AI เขย่าโลกสื่อ: เมื่อ ‘ความเร็ว’ คือเดิมพัน และ ‘มนุษย์’ คือผู้คุมเกม

ภูมิทัศน์สื่อ (Media Landscape) กำลังถูกเปลี่ยนนิยามใหม่ด้วยความเร็วที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การมาถึงของ Generative AI ไม่ใช่แค่การ Disrupt แต่มันคือการ “เปลี่ยน” กฎของเกมทั้งหมด โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ที่ทะยานขึ้นเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดอันดับ 5 ของโลก แซงหน้ายักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานับสิบปี ทั้งที่เป็นระบบสมัครสมาชิก (Subscription-based) สิ่งนี้คือสัญญาณเตือนว่า ใครก็ตามที่ไม่ปรับตัว กำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างถาวร

บทความนี้สรุปประเด็นสำคัญจากรายการ Media Code โดยคุณก้าวโรจน์ สุตาภักดี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อให้คนในวงการสื่อเห็นภาพว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่กำหนดผู้แพ้-ผู้ชนะในสนามรบ Content วันนี้

AI: ไม่ใช่แค่ ‘เครื่องทุ่นแรง’ แต่คือ ‘ตัวคูณ’ โอกาสทางธุรกิจ

หัวใจของ AI ในงานสื่อมีเพียง 2 ข้อ คือ ลดเวลา และ เพิ่มโอกาส/รายได้ คุณก้าวโรจน์ สุตาภักดี ได้สาธิตให้เห็นว่า AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนให้เสร็จสิ้นในหลักนาที:

● สร้างภาพเสมือนจริง (Image Generation): เทคโนโลยีอย่าง Nano Banana ของ Google สามารถเปลี่ยนภาพคนธรรมดาให้กลายเป็นภาพระดับ “พระเอกเกาหลี” ได้ใน 2 นาที นี่คือเครื่องมือสร้างสรรค์และในขณะเดียวกันก็คือความท้าทายด้านข่าวปลอมที่ต้องรับมือ

● โคลนเสียง (Voice Cloning): จากที่เคยต้องใช้ไฟล์เสียงต้นฉบับหลายชั่วโมง ปัจจุบันต้องการเพียง 60 วินาที เพื่อโคลนเสียงที่แม่นยำ และเมื่อนำไปผสานกับวิดีโอด้วยเครื่องมืออย่าง Gen-2 จะสามารถลดกระบวนการผลิตที่เคยใช้เวลา 4 ชั่วโมง ให้ เหลือเพียง 10 นาที

ความสามารถเหล่านี้คือการปลดล็อกศักยภาพการผลิตคอนเทนต์ในสเกลที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

กรณีศึกษา TNN: พลิก Workflow ห้องข่าว สู่ยุค ‘Content Automation’

TNN ได้นำ AI เข้ามาผนวกกับกระบวนการทำงานจริง เพื่อแก้ปัญหาคอขวดในการผลิตคอนเทนต์สั้น (Snack Content) ที่ต้องป้อนหลายแพลตฟอร์ม

● กระบวนการเดิม: การผลิตคลิปสั้น 1 คลิป ต้องใช้ทีมงานครบชุด (พิธีกร, ช่างกล้อง, โปรดิวเซอร์) และสตูดิโอ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง

● AI Solution: TNN เปลี่ยนวิธีโดยให้พิธีกรเข้ามา “อัดลุค” (ภาพลักษณ์) เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถสร้างรูปแบบได้ถึง 300 แบบ หลังจากนั้น พิธีกรไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศอีก เพียงส่งสคริปต์และอัดเสียง (Voice Over) จากสมาร์ทโฟน แล้วให้ AI จัดการแมตช์ภาพและเสียงเข้าด้วยกัน

● ผลลัพธ์: ลดเวลาการผลิตต่อคลิป เหลือเพียงหลักนาที โดยยังคงกระบวนการยืนยันตัวตนและขอความยินยอม (Consent) จากเจ้าของเสียงและภาพ เพื่อรักษามาตรฐานทางจริยธรรม

‘Human-in-the-Loop’: ทำไมมนุษย์ยังเป็นหัวใจในสมการ AI

แม้ AI จะสามารถทำงานได้อัตโนมัติเต็มรูปแบบ เช่น กรณีศึกษา “หลวงตาบุญจริง” ที่ใช้บอทค้นหาบทสวด สร้างสคริปต์ และโพสต์ลง TikTok เองทั้งหมด แต่มนุษย์ยังคงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ใน 2 จุดยุทธศาสตร์สำคัญ:

1. จุดเริ่มต้น (Initiative): มนุษย์คือ ผู้กำหนดกลยุทธ์ ว่าจะใช้ AI เพื่อ “ลดอะไร” หรือ “เพิ่มอะไร” AI เป็นเครื่องมือ แต่มนุษย์คือผู้บัญชาการ

2. จุดตรวจสอบ (Verification): มนุษย์คือ ปราการด่านสุดท้ายในการตรวจสอบความถูกต้องและจริยธรรมของเนื้อหาก่อนเผยแพร่ ความรับผิดชอบสุดท้ายยังคงอยู่ที่มนุษย์

AI อาจมี Global Ethics ในตัว แต่จรรยาบรรณสื่อในบริบทของแต่ละสังคมยังเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องกำกับดูแล

วิกฤตใหม่ที่น่ากลัวกว่าเทคโนโลยี: ‘AI Gap’ และสงคราม ‘การรับรู้’

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่คือ วิธีคิดของผู้รับสาร สังคมกำลังเผชิญกับ AI Gap ซึ่งเป็นช่องว่างทางความรู้ที่น่ากลัวกว่า Digital Gap ในอดีต ผู้คนจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะ เลือกเชื่อ ข้อมูลที่สอดคล้องกับอคติหรือความเชื่อเดิมของตนเอง (Perception) แม้จะรู้ว่าข้อมูลนั้นอาจสร้างจาก AI ก็ตาม

นี่คือสนามรบใหม่ของข่าวปลอม ที่ Deepfake และ Misinformation สามารถเข้าถึงคนทั้งประเทศผ่านสมาร์ทโฟน โดยที่หลายคนยังขาดทักษะการรู้เท่าทัน

ทางรอดของคนสื่อและสังคม: ต้องทำอะไร?

ความเร็วของ AI บังคับให้ทุกคนต้อง “เก็บคอ งอเข่า” เพื่อเตรียมรับแรงปะทะ

สำหรับคนทำสื่อ:

● เรียนรู้และอยู่กับมัน: ต้องลงมือใช้เครื่องมือ AI ให้เป็น และใช้ประสบการณ์ของมนุษย์ในการกำกับดูแล

● ทำให้เป็น Norm: ทักษะ AI กำลังจะกลายเป็นทักษะพื้นฐาน เหมือนการใช้โซเชียลมีเดียในทศวรรษก่อน

● สร้าง Human Touch: ในวันที่คอนเทนต์ถูกผลิตได้ราวกับสายน้ำ สิ่งที่จะมีค่าที่สุดคือ “สัมผัสของความเป็นมนุษย์” ที่ AI ไม่สามารถลอกเลียนได้

สำหรับประชาชนทั่วไป:

● อย่าตื่นตระหนก: AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแล้วอย่างเงียบๆ

● เปลี่ยนจาก “เช็กก่อนแชร์” เป็น “เช็กก่อนเชื่อ”: นี่คือกฎเหล็กข้อใหม่ เพราะก่อนที่เราจะแชร์อะไรออกไป เราได้ผ่านกระบวนการ “เชื่อ” มาก่อนแล้ว ดังนั้น การตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเองเป็นด่านแรก คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในยุค AI

จาก‘14ตุลา16’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา68’สังคมไทยยังติดหล่มความคิด‘เห็นต่างคือศัตรู’

14 ต.ค. 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว” ร่วมจัดโดยภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ Ubon Connect  EP21 ชวนพูดคุยในหัวข้อ “บทเรียนการตรวจสอบข้อมูล 14 ตุลา 16 ถึง 68 จุดเหมือน : จุดต่าง” โดย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า ปัจจุบันตนอายุ 74 ย่าง 75 ปีแล้ว ได้รับรู้ความจริงบางอย่าง ตนยังรู้สึกสนุกกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่มีความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เลือกตามในสิ่งที่ตามได้ อะไรที่ตามไม่ได้ก็อาศัยลูกช่วย ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 

1.กระแสของสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้การรับรู้ความจริงคงไม่พอ เพราะในความจริงบางครั้งก็มีปัญหาความเกลียดชัง (Hate Speech) ปัญหาของสื่อที่ไม่ตรงกับความจริง (Fake News) อิทธิพลของคนดังบนโลกออนไลน์ (Influencer) ดังนั้นแล้ว นอกจากรับรู้ความจริงยังต้องรู้เท่าทันด้วย รับรู้สื่อในกระแสต่างๆ ที่มีความหลากหลาย นักวิชาการบุคคลมีชื่อเสียงที่ออกมาพูดมีหลากหลาย แม้กระทั่งข่าวที่เจาะสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ก็ต้องใช้กระบวนการคิดว่าอะไรจริง – ไม่จริง ถูก – ไม่ถูก เป็นเรื่องท้าทายกระบวนการคิดและจิตสำนึกของเราพอสมควร การเสพสื่อในปัจจุบัน ประการแรกจึงต้องรู้เท่าทัน มีข้อมูลองค์ความรู้ที่ชัดเจน 

2.สังคมไทยติดกับดักหรือหลุมพราง โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีล่าสุด อย่างช่วงที่ทำงานเรื่องปฏิรูปสื่อ มีการตั้งความหวังไว้มากเรื่องวิทยุชุมชน นำไปสู่กระแสของการเกิดสื่อชุมชนขึ้นจำนวนมากและปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แต่องค์กรที่เข้ามาจัดการ เช่น กสทช. หรือ ThaiPBS ก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ เพราะปัญหาในสังคมไทย อย่างตนเคยเป็น สว. ช่วงปี 2543 – 2549 ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร (ปี 2549) เป็นช่วงที่สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง คืออยู่ในวังวนของสังคมที่เกิดความคิดเห็นแตกต่างและมีความขัดแย้งกันมาก 

ทั้งนี้ ความแตกต่างหรือความขัดแย้งมิได้เป็นปัญหาในตัวของมันเอง เพราะเราอยู่ในยุคแห่งความหลากหลาย แต่วิธีการเข้าถึงความคิดเห็นที่แตกต่าง สังคมไทยติดกับดักของคู่ตรงข้าม..คือมองคนเห็นางเป็นศัตรู ต้องกำจัดหรือขับไล่ออกไป เกิดลัทธิคลั่งชาติและชังชาติ หรือแม้แต่นำไปสู่การทารุณกรรม อย่างที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตนจึงเห็นว่าสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนผ่านและเป็นจุดที่อันตรายมาก ยิ่งในปัจจุบันที่มีความขัดแย้งหลากหลายเกิดขึ้น 

