ข่าวลวง-คลิปเก่าระบาดทั่วเน็ต หลังอิหร่านโจมตีตอบโต้อิสราเอล COFACT Special Report 33/67

ระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอล สกัดขีปนาวุธและโดรนจากอิหร่าน ขณะมุ่งมายังเป้าหมายในประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567 ภาพโดย Reuters

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิก Cofact

ผู้เชี่ยวชาญพบคลิปและภาพเชิงบิดเบือนในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ขณะเหตุการณ์กองทัพอิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรนนับร้อยลูกใส่อิสราเอลเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เผยแพร่โดยบรรดาบัญชีผู้ใช้ที่อ้างตัวเองว่าเป็น “แหล่งข่าว” น่าเชื่อถือ ที่มียอดผู้ติดตามรวมกันหลายล้านคน 

สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางขณะนี้ หากจะใช้สำนวนว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อสองชาติคู่อริไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาล “อิหร่าน-อิสราเอล” กำลังเผชิญหน้ากันท่ามกลางความตึงเครียดในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จนหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะบานปลายเป็นสงครามระลอกใหม่ในภูมิภาค

ชนวนเหตุการเผชิญหน้าครั้งนี้ เริ่มจากเหตุกองทัพอากาศอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่สถานกงสุลอิหร่าน ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน คร่าชีวิตผู้คนกว่า 16 ราย มีทั้งเสนาธิการและเจ้าหน้าที่การทหารระดับสูงของอิหร่านจำนวนมาก และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องอีก 2 ราย 

ต่อมาเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 13 เมษายน ถึงเช้ามืดวันที่ 14 เมษายน อิหร่านได้โต้ตอบการโจมตีดังกล่าว ด้วยการปล่อยขีปนาวุธและโดรนติดอาวุธกว่า 300 ลูก ไปยังอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่ถูกสกัดโดยระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอลและชาติพันธมิตร ทั้งนี้ ถึงแม้จะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอิหร่าน แต่รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่าจะต้องโต้ตอบกลับไปยังอิหร่านอีกรอบเช่นกัน

ด้าน António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ ได้แถลงประณามทั้งเหตุโจมตีสถานกงสุลอิหร่านโดยอิสราเอล และประณามการโจมตีอิสราเอลโดยอิหร่าน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันใช้ความอดกลั้นต่อกัน ไม่ให้การเผชิญหน้ารุนแรงไปมากกว่านี้

ขณะเดียวกัน ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในโลกอินเทอร์เน็ต ยังได้มาพร้อมกับ “ข่าวบิดเบือน” ระลอกใหญ่ตามระเบียบ 

AI อาละวาดก่อนใครเพื่อน

กรณีแรกๆของข่าวบิดเบือนระลอกนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 4 เมษายน หรือไม่กี่วันหลังกองทัพอิสราเอลเปิดฉากสังหารเจ้าหน้าที่อิหร่านคาสถานกงสุลในซีเรีย โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ (หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น “X”) จำนวนมาก สังเกตเห็นข่าวใหญ่ในแท็บ Explore ของทวิตเตอร์ พาดหัวว่า “อิหร่านยิงมิสไซล์ถล่มกรุงเทลอาวีฟ”  

ส่วนเนื้อหาข่าวระบุด้วยว่า การโจมตีของอิหร่านสร้างความเสียหายอย่างหนัก เกิดเพลิงไหม้ในอาคารบางแห่ง 

ข่าวดังกล่าวได้สร้างความสับสนอย่างมาก เพราะขณะนั้นไม่ได้มีการโจมตีจากอิหร่านแต่อย่างใด ประกอบกับผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนมาก รีทวีตและเผยแพร่ข่าวนี้อย่างแพร่หลาย จนทำให้ข่าวการโจมตีจากอิหร่าน(ซึ่งไม่มีอยู่จริง)ติดอันดับข่าว trending ในเวลาอันรวดเร็ว ยิ่งสร้างความสับสนเข้าไปใหญ่

ต้นตนของข่าวบิดเบือนครั้งนี้มาจาก “Grok” ซึ่งเป็น AI chatbot ของทวิตเตอร์ ซึ่ง Elon Musk เจ้าของทวิตเตอร์ได้พยายามโหมโฆษณามาตลอดหลายเดือนว่าเป็น AI chatbot ที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ ผู้ใช้ทวิตเตอร์สามารถพูดคุยกับ Grok เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆได้รวดเร็ว

แต่ปรากฎว่า Grok เกิดอาการ “หลอน” ขึ้นมากระทันหัน และประมวลข่าวโจมตีจากอิหร่านออกมาโดยไม่มีข้อเท็จจริงใดๆรองรับ แถมอัลกอริทึมเจ้ากรรมของทวิตเตอร์ ยังรีบดันข่าวนี้ของ Grok ให้คนจำนวนมากได้พบเห็น อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากทีมผู้บริหารทวิตเตอร์ เพื่อเพิ่มยอดการมองเห็นของ Grok นั่นเอง

นับเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์สอนใจว่าด้วยการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักมาพร้อมความเสี่ยงต่อความผิดพลาดของข้อมูล ดังที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 

เรื่องเก่าเล่าใหม่

เมื่ออิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลขึ้นมาจริงๆในวันที่ 13 เมษายน ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนระลอกใหญ่ก็ถล่มโซเชียลมีเดียทันที โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทวิตเตอร์มีบัญชีผู้ใช้จำนวนมากระบุว่าเป็นแหล่งข่าว “ข่าวกรองทางแหล่งข้อมูลเปิด” (Open source intelligence หรือ OSINT) 

บัญชีผู้ใช้เหล่านี้มักเผยแพร่ “ข่าวกรอง” ที่ได้มาจากประชาชนทั่วไปหรือข้อมูลที่รวบรวมจากสาธารณะ อย่างไรก็ตาม หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล บัญชีเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวการเผยแพร่ภาพและคลิปบิดเบือนจำนวนมากเสียเอง ยกตัวอย่างเช่น 

  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ชาวอิสราเอลวิ่งหนีแตกตื่น ขณะอิหร่านยิงมิสไซล์ถล่มอิสราเอล” แท้จริงแล้ว เป็นคลิปแฟนเพลงรุมล้อมศิลปินชาวอังกฤษ Louis Tomlinson ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
  • ภาพที่ระบุว่า “โดรนของอิหร่านบินไปไม่ถึงอิสราเอล เพราะเกี่ยวติดสายไฟ” แท้จริงแล้ว เป็นภาพอุบัติเหตุโดรนตกที่ประเทศซีเรีย 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ขีปนาวุธถล่มเป้าหมายในอิสราเอล” แท้จริงแล้วเหตุการณ์สู้รบระหว่างฮามาสกับกองทัพอิสราเอล ตั้งแต่เมื่อปี 2564 และปลายปี 2566 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นจังหวะที่กองทัพอิหร่านยิงขีปนาวุธไปยังอิสราเอล แท้จริงแล้วเป็นคลิปการสู้รบในประเทศตุรกี ตั้งแต่uเมื่อปี 2563
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ชาวอิสราเอลแห่ไปยังสนามบิน เพื่อหนีออกนอกประเทศ หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล” แท้จริงแล้วเป็นคลิปในสถานีรถไฟใต้ดินกรุงปารีส ตั้งแต่เมื่อปี 2562 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นจังหวะที่ขีปนาวุธลูกใหญ่ของอิหร่าน ถล่มเป้าหมายในอิสราเอล แท้จริงแล้วเป็นคลิปขีปนาวุธยูเครนถล่มกองทัพเรือรัสเซีย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นชาวปาเลสไตน์ออกมาเฉลิมฉลองการโจมตีอิสราเอลโดยอิหร่าน แท้จริงแล้ว เป็นคลิปชาวปาเลสไตน์ทำพิธีละหมาดร่วมกันที่มัสยิดอัล-อักซอ ในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา

ฯลฯ 

จะสังเกตได้ว่า กรณีเหล่านี้เป็นการเอาภาพหรือคลิปจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน อันเป็นรูปแบบข้อมูลข่าวสารบิดเบือนที่ชาว factcheckers มักจะพบเจอเป็นประจำนั่นเอง 

สื่อทางการโดนดักด้วย (หรือเจตนา?)

นอกจากนี้ แม้แต่ช่องทางสื่อสารทางการของทั้งอิสราเอลและอิหร่าน ก็ได้นำเสนอข้อมูลผิดพลาดดังเช่นลักษณะข้างต้นด้วยเช่นกัน 

เช่น กองทัพอิสราเอลได้เผยแพร่คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นภาพการปล่อยจรวดซัลโวชุดใหญ่โดยกองทัพอิหร่าน แต่ปรากฎว่าเป็นคลิปเหตุการณ์กองทัพรัสเซียซ้อมรบตั้งแต่เมื่อปี 2560

ส่วนสื่อทางการของอิหร่าน ก็ได้เผยแพร่คลิปที่อ้างว่าเป็นระเบิดลูกใหญ่ในอิสราเอล หลังขีปนาวุธอิหร่านตกใส่เป้าหมายอย่างจัง แต่จริงๆแล้ว เป็นคลิปเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ประเทศชิลี เมื่อต้นปีที่ผ่านมาต่างหาก

ขณะเดียวกัน สื่อทางการอิหร่านยังได้เอาคลิปแฟนเพลง Louis Tomlinson ที่ประเทศอาร์เจนตินา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มาเผยแพร่ในรายการข่าว แล้วระบุว่าเป็นความแตกตื่นโกลาหลในประเทศอิสราเอลด้วย 

ข่าวกรองหรือข่าวกลวง?

ทั้งนี้ ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วว่า ภาพและคลิปเหตุการณ์ที่บิดเบือนส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่มาจากบรรดาแหล่งข่าว “ข่าวกรองทางแหล่งข้อมูลเปิด” หรือ “OSINT” ในทวิตเตอร์ 

บัญชี OSINT เหล่านี้ ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะมักจะนำเอาข้อมูล ภาพ คลิปวิดิโอ ฯลฯ จากบุคคลในพื้นที่การสู้รบหรือความขัดแย้งในประเทศต่างๆ มาเผยแพร่ต่อ โดยในหลายๆสถานการณ์เป็นเหตุการณ์ที่สื่อมวลชนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ได้ เช่น สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2565

แต่ขณะเดียวกัน แหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะขาดความน่าเชื่อถือ เพราะในหลายๆครั้ง เป็นการเอาคลิปหรือภาพที่ส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียมาเผยแพร่อีกที โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นภาพหรือคลิปเหตุการณ์อะไรกันแน่ ทำให้เสี่ยงที่จะความผิดพลาดและบิดเบือนสูง ดังที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมาในบทความนี้

Shayan Sardarizadeh นักตรวจสอบข้อมูล (fact checker) มือฉมังจากสำนักข่าว BBC ก็ได้แสดงความเห็นไว้ด้วยว่า ผู้เสพข่าวสารในปัจจุบันควรหลีกเลี่ยงบรรดาบัญชี OSINT เกือบทั้งหมดที่เกลื่อนโซเชียลมีเดียขณะนี้ 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้เสพข้อมูลข่าวสาร แยกแยะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ยากเย็นขึ้น นั่นคือการที่นาย Elon Musk เปลี่ยนนโยบายสำคัญของทวิตเตอร์ จากที่เมื่อก่อนทวิตเตอร์จะให้เครื่องหมาย blue checkmark เฉพาะกับสื่อมวลชนหรือแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เปลี่ยนมาเป็นใครก็ตามสามารถ “ซื้อ” เครื่องหมาย blue checkmark ได้ด้วยเงินเพียง 8 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเท่านั้น 

แถมบัญชีผู้ใช้ที่มีเครื่องหมาย blue checkmark ในปัจจุบันยังสามารถสร้างรายได้จากยอดการเข้าชม (views) และยอดปฏิสัมพันธ์ (engagement) กับผู้ใช้อื่นๆได้ด้วย 

ผลที่เกิดขึ้นคือ บัญชี OSINT ซึ่งมีประวัติเผยแพร่ข่าวสารบิดเบือนมาแล้วหลายครั้ง ยังสามารถมีเครื่องหมาย blue checkmark และมีแรงจูงใจทางการเงินที่จะเผยแพร่คลิปหรือวิดิโอที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน เวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในโลก เพื่อกระตุ้นยอดการเข้าชมและยอดปฏิสัมพันธ์โดยไม่ต้องสนใจต่อข้อเท็จจริงนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม:

As Iran attacked Israel, old and faked videos and images got millions of views on X

Shayan Sardarizadeh, BBC Verify


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 เมษายน 2567

Dermaxil ได้ผลจริง เพราะสามารถกำจัดสาเหตุและช่วยรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้ …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/mlo9r01wj0tr


จับกุมธนบัตร 1 พันบาทจำนวน 2 ล้านฉบับที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32zp59tbj3yyp


NASA ประกาศสุริยะจากดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่จะกระทบโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1dn0cro5uv15b


  ข่าวดี! ขยายเวลาเก็บภาษีที่ดิน – สิ่งปลูกสร้าง ปี 67 ออกไปอีก 2 เดือน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1xkux1qe9218f


”อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จัดสัมมนาประจำปี 2024 ชวนคนสื่อในทุกภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมแบ่งปันความรู้ มุมมองและข้อสรุบเพื่อก้าวต่อไป

AI ความท้าทายในสังคมสมัยใหม่ กับ บทบาททางการอภิบาลของบาทหลวงคาทอลิก


วันที่ 10 เมษายน 2024 บ้านผู้หว่าน อ.สามพราน จ.นครปฐม คณะกรรมการจัดสัมมนาพระสงฆ์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ โดยร่วมกับสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย นำเสนอสาระที่เกี่ยวข้องกับ สื่อมวลชนในแง่มุมต่าง ๆ เป็นต้น สถานการณ์ของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพื่อสร้างการตระหนัก รับรู้ รับมือ และทำความเข้าใจเพื่อสามารถแสดงบทบาทของตนในเชิงอภิบาล


การแบ่งปันเริ่มด้วย ดร.รัชดา มนต์เทียรวิเชียรฉาย เลขาธิการองค์กรสื่อนานาชาติ Signis World และผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าวคาทอลิก Licas News ในหัวข้อ “พระศาสนจักรคาทอลิก – AI และพระสันตะปาปาฟรังซิส”. โดยได้นำสมณสาส์นต่าง ๆ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตั้งแต่เริ่มสมณสมัยในปี 2013 จนถึงปัจจุบันเป็นต้นสารวันสื่อสารมวลชนในปี 2024 ซึ่งมีจุดเน้นคือ การแสวงหาปรีชาญาณและการฟังด้วยหัวใจ มากกว่าการให้ความสำคัญกับเทคนิค หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งถ้าการบรรยายในวันนี้ผ่านไป เพียง 2-3 เดือน ข้อมูล หรือการพัฒนาข้อมูล อาจจะถูกปรับเปลี่ยนและมีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นดร.รัชดา ยังเล่าถึงการอภิบาลในสนามจริง ของบรรดามิชชันนารี นักบุญ หรือแม้กระทั่งบรรดาชาวบ้านที่ใช้ชีวิตจริงตามที่ต่าง ๆ อันเป็นข้อมูลที่คอมพิวเตอร์หรือเอไอให้ไม่ได้ เป็นข้อมูลที่การสั่งสมของเอไออาจจะมองว่า ไม่ปกติ ไม่ใช่เรื่องของคนส่วนใหญ่ มีความบ้าบิ่น แต่นั่นคือ เรื่องราวของการดำเนินชีวิตในแบบคริสตชน


คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บริษัทอสมท จำกัด (มหาชน) วิทยากรท่านถัดไป ได้แบ่งปันในหัวข้อ “AI กับความท้าทายเพื่อสร้างสรรค์” คุณพีรพล ได้เล่าประสบการณ์ที่พบเห็นในการทำรายการชัวร์ก่อนแชร์ ได้ท้าทายผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยการนำเสนอประสบการณ์และให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาดูข้อมูลต่าง ๆ เพื่อฝึกสังเกตว่า ข้อมูลไหนจริงข้อมูลไหนเป็นการสร้างภาพลวงจากเอไอ นอกจากนั้นยังแนะนำข้อควรระวังที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรับสื่อในปัจจุบัน และการลองเปิดการทำงานของเอไอบางตัว เพื่อให้เห็นว่าข้อมูลจากเอไอนั้นต้องนำมาเช็คอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเชื่อ หรือนำไปขยายผลต่อ


ช่วงสุดท้ายในภาคเช้า คุณเทเรซา ณัฐพร สันธนะวิทย์ สัตบุรุษจากวัดพระมารดา ที่อยู่ในแวดวงการประกอบอาชีพด้านสื่อมวลชน ได้นำ Work Shop เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติ โดยให้คุณพ่อสองท่าน อ่านบทเทศน์สองบท ในเนื้อหาจากพระคัมภีร์ตอนเดียวกัน แต่มีบทเทศน์แตกต่างกัน และถามว่า บทไหนถูกเขียนโดยคน และบทไหนถูกเขียนโดยเครื่อง ต่อจากนั้นจึงประเมินความเข้าใจ โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อ คือ I like ,I wish และ I wonder และตบท้ายด้วยตัวอย่างของการใช้เอไอในการแต่งเพลงเพื่อใช้ในศาสนา โดยสื่อให้เห็นถึงความรวดเร็ว คุณภาพที่พอใช้ได้ เป็นตัวอย่างของกิจกรรมบางอย่างที่นำแง่ดีมาพัฒนาต่อในกิจกรรมศาสนาได้


ในช่วงสุดท้ายจัดเป็นช่วงเสวนาในประเด็น “มุมมองเพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อก้าวไปด้วยกันในยุค AI”โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ คุณภัควัฒน์ ไกรสมสุข จากสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ,คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย ซิสเตอร์ฉวีวรรณ เกษทองมา คณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์โดยมีคุณพ่อพรสรร เป็นผู้ดำเนินรายการ


คณะวิทยากรได้ให้ข้อมูลในมุมของตนเองเกี่ยวกับการนำเอไอไปใช้ในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เอไอในพระศาสนจักรคาทอลิก เช่นการประชุมสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเซีย หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปใช้ในการประชุมซีนอดครั้งล่าสุด ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมสื่อกับเยาวชนทั่วโลก กิจกรรมต่าง ๆ ของโคแฟค ที่จัดทั้งการให้ความรู้ในระดับต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเครื่องมือในการตรวจสอบความถูกต้อง และการแบ่งปันของซิสเตอร์เป็นต้นการอบรมเยาวชนในโรงเรียนกับการใช้สื่อ มุมมองของเยาวชนในยุคปัจจุบันที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสื่อ โดยเป็นของคู่กันในชีวิตไปแล้ว รวมทั้งบทบาทของนักบวชในการแนะนำสื่อให้แก่เยาวชน ฯลฯ บรรดาวิทยากรในช่วงเสวนายังได้ตอบข้อซักถามและแบ่งปันประสบการณ์จริงจากชีวิตเพื่อบอกว่า เอไอไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัว เราสามารถนำมาใช้ได้อย่างรู้เท่าทัน รู้ตัว และก่อเกิดประโยชน์ได้


แน่นอนว่าเทคโนโลยีย่อมนำความเจริญมาสู่สังคมมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายถึงผลกระทบ และผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิตของทุกคน เป็นพิเศษสำหรับบรรดาเยาวชน รวมทั้งการปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริง ของความเป็นมนุษย์ AI จึงเป็นความท้าทายในสังคมสมัยใหม่ ที่บทบาทของบาทหลวงคาทอลิกในการเป็นผู้อภิบาล ผู้นำทางจิตวิญญาณจะต้องปรับตัว เรียนรู้ เพื่อเดินร่วมไปด้วยกันกับประชากรของพระเจ้า ประชาคมโลก และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อจะเป็นมโนธรรมให้กับสังคมสร้างเสริมจิตวิญญาณของกันและกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย รายงาน

ภาพ ‘ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย’ ที่มายังไม่ชัดเจนกับความกังวลภารกิจช่วยตัวประกันในฉนวนกาซา COFACT Special Report 32/67

เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 ที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสยกพลข้ามจากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นดินแดนปกครองของปาเลสไตน์ได้เข้าโจมตีอิสราเอล และนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มฮามาสโดยกองทัพอิสราเอล  แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ห่างไกลจากประเทศไทยมากเพราะทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่ก็มีความสำคัญเพราะมีคนไทยจำนวนมากไปทำงานเป็นแรงงานภาคการเกษตรในอิสราเอล และมีแรงงานไทยหลายคนเสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกันจากเหตุการณ์นี้

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 มีนาคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระบุว่ายังเหลือคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันอีก 8 คน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ทุกวัน และคาดหวังว่าการผ่านมติโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้หยุดยิงทันทีในฉนวนกาซาสมรภูมิสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาส จะทำให้ตัวประกันได้รับอิสรภาพมากขึ้น

ถึงกระนั้น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวที่สร้างความวิตกกังวลให้กับคนไทย เมื่อมีการแชร์ภาพ ทหารอิสราเอลถ่ายภาพพร้อมกับถือธงชาติไทย เพราะภาพดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามช่วยเหลือตัวประกันของทางการไทย และที่ผ่านมาไทยได้พยายามวางท่าที เป็นกลาง มาโดยตลอด รวมถึงการใช้ทุกช่องทางเพื่อช่วยเหลือนับตั้งแต่วันแรกที่ทราบข่าวว่ามีคนไทยถูกจับเป็นตัวประกัน จนกลุ่มฮามาสเริ่มทยอยปล่อยตัวประกันมาอย่างต่อเนื่อง

จากรายงานข่าวของ นสพ.ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567 อ้างอิงข้อมูลจาก ยูนิส ทีราวี (Younis Tirawi) นักข่าวปาเลสไตน์ด้านความมั่นคงและการเมือง ได้โพสต์ภาพทหารอิสราเอลยืนอยู่ด้านหน้ารถถังโดยถือธงชาติไทยอยู่ด้วยผ่านทวิตเตอร์ (หรือ X ในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ซึ่งอ้างว่าภาพดังกล่าวนำมาจากอินสตา  แกรมของ เซกี เน็ตเซอร์ (Segi Netzerr) ซึ่งเป็นทหารอิสราเอลที่ปรากฏอยู่ในภาพ ทั้งนี้ ยูนิส ทีราวี ปรากฏชื่อว่าทำงานให้กับสำนักข่าวเบลิงแคต (Bellingcat) ของเนเธอร์แลนด์

จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม 2567 สำนักข่าวในไทยหลายแห่ง อาทิ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 , เว็บไซต์ The Standard , นสพ.ข่าวสด รายงานข่าวโดยอ้างความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 

1) กระทรวงการต่างประเทศสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบที่อาจตามมาจากภาพดังกล่าว

2) กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลแจ้งว่า ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) หรือเป็นภาพจริง และหากทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยจริงก็อาจเป็นการกระทำของทหารอิสราเอลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งนี้ รัฐบาลอิสราเอลไม่ได้ให้การสนับสนุน แต่ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมการกระทำส่วนตัวของทหารทุกรายได้ 3) เอกอัครราชทูตฯ ย้ำขอให้ฝ่ายอิสราเอลตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลได้ตอบรับที่จะประสานงานกับกองทัพอิสราเอล (IDF) เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม และ 4) หากมีความชัดเจนมากขึ้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ จะแจ้งให้ทราบต่อไป

รวมถึงมีรายงานเพิ่มเติมว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงกรณีภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย โดยได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ทักท้วงเรื่องดังกล่าวกับฝ่ายอิสราเอลนั้น ขณะนี้มีผู้แทนระดับสูงของฝ่ายอิสราเอลได้แจ้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลกำลังเร่งตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นภาพจริงหรือภาพตัดต่อ แต่เห็นด้วยว่าหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมจึงได้ขอให้กองทัพอิราเอลเร่งตรวจสอบภาพดังกล่าวด้วยแล้ว  

ในการนี้ ฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึงความห่วงกังวลและขอให้ฝ่ายอิสราเอลได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก เนื่องจากไทยมิได้มีความขัดแย้งกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และประสงค์ให้ความขัดแย้งนี้ยุติโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเจรจามาโดยตลอด ทั้งนี้ประเทศไทยมีความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของตัวประกันชาวไทยที่เหลืออีก 8 คน โดยขอย้ำคำเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่25 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิงโดยทันทีในช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงที่ยั่งยืนในพื้นที่ฉนวนกาซา และปล่อยตัวประกันทั้งหมดโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข

อนึ่ง สำหรับรายงานข่าวของเว็บไซต์ The Standard นั้นยังมีการอ้างถือความเห็นของ นางออร์นา ซากิฟ (Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ที่กล่าวว่า ภาพที่ปรากฏนั้นอาจเป็นภาพปลอมหรือภาพที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรืออาจเป็นการกระทำส่วนบุคคลของทหารที่ชื่นชอบประเทศไทย ซึ่งตนมองว่าภาพที่ออกมานั้นไม่ได้เป็นผลลบ หรือชี้ว่าไทยเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง

ภาพที่ 1 : โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ วันที่ 30 มี.ค. 2567 
ภาพที่ 2 : โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ของ THAI for Palestine ที่แชร์โพสต์ของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ วันที่ 30 มีนาคม 2567

อีกด้านหนึ่ง บัญชี X หรือทวิตเตอร์ของ Younis Tirawi | يونس หรือ @ytirawi  ซึ่งเป็นบัญชีทางการของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ต้นเรื่อง ได้โพสต์ข้อความและภาพเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 ระบุว่า “หลังจากที่ตนโพสต์ภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เรียกร้องให้อิสราเอลเร่งตรวจสอบภาพดังกล่าว และสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงเทลอาวีฟได้ประท้วงเรื่องนี้กับทางอิสราเอล”

ขณะที่ในวันเดียวกัน บัญชี X ที่ใช้ชื่อว่า THAI for Palestine ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวของ ทีราวีพร้อมระบุข้อความว่า “ปรากฏที่มาภาพของทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยว่า มาจาก IG ของทหารอิสราเอลนายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเข้าถึงไม่ได้แล้วทางกระทรวงต่างประเทศของไทยจึงได้เรียกร้องให้อิสราเอลสืบสวนกรณีที่เกิดขึ้น” และเมื่อผู้เขียนลองนำชื่อ saginetzerr ไปค้นหา ก็ไม่พบบัญชีอินสตาแกรมชื่อนี้เช่นกัน แต่กลับพบบัญชีชื่อคล้ายกันคือ saginetzer1 ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวและไม่สามารถเข้าไปดูได้ (ค้นหาล่าสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 เวลา 15.00 น.)

อย่างไรก็ตาม บนเพจเฟซบุ๊ก “Israel in Thailand” ซึ่งเป็นเพจทางการของสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการแชร์ภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย ก็ยังไม่ปรากฏว่า มีการเผยแพร่คำชี้แจง    ใด ๆ (ค้นหาล่าสุด ณ วันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 15.00 น.) ดังนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ตกลงแล้วภาพนี้มีที่มาอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพตัดต่อ ภาพสร้างโดย AI หรือภาพจริงของทหารอิสราเอลที่ถือธงชาติไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ เรื่องนี้ถือเป็นความกังวลใจของไทย ที่ในปัจจุบันยังคงมีตัวประกันชาวไทยอีก 8 คน ตกอยู่กลางสมรภูมิความขัดแย้ง และในอนาคตที่จะยังมีแรงงานไทยกลับไปทำงานในอิสราเอลอีกต่อไป จึงหวังว่า จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนโดยเร็ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/338524 (“ปานปรีย์” เชื่อช่วย 8 ตัวประกันไทยได้ หลัง “ยูเอ็น” ประกาศหยุดยิง : ThaiPBS วันที่ 28 มี.ค. 2567)

https://www.bangkokbiznews.com/world/1092705  (ไทย ‘ปรับท่าที’ เป็นกลางสงคราม ‘อิสราเอล-ฮามาส’ สนับสนุนแนวทาง 2 รัฐ : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 ต.ค. 2566)

https://www.voathai.com/a/thai-negotiator-pledge-to-continue-talk-on-freeing-thai-remaining-hostages/7398652.html  (“หน้าที่เรายังไม่หมด”: ชุดเจรจาเผยเบื้องหลังคุย ‘ฮามาส’ และการช่วยตัวประกันไทย : Voice of America ภาคภาษาไทย วันที่ 15 ธ.ค. 2566)

https://mgronline.com/around/detail/9670000027595 (ระอุ! นักข่าวปาเลสไตน์ชื่อดังโพสต์หราภาพ “ทหารอิสราเอล” ชู “ธงชาติไทย” หลังรถถัง IDF ในเขตฉนวนกาซา กระทรวงต่างประเทศโต้ “ไทย” ไม่เกี่ยวข้องมั่นใจ “ไม่กระทบตัวประกัน” ในมือฮามาส : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มี.ค. 2567)

https://www.bellingcat.com/author/younis/

https://ch3plus.com/news/international/ch3onlinenews/393487 (‘กต.ไทย’ จี้ ‘อิสราเอล’ เร่งตรวจสอบภาพทหารถือธงชาติไทย ชี้ยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้ : 3Plus วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8163365 (กต.ห่วงภาพทหารอิสราเอล ถือธงชาติไทย เร่งตรวจสอบภาพจริงหรือตัดต่อ : ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://thestandard.co/images-of-israeli-soldiers-holding-thai-flags/  (กต. แจ้งอิสราเอลเร่งตรวจสอบภาพทหารถือธงชาติไทย ทูตชี้อาจเป็นภาพปลอม – AI : The Standard วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://twitter.com/ytirawi/status/1773817429530960215/photo/1

https://www.facebook.com/IsraelinThailand/

https://www.facebook.com/thaiembassytelaviv/?locale=th_TH

ปี 66 ไทยขึ้นอันดับ 1 เอเชีย มิจฉาชีพโทร-ส่งข้อความหลอกคนไทย 79 ล้านครั้ง พุ่งสูงขึ้น 18%  

สสส.-ภาคีโคแฟค-กทม. เปิดเวทีสัมมนาวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 67 ชวนใช้เครื่องมือดิจิทัล ตรวจสอบข่าวเช็คให้ชัวร์ก่อนเผยแพร่ สร้างพื้นที่สื่อออนไลน์ปลอดภัย สานพลังสังคมสร้างสุขภาวะที่ดี

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.ร่วมกับภาคีโคแฟค ประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดงาน “สัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)” ภายใต้หัวข้อ “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” เนื่องจากเครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network – IFCN) กำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็น “วันตรวจสอบข่าวลวงโลก” หวังกระตุ้นให้คนทั่วโลกตื่นตัว ตรวจสอบข้อมูลบนโลกออนไลน์ก่อนส่งต่อ และเข้าใจอันตรายที่เกิดขึ้นจากข่าวลวง

โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  จากรายงานประจำปี 2566 ของ ฮูสคอลล์ (Whoscall) แพลตฟอร์มระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปม พบว่า ปี 2566 คนไทยโดนหลอกจากสายโทรเข้าและส่งข้อความหลอกลวง 79 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มี 66.7 ล้านครั้ง คิดเป็นเพิ่มขึ้น 18% โดยเฉลี่ยคนไทย 1 คน ได้รับ      เอสเอ็มเอสหลอกลวง 20.3 ข้อความ ถือว่าไทยถูกหลอกลวงมากเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ทั้งนี้ งานสัมมนาระดับชาติฯ ที่จัดขึ้น สสส. หวังสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะในประเด็นการตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ด้วยเครื่องมือดิจิทัล ประเด็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ และรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงการตรวจสอบข้อมูล นำไปสู่การสร้างสังคมสุขภาวะให้ยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป

“สสส. วางเป้าหมายพัฒนานิเวศสื่อสุขภาวะที่ส่งผลต่อค่านิยมและพฤติกรรมการใช้สื่อเพื่อ        สุขภาวะ เสริมทักษะรู้เท่าทันสื่อ และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดสื่อสุขภาวะและปกป้องผู้ใช้สื่อออนไลน์ทุกช่วงวัย จากผลการดำเนินงานของ โคแฟค ประเทศไทย ที่สสส. ร่วมผลักดันสนับสนุนให้         โคแฟคเป็นพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงบนสื่อออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2563-2567 โคแฟค ได้บริการตรวจสอบข่าวลวง 7,672 บทความ ช่วยปกป้องคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพผ่านการอบรมตรวจสอบข้อมูลกว่า 5,000 คน สสส. มุ่งหวังให้ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ มีความสามารถในการตรวจสอบข่าวได้ด้วยตนเอง จนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังตรวจสอบข้อมูล  และเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมาช่วยกันตรวจสอบข่าวลวงได้ โดยเชื่อว่า “Everyone is a fact checker”   นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทช่วยให้การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันสะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น ไม่ว่าจะด้านการทำธุรกรรมทางการเงิน  หรือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการ ทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์ได้ง่ายๆ แต่ความเสี่ยงต่อการถูกหลอก สร้างความเข้าใจผิด ความเกลียดชัง ถูกหลอกให้ลงทุนและโอนเงินออกจากบัญชี ก็เกิดขึ้นให้เห็นทุกวัน กทม. ให้ความสำคัญการป้องกันภัยคุกคามจากออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงร่วมกับ สสส. เร่งสร้างการรับรู้ภัยอันตรายที่เกิดจากข่าวลวง ข่าวปลอม ซึ่งเครือข่าย “โคแฟค ประเทศไทย” จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ให้คนในสังคมได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวหลอกลวงที่เกิดขึ้นร่วมกัน และขยายผลความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างเท่าทัน

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า คนไทยถูกมิจฉาชีพใช้ชีพเฟคหลอกลวงมากกว่าดีฟเฟค สอดคล้องกับสถิติศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565-15 มี.ค. 2567 มีประชาชนแจ้งความออนไลน์มากกว่า 400,000 คดี สูงสุด 3 ประเภทที่มักโดนหลอก ได้แก่ 1.ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 3.หลอกให้กู้เงิน ปีนี้ โคแฟค จึงบูรณาการภาครัฐและเอกชนอบรมสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลในยุคเอไอทั่วประเทศมีผู้เข้าร่วม 2,500 คน และสร้างคอนเทนต์ในอินฟลูเอนเซอร์สายตรวจสอบข่าว และพัฒนาให้เกิดศูนย์ตรวจสอบข่าวลวงภูมิภาคกว่า 7 แห่ง อาทิ อีสานโคแฟค มหาวิทยาลัยบูรพา สามจังหวัดชายแดนใต้ และจะเปิดรับภาคีใหม่มาทำกิจกรรมตรวจสอบข่าวและสร้างพลเมืองทุกคนให้เป็น fact-checker ต่อไป  และสุดท้ายขอชวนประชาชนทุกคนฝึกตรวจสอบข่าวเช็คให้ชัวร์ก่อนเผยแพร่ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง สามารถเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ cofact.org


ยูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุฆ่าหมู่กรุงมอสโกจริงหรือ? 

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact

ถึงแม้กลุ่มติดอาวุธสุดโต่ง “ไอเอส” ได้ยืนยันเองว่าสมาชิกของตนเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีโรงละครในชานเมืองกรุงมอสโกเมื่อปลายเดือนมีนาคม ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 140 ราย แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียและสื่อทางการของรัสเซีย กลับเดินหน้ากล่าวหาว่ารัฐบาลยูเครนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ดังกล่าว โดยที่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุน

กลายเป็นเหตุการณ์ที่ช็อกโลกอีกครั้ง เมื่อกลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปในโรงละคร Crocus City Hall ในชานเมืองกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย และกราดยิงผู้คนอย่างไม่เลือกหน้าเมื่อคืนวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 140 ราย บาดเจ็บอีกเกือบ 200 ชีวิต นับเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีของประเทศรัสเซีย

หลังจากเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มติดอาวุธสุดโต่ง “Islamic State” หรือที่เรียกย่อๆว่า “IS – ไอเอส” ซึ่งมีฐานที่มั่นในตะวันออกกลาง ได้ประกาศแสดงความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ดังกล่าว ทำให้ผู้นำหลายประเทศรุมประณามการโจมตีอันโหดเหี้ยมของไอเอสครั้งนี้ 

ขณะเดียวกัน หน่วยงานความมั่นคงของรัสเซียก็ได้ตะครุบตัวมือปืนไว้ทั้ง 4 คน ขณะกำลังพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ และนำตัวส่งศาลเพื่อดำเนินคดีในหลายข้อหาหนัก 

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดชาวรัสเซียที่จัดทำโดยเว็บไซต์ OpenMinds เมื่อไม่นานมานี้ กลับระบุว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 50 ไม่ได้คิดว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม เพราะเชื่อว่าการสังหารหมู่ดังกล่าว เป็นฝีมือของรัฐบาลยูเครนต่างหาก! 

เทียบกับจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 30 ที่เชื่อว่ากลุ่มไอเอสเป็นผู้ลงมือสังหารโหด

ผลการสำรวจ OpenMinds ระบุว่าชาวรัสเซียส่วนใหญ่เชื่อว่ายูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุฆ่าหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567

ผลสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับการโหมกระแสข่าวของทางการรัสเซียตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง และสื่อในกำกับของรัฐ เพื่อป้ายสีรัฐบาลยูเครนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุกราดยิงที่โรงละคร Crocus ซึ่งถึงแม้โดยปราศจากหลักฐานใดๆ นอกเหนือไปจากคำกล่าวอ้างลอยๆเท่านั้น 

นับเป็นตัวอย่างล่าสุดของปฎิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information operation) ของรัสเซียเพื่อหวังผลทางการเมืองจากเหตุความขัดแย้งและโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้

รัฐบาลจุดกระแส 

กระแสข่าวดังกล่าวเริ่มปะทุขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐระดับบนสุดของทางการรัสเซียเลยทีเดียว นั่นคือ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน โดยผู้นำรัสเซียได้กล่าวในถ้อยแถลงว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุถูกจับกุมขณะพยายามข้ามชายแดนไปยังประเทศยูเครน และตนเชื่อว่ามีคนในยูเครนจัดหาช่องทางหลบหนีให้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุอย่างแน่นอน 

ต่อมาไม่นาน Alexander Bortnikov ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ได้กระพือกระแสข่าวนี้ให้ไปไกลอีกขั้น ด้วยการแถลงว่าถึงแม้กลุ่มติดอาวุธอิสลามสุดโต่งจะเป็นผู้วางแผนการสังหารหมู่ครั้งนี้ก็ตาม แต่ “หน่วยรบพิเศษของชาติตะวันตกเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ และหน่วยรบพิเศษของยูเครนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้โดยตรง” 

Bortnikov ย้ำคำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีปูตินด้วยว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุกราดยิงถูกจับกุมขณะพยายามหลบหนีไปยูเครน ถือเป็นหลักฐานที่ฟ้องถึงความเชื่อมโยงกับรัฐบาลยูเครนอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างตั้งคำถามกับคำกล่าวอ้างนี้ เพราะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับตำแหน่งที่กลุ่มผู้ก่อเหตุถูกจับว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ โดยรายงานของทางการรัสเซียกล่าวว่ามือปืนทั้ง 4 คนถูกจับกุม 180 กิโลเมตรจากชายแดนยูเครน ขณะที่บางรายงานกล่าวว่าเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากชายแดนเบลารุสไปเพียง 16 กิโลเมตรเท่านั้น

นอกจากนี้ยังไม่นับข้อเท็จจริงด้วยว่า รัสเซียกับยูเครนกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม ชายแดนระหว่างสองประเทศถูกปิดตายท่ามกลางการสู้รบอย่างหนักและกำลังทหารจำนวนมาก จึงน่าสงสัยว่าถ้าหากยูเครนอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้จริง จะสามารถจัดหาช่องทางหลบหนีข้ามชายแดนท่ามกลางภาวะศึกสงครามได้อย่างไร

สื่อรัฐช่วยกระพือ 

ด้านสื่อในสังกัดรัฐของทางการรัสเซีย ก็นำเอาทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวมาเผยแพร่ต่ออย่างทันควัน โดยเสนอข่าวเชิงคำถามว่า กลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงละคร Crocus หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของชาติตะวันตกกันแน่ 

ตัวอย่างเช่น Dmitry Kiselyov นักจัดรายการทีวีชื่อดังของรัสเซีย ได้กล่าวกับผู้ชมในรายการทีวีช่วงไพร์มไทม์ว่า กลุ่มไอเอสไม่ได้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ โดยยกหลักฐานว่า กลุ่มมือปืนพยายามหลบหนีหลังก่อเหตุ แทนที่จะพลีชีพแบบนักรบไอเอสในเหตุการณ์อื่นๆ ตนจึงสงสัยว่าอาจเป็นการสร้างเรื่องโดยรัฐบาลอเมริกันเสียมากกว่า 

“มีความจริงอันไม่สามารถเถียงได้ว่า พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้พยายามหนีไปพึ่งพิงยูเครน” Kiselyov ย้ำในรายการ

หนึ่งใน 4 มือปืนก่อเหตุโรงละคร Crocus ในสภาพสะบักสะบอม ขณะขึ้นศาลที่กรุงมอสโก (ภาพโดย EPA)

Margarita Simonyan บรรณาธิการบริหารของช่องข่าว Russia Today กล่าวในทำนองเดียวกันว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่น่าจะเป็นสมาชิกไอเอส เพราะไม่ได้ใส่ระเบิดพลีชีพมาด้วย และสรุปเองว่า กลุ่มไอเอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่โรงละคร Crocus แน่นอน 

ส่วนหนังสือพิมพ์ของทางการรัสเซีย Rossiyskaya Gazeta ก็เผยแพร่บทความตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธปืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีลักษณะคล้ายกองกำลังชาวรัสเซียที่แปรพักตร์ไปช่วยรัฐบาลยูเครนรบในสงคราม 

ขณะเดียวกัน Andrei Medvedev ผู้สื่อข่าวของช่องทีวี Rossiya 1 ยิ่งไปไกลกว่าเพื่อน ด้วยการเขียนโพสต์ลงในเทเลแกรมว่า หน่วยข่าวกรองของสหราชอาณาจักร หรือ MI6 เป็นผู้ตระเตรียมการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม และสั่งการหน่วยข่าวกรองของยูเครนให้เป็นผู้ลงมือ 

“ชาวบริติชมีประวัติศาสตร์ในการล่าอาณานิคมมายาวนาน พวกเขาจึงเป็นมือโปรในด้านการสุมไฟความขัดแย้งทางเชื้อชาติ” Medvedev เขียนในโพสต์ โดยไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ

คลิปปลอมระบาด 

การพยายามเชื่อมโยงรัฐบาลยูเครนให้เกี่ยวข้องกับการโจมตีโรงละคร Crocus ยังได้ยกระดับไปอีกขั้น เมื่อ NTV ช่องทีวีในกำกับของทางการรัสเซีย เผยแพร่คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็น Oleksiy Danilov เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของรัฐบาลยูเครน 

ในคลิปดังกล่าว Danilov กล่าวว่าชาวรัสเซียได้พบเจอ “ความบันเทิง” จากเหตุฆ่าหมู่ที่โรงละครมอสโก และตนหวังว่าจะจัดหา “ความบันเทิง” เช่นนี้ให้ชาวรัสเซียอีกในอนาคต 

คลิปวิดิโอนี้ได้รับการส่งต่อและเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดียรัสเซีย และสร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวรัสเซียอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ของ BBC พบว่าคลิปวิดิโอที่ช่อง NTV นำมาเผยแพร่ มีลักษณะถูกตัดต่อขึ้นจากหลายๆคลิป โดยที่นาย Danilov ไม่ได้พูดเช่นนั้นจริง

คลิปวิดิโอตัดต่อที่สถานีข่าว NTV นำมาออกอากาศ


จึงไม่น่าแปลกใจที่การโหมกระแสข่าวเช่นนี้ ส่งผลให้ชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อย มีความกังขาต่อข่าวว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม และสงสัยว่าผู้ก่อเหตุที่แท้จริงอาจจะเป็นรัฐบาลยูเครน ตามที่ได้กล่าวตอนต้นในบทความ

“ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ลงมือ เพราะพวกผู้ก่อการร้ายหนีไปทางยูเครน” แอนนา ชาวรัสเซียคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Financial Times เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี “พวกเขา [ชาวยูเครน] ต้องการสร้างเหตุการณ์เพื่อดึงความสนใจไปจากแนวรบ และที่ผ่านมาพวกคนยูเครนก็มักจะยินดีอย่างยิ่งเวลาได้เห็นประชาชนชาวรัสเซียเสียชีวิต รวมถึงคนรัสเซียที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามด้วย” 

หลักฐานมัดตัวไอเอส

อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่ปรากฎทั้งหลาย ได้บ่งชี้ว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ที่โรงละคร Crocus อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเหตุการณ์กราดยิงหรือก่อการร้ายอื่นๆ ในหลายประเทศ 

หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง คือถ้อยแถลงแสดงความรับผิดชอบของกลุ่มไอเอส มาพร้อมกับคลิปจากกล้องที่ติดอยู่กับตัวผู้ก่อเหตุ (bodycam) ในโรงละคร Crocus แสดงให้เห็นจังหวะกลุ่มมือปืนเหล่านี้ไล่ยิงและฟันแทงชาวรัสเซียอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งคลิปดังกล่าวไม่ได้เผยแพร่ทางอื่นมาก่อน 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอง ก็ได้เคยส่งคำเตือนไปยังทางการรัสเซียด้วยว่า สหรัฐฯพบข่าวกรองระบุว่ามีกลุ่มติดอาวุธกำลังวางแผนโจมตีในงานแสดงดนตรีหรือโรงละคร แต่ในขณะนั้นประธานาธิบดีปูตินกลับด่าทอรัฐบาลสหรัฐว่า ปั้นเรื่องให้เกิดความตื่นตระหนกในรัสเซีย 

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายระบุด้วยว่า กลุ่มที่ลงมือก่อเหตุที่กรุงมอสโก มีแนวโน้มว่าเป็นสมาชิกเครือข่าย “ไอเอส-เค” อันเป็น “สาขา” หนึ่งของกลุ่มไอเอสที่มักเคลื่อนไหวในพื้นที่อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอิหร่าน กลุ่มดังกล่าวประณามรัฐบาลรัสเซียมาตลอด เพราะไม่พอใจที่กองทัพรัสเซียช่วยโจมตีกลุ่มไอเอสในพื้นที่ตะวันออกกลางหลายครั้ง

นอกจากนี้ กลุ่มไอเอสเคยังได้เคยก่อเหตุวางระเบิดสถานทูตรัสเซียในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อปี 2565 การันตีความสุดโต่งและความโกรธแค้นต่อรัสเซียเป็นอย่างดี

ส่วนข้อสังเกตจากสื่อรัสเซียว่ามือปืนที่โรงละคร Crocus ไม่ได้พลีชีพในที่ก่อเหตุ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้สมาชิกกลุ่มไอเอสก็เคยก่อเหตุกราดยิงหรือวางระเบิดโดยที่ไม่ได้มุ่งหวังพลีชีพในปฏิบัติการเช่นกัน 


อ่านเพิ่มเติม

Moscow attack: Russian state media blames Ukraine and the West

In First Remarks on Attack, Putin Tries to Link Assailants to Ukraine 

Russians back Vladimir Putin in blaming Ukraine for concert hall terror attack

Russia persists in blaming Ukraine for concert attack despite its denial and Islamic State’s claim


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 เมษายน 2567

เตือนภัยดูดเงินผ่านแอป ไม่ต้องกดลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n0vb79q7gg35


3 จุดสังเกตไตอ่อนแอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n9xgxgsovgop


ถอดกระดิ่งคอมาถือ ฟ้าผ่าดับคาทุ่งรับเคราะห์แทนวัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/hw5nnrd5m83p


จ.ระยองมีผู้ติดเชื้อVibrio Valnificusที่มาจากหอยแครงและหอยแมลงภู่ 2 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15lztvierqls3


กรมการขนส่งฯ ออกระเบียบรถบัส 2 ชั้น ให้ต่อทะเบียนซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพง และงดวิ่งสงกรานต์ทั่วประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1u4tvyac1x73t


   จองตั๋วรถไฟออนไลน์ สแกนจ่ายผ่านพร้อมเพย์ผ่านหน้าเว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33ar5x592xwp6


  สิ่งของ 6 อย่างที่ห้ามวางไว้ในรถยนต์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zt9wv75iu85h


   พบ “กากแร่แคดเมียม” สารปนเปื้อนอันตรายร้ายแรง-สารก่อมะเร็ง 15,000 ตัน ภายในโรงงาน จ.สมุทรสาคร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/py5fay5t8q57


  แผ่นดินไหว 6.0 เขย่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือญี่ปุ่น รับรู้ถึง ‘โตเกียว’ ไม่มีเตือนสึนามิ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ixl7qvhmh402


ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ar0f0d4ws0gt


กัมพูชาขึ้นทะเบียนสงกรานต์ ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมมรดกโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14oul1hy0wh74


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 มีนาคม 2567

เทคนิคแก้ไมเกรนหาย ด้วยลูกโป่งเพียงลูกเดียว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bw3eg7u6lvw5


ผงชูรส กับบัญชีดำ 8 อาหารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kqeaylpb9bug


“น้ำส้มสายชูหมัก” ลดลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนโควิด-19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zeghfka8sbxr


“พริกแห้งหมาล่า อันตรายต่อตับและร่างกายทุกส่วน  ทำมาจากโซดาไฟราดพริก”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/klpp4muje73t


   ‘เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ’ ใช้สิทธิบัตรทอง รับยาที่ร้านยาใกล้บ้านฟรี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ap9szaidm3ak


  แพทยศาสตร์ จุฬาฯ ตามหาญาติ ‘อาจารย์ใหญ่’ 18 ท่าน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rbvg5pxlzjm0


  กฟน. ร่วมกับ คิวช่าง มอบส่วนลดล้างแอร์ราคาพิเศษ จำนวน 10,000 สิทธิ์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2xiu05k312ybc


สภาผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3qof4z0c6jxvj

2 เมษา ชวนร่วมงานจาก Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน [วันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 :International Fact-Checking Day 2024 ]

กำหนดการ

จาก Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน
Running from Tigers, Facing the Crocodiles
การสัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 
International Fact-Checking Day 2024 

2 เมษายน 2567 เวลา 10.30 – 20.00 น. 

 ณ ห้องเอนกประสงค์ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กทม.

10.30 – 12.00 น. เปิดบูธ 1. การ์ดเกม ‘การรู้เท่าทันสื่อ’ > มูลนิธิฟรีดิชเนามันเพื่อเสรีภาพ

2. อบรมตรวจสอบข้อมูลพื้นฐาน > ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท

12.00 – 13.00 น. พัก-อาหารเที่ยง 

13.00 – 13.05 น. หมอลำโคแฟคจากขอนแก่น เพลง ‘หยุดข่าวลวง ทวงความจริง’

13.05 – 13.15 น. กล่าวต้อนรับโดย คุณชัชชาติสิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

13.15 – 13.25 น. กล่าวเปิดโดย  นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  

13.25 – 13.35 น. กล่าวนำโดย Faith Chen, APAC News Partnerships, Google News Initiative 

13.35 – 14.05 น. ปาฐกถา หัวข้อ “From Cheapfakes to Deepfakes: Strengthening quality journalism to fight disinformation” 

  • Cédric Alviani หัวหน้าสำนักงาน องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรหมแดน Reporters without Borders (RSF) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

แนะนำมาตรฐานสากลของวารสารศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ของ Journalism Trust Initiative (JTI) องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรหมแดน โดย 

  • Liang-wei, HUANG เจ้าหน้าที่ภูมิภาค JTI เอเชียแปซิฟิค 

14.05 – 15.05 น. Lightning Talks: ภาพรวมการตรวจสอบข้อมูลลวงในรอบปี 2566 

  • รองศาสตราจารย์ดร. เจษฎาเด่นดวงบริพันธ์ Fact Checker, นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คุณณัฐกรปลอดดีผู้ตรวจสอบข่าวประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค  สำนักข่าวเอเอฟพี  Agence France-Presses (AFP)
  • ดร.สันติภาพเพิ่มมงคลทรัพย์รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
  • คุณพีรพลอนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท
  • คุณสุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และ ทีมโคแฟค 

ดำเนินรายการโดย  ธนภณ เรามานะชัย ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูล ภาคีโคแฟค/ดร.คันธิราฉายาวงศ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

15.05 – 15.15 น. Dance break 

15.15 – 16.15 น. เสวนาหัวข้อจากชีพเฟคถึงดีพเฟคการตรวจสอบรู้เท่าทันยังเพียงพอหรือไม่  

  • คุณจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • คุณภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 
  • Professor Masato Kajimoto ศาสตราจารย์ประจำศูนย์วารสารศาสตร์และสื่อศึกษา มหาวิทยาลัยฮ่องกง
  • Faith Chen, APAC News Partnerships, Google News Initiative (GNI)
  • คุณฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook และ Whoscall
  • ดร.จิรพรวิทยศักดิ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส.

ดำเนินรายการโดย  ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิฟรีดริชเนามันเพื่อเสรีภาพ  /ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เจษฎาศาลาทอง อาจารย์ประจำภาค วิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

16.15 – 16.30 น.   Musical break – ไวโอลิน โดย วง Sky & Sea 

16.30 – 17.30 น.   เสวนาหัวข้อการรับมือกับข้อมูลลวงทั้งมวลด้วยมิติทางจิตวิญญาณ

  • พระมหานภันต์สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.)
  • บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
  • คุณอันธิกา เสมสรรผู้แทนเครื่อข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่
  • คุณธนิสรา เรืองเดช CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง PUNCH UP
  • คุณธนกฤต ศรีวิลาศเจ้าของช่อง The Principia 

ดำเนินรายการโดย   คุณเพชรีพรหมช่วยพิธิกรรายการธรรมในใจช่อง 33/คุณธีระพลเต็มอุดม หัวหน้าโครงการธนาคารจิตอาสา

17.30 – 18.00 น. Yoga break โดยคุณเพชรี พรหมช่วย 

18.00 – 18.30 น. อาหารเย็น  

18.30 – 20.00 น. การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม 

– ช่างฟ้อน Slow dance Slow pay จากพะเยา เครือข่ายโคแฟคแสงเหนือ

ทอล์กโชว์ อย่าฟ้าวเชื่ออย่าฟ้าวแชร์อย่าฟ้าวโอนโดยคุณกมลหอมกลิ่นภาคีอีสานโคแฟค 

– โชว์ Cover Dance เพลง Fact Check – NCT127

– เพลง ให้ความจริงเกิดจากเรา โดย ฟ้าเดอะวอยซ์

– เดินแบบโดย Friends of COFACT Thailand 

(เสื้อและกระเป๋า รุ่นอย่าเพิ่งเชื่อ” Limited edition by Cofact x Moreloop) 

เซิ้งม่วนๆ ส่งท้าย โดยคณะหมอลำโคแฟค 

กล่าวปิดโดย      ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค ประเทศไทย 

พิธีกรรับเชิญ    ดร.รดี ธนารักษ์ / ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุลภาคีโคแฟคแสงเหนือ 

หมายเหตุ ถ่ายทอดสดผ่านทางเพจ/Youtube ThaiPBS และ Cofact โคแฟค


สอบถามเพิ่มเติมโทร 095-169-5328 พลินี, 061-169-1621 นาฟีลา, 088-386-2420 พริม 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 มีนาคม 2567

มุสลิมสามารถซื้อที่ดินได้ไม่จำกัด ส่วนชาวพุทธซื้อที่ดินได้แค่ 50 ไร่ เท่านั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mf1w7j4zylhh


หลีกเลี่ยงรับประทานปูที่มีรู เพราะมีการฉีดสารฟอร์มาลีนเข้าไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/182unm6cylwuo


การบินไทยจัดโปรโมชันบินภายในประเทศ ราคารวมภาษี เริ่มต้น 555 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1t9k71n1k7x69


ใช้น้ำอัดลมเทใส่เนื้อหมูสด ทำให้หนอนหรือพยาธิออกจากเนื้อหมู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20gepl195dz4w


 นอนตะแคงซ้ายช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อนได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qvggzdlxaogq


  คลังเปิดบริการออมเพลิน บนแอปฯ เป๋าตัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/23vtk5j598xxd


 กระดาษเมามีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรง มีผลต่อการรับรู้และการตัดสินใจ อาจถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นและฆ่าตัวตายได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3jecoql1fgw69


‘AI-Deepfake’เทคโนโลยีซับซ้อนปลอมเนียนน่ากังวล แต่อย่าประมาท ‘Cheapfake’ ทริกง่ายๆ  ก็หลงเชื่อกันได้

By : Zhang Taehun

ระยะหลังๆ มานี้ ดูเหมือนคำว่า ดีพเฟค (Deepfake)” จะเป็นที่คุ้นเคยของสังคมไทยไปเสียแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนหน้าที่อาจเป็นเพียงศัพท์เฉพาะกลุ่มของผู้สนใจเทคโนโลยี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเริ่มมีข่าว โจรออนไลน์ ก็นำเทคโนโลยีนี้มาหลอกเหยื่อ โดยประเทศไทย เท่าที่พอจะสืบค้นข้อมูลได้ เริ่มพบรายงานมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2565 โดย นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าวผู้ใช้ TikTok ชื่อ “siripatty” โพสต์คลิปวิดีโอเตือนภัยมิจฉาชีพที่ใช้รูปภาพเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการท้าให้เปิดกล้อง ซึ่งเมื่อเปิดก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตามภาพที่ปรากฏนั่งอยู่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดนั้น มีเพียงแค่ปากและตาที่ขยับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับรูปของใบหน้า

จากนั้นเพียง 1 วัน ในวันที่ 11 มี.ค. 2565 เพจเฟซบุ๊ก กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไฮเทค ใช้ Deep Fake ตัดต่อคลิปตำรวจ หลอกเอาเงิน โดย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า มิจฉาชีพได้ปรับเปลี่ยนวิธีการ จากที่นำคลิปวิดีโอจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสวมใส่หน้ากากอนามัย มาตัดต่อใส่เสียงของคนร้าย มาเป็นการใช้เทคนิค Deepfake ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี Deep Learning ในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้สามารถตัดต่อคลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายของบุคคลหนึ่ง ให้สามารถขยับปากตามเสียงของบุคคลอื่นได้

ยิ่งต่อมายังพบการใช้ “AI ปลอมเสียง ก็ยิ่งทำให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ตื่นตัว (และกังวล) มากขึ้น อาทิ รายงานจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2565 เล่าเรื่องของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่เจอหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา ปลายสายเป็นเสียงของเพื่อนที่รู้จักกันมานานถึง 30 ปี อ้างว่าเปลี่ยนเบอร์แล้ว ให้บันทึกเบอร์ที่โทรเข้ามาใหม่นี้ไว้แล้วลบเบอร์เก่าทิ้ง และส่งเลขบัญชีมาให้เพื่อขอยืมเงิน 

ถึงตรงนี้จึงเริ่มเอะใจ เพราะชื่อบัญชีไม่ใช่ชื่อจริงของเพื่อนคนดังกล่าว บวกกับเคราะห์ดีที่ยังมีไลน์ของเพื่อนคนนี้ (ส่วนเบอร์เก่าลบทิ้งไปเพราะหลงเชื่อมิจฉาชีพ) จึงทักไปสอบถาม และได้รับคำยืนยันว่าไม่มีการทักมายืมเงินแต่อย่างใด แถมยังไม่ได้เปลี่ยนเบอร์มือถืออีกต่างหาก แล้วเมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดไปแจ้งความ ตำรวจก็ให้ข้อมูลว่ามีเหยื่อคนอื่นๆ โดนแบบเดียวกันแล้วหลายราย

ก่อนหน้านี้ โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของทั้ง Deepfake และ AI ปลอมเสียงไปแล้ว ซึ่งในต่างประเทศ นอกจากจะหวั่นเกรงมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกเอาทรัพย์สินของเหยื่อ ยังน่ากังวลหากวันหนึ่งถูกนำไปใช้หลอกว่าเป็นคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอของบุคคลสำคัญกำลังพูดบางอย่าง จนกลายเป็นสถานการณ์โกลาหลหรือก่อความรุนแรงในทางการเมืองหรือสังคมได้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดเช่นนั้นจริงแต่คนจำนวนมากหลงเชื่อไปแล้ว

เมื่อในวันที่ 17 ก.ค. 2560 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานกรณีคณะผู้วิจัยจาก มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างเค้าโครงปากของ บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และผสานเข้ากับภาพวีดีโอของ โอบามา ที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ โดยคณะผู้วิจัยรวบรวมมาถึง 14 ชั่วโมง สำหรับนำมาทดลองในงานนี้ และในที่สุดก็สามารถนำเสียงของบุคคลอื่นเข้าไปใส่ในใบหน้าของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ได้อย่างแนบเนียน

นอกจากนี้ในรายงานข่าววันที่ 25 มี.ค. 2566 โดยสำนักข่าว Euronews เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของยุโรปที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ยกตัวอย่างการทดลองใช้เทคโนโลยีนี้เลียนแบบเสียงของ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ให้อ่านออกเสียงข้อความในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf)” งานเขียนของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมัน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

ในวันที่ 15 พ.ย. 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แนะนำประชาชนในเบื้องต้นว่าด้วย การใช้เทคโนโลยี Deepfake ปลอมใบหน้าคน” มีข้อสังเกตคือ 1.สังเกตการขยับริมฝีปาก : หากเป็นคลิปสร้างจาก AI การขยับปากของคนในคลิปจะไม่สอดคล้องกับเสียงในวิดีโอ และดูไม่เป็นธรรมชาติ2.ใบหน้า : มีลักษณะที่ผิดสัดส่วนธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อก้มเงยหน้าหรือหันซ้ายหันขวา 3.สีผิวเข้มหรืออ่อนเป็นหย่อมๆ : แสงและเงาบริเวณผิวไม่สอดคล้องต่อการเคลื่อนไหว และ 4.การกะพริบตาถี่เกินไป หรือน้อยเกินไป : ดูไม่เป็นธรรมชาติ

ส่วน การใช้ AI ปลอมเสียง” มีวิธีสังเกต คือ 1.จังหวะการเว้นวรรคคำพูด : เสียงพูดจาก AI จะไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึก เสียงจึงจะไม่มีจังหวะหยุด ไม่มีเว้นวรรคจังหวะหายใจ และจะพูดประโยคยาว 2.น้ำเสียงราบเรียบ : เสียงจาก AI ที่มิจฉาชีพใช้จะมีเสียงที่ราบเรียบ ไม่มีการเน้นน้ำหนักเสียง หรือความสำคัญของคำ และ 3.คำทับศัพท์ : เสียงจาก AI จะพูดคำศัพท์เฉพาะไม่ค่อยชัด คำบางคำเวลาออกเสียง จะมีความผิดเพี้ยนไปบ้าง เนื่องจาก AI อาจยังไม่สามารถออกเสียงวรรณยุกต์ เสียงสูง-ต่ำ ได้ในบางคำ

ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องของการสร้างข่าวลวง (Fake News) หรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) แบบที่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน ซึ่งหลายคนก็กำลังกังวลว่านับวัน AI ยิ่งพัฒนาให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้เนียนขึ้น ทำให้การระมัดระวังทำได้ยากขึ้น แต่นั่นคือเรื่องของอนาคต ในขณะที่ปัจจุบัน ดูๆ แล้ว ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนประเภท ชีพเฟค (Cheapfake)” น่าจะเป็นสิ่งที่เราทุกคนเจอได้บ่อยกว่า 

“อะไรคือชีพเฟค?” บทความ “What Are Cheapfakes (Shallowfakes)?” เผยแพร่โดย Samsung SDS บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ในเครือซัมซุงของเกาหลีใต้ อธิบายว่า Cheapfake หรืออีกคำหนึ่งคือ “แชลโลว์เฟค (Shallowfake)” แปลกันแบบตรงตัว คือ “การหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อมูลด้วยวิธีการแบบบ้านๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน (Cheap แปลว่าราคาถูก ส่วน Shallow แปลว่าตื้นเขิน) อาจใช้เทคโนโลยีช่วยบ้างแต่ก็ไม่ต้องอาศัยความรู้ชั้นสูงนัก” ซึ่งต่างจาก Deepfake ที่ต้องเข้าใจเรื่อง AI และ Machine learning พอสมควร โดยวิธีการทำ Cheapfake ที่พบได้บ่อยๆ เช่น แต่งภาพด้วยโปรแกรมพื้นฐานอย่าง Photoshop , ตัดต่อวีดีโอด้วยการเร่งหรือลดความเร็ว 

ภาพ01 : ภาพเก่าของ บารัค โอบามา สมัยเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตรวจเยี่ยมการพัฒนาวัคซีนโรคอีโบลา ในแล็บที่รัฐแมรีแลนด์ของสหรัฐฯ ในปี 2557 ถูกนำไปอ้างในปี 2563 ที่โลกเผชิญสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ว่า เป็นภาพการไปดูโครงการเกี่ยวกับค้างคาว (สัตว์พาหะนำเชื้อโควิด-19) ที่เมืองอู่ฮั่นของจีน ในปี 2558 หรือ 5 ปีก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด

หรือไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเลย เพียงนำภาพเก่ามาโพสต์ใหม่แต่บรรยายในบริบทอื่นที่ไม่ตรงกับเหตุการณ์จริงในภาพนั้น (Re – Contextualizing) เท่านั้น โดยบทความยกตัวอย่างภาพ บารัค โอบามา อยู่ในห้องทดลองแห่งหนึ่ง ที่มาจริงๆ ของภาพนั้นอยู่ในปี 2557 สมัยที่โอบามา ยังเป็น ปธน. สหรัฐฯ ไปตรวจเยี่ยมการพัฒนาวัคซีนโรคอีโบลาในแล็บที่รัฐแมรีแลนด์ แต่ในปี 2563 ที่โลกเริ่มเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่เริ่มมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีการนำภาพดังกล่าวกลับมาแชร์กันอีกครั้ง แล้วบอกว่า เป็นภาพในปี 2558 ที่ ปธน.โอบามา ไปฟังบรรยายโครงการบางอย่างที่เกี่ยวกับค้างคาว (ซึ่งต่อมาจะถูกอ้างว่าเป็นพาหะนำเชื้อโควิด-19) ที่แล็บในเมืองอู่ฮั่น

ในวันที่ 18 ธ.ค. 2566 WIRED นิตยสารดังของสหรัฐฯ ที่เน้นเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยี เผยแพร่บทความ Worried About Political Deepfakes? Beware the Spread of ‘Cheapfakes’ ระบุว่า ในขณะที่แวดวงการเมืองทั่วโลก (โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่กำลังนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงปลายปี 2567) กำลังกังวลเกี่ยวกับข้อมูลหรือเนื้อหาที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (Generative AI) แต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดทำได้ง่ายกว่าด้วยการติดป้ายกำกับรูปภาพ วิดีโอ หรือคลิปเสียงผิดบริบทเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาจากเวลาหรือสถานที่อื่น หรือแก้ไขสื่อเพื่อให้ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นทั้งที่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง

บทความของ WIRED ยกตัวอย่างในปี 2563 มีคลิปวีดีโอ แนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi – ปัจจุบันเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ) เป็นคลิปจริงไม่ได้ใช้ AI ทำขึ้น แต่ใช้วิธีตัดต่อให้เล่นด้วยความเร็วช้าลง เพื่อให้ผู้ที่ชมคลิปเข้าใจว่านักการเมืองผู้นี้อยู่ในอาการมึนเมา ซึ่งเมื่อดูการกำกับดูแลของแต่ละแพลตฟอร์ม พบว่า ในขณะที่ X (ทวิตเตอร์) TikTok และยูทูบ ลบคลิปดังกล่าวออกจากระบบ แต่เฟซบุ๊กไม่ได้ลบออกโดยทำเพียงมีคำเตือนว่า “มีเนื้อหาบางส่วนเป็นเท็จ” ซึ่งบทความนี้มองว่า เนื้อหาทำนองนี้ยังคงมีผลกระทบอย่างมากหากได้รับอนุญาตให้เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐฯ อย่าง Slate เผยแพร่รายงาน Beware the Cheapfakes เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2562 เตือนประชาชนว่า แม้ Deepfake จะเป็นเทคโนโลยีที่น่ากังวล แต่ความเสียหายหลายๆ ครั้งก็เกิดจากเทคนิคพื้นๆ แบบ Cheapfake โดยยกตัวอย่างคลิปวีดีโอนักการเมืองอเมริกัน แนนซี เพโลซี ที่ดูเหมือนมีอาการมึนเมา แต่ในความเป็นจริงคือคลิปนี้ถูกตัดต่อด้วยการทำให้เล่นด้วยความเร็วช้าลง ซึ่งท้าทายการตรวจจับและหักล้างเพราะเป็นคลิปวีดีโอจริงที่ผ่านการแก้ไขดัดแปลงเพียงเล็กน้อย

คลิปวีดีโอที่ถูกตั้งชื่อว่า Drunk Pelosi ถูกโพสต์บนเพจเฟซบุ๊กหนึ่งที่มียอดผู้ติดตามถึง 35,000 บัญชี บรรยายว่า แนนซี เพโลซีพูดไม่ชัดและมีกิริยาอาการเหมือนคนเมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับวิดีโออื่นจากเหตุการณ์เดียวกัน แม้แต่คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังดูออกว่าวิดีโอถูกลดความเร็วลง ถึงกระนั้นก็น่าเป็นห่วง เพราะคลิปบิดเบือนนี้ถูกนำไปไปขยายความต่อโดย โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีในขณะนั้น รวมถึงนักการเมืองคนอื่นๆ ของพรรครีพับลิกัน อันเป็นขั้วการเมืองตรงข้ามกับพรรคเดโมแครตที่ เพโลซี สังกัดอยู่ 

ภาพ 02 : โพสต์คำเตือนจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีมีการแชร์ภาพที่อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ช่วงเดือน มี.ค. 2563 ปลุกคนไทยสู้ภัยโควิด – 19 ว่าเป็นข่าวลวง โดยเป็นภาพเก่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปลงพื้นที่ถนนเยาวราช
ภาพ 03 : เว็บไซต์ นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าว วันที่ 15 ธ.ค. 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ถนนเยาวราชเพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินและสตรีทฟู้ด ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน จะมีภาพจากงานนี้ถูกนำไปใช้อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่กลางกรุงเทพฯ ปลุกคนไทยสู้ภัยโควิด – 19 

กลับมาที่ประเทศไทย Cheapfake ที่น่าจะผ่านหูผ่านตากันบ่อยๆ คงเป็นเรื่องของภาพเก่าเล่าใหม่อย่างผิดบริบท (Re – Contextualizing) ยกตัวอย่างจากที่ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เคยรวบรวมไว้ เช่น ในเดือน มี.ค. 2563 ที่ประเทศไทยเริ่มเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด – 19 มีการแชร์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ปราศรัยบนท้องถนนใจกลางกรุงเทพฯ ปลุกพลังคนไทยสู้ภัยไวรัสโคโรนา แต่เรื่องนี้เป็นข่าวลวง เพราะในความเป็นจริง ภาพดังกล่าวถูกถ่ายในวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ไปลงพื้นที่ถนนเยาวราชเพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินและสตรีทฟู้ด 

หรือในช่วงปี 2565 ที่มีการแชร์ภาพปั๊ม ปตท. ใน สปป.ลาว ถูกไฟไหม้ซึ่งอ้างว่ามีการวางเพลิงเกิดขึ้น วนไป – มาอยู่หลายครั้ง ในความเป็นจริงภาพที่แชร์กันเป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน เช่น ภาพรถกระบะถูกไฟไหม้ เหตุเกิดที่ปั๊ม ปตท. ละงูปิโตรเลียม ริมถนนละงู-ปากบารา เขตเทศบาลตำบลกำแพง อ.ละงู จ.สตูล วันที่ 22 พ.ย. 2560 โดยพบสื่อไทย 2 สำนัก คือ นสพ.ไทยรัฐ และ นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าวนี้ โดยในส่วนของ นสพ.ไทยรัฐ ยังรายงานด้วยว่า สาเหตุการเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ เกิดจากขณะคนงานกำลังใช้เครื่องสูบน้ำมันแบบใช้มือหมุน สูบน้ำมันอี 20 ลงถัง ได้เกิดการเสียดสีบริเวณปากถัง 200 ลิตร และเกิดประกายไฟขึ้นมาจนทำให้เกิดไฟไหม้

เทคนิค Cheapfake ยังถูกมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกให้เหยื่อ (โดยเฉพาะที่เป็นคน “ใจดี – ใจบุญ” ชอบสร้างกุศลบริจาคเงิตช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) โอนเงินบริจาคได้ด้วย รายงานข่าวเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 มีคุณแม่ท่านหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยเป็นอุทาหรณ์ว่า ตนได้เข้าแจ้งความที่ สภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ หลังพบมีมิจฉาชีพ นำภาพเก่าของลูกชายที่เข้ารับการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 ไปโพสต์ขอรับบริจาคนม ผ้าอ้อมหรือปัจจัยช่วยค่าใช้จ่ายในการรักษา พร้อมระบุเลขบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าเด็กในภาพเป็นโรคหัวใจหอบ ซึ่งคุณแม่ท่านนี้ยืนยันว่า ปัจจุบันลูกชายตน (หรือเด็กที่ถูกนำภาพไปแอบอ้าง) สุขภาพแข็งแรงดี 

ภาพ 04 : ข้อความและภาพเรื่องตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ที่สอบถามเข้ามาในระบบของ Cofact และที่แชร์ทางกลุ่มเฟซบุ๊ก ในเดือน ก.พ. และ มี.ค. 2567 ระบุผู้ต้องการความช่วยเหลือคือ นายไพศาล แซ่ตั๊น 
ภาพ 05 : ข่าวจาก นสพ.สยามรัฐ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2560 เนื้อข่าวเดียวกันกับที่ถูกนำมาแชร์ในอีกเกือบ 7 ปีให้หลัง ยกเว้นชื่อของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ คือนายณรงค์ ทองมนต์ 

ภาพ 06 : ข่าวจาก นสพ. ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2560 เนื้อข่าวและภาพประกอบเดียวกันกับที่ถูกนำมาแชร์ในอีกเกือบ 7 ปีให้หลัง ยกเว้นชื่อของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ คือนายณรงค์ ทองมนต์ 

นอกจากการใช้ภาพเก่าแล้ว การใช้ข่าวเก่าแบบลอกมาทั้งหมด แต่เปลี่ยนชื่อและบัญชีธนาคารผู้รับบริจาค ก็ต้องระมัดระวัง โดยเมื่อเดือน ก.พ. 2567 มีผู้ส่งข้อความเข้ามาถามในระบบฐานข้อมูลของ Cofact เป็นเรื่องของ ตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต” ในพื้นที่ ต.ดงเดือย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ซึ่งเมื่อลองนำส่วนหนึ่งของข้อความไปค้นหาดู ยังพบการแชร์ในกลุ่มเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 อย่างไรก็ตาม เมื่อทดลองนำข้อความที่โพสต์ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต กลับพบว่าทั้งภาพและเนื้อหา ไปตรงกับข่าวที่มีสื่ออย่างน้อย 2 สำนัก รายงานเมื่อเกือบ 7 ปีก่อน 

โดย นสพ.สยามรัฐ และ นสพ.ผู้จัดการ เคยรายงานข่าวนี้เมื่อวันที่ 2 และ 4 ก.ค. 2560 ตามลำดับ จะแตกต่างก็มีเพียงข่าวจากหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับข้างต้น ระบุครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อน คือ นายณรงค์ ทองมนต์ บัญชีเลขที่ 055610268819 ธนาคารออมสิน สาขากงไกรลาศ หมายเลขโทรศัพท์ 093-8475136 ในขณะที่ข้อความซึ่งแชร์กันบนโลกออนไลน์ ตามเวลาล่าสุดที่พบคือเดือน ก.พ. และ มี.ค. 2567 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ นายไพศาล แซ่ตั๊น บัญชีเลขที่ 177-3-412258 ธนาคารกสิกรไทย สาขากงไกรลาศ หมายเลขโทรศัพท์ 09-4371-4208

(หมายเหตุ : กรณีข่าวตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ในพื้นที่ ต.ดงเดือย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ผู้เขียนมิได้เจตนากล่าวหาบุคคลที่ปรากฏชื่อว่าเป็นมิจฉาชีพ เพียงแต่พบข้อสงสัยว่าด้วยเนื้อหาและภาพข่าวเดียวกันแต่ถูกเผยแพร่ส่งต่อในต่างห้วงเวลาและมีการแก้ไขชื่อ เลขบัญชีธนาคาร รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งถือว่าเป็นข้อน่าสงสัย จึงหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษา ทั้งนี้ ผู้เขียนพร้อมเผยแพร่คำชี้แจงเพิ่มเติมหากผู้ถูกพาดพิงชี้แจงเข้ามา)

ยังมีกรณีที่เทคนิค Cheapfake ไม่ได้ใช้เพื่อหลอกคนบนโลกออนไลน์ แต่นำไปใช้ตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจบนท้องถนน โดยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2566 สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 รายงานข่าวตำรวจจับผู้ต้องหา เปิดเพจเฟซบุ๊กจำหน่ายป้ายทะเบียนรถปลอมและป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ปลอม โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่า ป้ายทะเบียนปลอมนั้นซื้อมาขายต่อ แต่ป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ปลอม ทำขึ้นเองโดยใช้โปรแกรม Photoshop ใช้เวลาทำประมาณ 3 นาที ต้นทุนไม่ถึง 10 บาท แต่ขายได้ราคาสูงถึง1,300 – 1,500 บาท

โดยสรุปแล้ว แม้เราจะกังวลกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI หรือ Deepfake ที่ทำให้ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนทำได้แนบเนียนจับผิดได้ยาก แต่ก็อย่าลืมหรืออย่าประเมินอันตรายของ Cheapfake ต่ำเกินไป เพราะอย่างหลังนี้เจอได้บ่อยๆ เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยความรู้ซับซ้อน และหากมันไป กระตุ้นอารมณ์ บางอย่างในตัวเรา เมื่อนั้นไม่ว่าใครก็อาจเผลอ เชื่อ และ แชร์ ข่าวนั้นต่อไปได้

อย่างข่าวอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ปลุกสู้ภัยโควิด-19 ท่ามกลางผู้คนห้อมล้อมหนาแน่น ก็อาจกระตุ้นได้ทั้งคนที่ชอบ-ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ตีความและแชร์ออกไปในมุมที่ต่างกัน กลายเป็นความขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งขึ้นมาในหมู่ประชาชน หรือข่าวตา-ยายชีวิตรันทดเปิดรับบริจาค หากรีบโอนไปทันทีด้วยใจสงสารโดยยังไม่ทันได้ตรวจสอบ เงินนั้นก็อาจไปไม่ถึงมือของผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

ตั้งสติก่อนเชื่อ..เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ (และโอนเงิน)” ยังคงเป็นหลักปฏิบัติที่ต้องยึดให้มั่นเสมอ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000023797 (แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ก้าวไปอีกขั้น ใช้ “deepfake” ภาพตำรวจขยับแค่ปากหลอกเหยื่อ : ผู้จัดการ 10 มี.ค. 2565)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=5217890471594448&set=a.1047112478672289 (ตร. เตือน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไฮเทค ใช้ Deep Fake ตัดต่อคลิปตำรวจ หลอกเอาเงิน : กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 11 มี.ค. 2565)

https://www.thaich8.com/news_detail/112669(เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน : ช่อง8 26 ก.ย. 2565)

https://www.bbc.com/news/av/technology-40598465 (Fake Obama created using AI tool to make phoney speeches : BBC 17 ก.ค. 2560)

https://blog.cofact.org/deepfake2022/(‘DEEPFAKE’อีกระดับของข่าวปลอม ‘หลอกเนียน-ลวงเหมือน-สกัดยาก’รู้อีกทีเป็นเหยื่อ : Cofact 13 มี.ค. 2565)

https://www.euronews.com/next/2023/03/25/audio-deepfake-scams-criminals-are-using-ai-to-sound-like-family-and-people-are-falling-fo (Audio deepfake scams: Criminals are using AI to sound like family and people are falling for it : Euronews 25 มี.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/specialreport4-66/ (‘ปลอมเสียงคนรู้จัก’ เทคโนโลยี‘AI’ก้าวหน้า..เอื้อ ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยหลอกเหยื่อแนบเนียน : Cofact 9 พ.ค. 2566)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=364219319444945&set=a.127278969805649(ระวัง Deepfake สู่ Fake News วิธีสังเกตคนจริง หรือ AI : ตำรวจสอบสวนกลาง 15 พ.ย. 2566)

https://www.samsungsds.com/en/insights/what-are-cheapfakes.html (What Are Cheapfakes (Shallowfakes)? : Samsung SDS : 23 พ.ค. 2565)

https://www.wired.com/story/meta-youtube-ai-political-ads/ (Worried About Political Deepfakes? Beware the Spread of ‘Cheapfakes’ : WIRED 18 ธ.ค. 2566)

https://slate.com/technology/2019/06/drunk-pelosi-deepfakes-cheapfakes-artificial-intelligence-disinformation.html (Beware the Cheapfakes : Slate 12 มิ.ย. 2562)

https://www.facebook.com/AntiFakeNewsCenter/photos/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-นายกฯ-ลงพื้นที่ปลุกคน-สู้-covid-19-กลางถนนตามที่ได้มีข่าวปรากฎ/205219940912187/?locale=it_IT&paipv=0&eav=AfY6ugC3AEHqWGJt9fjHB8xovtbNPBpNnOrmekHIkXQtaPJ1Z3CKkbNZ0S-ol8jISq4&_rdr (ข่าวปลอม อย่าแชร์! นายกฯ ลงพื้นที่ปลุกคน สู้ COVID-19 กลางถนน : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 23 มี.ค. 2563)

https://mgronline.com/politics/detail/9620000119525 (“บิ๊กตู่” ลุยถนนคนเดินเยาวราช ประกาศสู้ ปชช.ตะโกนเชียร์ลุง : ผู้จัดการ 15 ธ.ค. 2562)

https://www.antifakenewscenter.com/ความสงบและความมั่นคง/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-มีการ-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! มีการเผาปั๊มน้ำมันปตท. ในประเทศลาว : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 2 ธ.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/society/1133465 (นาทีระทึก! คลิปไฟไหม้รถกระบะในปั๊มน้ำมัน อ.ละงู เสียวระเบิด : ไทยรัฐ 23 พ.ย. 2560)

https://mgronline.com/south/detail/9600000117842 (เพลิงไหม้กระบะวอดทั้งคันขณะนำน้ำมันลงท่อในปั๊ม ปตท.ละงู กลางเมืองสตูล : ผู้จัดการ 22 พ.ย. 2560)

https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2051281 (แม่อุ้มลูกน้อยแจ้งจับโจรในโซเชียล เอารูปเด็กไปโพสต์ ขอรับบริจาค : ไทยรัฐ 16 มี.ค. 2564)

https://cofact.org/article/28nr75gxky3s9

https://siamrath.co.th/n/18721 (น่าเวทนา!ตายายพิการเก็บขยะขายเลี้ยงดูหลาน 5 คน ลูกสาวเพิ่งเสียชีวิต : สยามรัฐ 2 ก.ค. 2560)

https://mgronline.com/local/detail/9600000067779 (สุดลำเค็ญ…ตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ลูกตายชาวบ้านต้องช่วยทำศพ : ผู้จัดการ 4 ก.ค. 2560)

https://news.ch7.com/detail/694950 (จับพ่อค้าหัวใส ทำป้ายปลอมขาย : ช่อง 7 27 ธ.ค. 2566)


สื่อคาทอลิก เปิดฉาก จับมือกับหลายฝ่าย ตามหาจริยธรรม AI #ข่าวคาทอลิก

วันที่ 18 มีนาคม 2024 สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทยร่วมกับ Google News Initiative และ Cofact (ประเทศไทย)จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สื่อคาทอลิกกับการตรวจสอบข้อมูลในยุค AI” ห้องประชุมสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย ซ.นาคสุวรรค กรุงเทพฯ


งานเริ่มโดยการขอพรพระเพื่อการสัมมนาในวันนี้จะได้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและพึ่งพากัน โดยคุณพ่ออนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย คุณพ่อได้กล่าวถึงจุดตั้งต้นของแรงบันดาลใจซึ่งมาจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่มอบสาส์นในวันสันติภาพสากล ปี 2024 ในประเด็น “ปัญญาประดิษฐ์และสันติภาพ” หลังจากนั้นก็พบเรื่องราวเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่ต้องลุกขึ้นมา ให้ข้อมูลกัน และใช้โอกาสเหล่านี้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นอกจากจะทำให้สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นที่รับรู้และเข้าใจในมุมมองที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการพาทุกคนก้าวเดินไปด้วยกันในยุคปัจจุบัน กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมสัมมนาได้พบกับคุณธนภณ เรามานะชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบข้อมูล ภาคีโคแฟค ร่วมบรรยายในหัวข้อ “เครื่องมือดิจิตัลสำหรับการตรวจสอบข้อมูล” เป็นการให้ข้อมูลภาพรวมและเชิงลึกเป็นต้นเครื่องมือ AI พื้นฐานในการสร้างคอนเทนต์และยังเชิญชวนให้สังเกตเนื้อหา การตรวจสอบ การบิดเบือน รวมทั้งการตรวจสอบย้อนหลัง นอกจากนั้นยังแนะนำวิธีการสร้างข้อมูลของ AI


ในช่วงบ่ายคุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค(ประเทศไทย) และทีมงาน ได้แนะนำการทำงานของโคแฟคถึงกิจกรรมต่าง ๆ หลักคิด การจัดตั้ง บริบทของงาน และยังเน้นย้ำถึงการมีจริยธรรมของสื่อและประเด็นลิขสิทธิ์กับ AI
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการเปิดศักราชของการทำความเข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการนำไปใช้ รู้เท่าทันและแสวงหาต่อไปกับจริยธรรมในAI ที่ยังคงต้องเรียนรู้กันอีก การสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม 35 ท่านจากหน่วยงานสื่อคาทอลิก คณะนักบวชคาทอลิก โรงเรียนคาทอลิก องค์กรคาทอลิกทั้งในระดับสภาพระสังฆราช และสังฆมณฑล


การสัมมนาในครั้งนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จึงได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์กับความก้าวหน้าของโลกแล้ว ยังต้องระมัดระวังและเลือกใช้ ให้เหมาะสมตามประสิทธิภาพภายใต้จริยธรรมที่มีและถูกสร้างในหัวใจของผู้ใช้ด้วย


รอติดตามข่าวความร่วมมือ การจัดสัมมนา หรือกิจกรรมสื่อศึกษาในโอกาสต่อไปจากช่องทางต่างๆของสื่อมวลชนคาทอลิกกันต่อไป

โดย สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย

https://www.facebook.com/651851281/posts/pfbid02RP3mjeP4xSqb8qFScF7A73LHzUJ4VpHy9UursStZH7Xrdeq1km31Eg6uCLeg2uPAl/?