จาก‘แรงงานข้ามชาติ’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา’ข่าวลวงหล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์ ขอ‘แพลตฟอร์ม’ร่วมรับผิดชอบ

15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

โดยในช่วงเช้า สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า ในเดิอนตุลาคมของทุกปีจะมีการรำลึกและทบทวน เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ถูกเรียกว่าเป็นวันแห่งประชาธิปไตยบ้าง วันมหาวิปโยคบ้าง แต่จากวันที่นักศึกษาและประชาชนซึ่งถูกกดทับได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ อีก 3 ปีต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถุกยกมาพูดถึงเสมอในประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือทางความคิดที่นำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง และส่วนหนึ่งก็มาจากข้อมูลข่าวสารที่เข้าใจผิด 

ขณะที่ในปัจจุบันซึ่งพูดถึงข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข่าวลวง (Fake News) ที่มากับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แต่จริงๆ ในทางการเมืองก็มีเรื่องของข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย มาตลอดทุกยุคสมัย ในอดีตอาจหนักในแง่ข้อมูลข่าวสารถูกปิดกั้น ส่วนปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารจากทุกทางแต่ก็เต็มไปด้วยความสุดโต่งและไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ (เช่น สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา) ไปจนถึงระดับโลก ก็จะเห็นสงครามข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง 

“หัวข้อของเราใช้คำว่ามหาสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเราพยายามแปลจากคำของคุณมาเรีย เรสซา (สื่อมวลชนชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) ที่กล่าวในงานประชุมสหประชาชาติครั้งล่าสุด พูดถึงคำว่า InformationArmageddon ซึ่งหมายถึงอาจนำไปสู่วันสิ้นโลกของความจริง สิ้นสุดของของความจริงด้วยมวลมหาของข้อมูลที่ถาโถมแล้วทำให้เราเกิดภาวะซึมเศร้า เกิดภาวะความเหนื่อยล้าของข่าวสาร จนนำไปสู่ภาวะหลีกเลี่ยงข้อมูลข่าวสาร (News Avoidance)” สุภิญญา กล่าว 

Sweta Madhuri Kannan, First Secretary, Cultural Affairs and Press, Embassy of the Federal Republic of Germany Bangkok กล่าวถึงโครงการที่โคแฟคจะมีความร่วมมือกับสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ในเรื่องความเชื่อถือในข้อมูล – ข้อเท็จจริงในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งในประเทศไทย ในปี 2569 โดยจะมีกิจกรรมหลายอย่างซึ่งรวมถึงการสร้างความร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง ตลอดจนสร้างการรับรู้ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงในจังหวัดอื่นๆ ด้วย 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ จากข่าวลวงสู่อคติยืนยัน ความเกลียดชังที่วนซ้ำ โดย กุลธิดา สามะพุทธิ  กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากประสบการณ์ 3 ปีในการทำงานตรวจสอบข้อมูล (Fact – Check) มีเนื้อหาอยู่ประเภทหนึ่งที่ตนไม่สบายใจ คือเนื้อหาเท็จที่มีเจตนาสร้างความเกลียดชัง ซึ่งจะแตกต่างกับเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่ไปด้วยความไม่รู้และไม่มีเจตนาสร้างความเสียหายกับใคร 

ทั้งนี้ มี 4 กลุ่มที่ตนเห็นว่ามักตกเป็นเป้าหมายของการสร้างข้อมูลเท็จที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง คือ 1.นักการเมืองหญิง แม้จะยังไม่มีการเก็บสถิติที่ชัดเจน แต่จากการสังเกตก็พบว่านักการเมืองหญิงน่าจะเจอเรื่องนี้มากกว่านักการเมืองชาย เช่น การตัดต่อภาพโป๊เปลือย การเผยแพร่ข้อมูลอ้างเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม และยังไม่รวมถึงเนื้อหาเชิงล้อเลียนดูถูก

2.แรงงานข้ามชาติ มีตัวอย่างจากข่าวนักเรียนที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ร้องเพลงชาติเมียนมาในศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี หรือข่าวชาวเมียนมาข้ามมาคลอดลูกในประเทศไทย นำไปสู่การเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดชัง เนื้อหาเท็จ ตลอดจนเนื้อหาบิดเบือนเกี่ยวกับมาตรการของรัฐว่าด้วยแรงงานข้ามชาติ 

3.ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมถูกสร้างความเกลียดชังจากกลุ่มชาวพุทธสุดโต่ง อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ตนได้เก็บข้อมูลคลิปวิดีโอจากแพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 250 คลิป ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิม พบการใช้ข้อกล่าวหาและถ้อยคำที่รุนแรงมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้บ่มเพาะความเกลียดชังในใจมากน้อย – เพียงใด แล้วจะระเบิดออกมาเมื่อใด และ 4.ชาวกัมพูชา ซึ่งพบเห็นความเกลียดชังเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่เกิดการสู้รบกับไทยเมื่อเดือน ก.ค. 2567 

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตนยังคงจะมุ่งมั่นทำงานตรวจสอบข้อมูล – ข้อเท็จจริงต่อไป แม้ลำพังสิ่งนี้จะยังไม่เพียงพอกับการจัดการกับอารมณ์หรือคติที่สั่งสมมา แต่อย่างน้อยจะทำให้สังคมกลับมาให้ความสำคัญกับความจริงก่อน นอกจากนั้นตนอยากขอให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกับโคแฟค เช่น เมื่อทางโคแฟคติดตามไปสอบถามข้อมูล เพราะเรากำลังทำหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ ก็จะเป็นประโยชน์มาก

ส่วนแพลตฟอร์มไมได้หวังอะไรมาก ช่วงส่งคนมามอนิเตอร์องค์กรที่ทำด้าน Fact Check หน่อย สมมติ AFP Fack Check , ThaiPBS Verify , โคแฟค ถ้าเห็นรายงาน Fact Check ของเราแล้วช่วยไปจัดการหน่อยว่าเราจะทำเนื้อหานี้อย่างไร แค่นี้ง่ายๆ เลยไม่ต้องคิดถึง Partnership (หุ้นส่วน) อะไรที่ใหญ่โต อีกอันคือช่วยเปิดการมองเห็น ถ้าเกิด Content Creator (ผู้สร้างเนื้อหา) เขาขอแบบช่วยเปิดการมองเห็น สร้างรายได้จากเนื้อหาให้กับผู้ใช้ Social Media ได้ ก็ช่วยเปิดการมองเห็นเนื้อหาของของค์กรที่ทำงาน Fact Check หน่อยเท่านั้นเอง เท่านั้นก็จะช่วยได้มากแล้ว กุลธิดา กล่าว

บัญชา จันทร์สมบูรณ์ กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตผู้สื่อข่าว นสพ.แนวหน้ากล่าวว่า ตนมาร่วมงานกับโคแฟคได้เพียง 2 เดือน คือในช่วงเดือน ส.ค. – ก.ย. 2568 เจอเนื้อหาเท็จหรือเนื้อหาบิดเบือนที่สร้างความเกลียดชังจำนวนมากทั้งที่ทำโดยผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยและชาวกัมพูชา เช่น คลิปวิดีโอน้ำท่วมวัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์ต่อในลักษณะซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวไทย แต่หลังจากนั้นก็มีชาวไทยนำกลับมาแชร์โดยอ้างว่าเป็นคลิปน้ำท่วมในกัมพูชา เพื่อซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวกัมพูชา

คลิปน้ำท่วมสะพานใน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์โดยใส่วันที่ในคลิปเป็นเดือน ต.ค. 2568 , คลิปน้ำท่วมในประเทศเม็กซิโก เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 ถูกชาวไทยนำมาแชร์ต่อเมื่อต้นเดือน ต.ค. 2568 โดยอ้างว่าเป็นมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา พร้อมข้อความทำนองว่าไม่เห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้ท่วมให้ย่อยยับพินาศไป 

หรือคลิปที่มีเนื้อหาเสียดสีล้อเลียน ในช่วงที่มีสถานการณ์สู้รบระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไทยและกัมพูชาต่างจัดตั้งศูนย์อพยพสำหรับพลเรือนของตนเอง มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยแชร์คลิปวิดีโออ้างว่าชาวกัมพูชาทำอาหารมีกุ้งตัวโตๆ ในศูนย์อพยพอวดชาวไทย แต่จริงๆ แล้วคลิปดังกล่าวเป็นการทำอาหารเลี้ยงเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งในกัมพูชาตั้งแต่เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 เป็นต้น 

แต่ที่ทำให้รู้สึกเป็นคำถามในใจมากที่สุด คือตนเป็นคนหนึ่งที่ชอบติดตามเนื้อหาเรื่องอาวุธปืน การต่อสู้ ยุทธวิธีทางตำรวจ – ทหาร แล้วไปเจอเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ข้อความแนะนำให้ใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ พริกป่น ฯลฯ ล้างตาเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยกำลังพยายามผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามารุกล้ำตั้งถิ่นฐานในดินแดนของไทยออกไป มีการใช้ยุทธวิธีอย่างที่เห็นในการรับมือการชุมนุมต่างๆ เช่น แก๊สน้ำตา กระสุนยาง 

ซึ่งโพสต์นี้แม้จะเข้าใจว่าเป็นการเสียดสีหรือทำเป็นเรื่องขบขัน แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นโพสต์ที่ก่อให้เกิดอันตรายและเป็นการสร้างความเกลียดชัง โดยโพสต์นี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้ตนสงสัยว่า ชาตินิยมหรือความมั่นคงกับสิทธิมนุษยชนจะไม่มีจุดที่ไปด้วยกันได้เลยหรือ? เพราะหลังจากโคแฟคนำเสนอเรื่องนี้ไป ตนก็ไปเห็นแอดมินหรือผู้ดูแลเพจดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในอีกเพจหนึ่งว่าตอนแรกจะลบ แต่พอเห็นพี่น้องที่เสียชีวิตไปจึงตัดสินใจไม่ลบ ซึ่งตนเข้าใจว่าแอดมินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สักหน่วยงานหนึ่ง โดยเพจนี้มีผู้ติดตามทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่และพลเรือน 

หรืออย่างประเด็นแรงงานข้ามชาติ เช่น เมียนมา กัมพูชา เข้ามาแย่งงานคนไทย ทั้งที่หากไปดูข้อมูลของกระทรวงแรงงานจะเห็นว่าแรงงานกลุ่มนี้มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ อย่างงานระดับล่าง งานกลุ่ม 3D คือ Dirty (งานสกปรกเนื้อตัวมอมแมม) Difficult (งานลำบาก) Dangerous (งานอันตราย) เช่น งานประมง งานก่อสร้าง หรืองานการผลิตในโรงงานของหลายๆ กิจการ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วโลกในประเทศที่เจริญขึ้นมา ตนขอท้าใครก็ได้ ช่วยหาข้อมูลว่ามีประเทศที่เจริญแล้วที่ใดบ้างสามารถดึงคนท้องถิ่นให้ทำงานประเภทนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ 

“พูดถึงข่าวลวงวนในแพลตฟอร์ม ผมอยากให้แพลตฟอร์มช่วยรับผิดชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นฝั่งกัมพูชาทำผมเดาว่าเพราะเขาอาจอยู่ในสังคมปิด สื่อเขาไม่ได้เสรีมาก แต่ฝั่งไทยทำผมมองว่าเป็นเพราะเรื่องรายได้ เพราะสังเกตว่าคลิปที่ทำกัน บางทีก็ไมได้พูดเรื่องการเมือง เอาความเกลียดชัง เอาคลิปข่าวปลอมมาวนเป็นขำขัน แล้วเขียนว่าเปิดการมองเห็น คลิปสร้างรายได้ ครีเอเตอร์มือใหม่ ซึ่งก็จะมีการโชว์ เพจพวกนี้ก็จะโชว์ว่าเดือนนี้ได้เท่านี้นะ เราพยายามต่อไปกัน แพลตฟอร์มคุณให้รายได้กับแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าให้จริงๆ อันตราย” บัญชา กล่าว 

อภิเดช เตปิน  นักวิจัย Neo Momentum เล่าถึงข้อค้นพบจากงานวิจัยติดตามพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่เนื้อหาทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งพบว่า บนพื้นที่ออนไลน์กจากจะเป็นสงครามข้อมูลจริง – เท็จ แล้วยังยังเป็นสงครามของอารมณ์ด้วย เพราะเมื่อข้อมูลเดินทางไปสัมผัสกับอารมณ์ของคน ข้อมูลก็สามารถถูกตีความ ชักจูงหรือชี้นำ จากความกลัวสิ่งอื่น (Others) กลายเป็นความโกรธ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องเล่าหรือวาทกรรม และทำให้ข้อมูลนั้นถูกเชื่อและแชร์จนดำรงอยู่ในโลกออนไลน์ได้นานกว่าความเป็นจริง 

ทั้งนี้ โลกออนไลน์ปัจจุบันคนไม่ได้เลือกเชื่อตามข้อเท็จจริง แต่เลือกเชื่อตามอคติที่ยืนยันความเชื่อเดิมของตน (Confirmation Bias) อย่าง 2 กรณีศึกษาที่ทำ คือกรณีแรงงานเมียนมา และกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชา พฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้แชร์ข้อมูลเพื่อแสวงหาความจริง แต่แชร์เพื่อยืนยันความรู้สึกการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของตนเอง ข้อมูลก็จะถูกแชร์กลับไป – มาในกลุ่ม เราก็จะได้ยินแต่เสียงที่สบายใจ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) 

อีกทั้งเครือข่ายการสื่อสารของกลุ่มต่างๆ ยังแยกกัน แทบไม่เชื่อมกัน และการแชร์ข้อมูลของแต่ละกลุ่มก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อยืนยันความรู้สึกว่าเราคิดเหมือนกัน สิ่งที่เจอจึงอาจไม่ใช่สังคมแบ่งขั้ว (Polarization) แต่เป็นสังคมคู่ขนาน (Parallel Society) แต่ละกลุ่มมีชุดข้อมูล ความจริงและเรื่องเล่าเป็นของตนเอง ความขัดแย้ง ณ เวลานี้ไม่ใช่เพียงคนไม่เห็นพ้องต้องกัน แต่คือการที่คนไม่เห็นกัน 

ซึ่งการมองปัญหาข่าวลวงจึงไม่สามารถมองเพียงในกรอบของข้อมูลที่ผิดหรือการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะอาจทำให้เรามองไม่เห็นแรงขับภายในที่ทำให้ความเกลียดมันยังดำรงอยู่ นั่นคือกลไกทางอารมณ์และเรื่องเล่า ข่าวลวงอาจเป็นเหมือนอาการภายนอกของปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้ความเกลียดชังยังคงเผยแพร่ซ้ำเป็นวงจรได้คืออารมณ์ของคนที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา 

เรามองว่าการสลายวงจรแห่งความเกลียดชังมันอาจจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของพื้นที่ดิจิทัลให้นอกจากจะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมันยังต้องเข้าใจอารมณ์ ความกลัว ความเจ็บปวด ความรู้สึกของผู้คนทั้งในโลกจริงและใน Social Media ด้วยว่าอารมณ์ที่มันอยู่เบื้องหลังของข้อมูลเหล่านั้นมันคืออะไร? การสร้างสันติภาพของข้อมูลและอารมณ์มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราฟื้นความเข้าใจระหว่างกัน จากความโกรธให้ไปสู่ความเข้าใจจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันอาจนำไปสู่การเยียวยาทางความรู้สึกได้ อภิเดช กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

นิเทศฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” 

วงเสวนาวิชาการ นิเทศ จุฬาฯ ชี้ สื่อมืออาชีพควรระวังการเผยแพร่เนื้อหาที่มาจากสื่อออนไลน์ หันมาส่งเสริมการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์จากข่าวต่างประเทศและประวัติศาสตร์โลก ภาคการศึกษาควรรุกส่งเสริมการรู้เท่าทันข้อมูลในยุคแห่งข่าวลวง องค์กรวิชาชีพตอบรับพร้อมสร้างความเข้าใจ มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน หลังบางสื่อปั่นกระแสข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเสี่ยงสร้างความแตกแยก-เกลียดชัง

เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” ณ ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ โดยมีวิทยากรเข้าร่วม ได้แก่ ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายชวรงค์ ลิมปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นางสาวกุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และนายสันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการ รายการ See True ไทยรัฐทีวี โดยมีผศ.ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดี คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในปี 2568 นี้เป็นปีที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มีอายุครบ 60 ปีและมีการเฉลิมฉลองภายใต้แนวคิด “Communicate a Betterverse for All” ซึ่งเชื่อว่าการสื่อสารเป็นหัวใจในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นในทุกระดับ และเกี่ยวข้องกับคนทุกกลุ่มในสังคม การเสวนาในครั้งนี้จึงเป็นการช่วยหาคำตอบว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ก้าวพ้นความขัดแย้งซึ่งรวมถึงเรื่องเชื้อชาติและพรมแดน

ผศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบเนื้อหาที่มีลักษณะหยาบคาย ติดป้ายตีตรา ยั่วยุ และมีอคติในสื่อโดยเฉพาะในออนไลน์และมีสื่อกระแสหลักบางส่วนนำไปเผยแพร่ต่อ ทั้งๆ ที่ผู้พูดไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ จึงเป็นการขยายอารมณ์ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ออกไปด้วย นอกจากนี้ ผู้อ่าน ผู้ชมที่เป็น “แฟนคลับ” ของบุคคลที่ปรากฏอาจยิ่งช่วยกันกระพือกระแสให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้นไป ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมกระทบคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ดังนั้น ครูอาจารย์ควรระมัดระวังไม่ตอบสนองด้วยอคติ และสถาบันการศึกษาควรมีหลักสูตรปลูกฝังความรู้เท่าทันสื่อให้กับเด็กและเยาวชนได้ฝึกคิด วิเคราะห์ทำความเข้าใจตั้งแต่อายุยังน้อย

“ข่าวที่ออกมากระทบกับผู้คนจริงๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ กระทบกับเยาวชน ต่อให้เราบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่สนใจหรอก นั่นไม่จริง เด็กสนใจและมีผลกระทบจริงๆ แต่วิจารณญาณจะอยู่ตรงไหน” ผศ.ดร.ธเนศ กล่าว

​นางสาวกุลชาดา กล่าวว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ภาคีCofact ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ต่อต้านข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนได้ตรวจสอบพบเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีข้อมูลเท็จและบิดเบือนจำนวนมากกว่า 40 ชิ้นถูกเผยแพร่ทั้งทางออนไลน์และทางสื่อกระแสหลักของไทย ทั้งนี้ คนไทยควรตระหนักว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับปัญหาการเมือง

“ในมิติที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากปัญหาการเมืองจริงๆ มันก็จำเป็นอย่างหนึ่งที่จะต้องแก้ด้วยการเมือง และการรายงานของสื่อในช่วงเวลาที่กำลังจะไปสู่การเลือกตั้ง เป็นช่วงที่มีความกังวลว่า แม้ในพื้นที่ไม่มีเหตุปะทุขึ้นแต่ในโลกออนไลน์ปัญหาอารมณ์ค้างจะยังอยู่ และเรารู้ว่าประเด็นเกี่ยวกับกัมพูชาจะถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงการเลือกตั้ง ขอฝากให้สื่อมวลชนกลับมาคิดและเตรียมตัว”

ในขณะที่นายสันติวิธีได้นำเสนอประสบการณ์การรายงานข่าวและทำรายการสารคดีเกี่ยวกับปัญหาบริเวณชายแดน ทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ปี 2554 รวมทั้งความขัดแย้งครั้งล่าสุด และปัญหา scammers ที่มีแหล่งกบดานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเป็นการรายงานข้อเท็จจริงในแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (peace journalism) นายชวรงค์กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ข่าวหรือสารคดีคุณภาพดีต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก ในขณะที่อุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงเรตติ้งซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ของสื่อ

“วันนี้คนสนใจข่าวไทย-กัมพูชา สื่อก็ต้องให้เวลาข่าวเรื่องนี้เยอะ พอมีเวลา[ออกอากาศ]เยอะจะเอาอะไรมานำเสนอ ก็ต้องนำเนื้อหามาจาก social media มาใช้ และนี่คือปัญหา แล้วไม่ได้เอาคลิปจากฝั่งเดียวด้วย เอาฝั่งนี้ เอาฝั่งโน้นตอบโต้กันไปมา ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นข้อห้ามตั้งแต่แรกที่เราคุยกันมาตลอดว่าไม่ควรเอาคลิปมา เคยถาม ก็ได้คำตอบว่า ถ้าไม่เอาคลิปมาก็ไม่รู้จะนำเสนออะไรแล้ว”

องค์กรวิชาชีพจึงมีแนวคิดว่าจะนำแนวปฏิบัติในการนำเสนอข่าวในช่วงเหตุการณ์การสู้รบที่เคยจัดทำไว้แล้วมาเพิ่มรายละเอียดและทำความเข้าใจกับสื่อ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน นายชวรงค์ กล่าว

ผศ.ดร.จิรยุทธ์ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจมีหลายวิธีการในการแก้ปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้ปะทะโดยตรงเสมอไป ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นและให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกกว้างและตระหนักว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการการแย่งชิงทรัพยากรครั้งสำคัญของโลก

“สื่อเรามีบทบาทและความสามารถมากกว่าแค่การเป็นผู้รายงานข่าว แต่สามารถที่จะวางกรอบความคิดอะไรบางอย่างที่เราอยากให้สังคมดำเนินไปได้ ผมอยากเห็นสื่อทำงานตรงนี้มากขึ้น อย่างเช่นที่คุณกุลชาดาบอกว่า นี่ก็กำลังจะเลือกตั้งแล้ว แล้วประเด็นเรื่องกัมพูชาต้องมาแน่ๆ เราต้องมานั่งคุยกันว่าแล้วเราอยากให้มันออกมายังไง ผมคิดว่าสื่อสามารถมีบทบาทสำคัญได้”