โดยสรุปแล้วประการที่ 2 คือไทยหนีไม่พ้นกระแสชาตินิยม ซึ่งก็ไม่ต่างจากในกัมพูชา หรือในประเทศในกลุ่มประชาคมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกแต่รับลัทธิอาณานิคมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นชาตินิยมที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นเรื่องของรัฐประชาชาติ การเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ในขณะที่เรายึดถือชาตินิยมแบบยึดวัตถุที่เราเห็นว่าถูกต้อง เช่น ประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มองเป็นสรณะในการต่อสู้ช่วงชิง ซึ่งไม่เชิงเป็นความผิดของเรา แต่สังคมไทยยังก้าวไม่พ้น

และ 3.รูปแบบความรุนแรงที่เปลี่ยนไปในทางแย่ลง อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นความรุนแรงแบบดิบเถื่อน เป็นการฆ่าและทำร้ายร่างกายกัน ขณะที่ปัจจุบันเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง มีระบบโครงสร้างหลายอย่างที่ทำให้เกิดความรุนแรง เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อำนาจตุลาการที่ทำให้เกิดตุลาการภิวัฒน์ หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่ซุกซ่อนอยู่ในกระแสของสังคมไทย เช่น ความเป็นคนดีมีศีลธรรม แล้วมองคนอื่นว่าเป็นคนเลวที่ต้องจัดการให้หมดไป 

ดังที่ เจมส์ ไวส์ (James Wise) อดีตอดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยเขียนเล่าไว้ในหนังสือ Thailand : History, Politics and the Rule of Law (ประวัติศาสตร์ การเมือง และหลักนิติธรรมแบบไทยๆ) ว่า สังคมไทยยังยึดติดกับเรื่องของตัวบุคคล..ทั้งที่โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องปัญหาเชิงระบบโครงสร้าง มุมนี้น่าสนใจ ซึ่งจากทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว เป็นการสรุปของทั้ง 49 ปี 6 ตุลา 2519 หรือ 52 ปี 14 ตุลา 2516 หรือแม้กระทั่ง 93 ปี หากนับจากปี 2475 ที่ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย 

ทางออกจึงต้องเข้าใจว่าคนหนุ่ม – สาวยุคปัจจุบันคิดไม่เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า และทำความเข้าใจว่าสังคมที่มีความหลากหลายไม่ใช่สังคมที่ผิดปกติ แต่ความหลากหลายคือการยอมรับฟังความคิดเห็น ต้องทำให้คนหนุ่ม – สาวได้ยอมรับว่าในความเห็นต่างจะอยู่ที่วิธีการมาพูดคุยถกเถียงกันแล้วพยายามหาข้อสรุป ในทางกลับกันก็ต้องทำให้คนที่อายุมากแล้วยอมรับว่าสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การทำให้เกิดการรักชาติหรือคลั่งชาติจนเกินเลยเป็นสิ่งที่ทำร้ายสังคม เป็นการตัดตอนการพัฒนาของประเทศที่ต้องการความหลากหลาย

หรืออย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับคนที่ออกมาเตือนเรื่องการเปิดเครื่องเสียง ส่งเสียงผีหลอกในบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา สะท้อนว่าสังคมไทยยังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างความเกลียดชัง แต่การหลงเชื่อไปใช้วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรม ไม่ว่าการใช้เสียงหรือใช้ความรุนแรงนั้นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง แต่ต้องจัดการบนพื้นฐานของหลักกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จะทำให้การเจรจาดำเนินการต่อไปได้

การจะจัดการตรงนี้ได้ในทางการเมืองก็ต้องเข้ามามีส่วนช่วยในการค้ำยัน แต่การเมืองไม่ควรจะเป็นเรื่องของการที่มาทำตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นการปลุกกระแสในเรื่องของการต้องทำให้เกิดการรับฟังความเห็นประชามติเรื่องของ MOU ซึ่งเป็นการมาโยนความรับผิดชอบให้ประชาชน หรือกระแสในการที่ต้องมีจุดยืนในการเมืองที่ชัดเจนว่าเราต้องการสันติสุข การเจรจา การพูดคุยที่เป็นทวิภาคี แล้วตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกพี่ที่โตกว่าัมพูชา ที่เราก็รู้ว่าเขาพยายามใช้ทุกวิถีทางจัดการ นพ.นิรันดร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากนับจนถึงปัจจุบัน ณ ปี 2568 เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็ผ่านมาแล้ว 52 ปี เทียบกับอายุขัยของมนุษย์ถือว่ากำลังเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัย เป็นบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ขณะที่สังคมไทยของเราที่มีทั้งความเห็นว่าวนอยู่ที่เดิม ดีกว่าเดิม หรือแม้แต่หนักกว่าเดิม ซึ่งการพูดคุยในครั้งนี้เป็นการย้อนดูว่าในช่วง 50 ปีผ่านมาเได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การเมืองการปกครองและอื่นๆ แต่ในภาพรวมปัญหาบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ 

ทั้งนี้ หากมองไปที่เรื่องข้อมูลข่าวสาร เมื่อ 50 ปีก่อนโจทย์คือการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ การถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ สื่อโทรทัศน์ถูกเซ็นซอร์ สื่อหนังสือพิมพ์ถูกล่ามโซ่ คำถามคือผ่านมา 50 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเพียงใด จึงอยากทบทวนความหลังเพื่อหันมามองปัจจุบัน ที่นอกจากจะขัดแย้งกันเองแล้วยังมีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเด็นไทย- กัมพูชา หรือแม้แต่มองไปในระดับโลก สงครามข่าวสารเกิดขึ้นร้อนแรงไม่แพ้สงครามที่สู้รบกันจริงๆ จนหลายคนเบื่อหน่ายไม่อยากรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ถึงขนาดที่ซึมเศร้าไปก็มี 

อินเตอร์เน็ตที่หลายคนเคยคิดว่าเป็นพื้นที่แห่งอิสรเสรีภาพ กลับกลายเป็นพื้นที่ของด้านมืดมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อการพุดคุยในครั้งนี้จึงเป็นการมองการตรวจสอบข้อมูลจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนการรับมือกับสงครามข้อมูลที่รวมทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก เรื่องที่พูดกันอาจไม่ใช่ความเท็จ (Fake) ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องเล่า (Narrative) หรือวาทกรรม เป็นตำอธิบายที่ผสมเรื่องจริงกับความคิดเห็น กลายเป็นชุดความคิดที่ครอบงำและนำไปสู่การต่อสู้กัน ซึ่งในจุดนี้การนำข้อเท็จจริงบางอย่างไปแย้งก็เป็นเรื่องยาก คือเป็นวิธีคิดเชิงวัฒนธรรม

สำหรับบทเรียนของโคแฟคคือเป็นเรื่องที่แก้ยากมาก แต่ก็ต้องแก้กันต่อไปเพราะรู้ว่าบางทีข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนใจคนได้ แต่ก็กำลังหาอยู่ว่าแล้วอะไรจะเปลี่ยนใจ หมายถึงให้คนกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ข้อเท็จจริงไม่ว่าทางไหน ตอนนี้ก็สู้กันอยู่ระหว่างชาตินิยมสุดโต่ง แล้วอีกฝ่ายหากไม่ถูกจัดเป็นกัมพูชาก็ถุกมองเป็นพวกโลกสวย ซึ่งจริงๆ น่าจะมี่จุดร่วมที่จะมาหาทางร่วมกันได้หรือไม่ เช่น ควรพุ่งเป้าไปที่การสืบค้นความเชื่อมโยงของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอรื ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ คือพุ่งเป้าที่ผู้มีอำนาจในกัมพูชา ไม่ใช่ต่อคนเล็กคนน้อย 

ประชาชนก็คือประชาชน ท้ายที่สุดแล้วก็ลำบากทั้งคู่ไม่ว่าประชาชนไทยหรือกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเราพุ่งตรวจสอบไปที่ผู้มีอำนาจอย่างน้อยมันก็สะเทือนเขา แต่ตอนนี้เหมือนกระแสชาตินิยมเหมือนทำให้เราเกลียดคนที่เป็นประชาชนตาดำๆ ชาวกัมพูชา ซึ่งก็ไม่รู้จะเกลียดทำไมเพราะว่าเขาก็ลำบากแลอยู่ในประเทศที่มีลักษณะแบบนี้ เขาก็น่าจะลำบากกว่าเรา สุภิญญา กล่าว 

ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร สส. ของพรรคในการเลือกตั้งปี 2566

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เลือกตั้งปี 2566 เพื่อไทยส่ง สส. ลงสมัครไม่ครบ 400 เขต เพื่อเปิดทางให้ “พรรคส้ม”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลไม่ถูกต้อง พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตในการเลือกตั้งปี 2566**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 12 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “อั้ม อิราวัต อารีกิจ” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 3 แสนราย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 โดยระบุว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยแพ้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนั้นเพราะ “พรรคเพื่อไทยส่งคนไม่ครบทุกเขต บางเขต เลี่ยงให้ส้มชัดเจน..” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากฐานข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2566 ทั้งของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคเพื่อไทย และการรายงานของสื่อมวลชนระบุตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร สส. ครบทั้ง 400 เขต ดังนี้

จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งสองแบบเลือกตั้ง จำแนกตำมพรรค (ที่มา: ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566)
  • วันที่ 13 พ.ค. 66 หรือหนึ่งวันก่อนวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทยโพสต์ภาพผู้สมัคร สส.เขต 400 คนทั่วประเทศพร้อมข้อความ “ทำการบ้านก่อนเข้าคูหา กาเพื่อไทยรวบตึงเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.เขต 400 คนทั่วประเทศ”

📌 ข้อสรุปโคแฟค: ข้อความที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “อั้ม อิราวัต อารีกิจ” ที่ระบุว่าในการเลือกตั้งปี 66  “พรรคเพื่อไทยส่งคนไม่ครบทุกเขต” นั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งของ กกต. และพรรคเพื่อไทยพบว่าพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ครบทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2568

คลิปประท้วงขับไล่ “ฮุน เซน” ในกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v09q0xwattrm#_=_


อีลอน มัสก์ แถลงการณ์ฉุกเฉิน เตือนภัยจากวัตถุ 31/ATLAS อาจเป็นยานแม่ของเอเลี่ยน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gxzkds2te4vf#_=_


คลิปโยนศพทหารกัมพูชาลงบ่อโคลน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s87ew7llqe3e


คลิปไฟไหม้โกดังใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1onzepflc0un#_=_


