ตรวจสอบ 4 เนื้อหาเท็จ ที่ปลุกปั่นความเกลียดชัง “อังคณา นีละไพจิตร”  

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากที่อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2568 แสดงความกังวลกรณีกัมพูชาส่งจดหมายฟ้องสหประชาชาติเรื่องไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงขนาดใหญ่รบกวนชาวบ้านกัมพูชากลางดึก เธอก็ตกเป็นเป้าของการสร้างความเกลียดชัง ทั้งด้วยประทุษวาจาและเนื้อหาเท็จโดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหาเท็จ 4 ประเด็น ที่อังคณาเผชิญในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเนื้อหาเท็จวนซ้ำที่สร้างความบอบช้ำให้เธอและครอบครัวนีละไพจิตรมาตลอดหลายปี และเนื้อหาที่สร้างขึ้นใหม่ในบริบทสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังต่อนักต่อนักสิทธิมนุษยชน

1) บิดเบือนโพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ซาวด์หลอน” และคำให้สัมภาษณ์เรื่อง “F-16”

บิดเบือนข้อความในเฟซบุ๊ก

วันที่ 12 ต.ค. 2568 อังคณาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Angkhana Neelapaijit” (ลิงก์บันทึก) ใจความสำคัญเป็นการแปลหนังสือร้องเรียนที่ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2568 คำแปลระบุว่า

“…หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงโหยหวนของภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ตั้งแต่เวลา 22.44 น. จนถึงเวลา 00.04 น. จากนั้นได้เปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 03.22 น. ถึงเวลา 03.53 น. โดยจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ เสียงเหล่านี้ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นเสียงดังแหลมสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้สร้างความเดือดร้อนในการนอนหลับก่อให้เกิดความวิตกกังวลและสร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน รวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนพิการ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่มีในสังคมอารยะใด ๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ…”

นอกจากคำแปลจดหมายของกัมพูชา อังคณาได้เขียนแสดงความเห็นว่า “ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาลโดยเฉพาะ รมต. ต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ” และ “รัฐบาลควรตระหนักว่า การกระทำใด ๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่าย #การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี อยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก”

สาเหตุหนึ่งที่โพสต์เฟซบุ๊กนี้ทำให้อังคณาถูกโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นเพราะมีการนำไปเผยแพร่ต่อในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจว่าอังคณา “ปกป้อง/เห็นใจชาวกัมพูชา” และ “โจมตีการเปิดเสียงดังรบกวนพลเรือนกัมพูชา” เช่น

  • เฟซบุ๊ก “ข่าวช่องวัน” พาดหัวข่าวว่า “อังคณาค้านอินฟลูฯ จุ้นเรื่องชายแดน”
  • คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ระบุว่า สว.อังคณา “ออกมาตำหนิเรื่องที่ฝั่งไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงให้ฝั่งเขมรฟัง”
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า สว. อังคณา “ออกมาโจมตีการเปิดเสียงโหยหวยในยามค่ำคืนที่ชายแดนเขมรของกัน จอมพลัง ว่าไม่สมควร เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

การบิดเบือนข้อความในโพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะนี้ ทำให้อังคณากลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับ “กัน จอมพลัง” อินฟลูเอนเซอร์ผู้จัดกิจกรรม “เปิดซาวด์หลอน” ซึ่งเป็นการโหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น

อังคณาพยายามอธิบายหลายครั้งว่า ข้อความที่โพสต์เป็นคำแปลหนังสือร้องเรียนที่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนฯ ไม่ใช่คำพูดของเธอ วัตถุประสงค์ที่แปลมาก็เพื่อเตือนรัฐบาลว่าทางกัมพูชามีความเคลื่อนไหวแบบนี้ และการกระทำใดที่กระทบต่อพลเรือนในพื้นที่ขัดแย้งจะถูกนำไปร้องเรียนในระดับนานาชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อไทย

“…ไม่ใช่การแสดงความเห็น แต่แปลและโพสต์ให้ดูว่ามีการร้องเรียนเรื่องที่ไปเปิดเสียง…ส่วนตัวไม่ได้วิจารณ์ว่าใครผิดใครถูก แค่แปลและตั้งข้อสังเกต แสดงความกังวล และมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายต่อการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อการที่กัมพูชาร้องเรียนเขมรในเรื่องนี้” อังคณากล่าวในรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” ช่องไทยรัฐทีวีเมื่อวันที่ 13 ต.ค.

ตัดทอนและบิดเบือนคำให้สัมภาษณ์

ช่วงค่ำวันที่ 12 ต.ค. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 นำเสียงสัมภาษณ์อังคณา ความยาวประมาณ 2.20 นาที มาออกอากาศในรายการ “ลุยชนข่าว” ช่วงแรกอังคณาอธิบายถึงเนื้อหาของโพสต์เฟซบุ๊กที่ถูกวิจารณ์ ช่วงหลังผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อกรณีที่เธอถูกกล่าวหาว่าไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชายิงจรวด BM21 มาตกใส่ปั๊มน้ำมันใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้พลเรือนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต

อังคณาตอบว่า “อันนี้ไม่จริงเลยนะคะ ตอนที่มีการยิงเข้ามาในประเทศไทย คือตอนนั้นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนก็กังวลมาก และอันนี้พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว เพราะ F-16 ก็มีประสิทธิภาพสูงมากเลยนะคะ”   

ต่อมาสื่อมวลชนและผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้ตัดทอนคำให้สัมภาษณ์ของอังคณาเหลือเพียงข้อความที่พูดถึงการใช้ F-16 ตอบโต้กัมพูชา เช่น เพจเฟซบุ๊ก “คมชัดลึก” โพสต์ข้อความ “โหมไฟแรง? ‘สว.อังคณา’ ตอบสื่อ ปมเขมร โจมตีปั๊มฯ แต่คำตอบที่ได้คือ” ประกอบภาพคำพูดของอังคณาว่า “พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว” โพสต์นี้มีผู้เข้ามาคอมเมนต์มากกว่า 31,400 ครั้ง (ณ วันที่ 11 พ.ย.) ส่วนใหญ่โจมตีอังคณา และแชร์มากกว่า 3,500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก) และยัง

หลังจากนั้นสื่อกัมพูชาก็นำข้อความที่ถูกตัดทอนนี้ไปบิดเบือนว่า สว.อังคณา “ยอมรับว่าไทยโจมตีกัมพูชาก่อน และใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดใส่กัมพูชา” เช่น TNAOT, Kampuchea Thmey และ Troryorng TV ทั้งที่ในความเป็นจริง อังคณาไม่ได้พูดว่า “ไทยโจมตีกัมพูชาก่อน” เลย

การบิดเบือนคำพูดโดยสื่อกัมพูชาได้โหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น บรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์และผู้ใช้โซเชียลมีเดียต่างตำหนิด่าทออังคณาว่าเป็นฝ่ายหยิบยื่นคำพูดให้ฝ่ายกัมพูชานำไปบิดเบือน

ทั้งนี้ทางกองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้การบิดเบือนของสื่อกัมพูชาโดยระบุว่า “จากกรณีที่สื่อกัมพูชานำเสนอข่าวโดยระบุว่านางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาไทย ‘ออกมายอมรับกับสื่อว่าไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 ทิ้งระเบิด MK-84 โจมตีกัมพูชาก่อน’ ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่า เป็นการนำคำพูดของนางอังคณาที่กล่าวว่า ‘การใช้ F-16 ของไทยโจมตีกัมพูชาก็ทำให้กัมพูชาได้รับความสูญเสียไม่น้อย’ มาบิดเบือนและสร้างเนื้อหาข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม”

ตัวอย่างสื่อกัมพูชาที่นำคำพูดของอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ไปบิดเบือน

2) ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร

ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร ถูกผลิตและเผยแพร่มานานหลายปี และคราวนี้ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างความเกลียดชังอังคณาผู้เป็นภรรยา ทั้งในลักษณะการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์และคดีความ รวมถึงการนำโศกนาฏกรรมของบุคคลที่ถูกบังคับสูญหายมาเยาะเย้ยถากถางในเชิงตลกขบขัน เช่น 

  • เพจเฟซบุ๊ก “เสธPlay” ผู้ติดตามเกือบ 1.2 แสนราย โพสต์ข้อความว่า “อ่านโพสต์นางคนนี้แล้ว รู้สึกในใจอย่างเดียวว่า ตอนนั้นพวกผู้ก่อการไม่น่าเอาไปแค่ทนายสมชาย” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า “…เรื่องที่ผัวมันหายไป จริงๆ อาจจะไม่ได้ตายก็ได้นะ แต่หายไปมีเมียใหม่” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “นอนอ” โพสต์ข้อความว่า “ความลับที่แท้จริงคือ ทนายสมชายไม่ได้ตาย ตอนนี้อยู่มาเลเซีย ภายใต้การดูแลของลูกชายนายอันวา (อดีตนายกฯมาเลฯ) ซึ่งเป็นหัวหน้าก่อการร้ายภาคใต้เป็นแผนเพื่อทำลายประเทศไทย” และทั้งหมดนี้อังคณาทราบดี (ลิงก์บันทึก)

เกิดอะไรขึ้นกับทนายสมชาย?

โคแฟคสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชายและคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ โดยเรียบเรียงจากรายงานของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล รายงานข่าวของสื่อมวลชน และปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 หัวข้อ “สิทธิมนุษยชนที่สูญหาย การไม่มีอยู่ และวัฒนธรรมไร้ยางอายในการรับผิดของรัฐ” โดยอังคณา นีละไพจิตร ดังนี้ 

สมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาถูกอุ้มหายไปขณะอายุ 53 ปี

คำให้การของประจักษ์พยานในชั้นศาลระบุว่า วันที่ 12 มี.ค. 2547 เวลาประมาณ 20.00 น. ทนายสมชายขับรถยนต์ออกจากซอยรามคำแหง 65 ไปตาม ถ.รามคำแหง เวลาประมาณ 20.30 น. รถยนต์ที่ตามหลังมาได้เฉี่ยวชนรถของทนายสมชาย เขาจึงลงจากรถมาพูดคุยกับชาย 5 คนที่โดยสารมากับรถที่มาเฉี่ยวชน ระหว่างนั้นก็ถูกผลักเข้าไปในรถคันดังกล่าว เวลาต่อมามีผู้พบรถยนต์ของทนายสมชายจอดทิ้งไว้ที่ ถ.กำแพงเพชร ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต    

การลักพาตัวทนายสมชายเกิดขึ้นเพียงสองวันก่อนที่เขามีกำหนดการเดินทางไป จ.นราธิวาส เพื่อยื่นหนังสือต่อทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ระหว่างวันที่ 8-29 เม.ย. 2547 ศาลอาญาออกหมายจับตำรวจ 5 นาย ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์นายสมชายและข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายให้นายสมชายเข้าไปในรถ สามในห้าผู้ต้องหาเป็นตำรวจที่อยู่ในชุดสอบสวนคดีปล้นอาวุธปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส เหตุเกิดเช้ามืดวันที่ 4 ม.ค. 2547 หนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ต. เงิน ทองสุก ตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปราม

อังคณา ซึ่งนิยามตัวเองว่า “เป็นเพียงหญิงสามัญที่ไม่มีใครรู้จัก” ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้คดีที่กินเวลายาวนานนับสิบปี โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในคดีนี้

ศาลชั้นต้นเริ่มการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2548 ใช้เวลาราว 4 เดือนกว่าก็มีคำพิพากษาในวันที่ 12 ม.ค. 2549 ให้จำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่อนุญาตให้ประกันระหว่างอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยอีก 4 คน ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ

อังคณาอุทธรณ์ แต่ระหว่างอุทธรณ์นั้น วันที่ 19 ก.ย. 2551 ตำรวจรายงานว่า พ.ต.ต.เงิน หายตัวไปในเหตุการณ์โคลนถล่มและศาลแพ่งได้ประกาศให้ พ.ต.ต. เงิน เป็นบุคคลสาบสูญ