ผศ.ดร.จิรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สื่อสามารถมีบทบาทในการช่วยให้เกิดคุณค่า เรื่องเล่า (narrative) อัตลักษณ์ คุณค่าและจิตสำนึกแบบใหม่ในอาเซียนได้ เช่นเดียวกับที่ปัญหาพรมแดนในเอเชียกลาง 5 ประเทศที่มีมาหลายร้อยปีสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้และมีการรวมตัวกันก่อตั้ง The Organization of Turkic Statesเพราะตระหนักว่าหากไม่แก้ปัญหาร่วมกันก็จะไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนและไม่สามารถหาประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกันได้

“ตัวประกันอิสราเอลยกย่องกลุ่มฮามาส” เนื้อหาเท็จจากตะวันออกกลางลามสู่ไทย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลกล่าวยกย่องกลุ่มฮามาสหลังจากได้รับการปล่อยตัว เป็นเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในหลายประเทศมาตั้งแต่ต้นปี 2568 ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในไทยได้นำมาโพสต์ มีผู้แชร์ต่อกว่า 6,500 ครั้ง 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลเปิดใจหลังฮามาสปล่อยตัว ชื่นชมกลุ่มฮามาสที่ดูแลอย่างดี เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำข้อความที่อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์โพสต์ใน X มาบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 17 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Stand with Palestine ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 1 แสนบัญชี โพสต์ภาพนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลวัย 29 ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน ฝังข้อความว่า “ตัวประกันอิสราเอลเผยความในใจ 489 วันที่ผมอยู่ท่ามกลางพวกคุณ” (ลิงก์บันทึก) และเขียนบรรยายในโพสต์ว่า นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ (เพจไทยเคียงข้างปาเลสไตน์ฯ เขียนผิดเป็น “ทูร์บานอฟ”) ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากการแลกเปลี่ยนเชลยได้เปิดเผยข้อมูลที่ได้ประสบกับตนเองตลอดเวลาที่อยู่กับฮามาส “ทำเอาทั้งอิสราเอลถึงกับช็อก !” 

ส่วนหนึ่งของข้อความระบุว่า “ตลอด 498 วันที่ผมมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกคุณ แม้ในขณะที่พวกคุณต้องเผชิญการรุกรานและอาชญากรรมมากมาย ผมได้เรียนรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของความเป็นลูกผู้ชาย ความกล้าหาญอันบริสุทธิ์ และการเคารพต่อความเป็นมนุษย์” และ “แม้ว่าผมจะอยู่ในมือของชายผู้ต่อสู้เพื่อแผ่นดินและสิทธิ์ที่ถูกปล้นไป และแม้ว่ารัฐบาลของผมจะกำลังก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันโหดร้ายต่อประชาชนที่ถูกปิดล้อม แต่พวกคุณไม่เคยปล่อยให้ผมอดอยาก หรือถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแม้แต่วินาทีเดียว”

โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศที่เชื่อถือได้และรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-check) ที่เคยตรวจสอบเนื้อหานี้ สรุปข้อมูลได้ดังนี้ 

1. นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ เป็นชาวอิสราเอลเชื้อสายรัสเซียวัย 29 ปี ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 และได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 15 ก.พ. 2568 เขาจึงไม่ใช่ตัวประกันที่ “เพิ่งได้รับการปล่อยตัว” ตามเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงระยะแรกตามแผนสันติภาพของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค. 2568

2. หลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอเล็กซานเดอร์พูดต่อสาธารณะเพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกเป็นคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2568 ซึ่งเขากล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนช่วยให้ได้รับอิสรภาพและแสดงความห่วงใยตัวประกันที่ยังถูกคุมขังซึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส

อีกครั้งหนึ่งคือระหว่างการเข้าพบนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2568 เขาพูดกับผู้นำรัสเซียว่าแม้จะได้รับอิสรภาพหลังถูกคุมขังนาน 498 วัน แต่ใจเขายังอยู่กับตัวประกันอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว และเรียกร้องให้ปูตินรีบดำเนินการเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่เหลือ

3. วันที่ 17 ต.ค. 2568 Snopes.com ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐฯ ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการอ้างอิงจากสื่อหลายสำนักทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อความที่อ้างว่าตัวประกันอิสราเอลยกย่องกลุ่มฮามาสพบว่า จริง ๆ แล้วเป็นข้อความที่อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์ชื่อ Khaled Safi โพสต์ในแอปพลิเคชัน X วันเดียวกับที่นายอเล็กซานเดอร์ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 15 ก.พ. 2568

ในโพสต์ดังกล่าว นาย Khaled ได้แชร์ภาพข่าวการปล่อยตัวนายอเล็กซานเดอร์และเขียนข้อความประกอบเป็นภาษาอาหรับในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่านายอเล็กซานเดอร์กล่าวชื่นชมกลุ่มฮามาสที่ดูแลตัวประกันเป็นอย่างดีจนเชลยอย่างเขาสัมผัสได้ถึงความเมตตา ความกล้าหาญและการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มฮามาส 

เมื่อใช้เครื่องมือแปลภาษาพบว่าตรงกับข้อความภาษาอังกฤษที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นคำพูดของนายอเล็กซานเดอร์เกือบทั้งหมด

หลังจากที่ข้อความในโพสต์ X ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล นาย Khaled จึงได้โพสต์ชี้แจงหลายครั้งว่าเขาเขียนข้อความนี้ขึ้นเอง ข้อความนี้ไม่ใช่ถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล

เปรียบเทียบข้อความจากโพสต์ X ของ Khaled Safi อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเมื่อใช้เครื่องมือแปลภาษาของ X แปลจากภาษาอาราบิกเป็นภาษาอังกฤษพบว่าตรงกับข้อความที่อ้างว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอล

Yahoo News ได้นำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Snopes ในเรื่องนี้มาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน

4. เนื้อหาเท็จที่อ้างว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ชื่นชมกลุ่มฮามาสถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่เขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือน ก.พ. 2568 และถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งในเดือน ต.ค. 2568 เนื่องจากผู้คนกำลังให้ความสนใจการแลกเปลี่ยนตัวประกันและผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ตามแผนสันติภาพเฟสแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2568 กลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอล 20 คน ขณะที่อิสราเอลได้ปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ 250 คน

ข้อสรุปโคแฟค: นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไปเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2568 หลังจากเขาได้รับการปล่อยตัว มีการนำข้อความจากโพสต์ X ของอินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์มาบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ที่กล่าวยกย่องชื่นชมกลุ่มฮามาส อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวได้ออกมาชี้แจงว่าเขาเป็นผู้เขียนข้อความนี้เอง ไม่ใช่คำพูดของตัวประกันอิสราเอล 

เนื้อหาเท็จนี้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในช่วงเดือน ต.ค. 2568 โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งในต่างประเทศและในไทย เช่น เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Stand with Palestine ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์” หลังจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันและผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2568 ซึ่งเป็นไปตามแผนสันติภาพเฟสแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

หัวไชเท้ากำจัดสารพัดพิษได้จริงหรือ?

วันที่  21  ตุลาคม  2568  รายการ  “รวมพลคนเช็กข่าว”  EP.22 โดย COFACT  ได้นำเสนอประเด็นร้อนในโลกออนไลน์เกี่ยวกับสรรพคุณของหัวไชเท้าที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” และมีคุณสมบัติกำจัดสารพิษ ขับมะเร็ง และรักษาโรคสารพัด ผู้ร่วมรายการประกอบด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, กฤษฎา วงศ์ไข่ จากวิทยุชุมชนคนเมืองลี้ ลำพูน และผู้ดำเนินรายการ สุชัย เจริญมุขยนันท

สุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์ว่าหัวไชเท้ามีสรรพคุณมหัศจรรย์เช่น ขับเชื้อโรค บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล และฟื้นฟูตับไต เธอระบุว่าข้อมูลเหล่านี้มักวนเวียนตามเทศกาล เช่นช่วงกินเจ ซึ่งทำให้คนสงสัยว่าจริงหรือเกินจริง พร้อมแนะนำให้ระวังการแชร์ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้

กฤษฎา วงศ์ไข่ เริ่มเปิดคำถามว่า แชร์กันในโลกออนไลน์ว่าหัวไชเท้าเป็นผักที่มีความพิเศษ คือเป็นตัวช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน กำมะถันในหัวไชเท้าจะช่วยขับไล่พิษทุกชนิดที่อยู่ในลำไส้ หรือขับปรสิตต่าง  ที่อยู่ในตัวเราไปได้ จริงหรือไม่

รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ ให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์โดยอธิบายว่าหัวไชเท้าเป็นพืชที่มีสารกลุ่ม ออร์กาโนซัลเฟอร์ (organosulfur) เช่น กลูโคซิโนเลต(glucosinolate) ซึ่งพบในผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี และกระเทียม สารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อพืชในการป้องกันแมลง และในร่างกายมนุษย์อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ไม่สามารถยืนยันว่าฆ่าพยาธิหรือปรสิตในลำไส้ได้โดยตรง

การอ้างว่าหัวไชเท้าทำให้หลอดเลือดสะอาดหรือลดคราบจุลินทรีย์ก็ขาดหลักฐานในมนุษย์ โดยงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการทดลองในหลอดทดลองหรือในหนู ซึ่งพบว่าสารสกัดจากหัวไชเท้าอาจลดคอเลสเตอรอลในหนูที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงหลังให้สารสกัดนาน 2-3 เดือน แต่ไม่มีการศึกษาในคนที่ยืนยันผลชัดเจน

สำหรับการอ้างว่าหัวไชเท้าขับมะเร็งได้เกือบทุกชนิดอาจารย์วันทนีย์ยืนยันว่าเกินจริง มีเพียงงานวิจัยในหลอดทดลองที่พบว่าสารสกัดบางชนิดยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางประเภท แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่ยืนยันว่าสามารถรักษามะเร็งได้ ส่วนการขับโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท หรือสารหนู และการป้องกันโรคระบบประสาท เช่น ALS หรือ MS ก็ไม่มีหลักฐานรองรับ โดยเฉพาะ ALS ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ยังไม่มีวิธีรักษาที่ชัดเจนในทางการแพทย์

นอกจากนี้ การจัดให้หัวไชเท้าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” ถูกระบุว่าไม่เป็นความจริง อาหารทางการแพทย์ (Medical Food) ต้องเป็นสูตรพิเศษที่ออกแบบสำหรับโรคเฉพาะ เช่น เบาหวานหรือโรคไต และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการ โดยไม่มีระบบการจัดอันดับอาหารทางการแพทย์ใดๆ

กฤษฎา วงศ์ไข่ ถามถึงความเชื่อพื้นบ้าน เช่น การกินหัวไชเท้าคู่กับกระเทียมเพื่อรักษาโรคเก๊าท์ ซึ่งอาจารย์วันทนีย์ตอบว่าไม่มีหลักฐานยืนยันผลโดยตรง แต่การกินผักหลากหลาย รวมถึงหัวไชเท้า อาจช่วยเสริมสุขภาพโดยรวมได้หากกินอย่างสมดุล เขายังสะท้อนถึงความท้าทายในการใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์หักล้างความเชื่อพื้นบ้าน โดยแนะนำให้เผยแพร่ข้อมูลอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง

หัวไชเท้ามีประโยชน์จากสารออร์กาโนซัลเฟอร์และใยอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพทั่วไป แต่การอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ขับมะเร็ง ขจัดโลหะหนัก หรือป้องกันโรคระบบประสาท ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับงานวิจัยส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่การทดลองในหลอดทดลองหรือในหนู ไม่สามารถยืนยันผลในมนุษย์ได้

การจัดให้หัวไชเท้าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากหัวไชเท้าเป็นเพียงอาหารทั่วไป ไม่ใช่อาหารทางการแพทย์

ควรแชร์หรือไม่? อาจารย์แนะนำว่า ไม่ควรแชร์ ข้อมูลที่เกินจริงเหล่านี้ เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาจละเลยการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม การกินหัวไชเท้าควรเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่หลากหลายและสมดุล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่คาดหวังผลเกินจริง

ทั้งนี้ ผู้ร่วมรายการย้ำว่า การกินอาหารควรเน้นความหลากหลายและสมดุลตามหลักโภชนาการ และหากมีข้อสงสัยด้านสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม

คลิปประท้วงในเคนยา ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพแก๊งจีนเทาหนีการกวาดล้างในกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “แก๊งจีนเทา” ในกัมพูชาวิ่งหนีการกวาดล้างของเจ้าหน้าที่  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพการประท้วงในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยาเมื่อเดือน ก.ค. 68 ** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 18 ต.ค. 68 ช่องยูทูบ “จารย์แหล่แชร์คริป” โพสต์คลิปวิดีโอจากติ๊กตอกเป็นภาพเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากวิ่งไปบนถนน ฝังข้อความว่า “กัมพูชากวาดล้างจีนเทาจากคำสั่งของจีน รัฐบาลไทยต้องเตรียมรับมือการทะลักเข้าเมืองของโจรพวกนี้” และมีข้อความภาษาจีนแปลเป็นไทยว่า “การหลบหนีครั้งใหญ่จากฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา” คลิปนี้ยังถูกแชร์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกจำนวนมากในขณะนี้

คลิปที่อ้างว่าเป็นภาพ “กัมพูชากวาดล้างจีนเทา” เคยถูกเผยแพร่มาแล้วก่อนหน้านี้ เช่น บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “มาย มาย” โพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 68  มียอดแชร์มากกว่า 18,000 ครั้ง (ณ วันที่ 22 ต.ค. 68) 

บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “มาย มาย” โพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 68 มียอดแชร์จำนวนมาก

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปนี้เคยถูกนำมาสร้างเนื้อหาเท็จแล้วหลายครั้ง และหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในต่างประเทศหลายแห่ง เช่น factchecklab.org ของฮ่องกง, Taiwan FactCheck Center ของไต้หวัน และ AFP Fact Check ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ชุมนุมบริเวณถนน Thika ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 68 ซึ่งสื่อในเคนยาและสื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกหลายราย   

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบด้วย Google Street View พบว่าอาคารที่ปรากฏในคลิปตรงกับภาพอาคารบนถนน Thika ทำให้ยืนยันได้ว่าสถานที่ในคลิปอยู่ในประเทศเคนยา ไม่ใช่ในกัมพูชา 

บก.ลายจุด-มูลนิธิกระจกเงา ไม่เคยเรียกร้องรัฐบาลเพื่อไทยให้แก้ปัญหาสแกมเมอร์ ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: มูลนิธิกระจกเงาเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลอนุทินจัดการแก๊งสแกมเมอร์ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาคลาดเคลื่อน มูลนิธิกระจกเงาเคยออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรด้วยเช่นกัน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Naewnanews – แนวหน้าออนไลน์” เผยแพร่รายงานข่าวเรื่องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บก.ลายจุด” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาและปกป้องประชาชนจากขบวนการสแกมเมอร์ให้ดีกว่านี้ โดยระบุว่าในปี 2568 มูลนิธิฯ ได้รับแจ้งคนหายที่ถูกพาไปเป็นสแกมเมอร์ในกัมพูชา-ลาว-เมียนมา 119 ราย อีก 25 รายที่ยังไม่ทราบชะตากรรม

ผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายรายที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์นี้ได้กล่าวหานายสมบัติและมูลนิธิกระจกเงาว่าเลือกจะออกมาเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เคยเรียกร้องรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเพราะนายสมบัติเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบรายงานข่าวย้อนหลัง โคแฟคพบว่ามูลนิธิกระจกเงาเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในสมัยของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร โดยปรากฏในการรายงานของสื่อมวลชนหลายสำนัก ดังนั้นข้อความที่ระบุว่านายสมบัติและมูลนิธิกระจกเงาเลือกที่จะไม่วิจารณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลอนุทินจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ตัวอย่างข่าวการเคลื่อนไหวของมูลนิธิกระจกเงาเรื่องแก๊งสแกมเมอร์/คอลเซ็นเตอร์

  • วันที่ 10 ม.ค. 2568 (รัฐบาลแพทองธาร) มูลนิธิกระจกเงาแถลงข่าวที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่าช่วงปี 2566-2567 มีเด็กและเยาวชนถูกชักชวนให้หลงเชื่อและถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างน้อย 11 คน อายุน้อยที่สุดคือ 14 ปี ลักษณะประกาศรับสมัครงานแอดมินเว็บไซต์-รายได้ดี ภายหลังจึงพบว่าถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บางรายติดต่อเพื่อให้ครอบครัวส่งเงินเพื่อไถ่ตัวกลับบ้าน
  • วันที่ 27 มี.ค. 2568 (รัฐบาลแพทองธาร) หัวหน้าคลินิกกฎหมาย มูลนิธิกระจกเงาให้สัมภาษณ์ The Active ไทยพีบีเอส ระบุว่าคนไร้บ้านเป็นกลุ่มเสี่ยงถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวงจรอาชญากรรมกลุ่มสแกมเมอร์
  • วันที่ 16 ก.ย. 2568 (รัฐบาลอนุทิน) นายสมบัติโพสต์เฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่าคนไร้บ้านย่านสนามหลวงเป็นกลุ่มที่ถูกชักชวนให้เปิดบัญชีม้ามากที่สุด และวิจารณ์หน่วยงานรัฐที่ไม่พื้นที่ติดตามขบวนการรับจ้างเปิดบัญชีม้าหลอกลวงคนไร้บ้าน

อดีตคณบดีคณะแพทย์ศิริราชยืนยันไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความ “มะนาวรักษามะเร็ง”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแนะนำวิธีทำน้ำด่างจากมะนาวมีสรรพคุณรักษามะเร็ง 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ แอบอ้างชื่ออดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเป็นข่าวลวงวนซ้ำที่ถูกส่งต่อตั้งแต่ปี 2557**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงปลายเดือน ก.ย. จนถึง ต.ค. 2568 ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กจำนวนมากโพสต์ข้อความแนะนำให้ทำน้ำด่างหรือน้ำผสมมะนาวดื่มเนื่องจากน้ำด่างช่วยขจัดเชื้อโรคในร่างกาย และมะนาวมีฤทธิ์ทำลายมะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรงถึง 12 ชนิด โดยอ้างว่าเป็นคำแนะนำของ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบพบว่าข้อความลักษณะเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมะนาวผสมน้ำเย็น ผสมน้ำร้อน มะนาวผสมโซดาที่อ้างว่าสามารถฆ่าเชื้อหรือรักษามะเร็งได้นั้น เป็นข่าวลวงที่ถูกส่งต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ มายาวนานกว่า 10 ปี และรวมทั้งมีการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ขององค์กรและสื่อซึ่งเนื้อหาเท็จนี้ยังคงเข้าถึงได้ในปัจจุบัน 

วันที่ 20 ต.ค. 2568 โคแฟคได้รับคำยืนยันจาก ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ว่าไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความนี้และถูกนำชื่อไปแอบอ้าง

นอกจากแอบอ้างชื่อ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์แล้ว บทความนี้ยังเป็นการเผยแพร่เนื้อหาเท็จเกี่ยวกับสุขภาพอีกด้วย ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เชื่อถือได้ระบุตรงกันว่ามะนาวมีค่า pH เป็นกรด เมื่อนำมาผสมน้ำ กรดจะเจือจางลง แต่ไม่ได้ทำให้กลายเป็นน้ำด่างตามคำกล่าวอ้าง

รศ.ภก.ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายในรายการชัวร์ก่อนแชร์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 67 ว่ามนุษย์มีระบบปรับสมดุลค่าความเป็นกรดหรือด่างในร่างกายให้อยู่ระหว่างค่า pH 7.4±0.5 ไม่ว่าจะรับประทานเครื่องดื่มหรืออาหารที่เป็นกรดหรือด่าง สุดท้ายร่างกายจะจัดการปรับให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม

ด้านกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าน้ำผสมมะนาว “ไม่ได้มีคุณสมบัติในการที่จะไปยังยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด” แต่มะนาวมีวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ จึงควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ดื่มน้ำโซดาหรือน้ำมะนาวขณะท้องว่างเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุในระบบทางเดินอาหาร

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2568

ภาพชาวเขมรประท้วงเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเสียชีวิตในกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36khfqn4xr44i


คลิปมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2b3yxo6x2r90


เปิดข้อเท็จจริง “ผลข้างเคียงไฟเซอร์” และการถอนพิษวัคซีน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t9jhviatj8qx


ก.คลัง เตรียมชง เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี สูงสุด 20,000 บาท เที่ยวเมืองรองลดหย่อนได้ 1.5 เท่า คาดเริ่มใช้ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 68 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hm7t0ew3ku5v


 มาแล้ว ‘คนละครึ่ง 2568’ กรุงไทย เปิดเช็กสิทธิ – เงินเหลือ G-Wallet

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ouzca7kv4vcd


 มาแล้ว ‘คนละครึ่ง 2568’ กรุงไทย เปิดเช็กสิทธิ – เงินเหลือ G-Wallet

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ouzca7kv4vcd


 ‘30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง’ เริ่มนัดหมายออนไลน์ 17 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2plw1obvjnqik


 อย. เปิดลงทะเบียน ‘ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า’ ทางออนไลน์ เริ่ม 14 ต.ค. 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15e592e6pivgt


‘คมนาคม’ ดึงรถไฟฟ้าเพิ่ม 3 สาย ร่วมโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fhomvw6zhegq


 ไม่สามารถกินน้ำยาล้างห้องน้ำ ล้างท้องได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pqrexsfptqxb

