สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568

พบฝุ่นแม่เหล็กจาก Chemtrail ในสิ่งแวดล้อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ddbu81zlvm9w


เม็ดสีน้ำตาลเล็กๆ ในไข่ไก่ อันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5u5do9ls5tsr


แก็งมิจฉาชีพ พันผ้าผสมยาสลบ ที่กระจกรถยนต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zumz8mha9115


ปอกเปลือกว่านหางจระเข้แช่แข็งไว้ ใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ช่วยให้ริดสีดวงหดและฝ่อ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1aqpxa2vksgv3


พบเฮลิคอปเตอร์ยกรถบรรทุกขนส่งน้ำมันจากฝั่งไทยข้ามไปยังเมียวดี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1j6raibgjguwb


 ปิดอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ฯ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2u86z9qz2zxv2


 รถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย คมนาคม ยืนยัน ประกาศใช้เดือน ก.ย. นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/338j67y5nfrkl


   ชาวเมียนมาข้ามมาเติมน้ำมันฝั่งไทยจำนวนมาก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1gb4vgyhrkd0


 รถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย เปิดนั่งฟรี 1 เดือน เริ่มปลายเดือน มิ.ย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1c2r7qz18youk


 เตรียมประกาศเข้าฤดูร้อน 28 ก.พ.นี้ คาดบางพื้นที่ทะลุ 42 องศา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3k1yliae1hkmb


 ทันตแพทย์ – นักวิชาการ ยืนยัน “หนอนกินฟัน” ไม่มีจริง อย่าเชื่อ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/jq7xd953bf00



รายงานพิเศษ: แนวทางการสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพในการพูดและมาตรฐานความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในโลกออนไลน์ด้วยการกลั่นกรองเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค 

งานศึกษาของนีโอโมเมนตัม พบโลกโซเชียลท็อกซิกมากขึ้นหลังเลือกตั้งปี 66

โคแฟคชวนอ่านสรุปรายงานวิจัยล่าสุด1 ที่ร่วมจัดทำโดยนีโอ โมเมนตัม (Neo Momentum)2 โครงการติดตามและวิเคราะห์กระบวนการเลือกตั้งในโซเชียลมีเดีย (DEAL)3 และโคแฟค ซึ่งได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียสองช่วง คือระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 15 มิถุนายน 2566 และ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 สิงหาคม 2567 โดยได้ศึกษาพฤติกรรมการสื่อสาร เนื้อหาและเครือข่ายของบัญชีผู้ใช้งานทางการใน X (หรือ Twitter ในอดีต) และ Facebook ของพรรคการเมือง 67 พรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บุคคลสาธารณะ รวมทั้งสื่อมวลชนหลายสำนัก โดยนำมาเปรียบเทียบการสื่อสารทางการเมืองช่วงระหว่างและหลังการเลือกตั้งทั่วไปของไทยปี 2566

ทั้งนี้ เพื่อทบทวนดูมาตรฐานชุมชนแพลตฟอร์มว่ามีความเข้มข้น และมีช่องว่างในการกลั่นกรองเนื้อหาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการพูดและความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของผู้ใช้งานมากน้อยและแตกต่างกันอย่างไรในช่วงเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งปี 2566 และ เพื่อสำรวจแนวทางที่เป็นไปได้ในการกำกับดูแลเนื้อหาออนไลน์ที่เหมาะสมหรือการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม รวมถึงบทบาทของสื่อในการส่งเสริมการสื่อสารออนไลน์ที่อิงข้อเท็จจริงและปราศจากความรุนแรง ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาสมดุลของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จนมาถึงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เรายังเห็นพลวัตของการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ของการใช้พื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ในการสื่อสารทางการเมืองเพื่อปลูกฝังการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีคุณภาพในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไม่มากพอ

ปริมาณของข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน รวมทั้งคำพูดที่แสดงความเกลียดชัง (hate speech) ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังมีความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นจากการนำเทคโลโลยีปัญญาประดิษฐ์ล่าสุด Generative AI มาใช้ในการกระบวนการผลิตและเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไม่รับผิดชอบ และการที่แพลตฟอร์มค่อย ๆ ลดความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหักล้างข้อมูลเท็จลงไปเรื่อย ๆ

การเลือกตั้ง อบจ. ได้ตอกย้ำให้เราเห็นถึงวัฒนธรรมการสื่อสารทางการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนของการใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนรวมถึงการใช้ hate speech เพื่อทำลายคู่ต่อสู้ โดยผู้ที่สร้างข้อมูลเท็จมิได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อความสุจริตของการเลือกตั้งและความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยที่ยังหาทางออกไม่ได้

แพลตฟอร์มยังคงถูกใช้เป็นพื้นที่สื่อสารทางการเมืองที่สำคัญ แต่ขาดการกลั่นกรองเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้พื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและขาดความน่าเชื่อถือ

คำนิยาม

Hate Speech

คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง แบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับที่ 1 การด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่นสติปัญญา ดูถูกเหยียดหยาม และการสร้างความเป็นอื่น ระดับที่ 2 การคุกคาม ข่มขู่ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว การเรียกร้องให้บังคับใช้กฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก ระดับที่ 3 การเหมารวม การแปะป้าย การลดทอนคุณค่า การดูถูกเหยียดหยาม การทำให้เป็นปีศาจ ระดับที่ 4 การแบ่งแยก กีดกัน การปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม ระดับที่ 5 การยุยง สนับสนุน เรียกร้องให้เกิดความรุนแรง ยกย่องผู้ก่อความรุนแรง ให้ความชอบธรรมกับการก่อความรุนแรง

Malinformation

หมายถึง การบิดเบือนข้อมูลที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง แต่ถูกนำมาใช้ในบริบทที่ผิดหรือแฝงเจตนาที่ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าในผิด มีเจตนาเพื่อก่อให้เกิดอันตราย ทำลายชื่อเสียง โจมตีความคิด บุคคล องค์กร หรือประเทศ ฯลฯ

AI Deepfake

หมายถึง การใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) สร้างเนื้อหาสื่อ เช่น ข้อความ รูปภาพ คลิปเสียง วิดีโอปลอมของบุคคล โดยมีเจตนาเพื่อหลอกลวง

แนวโน้มสำคัญ: การสื่อสารทางการเมืองในโซเชียลมีเดียช่วงระหว่างและหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566

  • ภายหลังการเลือกตั้งฯ ปฏิบัติการปั่นข้อมูลข่าวสาร (influence operation) ในโลกออนไลน์ก็ยังเข้มข้น และเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากช่วงการเลือกตั้งที่อาจจะมุ่งเน้นแค่โน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มาสู่การโจมตีบุคคล การสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดี และการทำลายความเชื่อถือของพรรคการเมืองและนักการเมือง เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (Doxing) และการออกมาแฉ (Call-out tactics) ในหลายกรณี กลวิธีเหล่านี้ได้พัฒนาไปสู่การบิดเบือนข้อเท็จจริงในลักษณะ malinformation รวมถึงการใช้ทฤษฎีสมคบคิด เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากแพลตฟอร์ม และทำให้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำได้ยากมากยิ่งขึ้น
  • Facebookและ X ยังคงเป็นพื้นที่สื่อสารทางการเมืองที่เข้มข้นในแต่ละช่วงของเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเลือกตั้งปี 2566 เป็นต้นมา เป้าหมายการโจมตีฝ่ายตรงข้ามมุ่งไปที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาลชุดปัจจุบัน และนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคฯ ทั้งนายเศรษฐา ทวีสินและนางสาวแพทองธาร ชินวัตร รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร บิดาของนางสาวแพทองธาร และผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งกลับมามีบทบาทสำคัญทางการเมืองอีกครั้งภายหลังจากที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและมีผลประโยชนทับซ้อนขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง
  • พรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกลเดิม ซึ่งได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งแต่ได้เป็นแกนนำฝ่ายค้านภายหลังจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากไม่สำเร็จและถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคปมเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา112 ว่าด้วยการหมิ่นพระมหากษัตริย์ในเวลาต่อมา  ยังคงเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังและใหญ่ที่สุดทั้งในแง่ที่ถูกพูดถึงและเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน

จากการกวาดข้อมูลช่วงการเลือกตั้ง (โดยใช้ licensed third-party platforms) ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ 1 เมษายน 2566 – 15 มิถุนายน 2566 จำนวน 6,333,778 ข้อความ จาก 73,189 บัญชี โดยแบ่งออกตามแพลตฟอร์ม ได้แก่

  • X จำนวน 6,225,197 ข้อความ จาก 65,925 บัญชี
  • Facebook จำนวน 108,581 ข้อความ จาก 7,264 บัญชี

ข้อมูลหลังการเลือกตั้ง ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 – 31 สิงหาคม 2567 จำนวน 1,348,641 ข้อความ จาก 674,103 บัญชี โดยแบ่งออกตามแพลตฟอร์มได้แก่

  • X จำนวน 1,297,450 ข้อความ จาก 666,380 บัญชี
  • Facebook จำนวน 51,191 ข้อความ จาก 7,723 บัญชี
กราฟแสดงข้อมูลดิบและข้อมูลที่ทำความสะอาดแล้ว

โดยการกลั่นกรองเนื้อหาร่วมกันระหว่าง AI GPT Model และผู้เขี่ยวชาญในการจำแนก แปะป้ายข้อความ (labelling) และวิเคราะห์ภาษาร่วมกัน พบว่า

  • ข้อความที่มีมูลความจริงแต่แฝงเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด (malinformation) และคำพูดที่แสดงความเกลียดชัง (hate speech) เพิ่มมากขึ้นในFacebookภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 โดย malinformation เพิ่มจาก 2.2% เป็น 4% และ hate speech เพิ่มจาก 0.59% เป็น  3.52% ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกลวิธีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงไปเป็นการโจมตีสถาบันการเมืองต่าง ๆ และการด้อยค่านักการเมืองให้เป็นปีศาจ จากเดิมที่เน้นการสื่อสารนโยบายพรรคและผู้สมัคร สส. ในช่วงการเลือกตั้ง
  • สำหรับใน X พบ hate speech เพิ่มขึ้นจาก 12.1% เป็น 12.72% ส่วน malinformation ลดลงเหลือ 4.16% จาก 8.14% สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของผู้ใช้งานใน X ว่าเมื่อการเลือกตั้งผ่านไป ความสนใจในประเด็นสาธารณะก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น ประกอบกับการเก็บและคัดแยกข้อมูลหลังการเลือกตั้งที่แตกต่างไปจากเดิม อาจส่งผลต่อสถิติที่ออกมาด้วยเช่นกัน
  • ปริมาณข้อความ hate speech ใน X มีสัดส่วนที่สูงกว่าในFacebookและมีระดับความรุนแรงสูงกว่า โดยมีข้อความรุนแรงระดับ 5 อยู่บ้าง ส่วนในFacebookไม่มีข้อความระดับ 5 เลย สะท้อนลักษณะการสนทนาในFacebookที่เน้นการให้ข้อมูล (informative) การอภิปรายเนื้อหาในประเด็นต่าง ๆ  โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายในประเด็นการบริหารงานของรัฐบาล ความล้มเหลวของระบบราชการ ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ลักษณะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใช้งานFacebookมักให้ความสำคัญกับการสนทนาเชิงข้อมูลมากกว่า ในทางกลับกัน X มีลักษณะการสนทนาที่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น (expressive/emotive) โดยมีการใช้ถ้อยคำรุนแรง การแสดงออกถึงความเป็นศัตรู และการโจมตีเชิงดูถูกอย่างชัดเจน ข้อความที่ปรากฏบน X มักสะท้อนถึงการเผชิญหน้าระหว่างผู้ใช้งานและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ มากกว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างสร้างสรรค์
กราฟแสดงสัดส่วนของข้อความจำแนกตามประเภทช่วงการเลือกตั้งใน Facebook และ X
กราฟแสดงสัดส่วนของข้อความจำแนกตามประเภทหลังการเลือกตั้งใน Facebook และ X

เนื้อหาที่เป็น AI deepfake พบในวงจำกัด ทั้งในช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง ส่วนใหญ่เป็นการสร้างภาพจากเทคโนโลยี AI-generated images ในการรณรงค์หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อดึงดูดความสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในเรื่องทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ อีกหนึ่งรูปแบบที่พบได้บ่อยคือการ์ตูนล้อการเมือง หรือ editorial cartoons ซึ่งใช้เพื่อสะท้อนความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางการเมืองในลักษณะที่สร้างสรรค์และเข้าถึงง่าย สื่อในรูปแบบนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญมากกว่าเนื้อหาที่ใช้เทคโนโลยี AI deepfake โดยตรง การใช้งาน deepfake ที่ยังไม่แพร่หลายในบริบทนี้

การวิเคราะห์บทสนทนาออนไลน์ในช่วงหลังการเลือกตั้ง โดยใช้เทคนิค Topic Modeling เผยให้เห็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงความสนใจและความคิดเห็นของผู้ใช้งานในบริบททางการเมืองและสังคม ประเด็นที่พบ ได้แก่

  • การด่ากันของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์และความแตกแยกในระดับกลุ่ม
  • การวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มอนุรักษนิยม หรือ establishment ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทและแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มดังกล่าว
  • การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามที่พบในบทสนทนา โดยเฉพาะในรูปแบบของ malinformation ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของการสื่อสารในพื้นที่ออนไลน์
  • การโจมตีผู้นำทางการเมืองและนักการเมือง ซึ่งครอบคลุมทุกพรรคการเมือง รวมถึงการตั้งคำถามต่อสถาบันทางการเมือง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจในระบบการเมืองในปัจจุบัน
  • การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลและการจัดสรรทรัพยากรเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณและการกระจายทรัพยากร ทั้งนี้ บางหัวข้อยังมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น การแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 การพักโทษอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายปี 2567 เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการสะท้อนประเด็นทางการเมืองในโลกออนไลน์ซึ่งเชื่อมโยงกับสภาพการณ์ในโลกจริง
  • ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระดับนานาชาติ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และอิทธิพลของจีนในภูมิภาค เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงการรับรู้และถกเถียงในประเด็นที่กว้างไกลกว่าเพียงแค่การเมืองภายในประเทศ

สำหรับการวิเคราะห์เครือข่ายบัญชีในโซเชียลมีเดีย (Social Network Analysis) พบเครือข่ายของพรรคการเมืองหลัก 4 พรรค ที่ปรากฏในระบบนิเวศออนไลน์ในช่วงการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งของไทย ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ  ยังคงมีลักษณการเกาะกลุ่มในลักษณะเดิม โดยพรรคก้าวไกลซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชนยังคงเป็นเครือข่ายที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุด แม้ว่าในภาพรวม เครือข่ายของทุกพรรคจะมีขนาดเล็กลงภายหลังการเลือกตั้ง สืบเนื่องจากความถี่ในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบัญชีเครือข่ายน้อยลง โดยมีบางบัญชีอาจเปลี่ยนชื่อไป บ้างก็ไปสนใจประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง หรือบัญชีถูกปิดลงหรืออาจถูกลบไปก่อนหน้าโดยแพลตฟอร์ม

เครือข่ายบัญชีในFacebookช่วงการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง
เครือข่ายบัญชีใน X ช่วงการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง

สรุปช่องว่างการบังคับใช้มาตรฐานชุมชนของ Meta, Google และ X

โครงการวิจัยฯ ได้หยิบเฉพาะกฎชุมชนที่เกี่ยวข้องกับข่าวลวงและ hate speech ในช่วงเลือกตั้งปี 2566 และหลังการเลือกตั้ง (ฉบับที่ใช้วิเคราะห์ของทุกแฟลตฟอร์มคือเข้าถึงในวันที่ 18 กรกฎาคม 2567) ซึ่งพบว่า

  • Meta (Facebook, Instagram) และ Google (YouTube) มีกฎชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการบิดเบือนเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งชัดเจนและใส่ใจเกี่ยวกับการควบคุมและปิดกั้นเนื้อหาข่าวลวงและเนื้อหาบิดเบือนเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากที่สุด  โดยมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเนื้อหา โดยเฉพาะ YouTube มีการระบุอย่างชัดเจนถึงมาตรการลงโทษผู้ที่โพสต์เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หากผิดตามกฎชุมชนจริง จะมีมาตรการลงโทษเริ่มจากการตักเตือน ปิดช่องชั่วคราว ไปจนถึงการปิดช่องถาวร
  • Meta และ X ให้ความสำคัญต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ใช้วิธีการติดฉลากข้อความที่บิดเบือนหรือเป็นอันตราย แต่ไม่เน้นการเอาข้อความออกทันทีหากไม่เป็นอันตรายร้ายแรง คือการยุยงให้ใช้ความรุนแรงหรือมุ่งหมายเอาชีวิต ทำให้ข้อความที่บิดเบือนหรือเป็นอันตรายยังคงอยู่ในระบบและมีการแพร่กระจายต่อไปได้
  • Facebook เน้นการจัดการกับข้อความ hate speech ที่เป็นอันตรายทางกายภาพในช่วงการเลือกตั้งเป็นหลัก ทำให้ข้อความที่เป็น hate speech ที่ไม่ถึงขั้นรุนแรงระดับ 5 ยังคงอยู่ในระบบ
  • มาตรการของ X ในการลดการมองเห็นมีข้อจำกัด โดยการปรับอัลกอริทึมเพื่อลดการมองเห็นของข้อความที่เป็นอันตราย อาจไม่ช่วยลดการแพร่กระจายของข้อความนั้น หากผู้ใช้งานที่สนใจค้นหาข้อความนั้นเจอ
  • การตอบสนองและการดำเนินการต่อเนื้อหาที่มีการร้องเรียนที่ล่าช้าของ Facebook เนื่องจากมีกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาล่าช้า ทำให้ข้อความเหล่านั้นยังคงอยู่ในระบบและแพร่กระจายไปได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่อ่อนไหว

ข้อสังเกตของทีมวิจัยเรื่อง hate speech และ malinformation

Hate speech ที่ตรวจพบในบริบทการเมืองไทยกับ “วัฒนธรรมชาวเน็ตไทย”

จากการตรวจสอบข้อความที่ถูกระบุว่าเป็น hate speech จากการวิเคราะห์โดยโมเดล AI พบข้อสังเกตหลายประการที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมออนไลน์ของผู้ใช้งานชาวไทย และความท้าทายในการจัดการเนื้อหาในภาษาที่มีลักษณะซับซ้อนอย่างภาษาไทย

ในกรณีของ hate speech ระดับ 5 ซึ่งควรถูกระบุว่าเป็นข้อความที่มีลักษณะยุยงหรือสนับสนุนความรุนแรงอย่างชัดเจนกลับพบการตรวจจับคำหรือวลีที่ไม่เข้าข่าย hate speech จริง เช่น ชื่อคน วลีเปรียบเปรย หรือคำอุทาน ตัวอย่างเช่น “เผาหัว” “ยิงได้ยัง” หรือ “คมแบบปาดคอคนได้” สะท้อนถึงความท้าทายของ AI ในการทำความเข้าใจบริบทเฉพาะของภาษาไทย รวมถึงวัฒนธรรมย่อย (subculture) และการใช้คำในเชิงล้อเลียนหรือประชดประชันของชาวเน็ตไทย การตรวจจับลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่าภาษาไทยมีความซับซ้อน ทั้งในด้านโครงสร้างไวยากรณ์และบริบทการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้งานออนไลน์มักสร้าง “มีม” หรือวลีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจดูรุนแรงในความหมายผิวเผิน แต่ไม่ได้มีเจตนาร้าย

อีกประเด็นสำคัญคือการพบ hate speech ระดับ 1 ซึ่งประกอบด้วยข้อความหยาบคายและการดูถูกสติปัญญาในอัตราที่สูง ทั้งบน Facebook และ X โดยเฉพาะใน X ซึ่งมีสัดส่วนถึง 89.81% ของข้อความที่ถูกระบุว่าเป็น hate speech การใช้ถ้อยคำลักษณะนี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมชาวเน็ตไทยที่ถ้อยคำหยาบคายและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องปกติในบทสนทนาออนไลน์ นอกจากนี้ ลักษณะของแพลตฟอร์ม X ซึ่งสนับสนุนการแสดงออกเชิงอารมณ์อย่างรวดเร็วและเข้มข้น อาจส่งเสริมพฤติกรรมการเลียนแบบในกลุ่มผู้ใช้งานและการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ผ่านการกลั่นกรอง

ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นของ hate speech ระดับ 3 บน Facebook หลังการเลือกตั้ง (15.85%) อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของลักษณะการโจมตีทางวาจา จากการใช้ถ้อยคำหยาบคายทั่วไปในระดับ 1 ไปสู่คำพูดที่มีลักษณะลดทอนคุณค่าและเหมารวมกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแสดงถึงเจตนาการโจมตีที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้งมากขึ้น ลักษณะนี้อาจเชื่อมโยงกับบริบทของความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ซึ่งการแบ่งแยกทางอุดมการณ์และความตึงเครียดในโลกออฟไลน์ถูกสะท้อนออกมาในบทสนทนาออนไลน์