วันที่ 11 มี.ค. 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น และไม่อนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมในคดีต่อไป

อังคณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา วันที่ 29 ธ.ค. 2558 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือ ยกฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นาย  

อังคณากล่าวในงานปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 ว่า “ด้วยความเคารพต่อศาล แต่ดิฉันมิอาจเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาว่า ‘ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าสมชาย นีละไพจิตรถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป’ แม้มีผู้เห็นเหตุการณ์มากมาย แต่ประจักษ์พยานต่างถูกคุกคามจนไม่กล้ายืนยันผู้ต้องหาในชั้นศาล พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เจ้าหน้าที่ชั้นสอบสวนยืนยันว่ามีหลักฐานมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏพยานหลักฐานในชั้นศาล และสุดท้ายแม้คำพิพากษาของศาลจะยืนยันเป็นที่ยุติว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเอาตัวสมชายไป แต่กฎหมายกลับทำอะไรไม่ได้เลย กฎหมายไม่สามารถคุ้มครองเหยื่อของอาชญากรรมโดยรัฐในลักษณะนี้ได้เลย”

ขณะที่คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยจะจ่ายค่าชดเชยแก่ครอบครัวนีละไพจิตรโดยถือว่านายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญ “แต่ความล้มเหลวในการสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับการบังคับนายสมชายให้สูญหายนั้นขัดแย้งกับคำประกาศเจตจำนงโดยนายกรัฐมนตรีในหลายสมัย รวมทั้งอัยการสูงสุดและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องว่าจะแสวงหาความยุติธรรมหรืออย่างน้อยที่สุดโดยการทำความจริงให้ปรากฏ”

ดังนั้นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่อ้างว่าทนายสมชายถูกผู้ก่อการร้ายสังหาร หรือยังมีชีวิตอยู่ในต่างประเทศ หรือตั้งใจทิ้งภรรยาและครอบครัวไป จึงเป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าทนายสมชายถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป แต่ศาลยกฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายที่เป็นจำเลยในคดีนนี้เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

3) นักสิทธิมนุษยชนปกป้องแต่คนเขมร ไม่ปกป้องคนไทย

หนึ่งในข้อกล่าวหาที่นำมาโจมตีอังคณาในกรณีไทย-กัมพูชา คือ นักสิทธิมนุษยชนไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชาโจมตีไทยจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เช่น

  • บัญชีติ๊กต็อก “yaaikinv11” โพสต์คลิปเมื่อวันที่ 15 ต.ค. กล่าวโจมตีอังคณาซึ่งเธอเรียกว่า “ป้าอังขแมร์” ว่า “ป้าอังขแมร์เห็นใจชาวเขมรที่โดนคลิปเสียงผีจากฝั่งประเทศไทย ป้าอังขแมร์สงสารชาวเขมรที่โดน F-16 จากประเทศไทย แต่ป้าอังขแมร์ไม่เคยออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องสูญเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งทหารหาญที่สูญเสียขาจากระเบิด และสูญเสียชีวิตจากการรบที่ผ่านมาเลย…”
  • บัญชี X “Ton Patiwat” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ว่า “ไปดูเฟซบุ๊กอังคณาย้อนหลัง…ไม่มีสักโพสต์เดียวที่ประณามพฤติกรรมกัมพูชา ที่เข่นฆ่าชาวไทยด้วยจรวดในช่วง 24-28 กรกฎาคม 2568”
  • บัญชีเฟซบุ๊ก “Jo Montanee” โพสต์ข้อความว่า “คุณเธอเงียบสนิทเมื่อแม่คนไทยกอดลูกหลบระเบิดกัมพูชาแล้วตายคา 7/11 เธอยังเงียบเมื่อทหารกล้าขาขาดพิการจากการลอบวางระเบิดของกัมพูชา ชาติที่คุณเธอปกป้อง เธอยังกล้าเอาเงินภาษีคนไทยไปเป็นเงินเดือนตัวเองเดือนละหลายแสนบาท เพื่ออะไร” (ลิงก์บันทึก)

โคแฟคตรวจสอบพบว่าอังคณาเคยประณามกัมพูชาเรื่องการวางกับระเบิด โดยเธอได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 ก.ค. เรียกร้องให้กัมพูชาเคารพหลักมนุษยธรรมและยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน

“การใช้กับระเบิดในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเรื่องที่สมควรถูกประณาม ทั้งนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ ห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) กัมพูชาจึงต้องเคารพและปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด” อังคณาระบุในโพสต์เฟซบุ๊ก

นอกจากนี้ วันที่ 4 ส.ค. 2568 อังคณาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย โดยวิจารณ์การกระทำของกัมพูชาที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเสนอให้คณะผู้แทนไทยกำชับกัมพูชาให้ปฏิบัติตามข้อตกลง

ในส่วนของการเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. ที่ทำให้พลเรือนและทหารไทยเสียชีวิตจากอาวุธของกัมพูชานั้น อังคณาไม่ได้โพสต์เฟซบุ๊กหรือให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้โดยตรงก็จริง แต่เธออธิบายว่าในสถานการณ์ขณะนั้น กองทัพไทยได้ตอบโต้กัมพูชาอย่างได้สัดส่วนแล้ว และนักสิทธิมนุษยชนก็กังวลต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างยิ่ง

อังคณายืนยันว่าเธอให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทยมาโดยตลอด เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เธอจะออกมาประณามแทบทุกครั้งที่มีการระเบิดวัดหรือโรงเรียน และอีกหลายกรณีที่เธอได้ทำงานในช่วงที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การปกป้องพลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น และรัฐมีหน้าที่หลักในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชน

“หลักการพื้นฐานของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เราถือว่ามนุษย์เท่าเทียมกันและจะต้องไม่ถูกแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา ความเห็นต่างทางการเมืองทั้งหลาย” อังคณาให้สัมภาษณ์โคแฟค

4) ปลอมแปลงประวัติในวิกิพีเดีย

วันที่ 15 ต.ค. มีผู้เข้าไปแก้ไขประวัติและข้อมูลของอังคณาในเว็บไซต์วิกิพีเดีย โดยใส่ข้อมูลเท็จ เขียนถ้อยคำหยาบคายและหมิ่นศาสนา เช่น “อังคณาเกิดที่จังหวัดปอยเปต สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยปอยเปต 168 เรียนจบมาผันตัวเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่” “เป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง” และเป็นที่รู้จักในฐานะ “นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนเขมร” เป็นต้น

แม้ภายหลังจะมีผู้เข้าไปแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่เนื่องจากเว็บไซต์วิกิพีเดียสามารถเข้าไปดูประวัติย้อนหลังได้ จึงมีผู้นำภาพข้อมูลเท็จไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งติ๊กตอกและ X ทำให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับ สว. อังคณาในวิกิพีเดียถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างและยังคงเข้าถึงได้ในปัจจุบัน

จากประวัติชีวิตและการทำงานอย่างเป็นทางการของอังคณาที่เผยแพร่โดยทั่วไปและจากการให้สัมภาษณ์โคแฟค ยืนยันได้ว่า อังคณาเกิดที่เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ได้รับการศึกษาชั้นประถมและมัธยมจากโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ธนบุรี ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และรับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลังจากทนายสมชายผู้เป็นสามีถูกลักพาตัวและถูกบังคับสูญหาย 

อังคณาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย เช่น กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องล้วนกำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

…………………………

ตลอดระยะกว่า 20 ปี ที่อังคณาทำงานด้านการปกป้องสิทธิมนุษยชน เธอตกเป้าของการสร้างความเกลียดชังทั้งด้วยประทุษวาจา (hate speech) และเนื้อหาเท็จจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเธอออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อังคณาก็ถูกโจมตีอีกครั้งด้วยการบิดเบือนข้อความและคำพูด, ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชาย, ข้อกล่าวหาว่าไม่ปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทย และการปลอมแปลงประวัติในเว็บไซต์วิกิพีเดีย

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ แต่อังคณาไม่เคยรู้สึกชิน ผลกระทบทางจิตใจเธอเผชิญครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะนี่คือการสร้างความบอบช้ำแล้วซ้ำเล่า

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหา 4 ประเด็นนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาเท็จถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นความโกรธและความเกลียดชังต่อบุคคลอย่างไร

ผลกระทบของประทุษวาจาอาจลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปหรือเมื่อสังคมหันไปสนใจเรื่องอื่น ๆ  แต่เนื้อหาเท็จทำให้ผู้คนเข้าใจผิดหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่อบุคคลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในระยะยาว อีกทั้งยังสร้างความสับสนปั่นป่วนให้ผู้คนในสังคมที่ต้องเผชิญกับข้อมูลมหาศาลที่ยากจะแยกแยะหรือตรวจสอบว่าเนื้อหาใดเป็นจริงหรือเท็จ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568

คลิปสุดสะพรึง เบื้องหลังไส้กรอกที่แท้ทำจากกระดูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gsnndfbb4yxq


แพ้นมวัวเพราะมีสารเคมีเจือปนในนม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/a4ln8x5orlth


ชาวมาเลเซียประท้วงการเยือนของโดนัลด์ ทรัมป์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/93iy7kyh9ipe


เพจคลินิกแจกวัคซีน HPV ฟรี ที่แท้ตัดแปะโลโก้-เอกสารเท็จ แต่ดันมี “ติ๊กถูกสีฟ้า”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zn5zmnclra8v


คลิปแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8367joswyr9w


“กองทัพบก” สั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29l6fdbyjqwsr


คลิปจับกุมม็อบไล่ “ฮุนเซน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/339fpv6lvd3rv


กระทงขนมปัง ทำให้น้ำเน่าจริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tcutsll41ndr


เชื้อซิฟิลิสสามารถติดเชื้อขึ้นสมองได้จริง แพทย์ชี้หากมีความเสี่ยงให้รีบรักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t6qeld8eiljd


ใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน อันตรายต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/y7gs0on6ljj2

คลิปชุมนุมในกัวลาลัมเปอร์ปี 2566 ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการประท้วงขับไล่ “โดนัลด์ ทรัมป์”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวมาเลเซียประท้วงการเยือนของโดนัลด์ ทรัมป์ 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปชาวมาเลเซียชุมนุมสนับสนุนชาวปาเลสไตน์เมื่อ 2 ปีก่อน** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 27 ต.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Haris Bin Muhammad” โพสต์คลิปวิดีโอการชุมนุมประท้วง โดยมีข้อความภาษาไทยในคลิปว่า “ชาวมาเลเซียออกมาไล่ทรัมป์อย่าเข้าประเทศ หน้าสถานทูตอเมริกา มาเลเซีย” และบรรยายประกอบว่า “ชาวมาเลเซียออกมาตะโกนไล่ทรัมป์ อย่าเข้ามาในประเทศของเรา” 

คลิปดังกล่าวยังถูกนำไปแชร์ในช่องยูทูบ “เรื่องเล่าเช้านี้” ในวันเดียวกัน บรรยายคลิปว่า “ชาวมาเลเซียลงถนนรวมตัวประท้วง ‘ทรัมป์’ ลั่นต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกัน” 

เนื้อหาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ในช่วงที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินทางเยือนมาเลเซีย เพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2566 โดยเว็บไซต์ iverifypakistan.com ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงในปากีสถาน ระบุว่า เป็นคลิปการชุมนุมสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย

ผู้ใช้ TikTok ชื่อ “mdshah1976” โพสต์คลิปเดียวกันไว้ในวันที่ 28 ต.ค. 2566  เป็นภาษามาเลย์แปลเป็นไทยได้ว่า “ชุมนุมสามัคคีสันติเพื่อปาเลสไตน์” สอดคล้องกับรายงานข่าวของสื่อมาเลเซีย เช่น MalayMail และ MalaysiaNow ที่รายงานข่าวการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์โดยชาวมาเลเซียในวันดังกล่าว

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย Google Street View พบว่า สถานที่ที่จัดการชุมนุมในคลิปคือ ถนน Jln Tun Razak ฝั่งตรงข้ามอาคาร Tabung Haji Tower ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 26 ต.ค. 2568 ซึ่งทรัมป์เดินทางเยือนมาเลเซีย มีชาวมาเลเซียรวมตัวประท้วงจริง แต่จัดที่บริเวณ Independence Square และ Ampang Park ตามรายงานของ MalayMail และสำนักข่าวอัลจาซีรา

โพสต์เตือนภัย‘มะเร็ง’ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่อง‘ตัวเลขผู้เสียชีวิต-สารเรสเวอราทรอล’

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ภาพที่ 1 : โพสต์อ้างการเสียชีวิตและความเสี่ยงของคนไทยจากโรคมะเร็ง

ช่วงวันที่ 24 – 25 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก มีการโพสต์ภาพกราฟที่ระบุว่าเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตจาก “โรคมะเร็ง” ในประเทศไทย โดยมีข้อความอ้างว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก “มะเร็ง” ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นทุกปี จากราว 40,000 คนในปี 1980 จนถึง กว่า 120,000 คนในปี 2021 และคาดการณ์ว่าปีนี้ 2025 คนไทยจะเสียชีวิตจากมะเร็ง 144,900 คน พร้อมกราฟแสดงจำนวนผู้เสียชีวิตประกอบ 

รวมทั้งให้ความเห็นว่าเกิดจากความประมาทและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการป้องกันของคนไทยทั้งยัง “มองข้าม” อันตรายของสารก่อมะเร็ง “อะฟลาทอกซิน” ปนเปื้อนอยู่ในอาหารแห้งที่คนไทยบริโภคอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะ พริกแห้ง พริกป่น นอกจากนี้ ยังมีการอ้างด้วยว่า คนไทยไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาแบบป้องกัน ทั้งๆที่มีงานวิจัยใหม่เป็นจำนวนมาก ใน PubMed ที่ก้าวหน้า ยืนยันว่า เรสเวอราทรอล (Resveratrol) สารสกัดจาก “มัลเบอร์รี่” มีคุณสมบัติช่วย “ป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็ง” เป็นต้น

โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ไปมากกว่า 1,900 ครั้ง ณ วันที่ 31 ต.ค. 2568 รวมถึงยังมีการคัดลอกภาพและข้อความเดียวกันไปโพสต์ต่อทั้งในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม อย่างไรก็ตาม หากแบ่งสาระสำคัญของข้อความ จะแยกได้ 3 ส่วน และเมื่อลองสืบค้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็มีทั้งส่วนที่เป็นความจริง และส่วนที่อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน 

– คนไทยตายเพราะมะเร็งเท่าไรกันแน่? : ข้อเขียนข้างต้นซึ่งมาพร้อมกับกราฟที่ระบุช่วงเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) จนถึงปี ค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) ผู้โพสต์ระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก ราว 40,000 ราย เป็น 120,000 กว่าราย ยังบอกด้วยว่า ในปี ค.ศ.2025 (พ.ศ.2568) คาดการณ์ว่าคนไทยจะเสียชีวิตจากมะเร็ง มากถึง 144,900 ราย ซึ่งกราฟดังกล่าวจากการสืบค้น พบว่ามาจากเว็บไซต์ ourworldindata.org ซึ่งเป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในประเด็นที่โลกให้ความสำคัญ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความยากจนเหลื่อมล้ำ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ฯลฯ 

ซึ่งในเว็บไซต์นี้ สถิติที่โพสต์ข้างต้นอ้างถึงคือ Deaths from cancer อ้างอิงข้อมูลจากโครงการที่ชื่อว่าภาระระดับโลกของการศึกษาโรค (Global Burden of Disease Study: GBD) ภายใต้สถาบันการวัดและประเมินผลสุขภาพ (Institute for Health Metrics and Evaluation : IHME) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ณ ปี ค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) นอกจากนั้น ยังพบสถิติ Deaths from cancer, 2000 to 2021 อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ณ ปี ค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) เช่นกัน แต่สถิติจะมีเพียงระหว่างปี ค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) จนถึงปี ค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) ซึ่งทิศทางของกราฟก็จะตรงกับของ GBD

ภาพที่ 2 : เทียบกราฟผู้เสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศไทยของ GBD และ WHO ซึ่งทิศทางตรงกัน แต่ทั้ง 2 กราฟ มีคำว่า “estimated” หรือ “ประมาณการ”
ที่มา : ourworldindata.org

อย่างไรก็ตาม กราฟสถิติทั้งของ GBD และ WHO ล้วนใช้คำว่า “estimated” หรือแปลว่าประมาณการ ในขณะที่หากดูข้อมูลตามการแถลงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เช่น การแถลงข่าวโดยกรมการแถทย์ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2567 ระบุว่า สถิติโรคมะเร็งของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบแต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 ราย , การแถลงข่าวโดยกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 4 ก.พ. 2568 ระบุว่า ในแต่ละปี ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่กว่า 140,000 คน  และมีผู้เสียชีวิตกว่า 86,000 ราย

รายงาน แผนการป้องกันและควบคุม โรคมะเร็งแห่งชาติ พ.ศ. 2567 – 2575 โดยคณะกรรมการจัดทำแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 83,334 ราย ขณะที่หากย้อนไปในปี 2557 (ค.ศ.2014) ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 70,075 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ 50,818 ราย

ดังนั้นข้อความข้างต้นที่บอกว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นทุกปี จากราว 40,000 คนในปี 1980 จนถึง กว่า 120,000 คนในปี 2021จึงน่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากการอ้างอิงตัวเลขที่เป็นจำนวนประมาณการ อย่างในปี ค.ศ.2004 (พ.ศ.2547) สถิติประมาณการทั้งของ GBD และ WHO ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งในไทยมากกว่า 8 หมื่นราย แต่สถิติจากหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขของไทยระบุว่าอยู่ที่ 50,818 ราย 

หรือในปี ค.ศ.2014 (พ.ศ.2557) ตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงอยู่ที่ 70,075 ราย แต่สถิติประมาณการอยู่ที่ราว 1 แสนราย รวมถึงหลังปี ค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) ตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงอยู่ที่ราว 8 หมื่นกว่ารายต่อปี ในขณะที่ตัวเลขประมาณการสูงกว่า 1.2 แสนราย เป็นต้น โดยสรุปแล้วแม้จะเป็นความจริงที่ว่าสถิติผู้เสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจริงก็ยังไม่เท่ากับจำนวนที่คาดประมาณการไว้

ภาพที่ 3 : “พริกแห้ง-พริกป่น-ถั่วลิสง” เครื่องปรุงยอดนิยม
ที่มา : Walmart , eBay , eBay UK

– อะฟลาทอกซิน” สารก่อมะเร็ง ปนเปื้อนในอาหารแห้งทั้งพริกแห้ง พริกป่น ถั่วลิสง : ข้อมูลนี้ต้องบอกว่า เป็นความจริง โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ https://sasuksure.anamai.moph.go.th/ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นสุขภาพ จัดทำโดยกรมอนามัย ระบุว่า อะฟลาทอกซินเป็นสารพิษจากเชื้อรา ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย สร้างขึ้นโดยเชื้อราบางกลุ่ม ทำให้สามารถพบได้ในอาหารและผลผลิตทางการเกษตรทั่วไป ที่มีเชื้อรานั้นเจริญเติบโตอยู่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ที่สภาวะเหมาะกับการเกิดเชื้อราในอาหาร

ซึ่งประเทศไทยมีภูมิอากาศร้อนชื้น ยิ่งถ้าเข้าสู่ฤดูฝน อากาศจะชื้นมากขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะกับการเกิดเชื้อราในอาหาร โดยอาหารที่มักพบว่า มีสารอะฟลาทอกซินปนเปื้อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทแป้ง อาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วลิสง ข้าวโพด มันสำปะหลัง อาหารแห้ง เช่น ผักและผลไม้อบแห้ง ปลาแห้ง กุ้งแห้ง ธัญพืช เนื้อมะพร้าวแห้ง หัวหอมแห้ง กระเทียมแห้ง พริกแห้ง พริกไทย งา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วอื่นๆ เป็นสารที่ทนความร้อนได้สูงมาก ถึง 260 องศาเซลเซียส ความร้อนจากการปรุงอาหารหรือการต้มจึงไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ได้

สารอะฟลาทอกซินอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง หรือโรคตับอื่นๆ โดยระดับของความเป็นพิษ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ปริมาณที่ได้รับ ความถี่ของการรับประทาน อายุ เพศ การทำงานของเอนไซม์ในตับ และปัจจัยโภชนาการอื่นๆโดยองค์การอนามัยโลก กำหนดให้เป็นสารก่อมะเร็ง ที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งโดยปริมาณเพียง 1 ไมโครกรัม สามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย และทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ หากได้รับอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม อย่าตื่นตระหนก” เนื่องจากกฎหมายไทยระบุค่ามาตรฐานและมีการตรวจสอบ โดยเกณฑ์มาตรฐานการปนเปื้อนของสารอะฟลาทอกซิน ในประเทศไทย กำหนดไว้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 98 พ.ศ. 2529 อนุญาตให้มีอะฟลาทอกซินได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม หรือ 20 PPB (Parts Per Billion) ขณะที่ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการเฝ้าระวังการนำเข้าพริก หอม กระเทียม และถั่วลิสง อย่างต่อเนื่อง กรณีที่ตรวจวิเคราะห์พบปริมาณอะฟลาทอกซิน เกินที่มาตรฐานกำหนด จะจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐาน และจัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ด้วย โดย อย.จะสั่งให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาด และดำเนินการยึดหรืออายัดของที่เหลืออยู่ จากนั้นดำเนินคดี ซึ่งมีโทษทั้งจำและปรับ

สำหรับ คำแนะนำในการประกอบอาหารและบริโภคอาหารโดยลดความเสี่ยงอันตรายสารอะฟลาทอกซิน มีดังนี้ 1.เลือกซื้ออาหารหรือวัตถุดิบแห้งที่อยู่ในสภาพใหม่ ใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่แตกหรือชำรุด ไม่มีเชื้อรา สะอาด ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ส่งกลิ่นเหม็น หรือชื้น 2.ไม่เก็บอาหารแห้งไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อรา ควรเก็บในที่แห้ง ไม่อับชื้น 3.นำอาหารแห้งไปตากแดดจัดๆ เพราะสามารถช่วยลดความชื้นในอาหารได้ 4.หากอาหารมีราขึ้นควรทิ้งให้หมด ไม่ควรตัดเฉพาะส่วนที่ขึ้นราทิ้งไป เพราะอาจมีสารแอฟลาทอกซิน กระจายไปทั่ว

5.กรณีที่ซื้อถั่วลิสงดิบมาปรุงอาหารเอง ให้เลือกซื้อถั่วที่มีลักษณะสมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่ฝ่อ สีไม่คล้ำ ไม่ถูกแมลงสัตว์กัดแทะ ไม่ชื้น ไม่มีราสีเขียว สีเหลือง หรือสีดำขึ้นที่เมล็ด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ นำไปแช่น้ำ และซ้อนถั่วลิสงที่ลอยน้ำทิ้ง นำเมล็ดถั่วลิสงที่จมน้ำ ล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง นำไปปรุงอาหาร คั่วถั่วลิสงให้พอเหมาะกับการรับประทาน และไม่ควรซื้อเก็บไว้นานเกิน 3 วัน 6.หากรับประทานถั่วลิสงหรือผลิตภัณฑ์ แล้วรู้สึกขมหรือมีกลิ่นไม่ดี ให้คายทิ้งทันทีแล้วบ้วนปาก ห้ามนำอาหารที่ขึ้นรา หรือจับตัวกันเป็นก้อน มีกลิ่นหืนมาบริโภค

 
ภาพที่ 4 : อาหารที่มี “เรสเวอราทรอล (Resveratrol)” 
ที่มา : Ask The Scientists

– เรสเวอราทรอล (Resveratrol) สารสกัดจากมัลเบอร์รี มีคุณสมบัติช่วยป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็ง : ประเด็นนี้ ณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ นักโภชนาการชำนาญการ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้ข้อมูลกับทีมงานโคแฟค ว่า มีงานวิจัยจำนวนมาก (รวมถึงงานวิจัยในฐานข้อมูล PubMed) ที่ศึกษาบทบาทของ Resveratrol ในการต่อต้านและยับยั้งมะเร็ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยใน หลอดทดลอง (in vitro) และ ในสัตว์ทดลอง (in vivo) 

โดยคุณสมบัติหลัก Resveratrol เป็นสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ชนิดหนึ่งที่พบในพืชหลายชนิด เช่น องุ่นแดง ถั่วลิสง และมัลเบอร์รี่ (Mulberry) ซึ่งงานวิจัยชี้ว่ามีคุณสมบัติเด่นคือ ต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยสามารถกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง (Apoptosis) และขัดขวางวงจรการเติบโตของเซลล์ มีงานวิจัยที่ระบุว่า มัลเบอร์รี (โดยเฉพาะรากและผลบางสายพันธุ์) เป็นแหล่งของResveratrol และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ (เช่น แอนโธไซยานิน) ซึ่งแสดงศักยภาพในการต้านมะเร็งในห้องปฏิบัติการ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักฐานเชิงบวกในห้องปฏิบัติการ แต่การนำมาใช้จริงในมนุษย์ยังมีข้อจำกัด ดังนี้ 1.ชีวปริมาณออกฤทธิ์ต่ำ (Low Bioavailability) โดย Resveratrol ที่รับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมและถูกเผาผลาญในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณสารสำคัญที่เข้าสู่กระแสเลือดและไปถึงเนื้อเยื่อมะเร็งในปริมาณที่เพียงพอต่อการออกฤทธิ์ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ 

2.การศึกษาในมนุษย์มีจำกัด การทดลองทางคลินิก (Clinical Trials) ในมนุษย์เพื่อยืนยันผลการป้องกันและรักษาในระยะยาว ยังมีข้อมูลจำกัด และยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการบริโภคอาหารเสริม Resveratrol ในปริมาณปกติจะให้ผลเช่นเดียวกับที่พบในห้องปฏิบัติการ และ 3.ปัจจุบัน Resveratrol ไม่ได้ถูกจัดเป็นยามาตรฐานสำหรับการป้องกันหรือรักษามะเร็ง และยังไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ (เช่น เคมีบำบัด การผ่าตัด หรือรังสีรักษา)

ณัฐฐศรัณฐ์ ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ไว้ว่า ยืนยันว่ามีงานวิจัย โดยการกล่าวอ้างว่ามีงานวิจัยใน PubMed ที่ยืนยันคุณสมบัติการยับยั้งมะเร็ง เป็นความจริง แต่ยังเป็นงานวิจัยในระดับพื้นฐานและพรีคลินิก (Preclinical) นอกจากนั้นยังไม่เป็นข้อสรุปทางการแพทย์ ซึ่งการสรุปว่า Resveratrol สามารถป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็งในมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น เป็นสิ่งที่เกินเลยจากข้อสรุปทางการแพทย์ในปัจจุบัน

การบริโภคผักผลไม้รวมถึงมัลเบอร์รี (ซึ่งเป็นแหล่งของ Resveratrol) เป็นส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง รวมถึงมะเร็งได้ แต่ควรเน้นที่การป้องกันตามคำแนะนำทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นหลัก เช่น การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง (เช่น อะฟลาทอกซิน การสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์) การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการดูแลสุขภาพโดยรวม ณัฐฐศรัณฐ์ กล่าว 

แม้โพสต์ข้างต้นที่ทางโคแฟคหยิบยกมานำเสนอ เนื้อหาดูแล้วมีเจตนาดี มุ่งทำให้คนไทยตระหนักถึง ภัยเงียบ อย่าง โรคมะเร็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมากในแต่ละปี แต่เนื้อหาบางส่วนพบว่า คลาดเคลื่อน จากข้อเท็จจริง ก็อาจส่งผลกระทบกลายเป็นการสร้างความตื่นตระหนกได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เผยแพร่และส่งต่อเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพพึงระมัดระวัง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://ourworldindata.org/grapher/deaths-from-cancer-gbd?tab=line&country=~THA (Deaths from cancer The estimated annual number of deaths from all types of cancer.) 

https://ourworldindata.org/grapher/deaths-from-cancer-who?tab=line&country=~THA (Deaths from cancer, 2000 to 2021 The estimated number of deaths from all types of cancer.)

https://www.hfocus.org/content/2024/02/29679 (กรมการแพทย์เผยคนไทยป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 1.4แสนคน เสียชีวิต 8.3หมื่นคน : Hfocus 5 ก.พ. 2567)

https://siamrath.co.th/n/598838 (“รมว.สธ.” ผงะ! มะเร็งคร่าคนไทย 8.6 หมื่นคนต่อปี เร่งเครื่องดูแลปัญหาแบบครบวงจร : สยามรัฐ 4 ก.พ. 2568)

https://www.nci.go.th/th/New_web2024/officer/download/nccp/NCCP_67_75.pdf (แผนการป้องกันและควบคุม โรคมะเร็งแห่งชาติ พ.ศ. 2567 – 2575)

https://hss.moph.go.th/show_topic.php?id=139 (สธ.เผยภัย“มะเร็ง”คร่าชีวิตคนไทยพุ่งกว่า70,000คน เร่งปลูกฝังค่านิยมสูตร 3อ.2ส.ปรับแก้พฤติกรรม : กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 10 ธ.ค. 2558)

https://sasuksure.anamai.moph.go.th/content?id=2653 (พริกแห้งและพริกป่นในตลาดไทย เกือบทั้งหมดพบสารก่อมะเร็ง : สา’สุขชัวร์ โดยกรมอนามัย 24 ก.ย. 2568)

คลิปรถกระบะซุกชาวเมียนมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นคลิปจับกุมชาวเมียนมาเมื่อปี 2565**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 2 พ.ย. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “กฤตธนพร ปานสีลา” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพเหตุการณ์ที่ตำรวจตรวจค้นรถกระบะต้องสงสัย พบว่ามีการดัดแปลงช่องลับสำหรับซุกซ่อนบุคคลไว้ใต้กระบะ มีข้อความฝังในคลิปว่า “ด่วน! แรงงานเขมร ลักลอบเข้าไทย โดยวิธีการต่างๆ” และ “ดัดแปลงกระบะ ขนต่างด้าวเข้าเมือง” ในโพสต์มีคำบรรยายเพิ่มเติมว่า “ล่าสุดตั๋วนอนลักลอบเข้าไทย” คลิปนี้ถูกแชร์มากกว่า 1,600 ครั้ง (ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568) 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบคลิปที่มีลักษณะตรงกันทั้งภาพ ความยาวและแบบตัวอักษรในคลิป ถูกเผยแพร่ในบัญชีเฟซบุ๊กและติ๊กตอก “Coconews” เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 ระบุว่าเป็นเหตุการณ์จับกุมรถกระบะดัดแปลงลักลอบขนแรงงานข้ามชาติบริเวณจุดตรวจห้วยยะอุ ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2565 ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของสื่อมวลชนหลายสำนัก เช่น เว็บไซต์มติชนรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบชาวต่างชาติผู้หญิง 2 คน ไม่มีเอกสารเข้าเมืองและสารภาพว่าแอบเข้าไทยเพื่อมาทำงานโดยมีชาย 2 คนนำพามาโดยให้ซ่อนในรถกระบะดัดแปลง เว็บไซต์ผู้จัดการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทั้งสองเป็นชาวเมียนมา 

นอกจากนี้เพจเฟซบุ๊ก “กองกำลังนเรศวร” ได้โพสต์ภาพรถกระบะที่ถูกตรวจค้นคันเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 พร้อมกับรายงานว่า กองกำลังนเรศวรร่วมกับตำรวจปฏิบัติภารกิจประจำจุดตรวจบ้านห้วยยะอุ อ.แม่สอด “ตรวจพบรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล พบมีแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาจำนวน 2 คน ซุกซ่อนใต้กระบะรถดัดแปลง ไม่มีเอกสารแสดงการเข้าราชอาณาจักร จึงได้ควบคุมตัวส่ง สภ.พระวอ เพื่อดำเนินการต่อไป” 

คลิปน้ำท่วมอุตรดิตถ์เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ถูกนำมาโพสต์บิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปน้ำท่วมอุตรดิตถ์ 31 ต.ค. 2568 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 2 พ.ย. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Chey – ជ័យ” โพสต์คลิปวิดีโอน้ำท่วมในประเทศไทย แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสถานที่ใด และเขียนข้อความบรรยายเป็นภาษาเขมร แปลเป็นไทยได้ว่า “น้ำท่วมไทย 31.10.2025” ซึ่งทำให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens และ Google Street View พบว่า อาคารสถานที่ที่ปรากฏในคลิปตั้งอยู่บริเวณทางหลวงหมายเลข 1214 ใกล้กับซอยเทศบาล 25/1 ต.บ่อทอง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์  และเมื่อสอบถามไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับการชี้แจงว่าภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

ในช่วงวันที่ 30 ก.ย. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักราย เช่น มติชน และ ผู้จัดการ งานว่า อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ เป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมจากพายุบัวลอย

รูป “รักชนก ศรีนอก” ถูกนำมาตัดต่อใส่ข้อความเท็จ ถาม “ประเทศชาติต้องการทหารหรือพรรคประชาชน”

กองบรรณาธิการโคแฟค

ภาพ น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ถูกนำมาตัดต่อด้วย AI ใส่ข้อความเท็จ ตั้งคำถาม “คุณคิดว่าประเทศชาติต้องการทหารหรือพรรคประชาชน” โดยภาพต้นฉบับเป็นภาพ สส. รักชนกถือกระดาษเขียนข้อความด้วยลายมือ “รักชนก ศรีนอก เขต 26 กทม.” เพื่อแนะนำตัวเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งปี 2566

เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  รักชนก ศรีนอก โพสต์ถาม “คุณคิดว่าประเทศชาติต้องการทหารหรือพรรคประชาชน”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ ใช้ AI สร้างข้อความเท็จใส่ในภาพ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 31 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Arnond Sakworawich” ผู้ติดตาม 1.54 แสนราย โพสต์ภาพ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน ยืนถือกระดาษมีข้อความว่า “คุณคิดว่าประเทศชาติต้องการ ‘ทหาร’ หรือ ‘พรรคประชาชน’ ” และผู้โพสต์ตั้งคำถามในโพสต์ว่า “มันกล้าถามจริง ๆ หรือ” (ลิงก์บันทึก)

โพสต์นี้คอมเมนต์มากกว่า 1,100 ข้อความ ส่วนใหญ่เป็นข้อความโจมตี น.ส.รักชนกและพรรคประชาชน และถูกแชร์ไปเกือบ 60 ครั้ง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบภาพด้วย Google Lens และสอบถาม สส. รักชนก ได้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพดังนี้

▪️ มุมขวาล่างของภาพนี้มีสัญลักษณ์รูปดาวของ Gemini โมเดลปัญญประดิษฐ์ (AI) ของกูเกิ้ล ซึ่งจะแสดงในภาพที่สร้างขึ้นหรือตัดต่อด้วยเครื่องมือ AI ของ Gemini แสดงว่าภาพนี้มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วย AI 

▪️ สส. รักชนกยืนยันกับโคแฟคเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2568 ว่า ภาพเธอยืนถือกระดาษเป็นภาพจริง แต่ข้อความ “คุณคิดว่าประเทศชาติต้องการทหารหรือประชาชน” เป็นข้อความเท็จที่ถูกตัดต่อเข้ามา และให้ข้อมูลว่าภาพยืนถือกระดาษเป็นภาพที่เธอถ่ายเพื่อแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. พรรคก้าวไกล ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 

▪️ โคแฟคตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียของ สส. รักชนก พบภาพต้นฉบับปรากฏอยู่ในคลิปสั้นที่โพสต์ในอินสตาแกรมและติ๊กตอก @nanaicez เมื่อวันที่ 20 และ 27 ก.ย. 2565 (ลิงก์บันทึก) ตามลำดับ ข้อความบนกระดาษขาวที่ สส. รักชนกถือมีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า “รักชนก ศรีนอก เขต 26 กทม.”

📌 ข้อสรุปโคแฟค: ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกตัดต่อด้วย AI โดยใส่ข้อความที่เท็จในบริบทที่สังคมกำลังให้ความสำคัญกับบทบาทของกองทัพในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ภาพต้นฉบับเป็นภาพที่เผยแพร่ในบัญชีโซเชียลมีเดียของ สส. รักชนกตัั้งแต่ปี 2565 โดยเขียนข้อความแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล

ภาพนี้ถูกนำมาตัดต่อสร้างเนื้อหาเท็จมาแล้วหลายครั้ง และถูกนำมาโพสต์ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2568 ในบัญชีเฟซบุ๊ก “Arnond Sakworawich” แม้ว่าผู้โพสต์จะเขียนข้อความในเชิงตั้งคำถามและภาพมีลายน้ำที่บ่งชี้ว่าเป็นภาพที่มีบางส่วนที่สร้างโดย AI แต่ก็อาจมีหลายคนที่ไม่ได้สังเกตและหลงเชื่อว่าเป็นเนื้อหาจริง  

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

‘ข่าวลวง-ข้อมูลคลาดเคลื่อน-อคติเกลียดชัง’ประเด็นกัมพูชา จากพิพาทชายแดนไทยถึงเหยื่อสแกมเมอร์เกาหลีใต้

By : Zhang Taehun

สถานการณ์ในกัมพูชาเป็นหนึ่งในเรื่องที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั้งจากสื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นอกจากข้อพิพาทชายแดนจนทำให้เกิดการสู้รบทางทหารกับไทยแล้ว กัมพูชายังถูกเพ็งเล็งมากขึ้นในฐานะแหล่งรวมของ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ – สแกมเมอร์”หรือกลุ่มอาชญากรรมฉ้อโกงผ่านระบบโทรคมนาคม ภายหลังจากที่สื่อมวลชนต่างประเทศและไทยรายงานข่าว สหรัฐอเมริกา – อังกฤษ ยึดทรัพย์และคว่ำบาตรกลุ่มบริษัทพรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) และ เฉินจื้อ (Chen Zhi)ประธานบริษัท ในข้อหาพัวพันกับอาชญากรรมดังกล่าวซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานบังคับ 

และเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายการเมืองและประชาชนของเกาหลีใต้ในการปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติในกัมพูชามาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่นักศึกษาเกาหลีใต้ วัย 20 ปีเศษ เดินทางจากเกาหลีใต้ไปกัมพูชาในวันที่ 17 ก.ค. 2568 ก่อนจะพบเป็นศพที่บริเวณภูเขาโบกอร์ ใน จ.กำปอต ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2568 โดยผลการชันสูตรเบื้องต้น ผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงก่อนเสียชีวิต ยิ่งทำให้ชาวไทยซึ่งติดตามข่าวนี้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย และส่งผลให้เกิดข่าวลวงและข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก

ภาพที่ 1 ภาพเก่าพาสปอร์ตไทยถูกทิ้งในกัมพูชาถูกนำกลับมาแชร์ในช่วงที่มีข่าวชาวเกาหลีใต้ถูกจับเรียกฆ่าไถ่และทรมานจนเสียชีวิต
ภาพที่ 2 ภาพเก่าชาวกัมพูชาประท้วงไทย ถูกนำกลับมาแชร์โดยอ้างชาวกัมพูชาประท้วงเกาหลีใต้

– ภาพเก่า  ข่าวลวง : พบตัวอย่างทั้งที่เป็นชาวเกาหลีใต้ เช่น วันที่ 12 ต.ค. 2568 ซึ่งในสังคมเกาหลีใต้เริ่มให้ความสนใจกับข่าวชาวเกาหลีถูกลักพาตัวและทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตในกัมพูชา บัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ “JH의메모” โพสต์ภาพหนังสือเดินทางจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของประเทศไทยถูกนำมาทิ้งไว้ โดยบรรยายเป็นภาษาเกาหลีว่า “캄보디아 쓰레기통에서 나온 여권들”(พบพาสปอร์ตในถังขยะกัมพูชา) แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อใด 

ภาพนี้ยังถูกแชร์โดยผู้ใช้บัญชี X ชาวไทยในวันเดียวกัน ระบุว่า “พาสปอร์ตไทยเยอะ เพราะโดนอุ้มฆ่าบ่อย กัมพูชาถิ่นสแกมเมอร์ ทำไมทั่วโลกยังไม่เบิกเนตรสักทีว่ากัมพูชามีแต่มิจฉาชีพ??” อย่างไรก็ตาม เมื่อลองค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า เป็นภาพเก่าที่เคยถูกเผยแพร่เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 โดยมีสำนักข่าวในประเทศไทยรายงาน เช่น รายงานข่าวของเว็บไซต์ นสพ.ผู้จัดการ วันที่ 21 มิ.ย. 2568 ระบุว่า ภาพดังกล่าวถูกโพสต์ในกลุ่มเฟซบุ๊ก “คนไทยในปอยเปต” พร้อมบรรยายว่า “หน้าซอยโอตรงที่ทิ้งขยะ ไม่รู้คนพวกนี้จะกลับยังไงหรือได้กลับหรือเปล่า”

จากนั้นในวันที่ 22 มิ.ย. 2568 รายงานข่าวของเว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ Ch7HD อ้างอิงข้อมูลจากตำรวจ ตม.สระแก้ว ที่ประสานตรวจสอบกับทาง ตม. กัมพูชา พบเป็นเป็นของคนไทย ช่วงอายุ 29-40 ปี แต่พบว่าหมดอายุแล้ว ตั้งแต่ช่วงปี 2562 – 2565 โดยทาง ตม. ไทย ได้ประสานขอหนังสือเดินทางที่ถูกทิ้งดังกล่าวมาตรวจสอบ รวมถึงจะได้เชิญเจ้าของหนังสือเดินทางมาสอบถาม ซึ่งขณะนี้ผ่านมาแล้ว 4 เดือน อาจต้องฝากสื่อมวลชนช่วยติดตามด้วยว่ามีความคืบหน้าอย่างไร

อีกตัวอย่างหนี่งคือเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ตะลอน ทั่วกรุง” โพสต์ภาพกลุ่มชาวกัมพูชาถือธงชาติ พร้อมข้อความในภาพระบุว่า “แรงงานเขมรในเกาหลีประท้วง ขู่ไม่ทำงาน ลั่นกัมพูชาไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์” และบรรยายเพิ่มเติมว่า “แรงงานเขมรในเกาหลีประท้วง”ขู่ไม่ทำงาน” บอกว่าเขมรบริสุทธิ์ เอาเลยไปสุดครับ เขมรที่ทำงานอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ ได้รวมตัวเพื่อประกาศให้ชาวเกาหลีรู้ว่า กรณีนักศึกษา ที่เสียชีวิตในกัมพูชา คนเขมรไม่ได้ทำ แต่เป็นแก๊งค์อาชญากรข้ามชาติ ซึ่งเป็นคนจีน พวกเราขอความเป็นธรรมให้ชาวกัมพูชาด้วย  

เมื่อค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวมาจากคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวกัมพูชาจำนวนมากโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2568 โดยระบุว่า ชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้ได้ออกมาประท้วงการกระทำของประเทศไทย อ้างว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีใส่กัมพูชาก่อน ซึ่งในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 กำลังมีการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา

ภาพที่ 3 โพสต์ของสถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ชี้แจงกรณีสื่อไทยเสนอข่าวคลาดเคลื่อน

ภาพที่ 4 (ซ้าย – กลาง) หน้า นสพ. Bangkok Post ฉบับวันที่ 15 ต.ค. 2568 ที่ยังพอจะค้นหาได้ , (ขวา)พาดหัวข่าวของฐานเศรษฐกิจ วันที่ 19 ต.ค. 2568 มีเนื้อหาข่าวคลาดเคลื่อน ไม่สามารถเข้า Link ได้แล้ว


– 
สถานทูตเกาหลีใต้ชี้แจงสื่อไทยเสนอข่าวคลาดเคลื่อน : ท่าทีของทางการเกาหลีใต้ในการเข้าไปร่วมสืบสวนการเสียชีวิคของพลเมืองของตนในกัมพูชา ได้รับความสนใจจากสื่อไทยและประชาชนชาวไทยอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊ก “Embassy of the Republic of Korea in Thailand 주태국 대한민국 대사관” ของสถานทูตเกาหลีใต้ ได้โพสต์ข้อความชี้แจงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไทย 2 สำนัก

โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2568 กรณีสื่อไทยระบุว่า “เกาหลีใต้อาจใช้มาตรการทางทหารกับกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงข้ามพรมแดน” และ “ภัยคุกคามของโซลที่จะส่งกำลังทหารไปปราบปรามขบวนการหลอกลวงในภูมิภาค” โดยอ้างถึงบทความ “Call scam deal key to peace” กับอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2568 เมื่อมีสื่อไทยรายงานอ้างว่า “นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เปิดเผยถึง นักการเมืองไทย 7 คนที่พัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา” โดยรายงานข่าวทั้ง 2 ครั้ง สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง 

จากการลองค้นหา (ณ วันที่ 21 ต.ค. 2568) พบว่า บทความ “Call scam deal key to peace” ในเวอร์ชั่นเว็บไซต์ ยังคงเผยแพร่ใน Bangkok Post โดยเผยแพร่มาตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 14 ต.ค. 2568 ในชื่อ “Call scam deal key to peace with Cambodia: Thai PM”แต่ไม่พบข้อความที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยกล่าวถึง ขณะที่ในหน้า 1 หนังสือพิมพ์ วันที่ 15 ต.ค. 2568 จะพบข้อความดังกล่าวอยู่ ส่วนข่าว “นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เปิดเผยถึง นักการเมืองไทย 7 คนที่พัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา” แม้จะพบในผลการค้นหาบน Google แต่ไม่สามารถกด Link เข้าไปอ่านได้

อนึ่ง กรณีเกาหลีใต้อาจส่งทหารเข้าปฏิบัติการในกัมพูชา มีรายงานโดยสื่อเกาหลีใต้อย่าง ChosunBiz เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2568 ว่า เป็นความเห็นจากฝ่ายนิติบัญญัติในการประชุมรัฐสภาของเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2568 โดยปาร์ก บอม-กเย (Park Beom-gye) สมาชิกรัฐสภาจากพรรค Democratic Party of Korea ได้หยิบยกเรื่องงบประมาณช่วยเหลือที่เกาหลีใต้มอบให้กัมพูชาเป็นจำนวนมากมายอย่างต่อเนื่องในรูปแบบความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance : ODA) ขึ้นมา โดยชี้ว่า อาจใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ทำให้รัฐบาลกัมพูชายอมให้ความร่วมมือในมาตรการทางการทูต การสืบสวนของตำรวจ รวมถึง “ปฏิบัติการทางทหาร” 

เช่นเดียวกับ คัง มิน-กุก (Kang Min-kuk) สมาชิกรัฐสภาจากพรรค People Power Party ที่กล่าวว่า เกาหลีใต้เคยส่งทหารไปช่วยพลเมืองที่ถูกโจรสลัดโซมาเลียควบคุมตัวเมื่อปี 2554 จึงเสนอว่า กองทัพเกาหลีใต้ควรร้องขอเข้าร่วมปฏิบัติการกับทางทหารหรือตำรวจของกัมพูชา โดยหยิบยกเรื่องงบประมาณ ODA มาเป็นเงื่อนไขต่อรอง โดยหากกัมพูชาไม่ยินยอมก็ให้เรียกเงินดังกล่าวคืน 

สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ รายงานว่า คณะทำงานเฉพาะกิจของเกาหลีใต้ที่เดินทางไปกัมพูชานั้นนำโดย คิม จี-นา (Kim Ji-na) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ  ร่วมเดินทางไปด้วย โดยเดินทางถึงกรุงพนมเปญช่วงค่ำวันที่ 15 ต.ค. และเข้าหารือกับ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในวันที่ 16 ต.ค. 2568 จากนั้นวันที่ 18 ต.ค. 2568 มีรายงานจากสื่อเกาหลีใต้ เช่น The Chosun Daily ระบุ ชาวเกาหลีใต้ 64 ราย ถูกส่งตัวจากกัมพูชากลับมายังเกาหลีใต้ ในฐานะผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ภาพที่ 5 พาดหัวข่าว “Korean backlash against Cambodia hits visitors, residents alike” ในสื่อเกาหลีใต้ บอกเล่าเรื่องราวของชาวกัมพูชาที่ถูกชาวเกาหลีใต้เลือกปฏิบัติ

– เหยื่อความเกลียดชังจากอคติเหมารวม : ในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาตึงเครียด โดยเฉพาะห้วงเวลา 5 วันที่มีการสู้รบทางทหาร ระหว่างวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีรายงานทั้งในสื่อสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนกระแสหลัก พบแรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทยถูกคุกคามถึงขั้นทำร้ายร่างกาย อาทิ ในวันที่ 25 ก.ค. 2568 พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาเตือนว่า ทราบว่าคนไทยส่วนใหญ่มีอารมณ์โกรธเคือง แต่หากไปก่อเหตุรุนแรงหรือทำร้ายร่างกายคู่ขัดแย้งก็จะถูกดำเนินคดีทุกกรณี เพราะถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย พร้อมขอให้ประชาชนระมัดระวังการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหรือไม่เหมาะสมในสื่อโซเชียล เพราะอาจจะกลายเป็นการจุดฉนวนให้เหตุการณ์บานปลาย จนกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ล่าสุดที่เกาหลีใต้ เหตุการณ์ชาวเกาหลีเสียชีวิตจากฝีมือแก๊งอาชญากรรมในกัมพูชา ได้จุดกระแสความเกลียดชังชาวกัมพูชาทั้งที่เป็นแรงงานและนักท่องเที่ยว โดยรายงานข่าวจากสื่อเกาหลีใต้ Korea JoongAng Daily วันที่ 16 ต.ค. 2568 ระบุการเลือกปฏิบัติของชาวเกาหลีใต้ต่อชาวกัมพูชา อาทิ ในวันที่ 13 ต.ค. 2568 มีรายงานนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาถูกไล่ออกจากโรงแรม จากที่จองห้องพักไว้ 2 คืน กลับได้พักจริงแค่คืนเดียว  หรือแท็กซี่ไล่แรงงานชาวกัมพูชาลงจากรถ หลังเจ้าของโรงแรมและคนขับแท็กซี่ทราบสัญชาติ 

ไม่ต่างจากพื้นที่ออนไลน์ซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง อาทิ “กัมพูชาเป็นประเทศอาชญากร” และ “นี่คือเหตุผลที่ประเทศด้อยพัฒนาไม่สามารถพัฒนาได้” และแม้จะมีชาวกัมพูชาที่อยู่ในเกาหลีใต้มานานจนได้รับสถานะผู้อยู่อาศัยจากการแต่งงาน เข้าไปแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับได้รับคำด่าทอหรือขับไล่ไสส่ง เช่น “กลับประเทศของคุณไปซะ” และ “มีแมลงสาบเพิ่มอีกตัวแล้ว” เป็นต้น

อัน แด-ฮวาน (Ahn Dae-hwan) หัวหน้ามูลนิธิการย้ายถิ่นฐานเกาหลี ระบุว่า กรณีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวข้องกับชาวเกาหลีใต้ที่ถูกชาวเกาหลีใต้ด้วยกันหรือไม่ก็ชาวจีนล่อลวงด้วยข้อเสนองานรายได้สูง ซึ่งผู้ที่หลงเชื่อเดินทางไปจะถูกกักขังและทำร้ายร่างกาย แต่ชาวเกาหลีใต้บางคนดูเหมือนจะระบายความโกรธแค้นใส่ชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมผู้อพยพและแรงงานชาวกัมพูชาจึงต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

วันที่ 20 ต.ค. 2568 คิม ยัง-ฮุน (Kim Young-hoon) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของเกาหลีใต้ ยืนยันว่าจะไม่ลดโควตาการนำเข้าแรงงานชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้  โดยให้เหตุผลว่า การตัดโควตาหรือการจำกัดใบอนุญาตการจ้างงานโดยฝ่ายเดียว อาจทำให้แรงงานกัมพูชาที่พำนักและทำงานในเกาหลีใต้อยู่แล้วถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และยังเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์แรงงานทวิภาคีด้วย พร้อมกับย้ำว่า แรงงานข้ามชาติมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของเกาหลีใต้

กรงงานทุกคนสมควรได้รับความเคารพและได้รับการคุ้มครองโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือถิ่นกำเนิด คำพูดแสดงความเกลียดชังและอคติที่เกิดจากชาติกำเนิดไม่ถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออก แต่ถือเป็นอาชญากรรมและไม่อาจยอมรับได้”รมว.แรงงานของเกาหลีใต้ กล่าว

ภาพที่ 6 (ซ้าย) คำเตือนจากสถานทูตไทยในเมียนมา , (ขวา) รายงานข่าวจากสื่อเกาหลีใต้ เตือนเรื่องโฆษณาหางานในต่างประเทศ เสี่ยงถูกล่อลวงเข้าสู่ขบวนการมิจฉาชีพออนไลน์

– มุก งานสบายรายได้ดี” ลวงเหยื่อได้ไม่เกี่ยงสัญชาติ : ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชาวไทยน่าจะคุ้นเคยกับคำเตือนจากหน่วยงานของรัฐ ให้ระวังการโฆษณาชวนเชื่อ มีตำแหน่งงานในประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาและกัมพูชา เช่น พนักงานโรงแรม กาสิโน สถานบันเทิง แอดมินออนไลน์ เจ้าหน้าที่การตลาด พร้อมอ้างว่ามีรายได้สูงพร้อมที่พักและสวัสดิการ และไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ซึ่งเมื่อหลงเชื่อจะถูกนำพาข้ามชายแดนโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และเมื่อไปถึงจะถูกบังคับให้ทำงานมิจฉาชีพออนไลน์ หากไม่ทำหรือหลอกเหยื่อไม่ได้ตามเป้าก็จะถูกทำร้ายร่างกาย หรือหากเป็นเพศหญิงอาจถูกบังคับค้าประเวณี และหากต้องการเป็นอิสระก็จะต้องให้ญาตินำเงินมาไถ่ตัว

กรณีของเกาหลีใต้ก็เช่นกัน รายงานข่าวของ Korea JoongAng Daily วันที่ 13 ต.ค. 2568 ระบุว่า โฆษณาที่มีถ้อยคำประเภท “รายได้หลายล้านวอนต่อเดือน” หรือ “โอกาสงานต่างประเทศ” และมักอ้างว่าเป็นงานประเภทการตลาดหรือพนักงานขายทางโทรศัพท์ (หรือออนไลน์) สามารถพบเห็นได้ตามเว็บไซต์หางานที่เป็นภาษาเกาหลี และที่น่าห่วงคือขยายวงไปถึงเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาหรือบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยที่กำลังเริ่มหางานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวลองสอบถามไป บางแห่งก็กล้ายอมรับตรงๆ ว่าเป็นงานหลอกลวง แต่ก็ยืนยันว่าบริษัทไม่มีเรื่องการกักขังหรือทำร้ายร่างกาย 

รายงานข่าวจาก The Korea Herald วันที่ 13 ต.ค. 2568 อ้างข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 เป็นต้นมา ได้ออกคำเตือนชาวเกาหลีใต้เรื่องการถูกล่อลวงไปทำงานในต่างประเทศ ว่า 1.แม้เป็นคำชวนจากคนรู้จักก็ต้องระวังอย่าเพิ่งเชื่อใจง่ายๆ 2.หลีกเลี่ยงงานที่โฆษณาเรื่องรายได้สูงและจ่ายค่าเดินทางให้ก่อนล่วงหน้า  3.ตรวจสอบกับตัวแทนจัดหางานในท้องถิ่นที่เชื่อถือได้ให้แน่ใจก่อน และ 4.อย่าลงนามในเอกสารใดๆ หากไม่เข้าใจเนื้อหาในเอกสารนั้น  

โดยสรุปแล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ แต่ด้วยความที่ชาวไทยยังคงมีอารมณ์คุกรุ่นจากความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา บวกกับคุ้นชินกับเกาหลีใต้ทั้งด้านบันเทิง การท่องเที่ยวหรือแม้แต่การไปทำงาน ข่าวการเสียชีวิตของหนุ่มนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ เหยื่อแก๊งค้ามนุษย์ในกัมพูชา ถุกนำเสนอและแชร์ต่อในพื้นที่สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็มาพร้อมกับปัญหาข่าวลวงและข้อมูลคลาดเคลื่อน ขณะที่กระแสความเกลียดชังชาวกัมพูชาแบบอคติเหมารวมก็พบไม่ต่างกันไม่ว่าในไทยหรือเกาหลีใต้ก็ตาม 

ส่วนความเคลื่อนไหวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – สแกมเมอร์ กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของภาครัฐ ราวกับเป็นเกม “แมวจับหนู” เมื่อมีการระดมกำลังทุ่มไปในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ก็จะมีภาพอาคารฐานปฏิบัติการของกลุ่มแก๊งถูกทิ้งร้าง สมาชิกบางส่วนถูกจับกุม เหยื่อจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็มีรายงานว่าองค์กรอาชญากรรมได้กลับมารวมตัวในพื้นที่เดิมบ้าง หรือถอยร่นไปใช้พื้นที่ลึกกว่าเดิมซึ่งยากต่อการค้นหาบ้าง 

ซึ่งข้อจำกัดสำคัญอยู่ที่การเป็น อาชญากรรมข้ามพรมแดน” ที่ไม่อาจจัดการได้โดยกำลังเจ้าหน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันและคงต้องเป็น วาระของโลก” ไม่ใช่เฉพาะภูมิภาคอาเซียน หากดูจากจำนวนเหยื่อที่ถูกล่อลวงมาเป็นแรงงานบังคับซึ่งมาจากทุกทวีป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/news/content/357619 (กัมพูชาเรียกร้อง “สหรัฐฯ-สหราชอาณาจักร” ดำเนินคดี “เฉินจื้อ” อย่างเป็นธรรม : ThaiPBS 16 ต.ค. 2568)

https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/law-crime/20251010/korean-college-student-kidnapped-and-killed-in-cambodia-after-alleged-torture (Korean college student kidnapped and killed in Cambodia after alleged torture : The Korea Times 10 ต.ค. 2568) 

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000058442 (พบพาสปอร์ตไทยเกลื่อนชายแดนปอยเปต คาดเป็นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : ผู้จัดการ 21 มิ.ย. 2568)

https://news.ch7.com/detail/810311 (พาสปอร์ตไทยถูกทิ้งเกลื่อนพื้นในปอยเปต ตรวจพบเป็นของเก่า – หมดอายุแล้ว : Ch7HD 22 มิ.ย. 2568)

https://www.maruey.com/enewspaper/68ef0a73082fe (บางกอกโพสต์ 15 ตุลาคม 2568 : ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

https://www.bangkokpost.com/thailand/general/3120817/call-scam-deal-key-to-peace-with-cambodia-thai-pm (Call scam deal key to peace with Cambodia: Thai PM : Bangkok Post 14 ต.ค. 2568)

https://biz.chosun.com/en/en-policy/2025/10/14/PSSO6T563JHFLLGQ2KC2C45AWU/ (Korean politicians call for military option as citizen abductions in Cambodia rise : ChosunBiz 14 ต.ค. 2568)

https://en.yna.co.kr/view/AEN20251016001451315 (Gov’t response team to meet Cambodian PM over job scams targeting S. Koreans : ยอนฮัป 16 ต.ค. 2568) 

https://en.yna.co.kr/view/AEN20251016010352315 (Cambodian PM voices ‘deep regret’ over death of S. Korean nat’l in job scam : ยินฮัป 16 ต.ค. 2568)

https://www.chosun.com/english/national-en/2025/10/20/PZ54UG56DNFZZC625P3LS7HFY4/ (64 Repatriated Koreans Suspected in Voice Phishing, Romance Scams : The Chosun Daily 20 ต.ค. 2568)

https://www.naewna.com/local/902065 (‘โฆษก ตร.’เตือนคนไทยอย่าหัวร้อน แนะให้แยกแยะ หลังมีคลิปทำร้ายคนกัมพูชาในไทย : แนวหน้า 25 ก.ค. 2568)

https://koreajoongangdaily.joins.com/news/2025-10-16/national/socialAffairs/Korean-backlash-against-Cambodia-hits-visitors-residents-alike-/2421635 (Korean backlash against Cambodia hits visitors, residents alike : Korea JoongAng Daily 16 ต.ค. 2568)

https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/globalcommunity/20251020/labor-minister-rejects-calls-to-cut-cambodian-worker-quota-after-kidnappings (Labor minister rejects calls to cut Cambodian worker quota after kidnappings : The Korea Times 20 ต.ค. 2568)

https://www.workpointtoday.com/work-2 (รัฐบาลเตือนหางานทำต่างประเทศผ่านออนไลน์ต้องระวัง หลังพบถูกหลอกไม่ตรงปกเจอกักขังเรียกค่าไถ่ : Today 28 ส.ค. 2565) 

https://mgronline.com/crime/detail/9680000098029 (ผบ.ตร.สั่งสอบขยายผลล่าขบวนการหลอกคนไทยทำงานประเทศเพื่อนบ้าน เตือนปชช.อย่าหลงเชื่อรายได้สูงเกินจริง : ผู้จัดการ 14 ต.ค. 2568)

https://web.facebook.com/photo/?fbid=1213779300786633&set=a.595089259322310&locale=th_TH (สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง เตือนคนไทย วันที่ 7 ต.ค. 2568)

https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/214834/ (เปิดสถิติช็อก 220,000 คนจาก 66 ประเทศ ติดกับแรงงานไซเบอร์เมียนมา-กัมพูชา : TNN Thailand 21 ต.ค. 2568)

 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568

นักข่าวกัมพูชาอ้างคลิปหญิงไทยร่ำไห้ ติดต่อลูกชายไม่ได้จากเหตุปะทะชายแดน แท้จริงคลิปเก่าเหตุ สตง. ถล่ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ckgemdg8zqvs


ทำใบขับขี่ออนไลน์ ถูกกฎหมาย ไม่ต้องสอบเอง ติดต่อเพจ ทำใบขับขี่แบบเร่งด่วน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bmfbklhzfyqo


คลิปพิธีศพทหารในป่า อ้างว่าเป็นทหารไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31iagpioxdvpu


หลอดเลือดตีบรักษาด้วยการฟอกเลือด และกระตุ้นการไหลเวียน ช่วยลดการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2upkbcdezupsi#_=_


4 เขื่อนเจ้าพระยา ปริมาณน้ำ 95% ภาคใต้ฝนหนัก เสี่ยงน้ำหลาก[29-31 ตค.68 ]

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2iny2clx1dfix


อ.เจษฎ์-หมอแล็บเตือน ก๊าซพิษจาการจุดเตากินหมูกระทะในบ้าน หมดสติ 4 คน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ps7e4trdx2sf


ผวา! ซูชิเรืองแสงได้ ไม่ควรกิน และควรทิ้งไปทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1so3wp5fefiw0


“เชียงใหม่” ฝนตกหนัก-น้ำป่าหลาก สั่งปิด “น้ำตกแม่สา” ชั่วคราว[2พย.68]

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3gylro2sz8mbm


3 พ.ย. “คนละครึ่งพลัส” เปิดให้ร้านค้าผูกเดลิเวอรี เริ่มใช้สิทธิ 7 พ.ย.68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ux5n8phxwizs


เสื้อเกราะกันกระสุน มีวันหมดอายุ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/67o27lx24g2q


เตรียมประกาศใช้มาตรฐาน เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jgj0soxtkik4


ติดดมยาดม ก็อันตรายต่อสุขภาพได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vh4u37y0l3hg

คลิปไฟไหม้ในซาอุดิอาระเบีย ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์อิหร่านโจมตีอิสราเอล

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปความเสียหายในเมืองเทลอาวีฟของอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่าน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Kayla Khafifah Hamdiy” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้อาคาร ในคลิปฝังรูปธงชาติอิสราเอลและชื่อเมืองเทลอาวีฟเป็นภาษาอังกฤษ และมีคำอธิบายคลิปว่า “Iran vs Israel” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวเคยถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 ในบัญชีติ๊กตอกโดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ Jeddah Sarawat Supermarket ซึ่งเป็นตลาดในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย

สื่อมวลชนในโลกอาหรับต่างรายงานข่าวไฟไหม้ครั้งนี้ เช่น สำนักข่าว Al-Marsad สื่อท้องถิ่นในซาอุดิอาระเบีย พาดหัวข่าวเป็นภาษาอาหรับใช้เครื่องมือแปลภาษาแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “หลังคาตลาดนานาชาติเจดดาห์ถล่มจากเหตุไฟไหม้ใหญ่เช้านี้” พร้อมภาพนิ่งและคลิปความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ในย่าน Al-Rawdah เมืองเจดดาห์ช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ย. 2567 ซึ่งลักษณะอาคารและประตูทางเข้าที่เขียนว่า “Gate 4” นั้นเหมือนกับคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพความเสียหายในเมืองเทลอาวีฟจากการโจมตีของอิหร่าน 

เปรียบเทียบภาพจากคลิปที่อ้างเท็จว่าเป็นภาพความเสียหายของเมืองเทลอาวีฟจากการโจมตีของอิหร่าน กับภาพประกอบในรายงานข่าวสื่อซาอุดิอาระเบียกรณีเหตุไฟไหม้ที่ตลาดนานาชาติเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เห็นได้ว่าเป็นสถานที่และเหตุการณ์เดียวกัน

สำนักข่าว Cairo24 ของอียิปต์ รายงานข่าวในวันเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย ระดมรถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อสกัดเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้ตลาดนานาชาติ โดยมีภาพมุมกว้างและภาพซุ้มประตูซึ่งถูกเพลิงไหม้ ที่มีลวดลายลักษณะเดียวกันคลิปที่อ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์ในอิสราเอลเช่นกัน

กระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียระบุ ยาดมสมุนไพรเป็น “สิ่งของต้องสำแดง” ก่อนเข้าประเทศ  

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมสมุนไพรเข้าประเทศโดยมีภาพประกอบเป็นยาดมกระปุกพลาสติกสีเขียวยี่ห้อหงส์ไทย พบว่าเป็นเนื้อหาจริง โดยกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ของออสเตรเลีย ยืนยันกับโคแฟคว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นสิ่งของต้องสำแดง ณ สนามบินทุกแห่งก่อนเข้าประเทศตามกฎหมายออสเตรเลีย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กโพสต์ข้อความในกลุ่ม “Thai Community in Perth Western Australia” เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมเข้าประเทศ พร้อมแนบรูปยาดมสมุนไพรแบบกระปุกของไทยและอ้างว่าก่อนหน้านี้เคยนำเข้าประเทศได้แต่ปัจจุบันถูกเจ้าหน้าที่ยึดทิ้ง และอนุญาตให้นำยาดมแบบน้ำหรือน้ำมันเข้าประเทศได้เท่านั้น โพสต์นี้มียอดแชร์มากกว่า 1,000 ครั้ง และมีผู้แสดงความคิดเห็นมากกว่า 500 ข้อความ โดยบางส่วนอ้างว่าอาจเพราะยาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงมีเชื้อรา หรืออาจเป็นเพราะว่ามีส่วนประกอบของพืชต่างถิ่น

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคส่งอีเมลไปสอบถามกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ของออสเตรเลีย (Department of Agriculture, Fisheries and Forestry–DAFF) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ ซึ่งได้ตอบกลับมาเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งจากประเทศไทยนั้นจัดอยู่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องหอม ดอกไม้แห้ง และสมุนไพรแห้ง (Potpourri) ซึ่งมีส่วนประกอบของเมล็ดพันธุ์ ฝัก และส่วนอื่น ๆ ของพืชซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงทางชีวภาพสูง ผู้โดยสารที่นำยาดมสมุนไพรแบบแห้งติดตัวมาด้วยจะต้องสำแดงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรของทุกสนามบินในออสเตรเลียตรวจสอบ ไม่จำกัดเพียงแค่ที่สนามบินเพิร์ธเท่านั้น และหากตรวจพบเจ้าหน้าที่อาจกำจัดทิ้งหรือจัดการตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้ชี้แจงว่าเริ่มใช้นโยบายนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เข้มงวดขึ้นหรือไม่  

บทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สถานกงสุลใหญ่ของไทย ณ นครซิดนีย์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2565 ระบุว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีมาตรการการนำสิ่งของเข้าประเทศที่เข้มงวด เนื่องจากสัตว์ พืช และอาหารบางชนิดจากต่างประเทศอาจนำวัชพืชหรือโรคร้ายเข้ามาในออสเตรเลียได้ ซึ่งอาจส่งผลทำลายอุตสาหกรรมการเกษตร การท่องเที่ยวอัน และสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ

ตรวจสอบรายการสิ่งของที่อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำเข้าออสเตรเลียได้ ที่นี่ และ ที่นี่

อย. สุ่มตรวจพบการปนเปื้อนในยาดมหงส์ไทย

ช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่โคแฟคได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียเกี่ยวกับการนำยาดมสมุนไพรเข้าประเทศนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 เลขทะเบียนที่ G 309/62) เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 ระบุว่าพบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ยีสต์ และเชื้อราเกินมาตรฐาน พร้อมแนะประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ในรุ่นการผลิตที่ตรวจพบการปนเปื้อน

อย. ระบุว่าพบการปนเปื้อนเกินมาตรฐานในยาดมสมุนไพร สูตร 2 ตราหงส์ไทย เลขทะเบียนที่ G 309/62 พร้อมแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์รุ่นการผลิตที่มีปัญหา แต่ยังคงอนุญาตให้มีการจำหน่ายและใช้ยาดมรุ่นการผลิตอื่นได้ตามปกติ

“เชื้อจุลินทรีย์ รา ยีสต์ ที่ปนเปื้อนเกินปริมาณที่กำหนด อาจส่งผลต่อเสียต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้สูงอายุ หากสูดดมอาจได้รับอันตรายจากสปอร์ของเชื้อราและคลอสทริเดียม เพอร์ฟริงเจน เช่น ติดเชื้อทางเดินหายใจ หายใจลำบาก มีเสียงหวีด อาการไอ ปวดปาก และลำคอ” อย.ระบุในเอกสารข่าวแจกที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ และให้คำแนะนำ 3 ข้อเกี่ยวกับการซื้อและใช้ยาดมสมุนไพรดังนี้

1. เลือกซื้อยาดมที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. และห้ามซื้อยาดมที่ไม่มีเลขทะเบียนหรือไม่ระบุแหล่งที่มา

2. หลังเปิดใช้งานควรปิดฝายาดมให้สนิท เก็บในที่แห้ง อุณหภูมิห้อง และหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือสัมผัสกับส่วนผสมภายในเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์

3. ยาดมชนิดชิ้นส่วนสมุนไพรแบบห่อผ้าในกระปุกมีอายุการใช้งานสั้นกว่าชนิดอื่น ๆ หากพบว่ามีสีกลิ่นเปลี่ยนไปหรือพบสิ่งแปลกปลอม ควรหยุดใช้ทันที

“หงส์ไทย” ประกาศเรียกคืนสินค้าล็อตที่มีปัญหา

หลังจาก อย. เผยแพร่ผลการตรวจสอบ บริษัทผู้ผลิตยาดมสมุนไพร “หงส์ไทย” ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับผลตรวจผ่านเพจเฟซบุ๊ก “บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด -เพจสำนักงานใหญ่” ในวันที่ 28 ต.ค. 2568 และชี้แจงว่าได้ดำเนินการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ยาดม สูตร 2 รุ่นการผลิตที่ 000332 (วันที่ผลิต 09/12/2024 และวันที่สิ้นอายุ 08/12/2027) จำนวน 200,000 กระปุก จากท้องตลาดเพื่อทำลายทิ้ง

“บริษัทฯ ขอน้อมรับผลการตรวจสอบดังกล่าวด้วยความเคารพ และได้ดำเนินการเรียกคืนสินค้าทั้งหมดจากท้องตลาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้ประสานงานกับทาง อย. เพื่อดำเนินการทำลายสินค้าล็อตดังกล่าวให้เร็วที่สุด โดยทางบริษัทฯจะประกาศวันที่แน่ชัดให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงและยกระดับกระบวนการผลิตให้เข้มงวดขึ้น โดยเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพในทุกระดับ ผ่านการฆ่าเชื้อด้วย รังสี Ultraviolet เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดมีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน” บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ระบุในแถลงการณ์

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก “Thai Community in Perth Western Australia” เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมเข้าประเทศ พร้อมแนบรูปยาดมสมุนไพรแบบกระปุกของไทยนั้นมีเนื้อหาจริง เนื่องจากสอดคล้องกับคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียที่ระบุในอีเมลตอบกลับโคแฟคว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นสิ่งของต้องสำแดง ณ สนามบินทุกแห่งก่อนเข้าประเทศออสเตรเลีย เพราะจัดอยู่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องหอม ดอกไม้แห้ง และสมุนไพรแห้งที่มีส่วนประกอบของเมล็ดพันธุ์ ฝัก และส่วนอื่น ๆ ของพืชซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงทางชีวภาพสูง ผู้โดยสารที่นำยาดมสมุนไพรแบบแห้งติดตัวมาด้วยจะต้องสำแดงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรของทุกสนามบินในออสเตรเลียตรวจสอบ

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ช่างแซะ-โลภ-ซี้ซั้วเชื่อ’วงเสวนาชวน‘ตั้งสติ’รู้เท่าทันอารมณ์ร่วมสร้างโลกออนไลน์ให้ดีขึ้น

28 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน(สสย.) และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย จัดงานรณรงค์เนื่องในสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล MIDL WEEK 2025 ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า ณ ห้องประชุม ดร. เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีดิติทัลเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งพื้นที่แห่งโอกาส ความท้าทาย ตลอดจนอุปสรรคและปัญหา  การรู้เท่าทันสื่อ เท่าทันเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเป็นเรื่องจำเป็น และไม่ใช่แค่ทักษะแต่ต้องเป็นพลังแห่งปัญญา ในการช่วยให้เรารับข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและรับผิดชอบ

การจัดงานครั้งนี้ภายใต้แนวคิด ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า เป็นธีมที่สอดคล้องกับยูเนสโกด้วย จึงมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังเรื่อง สติ ปัญญา ความรับผิดชอบ 3 คำนี้จะช่วยให้เราเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์แทบจะมาประดิษฐ์ปัญญาแทนเราอยู่แล้ว เรากำลังตั้งคำถามว่าในชีวิตของเราจะตามทันไหม? จะฉลาดรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ไหม?รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า คนไทยเข้ามาสู่ยุคที่เราใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้นมากและแพร่กระจายไปกว่าร้อยละ 91.2 ของประชาชนคนไทย และใช้งานเฉลี่ย 7 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน รวมถึงใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดจนใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เฉลี่ย 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกทั้งสิ้น 

โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ใช้อินเตอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 99.2 ซึ่งเป็นเรื่องปกติเนื่องจากประชากรกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) แต่ในขณะที่เรากำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่อีกด้านก็มีความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เช่น ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ข่าวลวง (Fake News) การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) มิจฉาชีพที่อาศัยช่องทางออนไลน์ก่อเหตุ เป็นต้น

มาย้อนดูผลกระทบทางด้านมิจฉาชีพออนไลน์ เราจะเห็นว่าผลของการใช้สื่อออนไลน์สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เราจะย้อนหลังกลับไป 3 ปี จะเห็นว่ามีอัตราการแจ้งความคดีเกี่ยวกับเรื่องของมิจฉาชีพกว่า 770,000 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จำนวนมากเลยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เขาถึงสื่อออนไลน์ ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล หรือ Media Information Digital Literacy เรียกย่อๆ ว่า MIDL จึงเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญในโลกยุคนี้ ญาณี กล่าว 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ STAY SATI รู้ทัน องค์ ในใจ โดย เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน ฉายภาพของ คนช่างแซะ ที่คนคนหนึ่งอยู่ในสังคมจะแสดงออกในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่หลังจอก็อาจลืมตัว อะไรที่อยู่ในหัวก็ปล่อยออกมาหมด เช่น วิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย ภาษา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ สิ่งเหล่านี้บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ การเข้าถึงอาจไม่เพียงแต่อินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยี แต่ต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมทางสังคมด้วย สังคมที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ที่มีความหลากหลาย การล้อเลียน เช่น คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คนพูดสำเนียงเหน่อๆ พูดไม่ชัด คนที่แต่งตัวแล้วเรารู้สึกว่าเชยเหมือนคนบ้านนอก เรียกคนสูงอายุว่ามนุษย์ป้า ฯลฯ ดังนั้น เราอาจต้องเข้าใจการอยู่ร่วมกัน ผ่านการเข้าถึงข้อมูล  ข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น เท่าทันการอยู่ร่วมกับคนอื่น และเท่าทันอารมณ์ของตนเองว่าเรามีอคติอะไรหรือไม่ 

การเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ ถ้าเราไปเรียกเขาว่าแบบนี้เขารู้สึกอย่างไร กลุ่มชาติพันธุ์แบบหลากหลายมากเลย คือในกรุงเทพฯ เราอาจไม่เห็น แต่ถ้าเราไปอยู่ต่างจังหวัดเราจะเห็นแบบเผ่าม้ง เผ่าเมี่ยน เผ่าแม้ว เยอะแยะมากเลย ภาคใต้ก็มีชาติพันธุ์เยอะ เราอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนในสังคม ฉะนั้นการเข้าถึงตัวข้อมูลข้อเท็จจริง หรือความหลากหลายในสังคม หรือถ้าเราเรียกเขา LGBT (กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ก็มหลากหลายอีก ร่างกายเป็นแบบหนึ่ง สภาพ วิถี จิตใจ หรือการที่เขาใช้ชีวิตอยู่ หรือการใช้ภาษา บางคนพูดเหน่อ แต่จริงๆ ถ้าไปรู้ข้อมูล ศึกษาประวัติศาสตร์ คนพูดเหน่อกลายเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะภาคกลางเขาพูดภาษาหรือพื้นเมืองต่างๆ มาก่อน เข็มพร กล่าว 

พ.ต.ท.ประวิทย์ วงษ์เกษม รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ความโลภ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งไม่ใช่เฉพาะมนุษย์แต่ยังรวมถึงสัตว์ด้วย เช่น การสะสมอาหาร หรือคำว่า ความอยาก เมื่อเราเห็นหรือได้ยินก็เกิดความอยาก ความรู้สึกภายใน (Inner) ก็มา ดังนั้นทุกคนมีความโลภในตัว แต่ สติ เท่านั้นที่จะช่วยได้ เมื่อทุกคนมีสติก็จะเสพสื่ออย่างสร้างสรรค์ 

โดยหนึ่งในตัวอย่างบนโลกออนไลน์ที่ส่งผลกับความโลภคือ ็บพนัน ที่จะเห็นการโฆษณาตามสื่อต่างๆ หรือมี อินฟลูเอนเซอร์ คนดังบนอินเตอร์เน็ตมาบอกว่า เล่นแล้วได้จริง – ได้เยอะแต่ตนขอตั้งคำถามว่า เชื่อคำโฆษณาเหล่านี้จริงหรือ? เพราะไม่มีกิจการใดที่ยอมขาดทุน กิจการทำเพื่อกำไรแต่ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เข้าไปใช้งานแล้วก็โดนหลอก แต่เราไปรู้สึกเชื่อกับสิ่งที่เขาบอกง่ายเกินไป คิดว่าทุกสิ่งบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องจริงไปหมด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

ถ้าเรารู้ตัวเองก่อนว่าความโลภมันอยู่ใน DNA ของเรา คือทุกคนจะชอบโลกสวย บอกว่าฉันไม่โลภ ฉันสมถะ แต่ไม่ใช่ มันอยู่ใน DNA ของทุกคน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน เข้าใจตัวเองก่อน ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราไปเจอสื่ออะไร ันจะต้องไม่โลภนะแล้วสะกดใจตัวเองไว้ ให้มีสติ นี่ละสำคัญ แต่ถ้าบอกตัวเองฉันไม่โลภๆ แต่โดดใส่ทุกอันเลย เล่นพนันไป ชวนลงทุนไป เรียบร้อยเพราะไม่รู้ตัวเอง ต้องรู้จักตัวเองก่อน มีสติกับตัวเองก่อน แล้วพอเห็นอะไรตัวเองจะเข้าใจมัน พ.ต.ท.ประวิทย์ กล่าว 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตว่า การที่หลายคนรับข้อมูลแล้วเชื่ออะไรต่างๆ โดยง่าย อาจเป็นเพราะยุคนี้เรายุ่งกับการต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน (Multitask) จนไม่ทันได้ใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์ เมื่อมีข้อมูลที่ตรงกับจริตของเราก็พร้อมจะเชื่อทันที เช่น มิจฉาชีพโทรศัพท์มาหาในขณะที่เรากำลังทำงานแล้วเรายังไม่ทันตั้งสติ ตกใจแล้วก็เผลอเชื่อไป เพราะสิ่งนั้นตรงกับความโลภหรือความกลัวของเรา 

แต่ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกในเวลานี้ หลายอย่างที่ทำให้ปัญหาดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งคือการที่เราไม่รู้จริงๆ ทำให้เชื่อและส่งต่อด้วยความหวังดี หรือ Misinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลคลาดเคลื่อนโดยไม่มีเจตนาร้าย แต่ส่วนใหญ่ข่าวลวงคือ Disinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลบิดเบือนโดยมีเจตนาร้าย ภายใต้แรงจูงใจไม่ว่าทางการเมือง ทางธุรกิจ ทางชื่อเสียง ฯลฯ ซึ่งในฐานะผู้รับสาร การไม่นำหลักคิดเรื่อง MIDL มาจับก็จะทำให้เราเป็นคนเชื่อง่าย เพราะสอดคล้องกับอคติของเรา 

ทุกครั้งก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เราจะต้องไม่ใช่แค่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเดียว ยุคนี้เราต้องตรวจสอบอารมณ์ด้วย เพราะงานวิจัยหลายชิ้น ข่าวลวงหลายข่าวมันไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว มันสัมพันธ์กับอารณ์ความรู้สึก พูดง่ายๆ ต่อให้มันจริงฉันก็อยากจะเชื่ออย่างนี้ เพราะมันตรงกับจริตความชอบ – ความชัง หรืออคติยืนยันของเรา ตรงนี้มันก็ทำให้ องค์ซี้ซั้ว จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะว่าฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่เพราะมันตรงกับอารมณ์ความรู้สึกเรา มันก็พร้อมทำให้เราเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมไป ซึ่งมันไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบกับตัวเราเองที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่มันกระทบต่อสังคมภาพรวมด้วย สุภิญญากล่าว