รับมือ‘มหาสงครามข้อมูล’ถามหาความรับผิดชอบ‘แพลตฟอร์ม’เมื่อโลกถูกปั่นโดย‘อภิมหาทุนเทคโนโลยี’

15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS” 

โดยในช่วงบ่าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า กิจกรรมในช่วงเช้าที่ผ่านพ้นไปมีวงเสวนาซึ่งนำเสนอผลงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของทีมกองบรรณาธิการโคแฟค โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เห็นทั้งข่าวลวงนำไปสู่ความเกลียดชัง และความเกลียดชังที่นำมาสู่ข่าวลวงที่บางคนก็เชื่อ หรือแม้แต่ข่าวจริงแต่ถูกบิดเบือน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน – หลัง ขณะที่ผลงานของ Neo Momentum ก็ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่คนมีคืออารมณ์ความรู้สึก 

แน่นอนข้อเท็จจริงยังจำเป็น แต่มันอาจไม่เพียงพอในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ตึงเครียด แล้วก็โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกรวมๆ ว่ามหาสงครามข้อมูลหมายถึงมีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เรื่องเล่า วาทกรรม เรื่องจริง เรื่องแต่ง เต็มไปหมดแล้วผสมผสานแล้วก็ส่งผลต่อความคิดจิตใจคน แล้วเราจะรับมืออย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็คือเป็นข้อท้าทายมากๆ สุภิญญา กล่าว 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและ สุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. โดยสำนัก 11 ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดตั้งแพลตฟอร์มโคแฟคขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาพลเมืองเท่าทันสื่อ ให้ทุกคนมาร่วมตรวจสอบข้อมุล – ข้อเท็จจริง ให้พลเมืองเท่าทันทั้งสื่อ ข้อมูลและดิจิทัล หรือที่เรียกว่า MIDL (Media Information and Digital Literacy) ซึ่งเป็นทักษะสำตัญในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาหาความจริงร่วมกัน 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นปัญหาที่มาแรงคู่กับข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน (Disinformation – Misinformation) ซึ่งรายงานความเสี่ยงโลกในปี 2568 ก็จัดปัญหาข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน ให้เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ของโลกและยืนยาวไปอีก 10 ปีข้างหน้า ควบคู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) และ AI ทำให้การแพร่ระบาดของข้อมูลทวีความรุนแรงขึ้น 

ถ้าเราย้อนกลับไปช่วงโควิด-19 เราจะเห็นปรากฏการณ์ของสิ่งที่เราเรียกว่า Infodemic การระบาดของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีผลกระทบกับสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจในยุคนั้นอย่างมากๆ แล้วก็ประกอบกับการเข้ามาของ AI ในช่วงนี้ 2  3 ปี เราจะเห็นความก้าวหน้าของการใช้ AI ที่ประชาชนทุกคนที่เข้ามาถึงสื่อออนไลน์หรือสื่อดิจิทัลได้ใช้เครื่องมือของ AI ฉะนั้นก็จะเป็นเหรียญ 2 ด้าน ทั้งเชิงบวกที่ทำให้เราเกิดความสะเดวกสบายในการใช้งานชีวิตประจำวันและในหน้าที่การงาน แต่ก็มีด้านลบในแง่ที่ AI ไปกระตุ้นให้เกิดการแพร่ระบาดของข้อมูลข่าวสารที่เป็นความเท็จความลวงต่างๆญาณี กล่าว 

ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies บรรยายหัวข้อ “สงครามข่าวสาร บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์” ฉายภาพการที่ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี ที่บั่นทอนทั้งอำนาจรัฐในพื้นที่ข้อมูลข่าวสาร และอำนาจของสังคมในการกำหนดวาระการรับรู้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงมาก อย่างข้อมูลในปี 2564 เฟซบุ๊กเพียงบริษัทเดียวก็มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 393 พันล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยและอีกหลายประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐหรือรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบหากดำเนินนโยบายผิดพลาด..ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกลับไม่ต้องทำแบบเดียวกันการกำกับดูแลของรัฐหรือสังคมต่อทุนใหญ่เหล่านี้ทำได้ยาก ซึ่งอำนาจของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมาจากการเฝ้ามอง เก็บและใช้พฤติกรรมของผู้บริโภค นำไปคำนวณเพื่อประเมินว่าใครชอบหรือสนใจเนื้อหาแบบใด เช่น คนคนหนึ่งเพียงจ้องดุเนื้อหาหนึ่งบนอินสตาแกรม ไม่กี่นาทีอาจมีโฆษณาเข้ามา ทั้งที่ไม่ได้กดถูกใจหรือติดตามเสียด้วยซ้ำไป 

ดังนั้นจึงมีคำถามว่า แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์จัดเป็นสื่อหรือเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพราะข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานสามารถถูกเก็บรวบรวมเพื่อนำไปขายต่อได้ ซึ่งเป็นรายได้หลักของทุนกลุ่มนี้ อย่างที่หลายคนน่าจะเคยซื้อพื้นที่โฆษณาหรือเพิ่มการมองเห็น (Boost) เนื้อหาที่ตนผลิตขึ้นในเฟซบุ๊ก อำนาจของแพลตฟอร์มยังรวมไปถึงการกำหนดพฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานจะรู้ว่าหากอยากได้รับความสนใจจะต้องผลิตเนื้อหาอย่างไร อย่างที่ล่าสุดมีข้อค้นพบว่า เนื้อหาที่คนจะสนใจไม่ควรมีความยาวเกิน 8 วินาที เป็นต้น 

ซึ่งในเวลาที่สั้นแต่เนื้อหานั้นต้องกระตุกอารมณ์คน อารมณ์ที่กระตุกได้ง่ายที่สุดก็คือความโกรธกับความกระวนกระวาย ลองนึกถึงการดูข่าวไม่ว่าการเมืองไทยหรือการเมืองระหว่างประเทศมากๆ แต่เป็นการขายข่าวที่สร้างความกังวลใจ ลองนึกว่า 8 วินาทีทำอย่างไรให้คนกังวลและโกรธให้ได้มากๆ ทั้งนี้ ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมักจะให้น้ำหนักกับกฎหมายของประเทศที่บริษัทแม่ของตนเองตั้งอยู่ (เช่น สหรัฐอเมริกา) และประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ (เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป – EU) แต่ประเทศอื่นๆ มักไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์มของทุนกลุ่มนี้ได้ 

ดังจะเห็นจากกรณีของบราซิล เมื่อแพลตฟอร์ม X (หรือทวิตเตอร์เดิม) ถุกฟ้องฐานสนับสนุนให้เกิดการจลาจลช่วงหลังการเลือกตั้ง แต่ในทางปฏิบัติมีคำถามว่าทำอะไรได้มากหรือไม่ หรืออย่างข้อมูลที่นำไปสอนปัญญาประดิษฐ์ให้ทำงานได้ ก็มีคำถามว่าได้ขออนุญาตเจ้าของข้อมูลหรือไม่ รวมถึงหากเป็นข้อมูลที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็มีคำถามว่านำไปใช้ได้อย่างไร เรื่องของอธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty) เริ่มถูกตั้งคำถาม แต่การตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็ใช้ทุนและทรัพยากรมากก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำได้ 

แม้กระทั่งความเชื่อของเหล่านักพัฒนาเทคโนโลยีและทุนเทคโนโลยี ที่เห็นว่าเทคโนโลยีแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและจะนำมนุษย์ไปสู่จุดสูงสุดของอารยธรรม เช่น เชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะมาแทนแรงงานมนุษย์ อย่างน้อยก็ในงานระดับต้น (Entry Level) นำไปสู่การปลดคนงานในระดับนี้ออกหมด แม้กระทั่งวิศกรรมคอมพิวเตอร์ เรียนจบมาใหม่ๆ ก็อาจไม่มีงานทำเพราะให้ AI เขียนโค้ดแทนโปรแกรมเมอร์ ปัญหาคือเมื่อทั้งรัฐและเอกชนต่างเชื่อในเรื่องนี้ ก็นำไปสู่การออกนโยบายระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว 

ตอนนี้บริษัทที่เอา Generative AI เขาไปแทนแรงงานคนเริ่มรู้แล้วมันไม่เวิร์ค แล้วคนที่ไล่ออกไปทำอย่างไร? คนที่ตกงานไปแล้วทำอย่างไร? ปัญหาคือเวลาที่ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้มีอิทธิพลทางนโยบาย เมื่แล้วนโยบายผิดพลาดแล้วลอยตัวได้เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือรัฐและประชาชน ดัวนั้นการลอยตัว การไม่รับผิด หรือบอกว่าฉันเป็นแค่ฝ่ายที่ 3 (Third Party) อันนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มากของการขอให้ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้รับผิดชอบ เช่น เรื่องการให้พื้นที่สร้างความเกลียดชัง ให้พื้นที่ในการทำร้ายผู้เห็นต่าง ดร.จันจิรา กล่าว 

จากนั้นเป็นวงเสวนา รับมือมหาสงครามข้อมูลในยุคปัญญาประดิษฐ์ โดย ธนกร วงษ์ปัญญา บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ กรณีข่าวประชาสัมพันธ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งให้คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยทราบว่า หากใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยร่างคำร้อง – คำฟ้อง ต้องระบุไว้ด้วย ซึ่งผลสะท้อนจากความเห็นของประชาชนคือการย้อนถามกลับว่าหากผู้พิพากษาใช้ AI ช่วยร่างคำพิพากษาแล้วจะบอกด้วยหรือไม่ 

เรื่องนี้สะท้อนความไม่เชื่อมั่นหรือไม่ไว้วางใจกันในเชิงข้อมูลข่าวสาร เพราะเครื่องมืออาจทำให้ง่ายขึ้นแต่ก็มีคำถามเรื่องความถูกต้อง แต่หากว่ามหาสงครามข้อมูลวันนี้คืออะไร สนามรบที่ไวที่สุดคือสนามอารมณ์ สำหรับตนมองว่าเรากำลังรบอยู่กับระบบที่หมายถึงแพลตฟอร์มหรือสิ่งต่างๆ ที่เราใช้เป็นเครื่องมือ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าข้อมูลข่าวสารหรือเครื่องมือล้วนถูกผลิตโดยคน หากคนมีเส้นมาตรฐานจริยธรรมก็อาจได้ผลลัพธ์อีกแบบหนึ่ง แต่หากใช้เพื่อทำลายกับผลลัพธ์ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง 

ผมเคยพูดในงานโคแฟคที่หอศิลป์ บอกว่าความจริงสำคัญแต่สนามรบนี้ความไว้วางใจสำคัญกว่า คือข้อมูลมันเยอะแต่วางใจจะเชื่อใคร วางใจจะเสพข้อมูลจากตรงไหน หรือไม่เลือกไม่เชื่อเลยก็เป็นปัญหาอีกแบบหนึ่ง ธนกร กล่าว 

