวงมณฑ์ กล่าว

ธีระพล เต็มอุดม ผู้อำนวยการธนาคารจิตอาสาและความสุข กล่าวว่า ประเด็นถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง)  Hate Speech และ ถ้อยคำอันตราย (Dangerous Speech) อยากให้มองลึกลงไปถึงภายในจิตใจ ผู้กระทำอาจทำไปเพราะคุ้นชินกับสิ่งที่เคยพบมา เช่น มองเห็นความรุนแรงแล้วคิดว่าเป็นวิธีที่ทำได้และทำต่อเนื่องมาจนเคยชิน เพื่อแก้หรือหลบความรู้สึกบางอย่างในจิตใจ เช่น ความโกรธ ความผิดหวัง ความกลัว ซึ่งเป็นความท้าทายของคนทำงานด้านสุขภาวะทางปัญญา

ทำอย่างไรจะให้เขาเห็นว่ายังมีโอกาส มีหนทางอื่น อย่างการปกป้องพระพุทธศาสนามันมีหลากทางที่จะทำได้ อะไรมันคือใช่ อะไรมันคือไม่ใช่ อีกประเด็นที่อยากรู้คือ ที่บอกว่ามีองค์กรรัฐ NGOs ปัจเจกบุคคล มีกลุ่มไหนที่พูดถึงแบบไหนอย่างไรบ้าง เพราะมันจะบอกด้วยเช่นกันว่าแต่ละกลุ่มเขามีวิธีที่เขาใช้จนเคยชินจนกลายเป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวและกลายเป็นถ้อยคำอันตราย (Dangerous Speech) ได้อย่างไร แล้วเราจะได้เห็นว่าจะช่วยเขาทำอย่างเป็นเป้าหมายที่ดีตามตั้งใจของเขา สิ่งที่มันกระทบกับจิตใจเขา แล้วเขาอยากดูแลตัวเองเขาทำได้อย่างไรบ้าง ธีระพล กล่าว 

วศินี พบูประภาพ สื่อมวลชน จากสำนักข่าว Today กล่าวว่า สื่อดิจิทัลแม้จะเปิดโอกาสให้คนได้พูดคุยกันมากขึ้น แต่ก็ทำให้เกิด Echo Chamber หรือปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน หมายถึงแต่ละคนเลือกที่จะได้ยิน-ได้เห็นแต่ชุดความคิดที่ตนเองเชื่อ ดังนั้นผลการศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ได้ถูกเวลา แต่ความท้าทายคือการเก็บข้อมูลเพราะถ้อยคำอันตราย ( Dangerous Speech) นอกจากจะมาในรูปแบบตัวอักษรแล้วยังมีที่เป็นคลิปวีดีโอด้วย และคลิปวีดีโอยาวๆ ก็อาจจะมีเพียงช่วงสั้นๆ หากไม่ดูจนจบก็ไม่สามารถตรวจจับได้ 

“ยังมีในรูปแบบของ Meme ของ Gag ต่างๆ อาจจะมาในรูปแบบของการ์ตูนไม่กี่ช่อง หรือบางทีแค่ภาพเดียวที่มันเป็น Meme มาแล้วมีการเผยแพร่กันไป บางทีอาจจะไม่ Get (เข้าใจ) สำหรับคนที่อยู่นอกวงสังคม คือในสังคมมันมีการ เข้ารหัส (Encode)และถอดรหัส  (Decode )ระหว่างกัน หรืออย่างเนื้อหาดัก มันอาจจะไม่ขยายวงกว้าง ในแง่ของคนทั่วไปอาจจะเข้าใจ แต่ในแง่หนึ่งมันทำหน้าที่ของมันในการ ปลูกฝังแนวคิดหัวรุนแรง (Radicalize) กลุ่มที่มีการ Encode รหัสภาษาเหล่านี้เข้าไปอยู่แล้ว” วศินี ระบุ

พระมหานภันต์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดสรเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (IBHAP) กล่าวปิดงานเสวนา แสดงความเป็นห่วงการสื่อสารด้วยถ้อยคำอันตรายในพื้นที่ปิด เช่น การสนทนาผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ เพราะข้อจำกัดของเทคโนโลยีปัจจุบันที่ตรวจจับได้เพียงเนื้อหาที่เผยแพร่ในพื้นที่เปิดเป็นสาธารณะเท่านั้น จึงฝากเป็นการบ้านถึงผู้วิจัยด้วยว่าจะทำอย่างไร

“การที่ข้อความอันตรายบนโลกออนไลน์วันนี้มันอันตรายและน่ากลัว นอกจากมันจะผลักคนให้ตกอยู่ในอันตรายจากอคติความกลียดชัง การทำให้เกิดการทำร้ายทำลายกันแล้ว ตัว Dangerous Speech เองทำให้คนกลายเป็น Dangerous People (บุคคลอันตราย)) และอันนี้ถ้าเรายังไม่เข้าใจและไม่เห็นภาพของการร่วมมือกันจริงจัง อาตมาอยากเห็น Digital Thinkers Forum  ผลักไปสู่เรื่องของ Digital Collaboration คือให้ร่วมมือกันจริงจัง” พระมหานภันต์ ฝากทิ้งท้าย

 -/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Where did the video clips on “Cambodia conducts military exercises” and “Hun Sen threatens war” come from, and how is it related to Thai elections?

During the recent Songkran holidays, a number of social media users have posted a video clip about the military exercises by the Cambodian armed forces and another one featuring the speech of Samdech Hun Sen, Prime Minister of Cambodia, warning about the eruption of war with a neighboring country if he is not in government.

COFACT has verified these clips and found that they are the old ones that were re-circulated with manipulated information and a political intent to coincide with Thailand’s general elections to be held on 14 May 2023.

Department of Information, Ministry of Foreign Affairs of Thailand, has confirmed that the Royal Thai Embassy in Phnom Penh had verified the information as false information.

Details

The two-minute-long video clip about military exercises sports a tank with a Cambodian flag firing ammunition from its cannon, as well as military tactical training. The Twitter account user @EVILSAGAGemini published the clip on April 16 with a underling caption reading “The Cambodian Armed Forces conducted large scale military exercises at Battambang Province, over 20 kilometers from the Thai border after Hun Sen announced that if he loses the elections there will be war, and the land under Thailand and Vietnam will be reclaimed because it is Cambodian land (…). The caption went on : Who said that we (Thailand) have stopped fighting and stopped going to war?

As for the video clip about Prime Minister Hun Sen’s speech that lasts about one minute, there have been many users circulating it on TikTok. It includes the scene with Prime Minister Hun Sen delivering a speech on stage in Khmer, with Thai subtitles. One part of the clip says “prepare to fight to reclaim our land that we have lost, including through war with Vietnam and with Thailand”.

Screen capture from a video clip about Prime Minister Hun Sen’s speech posted on TikTok

Tiktok account user @like.sara12 posted the video clip on April 15 with the explanation “Hun Sen announced that there may be war to reclaim land from neighboring countries”. This video was viewed 1.8 million times as of 17 April. Another TikTok user circulated the clip and noted that “Hun Sen will attack and reclaim Thai and Vietnamese land”.

These posts sparked a barrage of criticisms about a policy to reform the armed forces including the termination of compulsory military draft vocally campaigned the Move Forward Party (MFP). Many users who commented referred to the speech of MFP leader, Mr. Pita Limjaroenrat, at the campaign rally in Kanchanaburi Province on 18 April, when Mr. Pita asked the question “Why/what use do we have of soldiers?”.

Pita said in one part that “Who would you be fighting with? If there were someone that invaded you, I don’t believe that you will win… Neighboring countries that have quarreled have now ceased such quarrels, and today the armed forces are being reduced in size. Some countries don’t even have an armed force if the country’s leader is smart enough. “

Aside from this, the video clips about the Cambodian Armed Forces’ military exercise and the speech of the Cambodian Prime Minister have been doctored and paired with part of Pita’s 18 April speech to create the misunderstanding that his party’s proposal to reduce the role and budget of the armed forces is not suitable to the current border situation.

COFACT verification

COFACT verification

From the COFACT’s video verification on April 17, two main points are established as follows

Point 1 : The Cambodian Armed Forces conducted military exercises near the Thai border

The URL of the video was placed in InVID-WeVerify, a Google-extension tool jointly developed by Horizon EU research and innovation action vera.ai and used news agencies to verify the content and source of the video. According to the result generated by the system which separated the video frame into a still image and placed on Google search, no similar image or content was found.

COFACT continued the search in Thai and English on TikTok and YouTube. It was found that there were many video images with the video being checked. On TikTok it was found that a video circulated by user account named @ninht3 on 8 February 2023 included a short caption with “T-55 CAMBODIA #Tank #Cambodia”.

On YouTube, a video clip published on the channel called “Ma Nin” was found. The 1.10 -minute-long clip uploaded on 29 March 2020 includes several images– almost all parts of the content– identical with those in the video circulated by Twitter account user @EVILSAGAGemini, however without details of the video content. In a close timing, the owner of “Ma Nin” YouTube channel also uploaded many other video clips on the military exercises. Some portions of the clips had tanks with the Chinese national flag, so it is possible that the events in the videos are actually military exercises between the Chinese and Cambodian armed forces called Golden Dragon which is held annually. In 2020, the newspaper website Khmer Times reported that the military exercises were held in Kampot Province between March 16 and 30.

At this stage, it is neither possible to indicate which event is featured in the video clip, nor the timing it occurs. However, it is possible to confirm that these videos were circulated on YouTube as early as three years ago. The conclusion is, therefore, a social media user in Thailand edited this clip of the military exercises and re-circulated it with misinformation to cause misunderstanding that it was an event that was happening near the Thai border.

Point 2 : Prime Minister of Cambodia warns of war between Cambodia and Thailand 

A search on the source of the video in the InVID-WeVerify tool revealed that the video was from an event where Hun Sen gave a speech at the graduation ceremony of Asia-Euro University in Phnom Penh on 23 August 2022, and his words were reported by many news agencies.

The Cambodian news website Khmer Times reported that the Prime Minister of Cambodia warned that if his Cambodian People’s Party -CPP were not to run the country, “war with Vietnam and Thailand will be inevitable” because other unnamed political parties have a policy of waging war with neighboring countries to reclaim their lost land.

The Thai news website Manager (Poo Chad Karn in Thai) also carried the news on 24 August 2022 indicating Hun Sen said Cambodia may enter in a state of war if the opposition party gains power.

“I think that war will erupt if the CPP Party does not rule the country. I dare say this because of 2 main reasons, that is, the opposition’s policy of asset seizures from the rich to the poor, and the process to reclaim lost land. With these methods, war will surely erupt between Cambodia and Vietnam and Cambodia and Thailand”, The Manager quoted the Prime Minister of Cambodia as saying.

From the reports of various news agencies, it can be concluded that the content in the video is indeed the words spoken by the Prime Minister of Cambodia, but the re-circulated version is intended to cause misunderstanding, with some of his sentences edited out, absent of Cambodia’s political context in Cambodia, and linked with the policy of a political party during campaign trails.

Conclusion of COFACT : Distorted information causes misunderstanding. Don’t share.

The images of military exercises of the Cambodian Armed Forces seen in the video clip is an event that happened not less than 3 years ago, which may actually be images from the Golden Dragon military exercises between the armed forces of China and Cambodia in Kampot Province in March 2020. As for the video with the words of Prime Minister Hun Sen that war will erupt with Thailand and Vietnam if he were no longer leader of the country, the content corresponds to the news reports, but some clips were doctored and edited out, with captions that create the misunderstanding that Cambodia is fighting with Thailand and Vietnam to reclaim its land.

Aside from this, there has been no verification on whether the allegation about Hun Sen claiming that the Cambodian opposition party has a policy of reclaiming land back from neighboring countries is true or not.

Both Thailand and Cambodia are about to hold general elections on May 14 May and May 23, respectively, and during such political transition, it is likely distorted information be created for political gain. Consumers of news should therefore verify and consider information with circumspect before believing or sharing.

ค่าไฟแพงเพราะอะไร คำตอบไหนเชื่อถือได้?

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ค่าไฟแพง” กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า แต่ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงรอบนี้ได้จุดประเด็นการถกเถียงที่ดุเดือดและกลายเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าครั้งก่อน ๆ เพราะเกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง 2566

หลายฝ่ายพยายามอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพง ซึ่งมีทั้งเหตุที่เชื่อมโยงกับฝ่ายการเมือง โครงสร้างพลังงาน และเรื่องทางเทคนิด โคแฟคหยิบ 2 คำอธิบายที่มีการพูดถึงกันมากมาตรวจสอบ

1. ค่าไฟแพงเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์

วันที่ 19 เม.ย. 2566 เฟซบุ๊ก “ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ” แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความ “ประชาชนรับกรรม ผลพวงนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อนุมัติซื้อไฟ 5 พันเมกะวัตต์ ต้นเหตุค่าไฟแพง เพราะสำรองไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น”

นายหิมาลัยอ้างคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวชี้แจงประเด็นค่าไฟฟ้าแพงระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อ 18 ก.พ. 2564 ว่า ปัญหาเรื่องปริมาณกำลังไฟฟ้าสำรองมีมากเกินนั้นเกิดจากการที่รัฐบาลชุดก่อน ซึ่งก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เร่งอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน 5,000 เมกะวัตต์ 

การอภิปรายในวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวช่วงหนึ่งว่า “รู้มั้ยครับ ก่อนผมจะเข้ามาเนี่ย มีการอนุมัติในเรื่องของด้านพลังงาน 5,000 เมกะวัตต์ โดยใครรู้มั้ยครับ? ท่านรู้มั้ย? ก่อนที่จะไม่มีอำนาจเนี่ย เร่งอนุมัติให้ 5,000 เมกะวัตต์ ผมเข้ามา ผมก็หนักใจว่าจะทำยังไงไอ้ 5,000 เมกะวัตต์เนี่ย ก็ได้หาวิธีการเจรจา ทำยังไงมันจะไม่เกิดปัญหา มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมาย เค้าก็บอก มันทำอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นสัญญาที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นทำไว้…ผมยกเลิกไม่ได้”

นายหิมาลัย ผิวพรรณ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ภาพนี้ในเฟซบุ๊กเมื่อ 19 เม.ย. 2566

นายหิมาลัยเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยออกมาชี้แจงว่า ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงอนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทเอกชนถึง 5,000 เมกะวัตต์ เป็นเวลาถึง 10 ปี ส่งผลทำให้การสำรองไฟฟ้าล้นเกินความจำเป็นและ “ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่แพงมหาโหด”

โคแฟคตรวจสอบ

จากการสืบค้นฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ได้แก่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ กฟผ. สรุปที่มาของการ “เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์” ในสมัยรัฐบายยิ่งลักษณ์ได้ดังนี้

  • 8 มิ.ย. 2555 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer: IPP) รอบใหม่ โดยให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติ คัดเลือกและเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก แล้วเสนอผลการเจรจาและผลการคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
  • 19 มิ.ย. 2555 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์มีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติ กพช. 8 มิ.ย. 2555
  • 22 พ.ย. 2555 นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกำกับกิจการพลังงาน ลงนามในระเบียบคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ พ.ศ. 2555 ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 7 ม.ค. 2556
  • 20 มิ.ย. 2556 กกพ. มีมติเลือกโรงไฟฟ้า 2 โครงการของบริษัท กัลฟ์ เอนเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนิ (ไทยแลนด์) จำกัด รวมกำลังการผลิต 5,000 เมกะวัตต์ และรายงานผลการคัดเลือกให้ที่ประชุม กพช. รับทราบ เมื่อ 16 ก.ค. 2556  
ที่มา: มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 145) 16 ก.ค. 2556  
  • 21 พ.ย. 2556 ที่ประชุม กกพ. มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ บ. กัลฟ์ฯ
  • ปลายปี 2556 บ.กัลฟ์ฯ ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จากโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ระยะเวลาสัญญา 25 ปี
  • 31 มี.ค. 2566 บ.กัลฟ์ฯ รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้า 2 แห่งภายใต้โครงการ IPP ซึ่งมีกำลังการผลิตโรงละ 2,650 เมกะวัตต์ รวม 5,300 เมกะวัตต์ ดังนี้ 1) โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์เอสอาร์ซี อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 4 หน่วยผลิตแล้วระหว่างปี 2564 -2565 และ 2) โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์พีดี อ.ปลวกแดง จ.ระยอง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 จากทั้งหมด 4 หน่วย 

ข้อสรุปโคแฟค

น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 5 ส.ค. 2554-7 พ.ค. 2557 จึงสรุปได้ว่าโครงการ IPP และการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์กับบริษัทกัลฟ์ฯ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์จริง แต่ไม่ควรด่วนสรุปว่าการเซ็นสัญญาที่เกิดขึ้นนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงในปัจจุบัน เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้า เช่น ราคาเชื้อเพลิง ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา เป็นต้น

กรณีนี้เป็นตัวอย่างของการที่พรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงเพียงบางส่วนเพื่อโจมตีคู่แข่งทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งเน้นที่การนำเสนอนโยบายในการแก้ปัญหาค่าไฟแพงของพรรคตน 

2. ค่าไฟแพงเพราะอากาศร้อนขึ้น-ใช้ไฟมากขึ้น

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งบอกว่า การที่ประชาชนจ่ายค่าไฟแพงขึ้นมาจากเหตุผลง่าย ๆ คือ เราใช้ไฟเยอะขึ้นเพราะอากาศร้อนขึ้น

