ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริง “มัตจะดื่มทุกวันอันตรายจริงหรือ?”

วันที่ 23 กันยายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ได้หยิบยกประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียลเกี่ยวกับกระแสการดื่มมัตจะะทุกวัน โดยมีคำถามว่า การบริโภคชาเขียวมัตจะในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT รองศาสตราจารย์ ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศอาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึง ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่จากภาคีมหาสารคามที่เป็นนักดื่มมัตจะตัวยง

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามถึงความนิยมในมัตจะที่กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ราคาเครื่องดื่มมัตจะพรีเมียมอาจสูงถึงแก้วละ 80-300 บาท เธอตั้งข้อสังเกตว่า “มัตจะอาจเป็นอันตรายต่อกระเป๋าสตางค์!!” และแสดงความกังวลว่าการดื่มทุกวันอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนไม่หลับจากคาเฟอีน หรือผลกระทบต่อผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาการนอนหลับ

ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์ เผยถึงพฤติกรรมการดื่มมัตจะในกลุ่มเพื่อนของเธอ โดยระบุว่า “ขั้นต่ำวันละ 2 แก้ว ขนาด 22 ออนซ์” และบางคนถึงขั้นดื่มแทนน้ำเปล่า โดยมักผสมกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำส้ม แต่ไม่ใส่นมหรือวิปครีม

เธอยังเล่าถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์ว่าการดื่มมัตจะทุกวัน อาจเสี่ยงต่อมะเร็ง ปัญหาตับ ความดันโลหิตสูง และลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งทำให้เธอและเพื่อนๆ เริ่มกังวล

รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อธิบายถึงประโยชน์และความเสี่ยงของมัตจะ โดยระบุว่า มัตจะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปเพราะใช้ใบชาทั้งใบที่บดละเอียด ทำให้มีปริมาณสารสำคัญ เช่น EGCG (สารต้านอนุมูลอิสระ) และกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึงสองเท่า การศึกษาบางชิ้นในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองชี้ว่า EGCG อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยในมนุษย์ที่ยืนยันผลชัดเจน 100% ในทางกลับกัน การบริโภค EGCG เกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน ตามที่หน่วยงานในยุโรปกำหนด อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

อาจารย์วันทนีย์แนะนำว่า เพื่อความปลอดภัย ควรจำกัดการดื่มมัตจะไม่เกินวันละ 1 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์หรือน้อยกว่า) โดยเฉพาะมัตจะที่มีคุณภาพสูงอาจมี EGCG สูงถึง 400-500 มิลลิกรัมต่อแก้วขนาด 16-22 ออนซ์

อาจารย์ยังเตือนถึงปริมาณกาเฟอีนที่สูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการนอนหลับ และสารแทนนินในมัตจะที่อาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีประจำเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางมากกว่าผู้ชาย

สำหรับกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงมัตจะ อาจารย์วันทนีย์ระบุว่า ผู้ที่แพ้กาเฟอีน ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (ยาละลายลิ่มเลือด) เนื่องจากมัตจะมีวิตามินเคสูง ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของยา เธอแนะนำให้ดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและสลับกับเครื่องดื่มอื่น เพื่อความหลากหลายและลดความเสี่ยงจากการบริโภคมากเกินไป

สุชัย เจริญมุขยนันท ถามถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่ม ซึ่งอาจารย์แนะนำว่า ควรดื่มหลังอาหาร 2 ชั่วโมงเพื่อลดการรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก และหลีกเลี่ยงการดื่มหลังบ่าย หากกังวลเรื่องการนอนหลับ เขายังสอบถามถึงทางเลือกอื่นๆ ซึ่งอาจารย์เผยว่า ส่วนตัวชอบชาไทยหวานน้อยหรือโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเป็นครั้งคราว โดยเน้นความหลากหลายในเครื่องดื่ม

สุภิญญา ปิดท้ายด้วยการเตือนว่า กระแสโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ และแนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมฝากถึงผู้ชมให้บริโภคอย่างพอดีเพื่อประหยัดทั้งสุขภาพและกระเป๋าสตางค์

รายการนี้สรุปว่า การดื่มมัตจะทุกวันในปริมาณน้อยไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่ชัดเจน แต่ไม่จำเป็นต้องดื่มทุกวัน และควรบริโภคอย่างหลากหลายเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและควบคุมค่าใช้จ่าย


ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่อง “ฟอกไต (ไม่) ฟรี” ที่นายกฯ อนุทินพูดวันแถลงนโยบาย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่เขากล่าวถึงนโยบาย “ฟอกไตฟรี” ว่า “รัฐบาลชุดที่แล้วเอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” พบว่าเป็นคำพูดที่อาจทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเกี่ยวกับนโยบายบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 

จากการตรวจสอบหลักเกณฑ์ของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสัมภาษณ์ นพ. จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. โคแฟคพบว่ารัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง มาเป็นการใช้วิธีการล้างไตทางหน้าท้องเป็นทางเลือกแรก โดยสิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองการบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

นายอนุทินแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ซึ่งในช่วงหนึ่งนายอนุทินได้ลุกขึ้นกล่าวตอบคำอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุข

นายอนุทินกล่าวว่า “…ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการทำงานของรัฐมนตรีหลายสิบท่านที่ผ่านมา…ผมได้ใช้เวลา 4 ปี ประสานงานกับสปสช. ทำเรื่องทั้งฟอกไตฟรีทั้งหมด ซึ่งก็เสียดายมากว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน ผมจะเอากลับมาครับ ใน 4 เดือนนี้ ผมจะเอากลับมา แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ รมว.สธ. จะต้องทำให้ผมเห็นภายใน 2 เดือน”

คำพูดของนายอนุทินทำให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลชุดที่แล้วโพสต์ชี้แจงทางเพจเฟซบุ๊กทางการของพรรคเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้นำนโยบายฟอกไตฟรีออกไปตามที่นายอนุทินกล่าวและยืนยันว่า การให้บริการการล้างไตทั้ง 2 รูปแบบ (การล้างไตทางช่องท้องและการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม) ยังอยู่ในสิทธิการรักษา 30 บาท โดยมีนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก”

โคแฟคตรวจสอบ

“รัฐบาลชุดที่แล้ว” ที่นายอนุทินกล่าวถึงคือคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจนกระทั่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นจากตำแหน่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอน น.ส.แพทองธาร เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 จากกรณี “คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน” ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง 

“ฟอกไตฟรี” ภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ข้อมูลจาก สปสช. และมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ระบุว่า การบำบัดทดแทนไตหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ฟอกไต” หรือ “ล้างไต” มีอยู่ 2 วิธี คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis: HD) และการล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis: PD) ซึ่งในทางการแพทย์ทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการรักษาใกล้เคียงกัน แต่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายต่างกันไปขึ้นกับสภาวะร่างกาย โรคร่วม และความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย

ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสิทธิเข้ารับการฟอกไตได้ฟรี โดย สปสช. กำหนดให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรก (PD First) เว้นแต่จะมีข้อห้าม และได้รับการอนุมัติจาก สปสช. จึงจะสามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) ได้ หากไม่ได้รับอนุมัติจาก สปสช. แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง

ปี 2565 ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีนายอนุทินเป็น รมว.สธ. และเป็นประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ สปสช. ปรับแนวทางจากการให้ล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรกหรือ PD First เป็นการให้สิทธิผู้ป่วยเลือกได้เองว่าจะใช้วิธีล้างไตทางช่องท้องหรือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Free Choice) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565  

ปี 2567 HITAP ได้ทำการวิจัยถึงผลกระทบของนโยบาย Free Choice ที่ให้ผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผลการวิจัย พบว่ามีผลด้านลบหลายประการ คือ

  • จำนวนผู้ป่วยที่เลือกรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ และพบว่าจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการฟอกเลือดสูงขึ้นมาก
  • มีปัญหาคอขวดในการเตรียมเส้นเลือดถาวรก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ทำให้ผู้ป่วยจํานวนมากต้องใช้สายสวนหลอดเลือดดําชนิดชั่วคราวในระยะแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง และประสิทธิภาพในการฟอกเลือดตํ่ากว่าเส้นเลือดชนิดถาวร
  • ค่าบริการรักษาทดแทนไตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตํ่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 16,000 ล้านบาทในปี 2567 นอกจากนี้ค่ารักษาภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตก็เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านบาทต่อปี เป็น 3,900 ล้านบาทในปี 2566
  • ขีดความสามารถในการให้บริการล้างไตทางช่องท้อง (PD) ลดลงอย่างรวดเร็วจากการที่มีผู้ป่วยเข้ารับบริการลดลงจนถึงจุดที่หน่วยบริการ PD อาจต้องปิดตัวลง ในที่สุดการบริการ PD จะหายไปจากระบบบริการสุขภาพ ส่งผลให้ประเทศสูญเสียขีดความสามารถและทางเลือกในการรักษาบําบัดทดแทนไต

นโยบายฟอกไตฟรียุครัฐบาลแพทองธาร

ในสมัยรัฐบาลแพทองธารที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทินเป็น รมว.สธ. (4 ก.ย. 2567-29 ส.ค. 2568) เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายบําบัดทดแทนไตอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบทางลบของนโยบาย Free Choice ที่ให้สิทธิผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองที่ปรากฏในงานวิจัยของ HITAP

วันที่ 4 พ.ย. 2567 บอร์ด สปสช. ที่มีนายสมศักดิ์เป็นประธาน มีมติให้นำนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) กลับมาใช้ แต่หากมีความจำเป็น แพทย์สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย ได้แก่ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การปลูกถ่ายไต และการดูแลด้วยวิธีประคับคอง โดยทั้ง 4 วิธีนี้ ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  

หลังจากใช้เวลาเตรียมการและออกประกาศที่เกี่ยวข้องอยู่นานหลายเดือน สปสช. ก็เริ่มดำเนินการตามนโยบาย PD First รอบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งในช่วงนี้เองที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยสิทธิบัตรทองรายใหม่ที่เริ่มฟอกไตหลังจากวันที่ 1 เม.ย. 2568 จะต้องจ่ายค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเอง ซึ่ง สปสช. ได้ชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง สิทธิบัตรทองคุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยไตทั้งหมด

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. อธิบายในการแถลงข่าวร่วมกับนายสมศักดิ์ รมว.สธ. เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 ว่า ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรายเก่าทุกคนจะได้รับสิทธิบริการทดแทนไตด้วยวิธีเดิมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ป่วยรายใหม่จะมีระบบตรวจสอบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยวิธีการล้างไตทางช่องท้องจะเป็นทางเลือกแรก 

นพ.จเด็จยืนยันว่าปัจจุบันหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการบำบัดทดแทนไตทุกวิธี และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่รับการบำบัดทดแทนไตในระบบจำนวน 84,750 ราย เป็นผู้ป่วยรับการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมจำนวน 64,515 ราย และผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องจำนวน 20,235 ราย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. ในขณะนั้นแถลงข่าวชี้แจงนโยบาย PD First ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 (ภาพ: สปสช.)

ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางรายถูกเรียกเก็บเงินค่าฟอกไตจริง จากปัญหาของระบบให้บริการ

ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ซึ่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. และประธานบอร์ด สปสช. คนใหม่เข้าร่วมประชุมด้วยเป็นครั้งแรก น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ผู้แทนองค์กรเอกชน รายงานว่าได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ป่วยสิทธิบัตรทองว่าต้องจ่ายค่าฟอกไตเองเนื่องจากโรงพยาบาลตามสิทธิมีศักยภาพจำกัดในการให้บริการฟอกไตหรือคิวยาวมาก จึงส่งตัวผู้ป่วยให้ไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีการเรียกเก็บเงินผู้ป่วย

นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ยอมรับว่ามีกรณีที่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางคนถูกเรียกเก็บเงินค่าบำบัดทดแทนไตจริงจากหลายสาเหตุ เช่น การที่ผู้ป่วยมีจำนวนเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลรับไหวจึงส่งตัวไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย 

“เราจะไปดูรายละเอียดว่าเกิดเหตุ (ผู้ป่วยถูกเรียกเงิน) มากขนาดไหน ถ้าจำเป็นก็จะดำเนินการทางกฎหมาย ขอประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยบริการในระบบด้วยว่าให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย” นพ.จเด็จให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุม

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. (ซ้าย) และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อ 6 ต.ค. 2568

เลขาธิการ สปสช. ยืนยันไม่มีการ “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป”

โคแฟคสอบถาม นพ.จเด็จถึงกรณีที่นายอนุทินกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า “รัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เลขาธิการ สปสช. อธิบายว่า “ไม่ได้เอา (ฟอกไตฟรี) ออกไป แต่เป็นเรื่องของการปรับระบบการให้บริการที่แตกต่างจากเดิม…ตอนนี้ระบบสิทธิบัตรทองยังให้บริการทั้งฟอกเลือด ล้างไตทางหน้าท้องและการปลูกถ่ายอวัยวะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เราจะไปดูว่าส่วนไหนของระบบที่เป็นจุดอ่อนทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย เราจะไปปิดจุดอ่อนเพราะเป็นนโยบายที่ต้องให้การรักษาฟรี”

ข้อสรุปโคแฟค

  • รัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ และนายสมศักดิ์เป็น รมว.สธ. และประธานบอร์ดหลักประกันสุขภาพ ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง (Free Choice) มาเป็นวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) โดยบอร์ด สปสช. มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 และเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บเงินค่าฟอกไต
  • ตามประกาศประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีบริการผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยการบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2568 สิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งจะมีคณะกรรมการไตระดับเขตและระดับประเทศพิจารณาวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยให้วิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก ในกรณีที่คณะกรรมการไตเห็นว่าผู้ป่วยสามารถใช้วิธีล้างไตทางหน้าท้องได้ แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองและจะได้รับสิทธิรักษาฟรีเฉพาะบริการที่จำเป็น เช่น ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นการยกเลิกการฟอกไตฟรี
  • ช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ถูกเรียกเก็บค่าฟอกไตจริง ซึ่งเป็นปัญหาของระบบบริการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. เช่น โรงพยาบาลของรัฐมีศักยภาพจำกัดจึงส่งผู้ป่วยไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งเรียกเก็บเงินผู้ป่วย ซึ่งบอร์ด สปสช. มีมติให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนแล้ว

จากข้อมูลของ สปสช. งานวิจัยของ HITAP และการสัมภาษณ์ นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ที่โคแฟครวบรวมและประมวลมานี้ทำให้สรุปได้ว่า คำพูดของนายอนุทินที่ระบุว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เป็นข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อแนวทางการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังของระบบหลักประกันสุขภาพหรือสิทธิบัตรทอง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

 

คลิปลูกจ้างประท้วงในกัมพูชา ถูกนำมาบิดเบือนว่าชาวเขมรชุมนุมไล่ “ฮุน เซน”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปประท้วงขับไล่ “ฮุน เซน” ในกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำภาพการประท้วงนายจ้างของแรงงานข้ามชาติในกัมพูชามาสร้างความเข้าใจผิด** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 6 ต.ค. 68 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอ Reel ความยาว 14 วินาที เป็นภาพการชุมนุมประท้วงบริเวณอาคารแห่งหนึ่ง มีรถตำรวจเปิดสัญญาณไฟ  พร้อมข้อความบรรยายว่า “ไล่ฮุนเซน 5/10/68 แชร์ไปให้โลกรู้ว่าเขมรพัง หมดแล้ว” และ “ประท้วงไล่ฮุนเซน #ข่าวจริง” คลิปนี้มียอดการชมมากกว่า 2 ล้านครั้งและยอดการแชร์มากถึง 1.4 หมื่นครั้ง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบว่าคลิปเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกัมพูชาหลายรายช่วงสัปดาห์ที่แล้ว บางโพสต์ให้ข้อมูลเป็นภาษาเขมร แปลสรุปใจความได้ว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ลูกจ้างชาวต่างชาติ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ ประท้วงและทำลายทรัพย์สินจากเหตุไม่พอใจที่นายจ้างชาวจีนดูหมิ่นศาสนา เหตุเกิดที่ไชน่าทาวน์ สีหนุวิลล์เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 68 

