สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2567

ขวดน้ำพลาสติกตากแดดในรถยนต์หากดื่มเสี่ยงมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1b4zuykkuarng


สินเชื่อกรุงไทย 100,000 บาท ผ่อนเพียง 1,750 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ghonw1s6uodl


น้ำฝนยังสะอาดพอให้ดื่มได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ng4eqk46jckx#_=_


ปปง. เปิดเพจแจ้งความออนไลน์ ชื่อว่า ศูนย์รับเรื่อง-ลงทะเบียนและตรวจสอบเพื่อรับเงินคืนจากคดีออนไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3keh759mmyk50


ปัสสาวะกลางคืนแล้วไม่ดื่มน้ำทดแทน ทำให้เกิดภาวการณ์อุดตันของหัวใจและสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2yvq58hqdsy6t


3 สค. เลี่ยงการใช้บริการด่วน สุไหงโก-ลก

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/nfmvyu41knkw


หากลืมบัตรประชาชน สามารถใช้แอปฯ ThaID ยืนยันสิทธิบัตรทองได้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/10w4imm5bbjxg


ไทยเตรียมเปิดวีซ่าใหม่ Destination Thailand Visa

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2cvs764uwxe3


TikTok เปิดตัว #คนไทยรู้ทัน ศูนย์ข้อมูลดิจิทัลต้านภัยออนไลน์

Cofact โคแฟค + Thailand Consumers Council (TCC) สภาองค์กรของผู้บริโภค joining Thai Awareness Anti-Scam Campaign hosted by TikTok & Gov agencies such as DE, ETDA, BoT at SCBX Next Tech, Siam Paragon today. Too much to pay the scammers. Its time to be a national agenda.

TikTok เปิดตัว #คนไทยรู้ทัน ศูนย์ข้อมูลดิจิทัลต้านภัยออนไลน์
ผนึกกำลัง ดีอี พร้อมด้วยพันธมิตรจากภาครัฐและประชาสังคมกว่า 8 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), โครงการโคแฟค (COFACT), และสภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ผ่านแคมเปญ #คนไทยรู้ทัน ติดอาวุธทางความคิด พร้อมปลุกกระแสให้คนไทยรู้เท่าทันและสามารถรับมือกับปัญหาการถูกหลอกลวงบนโลกออนไลน์ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นคง

“TikTok เชื่อว่าการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับผู้ใช้งานเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง เราได้ทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้แพลตฟอร์มของเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์สำหรับผู้ใช้งานทุกคน ความร่วมมือภายใต้แคมเปญ #คนไทยรู้ทัน มีจุดประสงค์เพื่อมอบพื้นที่ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการรับมือจัดการภัยออนไลน์ ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับผู้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย ทั่วประเทศไทย ในการสื่อสารเพื่อเตือนภัยและเสริมทักษะการรับมือกับกลโกงของมิจฉาชีพในยุคดิจิทัลที่มาในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อเสริมเกราะป้องกันภัยออนไลน์ให้แก่ชาวไทยและร่วมสร้างอนาคตที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นบนสังคมออนไลน์” นางสาวชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy – TikTok, Thailand กล่าว

ในปัจจุบัน ปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์ได้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่ยังขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ จากรายงานของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เผยว่าปัจจุบันมีคดีหลอกลวงและการฉ้อโกงกว่า 700 คดีต่อวัน โดย 40% เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางอีคอมเมิร์ซ [1] และล่าสุด สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เปิดตัวเลขการร้องเรียนปัญหาออนไลน์ของศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ในครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2567) พบปัญหาร้องเรียนออนไลน์แล้ว 19,960 กรณี โดยเรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือปัญหาซื้อขายออนไลน์ (43.44%) รองลงมาคือปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย (31.27%) และปัญหาอื่นๆ (25.29%) จะมีทั้งในเรื่องปัญหาการหลอกลวงลงทุน หลอกให้ทำงานออนไลน์ และปัญหาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับทั้งบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ธุรกิจหลายรายยังถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ข้อมูลสำคัญถูกขโมยและนำไปสู่ช่องทางการเข้าถึงเป้าหมายในการหลอกลวงอย่างง่ายดาย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหล่ามิจฉาชีพยังมีการพัฒนากลเม็ดการหลอกลวงใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การรู้เท่าทันกลโกงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อปกป้องผู้บริโภคและเสริมสร้างความมั่นคงในโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน

สำหรับแคมเปญ #คนไทยรู้ทัน ถือเป็นการร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของ TikTok กับพันธมิตรที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ความรู้ตามความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ของแต่ละหน่วยงาน โดยหน่วยงานภาครัฐ เข้ามาให้ความรู้ในเรื่องการบังคับใช้กฏหมายและมาตรการเพื่อป้องกันและรับมือกับมิจาชีพออนไลน์ ทางด้านภาคประชาสังคมในฐานะผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ให้ความรู้ด้านสิทธิ์และการคุ้มครองผู้บริโภค และภาคประชาชน ที่ TikTok เป็นแกนนำในการนำทัพครีเอเตอร์ที่มีอิทธิพลบนแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นกระบอกเสียงในการเตือนภัยและสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ใช้ เพื่อส่งสารที่สำคัญและเป็นประโยชน์ไปถึงกลุ่มผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งครีเอเตอร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยในการสร้างคอนเทนต์บนแคมเปญที่สนุกสนานและเข้าใจง่าย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ สอดคล้องกับรายงาน The TikTok Effect: Accelerating Southeast Asia’s Business, Education, and Community Report 90% ของผู้ใช้ TikTok ได้รับความรู้และทักษะใหม่บนแพลตฟอร์ม

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “การสร้างความตระหนักรู้และภูมิคุ้มกันด้านดิจิทัลให้กับประชาชนถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์อย่างยั่งยืน เมื่อภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง ทุกคนย่อม ‘รู้ทัน’ ภัยออนไลน์ต่างๆ ทำให้โอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงออนไลน์น้อยลง และสามารถช่วยภาครัฐจัดการกับผู้ไม่หวังดีได้ ทางกระทรวงฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นของพันธมิตรทุกๆ ภาคส่วน ในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้แก่ประชาชนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสานต่อความร่วมมือต่อไปในอนาคต”

รับแจ้ง ตรวจสอบ และปราบปรามอย่างเข้มงวด
ในฐานะหน่วยงานหลักผู้บังคับใช้กฏหมายและการสืบสวนสอบสวนคดีฉ้อโกงทางออนไลน์ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเน้นย้ำถึงหลักการป้องกันโกง 4ไม่: ไม่กดลิงก์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน และทางกระทรวงฯ ยังพร้อมช่วยเหลือผู้เสียหายในการรับเรื่องร้องเรียนและอายัดบัญชีของคนร้ายผ่านศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ตลอด 24 ชม. นอกจากนี้ยังมอบหมายสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในการกำกับดูแลช่องทาง call center 1212 ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ ที่มีส่วนช่วยปรึกษาปัญหาทางธุรกรรมออนไลน์ และแจ้งเบาะแสบัญชีม้า อีกทั้งผลักดันให้ประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสบัญชีม้า พร้อมออกโรงเตือนประชาชนในการหลีกเลี่ยงการเปิดบัญชีม้าซึ่งเอื้อต่อกลุ่มมิจฉาชีพในการฉ้อโกงออนไลน์ สำหรับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้ามามีส่วนร่วมสืบสวนสอบสวน ปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์และบัญชีม้าเป็นภารกิจหลัก โดยมีการจับและดำเนินคดีจริงมาแล้วนับไม่ถ้วน ด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานเหล่านี้ แต่ละหน่วยงานมีความมุ่งมั่นที่จะกระจายความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ภาคประชาชนผ่านแพลตฟอร์มแนวหน้าอย่าง TikTok เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนในยุคดิจิทัลไม่ให้เกิดความเสียหายจากมิจฉาชีพ

สารพัดกลหลอก คนไทยต้องรู้ทัน
การหลอกลวงให้ทำธุรกรรมทางการเงินด้วยกลโกงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลอกกู้เงิน หลอกลงทุน หรือหลอกให้รักเพื่อลักทรัพย์ เป็นอีกประเด็นที่สำคัญในแคมเปญ #คนไทยรู้ทัน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จึงเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับภัยคุกคามเหล่านี้ โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ ‘เช็คให้ชัวร์’ เช่นการตรวจสอบผู้ให้บริการสินเชื่อว่าเป็นตัวจริง ด้วยการตรวจสอบกับต้นสังกัดผู้ให้บริการ หรือในด้านการลงทุน ควรตรวจสอบผู้ให้บริการลงทุนว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ผ่านแอปพลิเคชัน SEC Check First หรือปรึกษาและแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนปลอมได้ที่สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน ก.ล.ต. โทร 1207 กด 22 พร้อมย้ำเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการกดลิงก์ที่มาพร้อม SMS เบอร์แปลกหน้า ในขณะเดียวกัน โครงการโคแฟคที่ยืนหยัดบนบทบาทการเป็นพื้นที่ตรวจสอบข่าวลวง ยังได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบในยุคแห่งสื่อดิจิทัล ที่ผู้ประสงค์ร้ายสามารถเข้าถึงและหลอกลวงประชาชนได้อย่างง่ายดาย ไม่ให้หลงเชื่อข้อมูลเท็จและสารพัดกลลวงที่อาจสร้างความเสียหายให้กับตนเอง

เมื่อตกเป็นเหยื่อ ยังมีหน่วยงานยืนหยัดพร้อมคุ้มครอง
การคุ้มครองผู้บริโภคนับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ในความร่วมมือครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ร่วมมอบความรู้เกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติเมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ รวมถึงกรณีของผู้บริโภคที่ได้รับสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม แนะผู้บริโภคให้เก็บรวบรวมหลักฐานตั้งแต่การสั่งซื้อจนกระทั่งการเปิดสินค้า หากได้รับสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1166 หรือผ่านทาง www.ocpb.go.th สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้จากการช้อปปิ้งออนไลน์ อีกทั้งยังยืนหยัดติดตามและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของผู้บริโภค

“COFACT เชื่อว่าความสามารถในการแยกแยะข้อมูลอันเป็นเท็จเป็นอีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัย ซึ่งความร่วมมือของเรากับ TikTok และพันธมิตรทุกราย ผ่านแคมเปญ #คนไทยรู้ทัน ถือเป็นก้าวสำคัญในการมอบความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นให้กับผู้ใช้ชาวไทยในการท่องโลกดิจิทัลอย่างปลอดภัย ช่วยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เรามุ่งหวังที่จะร่วมสร้างคอมมูนิตี้ที่เข้มแข็งที่สามารถรับมือกับกลโกงต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ เพื่อให้เกิดสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีข้อมูลที่ถูกต้องยิ่งขึ้น” นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าว

TikTok ตั้งเป้าให้แคมเปญ #คนไทยรู้ทัน เป็นศูนย์ข้อมูลความรู้ดิจิทัลที่ครอบคลุมและครบถ้วน พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในโลกดิจิทัล ทั้งนี้ ทุกท่านสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ได้ ผ่านการแชร์คอนเทนต์ไอเดียต่อกรกับกลโกงต่างๆ พร้อมติดแฮชแท็ก #คนไทยรู้ทัน บน TikTok ซึ่งคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาดีเด่นและโดนใจจะได้รับรางวัลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิเช่น iPhone 15 Pro Max, Apple Watch และ iPad Air M2 ได้ตั้งแต่ 26 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 2567 และประกาศผลในวันที่ 19 สิงหาคม 2567