โคแฟคตรวจสอบ

คำอธิบายนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ซึ่งกล่าวในการแถลงข่าวชี้แจงประเด็น “ค่าไฟแพง” เมื่อ 24 เม.ย. 2566 ว่า ในช่วงเดือนระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 ค่าไฟไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงคืออยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือค่า Ft สำหรับที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 93.43 สตางค์มาตลอด 4 เดือน เหตุที่ประชาชนจ่ายค่าไฟแพงขึ้นก็เพราะใช้ไฟมากขึ้นนั่นเอง 

“ใครที่รู้สึกว่าค่าไฟแพงขึ้น ขอให้กลับไปดูจำนวนหน่วย (ไฟฟ้า) ที่ใช้ เพราะไฟที่ใช้ในบ้านจะเกี่ยวกับเรื่องการทำความเย็นเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าจะกินไฟเยอะ ถ้าหน่วยเพิ่มขึ้น ก็ต้องจ่ายมากขึ้นอยู่แล้ว เพราะประเทศไทยคิดค่าไฟฟ้าแบบอัตราก้าวหน้า คือยิ่งใช้มาก ยิ่งจ่ายมาก” นายคมกริชกล่าว

นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์พลังงานที่สูงขึ้น จะครอบคลุมเฉพาะบ้านที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนเท่านั้น

การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ออกมายืนยันอีกเสียงว่ายิ่งอากาศร้อน เครื่องใช้ไฟฟ้ายิ่งกินไฟมากขึ้น

20 เม.ย. 2566 เฟซบุ๊ก กฟน. เผยแพร่ “ผลการทดสอบแอร์” ด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU ที่อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หากอากาศภายนอกอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส แอร์จะกินไฟ 0.69 หน่วย หากอุณหภูมิภายนอกสูงขึ้นเป็น 41 องศาเซลเซียส จะกินไฟเพิ่มขึ้นเป็น 0.79 หน่วย คำนวณได้ว่าหากอุณหภูมิภายนอกสูงขึ้น 6 องศาเซลเซียส แอร์จะกินไฟเพิ่มขึ้น 14%

ผลการทดสอบนี้ได้มาจาก “โครงการวิจัยผลกระทบของอุณหภูมิแวดล้อมกับการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ” ที่ กฟน. ทำร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

รศ.ดร. ประกอบ สุรวัฒนาวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศและทำความเย็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย ว่า หากอุณหภูมิในสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น แอร์ยิ่งใช้ไฟฟ้ามากขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงและเป็นหลักวิชาการที่ยอมรับกันทั่วโลก เพราะถ้าอุณหภูมิภายนอกสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ของแอร์ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่ออัดความดันให้สูงขึ้นเพื่อถ่ายเทความร้อนออกไป การทดสอบพบว่าเมื่ออุณหภูมิภายนอกเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส แอร์จะใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3%

ข้อสรุปโคแฟค

สำนักงาน กกพ. และการไฟฟ้านครหลวงเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการใช้ไฟฟ้าโดยตรง คำอธิบายเรื่องการค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นจากการการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงหน้าร้อนจึงมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ว่าค่าไฟที่แพงขึ้นเป็นเพราะหน่วยไฟฟ้าที่ใช้เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าไฟที่แพงขึ้นจะมาจากการใช้ไฟเพิ่มขึ้นในช่วงหน้าร้อนจริง แต่ปัญหาโครงสร้างพลังงานที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงก็ยังคงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไข

สภาองค์กรของผู้บริโภค วิเคราะห์ปัญหา 7 ประการที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ดังนี้

1. ค่าไฟแพง เพราะค่า Ft ขยับสูงขึ้นจาก 1.39 สตางค์ต่อหน่วยช่วงต้นปี 2565 เป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วยในขณะนี้ (เม.ย. 2566) ซึ่งเป็นอัตราค่า Ft ที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี

2. ค่าไฟแพง เพราะการใช้เครื่องไฟฟ้าในหน้าร้อนจะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟมากขึ้น

3. ค่าไฟแพงเพราะการวางแผนกผลิตพลังงานไฟฟ้าที่คำนึงถึงความมั่นคงทางด้านพลังงานเกินความจำเป็น และเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเกินสมควร ทำให้เกิดปัญหาปริมาณสำรองไฟฟ้าที่มากเกินจำเป็น

4. ค่าไฟแพงเพราะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPPs) ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการ ขณะที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ามีเงื่อนไขว่า “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” (Take or Pay) คือแม้จะไม่ได้ผลิตไฟฟ้า แต่ยังได้เงินค่าไฟฟ้า ที่เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า”  