สื่อหลายสำนักในกัมพูชารายงานข่าวนี้ เช่น Troryorng News รายงานว่า เจ้าหน้าที่จับกุมชาวต่างชาติ 59 คน ประกอบด้วยชาวปากีสถานและบังกลาเทศ 57 คนและชาวจีน 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุประท้วงและมีการทุบทำลายทรัพย์สินที่อาคารในย่านไชน่าทาวน์ ในเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชาคืนวันที่ 4 ต.ค. 68  ตำรวจให้ข้อมูลว่าการประท้วงเกิดจากการโต้เถียงกันระหว่างลูกจ้างชาวปากีสถานกับผู้จัดการชาวจีน และมีการพาดพิงความเชื่อทางศาสนา แม้ผู้จัดการชาวจีนจะขอโทษคู่กรณีแล้ว แต่ลูกจ้างจำนวนหนึ่งไม่พอใจจึงก่อเหตุวุ่นวายขึ้น

โคแฟคตรวจสอบภาพประกอบข่าวของสำนักข่าว Troryorng News พบว่าลักษณะอาคารตรงกับที่ปรากฎในคลิปวิดีโอ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน 

นอกจากนี้ โคแฟคยังได้ส่งข้อความไปสอบถามสำนักข่าว CamboJANews ซึ่งเสนอข่าวนี้เช่นกัน ได้รับการยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์แรงงานชาวต่างชาติในสีหนุวิลล์ประท้วงและทำลายอุปกรณ์สำนักงานจากเหตุดูหมิ่นศาสนา

“สุทธิชัยหยุ่น” ถูกปลอมตัว Deep Fake เตือนภัยสังคม! แนะ ‘รหัสประจำบ้าน’ สู้มิจฉาชีพยุค AI

โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว EP.20 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ได้เปิดวงสนทนาในประเด็น “DEEP FAKE ปลอมตัวตน หลอกประชาชน โดยมี คุณสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการร่วมด้วย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และคุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส พร้อมด้วยคนเช็กข่าว สหโชค เพียรการ (ชาร์ป)

ด้วยยุคนี้เป็นยุคที่ต่อมการตรวจสอบความน่าเชื่อถือต้องทำงานหนัก เพราะภาพและเสียงที่เราคุ้นเคยอาจไม่ใช่ตัวจริงอีกต่อไปเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ Deep Fake ที่เกิดจาก AI(ปัญญาประดิษฐ์) สามารถปลอมแปลงได้อย่างแนบเนียน จนกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งกระทบไปถึงดารานักร้องอินฟลูเอนเซอร์ และแม้แต่สื่อมวลชนอาวุโสที่คนรู้จักกันทั้งประเทศก็ถูกปลอมตัวเช่นกัน

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวถึงความรวดเร็วของ AI ที่เข้ามาในชีวิตและการทำงานเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะมีงานวิจัยว่ามนุษย์จะต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษในการปรับตัวกับ AI แต่เพียงปี2568 (2025) ก็รู้สึกว่า AI ได้เข้ามาเร็วมากแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือมิติทางด้าน เศรษฐกิจ เนื่องจากทรัพย์สินอาจสูญหายเพราะการหลอกลวงโดยใช้ Deep Fake

คุณสุทธิชัย หยุ่น ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนเองตกเป็นเหยื่อของการปลอมแปลงตัวตน Deep Fake หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่มีเพื่อนไม่กล้าถามตรงๆ ว่าข่าวปลอมที่ระบุว่าตนเอง ตายแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไปจนถึงคลิปปลอมที่ดังที่สุดคือ บทสัมภาษณ์กับผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่มีการชักชวนให้ลงทุน นอกจากนี้ยังมีโฆษณาขายยาแก้ความดัน, ข่าวปลอมว่าถูกจับ, และรูปที่ถูกชกตาบวม มิจฉาชีพจะใช้วิธีตัดต่อเอาคลิปสัมภาษณ์จริงไปใส่ประโยคที่ต้องการหลอกคน

ผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้ที่หลงเชื่อ โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ หรือกลุ่ม เบบี้บูมเมอร์ ที่อยู่กับมือถือบ่อยและเห็นรูปแล้วเชื่อตามนั้นทันที 

คุณสุทธิชัยเล่าว่าเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจมีสถานะก็ยังหลงเชื่อสั่งซื้อยาแก้ความดันปลอมไป 900 กว่าบาท ปัญหาใหญ่คือเมื่อเสียเงินไปแล้วมักจะไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวเสียหน้า ทำให้มิจฉาชีพได้ประโยชน์ คุณสุทธิชัยจึงต้องใช้รายการของตนเองแจ้งเตือนสาธารณะว่าตนเอง ไม่ขายของ และ ไม่รับจ้างแบรนด์ไหน

จากการสอบถามไปยังตำรวจไซเบอร์กรณีของคุณสุทธิชัย สรุปได้ว่ามิจฉาชีพมีเป้าหมายคือต้องการให้คนคลิกเข้าไปดูให้มากที่สุด เพื่อนำเพจนั้นไปขายต่อ หรือไม่ก็เป็นการหลอกขายของ ส่วนกรณีหลอกให้ลงทุนก็จะมีเป้าหมายให้โอนเงินเข้าไป ซึ่งเกิดขึ้นกับนักธุรกิจใหญ่หลายคน อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์ระบุว่ามีเคสลักษณะนี้เยอะมากและไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดในกรณีของคุณสุทธิชัยได้

ในมุมมองของสื่อมวลชน คุณสุทธิชัยเห็นว่า AI เป็นสิ่งที่มาแรงและมาเร็ว แม้แต่การโคลนเสียงก็ทำได้เหมือนมาก สิ่งสำคัญคือการ รู้เท่าทัน และ ตรวจสอบต้นทาง ความน่าเชื่อถือ สื่อมวลชนต้องเอาน้ำดี‘ เข้าไปล้าง ‘น้ำเน่า‘” ด้วยการทำคอนเทนต์ที่สามารถตรวจสอบสิ่งที่ผิดได้

วิทยากรต่างเห็นพ้องว่าปัญหา Deep Fake เป็นเรื่องที่เกินกว่าปัจเจกชนจะรับมือได้ทัน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน:

มาตรการจากแพลตฟอร์ม: คุณสุภิญญาเสนอว่าเมื่อมีการร้องเรียนหรือแจ้งไปที่แพลตฟอร์ม (เช่น Facebook, TikTok) ควรมีปฏิบัติการทันที เช่น การแบน หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ขึ้นเตือน (Flag)” ตัวเบ้งๆ ให้ประชาชนเห็นว่าคลิปนั้นถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็น Deep Fake และควรมีการคุยกันระหว่างแพลตฟอร์มเพื่อร่วมกันจัดการ

บทบาทภาครัฐและสังคม: รัฐบาลควรมีมาตรการเจรจาหรือกดดันแพลตฟอร์มต่างชาติโดยเอาเรื่องการ คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เป็นตัวตั้ง ต้องมีการจัดกระบวนการตั้งแต่นโยบาย และตั้งวงทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล เอกชน เพื่อจัดหลักสูตรการศึกษา การฝึกอาชีพ

การศึกษาและภูมิคุ้มกัน :         

• เริ่มสอนตั้งแต่วัยเด็ก ให้รู้จักการแยกแยะสิ่งที่จริงและปลอม ต้องเตือนเด็กๆ ว่าเจอหน้าเหมือนพ่อแม่ เสียงคล้ายกัน อย่าเพิ่งเชื่อ!และ เช็คก่อน

• สำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ (เบบี้บูมเมอร์) ที่เป็นเหยื่อเยอะ ควรใช้ “Community Support” หรือ ครอบครัวสนับสนุน ในการช่วยกันตรวจสอบ

ข้อแนะนำสำหรับทุกบ้านที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที :

• ตั้ง “รหัสประจำบ้าน” (Passcode): หากมีเสียงคล้ายคนในครอบครัวโทรมาขอความช่วยเหลือหรือโอนเงิน ให้ตั้งคำถามที่เป็น “รหัสลับ” ที่รู้กันเฉพาะคนในบ้าน เพื่อใช้ยืนยันตัวตนก่อนวิธีนี้จะช่วยให้เกิดความตื่นตัวและฝึกนิสัยให้คิดวิเคราะห์(Critical Thinking) ก่อนเชื่อ

• หลักการของ COFACT: สโลแกนสำคัญในการรับมือกับข้อมูลข่าวสารปลอมในยุคนี้คือ “อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งโอน” เพราะการโอนเงินไปแล้วยากที่จะได้กลับคืนมา

ชวน นศ ร่วมกิจกรรม GenAsia Challenge 2025

ชวนมาร่วมกิจกรรม GenAsia Challenge 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมอบรมพัฒนาทักษะการตรวจสอบข่าวลวง และการตอบปัญหาทักษะการตรวจสอบข่าวลวงระดับอุดมศึกษา ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องจับกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน อาทิ การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการแก้โจทย์การตรวจสอบข่าวลวงต่างๆ เพื่อค้นหาความจริงด้วยเครื่องมือดิจิทัลประเภทต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านเครื่องมือดิจิทัล และการรู้เท่าทันสื่อให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง และมิจฉาชีพ
.
กิจกรรมช่วงที่ 1: เวิร์คช็อประดับภูมิภาค
กิจกรรมช่วงที่ 2: การแข่งขันตอบปัญหาตรวจสอบข่าวลวงระดับประเทศ
รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ
⬤ ทีมชนะเลิศ เงินรางวัล 5,000 บาท
⬤ ทีมรองชนะเลิศ เงินรางวัล 3,000 บาท
⬤ ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท
ทีมที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจะเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับเอเชีย
กิจกรรมช่วงที่ 3 การแข่งขันระดับนานาชาติ ตอบปัญหาตรวจสอบข่าวลวงแบบสด
รางวัลชนะเลิศระดับเอเชีย
⬤ ทีมชนะเลิศ เงินรางวัล 1,000 USD
⬤ ทีมรองชนะเลิศ เงินรางวัล 600 USD
⬤ ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 400 USD
ทุกทีมจะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากผู้จัดการแข่งขัน GenAsia Challenge
.
ลงทะเบียนได้ที่นี่: https://forms.gle/aQtDbK4M5PdnSpL5A
เว็บไซต์หลักของกิจกรรม: https://www.genasiachallenge.com/thailand

คลิปบ่อโคลนในโปแลนด์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพ “โยนศพทหารกัมพูชาลงตม”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปโยนศพทหารกัมพูชาลงบ่อโคลน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปจากช่องยูทูบชาวต่างชาติที่เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2567** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกในประเทศไทยแชร์คลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นการโยนศพทหารกัมพูชาลงไปในบ่อโคลน เพราะทางการไม่มีงบประมาณในการจัดการศพทหารเสียชีวิตจากการสู้รบกับทหารไทย 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกแชร์อย่างกว้างขวางในหลายแพลตฟอร์มโดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในหลายประเทศมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา บางคลิปมีความยาวมากกว่าคลิปที่อ้างว่าเป็นการ “โยนศพทหารกัมพูชา” ซึ่งทำให้เห็นว่าบุคคลในคลิปกระโดดลงไปในบ่อโคลนด้วยตัวเอง ไม่ใช่การถูกจับโยนลงไป

โคแฟคสืบค้นต่อไปจนพบวิดีโอฉบับเต็มที่มีความยาว 13.15 นาที เผยแพร่ทางช่องยูทูบ @BogGhoul เมื่อ 23 ก.ย.2567 ที่เขาตั้งกล้องบันทึกภาพตัวเองกระโดดลงบ่อโคลนในป่ามัสซูเรีย ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ เจ้าของช่องระบุว่าเป็นกิจกรรมที่เขาทำเพื่อความสนุกในฤดูร้อนและเขียนข้อความใต้วิดีโอว่า “กิจกรรมนี้กระทำโดยผู้มีประสบการณ์ และมีการเตรียมตัว ภาพที่เห็นเป็นการแสดง และผมไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย”  

คลิปไฟไหม้ใกล้ปั๊มน้ำมันที่ จ.ระยอง ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์ในกรุงเทพฯ

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปไฟไหม้โกดังใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำคลิปเหตุไฟไหม้ที่ จ.ระยอง มาสร้างความเข้าใจผิดทั้งวันและสถานที่เกิดเหตุ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 7 ต.ค. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Mr.Thay” โพสต์คลิปวิดีโอเหตุไฟไหม้ใกล้ปั๊มน้ำมันเชลล์ มีกลุ่มควันพวยพุ่งหนาแน่น ในคลิปฝังวันที่และข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า “ไฟไหม้โกดังในประเทศไทย 6/10/25” ข้อความบรรยายในโพสต์ระบุว่า “ไฟไหม้โกดังสินค้าใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่าเป็นคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้ร้านจำหน่ายน้ำมันเครื่องและเครื่องมือช่าง ริมถนนสุขุมวิท ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 โดยมีสื่อมวลชนไทยหลายสำนักรายงานข่าวและภาพเดียวกัน เช่น ข่าวช่อง 3 ข่าวช่อง 8 และ จส.100

เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่าเหตุไฟไหม้เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 4 ชม. จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้และต้องฉีดน้ำเลี้ยงบริเวณถังน้ำมันใต้ดินของปั๊มน้ำมันที่อยู่ติดกันไว้เพื่อความปลอดภัย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 มีรายงานเหตุไฟไหม้โกดังของสถานบันเทิงย่าน RCA ในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ได้อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน

สรุปว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้นำคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้ใน จ.ระยองเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 มาบิดเบือนทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานที่และวันที่เกิดเหตุไฟไหม้

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชานำคลิปน้ำท่วมเชียงรายปี 2567 มาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปัจจุบัน

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมในไทยวันที่ 4 ต.ค. 2568 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน นำภาพน้ำท่วมสะพานข้ามน้ำกก จ.เชียงราย เมื่อปี 2567 มาสร้างความเข้าใจผิด**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 4 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาชื่อ “សារី ជួន” โพสต์คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมสะพานแห่งหนึ่ง ด้านข้างมีรูปธงชาติไทย ระบุวันที่ 4-10-2025 และฝังข้อความภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลได้ว่า “ภาพจากไทย”

ผู้โพสต์ไม่ได้รายละเอียดอื่น ๆ แต่จากข้อความ วันที่และเสียงบรรยายที่พูดถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในไทย ทำให้เกิดความเข้าใจว่าภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน คลิปนี้มียอดเข้าชมมากกว่า 1 หมื่นครั้ง 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่าเป็นภาพพื้นที่ประสบอุทกภัยใน จ.เชียงราย เมื่อปี 2567 โคแฟคจึงสอบถามและส่งคลิปให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ. เชียงราย) และเทศบาลนครเชียงรายช่วยตรวจสอบ