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การผนวกรวมกันระหว่างทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกับนโยบายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ซึ่งไม่เพียงอาณาบริเวณเฉพาะกลุ่มชาติตะวันตกแต่ครอบคลุมทั้งโลก ในขณะที่เราบอกว่าระหว่างที่เท่าทันอารมณ์ เท่าทันข่าว เท่าทันอัลกอริทึม แต่ท้ายที่สุดอำนาจเกิดจากอัลกอริทึม ก็คือทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เป็นคนปั่น แต่ประเทศของเราไม่เคยมีผู้นำประเทศพุดถึงเรื่องนี้ทั้งที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึงและอยู่ภายใต้การกำหนดของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี

ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะทำอย่างไรในแง่ของมาตรฐานการรับข้อมูล จะช่วยอย่างไรเพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะยังไม่เห็นนโยบายใดๆ มีเพียงบอกว่าอีก 4 เดือนจะเลือกตั้ง แล้วแต่ละพรรคการเมืองก็จัดสรรกันใหญ่อย่างสนุกสนาน แต่ไม่เห็นกลไกกำกับที่จะเกิดขึ้น ที่ท้ายสุดแล้วประชาชนจะได้อะไรกับครั้งนี้

นอกจาก กสทช. แล้ว ในส่วนของสื่อจะรุ้เท่าทันไหม? ตรงนี้น่ากลัวมาก เพราะทุกวันนี้คุณเล่นกัน Engage (ยอดการเข้าถึง) เล่นกับยอด View (ู้ชม) คุณก็คกอยู่ในการกำกับ Structure (โครงสร้าง) ของทุนเทคฯ ใหญ่ รศ.ดร.วิไลวรรณกล่าว 

ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กล่าวว่า สมัยก่อนอินเตอร์เน็ตเรียกว่า Web Base การกำกับดูแลจะคล้ายกับสิ่งที่เห็นใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ คือเมื่อพบการนำเข้าเนื้อหาที่เป็นเท็จแล้วก่อให้เกิดผลกระทบ แช่น เกิดความตื่นตระหนก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่มาก่อนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะดำเนินการนำเนื้อหานั้นออก (Remove) หรือปิดกั้นการเข้าถึง (Block)

แต่เมื่อมาถึงยุคแพลตฟอร์ม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผลกระทบจากแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางขณะที่ในยุคเว็บไซต์จะมีคนดูแลเว็บ (เว็บมาสเตอร์) แต่ปัจจุบันเราอยู่ในโลกของแพลตฟอร์ม หลายคนบอกว่าเนื้อหาจะดีเพียงใดแต่หากไม่เข้ากับระบบของแพลตฟอร์มเนื้อหานั้นก็จะไปไม่ถึงเป็นวงกว้าง นอกจากนั้น อัลกอริทึมซึ่งถือเป็น AI ประเภทหนึ่ง การกำกับดุแลก็เปลี่ยนไปจากการนำเนื้อหาออกหรือบล็อกเว็บไซต์ ก็กลายเป็นเกิดสิ่งที่เรียกว่าข้อกำหนดมาตรฐานชุมชน (Community Standard)

เพราะวัฒนธรรมของอินเตอร์เน็จคือเสรีภาพ ต้องการให้ทุกอย่างเสรีเพื่อจะได้เกิดนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ แต่เมื่อเข้ายุคแพลตฟอร์มก็ไม่ใช่เพียงปัจเจกบุคคล (Individual) เท่านั้นที่มีส่วนร่วม แต่แพลตฟอร์มหรืออัลกอริทึมจะกำหนดว่าอะไรจะปรากฏ ใครจะอ่านอะไร จะเกิดปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) หรือไม่ จนมาถึงปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทำคลิปวิดีโอปลอมแปลงใบหน้าและเสียง (Deepfake) ซึ่งเราบอกไม่ได้แล้วว่าอะไรจริง – ไม่จริง ความน่าสะพรึงของพื้นที่นี้จึงไปไกล

กระทรวงยังมองว่าถ้ามีอะไรเฟคเราก็ตีตราแล้วก็บล็อกไป มันไม่ใช่แล้ว มันถึงยุคที่เราจะต้องใช้คำว่า Systematic (มองทุกอย่างเป็นระบบ) แล้วก็เป็นลักษณะที่ Proactive (เชิงรุก) แล้วก็อ่างกรณีของกฎหมายที่พยายามจะทำให้เกิด ก็คือเรื่องของ Digital Service Act (กฎหมายการให้บริการดิจิทัลของ EU (หสภาพยุโรป) หรือ Online Safety Act ของอังกฤษ ซึ่งพยายามจะมองว่ามันต้องเป็นระบบของการประเมินความเสี่ยง ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการ ThaiPBS กล่าวว่า ยุคอินเตอร์เน็ตผ่านมาหลายยุค ตั้งแต่ 1.0 2.0 3.0 จากยุคที่ผู้ใช้งานเป็นผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (User Generated Content) เป็นยุคเนื้อหาที่สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งน่ากลัวมาก การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook เป็นยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ เวลานั้นคนทำสื่อก็คิดว่าความสำคัญของสื่อค่อยๆ หายไป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดคำว่าฐานันดร 4 แล้วเพราะเชยมาก 

เมื่อเปรียบอดีตกับปัจจุบัน เหตุการณ์เดือนตุลา แม้ตนจะยังเด็กแต่ก็รับรู้บทบาทของสื่อในการสร้างความเกลียดชัง เช่น วิทยุยานเกราะ เพลงหนักแผ่นดิน และยุคนี้ก็เช่นกันจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพุชา แต่ยุคนี้ไม่ใช่สื่อแต่เป็นทุกคนสามารถทำให้เกิดความเกลียดชังได้โดยมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลนืรองรับ และจะหนักข้อขึ้นในยุคที่เนื้อหาถูกสร้างด้วย AI ซึ่งเราไม่สามารถเชื่อได้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง 

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างในอดีตแพลตฟอร์มของวงการสื่อหนังสือพิมพ์คือเจ้าของแผงหนังสือซึ่งมีอำนาจกำหนดว่าหนังสือพิมพ์ฉบับใดจะได้วางจำหน่าย แต่ปัจจุบันมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ คนทำสื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับพลังอำนาจของแพลตฟอร์มได้ แพลตฟอร์มกำหนดคนดู – คนอ่าน คนทำสื่อต้องซื้อคนมาอ่านสิ่งในสิ่งที่ทำ จากเดิมที่คนอ่านซื้อหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ที่เคยสอนกันว่าเว็บไซต์เหมือนบ้าน แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นเพียงการไปเช่าเขาอยู่ แต่วันนี้คนสอบถาม AI ที่ไปกวาดข้อมูลมา คนก็ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าเว็บไซต์

ยิ่งมองยิ่งมืดมน ยิ่งมองยิ่งอยู่กลางมหาสมุทรมองไม่เห็นฝั่ง แต่ว่าในที่สุดแล้วคนทำสื่อเองก็ต้องคิดว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไร จะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร ซึ่งตอนนี้ผมก็คิดว่ายังอาจเร็วเกินไปที่เราจะพูดว่าเราจะอยู่รอดในมหาสงครามนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ก็คือแค่ประคับประคองเอาตัวรอดไปวันๆ หนึ่งไปก่อน ขอร้องสังคมอย่ามาคาดหวังว่าสื่อจะต้องช่วยปกป้อง ตรวจสอบข่าวปลอมข่าวเท็จอะไรต่างๆ ผมว่าดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลย แต่ละคนคงต้องเอาตัวรอดเอง สื่อยังเอาตัวไม่รอดเลย อดิศักดิ์ กล่าว

จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง  เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากที่ฟังมารู้ได้เลยว่าภาครัฐของเรายังไม่สามารถไปดักหน้าเทคโนโลยี ยังอยู่กับการไล่จับข่าวปลอมแบบโบราณ ประเภทพูดมาแล้วผิดก็ตีว่าผิด แต่ไม่มีกฎหมายไปดักในเรื่องของ AI ตนมีโอกาสไปคุยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ไม่ทัน ซึ่งทางกรมฯ กำลังศึกษาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย AI เพิ่งเริ่มศึกษาในขณะที่โลกไปอีกระดับหนึ่งแล้ว เป็นการสะท้อนว่าข่าวสารเร็วมากจนรัฐไม่ทัน ซึ่งก็ไม่ทันตั้งนานแล้ว 

หรืออย่างบทบาทของ กสทช. กับกระทรวงดิจิทัลฯ ก็รู้สึกว่าพึ่ง กสทช. ได้ง่ายกว่า เพราะในวันที่รู้จักศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตนเชื่อว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ล้อมวงคุยกับเขาว่าพัฒนาการไปขนาดไหน ในขณะที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น กสทช. เรียกอีกแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่ข่าวปลอมคือมหาสงครามที่วิวัฒนาการ กระทรวงดิจิทีลฯ ศุนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ตรวจสอบ ลองไปดูเพจของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่ามีคนตามเท่าใด ซึ่งไม่ครอบคลุมตราบใดที่ยังไม่จับมือกับสื่อ ทำให้สื่อมีความรู้ ให้สื่อเป็นช่องทางส่งต่อข่าวปลอมเหล่านี้ให้โลกได้รู้ 

ขณะที่ในส่วนของสื่อมวลชน อาจเป็นข่าวดีล่าสุดสมาคมนักข่าวฯ ร่วมกับโคแฟค จัดอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล (Fact Checking)ซึ่งเดิมตั้งเป้ารับไว้ 10 คน แต่มีมาสมัครถึง 30 คน ตนอยากให้มีนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลมากกว่าโยแวร์ (พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท.) หรือ ThaiPBS Verify โดยการอบรมครั้งนี้ได้เชิญทีมของ ThaiPBS Verify มาช่วยสอนด้วย 

ผมว่าเวลามันเกิดเหตุหรืออะไรก็แล้วแต่ คนจะถวิลหาข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนที่เป็นมืออาชีพมากที่สุด ผมก็เลยคิดว่าถ้าสื่อมวลชนใช้ความได้เปรียบของ Influencer  Content Creator (บุคคลมีชื่อเสียงหรือนักผลิตเนื้อหาบนโลกออนไลน์) ที่เข้าไม่ถึงแหล่งข่าว เขาไม่เจอนายกฯ เขาไม่เจอรัฐมนตรี เขาไม่เจอผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ เลย แต่เราดึงนักข่าวที่อยู่ทุกจุด สมมติมีข่าวปลอมอะไรบ้างในวงการอาชญากรรม ในวงการเศรษฐกิจ ดึงเขามาทำความเข้าใจก่อนว่าข่าวปลอมบางทีคุณอาจละเลยไป จีรพงษ์ กล่าว

ในช่วงท้าย ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย และ Centre for humanitarian dialogue (HD) กล่าวปิดงาน ไล่เรียงจากวงเสวนาช่วงเช้าที่พูดถึงกลุ่มซึ่งตกเป็นเหยื่อความเกลียดชัง เช่น หลุ่มทางการเมือง แรงงานข้ามชาติ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ส่งผลให้เวลานี้เราอยู่ในหลายๆ วงจรของข้อมูลข่าวสารที่มีการใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจ ขณะที่ภาคประชาสังคมต้องการสร้างพื้นที่รู้เท่าทัน พื้นที่ของสันติวิธี 

ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้พูดถึงสิ่งที่เห็นและที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง เป็นปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ วิเคราะห์โครงสร้างที่เราได้รับผลกระทบจากภาคส่วนต่างๆ ภาคนโยบาย ภาคกำกับดูแล ภาคที่ออกกฎหมายนิติบัญญัติต่างๆ ภาคสื่อสารมวลชน ประชาสังคม ประชาชนเองที่ต้องผชิญกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่รู้ว่าเราสามารถไว้วางใจใครที่จะขอใช้ข้อมูลหรือเชื่อข้อมูลนั้นได้ หรือบางทีเราก็ตกเป็นเหยื่อข้อมูล เพราะมีเครื่องมือที่ถูกออกแบบโดยมนุษย์มาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง 

ได้ยินได้ฟังการคุยกันถึงว่าเราต้องเรียนรู้ ต้องตระหนักรู้  ต้องร่วมมือกัน ต้องเข้าใจบทบาทแต่ละฝ่ายว่าใครทำอะไรอยู่ในระบบนิเวศของข้อมูลข่าวสารนี้ แล้วทำอย่างไรนอกจากรู้เท่าทันแล้วยังต้องคิดประเมินล่วงหน้าด้วยว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกทางกายภาพ แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่าแล้วโลกออนไลน์มันเป็นอย่างไรอยู่แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อกันและกัน ธีรดา กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ถอดรหัส AI Disruption:ใช้มัน…อย่าให้มันใช้เรา

โดย ระวี ตะวันธรงค์

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในวงการสื่อสารมวลชน ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่การร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ไปจนถึงวันที่ต้องปิดตัวลง การปรับเปลี่ยนองค์กรสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์สู่ยุค “ออนไลน์เฟิร์ส” (Online first) ล้วนเป็นบทเรียนที่สอนเราว่า การหยุดนิ่งคือการถอยหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ รุนแรงและรวดเร็วกว่าครั้งไหน ๆ เรากำลังก้าวข้ามจากยุค Digital Disruption ไปสู่ AI Disruption อย่างเต็มตัว

รายการ “Media Code” ถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องมือ” (Tool) อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “พลังแห่งการเปลี่ยนรูป” (Transformative Force) ที่กำลังจะพลิกโฉมทุกวงการ หลักการสำคัญที่เราต้องยึดไว้ให้มั่นคือ “เราต้องเป็นผู้ใช้ AI อย่าปล่อยให้ AI ใช้เรา” เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ควบคุมมัน และไม่ตกเป็นทาสของข้อมูลที่มันป้อนให้โดยไม่รู้ตัว

คลื่นสึนามิ AI: ภัยคุกคามต่อตำแหน่งงานที่ไม่อาจมองข้าม

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพอนาคตที่น่ากังวล ภายในปี 2030 คาดการณ์ว่าบริษัททั่วโลกจะลดการจ้างงานพนักงานลงถึง 41% เพื่อนำ AI เข้ามาทดแทน แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง McKinsey ที่มีพนักงานเกือบหมื่นคนทั่วโลก ยังคาดการณ์ว่าจะลดพนักงานลงเกือบ 30% ภายในปี 2025 เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะงานที่เคยต้องอาศัยทักษะมนุษย์ในการให้คำปรึกษา ค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก และทำวิจัย กำลังจะถูก AI เข้ามาทำหน้าที่แทนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า พนักงานที่เหลือรอดจึงต้องยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสามารถ “ควบคุม AI” ได้

หลายอาชีพกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกทดแทน:

● ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service): แชทบอทอัจฉริยะสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนและหลากหลายได้อย่างน่าทึ่ง

● นักบัญชีและนักกรอกข้อมูล (Data Entry): AI สามารถรวบรวม แปล และสรุปข้อมูลจากทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่นาที

● นักพิสูจน์อักษร: ความผิดพลาดจากสายตามนุษย์จะลดน้อยลง เมื่อ AI เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ

● ทหาร: เทคโนโลยีการทหารก้าวล้ำไปมาก โดรนและ AI ถูกใช้ในการตรวจจับและจำลองสถานการณ์รบ ทำให้บริษัทอย่าง Palantir ซึ่งพัฒนา AI ให้กับกองทัพสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาล

● สายงานอาหาร: แม้แต่การทำอาหารก็ไม่เว้น ร้านก๋วยเตี๋ยวบางแห่งเริ่มใช้แขนกลหุ่นยนต์ที่ป้อนสูตรด้วย AI เพื่อควบคุมรสชาติและคุณภาพให้คงที่

AI ในห้องข่าว: ระหว่างโอกาสและความท้าทาย

ในวงการสื่อสารมวลชน AI ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป องค์กรสื่อทั่วโลกกว่า 79% ได้นำ AI มาปรับใช้ในห้องข่าว (Newsroom) แล้ว แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ การขาดนโยบายกำกับดูแลที่ชัดเจนซึ่งสร้างความเสี่ยงทั้งในแง่ข้อมูลรั่วไหลและปรากฏการณ์ “Hallucination” ที่ AI สร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาเอง

น่าประหลาดใจที่ผลสำรวจจาก Reuters Institute ในปี 2024 พบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก (39%) ที่ผู้คนรู้สึกสบายใจและเชื่อถือข่าวสารที่มาจาก AI ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลและตอกย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความรู้เท่าทันสื่อยุคใหม่

สำนักข่าวระดับโลกต่างนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน:

● Reuters: ใช้ Gemini ในการตรวจสอบและคัดแยกรูปภาพข่าวนับหมื่นภาพต่อวัน เพื่อจำแนกภาพจริงออกจากภาพที่สร้างโดย AI

● Times.com และ Bloomberg: ใช้ AI ในการสร้าง Personalized News เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ตรงกับความสนใจของสมาชิกแต่ละรายโดยเฉพาะ

● Associated Press (AP): ใช้ Chat GPT พัฒนาระบบค้นหาคลังข่าวในอดีต (Archive) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันทราฟฟิกบนเว็บไซต์สื่อกว่า 63% ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจาก AI ที่เข้ามาเก็บข้อมูล (Information Scraping) นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสร้างคอนเทนต์ต้องเปลี่ยนจากการทำเพื่อ SEO (Search Engine Optimization) ให้คนค้นหา มาเป็นการทำเพื่อให้ AI อ่านและเรียนรู้

ทางรอดของมนุษย์: ยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop”

เมื่อ AI สามารถเข้ามาแทรกแซงกระบวนการผลิตคอนเทนต์ได้ตั้งแต่การคิดคอนเซ็ปต์ ร่างสคริปต์ ไปจนถึงการสร้าง “อวตาร” (Avatar) ขึ้นมาพูดแทนเราได้อย่างแนบเนียน คำถามสำคัญคือบทบาทของมนุษย์อยู่ตรงไหน?

แม้แต่งานที่เคยต้องการทักษะสูงและมีรายได้มหาศาลอย่าง Data Engineer หรือ Data Scientist ก็กำลังถูกเปลี่ยนบทบาท จากเดิมที่ต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน ปัจจุบันหน้าที่หลักของมนุษย์กลับกลายเป็นการ “ป้อนข้อมูลและควบคุม AI” ให้ทำงานตามที่ต้องการ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ทางรอดเดียวของมนุษย์คือการยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop” (HITL) ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของ AI เสมอ โดยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการ:

1. การป้อนข้อมูล (Input): มนุษย์ต้องเป็นผู้คัดเลือกและป้อนข้อมูลที่มีคุณภาพให้ AI เรียนรู้ ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ไปหาข้อมูลมาเองอย่างไร้การควบคุม

2. การตรวจทาน (Review): ก่อนนำผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ไปใช้งาน มนุษย์ต้องทำหน้าที่ตรวจทานความถูกต้องและความเหมาะสมเสมอ

3. การตัดสินใจขั้นสุดท้าย (Final Decision): มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ “คนสุดท้าย” ก่อนที่จะกดปุ่ม Enter เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนั้นออกไปสู่สาธารณะ

ท้ายที่สุดแล้ว AI ได้เรียนรู้พฤติกรรมของเราและสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน” (Echo Chamber) ที่คอยกล่อมเกลาให้เราเชื่อในสิ่งที่มันป้อนให้ซ้ำ ๆ สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่แค่การใช้ AI ให้เป็น แต่คือการ “รู้เท่าทัน” ทั้งสื่อและ AI เพื่อให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เรากำลังเสพอยู่นั้นเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพราะในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับสิ่งสังเคราะห์เลือนลางลงทุกขณะ การมี Critical Thinking คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราเป็นนายของเทคโนโลยี ไม่ใช่ทาสของมัน

คลิปเก่าชาวเขมรประท้วงไทย ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการชุมนุมกรณี นศ. เกาหลีใต้เสียชีวิตในกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพชาวเขมรประท้วงเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเสียชีวิตในกัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นภาพเก่าที่ชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้ประท้วงไทย** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 15 ต.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก “ตะลอน ทั่วกรุง” โพสต์ภาพกลุ่มชาวกัมพูชาถือธงชาติ ฝังข้อความ “แรงงานเขมรในเกาหลีประท้วง ขู่ไม่ทำงาน ลั่นกัมพูชาไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์” และเขียนบรรยายเพิ่มเติมในโพสต์ว่า แรงงานเขมรที่ทำงานอยู่ในประเทศเกาหลีใต้รวมตัวกัน “เพื่อประกาศให้ชาวเกาหลีรู้ว่ากรณีนักศึกษาที่เสียชีวิตในกัมพูชา คนเขมรไม่ได้ทำ แต่เป็นแก๊งค์อาชญากรข้ามชาติซึ่งเป็นคนจีน”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวมาจากคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวกัมพูชาจำนวนมากโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการปะทะทางทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. ผู้โพสต์ระบุตรงกันว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้รวมตัวกันประท้วงประเทศไทยโดยกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีกัมพูชาก่อน 

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นคลิปเก่าที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการประท้วงของชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้ โดยอาศัยช่วงที่สังคมกำลังให้ความสนใจข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกล่อลวงและกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่และทรมานจนเสียชีวิต นำมาสู่การออกคำเตือนของทางการเกาหลีใต้ต่อพลเมืองในการเดินทางไปกัมพูชา

‘พลาสเตอร์-แผ่นแปะ’ ติดตามร่างกายแก้ ‘เมารถ- เมาเรือ’ จริงหรือไม่?

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

พลาสเตอร์ติดสะดือ แก้อาการเมารถได้ จริงหรือไม่?” เป็นคำถามที่ทางเครือข่ายใน จ.มหาสารคาม เลือกมาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังพบการแชร์เรื่องนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งข้อมูลล่าสุด พบว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยเตือนไว้ตั้งแต่ปี 2561 ว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเวลานั้นมีการแชร์ความเชื่อแปลกๆ ว่า การนำพลาสเตอร์ปิดแผลมาปิดตามอวัยวะต่างๆ เช่น สะดือ ใต้สะดือ หลังหู จะช่วยแก้อาการเมารถ – เมาเรือได้ 

อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน (เดือนตุลาคม 2568) จากการลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต ผู้เขียนพบว่า ยังมีการโฆษณาขาย “แผ่นแปะหลังหูแก้อาการเมารถ – เมาเรือ” หลากหลายยี่ห้อ และหลายคนก็นำมารีวิวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จึงมีคำถามตามมาว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานอย่างไร? มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องในประเทศไทยหรือไม่? รวมถึงเคยมีรายงานผลข้างเคียงหรือไม่?

– เมารถ  เมาเรือเกิดจากอะไร? : ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ศ.พญ.สุจิตรา ประสานสุข ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ในบทความ เมารถ เมาเรือ” ว่า อาการเมารถ – เมาเรือ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล (ใครที่เมาก็จะเมา แต่ใครที่ไม่เมาก็จะไม่เมา) “อาการเมาเกิดจากประสาททรงตัวทำงานไม่สมดุล” ซึ่งความไม่สมดุลนี้อาจจะเกิดจาก ได้รับแรงกระตุ้นที่มากเกินไป เช่น นั่งรถที่เหวี่ยง หรือนั่งเรือที่โคลงเคลงไป – มาตามลูกคลื่นเป็นเวลานาน จนไปกระตุ้นประสาทการทรงตัวของคนคนนั้น

ถ้าประสาทการทรงตัวของเราไม่มีความไวผิดปกติ เราก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ในคนหลายๆคน เกิดมารู้สึกว่าประสาททรงตัวไวเป็นพิเศษ พอนั่งรถไปได้สักพักจะรู้สึกว่าเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนศ.พญ.สุจิตรา กล่าว

เช่นเดียวกับบทความ เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้ ซึ่งเขียนโดย ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณและ รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า อาการเมารถ เมาเรือ (Motion Sickness) เกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่สมองได้รับจากหูชั้นใน ซึ่งรับรู้การเคลื่อนไหว กับตาที่มองเห็นสภาพโดยรอบ รวมถึงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการเมาแบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อเดินทางด้วยรถ เรือ และเครื่องบิน บางรายเกิดอาการได้ เมื่อเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกที่มีการหมุนเหวี่ยง หรือเคลื่อนที่เร็วมากๆ อาการที่เกิดคือ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ปวดหัวเหงื่อแตก น้ำลายไหล หายใจติดขัด หน้าซีด เป็นต้น 

แต่อาการเมารถ เมาเรือนั้น ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมบางคนเป็น แล้วบางคนไม่เป็น แต่มีการรวบรวมข้อมูลและทราบถึงปัจจัยเสี่ยงขั้นต้นได้แก่ เด็กช่วงอายุ 2-12 ปี มักมีอาการเมารถเมาเรือได้ง่าย ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน หรืออยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือรับประทานยาฮอร์โมน จะมีอาการเมารถ เมาเรือได้ง่ายกว่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือข้อมูลทางกรรมพันธุ์ คนที่มีญาติสายตรงมีอาการเมารถ เมาเรือ จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป บทความดังกล่าวระบุ 

– พลาสเตอร์แปะหลังหูแก้อาการเมารถ  เมาเรือ มีจริงหรือไม่? : คำตอบตือ มีจริง เช่น บทความ เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน … รับมือได้อย่างไรเขียนโดย ผศ.ดร.ฉัตรชากร เอื้อติวงศ์ ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า สโคโปลามีน (Scopolamine)” เป็นรูปแบบแผ่นแปะผิวหนังที่บริเวณหลังใบหู ปริมาณการใช้อยู่ที่ 1 มิลลิกรัม โดยให้แปะ 4-6 ชั่วโมง ก่อนออกเดินทาง ยาจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ มีผลนาน 3 วัน

เว็บไซต์ medlineplus.gov ฐานข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพซึ่งจัดทำโดย หอสมุดการแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NLM) กล่าวถึงในบทความ “Scopolamine Transdermal Patch (สโคโปลามีนแบบแผ่นแปะผิวหนัง) ว่า สโคโปลามีน ใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากอาการเมารถหรือยาที่ใช้ระหว่างการผ่าตัด โดย สโคโปลามีนจัดอยู่ในกลุ่มยาที่เรียกว่าแอนติมัสคารินิก (Antimuscarinics) ซึ่งออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของสารบางชนิด (Acetylcholine) ต่อระบบประสาทส่วนกลาง

มีลักษณะเป็นแผ่นแปะสำหรับแปะบนผิวหนังที่ไม่มีขนหลังใบหู ในกรณีใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากอาการเมารถ ให้แปะแผ่นแปะอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนที่จะออกฤทธิ์ และทิ้งไว้นานถึง 3 วัน หากจำเป็นต้องใช้ยานานกว่า 3 วัน ให้ลอกแผ่นแปะเดิมออกแล้วแปะแผ่นแปะใหม่หลังใบหูอีกข้างหนึ่ง แต่หากเป็นกรณีใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากยาที่ใช้ในการผ่าตัด ให้แปะแผ่นแปะตามคำแนะนำของแพทย์ และทิ้งไว้นานถึง 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด

 สถานะของสโคโปลามีนและยาแก้เมารถ – เมาเรือในประเทศไทย : จากการสืบค้น (ณ วันที่ 7 ต.ค. 2568) ในฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยใช้คำว่า Scopolamineพบทั้งหมด 44 รายการ แบ่งเป็น เภสัชเคมีภัณฑ์ 43 รายการ ส่วนอีก 1 รายการ ขึ้นทะเบียนในฐานะยาสำเร็จรูป โดยเป็นยาชนิดฉีด

ขณะที่เมื่อใช้คำว่า แผ่นแปะ” พบทั้งสิ้น 215 ราบการ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือแพทย์ 180 รายการ เครื่องสำอาง 13 รายการ ยาสำเร็จรูป 11 รายการ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 5 รายการ และวัตถุอันตราย 6 รายการ และเมื่อใช้คำว่า เมาเรือ พบทั้งสิ้น รายการ เป็นยาสำเร็จรูปทั้งหมด และเป็นยรับประทาน ไม่ใช่แผ่นแปะผิวหนัง รวมถึงเป็นตัวยา ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) หมายเหตุ : ทั้ง 5 รายการ แม้จะระบุว่าเป็นยาแก้เมารถ – เมาเรือ แต่ต้องใช้คำค้นว่า เมาเรือ เท่านั้น หากใช้คำว่า เมารถ จะค้นหาไม่พบ 

อนึ่ง ทีมงานโคแฟคได้สอบถามไปยัง อย. และได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ครั้งหนึ่งเคยมีการขอขึ้นทะเบียนยาสโคโปลามีนรูปแบบแผ่นแปะ ในชื่อ SCOPODERM TTS เลขที่รับคำขอ 1C 1232/26 วันที่รับคำขอ 10 ต.ค. 2526 เลขทะเบียน 1C 242/28 วันที่อนุมัติ 1 มี.ค. 2528 ลักษณะเป็นยาแผ่นปิดผิวหนังหลังหู แผ่นบาง แบ่งเป็นชั้นๆ ตรงกลางเป็นแผ่นกลม สีชมพูอ่อน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 17.8 มม. ใช้เพื่อป้องกันอาการเมารถ เมาเรือ เวลาเดินทาง ซึ่งการขึ้นทะเบียนนี้เดิมจะหมดอายุในวันที่ 12 ต.ค. 2567 แต่ได้ยกเลิกไปก่อนเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2550 และจนถึงขณะนี้ (7 ต.ค. 2568) ยังไม่พบการขึ้นทะเบียนยาสโคโปลามีนรูปแบบแผ่นแปะอีก

– เตรียมตัวก่อนเดินทางอย่างไรให้ดลเสี่ยงอาการเมารถ  เมาเรือ? : คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ บทความ “เมารถ เมาเรือ” โดย ศ.พญ.สุจิตรา ประสานสุข ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , บทความ “เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้” โดย ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ และรศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปได้ดังนี้ 

1.พักผ่อนให้เพียงพอก่อนการเดินทาง หากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการได้ง่ายและรุนแรงขึ้น 2.อย่าปล่อยให้ท้องว่างก่อนออกเดินทางมีความเชื่อกันว่าควรปล่อยให้ท้องว่างจะได้ไม่อาเจียนระหว่างทาง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะยิ่งท้องว่างก็จะทำให้เมาเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถรับประทานอาหารตามปกติ แต่อย่ารีบร้อน ให้รับประทานช้าๆ และควรเว้นระยะพักสักครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

3.เลือกที่นั่งให้เหมาะสม หากเดินทางด้วยรถควรนั่งด้านหน้าเพราะจะทำให้สายตามองไปด้านหน้า อาการเมาจะเกิดช้ากว่าการนั่งด้านหลังที่ต้องมองทิวทัศน์จากด้านข้าง , หากเดินทางด้วยเรือ ควรเลือกที่นั่งบริเวณกลางลำเรือ ไม่ควรเลือกที่นั่งเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะเรือจะโยกตัวตามความแรงของคลื่น , หากเดินทางด้วยเครื่องบิน ให้เลือกที่นั่งบริเวณปีก และเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อสามารถมองออกไปข้างนอกได้ 4.รับประทานยาแก้เมาเตรียมไว้ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง 

โดยสรุปแล้ว การนำพลาสเตอร์สำหรับปิดแผลมาปิดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น สะดือ หลังหู) ไม่สามารถแก้อาการเมารถ – เมาเรือได้ ส่วนแผ่นแปะแก้อาการเมารถ  เมาเรือนั้น โดยแปะที่บริเวณหลังหูนั้นมีอยู่จริง มีใช้ในบางประเทศ แต่ ณ ปัจจุบัน ไม่มีทะเบียนอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://dis.fda.moph.go.th/detail-infoGraphic?id=1607 (พลาสเตอร์ปิดสะดือแก้เมารถ ไม่จริง : อย. 20 ส.ค. 2561)

https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=107 (เมารถ เมาเรือ : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 6 ต.ค. 2553)

https://www.pharm.chula.ac.th/th/News_content/preventing-car-and-boat-sickness/ (เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้ : คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20 พ.ค. 2567)

https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/703 (เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน … รับมือได้อย่างไร : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 29 ต.ค. 2567)

https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a682509.html (Scopolamine Transdermal Patch : MedlinePlus 15 ก.ค. 2568)

https://www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/fda-adds-warning-about-serious-risk-heat-related-complications-antinausea-patch-transderm-scop (FDA adds warning about serious risk of heat-related complications with antinausea patch Transderm Scōp (scopolamine transdermal system) : FDA 18 มิ.ย. 2568)

https://www.fda.moph.go.th/?op=kwssl&lang=1&skin=s&db=Main&ww=(ระบบค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากอย.)