5. ค่าไฟแพง เพราะเมื่อกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จึงไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเต็มศักยภาพ และถ่ายการผลิตไฟฟ้าไปให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPPs) ผลิตไฟฟ้าแทน ซึ่งค่าไฟฟ้าของโรงฟ้าขนาดเล็กมีอัตราสูงถึง 4 บาทต่อหน่วย

6. ค่าไฟแพง เพราะประชาชนไม่ได้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยที่มีราคาต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบราคาก๊าซจากแหล่งอื่น ๆ แต่ต้องใช้ราคา Pool ก๊าซ หรือราคาผสมจากทุกแหล่งและ LNG ที่ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าสถานีบริการและค่าผ่านท่อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน มีเพียงกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเท่านั้นที่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยตามราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศ

7. ค่าไฟแพง เพราะรัฐยังไม่ตระหนักถึงปัญหาปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ล้นเกินอย่างจริงจัง และยังเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าในประเทศลาวอีก 2 โรง คือ เขื่อนไฟฟ้าหลวงพระบางและเขื่อนปากแบง ซึ่งค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าฐานขายส่งของ กฟผ.

ทางด้านนายคมกฤช เลขาธิการ กกพ. ให้สัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อ 19 เม.ย. 2566 ถึงสาเหตุที่ค่าไฟแพงว่าเกิดจากปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยซึ่งเป็นเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำที่เคยใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงค่อนข้างมากต่อเนื่องจาก 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เหลือ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือลดลง 20-30% อีกทั้งต้องซื้อก๊าซ LNG ในราคาแพง ซึ่งเป็นผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และตรงกับช่วงที่ยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว ความต้องการก๊าซ LNG จึงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไทยต้องนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาแพง เพื่อมาทดแทนปริมาณก๊าซต้นทุนต่ำจากอ่าวไทยที่ขาดหายไป

เรื่องแนะนำ

คลิป “กัมพูชาซ้อมรบ” และ “ฮุน เซนขู่สงครามปะทุ” มาจากไหน เกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยอย่างไร

ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งได้โพสต์วิดีโอการซ้อมรบของกองทัพกัมพูชา และคลิปคำพูดของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เตือนว่าจะเกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหากเขาไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่า คลิปการซ้อมรบและคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นคลิปเก่าที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่โดยมีการบิดเบือนข้อมูล เพื่อหวังผลทางการเมืองในบริบทที่ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. 2566

โคแฟคยังได้รับการยืนยันจากกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ตรวจสอบแล้วพบว่า เนื้อหาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการซ้อมรบนั้นไม่เป็นความจริง

คลิปวิดีโอซ้อมรบแสดงให้เห็นรถถังติดธงชาติกัมพูชาขับเคลื่อนและยิงปืนใหญ่ และการฝึกทางยุทธวิธีของทหาร บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก @military4karmy โพสต์คลิปความยาวเกือบ 5 นาทีเมื่อ 11 เม.ย. พร้อมคำบรรยายว่า “กองทัพกัมพูชาระดมพลซ้อมรบครั้งใหญ่ที่ จ.พระตะบอง ห่างจากชายแดนเพียง 20 กว่ากิโล” มีผู้เข้ามาชมกว่า 7 แสนครั้ง ต่อมาผู้ใช้ทวิตเตอร์ @EVILSAGAGemini โพสต์คลิปที่มีภาพเดียวกันนี้เมื่อ 16 เม.ย. โดยเขียนบรรยายว่า “กองทัพกัมพูชาจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่ จ.พระตะบอง ห่างจากชายแดนไทย 20 กว่ากิโลเมตร หลังจากฮุนเซนประกาศว่าถ้าตัวเองแพ้การเลือกตั้งจะเกิดสงคราม และอ้างว่าจะทวงคืนดินแดนจากไทยและเวียดนาม โดยอ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา (ใคร) บอกว่าเขาเลิกรบกันแล้ววะ”

ส่วนคลิปวิดีโอนายกฯ ฮุน เซน ความยาวประมาณ 1 นาที มีผู้เผยแพร่จำนวนมากในติ๊กต็อก เป็นภาพขณะที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวบนเวทีเป็นภาษาเขมร มีคำแปลภาษาไทยด้านล่าง ช่วงหนึ่งระบุว่า “เตรียมตีเอาดินแดนคืน ที่เคยเสียไป ทั้งสงครามกับเวียดนาม ทั้งกับไทย”

บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก @like.sara12 โพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ใส่คำบรรยายว่า “ฮุน เซนประกาศอาจมีสงครามเกิดขึ้นเพื่อทวงดินแดนจากเพื่อนบ้าน” วิดีโอนี้มียอดวิวกว่า 1.8 ล้านครั้ง ณ วันที่ 17 เม.ย. ผู้ใช้ติ๊กต็อกอีกคนหนึ่งนำคลิปนี้ไปเผยแพร่ต่อและบรรยายว่า “ฮุน เซนจะบุกเข้ามายึดแผ่นดินไทยและเวียดนาม”

โพสต์เหล่านี้ได้จุดชนวนการวิจารณ์นโยบายปฏิรูปกองทัพและข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคก้าวไกล ผู้ที่เข้ามาให้ความเห็นหลายคนอ้างถึงการปราศรัยของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลบนเวทีหาเสียงที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อ 18 มี.ค. ซึ่งนายพิธาที่ตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม”

หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวตอนหนึ่งว่า “คุณจะไปรบกับใคร สมมติจะมีคนมารุกรานคุณ ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วย…ประเทศที่อยู่ใกล้ๆ เคยทะเลาะกันก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว ทุกวันนี้ลดกองทัพได้ บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำ ถ้าผู้นำฉลาดพอ”

นอกจากนี้ ยังมีการนำคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นการซ้อมรบของกองทัพกัมพูชาและคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชามาตัดต่อเข้ากับคำปราศรัยของนายพิธาเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจว่า นโยบายลดบทบาทและงบประมาณกองทัพที่พรรคก้าวไกลเสนอนั้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์

โคแฟคตรวจสอบ

จากการตรวจสอบของโคแฟคเมื่อ 17 เม.ย. โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน คือ คลิปวิดีโอซ้อมรบและคลิปคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีรายละเอียดดังนี้

ประเด็นที่ 1: กองทัพกัมพูชาซ้อมรบประชิดชายแดนไทย

เมื่อนำ URL ของวิดีโอไปใส่ใน InVID-WeVerify ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ร่วมพัฒนาโดยสำนักข่าวเอเอฟพีเพื่อตรวจสอบเนื้อหาและที่มาของวิดีโอ ระบบจะแยกเฟรมภาพในวิดีโอเป็นภาพนิ่งและนำไปค้นหารูปภาพในกูเกิ้ล ไม่พบภาพหรือวิดีโอที่มีเนื้อหาเดียวกัน

โคแฟคจึงค้นหาต่อด้วยการใช้คำค้นภาษาไทยและภาษาอังกฤษในติ๊กต็อกและยูทูป พบวิดีโอหลายชิ้นที่มีภาพตรงกันกับวิดีโอที่กำลังตรวจสอบ ในติ๊กต็อกพบวิดีโอที่เผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ @ninht3 เมื่อ 8 ก.พ. 2566 มีคำบรรยายสั้นๆ ว่า “T-55 CAMBODIA #Tank #Cambodia”

ในยูทูป พบวิดีโอที่เผยแพร่ในช่อง “Ma Nin” ความยาว 1.10 นาที อัพโหลดเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2563 มีภาพที่ตรงกับวิดีโอที่เผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก @military4karmy เกือบทั้งหมด แต่ไม่มีรายละเอียวเกี่ยวกับเนื้อหาของวิดีโอ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าของช่องยูทูปรายนี้ยังได้อัพโหลดคลิปวิดีโอการซ้อมรบอีกหลายชิ้น บางช่วงมีรถถังที่ติดธงชาติจีนอยู่ด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ในวิดีโอเหล่านี้เป็นการซ้อมรบร่วมของกองทัพจีนและกัมพูชาที่ชื่อว่า Golden Dragon ที่จัดขึ้นทุกปี สำหรับในปี 2020 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Khmer Times รายงานว่าการซ้อมรบร่วมจัดขึ้นที่ จ.กัมปอต ระหว่างวันที่ 16-30 มี.ค.

แม้ในขั้นนี้จะระบุไม่ได้ว่าคลิปวิดีโอนี้เป็นเหตุการณ์ใดและเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ยืนยันได้ว่าภาพวิดีโอเหล่านี้เคยเผยแพร่ในยูทูปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงสรุปได้ว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้นำคลิปการซ้อมรบนี้มาตัดต่อและเผยแพร่ซ้ำโดยให้ข้อมูลลวงเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันใกล้ชายแดนไทย

ประเด็นที่ 2 : นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนสงครามกัมพูชา-ไทย

การสืบค้นที่มาของวิดีโอโดยใช้ InVID-WeVerify พบว่าวิดีโอนี้เป็นเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวในพิธีจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Asia-Euro ในกรุงพนมเปญเมื่อ 23 ส.ค. 2565 ซึ่งคำพูดของเขาปรากฏอยู่ในรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายแห่ง

เว็บไซต์ Khmer Times รายงานว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนว่าหากพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party-CPP) ของเขาไม่ได้บริหารประเทศต่อไป “สงครามกับเวียดนามและไทยจะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เพราะพรรคการเมืองอื่น ซึ่งเขาไม่ได้ระบุชื่อ มีนโยบายที่จะทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทวงคืนดินแดนที่เสียไป

เว็บไซต์ ผู้จัดการ ก็รายงานข่าวนี้เมื่อ 24 ส.ค. 2565 ระบุว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า กัมพูชาอาจเข้าสู่ภาวะสงครามหากพรรคฝ่ายค้านก้าวขึ้นสู่อำนาจ

“ผมคิดว่าสงครามจะปะทุขึ้นหากพรรค CPP ไม่ได้ปกครองประเทศ ผมกล้าพูดเนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การใช้นโยบายของฝ่ายค้านที่ระบุว่าจะยึดทรัพย์จากคนรวยให้คนจน และกระบวนการทวงคืนดินแดนที่เสียไป ซึ่งด้วยวิธีเหล่านี้ สงครามจะปะทุขึ้นระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม และกัมพูชากับไทยอย่างแน่นอน” ผู้จัดการรายงานคำพูดของผู้นำกัมพูชา  

จากการรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก สรุปได้ว่าเนื้อหาที่ปรากฏในวิดีโอเป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจริง แต่การนำมาเผยแพร่ซ้ำโดยตัดคำพูดมาเพียงบางประโยค ขาดบริบทการเมืองกัมพูชา และนำมาเชื่อมโยงกับนโยบายที่พรรคการเมืองของไทยใช้หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง แสดงถึงเจตนาที่จะสร้างความเข้าใจผิด

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด งดแชร์

ภาพการซ้อมรบของกองทัพกัมพูชาในคลิปวิดีโอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี อาจเป็นการซ้อมรบร่วม Golden Dragon ของกองทัพจีนและกัมพูชาที่ จ.กัมปอต เมื่อเดือน มี.ค. 2563 ส่วนวิดีโอคำพูดของนายกฯ ฮุน เซนว่าจะเกิดสงครามกับไทยและเวียดนามหากเขาไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ มีเนื้อหาตรงกับที่สื่อมวลชนรายงาน แต่บางคลิปได้ถูกตัดต่อและเขียนบรรยายให้เข้าใจผิดว่ากัมพูชากำลังจะสู้รบกับไทยและเวียดนามเพื่อทวงดินแดนคืน นอกจากนี้ยังไม่มีการตรวจสอบว่าข้อกล่าวหาที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอ้างว่า พรรคฝ่ายค้านกัมพูชามีนโยบายทวงดินแดนคืนจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นเป็นความจริงหรือไม่

ทั้งไทยและกัมพูชากำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. และ 23 ก.ค. ตามลำดับ วาระการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเช่นนี้มีโอกาสที่จะเกิดข่าวลวงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้รับสื่อจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนเชื่อหรือส่งต่อ

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 เมษายน 2566

โอเพนแชทใหม่ จะยกเลิกกลุ่มเดิม และให้สมาชิกกดเข้าร่วมกลุ่มใหม่ผ่านลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jhp432we9or7


จับตาโควิด XBB.1.16 ติดง่ายแถมหลบภูมิเก่ง ไทยมีคนป่วยเพิ่ม 2.5 เท่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/articleจ/17zj62pfr1so8#_=_


โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 พบในไทยแล้ว 27 ราย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/8uv9afsm18lq


โจรออนไลน์ไม่น่ารัก! ตร.เตือน 5 กลโกงช่วงหน้าร้อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/al9ehwlt2pvc


 กลโกงดูดเงินผ่าน “บัตรตื๊ด” บัตรอยู่ในกระเป๋าก็แฮกข้อมูลได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1cbs569gd81vt


เตือนภัยร้อน 40-50 องศา อย่าดื่ม-อย่าอาบน้ำเย็นทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pnn7zlk7bjc5#_=_


ระวังข่าวปลอม! ที่มีการส่งต่อข้อความในไลน์/โซเชียลมีเดีย ว่าเว็บไซต์เช็คสิทธิ #เลือกตั้ง เป็นเว็บอันตราย ห้ามกรอกเลข 13 หลัก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2o3s8erd3ev9m#_=_