การตรวจพบ hate speech ระดับ 4 และ 5 ในจำนวนที่น้อย ไม่ได้สะท้อนว่าการแสดงออกในสองระดับนี้มีจำนวนน้อย แต่ระบบกลั่นกรองของแพลตฟอร์มอาจสามารถตรวจจับและจัดการข้อความประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พบข้อความในลักษณะนี้น้อยจากการกวาดข้อมูล  อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการจัดการกับ hate speech ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งอาจไม่ถูกมองว่าเป็นภัยร้ายแรงในทันที แต่สามารถสะสมผลกระทบในเชิงลบต่อบรรยากาศของสังคมออนไลน์ในระยะยาว

การเพิ่มขึ้นของ malinformation ใน Facebook อาจสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นพื้นที่เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนในลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การบิดเบือนเชิงบริบทหรือการแฝงข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในประเด็นทางการเมือง การเพิ่มขึ้นนี้ยังอาจบ่งชี้ถึงความแตกต่างในวิธีการกลั่นกรองของแพลตฟอร์ม Facebook และ X ซึ่งอาจนำไปสู่ความสามารถในการจัดการกับเนื้อหาบิดเบือนที่ไม่เท่าเทียมกัน

Malinformation ที่ตรวจพบในการศึกษา ได้แก่ 1. ประเด็นเชิงนโยบายรัฐ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต การขายข้าวในโครงการจำนำข้าวของกระทรวงพาณิชย์ และโครงการ entertainment complex 2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3. ประเด็นทางเศรษฐกิจ เช่น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับวาทกรรมเกี่ยวกับ “หนี้ชั่วลูกชั่วหลาน” 4. การเมืองและการเลือกตั้ง เช่น ระบอบทักษิณ ข่าวลือเกี่ยวกับดีลลับ การคัดเลือก สว. การซื้อสิทธิขายเสียง และการแทรกแซงของต่างชาติ เป็นต้น และ 5. ประเด็นความขัดแย้งในสังคม เช่น กรณี “Saveทับลาน” กับ “Saveชาวบ้านทับลาน”

การถกเถียงในประเด็นเหล่านี้มักมาพร้อมกับการปกป้องหรือการโจมตีข้อมูลจากทั้งสองฝั่งที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปที่อาจเข้าถึงข้อมูลเพียงด้านเดียวมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลที่ได้รับโดยไม่ตั้งคำถามต่อความครบถ้วนหรือบริบทที่ซับซ้อนของข้อมูล นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถสร้าง ความแบ่งแยก (polarization) และบั่นทอนความไว้วางใจ (trust) ในระดับสังคม

ข้อเสนอแนะหลักของทีมวิจัย

การรักษาสมดุลระหว่างการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กับความปลอดภัยและความไว้วางใจในการใช้โซเชียลมีเดีย

  • ต้องปรับปรุงมาตรฐานชุมชนและแนวทางปฏิบัติของแพลตฟอร์มให้โปร่งใสและตอบสนองต่อบริบทเฉพาะ โดยการพัฒนามาตรฐานชุมชนควรได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคม นักวิชาการ สื่อมวลชน และผู้กำหนดนโยบาย
  • ระบบการจัดการเนื้อหาของแพลตฟอร์มควรมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองในแต่ละบริบท เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเนื้อหาที่เป็นอันตรายและส่งเสริมสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
  • การส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถประเมินและจัดการข้อมูลได้อย่างเหมาะสม

แนวทางการกำกับดูแลเนื้อหาออนไลน์หรือการแทรกแซงที่เป็นไปได้

  • การใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการมีส่วนร่วมของมนุษย์ (human-AI collaboration) ในต้นทุนที่เหมาะสม เป็นแนวทางสำคัญในการกำกับดูแลเนื้อหา AI สามารถช่วยวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เช่น การระบุคำสำคัญหรือรูปแบบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ hate speech หรือ malinformation แต่การใช้ AI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจาก AI มักขาดความเข้าใจในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน การให้มนุษย์ทำหน้าที่ตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำของกระบวนการตรวจจับและจัดการเนื้อหา
  • การสร้างกลไกการเฝ้าระวัง (monitoring mechanism) ที่สามารถแจ้งเตือนและตรวจจับการแพร่กระจายของเนื้อหาที่อาจเป็นอันตรายแบบเรียลไทม์ เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเลือกตั้งหรือวิกฤตทางสังคม กลไกดังกล่าวควรได้รับการพัฒนาโดยอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน รวมถึงตัวแทนจากภาคประชาชน กลุ่มการเมือง สื่อมวลชน และผู้กำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจว่ามุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายได้รับการพิจารณา การมีส่วนร่วมนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความโปร่งใสในกระบวนการกำกับดูแล มากกว่าการพึ่งพากลไกที่เน้นการควบคุมหรือกำกับดูแลเพียงฝ่ายเดียว
  • บทบาทของสื่อในการส่งเสริมการสื่อสารออนไลน์ที่อิงข้อเท็จจริงและปราศจากความรุนแรงก็มีความสำคัญ สื่อสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้อง และช่วยสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด (cognitive resilience) ให้กับประชาชนผ่านการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) ทั้งนี้ การสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องเส
  • รีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการรับรองความปลอดภัยในพื้นที่ออนไลน์จำเป็นต้องมีการพัฒนานโยบายที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน

  • มาตรการการกลั่นกรองเนื้อหาในเชิงรุกและปฏิบัติได้จริง เพื่อให้การจัดการกับข้อมูลลวงหรือบิดเบือน และ hate speech มีประสิทธิภาพ
  • การปรับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถิ่นและสังคม
  • การส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างปลอดภัย โดยการออกกฎหมายต่อต้านการฟ้องปิดปาก (strategic lawsuits against public participation: SLAPP) เพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐปิดกั้นการวิจารณ์รัฐบาลหรือปราบปรามผู้มีความเห็นแตกต่าง

หมายเหตุ   

  1. รายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์จะมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของนีโอโมเมนตัม (www.neomomentum.co) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ↩︎
  2. โอโมเมนตัม เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการให้บริการข้อมูล การวิจัย และการพัฒนา โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven) มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อน (social enterprise) จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและมีประสบการณ์ในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมการสื่อสารทางการเมืองในช่วงการชุมนุมประท้วงของนักศึกษาและเยาวชนไทยเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและสังคม ช่วงปี 2020-2021 ↩︎
  3. Digital Election Analytic Lab เกิดจากการรวมตัวแบบเฉพาะกิจของเครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดย WeWatch, Monitoring Centre on Organised Violence Events (MOVE), นักวิชาการและนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์และสื่อดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ และประชาชนอาสาสมัคร ที่เห็นพ้องกันถึงความสำคัญของพื้นที่กลาง พื้นที่การสื่อสารและการถกแถลงทางการเมืองที่ปลอดภัย สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ และให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้งในฐานะของกระบวนการที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยที่ปราศจากความรุนแรง ↩︎

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สานสัมพันธ์‘ออนไลน์-ออฟไลน์’ ข้อพึงตระหนักไว้ ลดเสี่ยงภัย-ไม่ตกเป็นเหยื่อ

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)รับเทศกาล วันแห่งความรัก 14 ก.พ. 2568 ใน EP.3 ชวนพูดคุย ในหัวข้อ “Unlock Romance scam story! 18+ หลอกให้รักออนไลน์ บทเรียนสอนใจเช็กอย่างไรให้ชัวร์ กับ ปังปอนด์ – ณตภณ ดิษฐบรรจง ซึ่งที่ผ่านมาได้มาช่วยทาง Cofact เขียนบทความ Fact Check ข่าวลวงในประเด็น HIV/AIDS แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงประเภทนี้ด้วย

ณตภณ เล่าว่า ประมาณ 10 ปีก่อน ตนเคยมีช่วงเวลาบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว อีกทั้งยังเป็นช่วงวัยรุ่น จึงใช้เวลาไปกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ อีกทั้งยังใช้แพลตฟอร์มหาคู่ทางออนไลน์ แม้เวลานั้นจะยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่อนุญาตให้ใช้งานได้ก็ตาม จำได้ว่าเจอคนคนหนึ่ง คุยกันจนคุ้นเคยแล้วก็ยอมเดินทางด้วยรถไฟไปไกล จากหัวลำโพง กรุงเทพฯ ถึง จ.นครราชสีมา แต่รอที่สถานีรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมง อีกฝ่ายก็ไม่มาตามนัดทั้งที่ตนโอนเงินให้ไปแล้ว และเมื่อตรวจสอบช่องทางออนไลน์ก็พบว่าโดยบล็อกทั้งหมด ครั้งนั้นเสียเงินไปเกือบ 3,000 บาท  นั่นคือประสบการณ์โดนหลอกครั้งแรก

เคสนี้เป็นเคสแรกที่รู้แล้วว่าเป็น Romance Scam อาจจะไม่เป๊ะๆ เหมือนชาวบ้านเขา แต่ผมก็รู้สึกว่านี่คือการหลอกให้เรารักก่อนแล้วก็หลอกให้เราควักสตางค์ให้เขา ใช้เวลา 3 เดือน แล้วนอกจากผม ก็เคยมีแม่ผมก็เคยโดน นานแล้ว แต่อันนั้นเขาเอ๊ะก่อนที่จะโอน แต่เคสที่แม่เจอจะเป็นชาวต่างชาติ คุยไป 3  4 วัน รู้แล้วนี่หลอกแน่นอน ก็เลยตัดการคุย แต่ของผมคือไปมากกว่านั้นแล้ว และคนไทยด้วยกันด้วย รุปลักษณ์เป็นคนไทย ถ้าเคสนั้นไม่เคยเห็นหน้าตา ไม่เคยวีดีโอคอลคุย เขาบอกโอนค่าโรงแรมไปให้ก่อน เดี๋ยวจ่ายส่วนต่างกลับมาให้ เจอกันแล้วค่อยจ่ายคืน

จากประสบการณ์ดังกล่าว มีคำแนะนำแรก 1.หากอยากเจอตัวให้เจอในที่สาธารณะ ไม่ใช่ที่ลับตา เช่น การนัดที่โรงแรม การนัดเจอในพื้นที่สาธารณะจะลดความเสี่ยงอย่างการถูกชิงทรัพย์หรือถูกลักพาตัวได้ 2.ชวนเพื่อนไปด้วย นอกจากเป็นการเผื่อไว้หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจะได้มีคนช่วยแล้ว หรือแม้ไม่มีเหตุร้ายเกิดแต่อย่างน้อยเพื่อนก็รู้สถานะของเรา จะได้รู้ว่าคนคนนี้คุยกับเราอยู่ ควรระวังหรือไม่ระวังอะไรบ้าง

3.แม้จะเป็นแพลตฟอร์มหาคู่ที่มีชื่อเสียงเป็นทางการก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะหากอยากหลอกก็สามารถทำได้แม้จะมีเครื่องหมายรับรอง เช่น บางครั้งได้เครื่องหมายแล้วก็เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ แต่สำหรับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (ที่ไม่ใช่แพลตฟอร์มหาคู่โดยตรง) อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือ X หากสมัครขอใช้เครื่องหมายรับรองยืนยันตัวตน ทุกครั้งที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์จะถูกตรวจสอบเสมอว่าใบหน้าตรงกับบัตรประชาชนที่เราใช้สมัครหรือไม่ ซึ่งช่วยกรองได้ระดับหนึ่งแม้จะไม่ 100% ก็ตาม 

4.จับจังหวะการคุย พึงระวังการสนทนาในลักษณะ เร่งเร้าให้โอนเงิน เพราะมีแนวโน้มอาจเป็นมิจฉาชีพ ดังตัวอย่างที่คลาสสิกที่สุด คือมิจฉาชีพจะบอกว่ารักคุณมาก แต่ก็จะบอกว่ามีเงินหรือของมีค่าติดอยู่ที่ศุลกากร ขอให้ช่วยโอนเงินมาเป็นค่าดำเนินการ เรื่องนี้เคยมีคนในครอบครัวเกือบตกเป็นเหยื่อมาแล้วแต่ยังดีที่ตนห้ามไว้ทันการโอนเงินหากจะทำก็ขอให้ทำกันต่อหน้า เช่น นัดเจอกัน กินข้าวแล้วจะหารจ่ายค่าอาหารก็ว่าไปกันให้จบตรงนั้น

5.อย่าส่งภาพโป๊เปลือยวาบหวิว เพราะอาจถูกนำไปทำเรื่องไม่ดี หรือแม้แต่เกิดภาพหลุดได้ และเมื่อหลุดมาแล้ว Digital Footprint จะอยู่ในอินเตอร์เน็ตไปอีกนานแสนนาน 6.สุดท้ายหากจะไปจบที่เรื่องบนเตียงจริงๆ ก็ต้องระมัดระวัง เช่น ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงระวังการถูกแอบถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์ 

เคยมีเพื่อนมีโทษเหยื่อ สุดท้ายเพื่อนคนนั้นโดนหลอก คือมันไม่ใช่ความโง่หรือฉลาด คนเราโดนหลอกเพราะเขามีอะไรบางอย่างที่ให้เชื่อได้ว่าเราจะได้สิ่งนั้น แค่นั้นเลยเราไม่ได้โง่หรือฉลาด มันคือการที่ ณ ตอนนั้นเราเห็นผลประโยชน์ข้างหน้าแค่นั้นเอง แล้วพอเราโดนหลอกก็แค่โดนหลอก เราต้องยอมรับว่าตัวเองโดนหลอกอยู่ ไม่ต้องอาย ไปแจ้งความ ไปดำเนินการ รู้ว่ามันช้า บางทีมันมีปัญหาอยู่ แต่การแจ้งความคือหนทางหนึ่งที่สามารถทำให้เราทวงความยุติธรรมกลับมาได้ แล้วคิดในมุมกลับกัน ถ้าเราไม่ฟ้องร้องดำเนินคดี เขาก็หลอกคนอื่นได้อยู่ดี แต่ถ้าเราฟ้องร้องดำเนินคดี เท่ากับเราตัดวงจรได้แล้ววงจรหนึ่ง

หมายเหตุ : รับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1612639109353873/


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

พะยูนไทยจะสูญพันธุ์ ใน 3 เดือน เกยตื้นตายไปแล้ว 29 ตัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uupztcaobnym


เช็กสุขภาพเลือดได้จากเส้นผม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3anfi93e9vlgw


งูกลัวหินเกล็ดเพราะผิวท้องบอบบาง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ukvl9rkmhaam


  ทุเรียน ลิ้นจี่ มะม่วง ลำไย และกล้วยสุก กินเยอะเสี่ยงเป็นเบาหวาน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/22iezypum51gq


 โครงการ 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต เตรียมแจกให้นักเรียน 6 แสนคน ในเดือน มิย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3unwybglwhwli


 อินเดีย ขยายเวลา ฟรีค่าวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ แก่นักท่องเที่ยวคนไทย ถึงสิ้นปี 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jzny6j3no42m


 “ชาไทย ใส่สี” กินไม่ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/379l7bnspd19p


การอมเกลือทำความสะอาดฟันได้จริงหรือ?

    การอมเกลือเพื่อทำความสะอาดฟันอาจดูเหมือนเป็นวิธีธรรมชาติและปลอดภัย แต่ความจริงแล้ว เป็นวิธีที่อันตรายต่อฟันอย่างมาก เนื่องจากเกลือมีเนื้อสัมผัสที่หยาบ ทำให้ฟันสึกกร่อนได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีฟันบอบบางหรือมีปัญหาฟันผุอยู่แล้ว นอกจากนี้การอมเกลืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีเหงือกอักเสบอยู่แล้วอีกเด้วย 

      วิธีทำความสะอาดฟันที่ถูกต้องมีดังนี้

– แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที โดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

-ใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง

– ตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำ ทุกๆ 1 ปี หรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

       สรุปการอมเกลือทำความสะอาดฟัน เป็นวิธีที่อันตรายและไม่แนะนำ ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีตามที่กล่าวข้างต้นเพื่อสุขภาพฟันที่ดี แข็งแรง และป้องกันปัญหาช่องปากต่าง ๆ

(ข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

Banner :

ลิ้งค์กระทู้ Cofact  : https://cofact.org/article/k36jywhr8ihu

‘โคแฟค’ร่วมเปิด2หัวข้อสนทนา ในงาน‘มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025’

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมวงเสวนา “Soul Connect : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานแถลงข่าว มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ภายใต้แนวคิด HUMANICE : มาพบเพื่อนที่ดีต่อใจ พาคุณไป Connect หัวใจความเป็นมนุษย์ในตัวคุณ ซึ่งจัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา 100 องค์กร ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Soul Connect Fest”

Screenshot

โดย สุภิญญา เปิดเผยว่า มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-2 มี.ค. 2568 โคแฟคได้รับเชิญให้จัดห้องย่อย2 เรื่อง คือ 1.พัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเชื่อมโยงกับมิติความเป็นมนุษย์ (AI & Humanity) โดยเน้นเป้าหมายเรื่องการสร้างสันติภาพและการเข้าถึงความจริง เหตุที่เลือกหยิบยกประเด็นนี้เนื่องจากความทุกข์ร่วมสมัยปัจจุบันเราอาจอยู่กับข้อมูลข่าวสารมากเกินไป และบางครั้งก็มีความรู้สึกลบๆ เข้ามา จากข้อมูลไม่จริงบ้าง หรือข้อมูลจริงแต่ทำให้เกิดความเครียดบ้าง เป็นต้น 

โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยี Deepfake ก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากขึ้น ดังที่เห็นจากสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) กำหนดให้ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ที่เป็นผลจากปัญญาประดิษฐ์ เป็นความเสี่ยงของโลก (Global Risk) อันดับ 1 ของโลกในช่วง 2-3 ปีล่าสุด จึงอยากเชื่อมโยงผลกระทบของเทคโนโลยีมาสู่ความเป็นมนุษย์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเองก็พูดกันมากเรื่องการปรับตัวให้อยู่รอดในยุค AI เช่น การเพิ่มทักษะ (Upskill) หรือการเรียนรู้ใหม่ (Reskill) แต่ผลกระทบด้านสังคมและด้านจิตวิญญาณก็เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับมือเช่นกัน

ทั้งนี้ ผลกระทบของ Deep Tech (เทคโนโลยีขั้นสูง) เมื่อก่อนอาจอยู่แค่เรารู้ไม่เท่าทันสื่อ อยู่ในเรื่องของความคิด แต่จากงานวิจัยบอกว่า Deep Tech ส่งผลกระทบตั้งแต่ระดับร่างกาย เช่น อีก 10 – 20 ปีข้างหน้า สรีระของคนเราอาจเปลี่ยนไปจากการที่เราใช้โทรศัพท์มือถือกันนานเกินไป กับผลผลกระทบต่อสมอง จิตใจและจิตวิญญาณ อย่างที่เราหลงเชื่อมิจฉาชีพ ซึ่งที่หลงเชื่อก็เป็นเพราะสารของมิจฉาชีพที่สื่อมาไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในความคิดหรือความรู้สึกของตัวเราหรือไม่ 

หรือแม้แต่ไปถึงขั้นจิตไร้สำนึก ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหงุดหงิดเพราะอะไร เนื่องจากสมองก็ยังคิดว่าตนเองปกติดี แต่จิตไร้สำนึกที่สะสมความคิดมายาวนานมาก ตลอดชีวิตของเราก็ไม่รู้ว่าเก็บสะสมอะไรไว้บ้าง เพราะความทุกข์ของมนุษย์ก็มาจากการสะสมความคิดและความรู้สึกที่ฝังลึกลงไป โดยหากเป็นคนที่เคลียร์ตนเองได้ จะเหมือนกับโยนหินลงไปในน้ำ แม้จะเกิดรอยแต่ไม่นานรอยก็หายไป แต่หากเป็นคนที่ชอบสร้างอารมณ์ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็จะเหมือนกับศิลาจารึก ความทุกข์สมัยเด็กผ่านไปเป็นสิบปี หากไม่เคลียร์ออกก็ยังคงอยู่ ซึ่งการเคลียร์ออกที่ว่านี้แต่ละคนจะมีวิธีไม่เหมือนกัน ก็ขอเชิญชวนให้มาหาคำตอบกันที่งาน Soul Connect Fest

Screenshot

ในมุมของโคแฟค จริงๆ เรายังเล่นแค่ในระดับความคิดอยู่ ให้รู้เท่าทัน ให้มีสติ ไม่เชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่แชร์อะไรโดยไม่เช็ค แต่งานนี้เราโชคดีมากเลยที่ได้มาเชื่อมโยงกับภาคีสุขภาวะทางปัญญา เพราะผลกระทบของ Deep Tech ก็คงไม่ใช่แค่ระดับสมองหรือความคิดที่อยู่ๆ เราเผลอโอนไป แต่มันลึกซึ้งไปถึงจิตวิญญาณ แล้วเราจะรับมืออย่างไร? อันนี้ก็น่าจะเป็นการเชื่อมโยงกับภาคีสุขภาวะทางปัญญาและภาคีระบบสื่อ มันก็ต้องแก้ไป 2 อย่างด้วยกัน สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า ในขณะที่เราต้องกลับมาดูแลจิตใจตนเองในเชิงลึก เพื่อให้พร้อมกับการรับมือกับโลกที่ผันผวน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยปัญหามากมายซึ่งไม่ใช่แต่ในประเทศไทย แต่อีกด้านหนึ่ง การแก้ปัญหาเชิงระบบโครงสร้างก็ต้องทำด้วย เช่น จะออกแบบระบบนิเวศสื่อให้ดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งความรับผิดชอบของแพลตฟอร์ม องค์กรสื่อ รวมถึงระดับปัจเจกอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencer) การที่โคแฟคซึ่งทำเรื่องระบบสื่อได้มาร่วมกับภาคีสุขภาวะทางปัญญา จึงเป็นโอกาสดี

ส่วนอีกหัวข้อที่โคแฟคจะร่วมจัดในงาน Soul Connect Fest 2025 คือ 2.ผลกระทบจากด้านลบของอินเตอร์เน็ต เช่น ความเกลียดชัง มีคำถามว่าเหตุใดในอินเตอร์เน็ตคนเราจึงเกลียดกันมาก แสดงความคิดเห็นกันแบบรุนแรงสุดโต่งจนอาจลุกลามออกจากโลกออนไลน์ไปสู่โลกจริง แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังต้องทนอยู่ ซึ่งนอกจากการมีความรู้เท่าทัน มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ยังต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ใจเย็นๆ และใจดีต่อกัน

โดยในวงนี้จะมีผู้ได้รับผลกระทบจากความเกลียดชังบนโลกออนไลน์มาร่วมพูดคุย ยิ่งยุคหลังๆ เป็นยุค 4.0 มีการยกระดับ เช่น ใช้เทคโนโลยี Deepfake มีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation – IO) ทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นและวนอยู่ไม่หายไปไหน แล้วจะหาทางออกกันอย่างไร ซึ่งหนึ่งในหัวข้อที่ตั้งไว้ในงานคือ ปัญญารวมหมู่ (Collective Wisdom)” รวมถึงมีความเป็นมนุษย์ ที่แม้การชอบหรือเกลียดเป็นสิทธิของบุคคล แต่การแสดงออกในพื้นที่สาธารณะควรจะต้องมีขอบเขต และต้องอยู่บนฐานของความเป็นจริงไม่ใช่บิดเบือน

เราจะใช้พลังปัญญารวมหมู่ เราจะสร้างความเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการเคารพกันและกันแม้จะเห็นต่างกันในพื้นที่ออนไลน์ได้อย่างไร ซึ่งทุกวันนี้พื้นที่ออนไลน์ก็เป็นพื้นที่ของเราเกินครึ่งไปแล้ว ก็คือต้องสร้างวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์คู่กันไปด้วย อันนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นที่เราได้คุยกัน สุภิญญา กล่าว 

สำหรับวงเสวนา “Soul Connect : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง ในการแถลงข่าวมหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ยังมีผู้ร่วมเสวนาอีก 3 ท่าน โดย จารุปภา วะสี ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญากล่าวว่า การเฝ้ามองความเคลื่อนไหวทั้งในประเทศไทยและโลก มีสิ่งหนึ่งที่รายงานหลายฉบับกล่าวตรงกันคือ วิกฤติต่างๆ ที่ซับซ้อนหนักหนาแล้วเราหาทางออกไม่ได้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือมนุษย์ไม่สามารถร่วมมือกันได้ หรือร่วมมือกันได้ยาก จึงเกิดคำถามว่าจะฝ่าเรื่องนี้ออกไปอย่างไร

Screenshot

ศ.(เกียรติคุณ) น.พ.ประเวศ วะสี  เคยกล่าวถึงคำหนึ่งที่สำคัญมาก คือ สันติภาพ  สันติภาวะ แต่สันติภาพหรือสันติภาวะของโลกหรือสังคมภายนอกนั้นเชื่อมโยงกับสันติภาพหรือสันติภาวะภายในจิตใจของเราแต่ละคนกับคนใกล้ตัว  ขณะที่คำว่าการร่วมทุกข์ จริงๆ คือการร่วมเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะสถานการณ์ในโลกปัจจุบันการร่วมทุกข์ คือ เรื่องใหญ่ หากเข้าไปถึงตรงนั้นเชื่อได้ว่าเราจะเจอความหวัง

เคยสัมภาษณ์คนทำงานระดับสูงที่สุด กับคนทำงานกับคนรากหญ้าที่สุด พูดคำเดียวกัน ฟังแล้วน้ำตาไหล เขาบอกคุณรู้ไหม? เมื่อใดก็ตามที่เขาลงไปทำงานในพื้นที่แล้วเจอผู้คนที่ทำงานแบบนี้ด้วยกัน เขาไม่เคยหมดหวังเลย ฉะนั้นจากสันติภายในสู่สันติภาพสังคม สู่สันติภาพโลก จุดร่วมองเราคือเรากลับมาที่จิตวิญญาณ เชื่อมโยงกัน เราร่วมทุกข์ด้วยกันแล้วเราจะเจอความหวังแน่ๆ จารุปภากล่าว

Screenshot

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า สุขภาวะทางปัญญา หมายถึงความสุขที่เกิดจากการที่เราได้กลับมาใคร่ครวญ ได้รู้จักตนเองและเกิดการเชื่อมโยงกับผู้อื่น สังคมและธรรมชาติ เรื่องนี้เป็นฐานของงานสุขภาวะทางปัญญา ซึ่งปัญหาของโลกเราทุกวันนี้เรียกว่า บานี (BANI)” ที่ทั้งเปราะบางซับซ้อน คลุมเครือ  คาดเดาไม่ได้ ไม่เป็นเส้นตรง จึงสร้างความกังวลและความทุกข์ภายในใจให้กับผู้คนในสังคม 

เคยมีนักศึกษาไปถาม มาร์กาเร็ต มีด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรมของมนุษย์ ซึ่งในชั้นเรียนนั้น นักศึกษาหลายคนมองไปที่เรื่องการก่อสร้างต่างๆ แต่นักมานุษยวิทยาผู้นี้กลับตอบว่า การค้นพบกระดูกโคนขาของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์จะอยู่รอดไม่ได้เลยหากร่างกายบาดเจ็บ เพราะไม่สามารถออกไปหาอาหาร แต่การที่กระดูกโคนขาดังกล่าวมีร่องรอยการได้รับการเยียวยา นั่นหมายถึงมีมนุษย์คนอื่นๆ ช่วยกันโอบอุ้มฟูมฟัก คอยดูแลกันจนกระดูกโคนขาหายเป็นปกติ นั่นคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ 

Screenshot

เรามองว่าสุขภาวะทางปัญญาเป็นส่วนหนึ่ง เรียกว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการคลี่คลายหรือเข้าไปแก้ไขหรือป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะยาว ดังนั้นเราจะเห็นการเคลื่อนไหวของประเด็นต่างๆ ที่เป็นประเด็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกเดือด ความมั่นคงทางอาหาร หรือแม้แต่สุขภาพจิตที่เริ่มเอามิติในการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา หรืออาจเรียกจิตวิญญาณหรือการพัฒนาภายใน เข้าไปร่วมขับเคลื่อนกับปัญหาหล่านั้น อันนี้เรียกว่าเป็นความหวังของสังคมแล้วก็มนุษยชาติผอ. สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าว

Screenshot

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า วิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันไม่มีพื้นที่ทำให้เราได้พูดในสิ่งที่เป็นตัวเราเอง ไม่มีเวลาหรือความเงียบที่เพียงพอที่เราจะได้สำรวจหรือเปิดบทสนทนา เพราะเมื่อว่างกันเราก็มักจะใช้เวลาไปกับสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการเบียดบังเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักจิตวิญญาณข้างใน ต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน เมื่อเราไม่รู้จักและเกิดการขัดแย้งกับความรู้สึกภายใน 

ซึ่งบางทีเราจะรู้สึกสับสน หงุดหงิด ไม่รู้จะจัดวางตนเองอย่างไร และตอบคำถามตนเองไมได้ด้วยว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะอะไร ในขณะที่คนคลี่คลายได้มักเป็นคนที่เปิดบทสนทนาแล้วเคลียร์ เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาแล้วคุยกับจิตใจโดยมองว่าเป็นเพื่อน เพราะหากมองว่าเป็นคู่ต่อสู้รบไปก็ไม่ชนะ ส่วนคำว่าความทุกข์ก็คือความขัดแย้งหรือสิ่งที่ไม่เป็นไปตาม แม้กระทั่งความสุขของผู้อื่นก็ยังเป็นความทุกข์ของเราได้ อย่างยุคนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ไปทางไหนก็เจอแต่คนโพสต์อะไรที่เป็นความสุข ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดเราไม่สุขอย่างเขาบ้าง

อันนี้ก็ต้องกลับไปฝึกกันว่าเราจะเบิกบานกับความสุขของคนอื่นได้อย่างไร ยินดีกับคนอื่นที่มีความสุขได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึก ต้องเปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีการตอบสนองกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายหน้า หรือเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ ถ้าในมิติศาสนาก็มีผู้ค้นพบว่าปัญญาก็เกิดจากการที่คุณต้องผ่านช่วงเวลาของความทุกข์ให้ได้ คุณจะเกิดปัญญาได้อย่างไรว่าคุณไม่ผ่านความทุกข์ ถ้าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ ตีความมันอีกในมิติหนึ่ง เราก็อาจยินดีกับการที่เราจะต้องอยู่กับความทุกข์ เรายินดีได้จากความทุกข์ มีประโยชน์ได้จากความทุกข์ สมบัติ กล่าว

ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ยังได้รับเกียรติจากคนดังในวงการบันเทิงย่าง “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” และ “ชาย – ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ” ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “2 คนบันเทิงกับการตกผลึกตัวตนและความคิด” ซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/SoulConnectFest/videos/834869462093916/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Screenshot
Screenshot

คลิปเก่าที่มีผู้โพสต์เมื่อ 3 ปีก่อน ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกน้ำมันไปเมียวดี

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

คลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายรถบรรทุก ซึ่งผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำมาโพสต์และ “ท็อปนิวส์ออนไลน์” นำไปเผยแพร่ต่อ โดยผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี สหภาพเมียนมา หลังจากที่ทางการไทยตัดไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นคลิปวิดีโอเก่าที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซียนำมาเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2564

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่ได้ตรวจสอบในเชิงลึกว่า วิดีโอนี้ถ่ายจากเหตุการณ์จริงหรือไม่ หรือใช้เทคนิคการตัดต่อ/สร้างภาพด้วย AI และหากเป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสถานที่ใดและเมื่อไหร่

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ talkwiththepolice (ผู้ติดตาม 4.66 แสนบัญชี) โพสต์คลิปความยาว 13 วินาที เป็นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกบินอยู่เหนือพื้นที่ป่า ขึ้นข้อความว่า “ขนส่งน้ำมันทาง ฮ.” และ “หลังจากที่ประเทศไทยตัดไฟฟ้าและเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี เฮลิคอปเตอร์ Mi-26 ลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและขนส่งรถบรรทุกเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี” คลิปนี้มียอดเข้าชมกว่า 1.5 ล้านครั้ง ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ลิงก์บันทึก https://archive.ph/lh2bb)

วันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” (ผู้ติดตาม 8.6 หมื่นบัญชี) โพสต์วิดีโอและข้อความเดียวกัน มีผู้แชร์ต่อมากกว่า 200 ครั้ง

ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ช่องยูทูป “TOP NEWS LIVE” นำคลิปวิดีโอนี้ไปเผยแพร่ในรายงานข่าวหัวข้อ “วิกฤติหนัก เมียวดี ราคาน้ำมันทะลุลิตรละ 100 แชร์ว่อนคลิป พม่าใช้ ฮ.ขนรถน้ำมัน” วิดีโอนี้มีผู้เข้าชมเกือบ 1 แสนครั้งในเวลา 20 ชั่วโมง

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคใช้ InVID-WeVerify ซึ่งเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่ร่วมพัฒนาโดยสำนักข่าวเอเอฟพีเพื่อช่วยในการค้นหาที่มาของวิดีโอ โดยระบบจะแยกเฟรมภาพในวิดีโอเป็นภาพนิ่งและนำภาพนั้นไปค้นหาในเสิร์ชเอนจิน เมื่อนำ URL ของวิดีโอที่เผยแพร่บนเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” ไปแยกเฟรมภาพและค้นหาใน Google และ Yandex พบว่าคลิปวิดีโอนี้เคยถูกเผยแพร่มาแล้วหลายครั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 (พ.ศ. 2564) ส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ยังพบว่า ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2021 เว็บไซต์รวมข่าวสารและเรื่องราวเบาสมองของอินโดนีเซีย เช่น Hops และ Saura.com รายงานว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซียได้แชร์ภาพและวิดีโอการเดินทางด้วยวิธีแปลก ๆ พร้อมด้วยข้อความเช่น “กลับบ้านอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้” เพื่อเสียดสีคำสั่งของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ห้ามประชาชนเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลอีด (Eid al-Fitr) ในเดือนพฤษภาคม 2021 เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หนึ่งในภาพที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ คลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุก ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้อินสตาแกรมรายหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ Hops และ Saura ระบุว่าไม่สามารถยืนยันต้นตอและสถานที่ในวิดีโอได้ แต่วิดีโอนี้ก็ได้ทำให้ชาวเน็ตสนทนากันอย่างสนุกสนาน

ขณะที่เว็บไซต์ Riau24 รายงานเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2021 ว่าคลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกที่โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้อินสตาแกรมกำลังเป็นไวรัลในกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียของอินโดนีเซีย โดยผู้โพสต์ระบุว่านี่เป็นภาพที่ถ่ายในจังหวัดปาปัว เว็บไซต์ Riau24 ระบุในรายงานเช่นกันว่าไม่สามารถยืนยันต้นตอของวิดีโอดังกล่าวได้

โคแฟครวบรวมตัวอย่างคลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการขนรถบรรทุกน้ำมันไปที่เมียวดี ที่เคยมีการเผยแพร่มาก่อนหน้านี้โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย

  • วันที่ 5 พฤษภาคม 2021 ช่องยูทูบ SEKITAR LABURA เผยแพร่วิดีโอนี้โดยเขียนคำบรรยายภาษาอินโดนีเซีย ใช้เครื่องมือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ไวรัล.!! รถบรรทุกขนส่งเฮลิคอปเตอร์ในปาปัว” 
  • วันที่ 7 พฤษภาคม 2021 โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก พร้อมกับข้อความภาษาอินโดนีเซีย ใช้เครื่องมือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การขนย้ายรถบรรทุกด้วยวิธีนี้มีเฉพาะในปาปัวเท่านั้น
  • วันที่ 12 กรกฎาคม 2021 เพจเฟซบุ๊กชื่อ “Dika Mobil Towing/Derek Kota Jambi” โพสต์วิดีโอนี้ พร้อมคำบรรยายภาษาอินโดนีเซียเกี่ยวกับการให้บริการรถลาก-ขนย้ายพาหนะ
  • วันที่ 6 กรกฎาคม 2023 ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเดียวกันนี้ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ ประกอบ แต่มีการปักหมุดสถานที่ในวิดีโอว่า “Bangsring Breeze” ซึ่งเป็นชื่อของโรงแรมที่พักในจังหวัดชวาตะวันออกของอินโดนีเซีย โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดที่ถ่ายวิดีโอนี้จริงหรือไม่

ข้อสรุปโคแฟค

วิดีโอนี้เป็นวิดีโอเก่าที่เคยมีการเผยแพร่มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย ดังนั้นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกในคลิปวิดีโอจึงไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตามที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ talkwiththepolice และเพจเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” รวมทั้งท็อปนิวส์ออนไลน์ อ้างว่าเป็นการ “ขนส่งน้ำมันทาง ฮ.” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หยุดส่งกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมาตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568

ทั้งนี้ โคแฟคยังไม่ได้ตรวจสอบในเชิงลึกใน 2 ประเด็น คือ 1) วิดีโอนี้เป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริงหรือไม่ หรือเป็นวิดีโอที่ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพหรือใช้เทคโนโลยี AI 2) หากเป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสถานที่ใดและเมื่อไหร่ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการตรวจสอบ แต่เนื่องจากคลิปวิดีโอนี้กำลังสร้างความเข้าใจผิด เป็นที่สนใจและถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีสื่อมวลชนนำไปรายงานต่อ โคแฟคจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องเผยแพร่รายงานการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหานี้ในเบื้องต้น และหากมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิดีโอนี้ โคแฟคจะรายงานให้ทราบต่อไป

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

การทำ IF ทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์น้ำหนักโยโย่จริงหรือไม่ ? 

การทำ IF (Intermittent Fasting) หรือ วิธีการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร เป็นวิธีที่รู้จักกันในกลุ่มคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก และหากหยุดทำ IF จะทำให้น้ำหนักโยโย่หรือไม่

IF (Intermittent Fasting) เป็นวิธีลดน้ำหนักแบบจำกัดเวลารับประทานอาหาร เพื่อช่วยควบคุมปริมาณแคลอรี่หรือพลังงานที่ร่างกายได้รับ ซึ่งจะส่งผลในการควบคุมน้ำหนักตัว

การทำ IF แบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลารับประทานอาหาร (Feeding/Eating) และช่วงเวลาอดอาหาร (Fasting) 

สูตรยอดนิยม สูตร 16/8 คือ การรับประทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง เช่น รับประทานอาหารเวลา 10.00 – 18.00 น. แต่หลังเวลา 18.00 น. จะเป็นช่วงอดอาหาร เหมาะสำหรับผู้เริ่มทำ IF เพราะทำได้ง่ายและไม่กระทบกับชีวิตประจำวันมากเกินไป 

ผลลัพธ์ที่ดีในการทำ IF 

  • ช่วยลดน้ำหนักและไขมันหน้าท้อง
  • ช่วยกระตุ้นการล้างสารพิษและลดความเครียด
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆและช่วยให้อายุยืนขึ้น

ดังนั้นการทำ IF ไม่ได้ทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์โยโย่ของน้ำหนัก แต่อาจเกิดจากการทำ IF ที่ไม่ถูกวิธี จึงควรศึกษาวิธีการทำ IF ที่เหมาะสมกับตัวเองเพราะหากทำไม่ถูกวิธี อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ และควรออกกำลังควบคู่อย่างสม่ำเสมอ

(ข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข /ผศ.(พิเศษ) พญ.พัชญา บุญชยาอนันต์ ฝ่ายอายุรศาสตร์)

กระทู้ https://cofact.org/article/3m2pl8xku686n

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568

การล็อกดาวน์ไม่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ryxrvcx18g0c


ป้าย Hollywood ถูกไฟป่าเผาในแอล.เอ….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/x434tumso5kz


ใส่ผ้าอนามัยระยะเวลานาน ทำให้เสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pw67a6ue2mem


หลักฐานการใช้เลเซอร์ก่อไฟป่าแอล.เอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2x3t6x44e9vh8


  เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/24o59eun7dun2


  กยศ. ปรับการคิดดอกเบี้ยสูตรใหม่ ส่ง SMS คืนเงินเข้าบัญชีลูกหนี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/21qqswnkubq6w


 ใส่คอนแทคเลนส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ตาดำเล็กลง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3mwsaikoi6d7n


 ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นช่วยลดอาการหน้าบวม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bclyne1f1jrt


 รับประทานช็อกโกแลตทำให้เป็นสิว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29ao24sylpaxn


 รับประทานไก่ทำให้เป็นโรคเกาต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ybhmot92owat


4 ปี รัฐประหารเมียนมา คลิปเก่า-เนื้อหาเท็จระบาด ปั่นความเกลียดชังแรงงานข้ามชาติ

กองบรรณาธิการ HaRDstories: รายงาน

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์บางส่วนในไทยอาศัยช่วงครบรอบ 4 ปี รัฐประหารเมียนมา และการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 กุมภาพันธ์ 2568 เผยแพร่เนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมา โดยนำภาพเหตุการณ์ในอดีตมาใส่บริบทใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจผิด และพาดพิงพรรคการเมือง ซึ่งอาจส่งผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น

เนื้อหาที่บิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิดต่อแรงงานเมียนมาที่เกิดขึ้นในระลอกนี้ มุ่งประเด็นไปที่การขอขึ้นค่าแรงของแรงงานเมียนมา โดยนำคลิปวิดีโอที่นายสุรัจ กีรี (รู้จักในชื่อไทย วีระ แสงทอง) ชาวเมียนมาที่เคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิแรงงาน ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วมาเผยแพร่ใหม่ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน

จากการตรวจสอบพบว่าในช่วงเดือนมกราคม 2568 มีเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดและบิดเบือน ทำให้เกิดความไม่พอใจแรงงานเมียนมาอย่างน้อย 3 ชิ้น ที่ถูกแชร์ต่อในวงกว้าง ดังนี้

1.คลิปเก่าปี 2565 ถูกนำมาปั่นกระแสก่อนวันครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา

ช่วงวันที่ 5-8 มกราคม 2568 มีการแชร์คลิป “พม่าเรียกค่าแรง 600-700 บาท” อย่างกว้างขวางบนเฟซบุ๊กและติ๊กต็อก โดยเป็นคลิปที่นายสุรัจ กีรี นักเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิแรงงานชาวเมียนมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในเรื่องค่าแรง มีข้อความซ้อนในคลิปว่า “พม่าต้องการค่าแรง 600-700 บาท” ซึ่งบางคลิปมีการใส่โลโก้พรรคประชาชนด้านมุมขวาของคลิปด้วย 

เนื้อหาเดียวกันนี้ ถูกเผยแพร่ซ้ำบนเพจเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น TOP NEWS (ผู้ติดตาม 2.1 ล้านบัญชี), มุมมองเพื่อนบ้าน (ผู้ติดตาม 8.4 หมื่นบัญชี) และ ข่าวเฟสบุ๊ก (ผู้ติดตามกว่า 3 แสนบัญชี)

Fact-check: คลิปดังกล่าวเป็นการให้สัมภาษณ์ของนายสุรัจระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแรงงานเมียนมา Bright Future เนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 บริเวณหน้าสถานทูตเมียนมาในกรุงเทพฯ การตรวจสอบพบว่าต้นฉบับคลิปเป็นข่าวที่เผยแพร่ทางยูทูป Voice TV เมื่อ 25 ธันวาคม 2565 พาดหัวข่าวว่า “ฟังเสียงคนสร้างกรุงเทพ ‘พวกเราไม่ได้เผากรุงศรี’ ขอค่าแรงขั้นต่ำ 600 เท่าเทียมกัน!”

ในคลิปให้สัมภาษณ์ต้นฉบับนั้น สุรัจกล่าวว่า “ค่าแรงตอนนี้ 335 หรือ 350 บาท คนพม่าได้ร้อยกว่าบาท บางคนได้ 200 แน่นอนคนที่ได้เต็ม 350 มันก็มี แต่ส่วนน้อย ส่วนมากก็คือโดนหักค่าประกันสังคม แต่เจ้านายไม่ส่งเงินสมทบให้ประกันสังคม ผมเจอ 2-3 เคส มันจะมีค่ารถ ค่าห้อง ค่ากิน 350 ยังไงก็ไม่พออยู่แล้ว ยังไงก็อยากได้มากกว่า 350 บาท 600 หรือ 700 ก็ว่าไป ถ้าได้ราคานั้น เราก็อาจจะอยู่อย่างสบายระยะหนึ่งหน่อย อาจจะนะ เพราะอย่าลืมว่าคนที่จะหาประโยชน์จากเรื่องนี้ก็มีเยอะ ไม่ว่าจะนายหน้าทั้งหลาย คนก็จะหาประโยชน์จากไอ้พวกนี้เยอะ เราต้องจัดการเรื่องนายหน้า […] อย่าลืมนะครับ กรรมกร งานสร้างตึกคนไทยไม่ทำ เราทำ เราทำให้ประเทศไทยสวยงามมากขึ้น ผมว่าลุงก็น่าจะดูแลพวกผมบ้างนะครับ อยากจะบอกว่า พม่าไม่ได้เผากรุงศรี แต่พม่าสร้างกรุงเทพ” 

เห็นได้ว่า คลิปที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่ในช่วงเดือนมกราคม 2568 นั้น ไม่มีการให้ข้อมูลหรือบริบทใด ๆ ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมที่เพิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งยังตัดคำพูดให้สั้นลง และบางคลิปได้นำโลโกพรรคประชาชนมาใส่ ทำให้เข้าใจว่าการชุมนุมนี้เกี่ยวข้องหรือได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน เช่น มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊ก “มุมมองเพื่อนบ้าน” ว่า “ข้างหลังนั้นป้ายอะไรสีส้มๆ บอกตรงๆ เสียใจที่ลงคะแนนให้ แล้วประเทศจะไปทางไหนต่อในเมื่อพรรคที่หวังไว้กลับมาสนับสนุนคนพวกนี้ให้มาบ่อนทำลายประเทศ”

เปรียบเทียบภาพจากคลิปที่เผยแพร่ทางยูทูป VOICE TV เมื่อปี 2565 และภาพที่เผยแพร่ทางติ๊กต็อกในช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งมีการใส่โลโกพรรคประชาชน

การค้นหาด้วยเครื่องมือออนไลน์ Who Posted What พบว่าผู้ที่นำคลิปให้สัมภาษณ์ของนายสุรัจมาเผยแพร่ใหม่พร้อมกับใส่โลโกพรรคประชาชนคือบัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ @jiraya3115 ซึ่งโพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568  

บัญชีผู้ใช้งานติ๊กต็อก @jiraya3115 มีผู้ติดตาม 7,077 ราย และ 253,700 ไลก์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เผยแพร่คลิปทั้งหมด 309 คลิป เนื้อหาเกือบทั้งหมดสื่อสารแง่ลบเกี่ยวกับผู้อพยพในไทย

คลิปคำให้สัมภาษณ์เรื่องเรียกร้องการขึ้นค่าแรงของนายสุรัจที่ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำในช่วงก่อนวันครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา ถูกใช้เป็นเหตุผลในการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน นำโดยนายทรงชัย เนียมหอม ที่เดินทางไปยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการฝ่ายกิจการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไทยห้ามชาวเมียนมาในไทยเคลื่อนไหว นอกจากนี้ “ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน” ยังได้นัดรวมตัวที่หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อคัดค้านการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมาเช่นกัน โดยมีการปราศรัยโจมตีชาวเมียนมาด้วยถ้อยคำรุนแรง

สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานเมียนมาที่นำโดยนายสุรัจและกลุ่ม Bright Future ในวาระครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมาในปีนี้ มีเพียงการเดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย หนึ่งในข้อเรียกร้องเกี่ยวกับแรงงานคือ ขอให้ปรับกระบวนการขึ้นทะเบียนแรงงงานข้ามชาติ (บัตรชมพู) ในไทยให้สะดวกกับแรงงานและนายจ้างมากขึ้น

2.คลิปการชุมนุมของแรงงานเมียนมาที่ จ.เพชรบูรณ์ ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นการเรียกร้องขึ้นค่าแรง

วันที่ 31 มกราคม 2568 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเผยแพร่คลิปความยาว 33.5 วินาที เป็นภาพการชุมนุมของชาวเมียนมาพร้อมเสียงภาษาเมียนมาที่แปลเป็นไทยว่า “เราจะไม่กลับ จนกว่าจะได้ตามที่เรียกร้อง” คลิปนี้มีการใส่ข้อความว่า “พม่าขอขึ้นค่าแรงเป็น 700 บาท” และคำบรรยายว่า “คนไทยได้ 350 พม่าจะเอา 700” มียอดเข้าชมกว่า 1.8 ล้านและถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง

Fact-check: คลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่แรงงานชาวเมียนมารวมตัวกันภายในบริษัทการเกษตร ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่ง Manager Online รายงานว่า​แรงงานชาวเมียนมาประมาณ 1,000 คน รวมตัวเรียกร้องให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายในการต่อพาสปอร์ตและวีซา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องการขึ้นค่าแรงเป็น 700 บาทตามข้อความที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์

3.ภาพเก่าปี 2564 และ 2567 ถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จเรื่องการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมา

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพการเดินขบวนและการชุมนุมที่มีการชูธงชาติเมียนมาทั้งหมด 3 ภาพ พร้อมกับข้อความว่า “…วันนี้แรงงานพม่าในไทยเหิมเกริมมากเกินทำการเดินขบวนชุมนุมที่หน้าสนง.ยูเอ็น ใครรับได้. ผมรับไม่ได้ ผมมีความรู้สึกที่ดีกับแรงงานต่างด้าวแต่กับเรื่องนี้ รับไม่ได้ จะมาเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ได้ หากอยากเรียกร้องกลับไปพม่าให้หมดจะไปต่อสู้เรียกร้องรัฐบาลเมียนม่าเรื่องสิทธิ เรื่องการเมือง ประชาธิปไตยเชิญกลับประเทศไปให้หมด จะมาปิดถนนเดินขบวนอย่างนี้ไม่ได้คนไทยจะได้มีงานทำเพิ่มมากขึ้น ไทยช่วยเหลือผู้หนีภัยสู้รบนานพอแล้ว มากกว่านี้ รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมา จะตอบคนไทยที่ยากไร้ยังไง ส่วนที่แรงงานพม่าเรียกร้อง 700 บาท เอกชนคนไหนรวยเชิญตามสบาย ไปหา สส.ที่เชียร์แรงงานพม่าน่าจ่ายไหว คนไทย 400 บาทยังยากเลย…”

โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 1.5 หมื่นครั้ง มีผู้กดแสดงรีแอคชันกว่า 1 หมื่นครั้ง ในจำนวนนี้มีผู้กด “ถูกใจ” 6 พันครั้ง และกด “โกรธ” 3.6 พันครั้ง

Fact-check: วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบ 4 ปี รัฐประหารเมียนมา โดยกลุ่ม Milk Tea Alliance ในเวลา 16.00 น. ที่หน้าสถานทูตเมียนมาในกรุงเทพฯ โดยมีชาวเมียนมาและคนไทยเข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบทั้ง 3 ภาพที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวนำมาเผยแพร่พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2564 และ 2567 ดังนี้

ภาพที่ 1 เป็นภาพจากการชุมนุมที่จัดโดยกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งมีชาวเมียนมาในไทยร่วมกิจกรรมด้วยเพื่อต่อต้านรัฐประหารในไทยและเมียนมา โดยผู้ชุมนุมเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ภาพต้นฉบับมาจากบัญชี X ของกลุ่มพันธมิตรชานม ประเทศไทย (Milk Tea Alliance Thailand)

ภาพที่ 2 เป็นภาพจากการชุมนุมที่จัดโดยกลุ่ม “ทะลุฟ้า” เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทั้งในไทยและเมียนมา ภาพต้นฉบับมาจากเพจเฟซบุ๊ก “MTAT – Milk Tea Alliance Thailand – พันธมิตรชานม”

ภาพที่ 3 เป็นภาพขบวนพาเหรดเนื่องในเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ Bangkok Pride Festival 2024 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 จากสนามกีฬาแห่งชาติ มุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์ โดยในขบวนพาเหรดมีกลุ่มนักกิจกรรมมาร่วมแสดงออกในหลายประเด็นรวมทั้งการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาและยุติสงครามในกาซา ภาพนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางเพจเฟซบุ๊ก “MTAT – Milk Tea Alliance Thailand – พันธมิตรชานม” เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567   

ข้อสังเกตจาก 3 กรณี

  • เนื้อหาที่หยิบยกมาล้วนเป็นการสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมาในไทยด้วยการใช้ภาพและคลิปเก่าเผยแพร่ใหม่ ในบริบทใหม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื้อหาทั้งหมดถูกเผยแพร่ช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงก่อนครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมาชาวเมียนมาในไทยจะใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตย
  • เนื้อหาและการแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทางที่ทำให้เกิดความเข้าใจว่ามีพรรคการเมืองในไทยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมา ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568
  • ปัจจุบันเนื้อหาเหล่านี้ยังคงเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดีย แม้จะมีประชาชนทักท้วงจำนวนมาก โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เช่น การขึ้นข้อความแจ้งเตือนเนื้อหาเท็จ 

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

การไม่รับประทานไขมันดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

สำหรับคนที่กำลังเริ่มดูแลสุภาพน่าจะเคยได้ยินถึงการงดไขมัน  งดการรับประทานของที่มีความมัน ซึ่งจะทำให้เราอ้วน ลดน้ำหนักยาก ไขมันอุดตัน จริงหรือไม่ถ้าเราไม่รับประทานไขมันเลยจะทำให้สุขภาพดีขึ้น

“ไขมัน” เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะการทำงานของระบบสมอง รวมถึงการสร้างฮอร์โมน และผิวพรรณ กรดไขมันดีส่งผลดีต่อการทำงานของระบบหัวใจ 

ร่างกายควรได้รับแคลลอรี่ประมาณ 20-35% ของปริมาณไขมันที่ร่างกายต้องการ หรือไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน และที่สำคัญควรเน้นไปที่ “ไขมันดี”  (HDL) หรือ High Density Lipoprotein คือไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีความหนาแน่นของไขมันสูงเป็นไขมันที่ดีสำหรับหลอดเลือดแดง และยังช่วยป้องกันไม่ให้  “ไขมันไม่ดี” (LDL) หรือ Low Density Lipoprotein ที่สะสมอยู่ตามหลอดเลือดส่งไปที่ตับ เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย 

หากระดับไขมันดีในเลือดต่ำ จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและเกิดาการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs ต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไตวาย โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต เป็นต้น 

ดังนั้น การไม่รับประทานไขมันเลยถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะไขมันยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานไขมันดี เพื่อให้กำจัดไขมันไม่ดีออกจากหลอดเลือดและควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน

(ข้อมูลจาก : สำนักโภชนาการ / โรงพยาบาลรามาธิบดี / คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล)

กระทู้  https://cofact.org/article/3lj99zzgji6of 

พรรคประชาชนกับข้อกล่าวหา “บังคับนักเรียนฟังหาเสียงท่ามกลางฝุ่น PM2.5”

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบกรณีผู้ใช้บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” (@jjookklong3) โพสต์ภาพผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนแจกโบรชัวร์หาเสียงให้เด็กนักเรียน และเขียนข้อความกล่าวหาว่าพรรคประชาชนบังคับให้เด็กนักเรียนมานั่งฟังการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. ท่ามกลางฝุ่น PM2.5 ที่สูงในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

แม้ว่าการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะผ่านพ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 แต่โคแฟคยังคงตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง อบจ. ที่ปรากฏอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันการใช้ข่าวลวงมาเป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งในทุกระดับ

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อความในโพสต์ดังกล่าว ซึ่งมีการเข้าถึงเกือบ 2.8 หมื่นครั้งและมีผู้รีโพสต์ 270 ครั้ง (ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) โดยมีเนื้อหาที่ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า มีการบังคับให้นักเรียนมาฟังการหาเสียงกลางแจ้งในช่วงเวลาที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ลำดับเหตุการณ์และข้อความกล่าวหา

เวลา 11.12 น. วันที่ 23 มกราคม 2568  เพจเฟซบุ๊ก “นันทิยา ลิขิตอำนาจชัย” โพสต์ภาพพร้อมแคปชันระบุว่า “ภาพบรรยากาศการลงพื้นที่ของ เก่ง นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย ผู้สมัครนายก อบจ. สมุทรสงคราม พรรคประชาชน – People’s Party ลงพื้นที่พบปะน้อง ๆ โรงเรียนศรัทธาสมุทร”

ต่อมา วันที่ 24 มกราคม 2568 บัญชีผู้ใช้ X “เจ๊จุก คลองสาม” ในภาพมีโลโก “พรรคประชาชนสมุทรสงคราม” โดย “เจ๊จุก” โพสต์ข้อความ “หาเสียงในโรงเรียนกันไม่หยุดเลยทีเดียว ทั้งที่เมื่อก่อน เรียกร้องให้ยกเลิกเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า แต่ตอนนี้บังคับให้นักเรียนต้องมานั่งฟัง ท่ามกลางภาวะ PM2.5 ที่สูงแบบนี้ ขอสามคำจาก FC เจ๊จุก ให้กับพวกพรรคส้มหน่อยได้ไหม? เห็นแก่ตัวเกินมนุษย์จริง ๆ” (ลิงก์บันทึก https://archive.ph/Cl195)

ทั้งนี้มีผู้เข้ามาวิจารณ์พรรคประชาชนในโพสต์นี้จำนวนมาก ต่อมา “เจ๊จุก คลองสาม” ได้โพสต์ภาพและข้อความอีกว่า “ในสภาทำเป็นร้องว่า PM2.5 สูง เป็นอันตราย แต่ทีมงาน ส.ส.พรรคตัวเองไปบังคับเด็กนักเรียนให้นั่งฟังปราศรัยแล้วสูดดม PM2.5 กลางแจ้ง…ปากอย่างทำอย่าง พวกเราอยากได้นักการเมืองแบบนี้จริงๆเหรอ?”

โคแฟคตรวจสอบ

  • บัญชีผู้ใช้ X  @jjookklong3 “เจ๊จุก คลองสาม” เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 มีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน (ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) โพสต์ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไทย การวิจารณ์พรรคประชาชน นักกิจกรรมทางการเมือง และประเด็นเมียนมา
  • ทีมงานพรรคประชาชน จ.สมุทรสงคราม ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า พรรคประชาชนได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนศรัทธาสมุทร อ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อขออนุญาตประชาสัมพันธ์นโยบายของผู้สมัครนายก อบจ. ในช่วงที่นักเรียนเข้าแถวหน้าเสาธง โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที เนื่องจากทางพรรคมีความเห็นว่านักเรียนเป็นพลเมืองที่ควรมีส่วนร่วมทางการเมือง จึงเห็นควรให้พวกเขาทราบถึงนโยบายต่าง ๆ ที่ผู้สมัครนายก อบจ. จะดำเนินการเพื่อพัฒนาจังหวัด จากการติดต่อประสานงาน ทางโรงเรียนศรัทธาสมุทรได้อนุญาตและได้มีการนัดหมายวันเวลาให้ตามที่พรรคการเมืองเสนอ

สำหรับปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้น ทีมงานพรรคประชาชนอธิบายว่า ทางโรงเรียนจะตรวจสอบค่าฝุ่นและคุณภาพอากาศประจำวันหากอยู่ในระดับที่อันตรายต่อสุขภาพก็จะงดการเข้าแถวหน้าเสาธง ซึ่งในวันที่ทีมงานพรรคประชาชนได้รับอนุญาตให้เข้าไปประชาสัมพันธ์นโยบายนั้น ทางโรงเรียนได้ให้นักเรียนเข้าแถวหน้าเสาธงตามปกติ

จากภาพที่เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก “นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย” เห็นได้ว่า ผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนยืนพูดกลางแจ้ง ส่วนเด็กนักเรียนนั่งอยู่ในบริเวณลานกิจกรรมในร่ม

ผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนประชาสัมพันธ์นโยบายที่โรงเรียนศรัทธาสมุทรเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 (ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย)
  • โคแฟคตรวจสอบค่าฝุ่น PM2.5 ย้อนหลังจากเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ พบว่าค่าฝุ่น PM2.5 จากสถานีวัดคุณภาพอากาศที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ต.ลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนศรัทธาสมุทรประมาณ 4 กิโลเมตร พบว่าค่าฝุ่นในช่วงเช้าของวันที่ 23 มกราคม 2568 อยู่ที่ 82.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ซึ่งเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่ 50 มคก./ลบ.ม. และอยู่ในระดับที่ “เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ”

ทั้งนี้ ค่าฝุ่น PM2.5 ระดับ 51-90 มคก./ลบ.ม. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำให้ประชาชน “ลดระยะเวลาหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หากจำเป็นให้สวมหน้ากากอนามัย

เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษรายงานความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 ณ เวลา 8.00 น. วันที่ 23 มกราคม 2568 อยู่ที่ 82.8 มคก./ลบ.ม.

ข้อสรุปโคแฟค

จากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่า เหตุการณ์ทีมงานพรรคประชาชนพบปะเด็กนักเรียนที่บัญชีผู้ใช้ X “เจ๊จุก คลองสาม” นำมาเผยแพร่นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่โรงเรียนศรัทธาสมุทร อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม โดยทีมงานผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนได้ขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียนเพื่อเข้าไปประชาสัมพันธ์นโยบายในช่วงหลังการเข้าแถวเคารพธงชาติ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที

สำหรับข้อกล่าวหาที่ผู้โพสต์ระบุว่า “บังคับให้นักเรียนต้องมานั่งฟังท่ามกลางภาวะ PM2.5 ที่สูง” นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในเวลา 8.00 น. ของวันที่ 23 มกราคม อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผบกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ทางโรงเรียนและทางทีมงานผู้สมัครควรตรวจสอบคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด หากมีการจัดกิจกรรมในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง ควรพิจารณาให้รอบคอบและดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของนักเรียนเป็นหลัก

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