ทั้ง ปภ. และเทศบาลนครเชียงรายยืนยันว่าคลิปนี้เป็นภาพน้ำท่วมสะพานข้ามแม่น้ำกก บ้านหนองด่าน (ฮ่องอ้อ) ถนนบายพาสฝั่งตะวันตกเมื่อเดือน ก.ย. 2567

ปภ.เชียงรายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเดือน ต.ค. 2568 ยังไม่มีสถานการณ์น้ำกกล้นตลิ่ง

ดังนั้นคลิปน้ำท่วมสะพานที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กกัมพูชานำมาเผยแพร่เป็นเหตุการณ์เดือน ก.ย. 2567 ไม่ใช่ภาพปัจจุบัน

คลิปจากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ถูกนำมาอ้างเท็จว่าตึกสั่นไหวใกล้บริเวณที่เกิดหลุมยุบ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68**

 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ย. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพคนแตกตื่นวิ่งหนีพร้อมกับมองตึกสูงที่กำลังสั่นไหว มีคำบรรยายว่า เกิดเหตุตึกร้าวและสั่นในกรุงเทพฯ ใกล้กับหลุมยุบ

โพสต์เหล่านี้ถูกเผยแพร่หนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุหลุมยุบและถนนทรุดตัวบริเวณ ถ.สามเสน หน้า รพ.วชิระพยาบาลเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 68

 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพ พบว่า คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “Supawat Chartkaroon” ซึ่งเป็นครูที่ รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ระบุว่าอาคารฟอรั่ม ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโรงเรียนเกิดการสั่นสะเทือนขณะเกิดแผ่นดินไหว

สอดคล้องกับข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “สพม.กท 2” ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ที่ระบุว่าเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 68 คณะทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงพื้นที่ติดตามความปลอดภัยของตึกฟอรั่ม ทาวเวอร์ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 และส่งผลกระทบต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 มีศูนย์กลางที่ภูมิภาคสะกาย ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ของเมียนมา แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพฯ มีรายงานอาคารร้าวหลายแห่ง และอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่พังถล่มลงมา

โพสต์ที่นำภาพจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาเผยแพร่หนึ่งวันหลังเกิดเหตุหลุมยุบและถนนทรุดแสดงถึงเจตนาสร้างความตื่นตระหนกขณะที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจกับเหตุการณ์หลุมยุบ ซึ่งจุดที่เกิดเหตุนั้นอยู่ห่างจากอาคารฟอรั่มฯ และ รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดากว่า 10 กิโลเมตร และในช่วงนั้นไม่มีรายงานเหตุหลุมยุบหรือถนนทรุดบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก แต่อย่างใด

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2568

กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับน้ำอัดลมและมันเทศ เสี่ยงเสียชีวิตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/263ubpn8oyw2k#_=_


พบผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีตายเป็นอันดับหนึ่งของขอนแก่น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s3ty8f3ltzn4


คลิปยิงจรวดในเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2l92o684k3mfv


คลิปทหารกัมพูชาโชว์ใช้ฟันลากรถขู่ทหารไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vc90vhyfw41y


คลิปทหารกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ajbtkfuf3ifa


อ.เจษฎ์ เตือนอย่าหลงเชื่อ! โรคงูสวัด กับความเชื่อผิดๆ ย้ำไม่หายด้วยยางกล้วย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2tb2w2jpi9idv


“คนละครึ่งพลัส” เริ่มลงทะเบียน 20 ล้านสิทธิ 20-26 ต.ค.นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4pa50i8ixawk


จังหวัดขอนแก่นเตรียมทุ่มงบประมาณ 1 พันล้านแก้ปัญหาน้ำท่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33yc888rv1dou


CAAT ประกาศ ห้ามบินโดรน พื้นที่มั่นคงชายแดน-สนามบิน ถึง 15 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35mtl80870tbz


มติสภาเห็นชอบ กฎหมายแรงงานใหม่ เสนอให้ลดชั่วโมงทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/34ejix5z1iocn


รมว.คมนาคม เตรียมชง รถไฟฟ้าสายสีแดง/ม่วง 20 บาทตลอดสาย ให้ไปต่อถึงพฤศจิกายนนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tnvn5ukdg1n3


มีประกาศห้ามเร่ขาย ตั้งแผงลอย ใบกระท่อมและน้ำกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50,000 บาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/180gkvqj3qsus


“พาณิชย์” เตรียมทำ MOU รพ.เอกชน ให้ผู้ป่วยซื้อยานอก รพ.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d3fdpo63t2ck


รฟท.เตรียมขยายขบวนท่องเที่ยว ‘MySawasdee’ ถึงสุราษฎร์ธานี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36ocv0f83hn52


สหพันธ์โลก สั่งแบนห้ามไทยจัดเปตองในกีฬาซีเกมส์ 2025…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/205rhzky1zf4u


คลิปน้ำท่วมใหญ่ในรัสเซียปี 2567 ถูกนำมาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นอุทกภัยในประเทศไทย

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปน้ำท่วมใหญ่ใน “ประเทศใกล้กัมพูชา” 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมรัสเซียเมื่อปี 67** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 21 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Daily Sabay” โพสต์คลิปวิดีโอบ้านเรือนหลายหลังถูกน้ำท่วมสูงเกือบถึงหลังคา พร้อมข้อความเป็นภาษาเขมรแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า น้ำท่วมบ้านประชาชนในประเทศที่อยู่ใกล้กับกัมพูชา…”

คลิปนี้มียอดการเข้าชมกว่า 2.6 แสนครั้ง ถูกแชร์เกือบ 800 ครั้ง (ณ วันที่ 3 ต.ค. 2568) และมีผู้เข้ามาตั้งคำถามว่า “ประเทศที่อยู่ใกล้กัมพูชา” นั้นหมายถึงประเทศไทยหรือไม่ บางคนด่วนสรุปว่าเป็นภาพอุทกภัยในไทยพร้อมกับเขียนข้อความซ้ำเติมผู้ประสบภัย  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพ พบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2567 โดยเพจเฟซบุ๊ก “Qazax-Ağstafa” ซึ่งระบุว่าเป็นสำนักข่าวออนไลน์ในประเทศอาเซอร์ไบจาน พร้อมข้อความภาษาอาเซอร์ไบจาน ใช้เครื่องมือแปลภาษาได้ว่า “เมืองโอเรนเบิร์กของรัสเซียจมบาดาล” สอดคล้องกับการรายงานของสำนักข่าวบีบีซีเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2567 ว่าเกิดอุทกภัยในเมืองโอเรนเบิร์กของรัสเซีย ระดับน้ำขึ้นสูงจนท่วมบ้านเรือนหลายหลัง ประชาชนมากกว่า 10,000 คนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น พร้อมกับเผยแพร่ภาพมุมสูงของหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับภาพในคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ “ประเทศใกล้กัมพูชา”

โคแฟคพบว่าคลิปดังกล่าวเคยถูกแชร์วนซ้ำมาแล้วหลายครั้ง โดยอ้างว่าเป็นเหตุน้ำท่วมในหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ เคนยา เอธิโอเปีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊ก “Tom – Spirit Travelers” ได้โพสต์คลิปนี้ในกลุ่มเฟซบุ๊ก “Bonjour Thaïlande” อ้างเท็จว่าเป็นอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย

คลิป “ทหารกัมพูชาใช้ฟันลากรถกระบะ” เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2563

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชาโชว์ใช้ฟันลากรถขู่ทหารไทย 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ปี 63** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 1 ต.ค. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “เทพมนตรี วิลาสังข์” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพชายสวมชุดทหารแสดงพละกำลังด้วยการใช้ปากคาบเชือกลากรถกระบะที่บรรทุกคนหลายคน ในคลิปมีภาพธงชาติกัมพูชาและฝังข้อความว่า “ทหารเขมรโชว์พลังขู่ทหารไทยอีกแล้ว”

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” โพสต์คลิปเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68 มีคำบรรยายประกอบว่า “30 ก.ย. – ทหาร BHQ โพสต์คลิปพร้อมระบุ ‘ความสามารถพิเศษของกำลังพล BHQ เขาสามารถใช้ฟันลากรถกระบะหนักเป็นตันๆ อย่างง่ายดาย เขายังพูดว่า แม้แต่รถถังเสียม เขาก็สามารถลากกลับฝั่งเราได้สบายๆ’” ซึ่งมีสื่อโทรทัศน์บางสำนักนำไปรายงานต่อ

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบคลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 63 เช่น

▪ วันที่ 21 ก.พ. 63 บัญชีเฟซบุ๊ก “Film Share & Media” โพสต์คลิปดังกล่าว พร้อมบรรยายเป็นภาษาเขมร ใช้เครื่องมือ Google Translate แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “แข็งแกร่งจริง ๆ ทหารจากกองพลทหารราบที่ 70 ใช้ฟันลากรถ ยกถังน้ำ และยกกระสอบข้าวสาร ทั้งหมดนี้ทำได้ในท่าเดียว” 

▪ วันที่ 9 มี.ค. 63 ช่องยูทูบ “Weapons Update” โพสต์คลิปเดียวกันพร้อมคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษผสมภาษาเขมร แปลเป็นไทยได้ว่า “ทหารกัมพูชาใช้ปากคาบเชือกลากรถที่บรรทุกคนนับสิบ” 

โคแฟคนำภาพอาคารในคลิปไปค้นหาเพิ่มเติมพบว่าเป็นภาพของหน่วยกองพลน้อยที่ 70 ในกรุงพนมเปญ ซึ่งพนมเปญโพสต์ สื่อภาษาอังกฤษของกัมพูชารายงานว่าเป็นหน่วยทหารที่เคยเป็นต้นสังกัดของกองบัญชาการองครักษ์บุคคลสำคัญรวมทั้งสมเด็จฮุน เซน  

เปรียบเทียบภาพจาก Khmer Times (บน) ที่ประกอบข่าวเมื่อปี 2564 ระบุว่าเป็นที่ตั้งของกองพลน้อยที่ 70 กับภาพจากคลิปที่เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ก.ย.68 (ล่าง) เห็นได้ว่าเป็นสถานที่เดียวกัน

อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับภาพในคลิปได้ว่าเป็นเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นเมื่อใด และทหารกัมพูชาที่ทำการแสดงดังกล่าวใช่หน่วย Bodyguard Headquarters (BHQ) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “กองกำลังพิทักษ์ฮุน เซน” จริงหรือไม่ แต่ยืนยันได้ว่าเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 63 และไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในขณะนี้