5 ข้อชวนคิดจาก “ลลิตา หาญวงษ์” ว่าด้วยมายาคติและไวรัลปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมา

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

ในช่วงเวลาเพียงสองเดือนกว่า ๆ ระหว่างกรกฎาคมถึงกันยายน 2567 ปรากฏเนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมาจนเป็น “ไวรัล” ออนไลน์อย่างน้อย 3 กรณี ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการโหมกระพือความเกลียดชังระลอกนี้จะทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติระหว่างคนไทยกับแรงงานข้ามชาติ

ไวรัล #1 “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” หรือ “บัตรสีชมพู” ที่กรมการปกครองออกให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อยู่และมีถิ่นพำนักในประเทศเกิน 6 เดือน ซึ่งรวมถึงแรงงานสัญชาติเมียนมา ถูกนำมาบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการเปิดช่องให้มีการ “ฟอกสัญชาติ” และ “ชุบตัวต่างด้าว” ให้มีสิทธิเลือกตั้งและถือครองที่ดินในประเทศไทย

ไวรัล #2 คลิปเด็กนักเรียนร้องเพลงชาติไทยตามด้วยเพลงชาติเมียนมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงแต่ถูกนำมาใส่ข้อความที่สร้างความเกลียดชังและปลุกปั่นความคิดชาตินิยม ถูกเผยแพร่และสร้างเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทำให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 ทำให้ลูกหลานแรงงานข้ามชาตินับพันคน ต้องหยุดเรียนกลางคันและสั่งให้ตรวจเข้มศูนย์การเรียนสำหรับเด็กข้ามชาติในจังหวัดสุราษฎร์ธานีทุกแห่ง

ไวรัล #3 ช่วงหนึ่งของการอภิปรายเรื่องสิทธิแรงงานข้ามชาติในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 น.ส. ธิษะณา ชุณหะวัณ ส.ส. พรรคประชาชน กล่าวถึงการปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดูแลชาวเมียนมาที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศ ต่อมามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียตัดบางช่วงบางตอนของการอภิปรายมาโจมตี ส.ส.ธิษะณาและพรรคประชาชนว่าห่วงคนเมียนมามากกว่าคนไทย พร้อมทั้งเกิดแฮชแท็ก #พรรคประชาชนเมียนมา  

ท่ามกลางการโหมกระพือความเกลียดชังที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ และจะมีไวรัลอื่น ๆ ตามมาอีกหรือไม่ โคแฟคชวน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร มาพูดคุยในหัวข้อ “จากมายาคติต่อแรงงานข้ามชาติสู่ไวรัลปั่นความเกลียดชังออนไลน์” ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ Cofact Live Talk เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2567 ต่อไปนี้คือ 5 ประเด็นที่ อ.ลลิตาฝากไว้ให้สังคมไทยคิดและทำความเข้าใจ ก่อนที่การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์จะกลายเป็นความหวาดระแวงต่อกันจนถึงจุดที่ยากจะเยียวยา

1. ทำไมแรงงานเมียนมาตกเป็นเป้าของการสร้างความเกลียดชัง

เหตุที่แรงงานเมียนมาตกเป็นเป้าของการสร้างความหวาดกลัวเกลียดชังมากกว่าแรงงานจากลาวหรือกัมพูชา นอกจากจะเป็นเพราะแรงงานเมียนมามีจำนวนมากถึง 6-7 ล้านคน (ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ) แล้ว อ.ลลิตามองว่าประวัติศาสตร์และรากทางวัฒนธรรมก็มีส่วน กล่าวคือ คนไทยในจังหวัดชายแดนภาคอีสานจะรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับแรงงานที่มาจากลาวและกัมพูชาเพราะพูดภาษาลาวหรือภาษาเขมรเหมือนกัน ต่างจากคนไทยที่อยู่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่มองว่าคนกะเหรี่ยงหรือเมียนมาเป็นคนต่างเชื้อชาติ แม้จะอยู่ร่วมกันมายาวนานแต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นอื่น นอกจากนี้อคติต่อแรงงานข้ามชาติยังมีเชื้อมาจากทัศนคติของสังคมไทยที่ไม่ชอบเพื่อนบ้านมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเรา ส่วนประวัติศาสตร์สงครามเสียกรุงหรือสงครามไทย-พม่ายุคจารีตที่รัฐไทยมักหยิบมาปลุกชาตินิยม อ.ลลิตาวิเคราะห์ว่าไม่มีผลต่อทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อแรงงานเมียนมามากเท่าประเด็นทางเศรษฐกิจและสาธารณสุข เห็นได้จากความไม่พอใจที่ภาษีของคนไทยถูกใช้ไปในการดูแลคนเมียนมา

2. คนไทย-คนเมียนมาอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ แต่ “ไอโอ” ทำให้ไขว้เขว

คนไทยมีขันติธรรมในเรื่องของเชื้อชาติประมาณหนึ่ง เพราะบรรพบุรุษเราก็เสื่อผืนหมอนใบมาจากจีน หลายชุมชนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็มีเชื้อสายมอญ คนอีสานอาจจะมีบรรพบุรุษเป็นคนเวียดนามหรือลาวที่อพยพมาเป็นแรงงานหรือหนีสงครามมา” อ.ลลิตากล่าว ดังนั้นความหลากหลายทางเชื้อชาติจึงเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย แม้ว่าจะคนไทยบางส่วนจะมีอคติต่อแรงงานข้ามชาติ แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจดีว่าประเทศไทยต้องพึ่งพาคนเหล่านี้ ผู้ประกอบการก็อยากได้แรงงานมาขับเคลื่อนกิจการของเขาและเห็นตรงกันว่า แรงงานเมียนมานั้นคุ้มค่าเพราะค่าแรงถูกและทำงานหนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้แรงงานเมียนมาเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการไทย

แต่ขณะเดียวกันก็มีคนกลุ่มหนึ่ง เช่น กลุ่มปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) หรือกลุ่มที่มีเป้าหมายทางการเมือง พยายามจุดประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมา กระพือให้คนหวาดกลัวซึ่งนำไปสู่ความเกลียดชัง เช่น การเผยแพร่รูปแผงค้าขายของชาวเมียนมาบนสะพานลอยที่สำโรง ภาพตลาดแม่สอดที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าชาวเมียนมา พร้อมบรรยายว่าเมียนมาครองเมือง คนไทยกำลังไม่มีแผ่นดินจะอยู่และจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง หรือตัดตอนคำอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาชนมาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ดิสเครดิตพรรคด้วยแฮชแท็ก #พรรคประชาชนเมียนมา เป็นต้น เนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อแรงงานเมียนมามีทั้งที่เป็นข้อมูลเท็จและข้อมูลจริงแต่ใส่ทัศนคติและความเกลียดชังลงไป “จริง ๆ คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจเรื่องนี้ แต่พอมีการปั่นแบบนี้ ก็ทำให้สังคมเกิดความไขว้เขว เกิดความ ‘เอ๊ะ’ขึ้นมาว่าหรือคนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามจริง ๆ” อ.ลลิตากล่าว

3. ชาตินิยมที่ล้นเกิน สุดท้ายจะทำร้ายคนในชาติ

ความหวาดกลัวและเกลียดชังแรงงานเมียนมาเป็นปัญหาของทัศนคติและแนวคิดแบบชาตินิยม เกิดจากความคิดว่าในประเทศไทย คนไทยต้องมาก่อน เราเป็นคนจ่ายภาษี เพราะฉะนั้นสิทธิประโยชน์ใด ๆ เราต้องได้ก่อน

“คุณมีทัศนคติชาตินิยมได้มั้ย ได้ ความรักชาติเป็นเรื่องปกติ…แต่ถ้าคุณรักชาติแบบล้นเกินจนไม่ได้มองว่าสถานการณ์จริง ๆ ในประเทศเราเป็นยังไง ท้ายสุดมันทำให้ประเทศชาติของเราเดือดร้อน ไม่ได้เดือดร้อนแค่ตัวคุณคนเดียว แต่เดือดร้อนถึงพ่อแม่พี่น้องร่วมชาติที่เป็นคนไทยแท้ ๆ ด้วย”

อ.ลลิตาหยิบยกกรณีคลิปเด็กเมียนมาร้องเพลงชาติเมียนมาที่ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ จ.สุราษฎร์ธานี มาขยายความประเด็นนี้ว่า การปลุกปั่นในโลกออกไลน์จนนำมาสู่การปิดศูนย์การเรียนของเด็กข้ามชาติอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และรุนแรงกว่าที่หลายคนคิด เพราะเมื่อลูกหลานแรงงานเหล่านี้ต้องเคว้งคว้าง ไม่มีที่เรียนหนังสือ พ่อแม่ดูแลไม่ได้เพราะต้องทำงาน เด็กเหล่านี้อาจต้องกลายเป็นแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมง การใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมงอาจทำให้ไทยถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ ทำให้ผู้ประกอบการประมงไทยส่งออกกุ้งไปขายในสหรัฐฯ ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็จะเสียหาย

“เราจะรัก เราจะโกรธ เราจะเกลียดอะไรได้หมด แต่ต้องมีความยั้งคิด มองให้เป็นระบบว่า ฉันเกลียดคนนี้เพราะอะไร เพราะโดนไอโอหลอกหรือเปล่า คนเมียนมาทำอะไรผิด ถ้าเราสนับสนุนให้ปิดศูนย์การเรียนฯ เด็กกลุ่มนี้จะถูกลอยแพ จะกลายเป็นแรงงานเด็กนอกระบบ…ต้องคิดหลาย ๆ ชั้น คิดให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่าคนที่ได้รับผลกระทบ [จากการปิดศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ] ก็คือสังคมไทยโดยรวม มันเป็นปัญหาความมั่นคงในองค์รวม ไม่ใช่แค่ชุมชนคนเมียนมา”

เจ้าหน้าที่นำประกาศสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรื่องให้ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะบางกุ้งยุติการดำเนินการไปติดตั้งที่หน้าศูนย์การเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อาคารเรียนเดิมของวิทยาลัยเทคโนโลยีบางกุ้ง

4. กฎหมาย-มาตรการของรัฐ ไม่ใช่การให้อภิสิทธิ์คนเมียนมา

ในโลกออนไลน์มักมีการแชร์เนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดว่า การขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติหรือการออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้คนต่างด้าวเป็นการให้อภิสิทธิ์แรงงานข้ามชาติในไทย

“อย่าคิดว่ากฎหมายหรือร่างกฎหมายหลายฉบับที่พยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องการให้ใบอนุญาตแรงงานคือการให้อภิสิทธิ์คนเมียนมา แต่ต้องคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ทำให้รัฐไทยสามารถบริหารจัดการแรงงานเมียนมาได้ดีขึ้น” อ.ลลิตากล่าว “ถ้าเราทำให้แรงงานเมียนมาในไทยเข้ามาอยู่ในระบบได้มากที่สุด จะสามารถจัดการได้หลายอย่าง ดีทั้งกับนายจ้าง แรงงาน และสังคมไทยโดยรวม” ส่วนความกังวลว่ารัฐบาลไทยใช้เงินภาษีของคนไทยไปดูแลแรงงานเมียนมา เช่น การรักษาพยาบาลนั้น อ.ลลิตายอมรับว่าอาจต้องใช้งบประมาณของไทยบางส่วน แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินจากองค์กรต่างประเทศที่เข้ามาช่วย และคนไทยไม่ควรคิดว่าแรงงานเมียนมาไม่ได้จ่ายภาษี เพราะเมื่อเขาจ่ายเงินซื้อสินค้า ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ก็เท่ากับว่าเขาจ่ายภาษี เท่ากับว่าเขามีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วย

5. หยุดคิดและตั้งสติก่อนเชื่อ-ชัง-แชร์

ประเด็นสุดท้ายที่ อ.ลลิตาชวนให้คิดคือ ขณะนี้ประเทศไทยขาดแรงงานเมียนมาไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาแรงงานกลุ่มนี้ ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ ทำงานที่นี่ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และหากคิดดูให้ดีก็จะพบว่าจริง ๆ แล้ว แรงงานเมียนมาไม่ได้สร้างผลกระทบหรือความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันของเรา ยกเว้นคนบางกลุ่มอย่างเช่นพ่อค้าแม่ค้าที่อาจได้รับผลกระทบด้านอาชีพบ้าง

ดังนั้นเมื่อพบเห็นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่กระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัว เกลียดชังหรือมีอคติกับแรงงานข้ามชาติ อ.ลลิตาแนะนำว่าให้หยุดคิด อย่าเพิ่งอ่อนไหวไปกับกระแสสังคมหรือดรามา ถามตัวเองว่าเรากำลังถูกชักจูงให้เกิดความเกลียดชังหรือเปล่า

“หลายคนรับสารมา อ่านยังไม่ทันจบก็แชร์แล้ว นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยถึงโดนมิจฉาชีพหลอกเยอะ เพราะเราเชื่อง่าย ไม่ตรวจสอบข้อมูล…ขอให้คิดอย่างมีเหตุผล อยู่บนฐานข้อเท็จจริง อย่ารีบโพสต์ อย่ารีบแชร์”

การเชื่อหรือแชร์ข้อมูลต่อโดยขาดความยั้งคิดหรือไม่ตรวจสอบความถูกต้อง หากเป็นการหลอกลวงทางการเงินก็อาจนำไปสู่การสูญเสียทรัยพ์สิน หากเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางสังคมอย่างเรื่องแรงงานข้ามชาติ อาจทำให้เหตุการณ์บานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้

“เราอยากให้สังคมของเราไปถึงจุดนั้นหรือ ทุกวันนี้ เราอยู่ในสังคมที่มีขันติธรรมต่อคนต่างเชื้อชาติประมาณหนึ่ง แต่ถ้าความเกลียดชัง หรือปฏิบัติการไอโอไปในระดับที่รุนแรงมากขึ้น สังคมเราก็เป๋ได้เหมือนกัน” อ.ลลิตาทิ้งท้าย

อ่านเรื่องอื่นที่น่าสนใจ

แรงงานข้ามชาติ-เชื้อชาติแตกต่าง’สังคมไทยรับได้และเข้าใจเสมอมา แต่ห่วง‘ปั่นกระแส’ทำไขว้เขวสู่ความเกลียดชัง

23 ก.ย. 2567 รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ชวนพูดคุยในหัวข้อ ‘Myths & Migrant workers: From Disinfo to Discrimination? จากมายาคติต่อแรงงานข้ามชาติสู่ไวรัลปั่นความเกลียดชังออนไลน์” กับวิทยากร ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินรายการ

อาจารย์ลลิตา อธิบายรากเหง้าของปัญหาอคติ (หรือมายาคติ) ที่พลเมืองในประเทศมีต่อแรงงานข้ามชาติ ซึ่งก็มาจากทัศนคติแบบชาตินิยม โดยมองเรื่องสิทธิประโยชน์ของคนไทยต้องมาก่อนในฐานะเป็นคนจ่ายภาษี  แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าใครที่อยู่ในประเทศไทยล้วนจ่ายภาษีและมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอย ขณะเดียวกัน เมื่อมองการเข้ามาของชาวต่างชาติก็ต้องแยกเป็นหลายส่วน อาทิ แรงงานที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย 

รวมไปถึงชนชั้นกลางที่ต้องการแสวงหาโอกาสในประเทศที่มีความสงบมากกว่า เช่น ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเมียนมา ที่ผ่านไป 3 ปีกว่าแล้วยังคงได้รับผลจากการรัฐประหารเมื่อปี 2564  จะพบว่าย่านสุขุมวิทมีชาวเมียนมาจำนวนมาก มีร้านอาหารเมียนมาที่เป็นผู้ประกอบการทั่วไปไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์เกิดขึ้นหลายแห่ง ยังไม่ต้องนับเมืองหรือจังหวัดที่อยู่ติดชายแดน หรือที่มีข่าวว่าชาวเมียนมาเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมของไทย  

ดังนั้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในมิตินี้จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนจ่ายภาษี ตราบใดที่เขาเดินไปซื้อของตามร้านทั่วๆ ไป เขาก็ต้องจ่ายภาษี ซึ่งแรงงานเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยยาวนานหลายสิบปีมาแล้ว เพราะสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของเขาไม่ค่อยมีความสงบ ครั้งใหญ่ที่สุดก็คือหลังปี 2531 (1988) พอเกิดเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ๆ ในประเทศของเขา ประชาชนก็จะเข้ามาในประเทศไทย” 

เมื่อมองย้อนไปในยุคหลายสิบปีก่อน สังคมไทยยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดให้มีชนชั้นกลางจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน ดังนั้นชาวเมียนมาที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นแรงงานประเภททักษะน้อย ทำงานโรงงานบ้าง อุตสาหกรรมประมงบ้าง อาทิย่านมหาชัย ใน จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่แรงงานชาวเมียนมาอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานแปรรูปอาหารทะเล จนมีองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่เข้าไปดูแลด้านสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ของแรงงานชาวเมียนมาในย่านดังกล่าวโดยเฉพาะ

ช่วงที่ อองซานซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนเมียนมา มาเยือนประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน ยังได้ไปพบปะกับแรงงานชาวเมียนมาในย่านมหาชัย สะท้อนถึงความสำคัญของแรงงานชาวเมียนมาต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หากไม่มีแรงงานชาวเมียนมา ย่านมหาชัยคงกลายเป็นเมืองร้าง และไม่รู้ว่าจะหาแรงงานที่ไหนมาทดแทนในอุตสาหกรรมประมงได้ที่ผ่านมาอาจมีความเชื่อว่าชาวเมียนมาเข้ามาแย่งงานคนไทย แต่ในความเป็นจริงคือคนเหล่านี้เข้ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ ซึ่งก็มีปัจจัยเรื่อง ทัศนคติของนายจ้าง อยู่ด้วย

นั่นคือ แรงงานข้ามชาติยอมรับการทำงานหนักแต่ได้ค่าแรงน้อยได้ พบว่าแรงงานเมียนมามีอัตราการลาออกเพราะไม่พอใจนายจ้างค่อนข้างน้อยกว่าแรงงานไทย รวมถึงแรงงานเมียนมาได้ค่าจ้างในอัตราน้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ หรือแม้กระทั่งในกลุ่มแรงงานทักษะสูง ชาวเมียนมาเรียกร้องขอเงินเดือนต่ำกว่าชาวไทยที่เรียนจบมาในสาขาเดียวกันและต้องการสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน

เราลองไปดูตามกลุ่มหางานของคนเมียนมาในไทย เราจะพบว่าคนที่เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษคล่องมาก ขอเงินเดือน 15,000 เราจะเห็นคนที่เป็นวิชาชีพที่แบบเข้มๆ ในระดับที่ในประเทศไทยต้องเงินเดือน 5-7 หมื่น เขาขอ 15,000 หรือ 12,000 เสียด้วยซ้ำไปในบางเคส กราฟิกดีไซเนอร์เก่งๆ หมื่นกว่าบาท ขอแค่ตรงนี้ ทำอย่างไรก็ได้ให้มาอยู่ในประเทศไทย นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

อาจารย์ลลิตา กล่าวต่อไปถึงกฎหมายใหม่ที่ออกโดยรัฐบาลรัฐประหารของเมียนมา กำหนดให้ชาวเมียนมาที่ไปทำงานต่างประเทศ ต้องจ่ายภาษีร้อยละ 25 ของรายได้ที่ส่งกลับมาให้ญาติพี่น้องในเมียนมา เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของเมียนมา จากเงินที่ชาวเมียนมาที่กระจายกันไปทำงานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มาก อย่างในประเทศไทย ตัวเลขอย่างเป็นทางการของแรงงานชาวเมียนมาจะอยู่ประมาณ 2-3 ล้านคน แต่หากเป็นตัวเลขไม่เป็นทางการอาจจะสูงราว 6-7 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่สงบ 

ทั้งนี้ สังคมไทยค่อนข้างมีขันติธรรมในเรื่องเชื้อชาติพอสมควร เพราะหลายคนก็มีบรรพบุรุษมาจากต่างแดน เช่น จีน มอญ ลาว เวียดนาม ไม่ว่ามาเป็นแรงงานแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจหรือหนีภัยสงคราม เนื่องจากประเทศไทยค่อนข้างสงบกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แม้จะมีความขัดแย้งแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสงครามขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่สู้รบในสงครามเวียดนาม หรือประเทศกัมพูชาที่เคยมีสงครามกลางเมือง เป็นต้น 

 ส่วนประเด็น การปั่นกระแสสร้างความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ ต้องบอกว่า ในความเป็นจริงสังคมไทยเข้าใจว่าเราต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติผู้ประกอบการก็ต้องการแรงงานชาวเมียนมาไปช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ แต่มีคนบางส่วนต้องการปั่นกระแสโดยพยายามทำให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง

เราไม่ได้หมายถึงพรรคการเมืองต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง แต่อย่างในยุโรปหรืออเมริกา ประเด็นเรื่องเชื้อชาติ เรื่องผู้อพยพลี้ภัยเป็นเรื่องใหญ่ การที่ฝ่ายการเมืองไม่คัดกรองแต่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้  ทำให้กลายไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายต่อต้านที่อาจจะหยิบยกข้อความมา 2-3 คำ แล้วนำมาขยายความซึ่งทำให้เกิดข้อมูลที่บิดเบือนไปหมด

อาจารย์ลลิตา กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า แม้ตนเองจะไม่ใช่นักวิชาการด้านแรงงานหรือด้านการอพยพย้ายถิ่นโดยตรง แต่จากการทำงานในคณะกรรมาธิการความมั่นคงในสภา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ แล้วเห็นว่าต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจในสิ่งที่สังคมเข้าใจอยู่แล้ว เพียงแต่บางคนอาจจะไขว้เขวไปเพราะได้รับข้อมูลที่มาจากกระแสดรามาที่เกิดขึ้น จึงอยากสื่อสารว่า เชื้อชาติเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สามารถลุกลามไปถึงขั้นเกิดเหตุจลาจลได้ ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในต่างประเทศ และมีเหตุรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต เช่น ความขัดแย้งระหว่างคนเชื้อสายพม่ากับเชื้อสายอินเดีย ในยุคที่เมียนมายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หรือระหว่างคนเชื้อสายมาเลย์กับเชื้อสายจีนในสิงคโปร์ คำถามคือ เราอยากให้สังคมไทยเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ? เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีบางประเด็นที่สังคมไทยไม่รับอยู่บ้าง เช่น เรื่องของชาวโรฮิงญา แต่ก็ยังรับได้กับแรงงานข้ามชาติอย่างชาวเมียนมา ซึ่งหากมีการปั่นกระแสด้วยถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ไปในระดับที่รุนแรงมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล

ด้าน สุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองมาจากครอบครัวที่อยู่ในภาคใต้ของไทย ซึ่งภาคเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้คือ การทำสวนยางพารา แต่ระยะหลังๆ คนทำงานในสวนยางมีน้อยมากที่จะเป็นคนใต้หรือคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่มาอยู่กันเป็นชุมชนและก็อยู่กันด้วยดี ซึ่งแม้แรงงานเหล่านี้จะมีรายได้ไม่สูง แต่ก็ถือว่าเป็นเงินที่มากพอสมควรเมื่อส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องที่ประเทศบ้านเกิด ในมุมหนึ่งก็เข้าใจว่าการที่คนเหล่านี้มีความอดทนที่ต้องอยู่ห่างไกลครอบครัวก็เพราะไม่มีทางเลือก ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะเป็นอย่างไร

จริงๆ คนไทยกับแรงงานข้ามชาติในภาพรวมไม่ได้มีปัญหาอะไร มีความรักคร่กันดี  เพราะเขามาช่วยเราเยอะ   มีแต่คนอยากได้มาทำงาน แต่ก็มีกลุ่มสุดโต่งอยู่ทั้งที่ Organic (เป็นไปเองโดยปัจเจก) และ IO (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวว่าตอนนี้อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากมีอะไรกระตุ้นขึ้นมา  อาจจะก่อปัญหาให้บานปลายก็ได้  จากเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

หมายเหตุ : ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมรายการเต็มแบบย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1046760563583842?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เปิดวงถก‘SDGs’เป้าหมายสู่โลกที่ดีขึ้น กับความท้าทายในการปฏิบัติและติดตามผลจนบรรลุ

21 ก.ย. 2567 มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) จัดเสวนา “Bangkok Dialogue City : SDGs เทคโนโลยี ธุรกิจ การศึกษา ศาสนาและสื่อ” ถ่ายทอดสดเผ่นเพจเฟซบุ๊ก “พระมหานภันต์ สกพ. – Ven.Napan IBHAP” และเพจ “มูลนิธิ สกพ. – IBHAP Foundation” โดยมี จณัญญา บารมีชัย ผู้อำนวยการสายปฏิบัติการ บริษัท ฟอร์เวิร์ด ฟรีแลนซ์ จำกัดเป็นผู้ดำเนินรายการ

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากมองโลกตามความเป็นจริง มักเกิดคำถามว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน  (Sustainable Development Goals : SDGs)จะเป็นไปได้หรือ? แต่มนุษย์ก็ต้องมีความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมลง มีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น แต่ใช่ว่าเราจะสิ้นหวัง ทั้งนี้จากประสบการณ์ทำงานมา 3 ทศวรรษ ประเทศไทยมีกลไกกฎหมายต่างๆ รวมถึงมีจำนวนสื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นสื่อก็ยังถูกตั้งคำถามว่าทำหน้าที่ได้ดีพอแล้วหรือยัง

หรืออย่างในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสถิติเผชิญกับการหลอกลวงของมิจฉาชีพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย จึงเป็นตัวชี้วัดว่าต้องมีอะไรที่ผิดปกติดังนั้นทางแก้ก็ต้องดูทั้ง 2 ทาง ด้านหนึ่งกลไกกฎหมายมีข้อบกพร่องหรือไม่ เช่น การแพร่หลายของเครื่องมือที่ใช้กระทำผิดอย่างบัญชีม้าหรือซิมบ็อกซ์ เป็น SDGs ในมุมกฎหมายที่ต้องแก้ไขกันต่อไป

แต่อีกด้านหนึ่งที่อาจหลงลืมไปในขณะพยายามผลักดันกลไกกฎหมาย คือมิติทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งสื่อ การศึกษา ศาสนาและจิตวิญญาณ หรือก็คือการยกระดับการเรียนรู้ของคนไปด้วย จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนภาคีโคแฟค เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง การคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม เพื่อ 1.ให้เกิดการรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ กับ 2.ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ได้อย่างมีสันติสุขในใจมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า คนแต่ละกลุ่มจะมีความทุกข์จากการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แตกต่างกันไป เช่น หากเป็นผู้สูงอายุอาจมีปัญหาถูกหลอกลวงกันมาก ส่วนคนวัยทำงานเจอปัญหาการซื้อสินค้าประเภทได้ของไม่ตรงปก ซึ่งแต่ละปีมีการสูญเสียเม็ดเงินในส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ขณะที่เด็กและเยาวชนจะมีปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง คือภาวะซึมเศร้า การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) จึงรู้สึกว่าหากมาทำเรื่องการส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจกันในโลกออนไลน์ ลดถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ซึ่งรวมไปถึงระดับโลกที่ยังอาจมีความไม่เข้าใจกัน ยังมีความเกลียดชังจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ-ศาสนา ต้องทำอย่างไรในการรับมือ

จากความพยายามที่ผ่านมา ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงตัวชี้วัดเรื่องการไปสู่สันติภาพ เพราะในโลกจริงยังมีสงครามมีการสู้รบกันอยู่ พอเข้ามาในโลกออนไลน์ก็มีแต่ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง คำถามคือเราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ทางออกจึงอยู่ทั้ง 2 ด้าน นโยบาย กฎหมาย จนถึงหน้าที่ของแพลตฟอร์มก็ต้องดูแลกันต่อไปว่าต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง แต่ปัจเจกบุคคลก็ต้องช่วยกันสร้างระบบนิเวศของสื่อให้น่าอยู่มากขึ้น

ทั้งนี้ ในรายงาน Global Risk ความเสี่ยงของโลกยุคใหม่ ในเวที World Economic Forum ปี 2567 อันดับ 1 คือเรื่อง Mis & Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน-คลาดเคลื่อน) หรือคนถูกหลอกจากข้อมูลลวงในโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้กลับมาให้ความสำคัญกับงานของโคแฟคมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้โดดเดี่ยวเพราะจะไปไม่ถึงไหน จึงต้องร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งด้านสื่อ ศาสนา การศึกษาและสังคม เพื่อแสวงหาปัญญารวมหมู่ในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา

อันดับ 1 คือข้อมูลลวง รองลงมาคือเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Changeและมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ เป็นอันดับต้นๆ เหมือนกัน คือ สังคมแบ่งขั้ว (Social Polarization) คือการแบ่งแยกแตกขั้วของคนในสังคม จึงเป็นที่มาของวงที่เราจัดในวันนี้ คือ Bangkok Dialogue City หรือ การเชื่อมต่อ (Interface หรือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน  (Intercultural จะกลายเป็นงานสำคัญที่จะรับมือกับ Global Risk หรือภัยคุกคามของโลกในยุคนี้ สุภิญญา กล่าว

สุรเสกข์ ยุทธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง Toolmorrow กล่าวว่า ระยะเวลาประมาณ 10 ปี ของ Toolmorrow ช่วงแรกๆ เป็นการสร้างความตระหนักในเรื่องความเชื่อหรือความเข้าใจต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของการศึกษา เยาวชนและครอบครัว เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็เริ่มมีคำถามว่า ทำอย่างไรจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ กระทั่งได้มาทำงานร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งตั้งปลายทางไว้ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุขมากขึ้น จึงเริ่มไปหาโปรแกรมออกแบบกันในโลกออนไลน์

เมื่อ Toolmorrow ทำงานร่วมกับ สสส. ในชื่อโครงการ คุณเปลี่ยนลูกเปลี่ยน พบว่ามียอดการรับชมถึง 10 ล้านครั้ง มีผู้สนใจสมัครเข้ามาในระบบการเรียนรู้ได้ถึงหลักหมื่นคน เกินเป้าจากที่ตั้งไว้ตอนแรกว่าจะมีผู้สนใจเพียงหลักพันคน แต่ความสำคัญคือคนที่เรียนรู้แล้วยังสามารถกลายเป็นคนสอนต่อไปได้ด้วย และเมื่อเห็นว่าโครงการนี้เป็นต้นแบบที่ดี จึงพยายามสร้างขึ้นมาและกระจายกันใหม่ 

ปัจจุบัน Toolmorrow เปลี่ยนคำขวัญจากแต่ก่อนจะเน้นไปในทางทำลายความเชื่อผิดๆ เป็นจากคนดูสู่ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง (Turn Viewer to Change Maker) คือคาดหวังมากกว่าการรับรู้ แต่อยากให้มาลงมือทำอะไรบางอย่าง โดย Toolmorrow มีระบบ Learning Management System (LMS – ระบบจัดการการเรียนรู้) ร่วมกับ สสส. ผลิตแพลตฟอร์ม “Share & Care” ขึ้นมาให้องค์กรทางสังคมได้เช่าใช้ และสร้างเครือข่ายเพิ่มขึ้น จากประเด็นครอบครัวขยายสู่เรื่องการเงิน สุขภาพ ฯลฯ 

ปัญหาที่เจอขององค์กรภาคสังคม คือเวลาสร้างการตระหนักรู้แล้วก็ทำการอบรม ในเชิงพื้นที่ส่วนใหญ่เราจะติดตามลำบากเพราะว่าจะเป็นการอบรมครั้งเดียวแล้วจบ แต่ถ้าเกิดสามารถปรับกระบวนการให้อยู่ในระบบแล้วสามารถติดตามผลได้ หรือสามารถวิเคราะห์ว่าใครจะมีศักยภาพขึ้นมาเป็น Change Maker ได้ เพื่อพัฒนาเขาต่อ จะทำให้คนไม่หายไปจากการอบรม ซึ่งเราลองระบบแบบนี้แล้วพยายามจะทำงานนี้ขึ้นมา ฉะนั้นถามว่า Toolmorrow ทำงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับ SDGs บ้าง? ก็คือเรื่องของการศึกษา แล้วเราให้ความรู้เพื่อให้ Well-being (คุณภาพชีวิต) เขาดีขึ้น สุรเสกข์กล่าว

ดร.ณัฐวุฒิ สุขโสมนัส ที่ปรึกษาสมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) ทำการศึกษาเกี่ยวกับ SDGs โดยสอบถามภาคธุรกิจทั่วโลกว่า 1.รู้จัก SDGs หรือรู้จักคำว่าความยั่งยืน (Sustainability) หรือไม่? พบว่ามีที่รู้ประมาณร้อยละ 60-65 แต่เมื่อถามต่อไปว่า2.ได้กำหนด SDGs เป็นนโยบายขององค์กรหรือไม่? พบว่ามีที่กำหนดอยู่ราวร้อยละ 40 จากนั้น 3.ได้ลงมือทำตามแนวทางของ SDGs หรือไม่? พบว่ามีเพียงร้อยละ 10-15 ขององค์กรทั่วโลกเท่านั้นที่ลงมือทำ

และสุดท้ายถามว่า 4.ลงมือทำแล้วได้ติดตามผลและประกาศต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ซึ่งมีองค์กรธุรกิจทั่วโลกเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้นที่ดำเนินการมาถึงขั้นนี้ แม้ภาคธุรกิจต้องทำรายงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Report) แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีกฎตายตัวชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่องค์กรหรือบริษัทดำเนินการจึงเป็นเพียงการบอกว่าได้ไปทำอะไรมาเท่านั้น เช่น บริษัทแห่งหนึ่งทำ CSR เรื่องปลูกป่าทุกปี ก็มีคำถามขึ้นมาว่าเหตุใดบริษัทนี้ต้องปลูกป่าที่เดิมติดต่อกันหลายปีแล้ว ซึ่งก็จะเป็นอย่างที่ทราบกันคือมาถ่ายรูปแล้วก็กลับ แต่ไม่มีใครไปดูหลังจากนั้นว่าแล้วเกิดอะไรขึ้นกับป่าที่ปลูกบ้าง 1 ปีผ่านไปต้นไม้ตายไปเท่าไร? จะแก้ปัญหาอย่างไร? จึงเป็นเพียงการทำซ้ำไปเรื่อยๆ และหากยังเป็นกันแบบนี้ ไม่ต้องคิดถึง 6-7 ปีข้างหน้า เพราะต่อให้ผ่านไปอีก 10 ปีก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีทางไปถึงเป้าหมาย

สมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย เครื่องมือที่เราใช้วัดในการประเมิน เราเรียกว่า SROI (Social return on investment –  ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องมือสากล เขาทำมา 20-30 ปีแล้ว ต้นกำเนิอยู่ที่อังกฤษ แล้วตอนนี้มีหลายสิบประเทศทั่วโลกที่ใช้เครื่องมือนี้อยู่ ก็สามารถใช้ประเมินได้เพราะเป็นหลักการที่เขาคิดกันขึ้นมาดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2558 ตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายไว้ที่ปี 2573 ดังนั้นปัจจุบันถือว่ามาเกินครึ่งทาง เหลืออีก 6 ปีที่จะต้องบรรลุ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดเหมือนจะมีผลวิจัยออกมาว่าสำเร็จไปเพียงร้อยละ 16 ของเป้าหมายทั้งหมด

ในประเด็นเกี่ยวกับสื่อ สิ่งที่คงจะเห็นตรงกันคือสื่อเป็นผู้คัดกรอง (Gatekeeper) กำหนดเรื่องราวที่จะนำเสนอ (Agenda) แต่โลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี บางครั้งกลับกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่เป็นผู้กำหนดเรื่องราวที่จะนำเสนอแล้วสื่อก็มานำไปขยายความต่อ ในมุมนี้อาจยังไม่มีข้อสรุป แต่อยากให้เห็นว่าทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วมกับ SDGs ได้ และแม้การวัดของ SDGs เหมือนจะยาก แต่การวัดก็ทำให้รู้สถานการณ์ปัจจุบันว่าเราอยู่ตรงไหน และรู้ว่าเป้าหมายจะไปถึงอะไร 

เรื่องข่าวลวงมีอยู่ในหลายๆ มิติ เช่น เป้าหมายที่ 16  สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง(Peace, Justice and Strong Institutions) จะมีตัวชี้วัดที่สำคัญ ขณะที่การทำงานของทั้งภาคีโคแฟคและ Toolmorrow พบคำสำคัญคือ ความร่วมมือ (Collaborative)” ที่อาจใช้เป็นวลีว่า “Collab before Collapse” หมายถึงควรจะร่วมมือกันก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลง ทั้งนี้ SDGs เป็นเรื่องใกล้ตัวเราทุกคน เช่น เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) , เป้าหมายที่ 6 มีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี (Clean Water and Sanitation) 

โดยให้ลองนึกภาพว่าหลายพื้นที่ยังมีคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสที่จะมีสิ่งเหล่านี้ ซึ่ง SDGs มีขึ้นมาเพื่อให้ทั้งโลกช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนคำถามที่ ดร.ณัฐวุฒิ ยกตัวอย่างมาก็น่าสนใจ เพราะก่อนจะมี SDGs ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่าการพัฒนาแบบเดิมๆ เน้นแต่ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมเสื่อมโทรม แต่เมื่อพยายามจะเปลี่ยนก็ยังไม่มีการวัดเป็นรูปธรรม

กระทั่งในปี 2558 จึงเป็น SDGs ขึ้นมา อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความตระหนักว่าจะวัดผลอย่างไร ซึ่ง SDGs ทั้ง 17 เป้าหมาย แต่ละเป้าหมายมีตัวชี้วัดที่ค่อนข้างละเอียดพอสมควร แต่ก็ถือเป็นความท้าทาย เช่น มูลนิธิ สกพ. ทำเรื่องความร่วมมือกันเพื่อเป้าหมาย (Partnerships for the Goals – เป้าหมายที่ 17) ไปชวนใครต่อใครมาร่วมมือกัน แต่การสร้างการเปลี่ยนแปลงกับคนไม่ได้มีการติดตาม หรือแม้แต่เมื่อจะติดตามก็แล้วตัวชี้วัดที่ถูกต้องควรเป็นแบบใด

“Social return on investment ชวนว่าในโครงการพัฒนาที่เราคิดทำกันตามปกติ ยกตัวอย่างสมมติว่าเราจะลดการใช้พลาสติก ทำเรื่องของการจัดการขยะ รีไซเคิลขยะ แต่บางทีหากเรามองแต่ภาพของการรีไซเคิลพลาสติก แต่ไม่ได้คิดถึงว่ามีคนที่เป็นกลุ่มเปราะบางกลุ่มหนึ่งที่เขาอาศัยเก็บขวดพลาสติกเลี้ยงชีพ ฉะนั้นเวลาทำโครงการก็ต้องนึกถึง Stakeholders (ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย) เหล่านี้ด้วย แล้วทำอย่างไรที่ไม่ใช่เราจัดการสิ่งแวดล้อม แต่ว่าเราทำให้คนกลุ่มหนึ่งลำบากกว่าเดิม และทำให้ความลำบากนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำบางอย่างที่ไม่ดี เพราะไนเมื่อหากินลำบากอาจเป็นมิจฉาชีพไปเลย สามารถเกิดขึ้นได้ พระมหานภันต์กล่าว

สำหรับ SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกิดขึ้นจากมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2558 เพื่อให้ประเทศต่างๆ นำไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี 2573 โดยมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย ประกอบด้วย 1.ขจัดความยากจน (No Poverty) 2.ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) 3.สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี (Good Health and Well-being) 4.การศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) 5.ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality)6.มีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี (Clean Water and Sanitation) 7.พลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable and clean energy)8.งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี(Decent Work and Economic Growth)9.อุตสาหกรรม นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน (Industry, Innovation and Infrastructure) 10.ลดความเหลื่อมล้ำ (Reduced Inequalities) 11. เมืองและชุมชนยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities) 12.การบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production) 13.การปฏิบัติการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) 14.การใช้ทรัพยากรในมหาสมุทรอย่างยั่งยืน (Life Below Water) 15.การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน (Life on land) 16.สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง (Peace, Justice and Strong Institutions) และ 17.ความร่วมมือกันเพื่อเป้าหมาย (Partnerships for the Goals)

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/tiknapan/videos/887643456124118/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

มาป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ

สวัสดีครับ วันนี้แอดมินมาสรุปเนื้อหาของโปรเจค Digital Enlightenment Series ที่ทาง Clazy cafe ร่วมมือกับ Cofact โคแฟค โดยช่วงที่ 2 นั้น มาในหัวข้อ “การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ” โดย พ.ต.ท. มนุพัศ ศรีบุญลือ (โตโต้) – สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง และ Certified Data Protection Officer

Workshop นี้มาในหัวข้อ “การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ” ในยุคปัจจุบันที่มีการใช้งาน AI มากขึ้น มิจฉาชีพเองก็นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้หลอกลวง ต้มตุ๋นเรา workshop นี้ จะทำให้เราเข้าใจวิธีการของมิจฉาชีพและทำให้เราสามารถรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไปครับ

สรุปเนื้อหาสำคัญของงาน มีดังนี้เลยครับ

หนึ่งในวิธียอดนิยมของมิจฉาชีพของยุคนี้ คือ “การหลอกลวงด้วยการแสดงตัวเป็นบุคคลอืน” ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ครับ
1 ส่งข้อความมาหลอกลวงโดยแกล้งเป็นคนรู้จัก หรือปลอมแปลงเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ไปรษณีย์ เป็นต้น
ปลอมเฟสบุค ไลน์ หรือโซเชียลของคนที่เรารู้จัก ทักมาชวนคุยให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่รู้จักเพื่อขอยืมเงินหรือปลอมตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ไปรษณีย์ เป็นต้น และสร้างสถานการณ์ปลอมมาหลอกเราอีกที เช่น คุณได้รับหรือส่งไปรษณีย์ที่มียาเสพติด โดยแอบอ้างชื่อโหลๆ สน.ไกลๆ ที่ต่างจังหวัด ขอย้ำไว้ตรงนี้ไว้เลยว่าอย่าเผลอคล้อยตามเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการอำนวยความสะดวกในการแจ้งความแทน หรือ ขู่เอาทรัพย์สินแน่นอน

2 สร้างใบหน้าเสมือนด้วย Deepfake Technology
การใช้ AI
ถ่ายวีดีโอปลอมแปลงใบหน้าบุคคล เชื่อหรือไม่ว่า แค่เรามีรูปตัวอย่างมา เราก็สามารถใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงเป็นบุคคลต้นแบบได้แล้ว นำรูป steve jobs มาใส่ลงในโปรแกรม เราก็เป็น steve jobs ได้ แถมยังมาเป็นวีดีโอ พูดได้ ขยับปากได้ กระพริบตาได้อีกต่างหาก

3 สร้างเสียงเสมือนด้วย Voice Cloning
การพูดคุยกับแก๊งค์ Call center นอกจากจะเสี่ยงในการถูกหลอกลวงแล้ว ยังเสี่ยงในการถูกนำเสียงไปเลียนแบบเพื่อการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ ปัจจุบัน Generative AI ก็สามารถสร้างเสียงเลียนแบบของบุคคลต่างๆ ได้แล้ว เพียงแค่มีเสียงตัวอย่างที่มีความยาวมากพอ เพราะฉะนั้นหากมีญาติหรือคนรู้จักโทรมาขอยืมเงิน เราควรเช็คเบอร์ที่โทรมาเพิ่มเติมด้วยครับ

4 การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคโดยการค้นหาใน Open Source Intelligence
การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชื่อ เลขบัตรประชาชน เบอร์โทร บัญชีธนาคาร และอื่นๆ เป็นข้อมูลที่ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้เพื่อการหลอกลวง หากมิจฉาชีพทราบ password ก็เสี่ยงต่อการถูกเข้ารหัสเพื่อโอนย้ายสินทรัพย์อีกด้วย

กรณีศึกษา
เคสที่เกิดขึ้นบ่อย มักจะมาบน Social media เช่นการหลอกขายของราคาถูก โฆษณางานที่ทำจากบ้านรายได้ดี (และมักจะให้แอดไลน์คุยต่อ) การปลอมโปรไฟล์คนรู้จัก การหลอกลวงแบบแชร์ลูกโซ่ (ลงทุนน้อยผลตอบแทนให้มาก) ผ่านช่องทางติดต่อที่เราใช้บ่อยทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ หรือ โทรศัพท์เข้ามาหาเราโดยตรง

แนวทางป้องกัน
หากเราจะซื้อหรือจะขายสินค้าทางโซเชียลมีเดีย แล้วคนที่เราติดต่อให้แอดคุยทางไลน์ ให้เฉลียวใจไว้ก่อนเลยว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถตรวจสอบบัญชีมิจฉาชีพทางhttps://blacklistseller.com/ และ https://chaladohn.com/ ก่อนโอนเงินครับ
หรือหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาหาเราจากสน.ต่างจังหวัด แถมยังเรียกชื่อนามสกุลเราได้อย่างถูกต้อง ก็อย่าพึ่งตกใจครับ และแน่นอนว่าตำรวจเก๊ก็จะมาพร้อมเรื่องราวแปลกๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าน่าจะเป็นมิจฉาชีพ อย่าไปหลงเชื่อนะครับ
อย่างไรก็ตาม หากเรารู้ตัวว่า เราได้พลาดโอนเงินให้มิจฉาชีพแล้ว แอดมินมีวิธีการมาแนะนำดังนี้ครับ
ให้รีบติดต่อศูนย์ AOC เบอร์ 1441 จะดำเนินการอายัดบัญชี และติดตามการทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ


นอกจากนั้น เราควรติดต่อธนาคารของเราโดยตรงเพื่อให้ธนาคารระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ทันที และให้ธนาคารที่รับโอนต่อทุกทอด ระงับการทำธุรกรรมที่รับโอนไว้ด้วย ซึ่งหลังจากนั้น ธนาคารจะแจ้งให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline.go.th/ หรือสน.ที่เกิดเหตุครับ

หลักการ PDPA และสิทธิ์ในข้อมูลส่วนบุคคลที่ควรรู้

ปัจจุบัน เรามี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นกฎหมายที่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาว่าข้อมูลนั้นเข้าข่ายเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และอยู่ภายใต้บังคับของ PDPA หรือไม่กันก่อนครับ
ในที่นี้ ข้อมูลแบ่งเป็น 3 ประเภทนะครับ


1 ไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ เช่น แขวง เขต เบอร์ ชื่อบริษัท เป็นต้น
ข้อมูลเหล่าที่ไม่ถูกจัดว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ถูกกำกับภายใต้ PDPA


2 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป หรือ Personal Identifiable Information (PII) เช่น ชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน อีเมล เป็นต้น


3 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น
ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปและข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจะถูกกำกับภายใต้ PDPA และต้องมีการให้ความยินยอม (consent)จากเจ้าของข้อมูลในเรื่องการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูล (มาตรา 24 และ 26 ของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
นอกจากนั้น การเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล (มาตรา 21)

หลักการเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และรักษาสิทธิ์ของเราภายใต้ PDPA

สำหรับสรุปเนื้อหาของงานนี้ ทางแอดมินและทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ตามอ่านและส่งต่อข้อมูลนี้เพื่อคนใกล้ตัวของคุณด้วยนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี
ทีมงาน Clazy Cafe และ ทีมงาน Cofact https://www.facebook.com/share/p/xsb6F4MGMmwsA3ba/?mibextid=qi2Omg

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 กันยายน 2567

Up5 Sure Digestion ช่วยรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3sb8ah3w7htz


บัตร 10 ปีที่ต่างด้าวได้รับ ถูกจำหน่ายออกจากระบบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/lkndjuhqxph6


ลุกจากที่นอนกะทันหัน ทำให้กระดูกกะโหลกศีรษะแตก หัวใจหยุดเต้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ofmpk6y9jmeg


รากฟันเทียมฟรี สำหรับคนอายุ 55 ปีขึ้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15t8e06q2ush3#_=_


รัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2vvjqt2c55pht


กยศ. ผ่อนผันชำระหนี้ผู้กู้ยืมที่ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ โดยไม่เสียเบี้ยปรับ รวมระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/34zeqc12j1yla#_=_i


ไม่ควรปิดฝาไมโครเวฟทันทีหลังใช้งาน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1rw9fqnl3rxb8#_=_


ดื่มยาดองเหล้าเสี่ยงตาบอด และเสียชีวิต

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/227jzi9oxakkz


 กินมันหวานช่วยให้อายุยืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2agsiphm4gla1


Cofact Journal : ความจริงความลวงในยุคAI สื่อควรรับมืออย่างไร

1/2567

กฎบัตรปารีสว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และงานข่าวและสื่อสารมวลชน

เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 โดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) และองค์กรพันธมิตร 16 แห่ง กฎบัตรนี้เป็นมาตรฐานจริยธรรมสากลฉบับแรกที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และงานข่าวและสื่อสารมวลชน

บทนำ

พวกเราในฐานะตัวแทนของชุมชนสื่อและงานข่าวและสื่อสารมวลชนตระหนักถึงผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษยชาติจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) เราสนับสนุนความร่วมมือในระดับโลกเพื่อให้แน่ใจว่า AI รักษาสิทธิมนุษยชน สันติภาพ และประชาธิปไตย รวมถึงสอดคล้องกับความปรารถนาและค่านิยมร่วมของเรา

ประวัติศาสตร์ของข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวพันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การทำงานอัตโนมัติขั้นพื้นฐานไปจนถึงระบบการวิเคราะห์และสร้างสรรค์ โดยเป็นตัวแทนของเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับความคิด ความรู้ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในกระบวนการรวบรวมข้อมูล การค้นหาความจริง การเล่าเรื่อง และการเผยแพร่ความคิด ซึ่ง AI จะสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและการปฏิบัติงานด้านบรรณาธิการได้อย่างลึกซึ้ง ระบบ AI อาจมีศักยภาพในการปฏิวัติภูมิทัศน์ของข้อมูลทั่วโลกโดยขึ้นอยู่กับการออกแบบ การกำกับดูแล และการประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตาม ระบบ AI ยังเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างต่อสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพในการแสวงหา รับ และเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งฝังรากอยู่ในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อข้อมูลและประชาธิปไตย(International Partnership for Information and Democracy) สิทธินี้สนับสนุนเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก

บทบาททางสังคมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและสื่อต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อถือได้สำหรับสังคมและบุคคล เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยและการเสริมสร้างสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลให้แก่ทุกคน ระบบ AI สามารถช่วยสื่อในการทำหน้าที่นี้ได้อย่างมาก ตราบเท่าที่เป็นการใช้งานอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และรับผิดชอบในสภาพแวดล้อมที่ยึดถือจริยธรรมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนอย่างเคร่งครัด ในการยืนยันหลักการเหล่านี้ เราขอยืนหยัดสนับสนุนสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ส่งเสริมงานข่าวและสื่อสารมวลชนอิสระ และมุ่งมั่นที่จะรักษาความเชื่อถือได้ของข่าวสารและสื่อต่างๆ ในยุค AI

หลักการสิบประการ

1. จริยธรรมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องเป็นแนวทางของสื่อและนักข่าวในการใช้เทคโนโลยี

สื่อและนักข่าวใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจหลัก นั่นคือการรับรองสิทธิของทุกคนในการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ การแสวงหาและบรรลุเป้าหมายนี้ควรเป็นแรงขับเคลื่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับเครื่องมือเชิงเทคโนโลยี การใช้และพัฒนาระบบ AI ในงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องยึดถือค่านิยมหลักของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน เช่น ความจริงและความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ความรับผิดชอบ เคารพความเป็นส่วนตัว และการรักษาความลับของแหล่งข่าว

2. สื่อต้องให้ความสำคัญกับอำนาจของมนุษย์

การตัดสินใจของมนุษย์ต้องยังคงมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านยุทธศาสตร์ระยะยาวและการตัดสินใจด้านบรรณาธิการประจำวัน การใช้ระบบ AI ควรมาจากการตัดสินใจของมนุษย์โดยเจตนาและได้รับข้อมูลที่ดี ทีมบรรณาธิการต้องกำหนดเป้าหมาย ขอบเขต และเงื่อนไขการใช้งานสำหรับแต่ละระบบ AI อย่างชัดเจน รวมถึงต้องตรวจสอบผลกระทบของระบบ AI ที่นำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกรอบการใช้งาน และมีความสามารถในการปิดการใช้งานระบบได้ทุกเมื่อ

3. ระบบ AI ที่ใช้ในงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องผ่านการประเมินอย่างอิสระก่อนใช้งาน

ระบบ AI ที่ใช้โดยสื่อและนักข่าวควรผ่านการประเมินที่อิสระ ครอบคลุม และละเอียดโดยกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชน การประเมินนี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าระบบยึดมั่นในค่านิยมหลักของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน ระบบเหล่านี้ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายคุ้มครองข้อมูล รวมถึงต้องมีการกำหนดกรอบความรับผิดชอบอย่างชัดเจนหากระบบไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ ควรใช้ระบบที่สามารถทำงานได้ตามความคาดหมายและอธิบายได้ง่าย

4. สื่อต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เผยแพร่เสมอ

สื่อต้องรับผิดชอบในการทำหน้าที่บรรณาธิการ รวมถึงการใช้ AI ในการรวบรวม ประมวลผล หรือเผยแพร่ข้อมูล สื่อต้องรับผิดชอบต่อทุกเนื้อหาที่เผยแพร่ ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบ AI ควรได้รับการคาดการณ์ วางแผน และมอบหมายให้กับมนุษย์ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะยึดมั่นกับจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชนและแนวปฏิบัติด้านบรรณาธิการ

5. สื่อต้องรักษาความโปร่งใสในการใช้ระบบ AI

การใช้ AI ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการผลิตหรือการเผยแพร่เนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนควรได้รับการเปิดเผยและสื่อสารให้ทุกคนที่รับข้อมูลได้รับรู้ ควบคู่กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง สื่อควรเก็บบันทึกสาธารณะเกี่ยวกับระบบ AI ที่ใช้และเคยใช้ โดยระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขต และเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียด

6. สื่อต้องรับรองแหล่งที่มาและการสืบทวนแหล่งที่มาของเนื้อหา

สื่อควรใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อรับรองความถูกต้องและแหล่งที่มาของเนื้อหาที่เผยแพร่ โดยระบุรายละเอียดที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับแหล่งที่มาและการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเนื้อหา เนื้อหาใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความถูกต้องเหล่านี้ควรได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

7. งานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องแบ่งระหว่างเนื้อหาจริงกับเนื้อหาสังเคราะห์อย่างชัดเจน

นักข่าวและสื่อต้องพยายามแยกแยะอย่างชัดเจนและเชื่อถือได้ระหว่างเนื้อหาที่ได้จากการบันทึกความเป็นจริง (เช่น ภาพถ่ายและการบันทึกเสียงหรือวิดีโอ) กับเนื้อหาที่สร้างขึ้นหรือถูกดัดแปลงอย่างมากด้วยระบบ AI นักข่าวและสื่อควรเน้นการใช้ภาพและการบันทึกวิดีโอจริงเพื่อสะท้อนเหตุการณ์จริง สื่อต้องหลีกเลี่ยงการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดจากการใช้เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงการสร้างหรือใช้เนื้อหาจาก AI เพื่อเลียนแบบการบันทึกภาพจริงหรือใช้แทนตัวบุคคลจริงอย่างสมจริง

8. การปรับเนื้อหาให้เหมาะกับบุคคลและการแนะนำเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ต้องรักษาความหลากหลายและความสมบูรณ์ของข้อมูล

สื่อต้องปฏิบัติตามจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชนในการออกแบบและใช้ระบบ AI เพื่อปรับเนื้อหาให้เหมาะกับบุคคลและแนะนำเนื้อหาโดยอัตโนมัติ ระบบดังกล่าวต้องเคารพในความสมบูรณ์ของข้อมูลและส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันในข้อเท็จจริงและมุมมองที่เกี่ยวข้อง ระบบควรนำเสนอมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมในประเด็นต่างๆ เพื่อส่งเสริมการสนทนาที่เปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตย การใช้ระบบเหล่านี้ต้องโปร่งใส และผู้ใช้ควรมีตัวเลือกในการปิดใช้งานเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาบรรณาธิการที่ไม่ผ่านการกรอง

9. นักข่าว สื่อ และกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล AI

ในฐานะผู้พิทักษ์สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล นักข่าว สื่อ และกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชนควรมีบทบาทเชิงรุกในการกำกับดูแลระบบ AI พวกเขาควรมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล AI ระดับโลกหรือระดับนานาชาติ และควรรับรองว่าการกำกับดูแล AI เคารพค่านิยมประชาธิปไตย และการพัฒนาของ AI ควรสะท้อนความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม พวกเขาต้องคงอยู่ในแนวหน้าของความรู้เกี่ยวกับ AI และมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบและรายงานผลกระทบของ AI ด้วยความถูกต้อง ละเอียดอ่อน พร้อมแนวคิดวิพากษ์

10. งานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องรักษาพื้นฐานทางจริยธรรมและเศรษฐกิจในการทำงานร่วมกับองค์กร AI

การเข้าถึงเนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนโดยระบบ AI ควรอยู่ภายใต้ข้อตกลงอย่างเป็นทางการที่รับรองความยั่งยืนของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมระยะยาวของสื่อและนักข่าว เจ้าของระบบ AI ต้องให้เครดิตแหล่งที่มา เคารพสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรมให้แก่เจ้าของสิทธิ์ ซึ่งค่าตอบแทนนี้ต้องถูกส่งต่อไปยังนักข่าวผ่านการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม นอกจากนี้ เจ้าของระบบ AI ต้องเก็บบันทึกที่โปร่งใสและละเอียดของเนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนที่ใช้ในการฝึกอบรมระบบของตน ผู้ถือสิทธิ์ต้องสามารถกำหนดเงื่อนไขการนำเนื้อหาของตนไปใช้โดยระบบ AI ให้เคารพความสมบูรณ์ของข้อมูลและหลักการพื้นฐานของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน ทั้งหมดนี้เพื่อให้มีการออกแบบและใช้ระบบ AI ในลักษณะที่รับประกันข้อมูลคุณภาพสูง มีความหลากหลาย และน่าเชื่อถือ


องค์กรพันธมิตร

ผู้ริเริ่ม:

Reporters Without Borders (RSF)

พันธมิตร:

Asia-Pacific Broadcasting Union (ABU)

Collaboration on International ICT Policy in East and Southern Africa (CIPESA)

Canadian Journalism Foundation (CJF)

Committee to Protect Journalists (CPJ)

DW Akademie

European Federation of Journalists (EFJ)

European Journalism Centre (EJC)

Ethical Journalism Network (EJN)

Free Press Unlimited (FPU)

Global Investigative Journalism Network (GIJN)

Global Forum for Media Development (GFMD)

International Consortium of Investigative Journalists (ICIJ)

International Press Institute (IPI)

Organized Crime and Corruption Reporting Project (OCCRP)

Pulitzer Centre

Thomson Foundation


Digital Enlightenment Series ที่ clazy cafe

สวัสดีครับ วันนี้แอดมินขอนำเนื้อหาสรุปงานแรกของโปรเจ็ค Digital Enlightenment Series ที่ clazy cafe ได้ร่วมมือกับ Cofact โคแฟค กับงาน “เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%”
โดย
คุณฉัตรชัย พุ่มพวง Co-founder เพจพูด
คุณชูเวช เดชดิษฐรักษ์ เจ้าหน้าที่กระบวนกร Actlab
ขอสรุปประเด็นและสาระสำคัญของงานเป็นข้อๆ ให้ชาว Clazy Cafe ทุกๆ ท่านนะครับ

1 “โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)” คือ รูปแบบการสื่อสารที่มีเป้าหมายหลักเพื่อโน้มน้าวให้ผู้รับสารปฏิบัติตามที่ผู้ผลิตสื่อต้องการ เพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งอาจไม่เป็นความจริง ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อนั้น อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด อาจแทรกได้อยู่ทั้งกับสินค้า ธุรกิจ บริการต่างๆ สื่อต่างๆ ไปจนถึงการปลูกฝังทัศนคติ วัฒธรรมและการรับรู้ทางการเมืองด้วย
ลักษณะของโฆษณาชวนเชื่อมีดังนี้ครับ
1

  • สิ่งที่ได้ไม่ตรงปก
  • ไม่เห็นผลตามที่โฆษณาไว้
  • ทำไม่ได้ตามที่หาเสียง
  • มีความจริงแค่บางส่วน
  • พูดให้เข้าใจผิด
  • พูดแต่ด้านดีๆ
    -แฝงแรงจูงใจทางธุรกิจและการเมือง
  • มีอคติ เป็นต้น

2 เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อมีมากถึง 14 แบบ สรุปสั้นๆ คือ

  • การใช้คำขวัญ (Slogans) ใช้คำขวัญสั้น ๆ ที่จำง่าย เพื่อสื่อสารข้อความ
  • การใช้สัญลักษณ์ (Symbols and Imagery) ใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบเพื่อสร้างความเชื่อ
  • เกาะกระแส (Bandwagon) ชักชวนให้ ผู้คนเข้าร่วมกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยม เพื่อสร้างความรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำสิ่งนี้
  • การใช้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง (Card Stacking) นำเสนอข้อมูลที่มีแต่ด้านบวกของฝ่ายตน
  • การกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (Name Calling) ใช้คำที่มีความหมายเชิงลบ เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูแย่
  • การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง (Testimonials) ใช้คำพูดหรือการสนับสนุนจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • การใช้คำพูดที่มีความหมายเชิงบวก (Glittering Generalities)โดยไม่มีรายละเอียด เพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและสนับสนุน
  • การใช้ความหวาดกลัว (Fear) สร้างความกลัวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำตามที่ต้องการ
  • การใช้ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อที่ผิดพลาด
  • การใช้การซ้ำ (Repetition) นำเสนอข้อความเดียวกันซ้ำๆ เพื่อทำให้ข้อความนั้นฝังอยู่ในความคิดของผู้ฟัง
  • การสร้างความเป็นทางเลือกเดียว (False Dilemma) การนำเสนอว่าเหลือเพียงทางเลือกเดียว เพื่อบังคับให้ผู้คนเลือกสิ่งที่ต้องการ
  • การใช้ความเป็นบุคคลธรรมดา (Plain Folks) ทำให้ดูเหมือนว่าข้อความนั้นมาจากบุคคลธรรมดา เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ฟัง
  • การโยกย้ายความหมาย (Transfer) ใช้ความเชื่อหรืออารมณ์ที่เกี่ยวข้องมาสื่อถึงสิ่งอื่นเพื่อสร้างความเชื่อมโยง
  • การทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Scarcity) ชักจูงให้เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมีจำนวนจำกัด เพื่อกระตุ้นความต้องการ

3 องค์ประกอบสำหรับวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อ
การรู้เท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือของการชักจูงผ่านโฆษญาชวนเชื่อทั้งกับตัวเราเองและกับผู้คนรอบๆ ตัว เพราะฉะนั้นเราควรพิจารณาสื่อที่ได้รับ โดยวิเคราะห์องค์ประกอบ ดังนี้
Sender : ผู้จ้างผลิต หรือ ผู้เผยแพร่
Message : เนื้อหาเป็นอย่างไร และใครได้ประโยชน์หรือ ผู้เสียประโยชน์จากเนื้อหาดังกล่าว
Channel : วิธีการรับรู้ + ช่องทาง + เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ (เรารับสารจากช่องทางใด และผู้ผลิตใช้เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อแบบใด)
Receiver : กลุ่มเป้าหมาย + พฤติกรรมที่คาดหวัง + ผลกระทบที่เกิดขึ้น (ใครคือกลุ่มเป้าหมายและผู้ผลิตคาดหวังอะไรและอาจมีผลกระทบอย่างไร)

หากมีข้อสงสัยสามารถคอมเมนต์สอบถามใต้โพสต์นี้ได้เลยนะครับ แอดมินฝากกดไลก์และแชร์บทความนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่คุณห่วงใยนะคร้าบ

ที่มาข้อมูล

https://www.facebook.com/share/p/psaCudDXqxkfE7c4/?mibextid=qi2Omg


มองกระแส ‘เกลียดกลัวอิสลาม’ ลดได้ เริ่มจากแยกแยะระหว่าง‘ศาสนา-ผู้นับถือ’ บวกรู้เท่าทัน ‘สื่อ-ใจตนเอง’

เข้าสู่เดือนกันยายนของทุกปี หนึ่งในเหตุการณ์ที่มีการรำลึกถึงคือ “9/11” ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กลางมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 ซึ่งนอกจากจะนำความสูญเสียของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์นั้นแล้ว ยังทำให้กระแส “เกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia)” เกิดขึ้นและลุกลามไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่หลังจากนั้นอีก 3 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส) ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และทำให้ชาวมุสลิมถูกมองอย่างเหมารวมว่านิยมความรุนแรง

รายการ “Cofact Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2567 ชวนพูดคุยกับ กิติพัฒน์ ชื่นสุขจิตต์ ผู้สื่อข่าวภาคภาษาอังกฤษ จาก Thai PBS World ในประเด็น “Disinfo & Islamophobia: Do facts overcome fear? Then whats else?” กันที่ “มัสยิดฮารูณ” ย่านบางรัก-เจริญกรุง หนึ่งในมัสยิดเก่าแก่ในกรุงเทพฯ

กิติพัฒน์ เริ่มต้นด้วยการเล่าประวัติศาสตร์ของมัสยิดฮารูณ ซึ่งก่อตั้งโดย โต๊ะฮารูณ บาฟาเดน อพยพมาจากดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในยุคที่ยังเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก มีผู้คนบนเกาะต่างๆ บริเวณนั้น เช่น ชวา สุมาตรา อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์เป็นจำนวนมาก มัสยิดหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 (ปี 2371) ในยุคแรกเป็นอาคารไม้ ต่อมาบุตรชายของโต๊ะฮารูณ เห็นว่าอาคารเริ่มทรุดโทรม จึงก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทำจากปูน ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน นี่จึงเป็นหลักฐานว่า ประเทศไทยอยู่กันแบบสงบสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมมาหลายร้อยปีแล้ว

ด้วยความที่มีพื้นเพเป็นมุสลิมและเติบโตในกรุงเทพฯ กิติพัฒน์ เล่าว่า ชีวิตวัยเด็กถือว่าโชคดีที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความเกลียดกลัวอิสลามจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน โดยตั้งแต่ช่วงประถม – ม.ต้น เรียนในโรงเรียนของชาวคริสต์ ขณะที่  ม.ปลาย เรียนที่โรงเรียนวัดของชาวพุทธ แต่สุดท้ายก็มาเจอในช่วงมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียนหลักสูตรนานาชาติ ได้พบกับเพื่อนนักศึกษาจากหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะปฏิกิริยาจากนักศึกษาที่มาจากยุโรป ซึ่งไม่เข้าใจอิสลามและมองว่าอิสลามไม่เป็นมิตร

“สมมติคุณอยู่ที่สนามบิน แล้ววิทยุก็แจ้งเข้ามาว่ามีคนน่าสงสัยเข้ามา ต้องระวัง แล้วขณะเดียวกันก็มีคน 3 คนเดินเข้ามา คนแรกเป็นฝรั่งตะวันตกเดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา คนที่สองหน้าจีนๆ เลย เอเชียเดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา คนที่สามหน้าอาหรับมาเลย มีหนวดเครา เดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา อันนี้คุณจะกลัวใคร? คนที่มีความรู้เท่าทันเรื่องนี้อยู่แล้วเขาก็อาจแยกแยะได้ แต่ต้องยอมรับว่าอีกหลายๆ คนเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจตรงนี้ เขายังติดภาพจำกับมุสลิมหัวรุนแรงที่ถูกสร้างภาพลักษณ์จากข่าวที่มันเผยแพร่ในโลกออนไลน์” กิติพัฒน์ ยกตัวอย่าง

อย่างไรก็ตาม กระแสเกลียดกลัวอิสลามไม่ได้เพิ่งมาเกิดหลังเหตุการณ์ 9/11 แต่สามารถย้อนไปได้ไกลถึงยุค “สงครามครูเสด” ความขัดแย้งระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมเมื่อเกือบ 1,000 ปีก่อน ถึงกระนั้น อยากให้ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “อิสลาม” ที่เป็นชื่อของศาสนา กับคำว่า “มุสลิม” ที่หมายถึงผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่ง “คำสอนในศาสนาอิสลามนั้นดีอยู่แล้ว..แต่ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมทุกคนจะเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าถึงสื่อที่อธิบายในลักษณะนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามถูกนำไปเชื่อมโยงกับความรุนแรง

และแม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีกระแสเกลียดกลัวอิสลามรุนแรงเท่าโลกตะวันตกที่มีประวัติศาสตร์ร่วมตั้งแต่สงครามครูเสดมาจนถึงเหตุการณ์ 9/11 แต่ชาวไทยก็ต้องรู้เท่าทันตนเอง รู้ทันเหตุการณ์ที่จะมากระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก (Trigger) แต่ความท้าทายคือ “แม้จะเป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว..แต่คนก็ยังเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ” สำหรับตนเองในฐานะคนทำงานสื่อ ทำได้เพียงทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยการค้นหาข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ เป็นเรื่องน่ายินดีที่โคแฟคเข้าไปทำงานกับชุมชนมากขึ้น เพื่อให้การรู้เท่าทันสื่อลงไปถึงระดับชาวบ้าน ที่เข้าไม่ถึงข้อมูลขาวสารที่ถูกตรวจสอบแล้ว” 

หนึ่งในตัวอย่างข่าวลือ-ข่าวลวง ที่เกี่ยวข้องกับกระแสหวาดกลัวอิสลามในประเทศไทย คือ “ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการแชร์ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ นับถือศาสนาอิสลาม แล้วกลายเป็นกระแสขึ้นมา” ซึ่งเรื่องนี้มุมหนึ่งเข้าใจได้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยอยากได้ผู้นำประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ แต่อีกมุมหนึ่ง ชาวพุทธและชาวมุสลิมในประวัติศาสตร์ไทย อยู่ร่วมกันมายาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุรัตนโกสินทร์ อีกทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยก็ไม่เคยมีนโยบายกีดกันชาวมุสลิม 

“ในมุมสื่อมวลชน เราก็อยากเห็นสังคมไทยมีการรู้เท่าทันสื่อที่มากขึ้น เราต้องทำต่อไป ให้เขารู้ต่อๆ ไปเรื่อยๆ ในข้อมูลเดิมๆ ที่เราอยากจะให้เขารู้ ผมค่อนข้างเปิดกว้างมากในการรับฟังข้อมูลของทุกคน เวลาผมไปสัมภาษณ์ คนที่ไม่ชอบมุสลิมก็มี ผมก็ไม่ได้เกลียดเขานะ เพราะในฐานะสื่อมวลชน เราเปิดใจฟังทุกคนอยู่แล้ว ทุกคนมีความคิดของเขาอยู่แล้ว อย่างมีกลุ่มพุทธที่เขาไม่เอาอิสลามเลย ก็เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นมุสลิม เราก็เปิดใจฟังสิ่งที่เขาคิด ในขณะที่เราก็ต้องนำเสนอความจริงต่อไปแม้ว่าเขาจะมีอคติ ซึ่งผมบอกว่าต่อให้เป็นมุสลิมก็ไม่แปลกอะไร เพราะมุสลิมที่เป็นระดับผู้นำในสยาม ก็มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชแล้ว” กิติพัฒน์ กล่าว

กิติพัฒน์ ย้ำว่า “มุสลิมอยู่ในสังคมไทยมาตลอดและไม่เคยมีการแบ่งแยก แต่เกิดจากกลุ่มที่มีแนวคิดเกลียดและกลัวอิสลาม เข้าใจว่ามาจากความกลัว เช่น กลัวว่าประเทศไทยจะหันไปใช้ระบบกฎหมายชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม) หรือมีภาพจำผูกติดระหว่างศาสนาอิสลามกับกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง อาทิ อัลกออิดะห์ ฮิสบอลเลาะห์ ไอซิส กลุ่มเหล่านี้สามารถถูกยกขึ้นมาปั่นกระแสเกลียดกลัวอิสลามได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องย้ำเรื่องการแยกแยะระหว่างศาสนาอิสลามกับชาวมุสลิม”

นอกจากนั้นต้องรู้เท่าทันผู้เผยแพร่ข้อมูลแต่ละแหล่งด้วยว่ามีแนวคิดอย่างไร เช่น การทำข่าวความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะสามารถสัมภาษณ์นักวิชาการฝั่งใดฝั่งหนึ่งเพียงฝั่งเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการบอกเล่าเพียงด้านเดียว (One Sided Story) และทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เพราะข่าวที่เกี่ยวกับความขัดแย้งควรต้องถูกทำให้รอบด้านและกลมกล่อมในเรื่องเดียว  หรือหากทำให้รอบด้านในเรื่องเดียวไม่ได้ก็ต้องทำอีกเรื่องเสริมขึ้นมาเพื่ออธิบายเพิ่มเติม การพูดคุยกับคนก็เช่นกัน เมื่อเรารู้ว่าคนที่เราคุยด้วยมีแนวคิดอย่างไรแล้ว เราก็ควรที่จะอยากจะรู้ข้อมูลในอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไปด้วย หรือก็คือการรู้จักรับข้อมูลให้รอบด้าน 

หรือแม้แต่สื่อมวลชน จะบอกว่าสื่อเป็นกลางทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะสื่อเลือกข้างก็มีอยู่ ซึ่งไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก เพราะแต่ละสื่อมีอิสระในการเลือกทำสื่อของตนเอง จึงต้องอยู่ที่ผู้รับสารที่จะต้องรู้ว่าสื่อสำนักไหนมีแนวคิดแบบใด “ปัญหาคือ ผู้รับสารมักเชื่อแต่สื่อที่นำเสนอในตนเองอยากฟัง โดยไม่คิดจะเข้าไปหาข้อมูลอีกด้านหนึ่ง” จึงอยากเน้นย้ำความสำคัญเรื่องของการมองให้รอบด้าน ซึ่งในทางกลับกันในหมู่ชาวมุสลิมก็มีกลุ่มที่เกลียดกลัวโลกตะวันตกอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน”

“อัลกอริทึมของสื่อสังคมออนไลน์ ยังทำให้ผู้คนติดกับดักห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” หมายถึงปรากฏการณ์ของห้องที่เมื่อเราอยู่ในนั้นแล้วพูดอะไรออกไปก็จะได้ยินสิ่งที่พูดสะท้อนกลับมา ก็เหมือนกับการข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ ที่แต่ละแพลตฟอร์มจะมีอัลกอริทึมคอยจดจำว่าเราค้นหาหรืออยากรู้เรื่องอะไร แล้วนำเสนอสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องจนเราเชื่อว่าสิ่งนั้นจริงหรือถูกต้องแล้ว “แต่ปรากฏการณ์นี้ก็สามารถเกิดได้จากสังคมออฟไลน์เช่นกัน” หากเลือกพูดคุยเฉพาะแต่กับคนที่คิดเหมือนกันเท่านั้น

หมายเหตุ : ยังมีการสนทนาที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1049142393290054/?locale=th_TH


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 กันยายน 2567

ธ.ออมสินออกสินเชื่อใหม่ จะได้รับเชิญผ่านแอป mymo เท่านั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/101yvja1qf1nr


คณะกรรมการ ป.ป.ง. เร่งออกกฎหมายใหม่ คืนเงินจากแก๊งคอลเซนเตอร์ ติดต่อขอเงินคืนผ่านเฟซบุ๊ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2h3600jzkb9n


กินวิตามินซีพร้อมกุ้ง ทำให้ตายเฉียบพลันจากสารหนู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/353wsveouiq58


CDS ผสมกับน้ำเกลือ 50cc ใช้หยอดตา ช่วยทำให้ฝ้าขาวในตาหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1sntzg8uy7ipz


พอกผิวด้วยฟักทอง ช่วยบำรุงให้ผิวขาวขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3u9k7286hr7eb


การทดสอบ PCR เป็นการสร้างความเสียหายต่อสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1bf20ha11coep


แนะนำเจ้าหน้าที่ให้บริการด้านการลงทุน SET THAILAND รับรองโดย ก.ล.ต….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/qfk4aj7qdxs1


งดการเข้าเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนชั่วคราว เนื่องจากน้ำท่วมหนัก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2nifv1glpzp4o


ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ghclnzlrvu7v


มีคลิปเสียงที่ออกมาพูดว่า มิจฉาชีพมาในรูปแบบของ Tiktok ที่สามารถดูดเงินเราได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3igvzlb5g89q8


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7กันยายน 2567

งดใช้ตู้ ATM ที่ไม่มีไฟกะพริบตรงที่เสียบบัตร เสี่ยงโดนแฮกข้อมูล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ql2xar7ybn47


ส้มโออันตราย ทำให้เกือบเสียชีวิตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ju2wochuer05


เตือนภัยประชาชนเตรียมรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักตอนบน จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากมีฝนตกหนักนานต่อเนื่อง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qv41kpnb88yf


 ตักอุจจาระแมวโดยไม่สวมถุงมือ เสี่ยงเป็นฝีในสมอง

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/14r4hwi3gtwff


คนไทยจะได้ใช้ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่านมือถือในปี 2568

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kxi3atfftm9d


จีนตรวจพบทุเรียนไทยปนเปื้อนแคดเมียม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l24wdrmkfudb


การรถไฟฯ ปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึง 15 ก.พ. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3g3u37s88a6ac


ไอ เจ็บคอ เป็นไข้ หายได้ด้วยการประคบเย็น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dins9c4eknwe


เข้าใจ‘การทำงานของสมอง’ รู้ทัน‘อคติทางความคิด’ ปรับวิธี‘ฟัง-พูด’ลดอุณหภูมิความรุนแรงด้วยสื่อสารสร้างสันติ

1 ก.ย. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับเพจเฟซบุ๊ก “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ”และ Clazy Cafe’ จัดกิจกรรมอบรม Workshop “ไขปริศนาสมอง: รู้ทันกลไกความคิด พิชิตการสื่อสาร”ณ ห้อง Connext A ชั้น 3 อาคาร The Season Mallสนามเป้า กรุงเทพฯ ชวนทำความเข้าใจการทำงานของสมอง ซึ่งมีผลต่อคำพูดและการกระทำที่แสดงออกของตัวเราว่าจะนำไปสู่การสื่อสารที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือช่วยสร้างสันติ โดยคณะวิทยากรจากเพจ “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ” ซึ่งมีทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และนักกิจกรรมที่สนใจประเด็นด้านสุขภาพจิต

บทเรียนแรก คือ การทำงานของระบบประสาท1.การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส (Sensory) 2.การประมวลผลของสมอง (Process หรือ Integrate) และ 3.การแสดงออกหรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งก็คล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่มีการป้อนข้อมูล (Input) ประมวลผล (Process) และออกมาเป็นผลลัพธ์ (Output)

แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ คือ มีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้การตีความ (Perception) ของสมองต่อสิ่งที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้มาผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง โดยสมองมีการทำงานที่เรียกว่า การประมวลผลจากบนลงล่าง (Top-Down Process)” หมายถึง สมองมีชุดข้อมูลบางอย่างเตรียมไว้แล้วว่าจะตีความสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างไร ซึ่งช่วยให้การทำงานของสมองรวดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง โดยชุดข้อมูลที่สมองเตรียมไว้ล่วงหน้านั้นก็มาจาก ประสบการณ์ ที่แต่ละคนที่พบเจอมาในชีวิต หรือ ความเชื่อ-คุณค่า ที่คนนั้นยึดถือ

และเมื่อดูโครงสร้างการทำงานของสมองมนุษย์พบว่าส่วนใหญ่อยู่กับ ระบบอัตโนมัติ คือ สมองของสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Brain) เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ กับสมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้มนุษย์ตัดสินใจได้รวดเร็วในสถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตรอด ในขณะที่สมองอีก 1 ส่วนที่เหลือ คือ สมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex Brain) เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ ซึ่งสมองสวนนี้ก็ยังทำงานผิดพลาดได้ 

ดังนั้น มนุษย์ก็ต้องรู้เท่าทันว่าตนเองกำลังรับรู้และกำลังคิดอะไร (Metacognition)” หมายถึงการตั้งสติ ถอยกลับมามองการทำงานของสมองว่าเหตุใดเราจึงคิดหรือเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือ อคติเชิงความคิด (Cognitive Bias)” ที่มีเป็นจำนวนมาก โดยในกิจกรรมนี้ยกตัวอย่างมาเพียงบางรูปแบบที่พบได้บ่อยๆ คือ 1.มองอะไรแบบสุดโต่งไม่มีตรงกลาง (Black & White หรือ  All or Nothing Thinking) เช่น คำพูดว่า หากไม่ทำให้ดีที่สุดก็อย่าทำเสียเลยดีกว่า หรือหากสอบเข้าคณะนี้ไม่ได้ชีวิตก็หมดความหมาย เป็นต้น

2.เหมารวม (Over Generalization) เช่น อกหักจากคนคนหนึ่งแล้วก็บอกว่าชาตินี้คงไม่มีใครมารักมาชอบตนเองอีกแล้ว หรือเห็นคนไทยคนหนึ่งแซงคิวก็สรุปเอาว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ไร้ระเบียบวินัย3.เลือกมองเพียงบางสิ่งจนละเลยภาพรวม (Mental Filter) เช่น แม้ผลการเรียนในภาพรวมจะอยู่ในเกณฑ์ดีมากแต่จิตใจก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับ 1-2 วิชาที่ไม่ได้เกรด A จนรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า หรือไปพูดต่อหน้าคนหมู่มาก แม้ผู้ฟังส่วนใหญ่จะตั้งใจฟังแต่ใจก็ไปจดจ่ออยู่กับคนเพียง 1-2 คนที่นั่งหลับ แล้วก็คิดว่าตนเองนำเสนอได้ไม่ดี

4.บิดเนื้อหาจากเชิงบวกหรือกลางๆ เป็นเชิงลบ (Disqualify Positive) เช่น วันหนึ่งจำเป็นต้องลางาน มีเพื่อนร่วมงานโทรศัพท์มาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คิดไปว่าคงแค่ถามไปตามหน้าที่ ไม่มีใครห่วงใยตัวเราจริงๆ 5.ขยายความเรื่องราวให้ใหญ่เกินจริง (Magnification) หรือตื่นตระหนกวิตกกังวลมากเกินไป เช่น มีผื่นขึ้นที่แขนได้เพียง 3 วัน ก็คิดไปก่อนแล้วว่าต้องเป็นโรคมะเร็งผิวหนังแน่ๆ

6.มองเรื่องราวเล็กกว่าความเป็นจริง (Minimization) ซึ่งตรงกันข้ามกับ Magnificationโดยการคิดแบบ Minimization นี้มักพบในผู้ที่มีปัญหาการใช้ยาเสพติด เช่น คิดว่าใช้แค่นิดเดียวไม่เห็นเป็นอะไร แต่ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดซ้ำๆ 7.คิดไปเองราวกับสามารถอ่านใจคนอื่นได้ (Mind Reading) เช่น ส่งข้อความในกลุ่มไลน์แล้วไม่มีคนตอบก็คิดว่าคนอื่นๆ คงรำคาญตนเอง หรือนั่งเรียนอยู่แล้วอาจารย์มองหน้าก็คิดไปว่าอาจารย์คงกำลังดูถูกว่าเราโง่แน่ๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดกับเราแบบนั้นจริงหรือไม่แต่ก็ตัดสินไปแล้ว

8.คาดเดาไปก่อนว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ (Fortune Telling) เช่น เชื่อมั่นว่าหาเอาเงินไปซื้อล็อตเตอรี่งวดนี้จะได้รวยเป็นเศรษฐีแน่นอน หรือเข้าไปเรียนได้เพียงวันแรกก็คิดแล้วว่าตนเองไม่มีทางเรียนจบ ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง Fortune Telling กับ Mind Readingคืออย่างแรกเป็นการด่วนสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ ส่วนอย่างหลังเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 

และ 9.ใช้อารมณ์นำก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลมารองรับ (Emotional Reasoning) เช่น ใจอยากได้สิ่งของสักอย่างหนึ่งแล้วสมองค่อยหาเหตุผลต่างๆ นานา ทำให้ตนเองเชื่อว่าจำเป็นต้องซื้อสิ่งนั้น หรือมองคนหนึ่งว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ เพราะคนนั้นเคยทำให้ตนเองโกรธ ทั้งนี้ ต้องย้ำว่า “Cognitive Bias หรืออคติเชิงความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดี แต่ต้องมีให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์” เพราะการทำงานของ Cognitive Bias นั่นเกี่ยวข้องกับการเอาชีวิตรอด เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

การฝึกตนเองให้รู้เท่าทันความคิดเพื่อลดการตัดสินใจแบบมีอคติหรือด่วนสรุป สามารถสรุปเป็น 4 ข้อ ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ “F.A.S.T.ประกอบด้วย 1.Fact เรื่องที่คิดอยู่นั้นตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่? 2.Alternative เรื่องที่คิดอยู่นั้นมองได้เพียงด้านเดียว หรือยังมองในแง่มุมอื่นๆ ได้อีก? 3.So What เรื่องที่คิดอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือไม่? และ 4.Toll เรื่องที่คิดอยู่นั้นจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? 

บทเรียนต่อมาคือ การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)” หรือการฟังอย่างใส่ใจ โดยวิทยากรสรุป 4 เรื่องที่คนเรามักเผลอคิด-เผลอทำขณะฟัได้แก่ 1.เผลอแนะนำ หลายคนฟังแล้วก็เผลอคิดไปตามประสบการณ์ของตนเองแล้วก็แนะนำว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง 2.เผลอถามแทรก จริงอยู่ที่เราฟังแล้วก็อยากถามเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ก็ต้องดูจังหวะให้ดีเพราะบางทีอีกฝ่ายกำลังจะพูดอยู่แล้วแต่เราไปถามแทรกเสียก่อน อาจทำให้ข้อมูลที่จะได้รับบิดเบี้ยวไป หรืออีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าเราไม่ตั้งใจฟังก็ได้ 

3.เผลอแย่งซี เช่น มีคนกำลังเล่าเรื่องๆ หนึ่ง แต่มีคนอื่นๆ พูดขึ้นมาว่าเหมือนกัน ทำให้คนที่อยากจะสื่อสารไม่ได้สื่อสาร และคนที่อยากรู้ข้อมูลที่คนนั้นจะเล่าก็ไม่ได้รู้ และ 4.เผลอด่วนตัดสิน เพราะ Cognitive Bias ทำให้เราด่วนสรุปไปว่าเรื่องมันต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน โดยทั้ง 4 ข้อนี้ ทำแล้วอาจส่งผลต่อการรับรู้ที่ผิดพลาด นั่นหมายถึงเสียตั้งแต่สมองรับข้อมูลเข้ามาแล้ว ซึ่งส่งผลต่อการประมวลผลหรือตีความ

และบทเรียนที่ 3 ซึ่งเป็นบทเรียนสุดท้ายของกิจกรรมในครั้งนี้คือ การสื่อสารเพื่อสร้างสันติหรือสื่อสารอย่างไรจะลดบรรยากาศที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง โดยเริ่มจากยกตัวอย่างคำพูดที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ เช่น หัวหน้าบอกลูกน้องว่า คุณทำงานผิดตลอด แก้อีกก็ผิดอีก อย่างนี้เมื่อไรจะเสร็จ ทำไมไม่ดูแผนกอื่นเขาบ้าง ทำให้ดีกว่านี้หน่อย ซึ่งพูดแบบนี้ไปลูกน้องก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตนเองทำผิดตรงไหนและควรแก้ไขอย่างไรให้ถูก

แต่หากหัวหน้าเปลี่ยนวิธีการพูดโดย 1.สังเกตเช่น บอกลูกน้องว่า ผมเห็นคุณแก้งานบ่อยๆ” โดยที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำในเชิงต่อว่าด่าทอ 2.บอกความรู้สึก เช่น บอกว่า “ผมกังวล แล้วก็อธิบายว่าที่กังวลก็เพราะกลัวงานจะเสร็จไม่ทันกำหนด3.บอกความต้องการ เช่น บอกว่า ผมต้องการให้คุณได้รับการสนับสนุน แทนการใช้ถ้อยคำทำนองชี้นิ้วสั่ง และ 4.ร้องขอ เช่น ในกรณีที่ยังไม่รู้ว่าลูกน้องได้ลองแก้ไขมาแล้วกี่วิธี-อะไรบ้าง หัวหน้าอาจบอกว่า ถ้ามีปัญหาอะไรอยากให้ช่วย ผมอยากให้คุณบอกได้เลยนะ เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาทางออก เป็นต้น

 จากการอบรมครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าแม้เราจะได้รับข้อมูลมาเพียงพอและรู้เท่าทันความคิดของตนเองแล้วก็ตาม  แต่หากสื่อสารไม่ถูกย่อมไม่ก่อเกิดประโยชน์กับตนเองและคนรอบข้าง  

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-