แช่น้ำเย็นจัดติดต่อกัน 7 วัน จะเกิดผลดีต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11ik2jwg72csp


คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมในไทยวันที่ 4 ต.ค. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28x1jkapnyn33


คลิปตึกร้าวและสั่นในกรุงเทพฯ บริเวณใกล้หลุมยุบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qsa10ps6z4f2


คลิปน้ำท่วมใหญ่ใน “ประเทศใกล้กัมพูชา”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3r5nr9vapp14


 อย. สั่งระงับ ครีมกันแดด 2 ยี่ห้อ หลังพบค่า SPF ไม่ตรงตามโฆษณา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/h7okpsiwn5r#_=_


 “ปูใบ้แดงลาย” หรือ “ปูใบ้เกล็ด” ดเป็นหนึ่งใน “ปูพิษ” ที่มีสารพิษรุนแรง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nk4247xxp1jp


 มอเตอร์เวย์ M81 วิ่งฟรี! เปิดครบ 8 ด่าน รับวันหยุดยาว 10-14 ต.ค. นี้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6dak5rt4u3gq#_=_


“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lrk9yjgdqocr


ภาพน้ำท่วมในเม็กซิโกถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็น “น้ำจากเวียดนามไหลท่วมกัมพูชา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมที่เม็กซิโก**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “กูนึกแล้ว” โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์กระแสน้ำไหลหลากรุนแรงเข้าท่วมถนนและซัดรถยนต์เสียหาย พร้อมข้อความบรรยาย “น้ำจากเวียดนามไหลท่วมกัมพูชา 8 ตุลาคม 68” และ “ขอบคุณพลังมหาศาลของน้ำที่ไหลทะลักเข้าใส่ประหนึ่งว่าโกรธแค้นกันมาเป็นร้อยปี ท่วมให้มิด ให้มันย่อยยับ พังพินาศ และล่มสลายไปในที่สุด ปล แอดไม่มีมนุษยธรรมอยู่แล้วสำหรับเขมร ไม่สงสาร ไม่เห็นใจ” โพสต์นี้มียอดการเข้าชมกว่า 4 แสนครั้งและแชร์ต่อเกือบ 500 ครั้ง (ณ วันที่ 10 ต.ค. 2568)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพ พบว่าสำนักข่าว The Daily Guardian ของอินเดียโพสต์คลิปในแพลตฟอร์ม X เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2568 ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมที่เมือง Querétaro ในประเทศเม็กซิโกเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2568  โดยช่วงหนึ่งของคลิปมีภาพรถสีขาวที่มีตัวอักษร “IZZI” ติดอยู่ที่ประตูรถ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบแล้วพบว่า IZZI เป็นชื่อบริษัทให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในเม็กซิโก 

ก่อนหน้านี้ คลิปวิดีโอนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพน้ำท่วมในเท็กซัสและภาพน้ำหลากจากอิทธิพลของพายุวิภาในฟิลิปปินส์ ซึ่ง AFP Fact Check ได้ตรวจสอบคลิปนี้และใช้ Google Street View ระบุตำแหน่งของสถานที่ในคลิปได้ว่าเป็นถนน Calle Río Culiacán ในเมืองเกเรตาโรของเม็กซิโก ทางด้าน Rappler สื่อดังของฟิลิปปินส์ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการนำคลิปวิดีโอน้ำท่วมในเม็กซิโกมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพน้ำท่วมจากอิทธิพลของพายุวิภาเมื่อ 24 ก.ค. 2568

Thailand–Cambodia Border Conflict: ‘Information Warfare’ Sparks Concerns Over People Sharing False but Appealing Content


On September 17, 2025, the Cofact (Thailand) Coalition, in partnership with the Faculty of Humanities and Social Sciences at Burapha University, the Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth – SSS), the National Press Council of Thailand, ChangeFusion Institute, the Friedrich Naumann Foundation (Thailand), the Centre for Humanitarian Dialogue (HD), Tratpost News, The Reporters, and ThaiPBS, organized the 29th Digital Thinkers Forum (Regional #1/2568) on the topic “Information Warfare and Online Battlefronts: Lessons Learned from Journalism of Truth in the Thailand-Cambodia Border Conflict Case” at the Pibulsongkram Room, 60th Anniversary of Her Majesty the Queen Building 2, Faculty of Humanities and Social Sciences, Burapha University, Chonburi Province.

Assoc. Prof. Dr. Suchada Pongkittiwiboon, Dean of the Faculty of Humanities and Social Sciences at Burapha University, said that the Thailand-Cambodia border phenomenon might seem distant from Burapha University, but the information and news we receive make it feel close because it penetrates and follows us everywhere. Therefore, we will learn from the information warfare phenomenon and how to adapt ourselves to live in a digital society where information comes from many directions.

“This forum represents important cooperation between higher education institutions and relevant agencies in creating a learning society together to become media literate, preparing ourselves to coexist well with digital society. I think this forum will be an opportunity for us to exchange and learn, sharing experiences from various sectors. I believe we will gain perspectives and useful information for continuing to drive this work forward,” Assoc. Prof. Dr. Suchada stated.

Supinya Klangnarong, Co-founder of Cofact (Thailand) Coalition, said that even though we have conflicts, it would be difficult to move land or homes away from each other. Ultimately, there should be a way to return to coexisting. However, from the past conflict, the fighting wasn’t just between armies or soldiers, but there was also an intense online battlefield from both countries. Online warriors formed quickly and performed their roles, both organically and seemingly with preparation, or Information Operations (IO), along with the use of Artificial Intelligence (AI) technology to create fake images and voices (Deepfake), resulting in images or video clips that many people might be misled into believing.

“It’s not just the Thailand-Cambodia conflict. We’ve seen conflicts and wars breaking out everywhere around the world, and what follows from global phenomena is the same: Information Warfare filled with both real and fake news. Everyone must be very mindful of what to believe. But what’s more important is that many things have been fact-checked, but people still choose to believe according to their own preferences, trying to overlook the evidence, not wanting to think it’s untrue because it responds to our ideology,” Supinya said.

The subsequent seminar featured a panel discussion, “Information Warfare and Online Battlefronts: Lessons Learned from Journalism of Truth in the Thailand-Cambodia Border Conflict Case,” with 5 speakers. Dr. Wasin Pantong, a lecturer in the Department of Politics and Government, Faculty of Political Science, Thammasat University, explained the fake news phenomenon, categorizing it into:

1. Format: Including “Targeted” communication, sending messages specifically to certain target groups, such as ethnic groups, groups with specific political ideologies, or age groups, and “General” communication, disseminated without targeting specific groups.

2. Channels: Commonly found on social media platforms, both public and closed groups. In closed groups, fake news is created to align with the group’s beliefs, making them believe even more deeply. Also found in messaging applications, video sharing platforms where AI is used to create videos that seem real but aren’t, and websites and blogs, which despite being information channels from the 2000s decade (2000-2009), are still seen to some extent today.

“If we categorize them into groups, we see 3 types of disinformation: 1. Text-Based Disinformation, 2. Video-Based Disinformation, and 3. Image-Based Disinformation. I would put these three in overlapping circles because sometimes one piece of disinformation might combine all three, or maybe 2 out of 3. Mostly, from what I’ve encountered, they use all three simultaneously,” Dr. Wasin stated.

Somkid Petchprasert, a lecturer in the Department of Public Administration, Faculty of Political Science and Law, Burapha University, discussed the audience’s perspective on dealing with rumors or propaganda. He said this ultimately creates a state of confusion in filtering information about what’s real or fake. But human nature has what’s called “Confirmation Bias.” For example, having grown up in the Thailand-Cambodia border area, understanding the Khmer language and being familiar with Cambodians, when receiving negative news about Cambodia, it reinforces existing beliefs.

For instance, there’s a saying, “Khmer can’t be trusted after they’re full,” meaning Cambodians ask for food from Thai people, but once they’re satisfied, they can no longer be trusted. This saying is a form of bias that might make us prejudge. When we choose to receive information, we might select what confirms our biases. As the Thai saying goes, “A dog doesn’t defecate without a reason” – information might have only 10% facts, with the rest being embellishment, but receivers choose to believe it first. This is the misfortune of people in the current era. And don’t think that Thai information or media is an “Open Gateway” while Cambodia is a “Single Gateway,” so all Thai information would be trustworthy. Receivers must be aware.

“With online communication, anyone can be a reporter. The problem is that when people haven’t learned about ethical principles and responsibility regarding information, coupled with revenue from going viral, it becomes quite an issue. If we look at the information system, it makes people prone to being easily manipulated. In the back-and-forth manipulation, sometimes it causes quarrels. Suppose Liverpool fans stir up Manchester United fans (English football teams), they fight. Not to mention Thailand and Cambodia. Even though we’ve never been to Manchester or Liverpool, we can still fight here,” Somkid said.

Jakkrit Waewklaihong, President of Trat Province Journalists Association, raised concerns about “journalists taking sides,” often labeled as being with this or that group. When the government changes, they present negative information. For example, they spread news so aggressively that it suggested Koh Kood belongs to Cambodia, leading to “vocational student group for the monarchy” conducting activities in Trat Province, with ministers who had never visited Trat Province showing interest in visiting Koh Kood. However, the villagers on Koh Kood know quite well that Koh Kood belongs to Thailand.

He questioned whether the problem lay in the Thai government making agreements related to personal interests, such as oil and natural gas. Villagers do not understand the 1:50,000 or 1:200,000 maps, but the people of Koh Kood and Trat Province know that Koh Kood belongs to Thailand. Today, the stream of information warfare and counter-information is so constant that it’s impossible to know what is true and what isn’t. He admitted he had made mistakes, perhaps due to insufficient data collection.

“Information warfare isn’t over yet, and it’s information warfare where we can’t tell – there might be much more fake news than truth. It’s all mixed up, so what do we do? Cofact is one organization that aims to fact-check using various methods. AFP (French news agency) is another agency doing this. Even the DE (Ministry of Digital Economy and Society) is working on it. “Sure and Share’ (MCOT) is another team. But I want to see us not rely on these organizations, but rely on ourselves. Everyone should help fact-check before presenting anything, because today anyone can be media,” Jakkrit said.

Chutintra Wattanakul, Online News Managing Editor at ThaiPBS, recounted the difficulties in reporting on the Thailand-Cambodia conflict situation in an era where anyone can communicate. Information that is said to be true at one moment can become false within minutes. For example, an official army page provides one piece of information, and the media reports it, then another official page or agency spokesperson says it’s untrue, but on the same day, there’s another correction saying it’s true. This situation confuses media professionals greatly.

She explained that their internal team concluded they cannot report quickly. Besides fake news, there is the issue of a “set of truths”, meaning something is true at this moment, but over time, it might cease to be true because it is refuted by another set of truths or information for some purpose. There was also a difference in the understanding of “coordinates” between the military and the media. There was debate about whether the area damaged by the Cambodians’ attack could be reported.

The military viewed that it should not be disclosed because it would let the Cambodians know the operation was successful, but the mass media wanted to report the impact on local people. Yet after reporting, the public criticized the media for revealing coordinates, asking why they would tell Cambodia, even if the location was only vaguely specified. She had never encountered such phenomena in news work before – having certain social contexts that emerged rapidly and seemed like control over what shouldn’t be done, even though it is truly the duty of the media. Working within that social context required considerable compromise.

“Believe it or not, a while after the ceasefire negotiation, public concerns about coordinates completely disappeared. No one talked about it anymore. It took less than 2 weeks for this issue to disappear. You see, reporting is not just about what we present. As media, we don’t present just facts alone. We also have to consider the social context at that time – what we can and cannot present, and how to present it cautiously,” Chutintra said.

Rawee Tawantharong, Advisor to the Society for Online News Providers (SONP), discussed “Information Advantage (IA)” from a study document titled “ADP 3-13” by the U.S. Army. IA differs from IO (Information Operations). IO only mobilizes forces to support one’s own side and discredits the opponents or competitors, or thinks only in yes or no terms. While IA uses real information, but considers how to use it to reach the desired target groups.

For example, if one wants to communicate a set of information to people who like football, one should start with a story about football, because if one immediately starts with the topic of war, the target audience might not understand. Similarly, if communicating with teachers, one must begin by mentioning the theory. Or if working on social media platforms, one must control the most popular comments (Top Comments) or the first few comments to be positive toward our side, because social media platform users tend to believe this group of comments.

He provided an example from the Thai–Cambodian conflict: when observing the global social current, the world tended to believe Cambodia more than Thailand because “the internet is a space where whoever plants the flag first gains advantage.” The Cambodians communicated first in English, but Thai English communication was still stumbling. When searching the internet with conditions filtering out information from Thai and Cambodian mass media, the search results tended to suggest Thailand was the aggressor against Cambodia, not that Cambodia was attacking Thailand.

“Whoever says communication studies majors are dying, I don’t think so. Communication studies majors – this is the big issue that must build its own identity. But how will communication studies understand other people and understand context, not just being good at using Facebook, Twitter, and TikTok? We must understand what kind of people we’re selling to or selling this information to. With the same information, twist it a little and you can engage students, professors, or reporters,” Rawee said.

Another panel featured 4 speakers discussing “Lessons Learned from Fact-Checking in the Thailand-Cambodia Conflict Case.” Kulthida Samaphutthi, Editorial Staff, Cofact (Thailand) Coalition, noted 3 observations regarding the disinformation phenomenon in the Thailand-Cambodia situation: 1. Use of all methods, from 1.0 such as “blatantly fabricating quotes,” e.g., posting images of Gen. Natthaphon Narkphanit, the Deputy Minister of Defence (at the time), with a message saying Khmers are not relatives, if they are about to die, let them die, which Gen. Natthaphon never said.

Or, posting an image of Natthaphong Ruengpanyawut, People’s Party leader, with a message condemning hospitals that refuse to treat Cambodian patients. Although the People’s Party had expressed opinions about hospital attitudes toward treating Cambodian patients, they never used those exact words. Other methods included “using unrelated images,” e.g., the Cambodians using an image of an aircraft spraying fire retardant to accuse Thailand of using chemical weapons, or an image of a flock of birds made to look like vultures eating the corpses of Cambodian soldiers. The methods extended to “using AI to create fake images,” such as an image of Phumtham Wechayachai, Deputy Prime Minister (at the time), raising hands in greeting and allowing Hun Sen, former Cambodian PM, to pat his head.

2. Media involvement in spreading false content: For example, the “Kammakorn Kao Kui Nok Jor” (Workers’ News Talk of the Air) program shared information from the Facebook page “Army Military Force – Reserve” claiming Thai forces had seized Preah Vihear Temple, which the Army later denied. Thairath News Show shared a clip from the same page, claiming an 87-year-old Cambodian man was saying goodbye to his family before going to war, but the person who filmed the clip later posted a clarification that the elderly man was just a former soldier in uniform buying medicine at a pharmacy (Thairath News Show has likely deleted this news).

PPTV Television broadcast an image from social media that was shared widely, suggesting Cambodian soldiers were practicing dying, when it was actually a first-aid training before the Thailand-Cambodia border dispute. Even though the news anchor mentioned during the presentation that they were not certain what the facts of the events in the images were, as a media, shouldn’t unclear content not be presented? 3. Some people accept false content if it aligns with their beliefs or thoughts, for example, if it makes enemies look bad. 

“Like the vulture news case we checked – the image wasn’t vultures, people said they knew it wasn’t true, but it felt satisfying, good for stirring up Khmer nerves. Or asking why we’d care, saying it was just for fun. Or the fake news that the Fine Arts Department gave the green light to destroy the temple to preserve the territory and sovereignty. The Fine Arts Department never said that, yet people commenting said the content might be false, but agreed with the essence of it, because it’s true that the temple should be destroyed, it is not important, our territory is more important,” Kulthida said.

Kamol Homklin, Isan Cofact, said the difficulty in communication is how to ensure people in affected areas are minimally impacted. From talking with local media workers, such as a reporter in Phu Singh District, Sri Sa Ket Province, the response was “I can’t say anything”. If they speak out, reporting the pleas of border residents to stop the shooting, they will face an online backlash. The difficulty is not knowing how to communicate because of a prevailing current of public opinion. However, the local people preparing to evacuate only hoped for the events to end so they could return to farming and their children could return to school.

During the recent period, Isaan Cofact has worked quite hard, but there is a question of whether they have done enough. When events occur, they cannot always report to refute the information. Or, when they encounter news in the area, they cannot make it a national trend because they are a small team with a limited following. They decided that as a small media team, they should not focus on increasing their fame or follower count, but rather on ensuring their communication is as beneficial as possible to the villagers.

“We must let villagers have the right to voice their concerns. For example, when we report on an evacuation site, we must ask about their joys and sorrows, rather than telling our own story. This may not be a trend, but it is the way of life that will benefit them the most”. Kamol said.

Nuttapol Tumma, Senior Digital Media Content Officer at ThaiPBS, shared that from monitoring the Thailand-Cambodia conflict since June 2025, early news often involved fake images and AI-generated pictures, creating dislike between the two sides. Later, it became clearer online in the form of fake news from the masses on both Thai and Cambodian sides. When clashes occurred, disinformation from both Thai and Cambodian media began to appear.

In the case of Thai media, some were misled into reporting false news because access to information or sources was limited during the clashes, as the military was occupied with its mission. The media mistakenly believed that some pages were presenting images released by the military. The nature of the false news included fake images, fake video clips, or old images and videos irrelevant to the Thai–Cambodian situation. For instance, a recent case involved an old video of a protest in Nepal, falsely claimed to be a protest in Thailand demanding the opening of the border during a Thai-Cambodian GBC (General Border Committee) meeting.

“For verification, we emphasize not following the crowd because we don’t want speed; we want accuracy. We can report slowly, but we can’t report falsely, because letting them go first is like us stepping back 1 step. News saying the 31st Infantry Regiment firing artillery during the night, which was played by many channels, but when checked, it was nighttime combat training clips. We must understand first that during events, everyone wants to be at the front, wants to be closest to events, wants to share, but don’t forget that these things, if we share wrongly, especially as media, we’ll be doubly impacted. Credibility is very important for the media,” Nuttapol said.

Suchanat Intapin, 3rd-year Communication Arts student at the Faculty of Humanities and Social Sciences, Burapha University, said that news likely to be misinformation often has clickbait headlines. The articles, upon clicking, cite unknown sources, and the news does not appear on major Thai or international media outlets. She concluded that children of this generation need strong encouragement for Media Literacy skills.

Or news posts with people pasting reference links in comment sections, which might be links to websites reporting either real news or fake news. So she recommended everyone to memorize the URLs of trustworthy news agencies. Do not click the URLs with strange names or strange numbers. Before clicking anything, observe whether the URL name is really a news agency, including checking from multiple news agencies or information sources, and whether the reports match.

“At a minimum, we’ll look for at least 2 sources. If we see something on Social Media, we’ll start finding information, searching websites to determine whether this story is true. Which agencies reported it? Or does anyone else talk about anything related? What do Comments say? At minimum, 2 sources to be sure this looks real,” Suchanat said.



‘31/ATLAS’ดาวหางจากอวกาศไกลโพ้น จริงหรือที่‘อีลอน มัสก์’เคยพูดว่าอาจเป็น ‘แขกนอกพิภพ’มาเยือน?

By: บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ภาพ 01 : ตัวอย่างโพสต์ที่ถูกแชร์เรื่องอีลอน มัสก์ เตือนวัตถุลึกลับในอวกาศอาจเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว

Elon Musk เตือนภัยฉุกเฉิน วัตถุลึกลับนอกโลกอาจเป็น ยานแม่ต่างดาว กำลังมุ่งหน้าสู่โลก” 

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา Elon Musk ได้ออกแถลงการณ์ด่วน เตือนภัยชาวโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากมีรายงานน่าตกใจว่า 31/ATLAS วัตถุขนาดมหึมาที่เดินทางมาจากนอกระบบสุริยะ อาจไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อยธรรมดา… แต่อาจเป็น ยานแม่ของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา” 

ช่วงวันที่ 7 ต.ค. 2568 ภาพและข้อความทำนองนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ของไทย อ้างถึง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Tesla และ SpaceX รวมถึงแพลตฟอร์ม X ได้ออกมาเตือนถึงการมาเยือนของ “31/ATLAS” ที่เชื่อมโยงกับ แขกนอกพิภพ หรือมนุษย์ต่างดาว และบ้างก็นำไปเชื่อมโยงกับเรื่องเร้นลับตามความเชื่อทางศาสนา อย่างไรก็ตาม มีการชี้ว่าเป็น “ข่าวลวง” ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชม. เช่น เพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” ระบุว่า อีลอน มัสก์ไม่ได้ออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับ 31/ATLAS ขณะที่เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 8 ต.ค. 2568 พบว่า บรรดาผู้ที่แชร์หลายรายพากันลบออก แต่ก็ยังพอพบเห็นได้อยู่บ้าง

– 31/ATLAS คืออะไร? องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NASA) เผยแพร่บทความ “Comet 3I/ATLAS” ระบุว่า 3I/ATLAS เป็นวัตถุนอกระบบสุริยะดวงที่ 3 ที่ค้นพบและโคจรผ่านบริเวณใกล้ดาวฤกษ์ของเรา (ระบบสุริยะที่โลกดำรงอยู่) แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อโลก เนื่องจากยังรักษาระยะห่างค่อนข้างไกล โดยระยะที่ดาวหางดวงนี้จะเข้าใกล้โลกมากที่สุดคือประมาณ 1.8 หน่วยดาราศาสตร์ (ประมาณ 170 ล้านไมล์ หรือ 270 ล้านกิโลเมตร) ทั้งนี้ 3I/ATLAS จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะของเรามากที่สุดในวันที่ 30 ต.ค. 2568 ที่ระยะห่างประมาณ 1.4 หน่วยดาราศาสตร์ (130 ล้านไมล์ หรือ 210 ล้านกิโลเมตร) ซึ่งอยู่ในวงโคจรของดาวอังคาร

ขนาดและคุณสมบัติทางกายภาพของดาวหางระหว่างดวงดาวกำลังถูกสำรวจโดยนักดาราศาสตร์ทั่วโลก คาดว่าดาวหาง 3I/ATLAS จะยังคงมองเห็นได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินจนถึงเดือน ก.ย.2568 หลังจากนั้นดาวหางจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เกินกว่าจะสังเกตได้ และจะปรากฏอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์ภายในต้นเดือน ธ.ค.2568 ซึ่งจะทำให้สามารถเฝ้าสังเกตได้อีกครั้งบทความของ NASA ระบุ 

ดาวหาง 3I/ATLAS มีรายงานการพบเห็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยกล้องโทรทรรศน์ ATLAS (Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System) ในประเทศชิลี จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อดาวหางดวงนี้ ขณะที่ตัวอักษร “I” ย่อมาจาก “Interstellar” ซึ่งบ่งชี้ว่าวัตถุนี้มาจากนอกระบบสุริยะของเรา และเลข 3 หมายถึงการเป็นวัตถุระหว่างดวงดาวดวงที่ 3 ที่โลกของเราได้รู้จัก 

บทความของ NASA ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า 3I/ATLAS ก่อตัวขึ้นในระบบดาวฤกษ์อื่น และถูกผลักออกสู่อวกาศ ซึ่งเป็นพื้นที่ระหว่างดวงดาว ล่องลอยมาเป็นเวลานานหลายล้านหรือหลายพันล้านปีจนกระทั่งมาถึงระบบสุริยะของเราเมื่อไม่นานมานี้ โดยกำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากทิศทางทั่วไปของกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา 

โดยในช่วงที่มีการค้นพบนั้น 3I/ATLAS อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ของเราประมาณ 410 ล้านไมล์ (670 ล้านกิโลเมตร) ภายในวงโคจรของดาวพฤหัสบดีนักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า 3I/ATLAS มีขนาดใหญ่เพียงใด แต่จากการสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2568 พบเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวหางดวงนี้ คาดว่าไม่น้อยกว่า 1,444 ฟุต (440 เมตร) และไม่กว้างกว่า 3.5 ไมล์ (5.6 กิโลเมตร) ขณะที่ ณ ช่วงเวลาที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวหางดังกล่าว พบการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 137,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (221,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 61 กิโลเมตรต่อวินาที) และความเร็วจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์

ภาพ 02 : กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลบันทึกภาพดาวหาง 3I/ATLAS ได้เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 ขณะที่ดาวหางอยู่ห่างจากโลก 277 ล้านไมล์ จากภาพแสดงให้เห็นว่าดาวหางนี้มีฝุ่นรูปร่างคล้ายหยดน้ำตาที่ลอยออกมาจากนิวเคลียสแข็งที่เป็นน้ำแข็ง(ที่มา : NASA)

บทความ ดาวหาง 3I/ATLAS อาจเก่าแก่กว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ narit.or.th ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT โดยแปลมาจากข่าว Astronomers say new interstellar visitor 3I/ATLAS is ‘very likely to be the oldest comet we have ever seen’ ของเว็บไซต์ space.com สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐ ที่เน้นเสนอเนื้อหาวิชาการด้านอวกาศ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 ระบุว่า 3I/ATLAS อาจเป็นดาวหางที่เก่าแก่ที่สุดดวงหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยพบ

วัตถุดังกล่าวเป็นที่สนใจของนักดาราศาสตร์ เพราะเป็นวัตถุในอวกาศดวงที่ 3 ที่เดินทางมาจากนอกระบบสุริยะ โดยอีก 2 ดวงก่อนหน้านี้คือ ดาวเคราะห์น้อย 1I/’Oumuamua และดาวหางโบรีซอฟ 2I/Borisov ที่ค้นพบในปี 2560 และ 2562 ตามลำดับอย่างไรก็ตาม งานวิจัยครั้งใหม่ได้แสดงให้เห็นว่าดาวหางดวงนี้ อาจมีอายุมากถึง 7,000 ล้านปี ซึ่งมากกว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี และนับเป็นดาวหางที่มีอายุมากกว่าดาวหางดวงใดๆ ที่นักดาราศาสตร์เคยค้นพบมาก่อน บทความของ NARIT ระบุ 

– 3I/ATLAS ถูกโยงกับผู้มาเยือนจากต่างดาวได้อย่างไร? : ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์และผู้อำนวยการสถาบันที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาวี โลบ (Avi Loeb) ออกมาเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจและมีทุน สนับสนุนโครงการตรวจสอบว่า 3I/ATLASเป็นเพียงดาวหางธรรมดาๆ ที่มีน้ำแข็งเป็นโครงสร้าง หรือเป็นสิ่งอื่น เช่น ยานอวกาศที่อำพรางเทคโนโลยีอันซับซ้อนภายใต้รูปร่างก้อนหิน 

บทความ “Should We Be Happier if 3I/ATLAS is a Comet?” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568 ทางเว็บไซต์ medium.com  โลบ กล่าวว่า เนื่องจากไม่เคยมีการบันทึกความเสี่ยงจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เราจึงอาจสงสัยว่าเราจะสามารถสันนิษฐานได้หรือไม่ว่าความเสี่ยงนั้นจะต้องต่ำในแต่ละปี ข้อโต้แย้งนี้จะหมดความน่าเชื่อถือหากการเยี่ยมชมนั้นถูกกระตุ้นด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของเราที่ดึงดูดความสนใจจากมนุษย์ต่างดาว

โลบ เล่าว่า ตนได้รับข้อความมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า การพิจารณา 3I / ATLAS ในฐานะเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับสาธารณชน วิทยาศาสตร์น่าจะดึงดูดความสนใจของสาธารณชนได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากภาษี แต่เมื่อการอภิปรายเกี่ยวกับ 3I / ATLAS กลายเป็นกระแสไวรัล เพื่อนร่วมงานหลายคนกลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจความสนใจของสาธารณชน โดยโต้แย้งโดยอาศัยข้อมูลเบื้องต้นว่า 3I / ATLAS ต้องเป็นดาวหาง 

ความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งต้องมีการตีความที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้มีการรวบรวมข้อมูล การยืนกรานว่า 3I / ATLAS ต้องเป็นดาวหางนั้นไม่ฉลาดนัก เพราะไม่มีหางของดาวหาง และวิถีโคจรของมันถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับระนาบการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ณ ขณะนี้ แสงเรืองรองที่อยู่ข้างหน้า 3I / ATLAS สามารถคงอยู่ได้นานถึง เดือนโดยการกำจัดชั้นดินที่มีความหนาเพียงมิลลิเมตรบนพื้นผิวของวัตถุที่มีความยาว 20 กิโลเมตร โลบ กล่าว

ภาพ 03 : เพจ “Drama-addict” อธิบายถึง “โคมา (Coma)” หรือกลุ่มฝุ่นและก๊าซอันเป็นลักษณะที่ปรากฏในดาวหาง ซึ่งเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น อัตราการคายแก๊สและฝุ่นของดาวหางจะเพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนหางขยายใหญ่มากขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง รายงานข่าว “Comet or alien spaceship? An astrophysicist explains what we know about interstellar traveler 3I/Atlas” เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 ทางเว็บไซต์ news.northeastern.edu ซึ่งเป็นสำนักข่าวของมหาวิทยาลัยมนอร์ทอีสเทิร์น อ้างความเห็นของ แจ็คเกอร์ลีน แม็คเคลียรี (Jacqueline McCleary) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ที่อธิบายว่า โดยปกติแล้วดาวหางจะมืดมากจนนักดาราศาสตร์มองไม่เห็น 

จนกระทั่งเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น รังสีจากดวงอาทิตย์จะทำให้สารประกอบระเหยที่สะท้อนแสงสูงละลายหายไป ซึ่งปรากฏอยู่ภายนอก ผลที่ตามมาคือ หางต้นแบบที่เรียกว่า โคมา(Coma)” ซึ่งค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เป็นหางที่เราคุ้นเคยกันดีว่ามีลักษณะเป็นหางของดาวหางที่พุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทั้งนี้ ดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 5 หน่วยดาราศาสตร์ หรือ 5 ระยะทางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ และดาวหางส่วนใหญ่ต้องเข้าใกล้มากกว่านั้นเพื่อให้รังสีจากดวงอาทิตย์มีความเข้มข้นเพียงพอที่จะก่อให้เกิดหางที่ละลายและปล่อยก๊าซออกมา

แต่การที่ดาวหาง 3I / ATLAS ก่อตัวเป็นโคมาเมื่ออยู่นอกวงโคจรของดาวพฤหัสบดี ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่าปกติมาก การที่ 3I / Atlas เริ่มเปล่งแสงออกมาไกลจากดวงอาทิตย์มากขนาดนี้ ถือว่าผิดปกติมากพอจนทำให้เกิดทฤษฎีตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าต้องเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว อย่างไรก็ตาม การเฝ้าสังเกตในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่า 3I / ATLAS ไม่เพียงแต่มีหางคล้ายดาวหางเท่านั้น แต่ยังน่าจะอุดมไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำแข็งคาร์บอนไดออกไซด์ หรือที่เรียกว่าน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) นั้นละลายง่ายมาก

การวิเคราะห์นี้ยังอ้างข้อค้นพบจากกล้องโทรทรรศน์ เจมส์ เว็บบ์ ของ NASA ที่เผยให้เห็นว่า 3I / ATLAS ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังมีอัตราส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ต่อน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง (Water Ice) ที่เหนือกว่าโลกถึง 8:1 ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราส่วนที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา อัตราส่วนนี้ทำให้มองเห็นสภาพของระบบสุริยะอื่นๆ และการก่อตัวของระบบเหล่านั้นตั้งแต่แรกเริ่ม

เห็นได้ชัดว่าระบบดาวหาง 3I/Atlas เดิมอาจอุดมไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ หรืออาจมีกระบวนการแผ่รังสีแปลกๆ ที่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากและต้มส่วนที่เหลือทั้งหมดจนหมดไป ในทางอ้อม การพยายามทำความเข้าใจองค์ประกอบของดาวหางดวงนี้และเปรียบเทียบกับองค์ประกอบของดาวหางระหว่างดวงดาวดวงอื่นๆ… สามารถบอกเราได้ว่าการก่อตัวของระบบสุริยะในระบบสุริยะอื่นๆ ในระดับรายละเอียดเป็นอย่างไร แม็คเคลียรี กล่าว 

รายงานข่าวนี้ยังระบุด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์อาจได้เห็นดาวหางดวงนี้อย่างละเอียดมากขึ้นเมื่อมันโคจรผ่านวงโคจรของดาวพฤหัสบดีในเส้นทางขาออกหลังจากเดือน ต.ค. 2568 ซึ่งจะเผยให้เห็นธรรมชาติของมันมากขึ้น ทั้งนี้ดาวเทียมจูโนของNASA ที่โคจรรอบดาวพฤหัสบดีจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะมองเห็นดาวหางผู้มาเยือนระหว่างดวงดาวดวงนี้ โดยแม็คเคลียรี อธิบายว่า เราอาจสามารถมองเห็นดาวหางดวงนั้นได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันจะโคจรมาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากจะระเหยออกไป ดังนั้นเราจะสามารถเห็นสิ่งที่เหลืออยู่

รายงานพิเศษ “Are internet rumours of a comet hurtling towards Earth true?” โดยสำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 อ้างถึงบัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ Lord Bebo ที่โพสต์ภาพของ มิชิโอะ คาคุ (Michio Kaku) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ซึ่งบัญชี Lord Bebo อ้างว่า คาคุได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ 3I / ATLAS ว่า วัตถุลึกลับนี้กำลังเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ซึ่งอาจมีเจตนาเป็นปฏิปักษ์

โพสต์ดังกล่าวพร้อมด้วยภาพหน้าจอที่ตัดต่อแล้วจากการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของคาคุ พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า อาจเป็นยานสำรวจจากมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งมายังโลก มียอดผู้เข้าชมมากกว่า 290,000 ครั้ง และความคิดเห็นอีกมากมายอย่างไรก็ตาม ทีมงานของอัลจาซีรา ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่าคาคุเคยพูดว่า  3I / ATLAS อาจเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ส่วนภาพประกอบที่ใช้ก็นำมาจากบทสัมภาษณ์เก่าของสำนักข่าว Nation News ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2568 ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ 3I/ATLAS จะถูกค้นพบ

– อีลอน มัสก์ เคยพูดถึง 3I / ATLAS บ้างหรือไม่? : (ณ วันที่ 8 ต.ค. 2568) จากการค้นหาด้วยถ้อยคำ “3I / ATLAS Elon Musk” แม้จะพบสื่อมวลชนหลายสำนักให้ความสนใจกับดาวหางลึกลับอย่าง 3I / ATLAS แต่กลับไม่มีสื่อกระแสหลักรายงานการพูดถึงดาวหางดวงนี้ของมัสก์ (รวมถึงไม่พบแถลงการณ์หรือโพสต์ในบัญชีแพลตฟอร์ม X ที่เจ้าตัวมักใช้สื่อสารกับสาธารณชนเป็นประจำ) แต่กลับมีการอ้างในหมู่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม ว่า อีลอน มัสก์ ได้ยืนยันว่า 3I / ATLAS เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว โดยสามารถพบถ้อยคำ Elon Musk: “It’s Confirmed, The 3I ATLAS is an Alien Space Craft!” แพร่หลายตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 เป็นต้นมา

โดยสรุปแล้ว ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ (วันที่ 8 ต.ค. 2568) ยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่า อีลอน มัสก์ ให้ความเห็นว่า 3I / ATLAS เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว และตามข้อมูลที่มีอยู่ยังคงเชื่อได้ว่าสิ่งนี้เป็นดาวหางที่เดินทางยาวไกลมาจนถึงระบบสุริยะของเรา เพียงแต่องค์ประกอบบางอย่างทำให้มีลักษณะแปลกกว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ ที่มนุษย์เคยพบเห็น ส่วนจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหรือไม่? คงต้องรอช่วงท้ายของปี 2568 ที่ดาวหางดวงนี้โคจรมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://science.nasa.gov/solar-system/comets/3i-atlas/ (Comet 3I/ATLAS : NASA)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1332375614933372&id=100044828388736&set=a.791821828988756&_rdc=1&_rdr# (โพสต์ Drama Addict วันที่ 7 ต.ค. 2568)

https://narit.or.th/th/AstronomyNews-20250729-3I/ATLAS (ดาวหาง 3I/ATLAS อาจเก่าแก่กว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี : NARIT 11 ก.ค. 2568)

https://avi-loeb.medium.com/should-we-be-happier-if-3i-atlas-is-a-comet-91b3f8e74f98 (Should We Be Happier if 3I/ATLAS is a Comet? : Medium 24 ส.ค. 2568)

https://news.northeastern.edu/2025/09/08/3i-atlas-comet-interstellar-traveler/ (Comet or alien spaceship? An astrophysicist explains what we know about interstellar traveler 3I/Atlas : Northeastern Global News 8 ก.ย. 2568)

https://www.aljazeera.com/features/2025/10/3/are-internet-rumours-of-a-comet-hurtling-towards-earth-true (Are internet rumours of a comet hurtling towards Earth true? : Al Jazeera 3 ต.ค. 2568)


ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริง “มัตจะดื่มทุกวันอันตรายจริงหรือ?”

วันที่ 23 กันยายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ได้หยิบยกประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียลเกี่ยวกับกระแสการดื่มมัตจะะทุกวัน โดยมีคำถามว่า การบริโภคชาเขียวมัตจะในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT รองศาสตราจารย์ ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศอาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึง ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่จากภาคีมหาสารคามที่เป็นนักดื่มมัตจะตัวยง

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามถึงความนิยมในมัตจะที่กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ราคาเครื่องดื่มมัตจะพรีเมียมอาจสูงถึงแก้วละ 80-300 บาท เธอตั้งข้อสังเกตว่า “มัตจะอาจเป็นอันตรายต่อกระเป๋าสตางค์!!” และแสดงความกังวลว่าการดื่มทุกวันอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนไม่หลับจากคาเฟอีน หรือผลกระทบต่อผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาการนอนหลับ

ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ เผยถึงพฤติกรรมการดื่มมัตจะในกลุ่มเพื่อนของเธอ โดยระบุว่า “ขั้นต่ำวันละ 2 แก้ว ขนาด 22 ออนซ์” และบางคนถึงขั้นดื่มแทนน้ำเปล่า โดยมักผสมกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำส้ม แต่ไม่ใส่นมหรือวิปครีม

เธอยังเล่าถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์ว่าการดื่มมัตจะทุกวัน อาจเสี่ยงต่อมะเร็ง ปัญหาตับ ความดันโลหิตสูง และลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งทำให้เธอและเพื่อนๆ เริ่มกังวล

รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อธิบายถึงประโยชน์และความเสี่ยงของมัตจะ โดยระบุว่า มัตจะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปเพราะใช้ใบชาทั้งใบที่บดละเอียด ทำให้มีปริมาณสารสำคัญ เช่น EGCG (สารต้านอนุมูลอิสระ) และกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึงสองเท่า การศึกษาบางชิ้นในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองชี้ว่า EGCG อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยในมนุษย์ที่ยืนยันผลชัดเจน 100% ในทางกลับกัน การบริโภค EGCG เกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน ตามที่หน่วยงานในยุโรปกำหนด อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

อาจารย์วันทนีย์แนะนำว่า เพื่อความปลอดภัย ควรจำกัดการดื่มมัตจะไม่เกินวันละ 1 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์หรือน้อยกว่า) โดยเฉพาะมัตจะที่มีคุณภาพสูงอาจมี EGCG สูงถึง 400-500 มิลลิกรัมต่อแก้วขนาด 16-22 ออนซ์

อาจารย์ยังเตือนถึงปริมาณกาเฟอีนที่สูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการนอนหลับ และสารแทนนินในมัตจะที่อาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีประจำเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางมากกว่าผู้ชาย

สำหรับกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงมัตจะ อาจารย์วันทนีย์ระบุว่า ผู้ที่แพ้กาเฟอีน ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (ยาละลายลิ่มเลือด) เนื่องจากมัตจะมีวิตามินเคสูง ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของยา เธอแนะนำให้ดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและสลับกับเครื่องดื่มอื่น เพื่อความหลากหลายและลดความเสี่ยงจากการบริโภคมากเกินไป

สุชัย เจริญมุขยนันท ถามถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่ม ซึ่งอาจารย์แนะนำว่า ควรดื่มหลังอาหาร 2 ชั่วโมงเพื่อลดการรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก และหลีกเลี่ยงการดื่มหลังบ่าย หากกังวลเรื่องการนอนหลับ เขายังสอบถามถึงทางเลือกอื่นๆ ซึ่งอาจารย์เผยว่า ส่วนตัวชอบชาไทยหวานน้อยหรือโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเป็นครั้งคราว โดยเน้นความหลากหลายในเครื่องดื่ม

สุภิญญา ปิดท้ายด้วยการเตือนว่า กระแสโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ และแนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมฝากถึงผู้ชมให้บริโภคอย่างพอดีเพื่อประหยัดทั้งสุขภาพและกระเป๋าสตางค์

รายการนี้สรุปว่า การดื่มมัตจะทุกวันในปริมาณน้อยไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่ชัดเจน แต่ไม่จำเป็นต้องดื่มทุกวัน และควรบริโภคอย่างหลากหลายเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและควบคุมค่าใช้จ่าย


ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่อง “ฟอกไต (ไม่) ฟรี” ที่นายกฯ อนุทินพูดวันแถลงนโยบาย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่เขากล่าวถึงนโยบาย “ฟอกไตฟรี” ว่า “รัฐบาลชุดที่แล้วเอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” พบว่าเป็นคำพูดที่อาจทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเกี่ยวกับนโยบายบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 

จากการตรวจสอบหลักเกณฑ์ของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสัมภาษณ์ นพ. จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. โคแฟคพบว่ารัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง มาเป็นการใช้วิธีการล้างไตทางหน้าท้องเป็นทางเลือกแรก โดยสิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองการบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

นายอนุทินแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ซึ่งในช่วงหนึ่งนายอนุทินได้ลุกขึ้นกล่าวตอบคำอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุข

นายอนุทินกล่าวว่า “…ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการทำงานของรัฐมนตรีหลายสิบท่านที่ผ่านมา…ผมได้ใช้เวลา 4 ปี ประสานงานกับสปสช. ทำเรื่องทั้งฟอกไตฟรีทั้งหมด ซึ่งก็เสียดายมากว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน ผมจะเอากลับมาครับ ใน 4 เดือนนี้ ผมจะเอากลับมา แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ รมว.สธ. จะต้องทำให้ผมเห็นภายใน 2 เดือน”

คำพูดของนายอนุทินทำให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลชุดที่แล้วโพสต์ชี้แจงทางเพจเฟซบุ๊กทางการของพรรคเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้นำนโยบายฟอกไตฟรีออกไปตามที่นายอนุทินกล่าวและยืนยันว่า การให้บริการการล้างไตทั้ง 2 รูปแบบ (การล้างไตทางช่องท้องและการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม) ยังอยู่ในสิทธิการรักษา 30 บาท โดยมีนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก”

โคแฟคตรวจสอบ

“รัฐบาลชุดที่แล้ว” ที่นายอนุทินกล่าวถึงคือคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจนกระทั่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นจากตำแหน่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอน น.ส.แพทองธาร เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 จากกรณี “คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน” ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง 

“ฟอกไตฟรี” ภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ข้อมูลจาก สปสช. และมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ระบุว่า การบำบัดทดแทนไตหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ฟอกไต” หรือ “ล้างไต” มีอยู่ 2 วิธี คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis: HD) และการล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis: PD) ซึ่งในทางการแพทย์ทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการรักษาใกล้เคียงกัน แต่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายต่างกันไปขึ้นกับสภาวะร่างกาย โรคร่วม และความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย

ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสิทธิเข้ารับการฟอกไตได้ฟรี โดย สปสช. กำหนดให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรก (PD First) เว้นแต่จะมีข้อห้าม และได้รับการอนุมัติจาก สปสช. จึงจะสามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) ได้ หากไม่ได้รับอนุมัติจาก สปสช. แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง

ปี 2565 ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีนายอนุทินเป็น รมว.สธ. และเป็นประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ สปสช. ปรับแนวทางจากการให้ล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรกหรือ PD First เป็นการให้สิทธิผู้ป่วยเลือกได้เองว่าจะใช้วิธีล้างไตทางช่องท้องหรือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Free Choice) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565  

ปี 2567 HITAP ได้ทำการวิจัยถึงผลกระทบของนโยบาย Free Choice ที่ให้ผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผลการวิจัย พบว่ามีผลด้านลบหลายประการ คือ

  • จำนวนผู้ป่วยที่เลือกรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ และพบว่าจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการฟอกเลือดสูงขึ้นมาก
  • มีปัญหาคอขวดในการเตรียมเส้นเลือดถาวรก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ทำให้ผู้ป่วยจํานวนมากต้องใช้สายสวนหลอดเลือดดําชนิดชั่วคราวในระยะแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง และประสิทธิภาพในการฟอกเลือดตํ่ากว่าเส้นเลือดชนิดถาวร
  • ค่าบริการรักษาทดแทนไตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตํ่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 16,000 ล้านบาทในปี 2567 นอกจากนี้ค่ารักษาภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตก็เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านบาทต่อปี เป็น 3,900 ล้านบาทในปี 2566
  • ขีดความสามารถในการให้บริการล้างไตทางช่องท้อง (PD) ลดลงอย่างรวดเร็วจากการที่มีผู้ป่วยเข้ารับบริการลดลงจนถึงจุดที่หน่วยบริการ PD อาจต้องปิดตัวลง ในที่สุดการบริการ PD จะหายไปจากระบบบริการสุขภาพ ส่งผลให้ประเทศสูญเสียขีดความสามารถและทางเลือกในการรักษาบําบัดทดแทนไต

นโยบายฟอกไตฟรียุครัฐบาลแพทองธาร

ในสมัยรัฐบาลแพทองธารที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทินเป็น รมว.สธ. (4 ก.ย. 2567-29 ส.ค. 2568) เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายบําบัดทดแทนไตอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบทางลบของนโยบาย Free Choice ที่ให้สิทธิผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองที่ปรากฏในงานวิจัยของ HITAP

วันที่ 4 พ.ย. 2567 บอร์ด สปสช. ที่มีนายสมศักดิ์เป็นประธาน มีมติให้นำนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) กลับมาใช้ แต่หากมีความจำเป็น แพทย์สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย ได้แก่ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การปลูกถ่ายไต และการดูแลด้วยวิธีประคับคอง โดยทั้ง 4 วิธีนี้ ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  

หลังจากใช้เวลาเตรียมการและออกประกาศที่เกี่ยวข้องอยู่นานหลายเดือน สปสช. ก็เริ่มดำเนินการตามนโยบาย PD First รอบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งในช่วงนี้เองที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยสิทธิบัตรทองรายใหม่ที่เริ่มฟอกไตหลังจากวันที่ 1 เม.ย. 2568 จะต้องจ่ายค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเอง ซึ่ง สปสช. ได้ชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง สิทธิบัตรทองคุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยไตทั้งหมด

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. อธิบายในการแถลงข่าวร่วมกับนายสมศักดิ์ รมว.สธ. เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 ว่า ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรายเก่าทุกคนจะได้รับสิทธิบริการทดแทนไตด้วยวิธีเดิมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ป่วยรายใหม่จะมีระบบตรวจสอบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยวิธีการล้างไตทางช่องท้องจะเป็นทางเลือกแรก 

นพ.จเด็จยืนยันว่าปัจจุบันหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการบำบัดทดแทนไตทุกวิธี และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่รับการบำบัดทดแทนไตในระบบจำนวน 84,750 ราย เป็นผู้ป่วยรับการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมจำนวน 64,515 ราย และผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องจำนวน 20,235 ราย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. ในขณะนั้นแถลงข่าวชี้แจงนโยบาย PD First ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 (ภาพ: สปสช.)

ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางรายถูกเรียกเก็บเงินค่าฟอกไตจริง จากปัญหาของระบบให้บริการ

ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ซึ่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. และประธานบอร์ด สปสช. คนใหม่เข้าร่วมประชุมด้วยเป็นครั้งแรก น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ผู้แทนองค์กรเอกชน รายงานว่าได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ป่วยสิทธิบัตรทองว่าต้องจ่ายค่าฟอกไตเองเนื่องจากโรงพยาบาลตามสิทธิมีศักยภาพจำกัดในการให้บริการฟอกไตหรือคิวยาวมาก จึงส่งตัวผู้ป่วยให้ไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีการเรียกเก็บเงินผู้ป่วย

นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ยอมรับว่ามีกรณีที่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางคนถูกเรียกเก็บเงินค่าบำบัดทดแทนไตจริงจากหลายสาเหตุ เช่น การที่ผู้ป่วยมีจำนวนเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลรับไหวจึงส่งตัวไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย 

“เราจะไปดูรายละเอียดว่าเกิดเหตุ (ผู้ป่วยถูกเรียกเงิน) มากขนาดไหน ถ้าจำเป็นก็จะดำเนินการทางกฎหมาย ขอประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยบริการในระบบด้วยว่าให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย” นพ.จเด็จให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุม

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. (ซ้าย) และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อ 6 ต.ค. 2568

เลขาธิการ สปสช. ยืนยันไม่มีการ “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป”

โคแฟคสอบถาม นพ.จเด็จถึงกรณีที่นายอนุทินกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า “รัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เลขาธิการ สปสช. อธิบายว่า “ไม่ได้เอา (ฟอกไตฟรี) ออกไป แต่เป็นเรื่องของการปรับระบบการให้บริการที่แตกต่างจากเดิม…ตอนนี้ระบบสิทธิบัตรทองยังให้บริการทั้งฟอกเลือด ล้างไตทางหน้าท้องและการปลูกถ่ายอวัยวะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เราจะไปดูว่าส่วนไหนของระบบที่เป็นจุดอ่อนทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย เราจะไปปิดจุดอ่อนเพราะเป็นนโยบายที่ต้องให้การรักษาฟรี”

ข้อสรุปโคแฟค

  • รัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ และนายสมศักดิ์เป็น รมว.สธ. และประธานบอร์ดหลักประกันสุขภาพ ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง (Free Choice) มาเป็นวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) โดยบอร์ด สปสช. มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 และเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บเงินค่าฟอกไต
  • ตามประกาศประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีบริการผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยการบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2568 สิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งจะมีคณะกรรมการไตระดับเขตและระดับประเทศพิจารณาวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยให้วิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก ในกรณีที่คณะกรรมการไตเห็นว่าผู้ป่วยสามารถใช้วิธีล้างไตทางหน้าท้องได้ แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองและจะได้รับสิทธิรักษาฟรีเฉพาะบริการที่จำเป็น เช่น ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นการยกเลิกการฟอกไตฟรี
  • ช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ถูกเรียกเก็บค่าฟอกไตจริง ซึ่งเป็นปัญหาของระบบบริการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. เช่น โรงพยาบาลของรัฐมีศักยภาพจำกัดจึงส่งผู้ป่วยไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งเรียกเก็บเงินผู้ป่วย ซึ่งบอร์ด สปสช. มีมติให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนแล้ว

จากข้อมูลของ สปสช. งานวิจัยของ HITAP และการสัมภาษณ์ นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ที่โคแฟครวบรวมและประมวลมานี้ทำให้สรุปได้ว่า คำพูดของนายอนุทินที่ระบุว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เป็นข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อแนวทางการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังของระบบหลักประกันสุขภาพหรือสิทธิบัตรทอง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

 

คลิปลูกจ้างประท้วงในกัมพูชา ถูกนำมาบิดเบือนว่าชาวเขมรชุมนุมไล่ “ฮุน เซน”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปประท้วงขับไล่ “ฮุน เซน” ในกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำภาพการประท้วงนายจ้างของแรงงานข้ามชาติในกัมพูชามาสร้างความเข้าใจผิด** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 6 ต.ค. 68 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอ Reel ความยาว 14 วินาที เป็นภาพการชุมนุมประท้วงบริเวณอาคารแห่งหนึ่ง มีรถตำรวจเปิดสัญญาณไฟ  พร้อมข้อความบรรยายว่า “ไล่ฮุนเซน 5/10/68 แชร์ไปให้โลกรู้ว่าเขมรพัง หมดแล้ว” และ “ประท้วงไล่ฮุนเซน #ข่าวจริง” คลิปนี้มียอดการชมมากกว่า 2 ล้านครั้งและยอดการแชร์มากถึง 1.4 หมื่นครั้ง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบว่าคลิปเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกัมพูชาหลายรายช่วงสัปดาห์ที่แล้ว บางโพสต์ให้ข้อมูลเป็นภาษาเขมร แปลสรุปใจความได้ว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ลูกจ้างชาวต่างชาติ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ ประท้วงและทำลายทรัพย์สินจากเหตุไม่พอใจที่นายจ้างชาวจีนดูหมิ่นศาสนา เหตุเกิดที่ไชน่าทาวน์ สีหนุวิลล์เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 68 

สื่อหลายสำนักในกัมพูชารายงานข่าวนี้ เช่น Troryorng News รายงานว่า เจ้าหน้าที่จับกุมชาวต่างชาติ 59 คน ประกอบด้วยชาวปากีสถานและบังกลาเทศ 57 คนและชาวจีน 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุประท้วงและมีการทุบทำลายทรัพย์สินที่อาคารในย่านไชน่าทาวน์ ในเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชาคืนวันที่ 4 ต.ค. 68  ตำรวจให้ข้อมูลว่าการประท้วงเกิดจากการโต้เถียงกันระหว่างลูกจ้างชาวปากีสถานกับผู้จัดการชาวจีน และมีการพาดพิงความเชื่อทางศาสนา แม้ผู้จัดการชาวจีนจะขอโทษคู่กรณีแล้ว แต่ลูกจ้างจำนวนหนึ่งไม่พอใจจึงก่อเหตุวุ่นวายขึ้น

โคแฟคตรวจสอบภาพประกอบข่าวของสำนักข่าว Troryorng News พบว่าลักษณะอาคารตรงกับที่ปรากฎในคลิปวิดีโอ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน 

นอกจากนี้ โคแฟคยังได้ส่งข้อความไปสอบถามสำนักข่าว CamboJANews ซึ่งเสนอข่าวนี้เช่นกัน ได้รับการยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์แรงงานชาวต่างชาติในสีหนุวิลล์ประท้วงและทำลายอุปกรณ์สำนักงานจากเหตุดูหมิ่นศาสนา

“สุทธิชัยหยุ่น” ถูกปลอมตัว Deep Fake เตือนภัยสังคม! แนะ ‘รหัสประจำบ้าน’ สู้มิจฉาชีพยุค AI

โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว EP.20 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ได้เปิดวงสนทนาในประเด็น “DEEP FAKE ปลอมตัวตน หลอกประชาชน โดยมี คุณสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการร่วมด้วย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และคุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส พร้อมด้วยคนเช็กข่าว สหโชค เพียรการ (ชาร์ป)

ด้วยยุคนี้เป็นยุคที่ต่อมการตรวจสอบความน่าเชื่อถือต้องทำงานหนัก เพราะภาพและเสียงที่เราคุ้นเคยอาจไม่ใช่ตัวจริงอีกต่อไปเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ Deep Fake ที่เกิดจาก AI(ปัญญาประดิษฐ์) สามารถปลอมแปลงได้อย่างแนบเนียน จนกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งกระทบไปถึงดารานักร้องอินฟลูเอนเซอร์ และแม้แต่สื่อมวลชนอาวุโสที่คนรู้จักกันทั้งประเทศก็ถูกปลอมตัวเช่นกัน

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวถึงความรวดเร็วของ AI ที่เข้ามาในชีวิตและการทำงานเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะมีงานวิจัยว่ามนุษย์จะต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษในการปรับตัวกับ AI แต่เพียงปี2568 (2025) ก็รู้สึกว่า AI ได้เข้ามาเร็วมากแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือมิติทางด้าน เศรษฐกิจ เนื่องจากทรัพย์สินอาจสูญหายเพราะการหลอกลวงโดยใช้ Deep Fake

คุณสุทธิชัย หยุ่น ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนเองตกเป็นเหยื่อของการปลอมแปลงตัวตน Deep Fake หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่มีเพื่อนไม่กล้าถามตรงๆ ว่าข่าวปลอมที่ระบุว่าตนเอง ตายแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไปจนถึงคลิปปลอมที่ดังที่สุดคือ บทสัมภาษณ์กับผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่มีการชักชวนให้ลงทุน นอกจากนี้ยังมีโฆษณาขายยาแก้ความดัน, ข่าวปลอมว่าถูกจับ, และรูปที่ถูกชกตาบวม มิจฉาชีพจะใช้วิธีตัดต่อเอาคลิปสัมภาษณ์จริงไปใส่ประโยคที่ต้องการหลอกคน

ผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้ที่หลงเชื่อ โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ หรือกลุ่ม เบบี้บูมเมอร์ ที่อยู่กับมือถือบ่อยและเห็นรูปแล้วเชื่อตามนั้นทันที 

คุณสุทธิชัยเล่าว่าเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจมีสถานะก็ยังหลงเชื่อสั่งซื้อยาแก้ความดันปลอมไป 900 กว่าบาท ปัญหาใหญ่คือเมื่อเสียเงินไปแล้วมักจะไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวเสียหน้า ทำให้มิจฉาชีพได้ประโยชน์ คุณสุทธิชัยจึงต้องใช้รายการของตนเองแจ้งเตือนสาธารณะว่าตนเอง ไม่ขายของ และ ไม่รับจ้างแบรนด์ไหน

จากการสอบถามไปยังตำรวจไซเบอร์กรณีของคุณสุทธิชัย สรุปได้ว่ามิจฉาชีพมีเป้าหมายคือต้องการให้คนคลิกเข้าไปดูให้มากที่สุด เพื่อนำเพจนั้นไปขายต่อ หรือไม่ก็เป็นการหลอกขายของ ส่วนกรณีหลอกให้ลงทุนก็จะมีเป้าหมายให้โอนเงินเข้าไป ซึ่งเกิดขึ้นกับนักธุรกิจใหญ่หลายคน อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์ระบุว่ามีเคสลักษณะนี้เยอะมากและไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดในกรณีของคุณสุทธิชัยได้

ในมุมมองของสื่อมวลชน คุณสุทธิชัยเห็นว่า AI เป็นสิ่งที่มาแรงและมาเร็ว แม้แต่การโคลนเสียงก็ทำได้เหมือนมาก สิ่งสำคัญคือการ รู้เท่าทัน และ ตรวจสอบต้นทาง ความน่าเชื่อถือ สื่อมวลชนต้องเอาน้ำดี‘ เข้าไปล้าง ‘น้ำเน่า‘” ด้วยการทำคอนเทนต์ที่สามารถตรวจสอบสิ่งที่ผิดได้

วิทยากรต่างเห็นพ้องว่าปัญหา Deep Fake เป็นเรื่องที่เกินกว่าปัจเจกชนจะรับมือได้ทัน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน:

มาตรการจากแพลตฟอร์ม: คุณสุภิญญาเสนอว่าเมื่อมีการร้องเรียนหรือแจ้งไปที่แพลตฟอร์ม (เช่น Facebook, TikTok) ควรมีปฏิบัติการทันที เช่น การแบน หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ขึ้นเตือน (Flag)” ตัวเบ้งๆ ให้ประชาชนเห็นว่าคลิปนั้นถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็น Deep Fake และควรมีการคุยกันระหว่างแพลตฟอร์มเพื่อร่วมกันจัดการ

บทบาทภาครัฐและสังคม: รัฐบาลควรมีมาตรการเจรจาหรือกดดันแพลตฟอร์มต่างชาติโดยเอาเรื่องการ คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เป็นตัวตั้ง ต้องมีการจัดกระบวนการตั้งแต่นโยบาย และตั้งวงทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล เอกชน เพื่อจัดหลักสูตรการศึกษา การฝึกอาชีพ

การศึกษาและภูมิคุ้มกัน :         

• เริ่มสอนตั้งแต่วัยเด็ก ให้รู้จักการแยกแยะสิ่งที่จริงและปลอม ต้องเตือนเด็กๆ ว่าเจอหน้าเหมือนพ่อแม่ เสียงคล้ายกัน อย่าเพิ่งเชื่อ!และ เช็คก่อน

• สำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ (เบบี้บูมเมอร์) ที่เป็นเหยื่อเยอะ ควรใช้ “Community Support” หรือ ครอบครัวสนับสนุน ในการช่วยกันตรวจสอบ

ข้อแนะนำสำหรับทุกบ้านที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที :

• ตั้ง “รหัสประจำบ้าน” (Passcode): หากมีเสียงคล้ายคนในครอบครัวโทรมาขอความช่วยเหลือหรือโอนเงิน ให้ตั้งคำถามที่เป็น “รหัสลับ” ที่รู้กันเฉพาะคนในบ้าน เพื่อใช้ยืนยันตัวตนก่อนวิธีนี้จะช่วยให้เกิดความตื่นตัวและฝึกนิสัยให้คิดวิเคราะห์(Critical Thinking) ก่อนเชื่อ

• หลักการของ COFACT: สโลแกนสำคัญในการรับมือกับข้อมูลข่าวสารปลอมในยุคนี้คือ “อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งโอน” เพราะการโอนเงินไปแล้วยากที่จะได้กลับคืนมา

ชวน นศ ร่วมกิจกรรม GenAsia Challenge 2025

ชวนมาร่วมกิจกรรม GenAsia Challenge 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมอบรมพัฒนาทักษะการตรวจสอบข่าวลวง และการตอบปัญหาทักษะการตรวจสอบข่าวลวงระดับอุดมศึกษา ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องจับกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน อาทิ การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการแก้โจทย์การตรวจสอบข่าวลวงต่างๆ เพื่อค้นหาความจริงด้วยเครื่องมือดิจิทัลประเภทต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านเครื่องมือดิจิทัล และการรู้เท่าทันสื่อให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง และมิจฉาชีพ
.
กิจกรรมช่วงที่ 1: เวิร์คช็อประดับภูมิภาค
กิจกรรมช่วงที่ 2: การแข่งขันตอบปัญหาตรวจสอบข่าวลวงระดับประเทศ
รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ
⬤ ทีมชนะเลิศ เงินรางวัล 5,000 บาท
⬤ ทีมรองชนะเลิศ เงินรางวัล 3,000 บาท
⬤ ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท
ทีมที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจะเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับเอเชีย
กิจกรรมช่วงที่ 3 การแข่งขันระดับนานาชาติ ตอบปัญหาตรวจสอบข่าวลวงแบบสด
รางวัลชนะเลิศระดับเอเชีย
⬤ ทีมชนะเลิศ เงินรางวัล 1,000 USD
⬤ ทีมรองชนะเลิศ เงินรางวัล 600 USD
⬤ ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 400 USD
ทุกทีมจะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากผู้จัดการแข่งขัน GenAsia Challenge
.
ลงทะเบียนได้ที่นี่: https://forms.gle/aQtDbK4M5PdnSpL5A
เว็บไซต์หลักของกิจกรรม: https://www.genasiachallenge.com/thailand