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2567

พิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ “ลามีน ยามาล” เกิดที่ไทย-มีเชื้อสายไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qb5eiz4va063


ครม. ยกเลิกประกาศ คสช. ที่ไม่มีความจำเป็นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3n6ztk7ylvqy4


ตรึงค่าไฟฟ้าเท่าเดิมที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ระหว่างเดือน ก.ย.-ธ.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pucmsj05on62


ระวัง! ใช้ตะเกียบปิ้งหมูกระทะ กินหมูดิบ เสี่ยงโรคไข้หูดับ อันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ufywixl7pbfx#_=_


เครือข่ายสิทธิเด็กฯ ขอสภาหนุนร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ห้ามผู้ปกครองลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1s9lxq262364x#_=_


อาการนอนกรนปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคไหลตายได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qbks230dyg76


ตำรวจเตือนภัยระวังมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ หลอกให้กดเงินจากตู้ ATM ให้ ผู้เสียหายกลายเป็นบัญชีม้าแทน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ps072tlpnhom#_=_


สินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของ NISSIN มีทั้งฮาลาล และไม่มีฮาลาลทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบรรจุภัณฑ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/logwmo4o82pw


ตรวจพบทุเรียนที่ถูกหนอนเจาะเมล็ดจากยะลา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qtu8040tn8yn#_=_


คอลเซ็นเตอร์ We Watch เจอคำถาม-ได้เบาะแสอะไร ในการเลือก สว.2567

นอกจากการตั้งคณะทำงานจับตาและสังเกตการณ์การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุด “กติกาซับซ้อนที่สุดในโลก” ของเครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย หรือ We Watch อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ We Watch คือการเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียน-แจ้งเบาะแสทุจริต รวมถึงไขข้อสงสัยของผู้สมัคร สว. และประชาชนทั่วไปในช่วงการเลือก สว. ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2567 

นับเป็นการทำงานของภาคประชาชนคู่ขนานไปกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เปิด “สายด่วน กกต. 1444” ให้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเลือก สว. 

“เราตั้งศูนย์นี้มาไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจ กกต. แต่เราเปิดมาเพื่อความรวดเร็วในการรับเรื่องหรือตอบคำถามปัญหาต่างๆ ที่ผู้สมัคร สว. พบเจอได้ทันท่วงที”  นนทวัฒน์ เหลาผา ตัวแทนจาก We Watch กล่าวถึงการทำงานของสายด่วนภาคประชาชนเพื่อตอบคำถามและรับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการเลือก สว. 2567 ทางโทรศัพท์หมายเลข 02-114-3189

นอกเหนือไปจากการทุจริตหรือทำผิดกฎหมายว่าด้วยการเลือก สว. แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนและทำลายความชอบธรรมของกระบวนการได้มาซึ่ง สว. ก็คือการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิด (misinformation) และข้อมูลที่เจตนาสร้างความเสียหาย (disinformation) ซึ่งโคแฟคมองว่าการเปิดสายด่วนให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือก สว. ของ We Watch มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความเข้าใจผิดและการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือก สว.

นนทวัฒน์ให้ข้อมูลว่า Call Center ของ We Watch รับเรื่องร้องเรียน-คำถามเกี่ยวกับการเลือก สว. ทั้งหมด 218 กรณี เกือบทั้งหมดคือ 210 กรณี เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจกฎกติกาการสมัคร อาทิ คุณสมบัติผู้สมัคร ข้อห้ามต่าง ๆ ในการสมัคร รวมทั้งคำถามเกี่ยวกับสถานที่สมัคร

ที่เหลืออีก 18 กรณี เป็นการแจ้งเบาะแส/ร้องเรียนเกี่ยวกับความผิดปกติในช่วงการเลือก อาทิ ถูกหลอกให้ร่วมวงล็อบบี้ของผู้สมัคร มีโพยให้เลือกผู้สมัคร และการซื้อเสียง 

คำถาม-ความสับสนเรื่องการรับสมัคร

ประเด็นที่มีผู้สอบถามเข้ามามากที่สุด คือ ความไม่เข้าใจเรื่องการสมัคร สว. เช่น สอบถามว่าตัวเองมีสิทธิ์สมัครไหม คุณสมบัติครบถ้วนไหม ขั้นตอนสมัครทำอย่างไร เป็นต้น 

นนทวัฒน์มองว่า ไม่แปลกที่ผู้ที่สนใจลงสมัครรับเลือกเป็น สว. จะไม่เข้าใจเรื่องคุณสมบัติการสมัคร เพราะนอกจากจะเป็นครั้งแรกที่มีการเลือกภายใต้กติกานี้แล้ว กกต. ยังออกมาอธิบายทำความเข้าใจล่าช้า และระยะเวลาที่เปิดรับสมัครก็มีเพียง 5 วัน 

นนทวัฒน์ เหลาผา สรุปการทำงานของศูนย์รับแจ้งปัญหา สว.2567 ของ We Watch

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2560 ระบุว่า กกต. มีอำนาจประกาศวันรับสมัครได้ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) ให้มีการเลือก สว. ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 11 พ.ค. 2567 กกต. จึงประกาศวันรับสมัครเป็นวันที่ 20-24 พ.ค. 2567 นับระยะเวลาตั้งแต่มี พ.ร.ก. ถึงวันรับสมัครราวหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น

“ผมเข้าใจว่า กกต. มีการชี้แจงขั้นตอนการสมัคร แม้จะบอกผ่านสื่อ แต่ช้ามาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาให้ทำการสมัครเพียงแค่ 5 วัน ซึ่งไม่เปิดรับสมัครวันเสาร์-อาทิตย์อีกต่างหาก ตรงนี้ทำให้ผู้ที่สนใจสมัครเตรียมตัวไม่ทัน จนเสียสิทธิ์ในการสมัคร” นนทวัฒน์กล่าว

ทีม We Watch ยังได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องการดำเนินงานที่ล่าช้าในวันรับสม้ครอีกด้วย โดยผู้ร้องเรียนระบุว่าผู้สมัครต้องต่อแถวยาวนับร้อยคน เมื่อถึงเวลาปิดรับสมัครในวันนั้น มีผู้สมัครเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่คน 

ข้อสงสัยเรื่อง “คุณสมบัติต้องห้าม” 

ประเด็นเรื่องคุณสมบัติผู้สมัคร สว. ที่มีผู้โทรศัพท์เข้ามาสอบถามกับ  We Watch มีดังนี้

1. การย้ายที่ทำงานสามารถสมัคร สว. ได้หรือไม่ เนื่องจากกติกาของ กกต. ระบุว่า “ต้องเคยทำงานอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีนับถึงวันที่สมัคร” 

นนทวัฒน์ยกตัวอย่างคุณสมบัติที่ กกต. กำหนดว่าต้องมีประสบการณ์การทำงานในกลุ่มอาชีพนั้นไม่น้อยกว่า 10 ปี มีผู้สนใจสมัคร สว.คนหนึ่งสอบถามว่า เขาทำงานก่อสร้างที่อำเภอหนึ่งรวม 3 ปี แล้วย้ายไปทำงานก่อสร้างที่อำเภออื่นรวม 7 ปี นับว่าประกอบอาชีพเดียวกัน 10 ปีหรือไม่ และใครจะเป็นผู้ลงนามรับรอง 

“จริงๆ สมัครได้ ซึ่งก็เป็นอาชีพเดียวกัน แต่แค่ย้ายสถานที่ทำงาน และเรื่องการเซ็นรับรอง  กกต. ระบุว่าใครรับรองก็ได้ แต่ถ้ารับรองเป็นเท็จ คนรับรองคนนั้นก็มีความผิด” 

ทั้งนี้ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ระบุว่า ผู้รับรองและพยานไม่จำเป็นต้องเป็นนายจ้างหรือสมาคมวิชาชีพหรือผู้ประกอบอาชีพในกลุ่มนั้น ๆ แต่เป็นใครก็ได้ที่สามารถยืนยันว่าผู้สมัครมีคุณลักษณะเช่นนั้นจริง โดยต้องลงลายมือชื่อพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับรองและพยาน 

2. การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง 

พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 14 (21) ระบุว่าผู้สมัคร สว. ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

มีผู้ร้องเรียนเข้ามาที่ We Watch ว่าเขาเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจริง แต่ทำเรื่องลาออกแล้ว แต่วันที่ไปสมัคร สว. กลับพบว่าฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของ กกต. (https://party.ect.go.th/checkidparty) ไม่อัพเดท ทำให้เขาหมดสิทธิการสมัคร  

สว.ชุดที่ 13 ยืนกล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามมาตรา 115
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระหว่างการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 23 ก.ค. 2567

3. การไม่ไปเลือกตั้งท้องถิ่น 

ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 47 ที่ระบุว่า ผู้มีสิทธิสมัคร สว. “ต้องไม่เป็นบุคคลผู้ถูกจำกัดสิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง” ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ระบุว่า คนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมจะถูกจำกัดสิทธิลงสมัคร สว. เป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปใช้สิทธินั้น

Call Center ของ We Watch ได้รับแจ้งจากผู้สมัคร สว. คนหนึ่งว่าถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น เนื่องจากเขาไม่รู้ว่ามีการจัดการเลือกตั้งซ่อม  

4.การแนะนำตัวผู้สมัครผ่านสื่อ

อีกเรื่องที่มีคนโทรเข้ามาสอบถาม We Watch จำนวนมากคือเรื่องการแนะนำตัวผู้สมัครผ่านสื่อออนไลน์ 

ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 ระบุว่าผู้สมัครสามารถบอก ชี้แจง หรือแจกเอกสารแนะนำตัวเพื่อให้ผู้สมัครอื่นรู้จักได้ โดยเอกสารแนะนำตัวต้องมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 ระบุข้อมูลส่วนตัว รูปถ่าย กลุ่มที่ลงสมัคร หมายเลขผู้สมัคร ประวัติการศึกษา ประวัติและประสบการณ์ในการทำงาน 

“คนโทรศัพท์มาถามว่า กระดาษ A4 นี้ เอามาจากไหน ต้องไปเอาที่ กกต. หรือไม่ หรือเอามาเขียนเอง หามาเองและเขียนเองหรือไม่ คนก็งงว่าการแนะนำตัวควรจะทำอย่างไร บางคนบอกว่า ระเบียบมันยากเกินไป วุ่นวาย สับสน ไม่สมัครหรอก” นนทวัฒน์ จาก We Watch กล่าว

5. ความสับสนในการเลือกกลุ่มอาชีพ

เรื่องความสับสนในการเลือกกลุ่มอาชีพว่าจะเข้าสมัครกลุ่มไหนใน 20 กลุ่มที่ กกต.กำหนด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้สับสนและโทรมาสอบถามจำนวนมาก 

ตัวแทน We Watch กล่าวว่า ผู้สมัครหลายคนสับสนว่าอาชีพของเขานั้น สามารถสมัครกลุ่มอาชีพไหนได้  เช่น อาชีพขายของออนไลน์ เขาจะไปอยู่กลุ่มอาชีพสื่อไหม หรือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยไหม เพราะอาชีพนี้คาบเกี่ยวกับหลายกลุ่มอาชีพที่สามารถสมัครได้ 

อีกกลุ่มที่มักมีปัญหาเกิดความสบสันคือกลุ่มข้าราชการ จะเห็นได้ว่ากลุ่มอาชีพอิสระ (กลุ่มที่ 20) เปิดช่องให้ข้าราชการลงสมัครจำนวนมาก 

“ไม่แปลกที่ผลการเลือก สว. ที่ออกมาจะมีข้าราชการเยอะ ทั้งในกลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงข้าราชการทั่วไปที่เป็นผู้สูงอายุ เกิน 60 ปีขึ้นไป ก็สามารถลงกลุ่มผู้สูงอายุได้ มันก็มีความสับสนตรงนี้”  

เรียกร้อง กกต. เปิดเผยข้อมูล

แม้ สว. ชุดที่ 13 จะปฏิบัติหน้าที่ในสภาแล้วโดยนัดประชุมครั้งแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2567 แต่สังคมยังคงมีคำถาม-ข้อสงสัย-ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับกระบวนการเลือกและคุณสมบัติของ สว. บางคน ซึ่ง We Watch เห็นว่า กกต. ควรเปิดเผยข้อมูลข้อร้องเรียนและความคืบหน้าของการตรวจสอบต่อสาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ และสื่อสารกับสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ 

“การเลือก สว. ครั้งนี้มีข้อครหามากมาย ทั้งในเรื่องกฎกติกาการเลือกที่ซับซ้อน และเรื่องสำคัญคือคุณสมบัติของ สว. รวมถึงการร้องเรียนเรื่องการซื้อเสียง บล็อกโหวต กกต. ควรเร่งชี้แจงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ต่อสังคมโดยด่วน เพราะสังคมจะได้สิ้นข้อสงสัยในตัว สว. ชุดนี้” นนทวัฒน์ให้ความเห็น

แม้ กกต. จะบอกว่าเรื่องร้องเรียนมีจำนวนมาก หลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐานและสอบสวน แต่ We Watch มองว่า กกต. ควรเร่งสอบสวนเรื่องร้องเรียน เพราะหากใช้เวลานานกว่านี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำงานของ สว. ทั้งชุด

ขณะเดียวกัน สว. ที่ได้รับเลือกเข้ามาก็ควรมีบทบาทในการผลักดันให้ กกต. เร่งตรวจสอบข้อร้องเรียนด้วย  

นนทวัฒน์ยังเรียกร้องให้ สว. ชุดที่ 13 พิจารณาแก้ไขหรือยกเลิกกติกาการได้มาซึ่ง สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังการรัฐประหาร 2557  เพราะเป็นกติกาที่ส่งผลให้เกิดข้อครหาและความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการเลือก สว. อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 

“อยากให้ สว. ชุดนี้เร่งแก้ไขหรือยกเลิกกฎกติกาการได้มาซึ่ง สว. แบบเลือกกันเองนี้เป็นอันดับแรก เพื่อให้การเลือกตั้ง สว. สมัยหน้าเป็นการได้ สว. ที่มาจากตัวแทนประชาชนที่แท้จริงจริงๆ” นนทวัฒน์กล่าว

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

Recap of Cofact x FNF studytrip in Taipei, Taiwan1-5 May 2024 🌏

Stories by Mommam ❤️ Supermommam – Visual Note

Special thanks to every organizations for warmly hosting us. 🙏🫶

‘ลามิน ยามาล’ดาวรุ่งทีมชาติสเปนไม่ได้เกิดในประเทศไทย : อุทาหรณ์‘คนดัง’พึงระวังแชร์‘ข่าวลวง’

By : Zhang Taehun

ผ่านพ้นไปแล้วกับหนึ่งในทัวร์นาเมนต์กีฬาที่คนไทยให้ความสนใจอย่าง ฟุตบอลยูโร หรือการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยการแข่งขันครั้งล่าสุด หรือ “Euro 2024” จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ช่วงวันที่ 14 มิ.ย. – 14 ก.ค. 2567 โดยมี 24 ประเทศในทวิปยุโรปเข้าร่วม ซึ่งจบลงที่ กระทิงดุ ทีมชาติสเปน เอาชนะ สิงโตคำรามทีมชาติอังกฤษ ในรอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 2-1 คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง 

โดยในส่วนของทีมชาติสเปน นอกจากจะถูกพูดถึงเรื่องกลยุทธ์หรือลีลาการฟาดแข้งที่สมควรแล้วกับการเป็นผู้ชนะ ยังเป็นการแจ้งเกิดของ ลามิน ยามาล (Lamine Yamal) ที่ถูกเรียกมาติดทีมกระทิงดุชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี และโชว์ฟอร์มโดดเด่นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ จนได้ฉลองวันเกิดอายุ 17 ปีในฐานะหนึ่งในผู้เล่นชุดแชมป์ยูโร 2024 นั่นคือสิ่งที่คอบอลทั่วโลกทราบกัน แต่ในประเทศไทย ยังคงมีควันหลงเล็กๆ เกี่ยวกับฟุตบอลยูโร ว่าด้วย “ข่าวลวง-ข้อมูลที่เข้าใจผิด (Fake News , Misinformation)” ซึ่งโคแฟคขอหยิบเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์

โพสต์ของ ศ. (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน รองประธานกรรมการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ในบัญชี X (ทวิตเตอร์เดิม) “Charoen Watta” วันที่ 20 ก.ค. 2567 อ้างว่า ลามิน ยามาล เกิดใน จ.ยะลา ประเทศไทย
ศ. (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสินโพสต์ข้อความขอโทษ ในวันที่ 21 ก.ค. 2567 หลังทราบว่าเข้าใจผิดกรณีแชร์ข่าวเรื่อง ลามิน ยามาลเกิดใน จ.ยะลา ประเทศไทย

ผมภูมิใจที่เกิดในประเทศไทย ที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีของในหลวง แม้กายหยาบของผมจะเป็นกาตาลัน แต่สีโลหิตของผมยังเป็นน้ำเงิน-แดง-ขาวอยู่เสมอ (ลามีน ยาบาล – นักฟุตบอลทีมชาติสเปนแชมเปี้ยนยูโรเปียนคัพ คนไทยเกิดที่จังหวัดยะลา)

ข้อความข้างต้นมาจากบัญชีแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) Charoen Watta ของ ศ. (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน รองประธานกรรมการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2567 แต่เมื่อโพสต์นี้ถูกแชร์ออกไป ก็มีเสียงทักท้วงว่า ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความจริง กระทั่งต่อมา ในวันที่ 21 ก.ค. 2567 ศ. (พิเศษ) เจริญ ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ขอประทานอภัยโทษมากเลยครับ ถ้าเป็น Fake News” หลังทราบว่าได้แชร์ข้อมูลที่ผิดพลาดออกไปแล้ว

เว็บไซต์ www.fcbarcelona.com ของทีม เจ้าบุญทุ่ม สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ทีมดังแห่งศึก ลา ลีกา ลีกสูงสุดของวงการฟุตบอลอาชีพในประเทศสเปน ซึ่ง ลามิน ยามาล ค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน (สืบค้น ณ วันที่ 21 ก.ค. 2567) ระบุว่า เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2550 ที่ อัสพลูกัส เดอ โยเบรกัต (Esplugues de Llobregat)”ซึ่งเป็น เทศบาลแห่งหนึ่งภายในพื้นที่ของเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน

โดยทางทีมบาร์เซโลนา บรรยายไว้ว่า ลามีน ยามาล เข้าร่วมกับทีมบาร์เซโลนาตั้งแต่อายุเพียง 7 ปี และได้รับเลือกให้ข้ามขั้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ของสโมสร ในวัยเพียง 15 ปีเศษ เมื่อเดือน เม.ย. 2566 โดยไม่ต้องผ่านการเล่นในทีมเยาวชน (U19) เหมือนนักเตะคนอื่นๆ จึงถือว่า ลามิน ยามาล เป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ ที่ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่

ขณะที่เว็บไซต์ www.fifa.com ของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) องค์กรที่ดูแลมาตรฐานการจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่สุดของวงการลูกหนังอย่าง “ฟุตบอลโลก (FIFA World Cup)” เผยแพร่บทความ “Lamine Yamal: The teenager with the world at his feet” เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 เนื้อหาว่าด้วยพรสวรรค์ในเชิงฟุตบอลอันน่าทึ่งของ ลามิน ยามาล โดยในตอนหนึ่งของบทความ ได้ระบุว่า “The son of a Moroccan father and an Equatorial Guinean mother” หรือก็คือ “ลามิน ยามาล มีบิดาเป็นชาวโมร็อกโก ส่วนมารดาเป็นชาวอิเควทอเรียลกินี” โดยทั้ง 2 ประเทศ ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา

ประวัติของ ลามิน ยามาล บนเว็บไซต์ทางการของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่ ระบุชัดว่าเกิดในประเทศสเปน
บทความ “Lamine Yamal: The teenager with the world at his feet” บนเว็บไซต์ทางการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ระบุว่า ลามิน ยามาล มีบิดาเป็นชาวโมร็อกโก ส่วนมารดาเป็นชาวอิเควทอเรียลกินี

บทสรุปของเรื่องนี้คือ ลามิน ยามาล เกิดในประเทศสเปน ซึ่งอยู่ในทวีปยุโรป โดยมีบิดาเป็นชาวโมร็อกโกและมารดาเป็นชาวอิเควทอเรียลกินีซึ่งทั้ง 2 ประเทศอยู่ในทวีปแอฟริกา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเราที่อยู่ในทวีปเอเชียแต่อย่างใด จึงน่าแปลกใจว่า ศ. (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน ได้รับข้อมูลมาจากไหน ที่บอกว่าดาวรุ่งรายนี้เกิดที่ จ.ยะลา ประเทศไทย ก่อนจะนำมาแชร์ต่อแล้วต้องขอโทษภายหลังทราบว่าเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ก็เป็น บทเรียน (อีกครั้ง)” ว่า ใครๆ ก็มีโอกาสแชร์ข่าวลวงได้” ไม่ว่าจะมีฐานะ อาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือวุฒิการศึกษาระดับใดก็ตาม ดังนั้นก็ต้องย้ำกันเสมอว่า เช็คก่อนแชร์” ได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมาอย่าเพิ่งรีบส่งต่อ พยายามตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้มั่นใจเสียก่อน ยิ่งโดยเฉพาะหากเป็น บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการเผลอแชร์ข่าวลวงแม้เพียงครั้งเดียว อาจส่งผลให้ข่าวนั้นแพร่กระจายเป็นวงกว้าง  และย้อนกลับมากระทบความน่าเชื่อถือของตนเองในที่สุด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/2773845 (กลุ่มไหนเดือดสุด สรุป 24 ทีม “ยูโร 2024 รอบสุดท้าย” พร้อมเผยโฉมหน้าทั้ง 6 กลุ่ม : ไทยรัฐ 27 มี.ค. 2567)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1135672 (‘สเปน ชนะ อังกฤษ’ คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2024 รอบชิงชนะเลิศ : กรุงเทพธุรกิจ 15 ก.ค. 2567)

https://www.matichon.co.th/social/news_4692806 (สนั่นโซเชียล! รองคณะกรรมการโอลิมปิคไทย บอก ‘ลามีน ยามาล’ นักเตะสเปน เกิดในไทย : มติชน 21 ก.ค. 2567)

https://www.fcbarcelona.com/en/football/barca-b/players/3673478/lamine-yamal (Lamine Yamal : สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา)

https://www.fifa.com/en/news/articles/lamine-yamal-the-teenager-with-the-world-at-his-feet(Lamine Yamal: The teenager with the world at his feet :FIFA 8 ก.ค. 2567) 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 กรกฎาคม 2567

