กระแสข่าวบิดเบือนดังกล่าวเริ่มไวรัลขึ้นมา หลัง Julia Hartley-Brewer นักจัดรายการวิทยุชาวอังกฤษของสำนักข่าว Talk Radio ระบุว่าเหตุฆ่าหมู่ในออสเตรเลียเป็น “การก่อการร้ายของพวกผู้ก่อการร้ายอิสลามมิสต์อีกแล้ว”
อุตสาหกรรมบันเทิงตะวันตกหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้ AI ในสื่อบันเทิง หลังเริ่มมีกรณีรายการสารคดีนำเอา “หลักฐานในอดีต” ที่ AI ทำขึ้นเอง มาเสนอราวกับว่าเป็นเรื่องจริง
การประท้วงดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ก่อนจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน หลังการเจรจาต่อรองระหว่างสหภาพกับตัวแทนผู้บริหารเป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าประเด็นการใช้ AI ในอุตสาหกรรมบันเทิง มิได้มีข้อยุติอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องอื่นๆ พร้อมเตือนไว้ว่าเรื่องนี้จะกลับมาเป็นปมปัญหาในอนาคตอีกอย่างแน่นอน
ตัดภาพมาที่ปี 2567 คำเตือนเหล่านั้นดูเหมือนจะกลายเป็นจริง เพราะ AI ยังปรากฎตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในสื่อบันเทิง จนเสมือนว่ากลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้วก็ว่าได้
สร้างสรรค์หรือขี้เกียจ?
ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ AI เมื่อไม่นานมานี้ คือโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Civil War – วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด” ซึ่งได้นำเสนอภาพจินตนาการสภาพบ้านเมืองในสหรัฐอเมริกา หลังเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ
การใช้ AI ในสื่อบันเทิงยังดูเหมือนจะยิ่ง “ข้ามเส้น” ไปอีกขั้น พร้อมกับสารคดีของ Netflix เรื่อง What Jennifer Did
สารคดีดังกล่าวนำเสนอชีวประวัติของ Jennifer Pan หญิงชาวแคนาดาที่กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ หลังจากที่เธอและแฟนหนุ่มจ้างมือปืนให้สังหารบิดาและมารดาของตนเอง เพราะความโลภอยากได้เงินมรดกจำนวนมหาศาล เหตุเกิดเมื่อปี 2553
อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตตาดี (อีกแล้ว) สังเกตว่าสารคดีดังกล่าว เอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาใช้ประกอบในฉากที่อ้างว่าเป็นภาพในอดีตของ Jennifer Pan
ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงถือว่า “ข้ามเส้น” ไปยิ่งกว่าหลายกรณีอื่นๆ เพราะ (1) กรณีอย่าง Civil War และ True Detective เป็นผลงานบันเทิง ซึ่งผู้ชมทราบดีว่าไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่กรณีของ What Jennifer Did เป็นสารคดี ซึ่งผู้ชมคาดหวังว่าข้อมูลต่างๆ ต้องเป็นเรื่องจริง และมีความถูกต้อง
(2) ในขณะที่กรณี Civil War และ True Detective ที่นำเอา AI มาใช้ผลิตผลงานด้านการตลาด หรือผลิตของประกอบฉาก แต่ในกรณีของ What Jennifer Did ถือได้ว่าเป็นการใช้ AI สร้างข้อมูลหลักฐานในอดีตขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว นับเป็นมาตรฐาน “ใหม่” ของวงการสารคดีก็ว่าได้
เทียบเท่าได้กับว่า สมมติมีสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ผู้ทำสารคดีกลับใช้ AI สร้างภาพหรือคลิปเก่าๆ แล้วนำเสนอว่าเป็นเหตุการณ์จริงในอดีต แทนที่จะค้นคว้าหาภาพหรือคลิปจากประวัติศาสตร์จริงๆ
กรณีดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ผลิตสารคดีทดลองการใช้คอนเทนต์จาก AI โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2564 สารคดีเรื่อง “Roadrunner: A Film About Anthony Bourdain” เกี่ยวกับเชฟชื่อดัง Anthony Bourdain ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาแล้ว เพราะใช้เทคโนโลยี “deepfake” สร้างเสียงพูดของ Bourdain ขึ้นมาเอง เพื่อใช้ประกอบสารคดี และไม่ได้แจ้งให้ผู้ชมได้รับทราบว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี ไม่ใช่เสียงของเชฟ Bourdain จริงๆ
ด้วยกระแส AI ที่กำลังมาแรงตอนนี้ กรณีการใช้ AI ในธุรกิจบันเทิง คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก และที่น่ากังวลคือในขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานหรือจริยธรรมที่ผู้ผลิตสื่อบันเทิงตกลงร่วมกัน ว่าด้วยขอบเขตของการใช้ AI อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี AI มีศักยภาพอย่างมากในการช่วยให้คนทำงานสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือสารคดี สามารถทำงานได้ง่ายและประหยัดเวลามากขึ้น
แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งก็ได้เริ่มเตือนเช่นกันว่า ถ้าหาก AI นำเอามาใช้ผิดวิธี หรือประหยัดงบประมาณ หรือใช้แทนคนทำงาน ก็จะกลายเป็นผลร้ายต่อวงการสื่อบันเทิงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพงานที่ต่ำลง การเลิกจ้างงานหรือกดราคาคนทำงานโดยไม่เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลงานนั้นๆเอง
ด้านผู้กำกับอีกคนหนึ่ง Andrew Rossi ระบุว่าตนเคยใช้ AI ในผลงานมาแล้วในสารคดีเกี่ยวกับศิลปิน Andy Warhol โดยใช้ AI สร้างเสียงของ Warhol ขึ้นมาเช่นกัน แต่ขณะเดียวกัน ตนก็เปิดเผยให้ผู้ชมได้รับทราบเกี่ยวกับการใช้ AI และได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากทายาทของศิลปินคนดังกล่าวแล้วด้วย
ดังนั้น Rossi จึงมองว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถใช้ AI ได้ในโอกาสที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยคือ “ความโปร่งใส”
“มิจฉาชีพสามารถเข้าไปในกูเกิลและค้นหา How to turn the image into Video (ทำอย่างไรเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นคนพูดได้) ได้อย่างง่ายดายจึงทำให้ชีพเฟคน่ากลัวมากเพราะสามารถนำมาใช้ได้ทุกคน ส่วนในของดีพเฟคต่อไปจะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทุกคนสามารถใช้ได้ อย่างที่เราเริ่มเห็นการเอามาใช้งานจริงที่ต่างประเทศเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว