กินแหนมหมูดิบ เสี่ยงเป็นโรคไข้หูดับจริงหรือ?

     การรับประทานเนื้อหมู แหนมหมู หรือเลือดหมูสุกๆ ดิบๆ จะมีเชื้อสเตปโตค็อกคัส ซูอิส  (Streptococcus suis) ปนเปื้อนอยู่ในทางเดินหายใจและเลือดของหมูที่ติดเชื้อ เชื้อนี้จะติดต่อมาสู่คนได้จึงเรียกว่า โรคไข้หูดับ นอกจากนี้โรคไข้หูดับสามารถติดต่อผ่านทางบาดแผล รอยถลอก และทางเยื่อบุตา  เป็นต้น ทำให้ผู้ติดเชื้อมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ หนาวสั่น สับสนกระสับกระส่าย ปวดข้อ คอแข็ง หูหนวกหรือการได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลัน

      ดังนั้นการรับประทานแหนมหมูดิบ หรือหมูสุกๆดิบๆ อาจเสี่ยงเป็นโรคไข้หูดับได้ 

   นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน กล่าวต่อไปว่าในปัจจุบันมีกระแสสังคมบนสื่อออนไลน์ได้รีวิวการรับประทานอาหารดิบและมีพฤติกรรมการดื่มสุราร่วมกับการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆมีผู้ติดตามรับชมจำนวนมากอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบหรืออยากลองทำตาม ทำให้เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับได้ เพื่อเป็นการป้องกันโรคไข้หูดับขอให้รับประทานหมูอย่างถูกวิธี ดังนี้

1.รับประทานเนื้อหมูหรือเลือดหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น 

2.อาหารปิ้งย่าง ควรใช้อุปกรณ์ในการคีบเนื้อหมูดิบและเนื้อหมูสุกแยกจากกัน

3. ไม่ควรรับประทานหมูดิบร่วมกับการดื่มสุรา

4. เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ 

5. ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบูทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

(ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)

ลิ้งค์กระทู้ Cofact  : https://cofact.org/article/1y0tcg3st102r

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

ดื่มนมพร้อมยาได้ผลจริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cp7o63py876w


มังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็งได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cas7i0uvtk8t


น้ำดื่มมีกลิ่นคลอรีน อาจเป็นสัญญาณของน้ำไม่สะอาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3v2igvl34o1s2


  สภาเอกฉันท์ รับหลักการ ร่าง “พ.ร.บ.ตั๋วร่วม” บัตรใบเดียว ใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/d9dfabpn1wf8#_=_


 ฝุ่น PM2.5 อันตรายต่อดวงตา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1f7h1spq7tsvc


 กลางปี68 ปิดซ่อมใหญ่”สะพานพุทธ”

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2f5wmidwuddeyn


 ตัดไฟเมืองชายแดน 2 จุด สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/dsp8am0qzvef#_=_


 ต้นลูกใต้ใบ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และลดไข้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/otg1ubjed81p


ถอดรหัสถ้อยคำ‘ข่าวลวงสุขภาพ’ กลวิธีจี้ปม‘ความเปราะบาง’ คนอ่านพร้อมเชื่อและแชร์

29 ม.ค. 2568 รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ใน EP2 ของปี 2568 รับเทศกาล “ตรุษจีน” ชวนพูดคุยกับ ผศ.ดร.นิษฐา หรุ่นเกษมอาจารย์สาขานิเทศศาสตร์ คณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ในหัวข้อ เฮงปัง สุขภาพดี เท่าทันข้อมูลลวง เช็กให้ชัวร์ที่โคแฟค รับตรุษจีน สืบเนื่องจากเรื่องสุขภาพ เป็นหัวข้อที่พบปัญหาข่วงลวงและข้อมูลบิดเบือน-คลาดเคลื่อนบนโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง

ผศ.ดร.นิษฐา กล่าวถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่ถูกส่งเข้ามาในฐานข้อมูลบนเว็บไซต์ cofact.org โดยไล่ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2562 มาจากถึงวันที่ 20 พ.ย. 2567 คัดมา 1,726 รายการ ในจำนวนนี้ร้อยละ 97 มีการตรวจสอบไปแล้ว มีข้อค้นพบที่น่าสนใจ 1.ช่วงเวลา แบ่งเป็นช่วงก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบว่า ในช่วงปี 2563 – 2564 ที่มีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะมีการส่งข้อมูลเข้ามาให้ช่วยตรวจสอบเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากนั้นการส่งเข้ามาก็ค่อยๆ ลดลง

สะท้อนถึงว่าตอนนั้นคนไม่มั่นใจข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองได้ จะเชื่อได้ไหม? ข้อความนี้เป็นอย่างไร? จะใช้ได้ไหม? ทำให้เหมือนกับบางครั้งก็ต้องตรวจสอบ ทีนี้จะตรวจสอบที่ไหน? เวลาที่คนส่งข้อความเข้ามาเยอะๆ สามารถจะอนุมานได้ว่าในนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่เขาเชื่อถือมั่นใจ ข้อมูลที่ได้มาจึงมีจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด

2.ประเภทของข้อมูลในช่วงสถานการณ์โควิด-19ข้อมูลที่พบมากคืออาการของโรค การป้องกันตนเอง การรักษาและการฉีดวัคซีน สะท้อนว่าการที่มีข้อมูลข่าวลวงจำนวนมากก็ส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น ในเวลานั้นมีคำถามเกิดขึ้นว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่ เกิดความลังเลจากข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงต่างๆอาทิ ฉีดแล้วเป็นหมัน เป็นโรคเรื้อน หรือฉีดแล้วเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม การที่คนส่งข้อมูลมาทางเว็บไซต์น้อยลงหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป อาจเป็นเพราะไปส่งผ่านช่องทางอื่นก็ได้ เช่น โคแฟคมีไลน์ @cofact ซึ่งปกติหลายคนก็อยู่กับโทรศัพท์มือถือและได้รับการแชร์ข้อความต่างๆ ผ่านทางไลน์อยู่แล้ว จึงอาจส่งเข้าไปให้ตรวจสอบในช่องทางดังกล่าวเพราะเห็นว่าง่ายต่อไป ซึ่งก็จะต้องเก็บข้อมูลต่อไปว่าผู้คนใช้ช่องทางใดมากกว่ากัน

3.ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่พบบ่อยๆ พบว่า มีหลากหลายมากทั้ง 3.1 สุขภาพจิต เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า การปรับอารมณ์ มีเข้ามาทั้งที่เป็นข้อมูลและการสอบถาม อาทิ เล่นเกมช่วยลดความเครียดได้หรือไม่? กินสมุนไพรชนิดนี้ลดอาการซึมเศร้าได้หรือเปล่า? เป็นต้น 3.2 โภชนาการเป็นเรื่องการบริโภคอาหารและการควบคุมน้ำหนัก เช่น ทฤษฎีการกินตามกลุ่มเลือด กินตามเวลาหรือตามความเชื่อบางอย่าง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง อาทิ ยา แผ่นแปะ เครื่องดื่ม ปากกา เซรั่ม ครีม ฯลฯ ซึ่งมักเชื่อมโยงกับการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง   3.3 โรคและการรักษา มีทั้งการรักษาแบบทางเลือก การป้องกันโรค ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับสมุนไพรและอาหารเสริม เช่น ฟ้าทะลายโจรใช้อย่างไร? น้ำโซดาช่วยย่อยอาหารได้หรือไม่? 3.4 การดูแลสุขภาพ เช่น ในเรื่องการนอน มีทั้งการนอนตะแคง ใส่ถุงเท้าแล้วจะช่วยให้นอนหลับได้ง่าย หรือวิ่งมากจะแก่เร็ว บางเรื่องที่ไม่คิดว่าจะมีคนสงสัยก็มี จึงเกิดคำถามว่าแล้วจะไปหาคำตอบจากไหนที่น่าเชื่อถือ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ส่งเข้ามาจะเป็นข้อมูลลอยๆ ไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาและยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หากหลงเชื่อแล้วเกิดอันตรายขึ้น คนที่จะได้รับอันตรายก็คือคนที่หลงเชื่อนั้นเอง

4.ถ้อยคำที่มักถูกเลือกใช้ในข้อมูลที่ส่งต่อกันเรื่องสุขภาพ มักผูกกับการรักษาด้วยวิธีการทางธรรมชาติ เช่น น้ำมะนาวร้อนรักษามะเร็ง ถั่งเช่ารักษามะเร็ง น้ำมันกัญชา น้ำต้มใบมะขาว แต่ขณะเดียวกันก็มักจะใช้คำทางวิทยาศาสตร์ด้วย เช่น หากเป็นโรคมะเร็ง จะมีคำว่า คอร์ไดเซปิน เอนไซม์โบรมิเลน หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายตา จะมีคำว่า แคนนาบินอยด์ ไบโลบา หากเป็นโรคเรื้อรัง หรือทางการแพทย์คือกลุ่มโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง จะมีคำว่า อัลคาลอยด์ จินเซนโนไซด์

เวลาที่เขาพูดถึงวิถีธรรมชาติ การรักษาทางเลือก สมุนไพร พวกคำวิทยาศาสตร์ คำเฉพาะเจาะจงแบบนี้จะถูกใส่เข้ามาประกบกัน เข้าใจว่ามันอาจจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถืออะไรบางอย่าง เพราะมันเป็นคำที่มันดูเป็นวิทยาศาสตร์ ดูน่าเชื่อถือ ดูเป็นคำยากๆ เก๋ๆ เราแปลไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออก แต่มันน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องการแพทย์ เพราะฉะนั้นน่าเชื่อ ตรงนี้ก็เหมือนเป็นตัวลวงตัวหลอก

5.หลายครั้งข้อมูลถูกแชร์วนซ้ำ โดยทีมงานที่ช่วยเก็บข้อมูลพบว่าหลายเรื่องเคยเก็บแล้วก็ยังพบอีก ดังนั้นคงต้องใช้คำที่คุ้นเคยในช่วงโควิด-19 ระบาดคือ การ์ดอย่าตก เช่น ในปีนี้เจอข้อมูลข่าวสาร ตรวจสอบเรียบร้อยพบว่าเป็นข่าวลวง แต่ผ่านไป 3-4 ปี ข้อมูลเดิมก็ถูกแชร์วนกลับมาอีก หากการ์ดตกไม่ว่าด้วยปัจจัยใดๆ ก็ตาม ก็อาจหลงเชื่อได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยตรวจสอบจนรู้แล้วว่าเป็นเรื่องลวงหรือข้อมูลบิดเบือน

6.ข้อมูลเรื่องสุขภาพมักเล่นกับความเปราะบางของคน เช่น โรคเรื้อรัง (NCDs) มีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา ในขณะที่ผู้ป่วยก็อยากหายไวๆ และหายขาด ในค่าใช้จ่ายที่ตนเองแบกรับได้ ดังนั้นข้อมูลจึงนำเสนอทางเลือกที่ง่ายและราคาถูก เช่น ใช้คำว่า ต้มดื่มวันละ 1 แก้ว ในราคาแค่วันละ 10 บาท” , “วัตถุดิบมีขายในตลาดและราคาไม่แพง” ,ประหยัด เป็นต้น โดยคำเหล่านี้มักปรากฏเพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษากับแพทย์ที่สูงกว่า 

นอกจากนั้น หลายคนท้อแท้เพราะไม่หายป่วยเสียทีในการรักษาโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่มีข้อมูลการรักษาด้วยสมุนไพรหรือวิธีการทางธรรมชาติ เช่น สูตรยาจากตำราแพทย์แผนไทยโบราณ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ใช้มาหลายชั่วอายุคน แต่ก็ยังจะไปผูกกับคำทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ เป็นการผสมระหว่าง โบราณ คือใช้มาหลายรุ่นหลายชั่วอายุคน และใช้ได้ผลจึงยังคงดำรงอยู่มาถึงปัจจุบันกับ ศัพท์วิทยาศาสตร์ ซึ่งดูน่าเชื่อถือและเป็นที่พึ่งของความหวัง ฟังแล้วเชื่อว่าต้องหายป่วยแน่นอน

  ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเปราะบางกับความเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ข้อเข่าเสื่อม ปัญหาสุขภาพตามวัยของเรา เรื่องของความจำ ของสมอง ถ้าเป็นผู้ป่วยโรคร้ายแรง เราอาจกำลังกังวลต่อโรคที่กำลังเป็น หรือผู้ป่วยที่กังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสายตา จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก กรณีเป็นคนที่สนใจข้อมูลสุขภาพความงาม ก็จะเปราะบางต่อเรื่องควบคุมน้ำหนัก เรื่องการทานอาหาร อาหารคลีน อาหารมังสวิรัติ อาหารตามกรุ๊ปเลือด เรื่องของการย่อยอาหารก็เป็นเรื่องที่ให้ความสนใจเหมือนกัน

7.ถ้อยคำและวิธีการที่กระตุ้นให้อยากเชื่อ-อยากลอง (และอยากแชร์) ไล่ตั้งแต่ 7.1ระบุตัวเลขแบบเฉพาะเจาะจง เช่น หายขาดภายใน 7 วัน ให้นับวันรอได้เลย , เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ซึ่งหากเป็นคำแนะนำจากแพทย์จะต้องใช้เวลาในการรักษา แต่ตัวเราไม่อยากรอ , สยบทุกอาการป่วยใน 24 ชั่วโมง , ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ 95% คือเน้นการทำให้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่จะกินหรือใช้  7.2 ใช้คำที่มีความหมายทำนอง เด็ดขาด เช่น รักษามะเร็งได้แน่นอน หายขาดจากโรคเบาหวาน ป้องกันโรคได้ 100% ซึ่งแตกต่างจากความเห็นของแพทย์ที่จะบอกให้เผื่อๆ ไว้ 7.3 ใช้การอ้างอิง เช่น อ้างความเป็นสูตรโบราณ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่พิสูจน์มาแล้วหลายชั่วอายุคน อ้างอิงการเป็นทางเลือกด้วยการบอกว่าในเมื่อรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ไปโรงพยาบาลแล้วยังไม่ได้ผลก็มองหาทางเลือกอื่นๆ  7.4 อ้างความเป็นข้อมูลลับหรือสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยรับรู้แล้วให้รีบตัดสินใจ เช่น บอกให้รีบแชร์ก่อนถูกลบ บอกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งจะตรงข้ามกับการณรงค์ให้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ ที่ต้องการทำให้การตัดสินใจช้าลงหรือไม่ด่วนตัดสินใจเพื่อให้มีเวลาได้หยุดคิดและตรวจสอบ 7.5 แม้จะอ้างบุคคล ผู้เชี่ยวชาญ หรือสถาบันที่น่าเชื่อถือมารับรองก็ยังต้องระวัง เช่น อ้างชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนึ่งกับโรคที่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของแพทย์ท่านนั้น  

หรือที่อ้างว่าได้รับการรับรอง แม้จะได้รับการรับรองจริงแต่หลายอย่างมีจำกัดอายุ ก็ต้องตรวจสอบอีกว่าการรับรองนั้นหมดอายุไปแล้วหรือยัง หรืออ้างว่ามีคนนั้นคนนี้ใช้แล้วเห็นผลบ้าง ใช้แล้วพึงพอใจบ้าง ก็ต้องคิดต่อไปอีกว่าคนที่อ้างถึงนั้นเป็นใคร เพราะส่วนใหญ่การอ้างจะมี 2 ส่วน คือผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้จริง ซึ่งผู้ใช้จริงก็มักจะเป็นเพื่อนหรือคนในครอบครัว ตามสูตรก็เหมือนกับการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลทางความคิด (Influencer) มาเล่าเรื่องว่าใช้แล้วได้ผลจริง 

“ถ้าให้สรุปคือส่วนใหญ่แล้วข้อมูลไม่ระบุแหล่งที่มาชัดเจน เน้นความสะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย ไม่มีสถิติที่มาข้อมูล เชื่อมโยงกับโรคสมัยใหม่ เชื่อมโยงกับคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ พวกนี้เหมือนทำให้เราเวลาที่คิดว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี ไปเจอกลยุทธ์ เจอเทคนิค กลวิธีแบบนี้ เราจะเหมือนหลอมละลายทุกทีเราเชื่อตามข้อมูลพวกนี้ทุกที อันนี้ก็คือเป็นข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้เจอจากฐานข้อมูลของโคแฟค”

หมายเหตุ : รับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1827458771347007/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับแอป Smart Vote ของ กกต.  

กมล หอมกลิ่น: โคแฟคอีสาน

นับตั้งแต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดตัวแอปพลิเคชัน “Smart Vote” เมื่อเดือนมกราคม 2562 ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ ระดับท้องถิ่น หรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภา กกต. จะเชิญชวนให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปเพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ก่อนการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ก็มีการโหมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปมาใช้งานเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารและอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการเลือกตั้งเช่นกัน

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแอป Smart Vote ที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยเฉพาะแรงงานต่างถิ่นที่ไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิที่ภูมิลำเนาได้ เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าและการเลือกตั้งนอกเขต ดังนั้นแอป Smart Vote จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่มีความสำคัญและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเพื่อรักษาสิทธิทางการเมืองของตนเอง

รู้จักแอป Smart Vote

กกต. พัฒนาและเปิดตัวแอปพลิเคชัน “ฉลาดเลือก Smart Vote” ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับแอปไว้ว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าถึงข้อมูลผู้สมัครรับเลือกตั้ง ข้อมูลพรรคการเมือง ข้อมูลที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง”

ภายในแอปแบ่งเนื้อหาเป็น 5 หัวข้อ คือ 1) การเลือก สว. 2) เลือกตั้ง สส. 3) เลือกตั้งท้องถิ่น 4) การออกเสียงประชามติ และ 5) รวมกฎหมาย/ข่าวประชาสัมพันธ์

ในหัวข้อ “เลือกตั้งท้องถิ่น” จะมีให้เลือก 6 หัวข้อย่อย เช่น ข้อมูลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ข้อมูลการเลือกตั้ง อบจ./เทศบาล/อบต./กทม./เมืองพัทยา, ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง/แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะลิงก์เชื่อมต่อกับข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ของ กกต. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง  

ส่วนของการแจ้งเหตุทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อคลิกเข้าไประบบจะขึ้นข้อความและสัญลักษณ์ให้ดาวน์โหลดแอป “ตาสับปะรด” ซึ่งเป็นอีกแอปพลิเคชันหนึ่งที่ กกต. พัฒนาขึ้นเพื่อรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งโดยเฉพาะ

Smart Vote เคยโดนแฮ็ก?

หนึ่งในประเด็นที่แพร่หลายในโซเชียลมีเดียคือกรณีแอป Smart Vote “โดนแฮ็ก” ซึ่งมีการเผยแพร่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ตัวอย่างเช่น บัญชีผู้ใช้ TikTok ชื่อ “Artจิตรภณุ” โพสต์คลิปวิดีโอเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ระบุว่า “แอป Smart Vote ของ กกต. โดนแฮ็ก” และแนะนำให้ประชาชนถอนการติดตั้งแอปเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล

“…มันมีข้อความแปลก ๆ เด้งขึ้นมาในแอปพลิเคชัน เช่น ‘ก้าวไกล no.1’ ‘ลุงตู่อยู่ไหน’ กกต. ไปตรวจสอบแล้วว่าระบบถูกแฮ็กครับ ซึ่ง Smart Vote หลายคนก็ดาวน์โหลดมาตั้งแต่มีการเลือกตั้ง เพราะว่าจะได้ตามผลการเลือกตั้ง ผมเองก็ดาวน์โหลดมาเหมือนกัน ผมว่าเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของเรา แนะนำให้ทุกคนลบทิ้งมันไปเลยครับ” เจ้าของคลิประบุ

โคแฟคตรวจสอบพบว่าสื่อมวลชนหลายสำนักรายงานตรงกันว่าแอป Smart Vote โดนแฮ็กเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เช่น มติชนออนไลน์ ไทยพีบีเอส และไทยรัฐ ซึ่งรายงานว่าประชาชนจำนวนมากที่ติดตั้งแอป Smart Vote ของ กกต. ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากแอปจำนวนมากในช่วงเวลา 13.00 น. ข้อความมีเช่น “ลุงตู่อยู่ไหน อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่รวมไทยสร้างชาติ” และ “ก้าวไกล no1” ตลอดจนคำอุทาน คำด่าหรืออักขระพิเศษที่ไม่มีความหมาย

วันเดียวกันนั้น ผู้อำนวยการประชาสัมพันธ์สำนักงาน กกต. ได้ส่งข้อความแจ้งสื่อมวลชนผ่านไลน์กลุ่ม “ภารกิจ กกต.” ว่า ขณะนี้มีแฮ็กเกอร์กำลังเข้าโจมตีแอปพลิเคชัน Smart Vote ทำให้มีข้อความประหลาดในการแจ้งเตือนของแอป ซึ่งทางสำนักประชาสัมพันธ์ ได้แจ้งทางสำนักสนับสนุนการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติแล้ว

ตัวอย่างข้อความที่ปรากฏในแอป Smart Vote หลังจากโดนแฮ็ก
(ภาพจากมติชนออนไลน์)

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แอป Smart Vote กลับมาใช้งานได้ตามปกติ และ กกต. ก็ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนติดตั้งแอปนี้อีกครั้งในช่วงการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่จัดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2567 เพื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. และผลการเลือก

แจ้งเหตุไม่ไปเลือกตั้ง อบจ. ผ่านแอป Smart Vote ได้?

ก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ. ใน 47 จังหวัดและ ส.อบจ. ในทุกจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โคแฟคพบว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแอป Smart Vote จำนวนมาก ทั้งเชิญชวนให้ติดตั้งแอปเพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง และแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น บัญชีผู้ใช้ TikTok ชื่อ “Natcha na ka” โพสต์คลิปวิดีโอเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2568 อธิบายขั้นตอนการแจ้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ทางแอป Smart Vote โดยให้ข้อมูลว่าระบบจะเปิดให้เข้าไปแจ้งเหตุ 2 ช่วงคือ 25-31 มกราคม และ 2-8 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น  

บัญชีผู้ใช้ TikTok ชื่อว่า “ฮักน้ำขุ่น” ซึ่งอยู่ใน จ.อุบลราชธานี โพสต์คลิปภาษาอีสานแนะนำให้คนที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิทางออนไลน์ ภายใน 7 วัน หลังการเลือกตั้ง

โคแฟคสอบถามเจ้าหน้าที่ กกต. ประจำ “สายด่วน กกต. 1444” เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ได้รับคำยืนยันว่า ประชาชนสามารถ “ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง” หรือ “แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” ทางแอปพลิเคชัน Smart Vote ได้จริง โดยเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิไว้ แต่หากวันเลือกตั้งสามารถไปใช้สิทธิได้ ก็สามารถเข้าไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้ตามปกติ

“บางคนอาจมีข้อจำกัดจำเป็นที่ทำให้ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ หรือมีธุระด่วนสำคัญในวันนั้น การลงข้อมูลในระบบออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกและเป็นช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย หรือบางคนที่ลงไว้แล้วแต่ถึงวันจริงไปได้ก็สามารถเลือกตั้งได้ตามปกติ” เจ้าหน้าที่สายด่วน กกต. กล่าว

ทั้งนี้ ผู้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งทางออนไลน์จะต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งของการเลือกครั้งนั้น ๆ เช่น ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น และต้องแจ้งเหตุในช่วงระยะเวลาที่กำหนด คือ ก่อนการเลือกตั้ง 7 วัน หรือภายใน 7 วัน หลังวันเลือกตั้ง

วิธีการตรวจสอบสิทธิเลือกตั้งและแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งทางแอป Smart Vote มีดังี้ กดเข้าแอปพลิเคชัน Smart Vote > เลือกเมนู “เลือกตั้งท้องถิ่น” > เลือกเมนู “ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง” > หากมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ให้ไปที่เมนู “แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” ระบบจะพาเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องกรอกเลขบัตรประชาชน ชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิด เพื่อดำเนินการต่อ

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 มกราคม 2568

การอมเกลือทำความสะอาดฟันได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/k36jywhr8ihu


เบตาดีน ช่วยรักษาสิวอักเสบภายใน 1 คืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2xhsuoaarm4fo


น้ำข้าวผสมไข่ขาวช่วยรักษาโรคไตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rj2064ixyjd6


  เผยภาพผลกระทบจากฝุ่นพิษ เด็กนักเรียนตัวเลือดกำเดาไหลไม่หยุด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/36xa3qcedzggd


 ใช้น้ำมันทอดซ้ำ เสี่ยงอันตราย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3mg1o81jx1k85


 กินหมูกระทะไม่แยกตะเกียบเสี่ยงโรคไข้หูดับ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3bia5pr7fz8d3


 “นายกฯ” สั่ง “คมนาคม” ให้ประชาชนขึ้น “รถไฟฟ้า – รถ ขสมก.” ฟรี 7 วัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l1s0disl3fdq


 ในช่วงวันที่ 26-28 ม.ค. 68 กรุงเทพเตรียมหนาวอีกรอบ เย็นลง 2-5 องศาฯ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32z0gj8ik9d14


 ข้อบังคับใหม่ สายการบินปฏิเสธรับขนส่งผู้โดยสารได้ เริ่ม 19 ก.พ. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/7j1rill81hrh


 ออกกำลังกายช่วยบรรเทาโรคซึมเศร้าได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/dkjcy6d4sx08


  การแช่เท้าในน้ำส้มสายชูช่วยลดกลิ่นเท้า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1fd3c7qnzvjs1


 กินผักเยอะๆทำให้ท้องอืด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1m370x79zj03r


รับชมคลิปสั้นเพื่อแสวงหาความจริงร่วมโรคมะเร็งEP.1 ทำไมคนไทยถึงชอบแชร์ข้อมูล น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็ง

ซีรีส์คลิปสั้นเพื่อแสวงหาความจริงร่วมโรคมะเร็ง
EP.1 ทำไมคนไทยถึงชอบแชร์ข้อมูล น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็ง

สายชอปต้องรู้! สู้โจรออนไลน์

สายชอปต้องเช็ก👀🎁😶‍🌫️

ในยุคมิจจี้แฝงตัวมาเป็นมิตร
มีคนโดนโกงผ่านช่องทางออนไลน์ มูลค่าความเสียหายรวม 65,000 ล้านบาท!!
เราจะทำอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ แล้วเมื่อตกเป็นเหยื่อแล้วต้องทำอย่างไร?!
ติดตามชมได้ใน
‘สายชอปต้องรู้ สู้โจรออนไลน์💪’

#เช็กให้ชัวร์ที่โคแฟค

#Cofact #โคแฟค

#ร้องเรียนสภาผู้บริโภค1502

#สภาองค์กรของผู้บริโภค

คนไทยขวัญใจมิจ!

ทุกวันนี้ได้รับสายจากมิจมากกว่ามิตรแล้ว !!! ชวนดูและฟังคนในคลิปมาบอกเล่าประสบการณ์จากภัยมิจฉาชีพและวิธีป้องกัน เพราะเงินจะมากหรือน้อย บางทีก็เป็นเงินทั้งหมดที่มี นอกจากเงินแล้ว มิจฉาชีพยังทำให้สูญเสียได้อีกหลายอย่าง ดูคลิปแล้ว ใครอยากเตือนภัยแบบไหนอีก คอมเมนต์ได้เลยค่ะ

#หารายได้ออนไลน์ #มิจฉาชีพ #ไม่รีบไม่โอน #อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งโอน #whoscall #โคแฟค

ข้อกังขาและคำชี้แจง “ทำไมเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์”

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

คำถามว่า “ทำไมเลือกตั้งวันเสาร์” กลับมาอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่าการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้งในวันเสาร์นั้นเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลและเป็นอุปสรรคต่อการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะวันเสาร์เป็นวันทำงานของสถานประกอบการภาคเอกชน

แม้ว่า กกต. จะชี้แจงเหตุผลที่จัดการเลือกตั้งวันเสาร์แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของคนส่วนใหญ่เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งด้วยการออกเอกสารชี้แจงเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 และการตอบข้อซักถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนธันวาคม 2567 แต่ประเด็นนี้ยังคงถูกตั้งคำถามจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ช่วยหาเสียง นักสังเกตการณ์ทางการเมือง และประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ในแอปพลิเคชัน TikTok มีผู้กล่าวหาว่า การกำหนดให้เลือกตั้งวันเสาร์นั้น “มีเลศนัย” “การโกงก่อนการเลือกตั้ง” และเป็น “แผนสกัด/ตัดคะแนน” ของพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยทำงาน  

ประเด็นเรื่องการเลือกตั้งวันเสาร์เริ่มถูกนำมาใช้โจมตีกันทางการเมืองในโซเชียลมีเดีย เช่น เพจเฟซบุ๊ก “ความจริงของระยอง” โพสต์เนื้อหาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 กล่าวหาพรรคประชาชนว่านำประเด็นนี้มา “ปั่นกระแส”

โคแฟคพบว่าข้อสงสัย คำถาม และเนื้อหาที่วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่จะขาดบริบทและไม่มีคำชี้แจงจาก กกต. ประกอบ ทำให้มีผู้แสดงความไม่พอใจและเกิดข้อกังขาต่อความเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ซึ่งอาจส่งผลต่อการยอมรับผลการเลือกตั้งในภายหลังได้  

เพื่อให้การวิพากษ์วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งของ กกต. อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพและสะดวกต่อการออกมาใช้สิทธิของประชาชน โคแฟคจึงได้รวบรวมข้อสงสัยข้อกังวลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ และสาระสำคัญของคำชี้แจงของ กกต. มาไว้ดังนี้

ทำไมถึงเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568?

พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นกำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วันหลังจากผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่นดำรงตำแหน่งครบวาระ ซึ่งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ชุดที่ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2563 ดำรงตำแหน่งครบวาระในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 กกต. จึงต้องจัดการเลือกตั้งภายในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเส้นตาย 45 วันที่กฎหมายกำหนด

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ตอบข้อซักถามของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน ในประเด็นเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง อบจ. ตรงกับวันเสาร์ ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร​เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567

กกต. ยอมรับว่าปกติแล้วจะกำหนดวันเลือกตั้งเป็น “วันอาทิตย์ของสัปดาห์สุดท้ายก่อนครบ 45 วัน” แต่ในกรณีนี้ วันอาทิตย์สุดท้ายของระยะเวลา 45 วัน ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ทำให้ “สุ่มเสี่ยงกับการจัดการเลือกตั้งเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด” เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มีหน่วยเลือกตั้งจำนวนมากกว่า 90,000 หน่วย อาจมีเหตุให้บางหน่วยไม่สามารถนับคะแนนและรวมคะแนนเสร็จภายในวันเดียว กกต. จึงได้กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีเหตุจำเป็นให้การนับคะแนนล่วงเลยไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ การเลือกตั้งก็ยังนับว่าอยู่ในระยะเวลา 45 วันตามที่กฎหมายกำหนด

กกต. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เหตุที่ไม่กำหนดวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568 ก็เพราะจะทำให้มีเวลาน้อยเกินไปสำหรับกระบวนการรับสมัคร การตรวจสอบคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร และทำให้ผู้สมัครมีเวลาหาเสียงน้อยลง

ทำไมถึงไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งวันเสาร์?

สส. พรรคประชาชน เช่น พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส. สมุทรปราการ และ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แสดงความไม่เห็นด้วยและเรียกร้องให้ กกต. ทบทวนเรื่องนี้มาตั้งแต่ กกต. ประกาศปฏิทินการเลือกตั้ง อบจ. เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567

เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ ได้แก่

  • การเลือกตั้งวันเสาร์จะทำให้ประชาชนมาใช้สิทธิน้อย โดยเฉพาะในจังหวัดที่เป็นเขตอุตสาหกรรม เพราะเป็นวันทำงานของโรงงานและสถานประกอบการจำนวนมาก
  • การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าหรือเลือกตั้งนอกเขต กกต. จึงต้องลดอุปสรรคของการออกมาใช้สิทธิให้ได้มากที่สุด การกำหนดให้เลือกตั้งวันเสาร์เป็นการเพิ่มอุปสรรคในการออกมาลงคะแนนเลือกตั้ง โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน พนักงานบริษัทเอกชนที่ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ หยุดเฉพาะวันอาทิตย์
  • การเลือกตั้งวันอาทิตย์ ทำให้ประชาชนมีเวลามากขึ้นในการเดินทางกลับภูมิลำเนามาใช้สิทธิ
  • ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เพราะที่ผ่านมาการเลือกตั้งมักจัดในวันอาทิตย์ และหากนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ การเลือกตั้งทุกครั้ง ทั้งการเลือกตั้ง สส. ปี 2562 และ 2566 การเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับล้วนจัดในวันอาทิตย์
  • หากมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้การนับคะแนนเลือกตั้งในบางหน่วยไม่เสร็จสิ้นภายในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์อย่างที่ กกต. กังวล กกต. ก็สามารถขยายระยะเวลาได้ตามมาตรา 11 วรรค 3 ของ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ ที่ระบุว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจมีคำสั่งให้ย่นหรือขยายระยะเวลาให้มีการจัดการเลือกตั้งได้ตามความจำเป็นเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ”

กกต. ว่าอย่างไร?

หลังจากมีข้อทักท้วงจากพรรคการเมืองและ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้นำเรื่องเข้าหารือกับกรรมการการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็มีมติให้คงกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ตามเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นไม่เกินระยะเวลา 45 วัน

ส่วนข้อเสนอเรื่องการขยายระยะเวลาการจัดการเลือกตั้งในบางพื้นที่เมื่อมีเหตุการณ์พิเศษนั้น นายแสวงกล่าวว่า “เป็นความเห็นทางกฎหมายที่จะต้องตีความกัน”

สำหรับความกังวลว่าการเลือกตั้งวันเสาร์ซึ่งเป็นวันทำงานของภาคเอกชนอาจส่งผลให้ผู้มาใช้สิทธิน้อย กกต. ได้ ส่งหนังสือไปถึงทุกหน่วยงานเพื่อให้อำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ได้แก่

1) หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขที่ ลต 0012/18372 – 4 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ถึงปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานราชการ และภาคเอกชนในแต่ละจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.

2) หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขที่ ลต 0012/ว2190 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทุกจังหวัด ประสานและขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบกิจการ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด นายจ้าง และส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่ออนุญาตและอำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด

หน่วยงานต่าง ๆ เร่งรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนายกอบจ. และ ส.อบจ. ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

กกต.ระบุในเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ว่า การส่งหนังสือขอความร่วมมือดังกล่าว “เป็นแนวปฏิบัติตามปกติในทุกการเลือกตั้ง” และขณะนี้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้ดำเนินการขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทราบโดยทั่วกันแล้ว

กกต. ยังเตือนด้วยว่านายจ้างที่ขัดขวางไม่ให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิเป็นความผิดตามมาตรา 117 ของ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ ที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวก โดยไม่มีเหตุอันสมควรในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้าง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ความเคลื่อนไหวจาก กมธ. พัฒนาการเมืองฯ

วันที่ 15 มกราคม 25689 นายพริษฐ์ ประธาน กมธ. พัฒนาการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กว่า กมธ. “ไม่สามารถโน้มน้าวให้ กกต. เปลี่ยนวันเลือกตั้งจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์ได้สำเร็จ” จึงได้ส่งหนังสือถึงสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สมาคมธนาคารไทย สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย รวมทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างมีเวลาเพียงพอในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.

นอกจากนี้ กมธ. ยังไม่ได้ส่งหนังสือถึง กกต. ขอให้วางแผนและป้องกันไม่ให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันอื่นที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ในการเลือกตั้งในอนาคต โดยเฉพาะในการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568-2569 เช่น เทศบาล อบต. กทม. เมืองพัทยา

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ เช็คให้แน่กับ Cofact!

เพจเฟซบุ๊ก “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” และ “ความจริงของระยอง” ตั้งข้อสังเกตว่าเฟซบุ๊กทางการของผู้สมัครนายก อบจ. เชียงใหม่และระยอง สังกัดพรรคประชาชน มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวเวียดนามเข้ามากด “ติดตาม” และ “ถูกใจ” เป็นจำนวนมาก และกล่าวหาว่าผู้สมัครทั้งสองคนใช้งบประมาณหาเสียงสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตามหวังสร้างกระแสความนิยม  

ผู้สมัครนายก อบจ. เชียงใหม่และระยอง ใช้บอทปั่นกระแสโซเชียลจริงหรือ? 🤔 มาร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองช่วงเลือกตั้งนายก อบจ. ไปด้วยกันกับโคแฟค

#โคแฟค #ตรวจสอบข่าวลวงการเมือง #เลือกตั้งนายกอบจ

ดอกอัญชันช่วยทำให้คิ้วลูกน้อยหนาและดกดำได้จริงหรือ

คนไทยจำนวนหนึ่งมีความเชื่อที่พูดต่อๆกันมาว่า การนำดอกอัญชันมาทาคิ้วลูกน้อย จะทำให้คิ้วลูกน้อยหนาและดกดำขึ้น แต่เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่

ในดอกอัญชัน มีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) มีฤทธิ์ที่จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีมากขึ้น เช่นการที่เลือดไปเลี้ยงรากผมได้ดี ก็จะส่งผลให้เส้นผมดกดำเงางามขึ้น 

แต่ถึงแม้ว่าในอัญชันจะมี สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) แต่สารนี้ก็ไม่ได้มีผลช่วยในเรื่องของการสร้างขนที่ชัดเจน เพียงแต่อัญชันจะไปย้อมที่ขนหรือผมบริเวณนั้น ทำให้เราเห็นขนหรือผมบริเวณนั้นชัดเจนขึ้น อีกทั้งผิวของทารกยังบอบบางมาก การทาอัญชันอาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ และปัจจุบันยังไม่มีผลการวิจัยหรือหลักฐานทางการแพทย์ออกมายืนยัน ว่าอัญชันมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราการเกิดของขนคิ้วทารก 

ขนคิ้วของทารกนั้นจะเติบโตเต็มที่เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 3-4 เดือน และจะอยู่ในรูปแบบนั้นจนโต โดยปัจจัยที่กำหนดความดกของคิ้วนั้นได้แก่

  1. กรรมพันธุ์พ่อแม่
  2. การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  3. กระบวนการสร้างเส้นขนของทารก
  4. การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงรากขน

ดังนั้น การนำดอกอัญชันมาทาคิ้วลูกน้อยจะทำให้คิ้วลูกน้อยหนาและดกดำขึ้นนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากสาร แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่อยู่ในดอกอัญชัน ไม่ได้มีผลช่วยในเรื่องของการสร้างขนที่ชัดเจน 

( ข้อมูลจากแพทย์หญิง ชินมนัส ตั้งจาตุรนต์รัศมี หัวหน้ากลุ่มงานเส้นผมและเล็บสถาบันไทยโรคผิวหนัง / โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย / แพทย์หญิง พรีมา ทศบวร แพทย์อเมริกันบอร์ดเฉพาะทางด้านปลูก Hairsmith Clinic )

Cofact

https://cofact.org/article/3oixed1dxk8j1

Banner

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 มกราคม 2568

ไวรัส hMPV ที่ระบาดหนักในประเทศจีน มีการผสมพันธุ์กับโควิด 19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/36llu50g695wu


หิมะแรกตกแล้วที่จังหวัดชัยภูมิ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zvtj6k55b5ug


 สปสช. ร่วมกับ DGA เพิ่มช่องทางใช้สิทธิบัตรทอง “30 บาทรักษาทุกที่” บนแอปฯ ทางรัฐ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/re7wh9awsxh1


 ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา “ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด 91” ผ่านออนไลน์ได้ถึง 8 เม.ย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5i4b7pztrrus


 กรณีบัตรถูกขโมยและนำไปใช้รูดซื้อสินค้า ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารคืนเงินให้แก่ลูกค้าภายใน 5 วัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2941f4hmv4q73


 คุมเข้ม เพิ่มโทษบุหรี่ไฟฟ้า-บารากู่ สำหรับนักเรียน นักศึกษา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2b7a9szdla6d3


 รฟม.ดีเดย์ 17 ม.ค.นี้ปิดสะพานข้ามแยกราชเทวี สร้างรถไฟฟ้า “สีส้ม”

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3oigsskup08fv


 กทม. ประกาศขอความร่วมมือ ภาครัฐ-เอกชน WFH 20 – 21 ม.ค. 68 คาดการณ์ค่าฝุ่นสัปดาห์หน้าเป็นสีส้ม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3e7qg75j4wy72


 ผัก 3 ชนิดช่วยลดไขมันในเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/el24zdjge0a2