วิดีโอเกี่ยวกับสัตว์สายพันธุ์ปลาหน้าคล้ายหมู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ob4i5ez6vsdx


ต่อใบขับขี่ถูกกฎหมาย 100% ทางเพจรับทำต่อใบขับขี่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1chp6ngwmbijw


ป.ป.ท. เปิดเพจเฟซบุ๊กใหม่ ชื่อเพจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3npohjowq5cof#_=_


ผลิตภัณฑ์ Paradox ช่วยทำความสะอาดเลือด น้ำเหลือง และช่องว่างระหว่างเซลล์จากของเสียที่เป็นพิษของพยาธิ ป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส Papilloma ของมนุษย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/20to4rgnej0ir


รัฐบาลเตรียมแจกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เพิ่มคนละ 3,000 บาท วันที่ 20 ก.ค. 67 โดยไม่ต้องลงทะเบียน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ux0wqrbqc3ob#_=_


ผลิตภัณฑ์ NUTRI GOUT ช่วยลดอาการบวม อักเสบ และอาการปวดข้อ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3t709vntxiy9x


ผู้เชี่ยวชาญการเงินและการลงทุน จากสำนักงาน ก.ล.ต. ชักชวนลงทุน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/hlfh8n19np2o


  ชายแดนสระแก้วมีมาตรการเข้มงวด หลังกัมพูชาพบไข้หวัดนก H5N1 ระบาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23sfodnejxfc1


สปสช. ร่วมมือกับ สมบัติทัวร์ จัดรถรับ-ส่ง ผู้ป่วยมะเร็งสิทธิบัตรทอง ส่งต่อการรักษาจาก ตจว. มา กทม.

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3pbuawgospz4q#_=_


“หมอเกศ” เกศกมล เปลี่ยนสมัย ทำอะไรใน กต.ตร.ทุ่งสองห้อง-บก.น.2-กระทรวงแรงงาน-กมธ.กฎหมาย?

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติการทำงานของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเขียนในเอกสารแนะนำตัวผู้สมัคร สว. และโพสต์ในโซเชียลมีเดียว่า เป็นที่ปรึกษากรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร, ที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สน.ทุ่งสองห้องและกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2)

จากการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งหรือ “ชักชวนมาช่วยงาน” และเอกสารบันทึกการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร โคแฟคพบว่า พญ.เกศกมลเคยมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานเหล่านี้จริงแต่ทำในช่วงเวลาไม่นานนัก และไม่ทราบบทบาทหน้าที่แน่ชัด อีกทั้งเนื้อหาที่ พญ.เกศกมลโพสต์ในโซเชียลมีเดียอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประวัติและประสบการณ์การทำงาน

พญ.เกศกมล เป็น 1 ใน 200 สว. ชุดที่ 13 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรองผลเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 โดยได้คะแนนสูงสุดของประเทศ 79 คะแนน ในรอบสุดท้ายคือรอบเลือกไขว้ระดับประเทศ

ในช่วงปี 2566-2567 สว. พญ.เกศกมลได้โพสต์คลิปวิดีโอ รูปภาพ และข้อความที่เกี่ยวกับการทำงานในโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok @dr.kes_keskamol (ผู้ติดตาม 2.1 แสนบัญชี) และ Instagram @dr.kes.keskamol (ผู้ติดตาม 2.8 แสนบัญชี) จากโพสต์ที่โคแฟคเข้าถึงได้เมื่อวันที่ 17-18 ก.ค. 2567 พบว่าโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานมีการอ้างถึงกระทรวงแรงงาน บก.น. 2 และ สน.ทุ่งสองห้อง เช่น

  • 14 มิ.ย. 2566 โพสต์ว่า ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง
  • 29 มิ.ย. 2566 โพสต์ว่า ประชุม กต.ตร.บก.น. 2 โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยรองผู้บังคับการ บก.น.2 และผู้กำกับสถานีตำรวจทุกสถานีในสังกัด บก.น.2
  • 9 ม.ค. 2567 โพสต์ว่า ทำงานวันแรกในตำแหน่งที่ปรึกษานายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
  • 27 ก.พ. 2567 โพสต์ว่า ทำงานที่กระทรวงแรงงานในตำแหน่งคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  • 19 มี.ค. 2567 โพสต์ว่าประชุมคณะกรรมาธิการติดตามการดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (คตร.)

เมื่อประมวลข้อมูลที่ พญ.เกศกมลระบุในเอกสาร สว.3 และจากโพสต์ที่เป็นสาธารณะในบัญชีโซเชียลมีเดีย สรุปได้ว่า พญ.เกศกมลได้อ้างถึงการทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับภาครัฐ 3 ส่วนคือ

  1. ที่ปรึกษากรรมาธิการการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
  2. ที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะกรรมาธิการติดตามการดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (คตร.)
  3. กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง และ กต.ตร.บก.น.2   

โคแฟคตรวจสอบ

● ที่ปรึกษากรรมาธิการการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร

พญ.เกศกมลระบุประวัติการทำงานใน สว. 3 และแผ่นภาพแนะนำตัวที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊กตั้งแต่ปี 2566 ว่ามีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (กมธ.กฎหมายฯ)

โคแฟคตรวจสอบฐานข้อมูลบันทึกการประชุม กมธ.กฎหมายฯ พบว่าในการประชุมเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2564 ซึ่งขณะนั้นนายสิระ เจนจาคะ เป็นประธาน บันทึกการประชุมระบุว่า “ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป”

นายสิระ อดีต ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2567 ว่า กมธ. ในสมัยที่ตนเป็นประธานได้แต่งตั้ง พญ.เกศกมลเป็นที่ปรึกษาประจำคณะ กมธ. จริง เพราะมีกรรมาธิการเสนอชื่อมา แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้เสนอ ซึ่งที่ประชุมก็ให้ความเห็นชอบ โดย พญ.เกศกมลได้ค่าตอบแทนรายเดือนสำหรับการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะ กมธ.

โคแฟคตรวจสอบระเบียบรัฐสภา ว่าด้วยการแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของรัฐสภาฯ ระบุว่า ที่ปรึกษา กมธ. ที่มิได้เป็นข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 10,000 บาท

นายสิระซึ่งเป็นประธาน กมธ. ระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.2563-21 ธ.ค.2564 ก่อนจะพ้นตำแหน่งเพราะสิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. กล่าวด้วยว่า พญ.เกศกมล “เข้าร่วมประชุม กมธ. ทุกครั้งหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา” แต่จากการตรวจสอบบันทึกการประชุม โคแฟคพบว่า พญ.เกศกมลมีชื่อเข้าร่วมการประชุมเพียงครั้งเดียวในวันที่ 18 พ.ย. 2564 จนกระทั่งที่ประชุม กมธ. ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2565 ให้ พญ.เกศกมลพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำกรรมาธิการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 เป็นต้นไป รวมเวลาที่ พญ.เกศกมลมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาคณะ กมธ.กฎหมายฯ 7 เดือน

โคแฟคติดต่อ พญ.เกศกมลเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการรับค่าตอบแทนในฐานะที่ปรึกษา กมธ. และประวัติการทำงานทั้งใน กมธ. กฎหมายฯ กระทรวงแรงงาน และ กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับ

● กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง

เอกสารที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ สน.ทุ่งสองห้อง ให้ข้อมูลว่าคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตํารวจ (กต.ตร.) เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบติดตามการบริหารงานของตำรวจในทุกระดับ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงกิจการตำรวจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547 กำหนดให้แบ่ง กต.ตร. ออกเป็น 3 ระดับคือ กต.ตร.กรุงเทพมหานคร, กต.ตร.ระดับจังหวัดและ กต.ตร.ระดับสถานีตํารวจ (กต.ตร.สน.)

กต.ตร.สน. มีจำนวน 8-19 คน ประกอบด้วยข้าราชการตำรวจ ข้าราชการอื่น ๆ เช่น ผู้อำนวยการเขต และประชาชนที่มาสมัครและได้รับเลือกโดยตำรวจแต่ละ สน.

วันที่ 22 ส.ค.2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้ง กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง 13 คน ซึ่งไม่มีชื่อ พญ.เกศกมล ต่อมา กต.ตร.สน.ชุดนี้ได้ลงมติเลือกนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ เป็นประธาน

นางสรัลรัศมิ์ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2567 ว่า พญ.เกศกมลไม่ได้มีตำแหน่งเป็น กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง จึงไม่มีชื่ออยู่ในเอกสารแต่งตั้งที่ลงนามโดย ผบ.ตร. แต่มีตำแหน่งเป็น “ที่ปรึกษา” ซึ่งตนในฐานะประธานเป็นผู้แต่งตั้งให้มาช่วยงาน เพราะเห็นว่ามีความสามารถและเคยเป็นที่ปรึกษา กมธ. กฎหมายฯ ของสภาผู้แทนราษฎร

● กต.ตร.บก.น.2

วันที่ 23 และ 29 มิ.ย. 2566 พญ.เกศกมลโพสต์ภาพและข้อความในอินสตาแกรมว่าได้เข้าร่วมประชุม กต.ตร.บก.น.2 และตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจร่วมกับ พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ประธานอนุกรรมการ กต.ตร.บก.น.2

โคแฟคตรวจสอบกับ พล.ต.ต.อรรถพล ได้รับคำยืนยันว่า พญ.เกศกมล อยู่ในอนุกรรมการฯ กต.ตร.บก.น.2 จริง แต่ต้องยุติบทบาทในคณะอนุกรรมการฯ หลังจากมีตำแหน่งทางการเมือง เมื่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้ง พญ.เกศกมล พล.ต.ต.อรรถพลขอวางสายโดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจ

โคแฟคติดต่อไปยัง พญ.อัจจิมา ซึ่งได้รับเลือกเป็นประธานอนุกรรมการ กต.ตร.บก.น.2 เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ พญ. เกศกมล ในอนุกรรมการ กต.ตร.บก.น.2 แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับ

● ที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมาธิการติดตามการดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (คตร.)

พญ.เกศกมล โพสต์ อินสตาแกรมเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2567 ว่า “วันนี้ทำงานวันแรก กับตำแหน่ง ที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ท่านอารี ไกรนรา ขอให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานนะคะ” หลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2567 พญ.เกศกมลได้โพสต์ภาพและคลิปวิดีโอพร้อมคำบรรยายว่าเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการติดตามการดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (คตร.) ที่กระทรวงแรงงาน

โคแฟคตรวจสอบกับนายอารี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) นายอารียอมรับว่า พญ.เกศกมลเคยเป็นที่ปรึกษาของตนในช่วงสั้น ๆ ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนที่เธอจะสมัคร สว. เนื่องจาก “เป็นพรรคพวกของน้องในทีม” โดยนายอารีมอบหมายให้ช่วยงานใน คตร.

“ผมแต่งตั้งในนามส่วนตัว ไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการ ไม่มีค่าตอบแทนและไม่ได้ให้เขาทำอะไรเป็นกิจลักษณะ และผมก็ให้เขาออกไปแล้ว” นายอารีกล่าว

นายอารี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ปัจจุบันสังกัดพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงสมัคร สว. ของ พญ.เกศกมลและไม่ได้ติดต่อพูดคุยมานานแล้ว

ข้อสรุปโคแฟค

  • พญ.เกศกมลเคยเป็นที่ปรึกษา กมธ.กฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 โดยความเห็นชอบของ กมธ. ซึ่งมีนายสิระ เจนจาคะ เป็นประธาน โดยดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2564 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2565 แต่การที่ พญ.เกศกมลให้ข้อมูลต่อสาธารณะโดยไม่ระบุช่วงเวลาดำรงตำแหน่งที่ชัดเจน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ายังคงมีตำแหน่งใน กมธ.ชุดนี้
  • นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ประธาน กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง ชุดปัจจุบัน ตั้ง พญ.เกศกมลเป็น “ที่ปรึกษา” กต.ตร.สน. เพื่อช่วยงานของประธาน แต่ในโพสต์ทางอินสตาแกรม เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2566 พญ.เกศกมลเขียนว่า “ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้อง” ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าเป็น กต.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
  • ผู้บังคับการ บก.น. 2 ระบุว่า พญ.เกศกมล อยู่ในอนุกรรมการ กต.ตร. บก.น.2 จริง แต่โคแฟคยังไม่สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ว่าใครเป็นผู้แต่งตั้ง แต่งตั้งเมื่อไหร่และมีบทบาทหน้าที่อะไร
  • นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยอมรับว่าเคยแต่งตั้งให้ พญ.เกศกมลเป็นที่ปรึกษาของตนอย่างไม่เป็นทางการ จากการแนะนำของคนในทีมงาน แต่เป็นการทำงานในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ได้รับค่าตอบแทน และไม่ได้มอบหมายภารกิจที่สำคัญ

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ความจริงจากมหาดไทย “บัตรสีชมพู” เปิดช่องแรงงานข้ามชาติ ได้สัญชาติไทยจริงหรือ?

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

เพจเฟซบุ๊ก THE STATES TIMES เผยแพร่บทวิเคราะห์การชุมนุมของแรงงานชาวเมียนมาเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2567 โดยให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับบัตรประจำตัวแรงงานข้ามชาติและการได้สัญชาติไทยของลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย รวมทั้งกล่าวหาว่ามีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อมาตรการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของทางการไทย และสร้างทัศนะคติเชิงลบ/หวาดระแวงแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะแรงงานชาวเมียนมา 

“ฟอกสัญชาติ !! แฉ !! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน”

ข้อความนี้อยู่ในภาพประกอบบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊ก THE STATES TIMES ที่มีผู้ติดตามกว่า 4.7 แสนบัญชี เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 โดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า “AYA IRRAWADEE” วิเคราะห์เบื้องหลังการชุมนุมของแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ถ.ราชดำเนินนอก เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2567 เพื่อเรียกร้องให้ทางการไทยใช้ “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “บัตรสีชมพู” เพียงใบเดียวในการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติคนนั้นอยู่ในไทยอย่างถูกกฎหมาย โดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองสถานะบุคคล (Certification of Identity – CI) หรือ “เอกสารเล่มเขียว” ที่ออกให้โดยประเทศต้นทางควบคู่กัน 

ภาพประกอบบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่ใน THE STATES TIMES

บทวิเคราะห์นี้ ซึ่งถูกแชร์ไปเกือบ 300 ครั้ง กล่าวถึง “บัตรสีชมพู” และข้อเรียกร้องของแรงงานชาวเมียนมาใน 3 ประเด็นหลัก คือ

  1. บัตรสีชมพู “ทำได้ง่าย” ทำให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในไทยอย่างผิดกฎหมาย เพราะหวังว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะได้กลายเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายเมื่อได้บัตรประจำตัว
  2. ระบบการออกบัตรสีชมพูของกระทรวงมหาดไทยมีความหละหลวม ทำให้แรงงานข้ามชาติที่บัตรหมดอายุหรือสูญหายและไม่มีเอกสารอื่นยืนยันตัวตน ขอออกบัตรใหม่ได้ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลและปลอมแปลงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล
  3. บัตรสีชมพูจะทำให้ลูกของแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในเมืองไทยมีสิทธิขอสัญชาติไทย เมื่อได้สัญชาติไทยก็จะมีสิทธิเลือกตั้งและสามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติโดยการออก “บัตรสีชมพู” และการได้สัญชาติของลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย โดยสัมภาษณ์แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบเรื่องนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมืองพบว่าทั้ง 3 ประเด็นข้างต้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อมาตรการขึ้นทะเบียนแรงงาน การได้สัญชาติไทยของลูกแรงงานข้ามชาติ และสร้างทัศนะคติเชิงลบ/ความหวาดระแวงแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวเมียนมา

โคแฟคตรวจสอบ

● บัตรสีชมพูคืออะไร?

บัตรสีชมพูมีชื่อทางการตามกฎหมายทะเบียนราษฎรว่า “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” ที่กรมการปกครองออกให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อยู่และมีถิ่นพำนักในประเทศเกิน 6 เดือน แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่าบัตรสีชมพูเป็นบัตรประจำตัวแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะ เนื่องจากสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาที่ไม่มีเอกสารถูกต้อง (Undocumented migrant workers) อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย หากมาขึ้นทะเบียนทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือบัตรสีชมพูกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยช่วงเวลาการเปิดให้แรงงานทั้ง 3 สัญชาติมาทำบัตรสีชมพูนั้นจะต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนด เช่น ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 มีมติ ครม. ผ่อนผันแรงงานฯ หลายครั้ง เพราะแรงงานไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยอธิบายว่า โดยทั่วไปบัตรสีชมพูมีอายุ 10 ปี แต่อายุของบัตรสีชมพูไม่ใช่ระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ ที่จะต้องยึดจากใบอนุญาตทำงาน (work permit) เป็นหลัก แม้ว่าบัตรสีชมพูยังไม่หมดอายุ แต่ถ้าใบอนุญาตทำงานหมดอายุแล้ว แรงงานก็ต้องกลับประเทศ ดังนั้นบัตรสีชมพูจะต้องใช้ควบคู่กับใบอนุญาตทำงานเสมอ ปัจจุบัน มีแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารถูกต้องแต่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในประเทศไทยได้ตามมติ ครม. โดยถือบัตรสีชมพูทั้งหมดประมาณ 2.4 ล้านคน กว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวเมียนมา และคาดว่าเร็ว ๆ นี้รัฐบาลจะมีมติ ครม. ผ่อนผันแรงงานฯ ออกมาอีกครั้ง เพื่อให้แรงงานทั้ง 3 สัญชาติที่อยู่ในไทยโดยไม่มีเอกสารที่ถูกต้องมาทำบัตรประจำตัวสีชมพู

ตัวอย่างเอกสารคนต่างด้าว เผยแพร่ทางเว็บไซต์กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน

● “เอกสารเล่มเขียว” หรือ “CI” คืออะไร?

หนังสือรับรองสถานะบุคคล (Certification of Identity – CI) เป็นเอกสารที่ทางการเมียนมาและลาวออกให้พลเมืองของตนที่เดินทางมาทำงานในประเทศไทยเพื่อยืนยันสัญชาติ ซึ่งทางการไทยกำหนดให้แรงงานที่ขึ้นทะเบียนแล้วขอเอกสารนี้จากประเทศต้นทางเพื่อรับรองสัญชาติของตน

ในแถลงการณ์ของแรงงานชาวเมียนมาที่ชุมนุมหน้า UNESCAP เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2567 โดยใช้ชื่อกลุ่ม “Bright Future” เรียกร้องให้ทางการไทยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติใช้บัตรสีชมพูเป็นบัตรประจำตัวเพียงใบเดียวในการอยู่ในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย โดยไม่ต้องใช้ CI โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาทำให้การขอเอกสารยากและใช้เวลานาน อีกทั้งรัฐบาลทหารเมียนมายังบังคับให้แรงงานที่ทำงานในต่างประเทศส่งเงินกลับประเทศจำนวนร้อยละ 25 ของรายได้โดยต้องโอนเงินผ่านระบบธนาคารที่รัฐบาลเมียนมารับรอง ซึ่งแรงงานเมียนมาคัดค้านข้อบังคับนี้

เจ้าหน้าที่มหาดไทยให้ข้อมูลว่า CI เป็น “เอกสารลำดับรองจากหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต” มีความสำคัญเพราะทำให้ประเทศต้นทางรู้ว่ามีพลเมืองของตนมาอยู่ในประเทศไทยจำนวนเท่าไหร่และทางการไทยก็จะได้มีข้อมูลยืนยันตัวตนแรงงานที่มาทำงานในประเทศเรา ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำเป็นทางด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง อาชญากรรมและอื่น ๆ

ภาพจากวิดีโอประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการทำหนังสือรับรองสถานะบุคคลของเมียนมา เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก Myanmar Labour Attache Office ประจำประเทศไทย

ทางการไทยเห็นว่า การที่แรงงานมีหนังสือรับรองสถานะบุคคลจากประเทศของตน ย่อมเป็นผลดีต่อคนต่างด้าวเอง เพราะหากไม่มีเอกสารรับรองจากประเทศต้นทางเลย จะสุ่มเสี่ยงต่อการกลายเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ

“ที่ผ่านมา เราทราบดีว่าเมียนมามีปัญหาภายในประเทศ ทำให้การขอ CI ยาก ในทางปฏิบัติ เราจึงผ่อนผันให้แรงงานเมียนมาที่ไม่มี CI ใช้บัตรสีชมพูอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่เราจำเป็นต้องคงนโยบายให้ใช้ CI ควบคู่กับบัตรชมพูไว้และต้องแจ้งทางการเมียนมาให้ช่วยมาตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติแรงงาน ทั้งนี้เพื่อรักษาสิทธิของแรงงานเอง” แหล่งข่าวระบุ

●  แรงงานเปลี่ยนชื่อ-ปลอมแปลงอัตลักษณ์เพื่อขอบัตรสีชมพูใหม่ แทนการต่ออายุ?

บทวิเคราะห์ของ THE STATES TIMES ระบุว่าระบบการออกบัตรสีชมพูของกระทรวงมหาดไทยมีความหละหลวม ทำให้แรงงานข้ามชาติต่ออายุบัตรสีชมพูได้ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลและข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อขอบัตรใหม่ได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่ากรณีนี้ “เป็นไปไม่ได้เลย” เพราะการทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยจะมีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (biometrics) เช่น บันทึกลายนิ้วมือ ภาพถ่ายใบหน้า ซึ่งไม่สามารถปลอมแปลงได้

“แรงงานที่ทำบัตรสีชมพูไปแล้ว ถ้าบัตรหายหรือบัตรหมดอายุแล้วมาขอทำบัตรใหม่ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล หรือแจ้งวันเดือนปีเกิดที่ไม่ตรงกับข้อมูลเดิม เพื่อปลอมแปลงอัตลักษณ์ สร้างตัวตนใหม่ จะทำไม่ได้เลย เพราะฐานข้อมูลทำบัตรทะเบียนราษฎรบันทึกอัตลักษณ์บุคคลไว้หมดแล้ว” อย่างไรก็ตาม เขาไม่ปฏิเสธว่า ที่ผ่านมามีแรงงานข้ามชาติที่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์เพื่อทำบัตรสีชมพูใหม่อยู่บ้าง ซึ่งจะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมีเจ้าหน้าที่ร่วมทุจริตด้วยเท่านั้น คือ ลบฐานข้อมูลเดิมของแรงงานคนนั้นออกจากระบบแล้วใส่ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลใหม่มาสวมสิทธิ

●  บัตรสีชมพู ทำให้แรงงานข้ามชาติทะลักเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย หวัง “ฟอกตัว” เป็นแรงงานถูกกฎหมาย?

การผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารที่ถูกต้องมาทำบัตรประจำตัวสีชมพู ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายมากขึ้น เพราะทางการไทยไม่ได้เปิดให้ทำบัตรสีชมพูตลอดเวลา กรมการปกครองจะเปิดให้ทำก็ต่อเมื่อมีมติ ครม. ออกมาเมื่อสถานการณ์มีความจำเป็นเท่านั้น เช่น สถานการณ์โควิด สถานการณ์ความขัดแย้งและปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านที่ทำให้เกิดการลักลอบเข้าประเทศ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติที่เคยได้รับอนุญาตให้ทำงานกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายเพราะการขออนุญาตทำงานไม่ครบขั้นตอนหรืออยู่ในไทยเกินกำหนดเพราะไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้

กรมการปกครองจัดทำทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้แก่แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เมื่อปี 2563

● บัตรสีชมพูทำให้ลูกของแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในเมืองไทยได้รับสัญชาติไทย?

ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ใช้ “หลักดินแดน” ในการให้สัญชาติ ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่เกิดในประเทศไทยจะได้สัญชาติไทยโดยทันที แต่การได้สัญชาติต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สัญชาติ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย ดังนั้น ลูกของแรงงามข้ามชาติที่ถือบัตรประจำตัวสีชมพูที่เกิดในไทย จึงไม่ได้สัญชาติไทยหรือพัฒนาสิทธิเป็นคนไทยได้โดยอัตโนมัติ “ลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย เมื่อถึงวัยเรียนเราก็ให้เข้าเรียน แต่จะเด็กอยู่ในไทยได้นานเท่าที่พ่อแม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานที่นี่เท่านั้น เมื่อสิทธิของพ่อแม่หมด ลูกก็ต้องกลับด้วย หรือถ้าเขาต้องการได้สัญชาติไทยก็ต้องดำเนินการขอแปลงสัญชาติตามกฎหมายสัญชาติ ซึ่งมีเงื่อนไขมากมายและเป็นเงื่อนไขเดียวกันกับคนต่างด้าวทุกกรณีที่ขอสัญชาติไทย” แหล่งข่าวให้ข้อมูลและตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการได้สัญชาติไทยของลูกแรงงามข้ามชาติที่เกิดในไทย น่าจะมาจากความสับสนเรื่องการให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ตกหล่นจากการสำรวจมานาน แต่หลายภาคส่วนเข้าใจผิดว่าคนกลุ่มนี้กับลูกของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทยเป็นกลุ่มเดียวกันและสามารถพัฒนาสิทธิของสถานะบุคคลได้เหมือนกัน ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ข้อสรุปโคแฟค

บทวิเคราะห์เรื่อง “ฟอกสัญชาติ !! แฉ !! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน” ที่เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก THE STATES TIMES ที่อ้างว่าเป็น “สำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือ “บัตรสีชมพู” ที่มีความคลาดเคลื่อน ตามที่แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงมหาดไทยชี้แจงข้างต้น

แม้จะเป็นการ “วิเคราะห์” ของผู้เขียน แต่บทวิเคราะห์จะต้องอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง การให้ข้อมูลบิดเบือนโดยเฉพาะในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างเรื่องแรงงานข้ามชาติอาจส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางในหลายมิติ ทั้งการอยู่ร่วมกันของคนไทยกับแรงงานข้ามชาติ เศรษฐกิจ ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ทิ้งท้ายว่า มีพรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการเรียกร้องให้ใช้บัตรสีชมพูใบเดียวของแรงงานเมียนมา โดยมีแผนระยะยาวที่จะได้คะแนนเสียงจากลูกของแรงงานที่ได้สัญชาติไทยและมีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานประกอบ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เขียนบทวิเคราะห์นี้ว่ามีเจตนาสร้างความเข้าใจผิดเพื่อโจมตีพรรคการเมืองใดหรือทำลายความชอบธรรมของกลุ่มแรงงานเมียนมาที่ออกมาเรียกร้องหรือไม่

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วงเสวนา‘วันรณรงค์การพูดความจริง’ย้ำความสำคัญงดเว้นการสื่อสารเรื่องเท็จ แต่ต้องไม่ลืม‘กาลเทศะ’ด้วย

7 ก.ค. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย (CSCT)และมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ. หรือ IBHAP Foundation) จัดงาน “COFACT Live Talk # Special หัวข้อ Spread TRUTH, not lies” ณ ลานหน้าตึกกิจกรรม บ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพมหานครและถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค”

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) กล่าวเปิดงาน ระบุว่า มีผลการศึกษาที่พบว่า คนเราพูดโกหกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นได้ทั้งการโกหกเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่าการโกหกสีขาว (White Lie) คือโกหกเพื่อถนอมน้ำใจผู้ฟัง แต่วันพูดความจริงนั้นเปิดโอกาสให้เรานั้นได้มีความกล้าเผชิญกับความจริงและกล้าสื่อสาร แต่อีกจุดสำคัญก็คือจะทำอย่างไรไม่ให้การสื่อสารความจริงนั้นทำร้ายผู้อื่นด้วย 

ทั้งนี้ วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เป็นวันโกหก (April Fools Day) แต่วันพูดความจริงเป็นคุณค่าที่ตรงข้ามกัน ซึ่งวันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันรณรงค์การพูดความจริง (Tell the Truth Day) ที่แม้จะไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็ทำให้ผู้คนกลับมาอยู่กับความจริง ซื่อสัตย์กับตนเอง ผู้อื่นและโลก นอกจากนั้นยังมีวันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นวันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-checking Day) 

โดยแผนระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. มีภารกิจสนับสนุนให้เกิดนิเวศสื่อสุขภาวะ ที่จะเอื้อให้ผู้คนได้พัฒนาศักยภาพให้เป็นพลเมืองที่เท่าทันสื่อ และพัฒนาสู่การเป็นนักสื่อสารสุขภาวะ ที่ช่วยกันรณรงค์สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ให้กับสังคม ควบคู่กับการสนับสนุนช่องทางสื่อในการเผยแพร่เนื้อหาที่ให้ประโยชน์กับผู้คนในเรื่องของสุขภาพและสังคม

“งานวิจัยบอกว่าการพูดความจริงมีประโยชน์ หนึ่งคืออย่างน้อยทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าสิ่งที่เราพูดไปจะมีใครมาจับผิดไหม? ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาข้อมูลอะไรมาสนับสนุน สิ่งที่เราพูดเรื่องความไม่จริงนั้น เรื่องแรก คือ สุขภาพจิต-สุขภาพกายเราดีขึ้น ถ้าทำต่อเนื่องให้เป็นนิสัยของการที่เราจะกับตัวเอง-กับคนรอบข้าง เรื่องที่สอง ทำให้เรามีโอกาสได้ทบทวนตนเอง ได้ใคร่ครวญกับตัวเอง ว่าตอนนั้นที่เราพูดไม่จริงไปเพราะอะไร? เปิดโอกาสให้อยู่กับตัวเอง ” ญาณี กล่าว

จากนั้นเป็นเวทีศาสนสัมพันธ์สนทนา ‘spread TRUTH not lies’ โดย บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า ในศาสนาคริสต์ เลข 7 คือเลขที่สมบูรณ์ เช่น ศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ บาปต้น 7 ประการ ในพระคัมภีร์ เมื่อมีเลข 7 จะหมายถึงความสมบูรณ์ ดังนั้นวันที่ 7 เดือน 7 จึงอุปมาได้ว่า การพูดความจริงทำให้ชีวิตของคนคนนั้นสมบูรณ์ มีภาพลักษณ์ดูภูมิฐาน ไว้ใจได้และเป็นคนดี

ในมุมของตนเชื่อว่าเมื่อเราอยู่ในบรรยากาศของการโกหกหลอกลวง สิ่งหนึ่งที่การโกหกหลอกลวงทำร้าย คือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” อันเป็นที่มนุษย์มีและไม่ควรถูกทำร้าย เพราะหากเราไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้ แล้วเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร อย่างเคยมีกรณีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI) สร้างภาพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส สวมเสื้อผ้าแบรนด์หรูราคาแพง แล้วมีคนจำนวนมากส่งต่อภาพนั้นเพราะเชื่อว่าเป็นภาพจริง เนื่องจากไม่เข้าใจว่าเอไอคืออะไร แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ทำให้ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

“ในพระคัมภีร์มีคำหนึ่งที่บอกว่า ‘ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท’ ไทในที่นี้คือความเป็นอิสระ น่าสนใจเพราะในคำถามของการเสวนาก็มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ เช่น  คำโกหกสีขาว หรือพูดความจริงไม่ครบ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ก็เพราะว่าเมื่อเราพูดความจริงเราไม่ต้องระวังหลัง เพราะต่อจากนี้จะมาอย่างไรก็ไม่รู้ เราพูดสิ่งที่มันจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นคำสอนที่บอกว่าถ้าเราอยู่กับความจริงเราก็เป็นอิสระจากบาป จากความทุกข์กังวลใดๆ อะไรต่างๆ เรื่องโกหกสีขาว จริงๆ โกหกก็คือโกหก แต่ศาสนาคริสต์เขาจะดูที่เจตนา สมมติว่าขโมยมาปล้นบ้านเรา แล้วถามว่ากุญแจตู้เซฟอยู่ตรงไหน เราบอกความจริงว่าอยู่บนหลังตู้ อันนี้ก็คงไม่ใช่” บาทหลวงอนุชา กล่าว

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ กล่าวว่า มีตัวอย่างกรณีการแชร์ภาพที่อ้างว่าเป็นการจุดไฟคบเพลิงสำหรับเตรียมไว้ใช้ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยระบุว่าเป็นพิธีที่จัดขึ้นในศาสนสถานของชาวคริสต์ และมีนักบวชเป็นผู้จุด แต่เมื่อไปตรวจสอบในสื่อต่างๆ ก็ไม่พบว่ามีสำนักข่าวใดเลยที่รายงานข่าวการเตรียมไฟคบเพลิงสำหรับกีฬาโอลิมปิกในศาสนสถานที่ฝรั่งเศส   มีเพียงข่าวฝรั่งเศสจัดพิธีรับมอบคบเพลิงไฟโอลิมปิกทางเรือที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เห็นภาพนี้ถูกแชร์มาจากหลายๆ คน ในใจก็คิดว่า ในยุคนี้ผู้คนดูจะห่างไกลศาสนา ดังนั้นจึงรู้สึกดีที่มีการทำพิธีจุดคบเพลิงโอลิมปิกที่ศาสนสถาน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่ใช่ข่าวจริง จึงรีบตอบคนที่ส่งภาพดังกล่าวกลับไปว่าคงไม่ใช่อย่างแน่นอน ขอให้ตรวจสอบดู ซึ่งภายหลังคนที่ส่งมาก็ได้ลบภาพนั้นออกไป ดังนั้นเมื่อได้รับข้อมูลอะไรมาจะต้องตรวจสอบว่าแหล่งที่มาของข้อมูลเป็นอย่างไร เพราะแม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกเขียนขึ้นมาในลักษณะเนื้อหาที่ดูดี แต่หากไม่มีที่มา-ที่ไปที่ก็ไม่ควรส่งต่อ

“บางคนก็จะโกรธถ้ามีคนตั้งคำถาม เขาก็จะเหมือนกับว่า เราแชร์ข้อมูลดีๆ ไปอย่างนี้ไม่ดีหรือ? ดีกว่าไปแชร์ข้อมูลที่มันไม่ดีใช่ไหม? เราบอกว่าจะดีหรือไม่ดีแต่ถ้าไม่มีที่มาที่ไปใครเป็นผู้เขียน ไม่มีสำนักข่าวที่เขียน เราก็ไม่ควรจะแชร์ข้อมูลที่จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่ทราบ ก็จะพยายามตั้งหลักตรงนี้มากๆ เลยว่าไม่ควรแชร์ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง แต่ก็ไม่กล้าบอกไปในกลุ่มไลน์ เพราะว่ากลัวเขาอาย เราก็ต้องมีเทคนิคไม่ให้เขาอาย ก็ต้องส่งไปที่ส่วนตัวให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนส่ง ” ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ กล่าว

ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในคำสอนของศาสนาอิสลาม ซึ่งถือมนุษย์ว่าเป็นทั้งบ่าวและตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์จึงมีหน้าที่เคารพสักการะต่อผู้พระผู้เป็นเจ้า แต่การเคารพสักการะไม่ได้หมายถึงเฉพาะการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในมัสยิด หรือการถือศีลอดเท่านั้น แต่รวมถึงการปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบทั้งต่อมนุษย์ สภาพแวดล้อมและทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าสรรสร้าง 

และในคัมภัร์อัลกุรอ่าน จะมีอยู่บทหนึ่งที่พูดถึงความจริงหรือสัจธรรม ดังนั้นการเป็นคนโกหกโป้ปดมดเท็จ ในทรรศนะของอิสลามจึงถือเป็นบาปที่ร้ายแรง แม้กระทั่งการโกหกสีขาวซึ่งมักพบได้ในชีวิตประจำวัน อิสลามก็พยายามเตือนว่า การโกหกสีขาวจงเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เพราะการโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ที่บอกว่าคนเราโกหกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน เดือนหนึ่งก็ 60 ครั้ง แต่การที่เราโกหกเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นว่าการโกหกเป็นเรื่องธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคนเราจะต้องพูดความจริงออกไปทุกอย่าง โดยอาจยกเว้นได้บ้าง เช่น กรณีหากพูดไปแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้คน อาทิ เหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นมีเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายคู่อริ สมมติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวิ่งหนีตายแอบปีนเข้ามาหลบอยู่ในบ้านของตน แล้วอีกฝ่ายไล่ตามมาพร้อมอาวุธทั้งมีด-ปืน เข้ามาถามตนว่าเห็นคู่กรณีวิ่งผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งในศาสนาก็ระบุถึงสถานการณ์บางอย่าง เช่น สงคราม ที่อาจส่งผลให้บุคคลได้รับอันตรายถึงชีวิต ก็ถือเป็นข้อยกเว้นได้

หรือแม้แต่การนำเสนอข้อมูลที่แม้จะเป็นความจริง หากจะไปกระทบสิทธิมนุษยชนก็ต้องระมัดระวัง เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำป้ายไวนิลแสดงชื่อและภาพถ่ายบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีความรุนแรง แม้จะเป็นหมายจับจริง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อลูกและภรรยาของผู้ต้องหา เช่น ถูกล้อเลียนด่าทอเป็นลูกโจร-เมียโจร หรือสื่อพาดหัวข่าวผู้ต้องหากับอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ ในลักษณะตีตราไปแล้วว่าบุคคลนั้นกระทำผิดจริง ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน ซึ่งขัดกับหลักที่ว่าบุคคลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาว่าผิด (Presumption of Innocence)

“มีกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งไปก่อคดีฆาตกรรมทำร้ายคน สมมติผมไปทำร้ายใครสักคนหนึ่ง ใช้ระเบิดซีโฟร์ ก็กลายเป็นสุชาติซีโฟร์ แต่พวกเราคงนึกออกว่าผู้หญิงคนนั้นถูกตีตราว่าเป็นอะไร เสร็จแล้วปรากฏว่าในที่สุดศาลตัดสินมาก็ตัดสินมา ก็ปรากฎว่าเธอไม่ได้ทำผิด แต่สื่อนี่กระจายไปหมดแล้ว” ผศ.สุชาติ กล่าว

พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า ผลกระทบที่ใหญ่มากจากข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง เช่น การนำภาพหรือคำสอนของศาสนาต่างๆ มาบิดเบือน คือการสร้างความเกลียดชัง อย่างมีครั้งหนึ่งที่เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ ก็มีคนขับแท็กซี่ถามว่า เหตุใดพี่น้องคุณถึงฆ่าพี่น้องเรา โดยอ้างถึงกรณีพระสงฆ์ในประเทศเมียนมา มีการปลุกเร้าให้พุทธศาสนิกชนเข่นฆ่าชาวมุสลิม 

โดยในมุมมองของศาสนาพุทธ ความจริงหรือสัจจะถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่างในศีลก็จะมีข้อที่ห้ามพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ ซึ่งคำว่า “พูดส่อเสียด” หมายถึงการพูดที่ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนหรือสังคม ส่วนคำถามที่ว่า “จะพูดความจริงอย่างไร?” ขอให้ยึดหลักว่า “นอกจากจริงแล้วยังต้องดูว่าพูดออกไปจะมีประโยชน์หรือไม่ด้วย” บางเรื่องแม้จะจริงแต่ไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องพูด อีกทั้งต้องรู้จัก “กาลเทศะ” เช่น เมื่อเห็นการแชร์ข้อมูลที่ผิดในกลุ่มไลน์ การเตือนตรงๆ ในกลุ่มอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจได้ อาจใช้วิธีทักไปเตือนเป็นข้อความส่วนตัว เป็นต้น

“คนฟังชอบใจ-ไม่ชอบใจ ไม่เป็นประเด็นสำคัญ ฟังอย่างนี้บางท่านอาจจะรู้สึกว่า ‘ทำไมล่ะ?..ก็ต้องดูสิว่าพูดแล้วเขาควรจะชอบ’ คือความจริงที่เป็นประโยชน์บางครั้งมันไม่น่าฟังแต่เราจำเป็นต้องพูด เพราะถ้าไม่พูดเขาจะไม่มีโอกาสเห็น นึกสภาพเป็นกระจกมันก็ต้องสะท้อน ‘กัลยาณมิตร’ หรือเพื่อนที่ดีจะทำให้เราได้รู้ความจริงที่เป็นประโยชน์แม้จะไม่น่าฟัง ฉะนั้นคนฟังชอบใจ-ไม่ชอบใจไม่เป็นไร แต่นึกถึงหลักการคือต้องรู้กาลเทศะ” พระมหานภันต์กล่าว

ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา กล่าวว่า ในมุมมองของตน ผลกระทบจากข่าวลวง-ข่าวเท็จ คือการทำให้เราสูญเสียทรัพยากรที่เป็นปัจจัยจำกัดที่มีค่าที่สุดคือ เวลา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทุกคนได้มาเท่ากัน และเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถหามาทดแทนได้เหมือนทรัพยากรอื่นๆ เพราะข่าวลวงทำให้ต้องมาเสียเวลากับการตรวจสอบซ้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่ แทนที่จะสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้เลย และยังทำให้คนเราขาดเวลาสำหรับการทำความเข้าใจในชีวิต ในความเชื่อหรือศาสนา หรือขาดเวลาทำสิ่งที่ควรทำในสิ่งที่เกิดความงอกงาม

อนึ่ง ในศาสนาพุทธ เมื่อพูดถึงความจริงมักอ้างถึง “หลักกาลามสูตร 10 ประการ” ที่พระพุทธเจ้าสอนชาวกาลามะ ว่าอย่าเชื่อโดยง่ายเพียงเพราะเหตุต่างๆ เช่น เป็นเรื่องที่บอกเล่าต่อๆ กันมา เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง หรือเป็นเพราะครูบาอาจารย์บอก แต่เรื่องนี้ก็มีบริบท (Context) อยู่ ไม่ใช่ข่าวที่บอกกันโดยทั่วไป คือหมายถึงการเดินทางทางจิตวิญญาณ ให้เราเชื่อผ่านการปฏิบัติของตนเอง มีตัวเราเป็นคนพิสูจน์ แต่เมื่อมาอยู่ในบริบทของโลกปัจจุบัน ก็น่าสนใจว่าแล้วเวอร์ชั่นที่ร่วมสมัยจะเป็นอย่างไร?

“ตอนเด็กๆ ผมมักจะคิดเอาเองด้วยความเป็นเด็กว่าการพูดความจริงบางส่วน คือการพูดความจริง เมื่อผู้ใหญ่ถามว่า ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง? ผมก็บอกว่าทำการบ้านแล้ว แต่เสร็จหรือยัง เว้นเอาไว้ให้เป็นการตีความเอง โตมาขึ้นมาถึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่ว่าต้องพูดหมดหรือไม่หมดแต่นั้น แต่มันคือความตั้งใจของเราว่าเป้าหมายของเรามันคืออะไร? เป้าของเรามันเพื่อให้เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าอันนี้มันเป็นประเด็นสำคัญเลย มันมีทั้งเรื่องของบริบท มีเรื่องของความจริงใจ มีเรื่องของความตั้งใจของเราที่จะบิดเบือนสิ่งนี้หรือเปล่า?” ดร.สรยุทธ กล่าว

ด้านผู้ดำเนินการสนทนา สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงวันพูดความจริง ซึ่งตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี ว่า หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เรากำลังเข้าสู่ยูโทเปีย ทุกคนตื่นเต้นกับอินเตอร์เน็ตในฐานะพื้นที่ใหม่แห่งเสรีภาพ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะทุกคนก็ได้สัมผัสถึงด้านมืดของอินเตอร์เน็ต นำไปสู่การรณรงค์สร้างความระมัดระวังและรู้เท่าทันข่าวลวง (Fake News) ซึ่งในช่วงนี้เองก็มีใครสักคนหนึ่งกำหนดวันพูดความจริงขึ้นมา และสามารถสร้างเป็นกระแสในวงกว้างได้

โคแฟคเราเห็นว่ามีความน่าสนใจดี เราก็เลยจัดกิจกรรมปีนี้เป็นปีแรก เป็นหนึ่งวันที่เราจะได้มีโอกาสรณรงค์กันเรื่องนี้ เพราะว่าหลักๆ ทุกคนน่าจะประสบความทุกข์กับข้อมูลลวง สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2567

ห้ามกรอกลงทะเบียนรับสิทธิ์ลดค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะเป็นของมิจฉาชีพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2o4dbj5s1cyo1#_=_


ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือบ่อย เสี่ยงเป็นโรคสะเก็ดเงิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/q5dp4pfog29w


สคบ. ประกาศให้สินค้าออนไลน์ที่เก็บเงินปลายทาง สามารถเปิดดูสินค้าก่อนจ่ายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3jymv4k0epoq8


รัฐฯ แนะทุกบ้านควรมีโอ่งเก็บน้ำ เพื่อแบ่งความจุจากเขื่อนไม่ให้แตก ส่งเสริม Soft Power…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19d1mdflvzc21


พบสารปนเปื้อนอันตรายในน้ำประปา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cfbbujgk9ezw


กลางลิ้นแตก มีฝ้าขาว เหลือง แสดงให้เห็นว่า กระเพาะย่อยไม่ดี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cozlfygkmf95


  เตือน 28 จังหวัด เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ช่วง 9-17 ก.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/9vkddq1tk6b2#_=_i


   กรมการจัดหางาน รับสมัครคนไทยทำงานมาเก๊า เงินเดือนสูงสุด 1 แสนบาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uq96lbpfax9


  กทม. เพิ่มมาตรการป้องกันโควิด 19 ระบาดในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33u5jmw589w7a


  เตรียมเปิดให้บริการด่านฯ ลุมพินี ทางพิเศษเฉลิมมหานคร กลางเดือน ก.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3ryl1888kncbf


กกต. ประกาศรับรอง สว.67 กับข้อเท็จจริงเรื่อง “รับรองก่อน สอยทีหลัง”

สองสัปดาห์หลังการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เสร็จสิ้นไปเมื่อ 26 มิ.ย. 2567 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 ประกาศรับรองรายชื่อ สว. 200 คนที่ได้รับเลือกและบัญชีสำรอง เท่ากับว่า กกต. เลือกแนวทาง “รับรองก่อน สอยทีหลัง” ซึ่งก่อนหน้านี้นายสมชาย แสวงการ และ สว. ที่กำลังจะพ้นตำแหน่งกลุ่มหนึ่งอ้างว่า “กระทำไม่ได้” เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

จากการตรวจสอบกับ กกต. และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โคแฟคพบว่าคำกล่าวอ้างของ สว. กลุ่มนี้ไม่ตรงกับความจริง เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า กกต. สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนสิทธิผู้ได้รับเลือกเป็น สว. หลังจากประกาศรับรองผลแล้วได้  

“รับรองก่อน สอยทีหลัง” หมายถึง การที่ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นการรับรองรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว. และบัญชีสำรอง แม้จะมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับเลือกและความไม่ถูกต้องชอบธรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการเลือกอยู่ก็ตาม หลังจากประกาศรับรองไปแล้ว หาก กกต. สืบสวนพบว่า สว. คนนั้นหรือผู้มีชื่อในบัญชีสำรองขาดคุณสมบัติ ก็จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือถ้ามีการทำผิดกฎหมาย กกต. ก็จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกามีคําสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา สว. ที่ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่ามิได้กระทำความผิด ถ้าศาลพิพากษาว่าผิดจะต้องสิ้นสุดการเป็น สว. หรือถูกลบชื่อจากบัญชีสำรอง

ไม่มีกฎหมายรองรับ?

ระหว่างการประชุมวุฒิสภาชุดที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า “ชุดเฉพาะกาล” เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 เพื่อพิจารณาข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (พ.ร.ป. สว.) “ไม่ได้ให้อำนาจ [กกต.] ไปสอยทีหลัง” ดังนั้น “การรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลังกระทำไม่ได้”

นายสมชายอ้างมาตรา 42 ของ พ.ร.ป. สว. ที่วรรคสุดท้ายเขียนไว้ว่า เมื่อ กกต. ได้ผลคะแนนการเลือกระดับประเทศแล้วให้รอไว้ไม่น้อยกว่า 5 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้า กกต. เห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้อง สุจริต และเที่ยงธรรม ให้ประกาศผลการเลือกในราชกิจจานุเบกษา

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา เสนอญัตติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภามีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 ก่อนที่ สว. ชุดนี้จะพ้นจากตำแหน่งในอีก 2 วันต่อมา เมื่อราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ กกต. เรื่องผลการเลือก สว. ชุดใหม่

นายสมชายตีความว่า มาตรา 42 นี้กำหนดให้ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. ก็ต่อเมื่อเห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้อง สุจริต และเที่ยงธรรมเท่านั้น หากยังมีข้อร้องเรียนหรือข้อสังสัย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครหรือกระบวนการเลือก กกต. ต้องสอบสวนให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะประกาศรับรองผล 

นายจัตุรงค์ เสริมสุข เป็น สว. อีกคนหนึ่งที่เห็นเหมือนกับนายสมชาย เขาอภิปรายว่า “การที่ กกต. พูดมาโดยตลอดว่ารับรองไปก่อน แล้วสอยกันทีหลัง ไม่รู้ว่ามันมีกฎหมายข้อไหน บทบัญญัติไหน หรือพระราชบัญญัติฉบับไหน หรือรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่ให้อำนาจ กกต. รับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง…”

นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล สว. อภิปรายในทิศทางเดียวกันว่า กกต. ไม่สามารถรับรองผลการเลือก สว. ไปก่อนแล้วค่อยมา “สอย” ทีหลังเหมือนกับการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ เพราะ สว. ที่ถูกกล่าวหานั้นมีส่วนในการเลือกผู้สมัครคนอื่นในขั้นตอนการเลือกกันเองและการเลือกไขว้ “ผิดหนึ่งคน พลาดหนึ่งคน คือพลาดทั้งหมด”

โคแฟคตรวจสอบ

กกต. ใช้วิธี “รับรองก่อน สอยทีหลัง” มาแล้วในการเลือกตั้งหลายครั้งหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือก สส. การเลือกตั้งซ่อม หรือการเลือกระดับท้องถิ่น แต่เนื่องจากการได้มาซึ่ง สว. ชุดที่ 13 ในปี 2567 นี้ เป็นการเลือกครั้งแรกภายใต้กติกาและระบบใหม่ที่ถูกออกแบบโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าซับซ้อน มีข้อกล่าวหาและข้อกังขาเกิดขึ้นมากมายในแทบทุกขั้นตอน รวมถึงขั้นตอนการประกาศผลด้วย   

กกต. พูดมาเป็นระยะว่าการ “รับรองก่อน สอยทีหลัง” นั้นทำได้ตามกฎหมาย ครั้งล่าสุดคือในการแถลงความคืบหน้าการเลือกระดับประเทศที่อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวถามนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ว่าการ “สอยทีหลัง” นั้นมีกฎหมายข้อไหนรองรับ

นายแสวงตอบว่า “มาตรา 62 ของ พ.ร.ป. สว. ระบุว่า เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. แล้ว ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น และเมื่อศาลรับคำร้องไว้พิจารณา สว. ผู้นั้นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ถ้าอยู่ในบัญชีสำรองก็ต้องลบชื่อออก”

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.

ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดถึงประเด็นเดียวกันนี้ในการให้สัมภาษณ์ ไทยพีบีเอส ว่า “ตามข้อกฎหมาย กกต. ทำได้อยู่แล้ว เมื่อประกาศผลไปแล้วตามมาพบว่า สว.ท่านใดทำผิด พ.ร.ป. สว. ก็สามารถส่งคำร้องไปให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิได้ตลอด คนที่อยู่ในบัญชีสำรองก็เลื่อนขึ้นมา”

แม้ว่าการ “รับรองก่อน สอยทีหลัง” จะมีกฎหมายรองรับ แต่ ผศ.ปริญญาก็เตือนว่า หาก กกต. เพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนต่าง ๆ ในการเลือก สว. แล้วเดินหน้ารับรองผลการเลือกโดยไม่สอบสวนข้อร้องเรียนอย่างจริงจัง ก็อาจถูกครหาได้

ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ชุดเดียวกับนายสมชาย อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 ที่ให้อำนาจ กกต. “รับรองก่อน สอยทีหลัง”

มาตรา 226 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า “ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือกแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทําของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น”

“พอหลังประกาศผลแล้วเขาถึงได้ไปสอย…ถ้าระหว่างนี้มีคนร้องเยอะ กกต. ก็ต้องตรวจสอบดูว่าวินิจฉัยชี้ขาดได้เลยมั้ย ถ้าวินิจฉัยได้เลยเขาก็สอยเลย แต่ถ้ายังไม่ชัดเจน มีข้อโต้แย้ง มีหลักฐานที่ต้องไปพิสูจน์กันทีหลัง” นายเสรีกล่าว

โดยสรุป ข้อกฎหมายที่ให้ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือก สว. ก่อน แล้วจึงทำการสืบสวนสอบสวนคำร้องและข้อกล่าวหาต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ มีดังนี้

1) พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561

มาตรา 62 เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกแล้ว ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น

เมื่อศาลฎีกามีคําสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทําความผิดให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งอยู่ในบัญชีสำรองด้วย และเมื่อศาลฎีกามีคําพิพากษาว่าผู้นั้นกระทําความผิด ให้ กกต. สั่งลบรายชื่อผู้นั้นออกจากบัญชีสำรอง

มาตรา 63 เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. แล้ว หากความปรากฏต่อ กกต. ว่า สว. คนใดขาดคุณสมบัติหรือหรือมีลักษณะต้องห้าม ให้ กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า

2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 225 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยที่มาและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุว่า ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือก ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทําของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทําความผิด และเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิด ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่

“ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม”

ในการแถลงข่าวเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือก สว. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 นายแสวง เลขาธิการ กกต. อธิบายว่า กกต. รับรองผลการเลือก สว. เพราะ “พิจารณาแล้วเห็นว่า การเลือก สว. เป็นไปด้วยความถูกต้อง สุจริตและเที่ยงธรรม” ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 42 ของ พ.ร.ป. สว.

นายแสวงอธิบายว่าที่สรุปเช่นนั้น เพราะ กกต. ได้ดำเนินการเกี่ยวกับกระทำความผิดและข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นแล้ว โดย กกต. แบ่งความผิดและข้อร้องเรียนเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่ม 1 คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร: เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครตั้งแต่ต้น ทำให้มีผู้สมัครถูกตัดสิทธิกว่า 2,000 คน ในการเลือกระดับอำเภอ (1,917 คน) ระดับจังหวัด (526 คน) และระดับประเทศ (5 คน) และได้ระงับสิทธิสมัครรับเลือกของผู้สมัครเป็นการชั่วคราวอีก 89 ราย

กลุ่ม 2 กระบวนการเลือก: มีผู้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับกระบวนการเลือกในระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 9, 16 และ 26 มิ.ย. 2567 มายัง กกต. 3 คำร้อง และยื่นไปที่ศาลฎีกาอีก 18 คำร้อง ซึ่ง กกต. พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว และศาลฎีกาก็ยกคำร้องทุกคดีแล้ว จึงถือว่ากระบวนการเลือกเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

กลุ่มที่ 3 ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรมจากการฝ่าฝืนกฎหมาย: กกต. ได้รับคำร้องเกี่ยวกับความไม่สุจริต เช่น การจัดตั้ง บล็อกโหวต ฮั้ว ทั้งหมด 47 เรื่อง ซึ่งพยานหลักฐานเท่าที่ กกต. รวบรวมได้ในตอนนี้บ่งชี้ว่าอาจทำเป็นขบวนการ การสอบสวนในเชิงลึกต่อไปต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กกต. จึงได้ประสานขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน ให้ส่งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์มาช่วยในการสอบสวน ซึ่งขณะนี้หลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่ามีการกระทำความผิด เพื่อความเที่ยงธรรมต่อทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายในการพิสูจน์และแก้ข้อกล่าวหา

นายแสวงสรุปว่า จากการดำเนินการของ กกต. ในทั้ง 3 ส่วน “ในชั้นนี้จึงยังไม่สามารถบอกว่าการเลือก [สว.] เป็นไปโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม” จึงนำมาสู่การประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 10 ก.ค. 2567

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง