อินโฟกราฟิก: 5 ไฮไลต์ประเด็นตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองช่วงเลือกตั้ง อบจ.

การเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 เป็นอีกหนึ่งวาระทางการเมืองที่พบการระบาดของข้อมูลเท็จและข่าวลวงการเมือง โคแฟครวบรวม 5 รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ. มาไว้ในรูปแบบอินโฟกราฟิก

โคแฟคเริ่มปฏิบัติการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองมาตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ต่อด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภาปี 2567 จนมาถึงการเลือกตั้ง อบจ. 2568 เพราะเห็นว่าการใช้ข้อมูลเท็จมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้นอาจส่งผลเสียต่อกระบวนการเลือกตั้งรุนแรงกว่าที่หลายคนคิด ดังเช่นที่ “รายงานความเสี่ยงของโลก” หรือ Global Risks Report 2024 ของ World Economic Forum ซึ่งจัดอันดับให้ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (misinformation and disinformation) เป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบรุนแรงมากที่สุดในระยะสั้น ระบุว่า การใช้ข้อมูลเท็จเพื่อหวังผลทางการเมืองอาจนําไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และลุกลามบานปลายเป็นความไม่สงบและความรุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยในระยะยาว

ตัวเลขที่น่าสนใจในการเลือกตั้ง อบจ.

หลังการเลือกตั้ง อบจ. เสร็จสิ้นลง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทยอยรับรองผลการเลือกตั้งจนครบทั้ง 76 ที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และ 47 จังหวัดที่มีการเลือกตั้งนายก อบจ. โดยรับรองผลล็อตสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568

ขณะที่หลายคนเริ่มมองไกลไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปใน 2570 โคแฟคได้รวบรวมสถิติตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้ เช่น การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงในการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพบว่าขณะนี้เรามีนายก อบจ. หญิงอยู่ทั้งหมด 16 คน

5 ไฮไลต์ตรวจสอบข่าวลวงช่วงเลือกตั้ง อบจ.

1. พบบัญชีผู้ใช้ TikTok เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ.

ก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานี ในวันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. 2567 โคแฟคตรวจสอบพบบัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชัน TikTok เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ. โดยเผยแพร่ข้อมูลเท็จว่าผู้สมัครจากพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานี “อย่างถล่มทลาย” ทั้งที่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งนายก อบจ. อุบลราชธานียังไม่เกิดขึ้น

2. คนเวียดนามแห่กด “ติดตาม-ถูกใจ” โพสต์เฟซบุ๊กผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชน ?

โคแฟคตรวจสอบกรณีเพจเฟซบุ๊ก “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” และ “ความจริงของระยอง” ตั้งข้อสังเกตว่าเฟซบุ๊กทางการของผู้สมัคร #นายกอบจ. เชียงใหม่และระยอง สังกัดพรรคประชาชน มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวเวียดนามเข้ามากด “ติดตาม” และ “ถูกใจ” จำนวนมาก ทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่าผู้สมัครทั้งสองคน “ปั๊มยอดผู้ติดตาม”

โคแฟคพบว่าเพจเฟซบุ๊กของนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัคร นายก อบจ. เชียงใหม่ และนายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้สมัครนายก อบจ. ระยอง ของพรรคประชาชนมีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อภาษาเวียดนามเข้ามากดติดตามและกด “ถูกใจ” จำนวนมากจริง

เมื่อตรวจสอบโปรไฟล์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อเวียดนามพบว่ามีลักษณะต้องสงสัยว่าสร้างขึ้นโดยบอต (bot) คือมีแค่ชื่อและรูปโปรไฟล์ ไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเจ้าของบัญชี ไม่มีโพสต์ย้อนหลัง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบัญชีอื่น รูปโปรไฟล์ไม่ใช่ภาพบุคคลจริงและนำมาจากแหล่งอื่นในอินเทอร์เน็ต

โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กต้องสงสัยว่าสร้างโดยบอตเหล่านี้ แต่ได้รับคำยืนยันจากนายพันธุ์อาจและทีมงานของนายทรงธรรมว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น และไม่เคยใช้งบประมาณหาเสียงไปในการสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมเพื่อเพิ่มยอดผู้ติดตาม พร้อมทั้งแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการส่งเรื่องให้ Meta ตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้ว

Meta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเฟซบุ๊กประกาศว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะกำจัดบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กปลอม โดยรายงานว่าระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ได้ลบบัญชีปลอมไปมากกว่า 3 พันล้านบัญชี โคแฟคเห็นว่าเมื่อแอดมินเพจของผู้สมัครนายก อบจ. ได้รายงานความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ Meta แล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง และหากพบว่าเป็นบัญชีปลอมที่สร้างโดยบอตจริง ก็ควรดำเนินการลบอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มีการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองต่อไป

3. เหตุเกิดที่เชียงใหม่ ไฟไหม้หญ้า หรือ เผาป้ายหาเสียงนายก อบจ.?

ผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ริมถนนใน จ.เชียงใหม่ โดยระบุว่าเป็นการจงใจเผาทำลายป้ายหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรคประชาชน

โคแฟคตรวจสอบพบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นริมถนนบ้านสร้าง-ดอยสะเก็ด ในเขตเทศบาลตำบลตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ วันที่ 7 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่เทศบาลยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของไฟไหม้หรือระบุตัวผู้ก่อเหตุได้ แต่จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ สันนิษฐานว่าเป็นเหตุไฟไหม้หญ้าริมทางแล้วลุกลามทำให้ป้ายหาเสียงถูกไฟไหม้เสียหายบางส่วนจำนวน 1 ป้าย ไม่ใช่การจงใจเผาทำลายป้ายหาเสียง

ขณะที่ ผอ. กกต. เชียงใหม่ เปิดเผยว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาได้รับแจ้งเหตุใช้ของแข็งทำลายป้ายหาเสียง 4 กรณี เป็นของพรรคเพื่อไทย 2 กรณี และพรรคประชาชน 2 กรณี แต่ยังไม่ได้รับแจ้งเหตุเผาทำลายป้ายหาเสียง

4. ข้อกังขาและคำชี้แจง “ทำไมเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์”

คำถาม “ทำไมเลือกตั้งวันเสาร์” กลับมาอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง อบจ. ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

แม้ว่า กกต. จะชี้แจงเหตุผลที่จัดการเลือกตั้งวันเสาร์แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของคนส่วนใหญ่เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ประเด็นนี้ยังคงถูกตั้งคำถามจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ช่วยหาเสียง นักสังเกตการณ์ทางการเมือง และประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ในแอปพลิเคชัน TikTok มีผู้กล่าวหาว่า การกำหนดให้เลือกตั้งวันเสาร์นั้น “มีเลศนัย” และเป็น “แผนสกัด/ตัดคะแนน” พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยทำงาน

ข้อสงสัย คำถาม และเนื้อหาที่วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่จะขาดบริบทและไม่มีคำชี้แจงจาก กกต. ประกอบ ทำให้เกิดข้อกังขาต่อความเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ซึ่งอาจส่งผลต่อการยอมรับผลการเลือกตั้งในภายหลังได้

โคแฟคสรุปข้อกังขาและคำชี้แจงจาก กกต. เรื่องเลือกตั้งวันเสาร์เพื่อให้การวิพากษ์วิจารณ์การจัดการเลือกตั้งของ กกต. อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน นำไปสู่การปรับปรุงการจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพและสะดวกต่อการออกมาใช้สิทธิของประชาชน

5.  พรรคประชาชนกับข้อกล่าวหา “บังคับนักเรียนฟังหาเสียงท่ามกลางฝุ่น PM2.5”

แม้ว่าการเลือกตั้ง อบจ. จะผ่านพ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 แต่โคแฟคยังคงตรวจสอบเนื้อหาทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ. ในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันการใช้ข่าวลวงมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งในทุกระดับ

ล่าสุด โคแฟคตรวจสอบกรณีผู้ใช้บัญชี X โพสต์ภาพผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนแจกโบรชัวร์หาเสียงในโรงเรียน และเขียนข้อความกล่าวหาว่าพรรคประชาชนบังคับให้เด็กนักเรียนมานั่งฟังการหาเสียงท่ามกลางฝุ่น PM2.5 ที่สูงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

จากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่โรงเรียนศรัทธาสมุทร อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม ซึ่งทีมงานผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนได้ขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียนเพื่อเข้าไปประชาสัมพันธ์นโยบายในช่วงหลังการเข้าแถวเคารพธงชาติ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนยืนพูดกลางแจ้ง ส่วนเด็กนักเรียนนั่งอยู่ในบริเวณสนามกีฬาที่มีโครงหลังคาขนาดใหญ่

สำหรับข้อกล่าวหาที่ผู้โพสต์ระบุว่า “บังคับให้นักเรียนต้องมานั่งฟังท่ามกลางภาวะ PM2.5 ที่สูง” นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในเวลา 8.00 น. ของวันที่ 23 มกราคม อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งโคแฟคเห็นว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางโรงเรียนและทางทีมงานผู้สมัครควรตรวจสอบคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด หากค่าฝุ่นสูง การจัดกิจกรรมใด ๆ ควรพิจารณาให้รอบคอบโดยคำนึงถึงสุขภาพของนักเรียนเป็นหลัก

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” 

งาน Soul Connect Fest เสวนาหัวข้อรับมือความเกลียดชัง ข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs. Digital Hate: Navigating the DeepTech Era”   จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

#SoulConnectFest2025 #HUMANICE

#SoulConnectFest #มหกรรมพบเพื่อนใจ #สุขภาวะทางปัญญา #จิตวิญญาณ #การร่วมทุกข์ #ความหวัง #สสส #Cofact #cofactthailand #เช็กให้ชัวร์ที่โคแฟค

Soul Connect Festival “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” 

บันทึกเนื้อหาวงเสวนา “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย กล่าวต้อนรับและทักทายผู้ร่วมงานพร้อมกับเกริ่นนำเข้าสู่เวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นในวันที่สามของงาน Soul Connect Fest การเสวนาแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภาคีผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค บรรยายนำในประเด็นสำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือของประเทศต่าง ๆ ช่วงที่สองเป็นการเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย

ช่วงที่ 1: สำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือ

คุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion เริ่มต้นด้วยการหยิบยกงานวิจัยเรื่อง “การกำกับดูแลสื่อที่เผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง” โดย ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันนท์ และคณะ (2556) ที่ระบุว่า “ในพื้นที่ออนไลน์ของไทย…พบว่าฐานความเกลียดชังอันดับแรกคืออุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง และพบมากที่สุดในยูทูบ ส่วนความเกลียดชังรองลงมาคือศาสนาและชาติพันธุ์” ซึ่งแม้ว่างานวิจัยนี้จะจัดทำขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ประเด็นความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ก็ยังคงเป็นประเด็นหลักของการสร้างความเกลียดชัง (hate speech) ในปัจจุบัน 

บทเรียนการรับมือกับ hate speech ของประเทศต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น

เยอรมนี มีการบังคับใช้กฎหมายชื่อ “NetzDG” ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องมีช่องทางการรับแจ้งจากผู้ใช้ หากพบว่าเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างชัดเจนจะต้องนำออกจากระบบภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่ดำเนินการจะเสี่ยงต่อการถูกปรับมากถึง 50 ล้านยูโร แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการจัดการ hate speech อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้กำลังจะถูกทดแทนด้วยกฎหมาย EU Digital Service Act ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในสหภาพยุโรปเร็ว ๆ นี้

สหราชอาณาจักร ปรับปรุงกฎหมายเดิมเพื่อให้ครอบคลุมการรับมือกับ hate speech ที่น่าสนใจคือภาครัฐทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น พัฒนาแอปพลิเคชันรายงาน hate speech, การเยียวยาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจัดกิจกรรมในโรงเรียน

ญี่ปุ่น มีกฎหมายที่ชื่อ Hate Speech Elimination Act ที่วางหลักการ นิยาม หลักปฏิบัติและฐานความผิดเกี่ยวกับ hate speech

​คุณสุนิตย์ได้ประมวล “สาเหตุร่วม” การแพร่กระจายของ hate speech ว่ามาจากความกลัว การไม่ยอมรับความแตกต่าง ความขัดแย้งาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ การขาดความรู้ความเข้าใจและความเห็นใจของคนที่แตกต่างกัน สาเหตุร่วมอีกประการหนึ่งคือธรรมชาติของดิจิทัลเแพลตฟอร์มที่ผูกขาดและขาดระบบกำกับดูแลที่ดี 

ในประเทศไทย เคยมีการศึกษา hate speech ในบริบทของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปี 2564 พบว่าเนื้อหาส่วนมากเป็นการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและองค์กรสาธารณะประโยชน์ และมีที่มาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษา hate speech ช่วงการชุมนุมทางการเมืองปี 2563-2564 พบว่ามีการใช้ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของรัฐของรัฐต่อกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง

คุณสุนิตย์สรุปว่า การรับมือกับ hate speechนั้น ความท้าทายสำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการยุติการสร้างความเกลียดชังออนไลน์ และในขณะที่มาตรการทางการกฎหมายมีความยุ่งยากและข้อจำกัดหลายอย่าง กระดุมเม็ดแรกจึงควรจะเป็นการสร้างความรู้ความเช้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้ชุมชนและผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 

ช่วงที่ 2วงเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร. พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิฟรีดริชเนามันฯ 

ผู้ร่วมเสวนา 6 ท่านประกอบด้วย นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคม จิตวิทยา สติ, คุณณภัทร ชุ่มจิตตรี นักแสดงและอดีตผู้สมัคร สส., ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ, คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา, ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) และคุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ กล่าวถึงการสร้างความเกลียดชังใน 2 ประเด็น คือ hate speech กับความรุนแรง และจิตวิทยาของกระบวนการสร้างความเกลียดชัง

ประเด็นแรก นพ.ยงยุทธอธิบายว่าการสร้างความเกลียดชังจะนำไปสู่ความรุนแรง เห็นได้จากเหตุการณ์รุนแรงในประวัติศาสตร์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516และ 6 ตุลา 2519 ในไทย ที่ล้วนแต่มีการกระหน่ำ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง

ประเด็นที่ 2 ในทางจิตวิทยา กระบวนการสร้างความเกลียดชังมี 3 ขั้นตอน คือ 1) การทำให้ความแตกต่างเป็นเรื่องถูกหรือผิด 2) ทำให้ความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องดีหรือเลว 3) เมื่อความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องผิดและเลว คนกลุ่มนั้นจึงไม่สมควรอยู่คือฆ่าได้ 

สาเหตุหนึ่งที่ hate speech ถูกส่งต่อกันเยอะเพราะโดยพื้นฐานสภาพจิตของคนเรามีแนวโน้มที่ถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย hate speech จึงมักมีลักษณะที่ปลุกเร้าอารมณ์ แต่คนที่มีสติและความสงบจะเร้าอารมณ์ไม่ขึ้น ดังนั้นหากสังคมไทยมีประชาชนที่มีสติรู้จักใคร่ครวญให้มากขึ้น คนกลุ่มนี้จะมีบทบาทในการลด hate speechด้วยการรวมตัวกันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรณรงค์ในประเด็นที่เป็น “คานงัด” ของสังคม เช่น จริยธรรมนักการเมือง การออกกฎหมายบังคับให้ผู้บริการแพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบ และระบบการศึกษา

อีกหนึ่งแนวทางคือ โครงการของกรมสุขภาพจิตในการสร้างทักษะการใช้อินเทอร์เน็ตที่ดีประกอบด้วย “2 ไม่ 1 เตือน” “2 ไม่” คือไม่ผลิตและไม่ส่งต่อเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง “1เตือน” คือการเตือนด้วยความสุภาพเพราะคนส่วนใหญ่ทำไปโดยไม่รู้ถึงผลกระทบว่าทำให้เกิดความรุนแรง

ณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือ “คิง ก่อนบ่าย” มาถ่ายทอดประสบการณ์ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความเห็นของ “ชาวเน็ต” ทั้งชื่นชมและเกลียดชัง เขาเล่าว่าเมื่อครั้งที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคนมาชื่นชมล้นหลามในฐานะดาราที่ออกมา “call out” ต่อรัฐบาล แต่เมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ กลับถูก “ทัวร์ลง” อย่างหนักเพียงเพราะเลือกสังกัดพรรคที่ไม่ถูกใจชาวเน็ต แต่คอมเมนต์ที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกมากที่สุดคือการดูถูกอาชีพนักแสดงตลกของเขาว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีความรู้ความสามารถพอจะเป็นนักการเมือง โดยไม่สนใจว่าเขาเรียนจบอะไรมาหรือมีความสามารถอะไรบ้าง

“ผมเป็นดารา ช่วงหนึ่งสังคมออกมาเรียกร้องให้ดาราออกมาพูดการเมือง แต่พอเราลงการเมืองก็ถูกถามว่าเป็นดารามายุ่งการเมืองทำไม” 

คุณณภัทรยอมรับว่าการถูกโจมตีทางออนไลน์ทำให้เขา “จิตตก” อย่างมาก จึงใช้วิธีการดูแลตัวเองด้วยการใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง หากใช้ก็จะเลือกอ่านเนื้อหาที่ให้กำลังใจ ต่อมาจึงมองเห็นว่าโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนมาระบายอารมณ์โดยไม่สนใจข้อมูลหรือเนื้อหาสาระ จึงไม่ควรเก็บมาคิดมากจนไม่เป็นสุข

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ กล่าวถึงเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คริสตศาสนิกชนเป็นอย่างมาก คือการเผยแพร่ข่าวเท็จว่าสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระองค์ทรงพระประชวรหนักและต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล “เราเสียใจที่มีคนแช่งหรือแสดงความเกลียดชังท่าน แต่ศาสนาเราสอนให้ต่อสู้ความเกลียดด้วยความรัก ถ้าเราเกลียดตอบ” 

ซิสเตอร์อ้างข้อความจากพระคัมภีร์ที่เขียนถึงความรักว่า “ความรักอดทนนาน มีใจปราณี ความรักต้องไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอและมีความทรหดอดทนอยู่เสมอ” ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ตอบโต้คนที่สร้างความเกลียดชัง เพราะถ้าต่อว่าก็จะยิ่งเพิ่มความเกลียดต่อไป “เราไม่ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำแต่เราก็ไม่ไปตอบโต้เขา เราสู้กับความเกลียดด้วยความรักและขันติ”

ซิสเตอร์ยังตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าบางสื่อเสนอข่าวไม่เที่ยงธรรม ใส่ความคิดเห็นส่วนตัว ชักจูงให้คนเกลียดชังกันแทนที่จะส่งเสริมให้มีความรักต่อคนต่างเชื้อชาติ 

คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมานานกว่า 20 ปี ก่อนจะมาเป็น สว. กล่าวว่าในไทยมีการใส่ร้ายป้ายสีสร้างความเกลียดชังคนที่ทำงานเพื่อสังคม ช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นช่วงที่โดน hate speech มากที่สุด และกลับมาโดนมากอีกครั้งนับตั้งแต่เข้ามาเป็น สว. หญิง ซึ่งเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังมักจะใช้ประเด็นเรื่องเพศเป็น “อาวุธในการทำลายล้าง” เช่น เมื่อเธอออกมาปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยหรือคัดค้านโทษประหารชีวิต ก็จะมีคนมาเขียนคอมเมนต์ว่า“ก็เอามันมาเป็นผัวสิ”

คุณอังคณาเล่าว่าเธอใช้ทุกกลไกทุกช่องทางเพื่อปกป้องสิทธิตนเองจากการถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ เช่น ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งที่นั่นเธอพบว่ามีผู้หญิงหลายคนไปแจ้งความเพราะถูกนำคลิปส่วนตัวไปเผยแพร่ แต่พบว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่ผู้เสียหายจากการทำลายชื่อเสียงต้องเสียสุขภาพจิตแต่กลับไม่มีระบบหรือกลไกเยียวยาผู้ตกเป็นเหยื่อเลย ทั้งที่เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนาน 

การตกถูกใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสร้างความเกลียดชังทำให้นักกิจกรรมทางการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนหลายต้องเลิกทำงานไปเลย 

สำหรับการรับมือนั้น คุณอังคณาเสนอว่านอกจากผู้เสียหายควรรวมตัวกันเพื่อผลักดันให้เกิดกลไกการป้องกันและเยียวยาแล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรจะมีความรับผิดชอบในการจัดการเนื้อหามากกว่านี้ 

คุณชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่า WFD ทำงานด้านการสนับสนุนผู้หญิงให้เข้าสู่พื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น และผลักดันให้สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้ามาทำงานการเมือง

WFD ได้ทำการเก็บข้อมูลการคุกคามทางออนไลน์ต่อนักการเมืองหญิง พบว่ามี “เกรียนคีย์บอร์ด” สร้างความเกลียดชัง ดูหมิ่นดูแคลนนักการเมืองหญิงอย่างต่อเนื่อง การแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดำเนินการ (report) ก็ใช้เวลานานกว่าที่เนื้อหานั้นจะถูกนำออกจากระบบเนื้อหาเหล่านี้จึงถูกปล่อยให้อยู่ในโลกออนไลน์เป็นเวลานาน

การเข้ามาโพสต์เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและลดทอนคุณค่าเช่นนี้ นอกจากจะลดทอนคุณค่า ทำลายชื่อเสียงของนักการเมืองแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ทำให้คนไม่สนใจนโยบายที่นักการเมืองนำเสนอ

การเก็บข้อมูลยังพบว่ามีเนื้อหาเชิงข่มขู่ แม้จะมีไม่มากแต่มีความรุนแรง เช่น ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหรือถึงขั้นเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากให้นักการเมืองหญิงที่ต้องลงพื้นที่และปรากฏตัวในที่สาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการเอาข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่พักอาศัย มาเปิดเผย

“ด้วยความที่ผู้หญิงอยู่ในงานการเมืองน้อยอยู่แล้ว พอเจอความเสี่ยง ความกลัวแบบนี้หลายคนจึงไม่อยากจะทำงานการเมืองต่อ แม้จะเป็นเนื้อหาเท็จ แต่มันก็สร้างความอับอายและต้องใช้เวลามาแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น หลายคนได้รับผลกระทบทางจิตใจต่อเนื่องยาวนาน และกระทบกับครอบครัวด้วย”

คุณชมพูนุทกล่าวว่า พรรคการเมืองต้นสังกัดหรือรัฐสภาไม่มีกลไกปกป้องหรือเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชัง และเห็นด้วยกับคุณอังคณาว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง ไม่ควรผลักความรับผิดชอบให้ผู้ใช้งานในการตรวจสอบ และประเทศไทยควรมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อกำกับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีรับผิดชอบต่อผู้ใช้

คุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าโลกออนไลน์มีประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ก็มีพิษภัยอยู่ไม่น้อย ปัญหาข่าวลวงข่าวปลอมมีมากขึ้น เทคโนโลยีเอไอทำให้แยกแยะความลวงความจริงยากขึ้น มีปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ การสร้างความเกลียดชัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมและต่อปัจเจกบุคคล ในอดีตการปลุกเร้าความเกลียดชังเคยนำมาสู่เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชาเมื่อปี 2546

คุณวสันต์กล่าวว่า hate speech มีทั้งประเด็นเกี่ยวกับศาสนา เชื้อชาติ เพศ ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน กติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศเน้นย้ำเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ สังคมไทยเป็นพหุวัฒนธรรมต้องเคารพความแตกต่างหลากหลายอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เข้าใจและให้อภัย

ดร.พิมพ์รภัช ผู้ดำเนินรายการเปิดให้ผู้ฟังซักถาม ซึ่งคุณแฟรงค์ สมิธ ได้สอบถามว่ากรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังชนกลุ่มน้อย ผู้อพยพและสื่อมวลชน วิทยากรมองว่ามันส่งกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร 

นพ.ยงยุทธให้ความเห็นว่า ผู้นำไม่ควรแสดง hate speech นายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่งในยุค คสช. ก็เคยแสดงความเห็นทำนองว่า ถ้าใครที่คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องอยู่เมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรจะยอมรับได้ สังคมควรมีบรรดทัดฐานในเรื่องการไม่ยอมรับผู้นำ สส. หรือ สว. ที่เผยแพร่ hate speech มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองควรระบุให้ชัดเจนว่าการสร้างความเกลียดชังเป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

คุณวสันต์ให้ความเห็นว่า ผู้นำประเทศต้องระมัดระวังคำพูด เพราะคำพูดของผู้นำประเทศย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ถ้าผู้นำมีทัศนคติไม่ดีหรือใช้คำพูดที่ไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ และหากคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง เกิดขึ้นในช่วงที่สังคมมีความเห็นต่างและมีความขัดแย้งก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันได้

ด้านคุณอังคณามองว่า ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่ประชาชนอเมริกันเลือกเข้ามา และนโยบายต่าง ๆ ที่เขาทำอยู่ในขณะนี้ก็เป็นนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ แต่ที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกามีกลไกที่จะคานอำนาจฝ่ายบริหาร ความเป็นประชาธิปไตยในอเมริกาก็ทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ 

ช่วงสุดท้ายของเวทีเสวนา โคแฟคในฐานะผู้จัดได้นิมนต์พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) ซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียกล่าวปิดการเสวนาผ่านทางระบบประชุมออนไลน์

พระมหานภันต์เสนอว่า ภูมิปัญญารวมหมู่เพื่อแก้ปัญหา hate speech ด้วยคำว่า CARE 

C คือ Connect เชื่อมโยงมนุษย์เข้าด้วยกันในทางที่ดี

A คือ Aware ตระหนักรู้ถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม 

R คือ Responsibility การป้องกันและรับมือกับการสร้างความเกลียดชังเป็นความรับผิดชอบของทุกคน

E คือ Energize ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเสริมพลังซึ่งกันและกัน อย่าให้คนที่ทำงานต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีงามและสิทธิมนุษยชนต้องโดดเดี่ยว

​“อาตมาเชื่อว่า CARE นี้จะช่วยให้เรารับมือกับความเกลียดชังและเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่กำลังเกิดขึ้นได้” พระมหานภันต์กล่าวปิดท้ายเวทีเสวนา.  

*********************

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 มีนาคม 2568

ประกันสังคม เพิ่มค่าทำฟันจาก 900 บาท เป็น 1,200 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fd2x9npiqynd


อดอาหารป้องกันโรค …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/177ejo51bt0ee


แจกเงิน 10,000 บาท ให้ทายาทผู้สูงอายุที่เสียชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eta0cmt94k1s


ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อีซี่, ไอ-โคพอต, ไทร่า, บอนนี่ และวิตตี้ บรรเทาอาการป่วยยอดฮิตของวัยทำงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z156lrc9lap5


  นักโภชนาการเตือนอาหารเก็บไว้ข้ามคืน อันตราย เสี่ยงต่อโรคร้าย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ytkfz2csn1pg


 ฝุ่น PM 2.5 ทำให้ผิวหนังเหี่ยวชราก่อนวัย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ydo6xzm45ya3


  รัฐบาล ย้ำ ข่าวไวรัสโคโรนาตัวใหม่ เป็นข้อมูลในแล็บ ยังไม่ติดสู่คน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kj1g0o84zqvg


  ปิดพื้นที่ห้ามเข้าป่าเชียงดาว 1 มี.ค.-15 พ.ค. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12ozxxr6zztoe


  กทม. เตรียมจัดทำหลังคาคลุมทางเท้า นำร่องถนนสาทรใต้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12ozxxr6zztoe


การไม่รับประทานไขมันดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3lj99zzgji6of


การทำ IF ทำให้เกิดเอฟเฟ็คต์น้ำหนักโยโย่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3m2pl8xku686n


Soul Connect Festival : AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution”“ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ

บันทึกเนื้อหาวงเสวนา “ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution” จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ 

คุณรณพงษ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Mind AI Southeast Asia ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็นเทคโนโลยีที่เลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ซึ่งมีพัฒนาการมานาน 50-60 ปีแล้วก่อนที่โลกจะเข้าสู่ “ยุค AI” เต็มตัวในวันนี้ แต่ AI ที่ผู้คนใช้งานกันในปัจจุบันเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์และจากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ทำให้ AI คาดเดาได้ว่าผู้ใช้งานต้องการอะไรเป็นการคาดเดาและเรียนรู้จากพฤติกรรมของเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่มาของ generative AI อย่าง GPT, Gemini, Deep seek และ Glock

สำหรับสถานการณ์ AI ในประเทศไทย ในส่วนของการใช้งาน คนไทยตอบรับ AI ค่อนข้างเร็วมาก องค์กรที่นำ AI ไปใช้ก็มีไม่น้อย ในส่วนของการพัฒนา AI ในไทยก็มีบริษัทพัฒนา AI อยู่นับร้อยแห่งและทำงานได้ค่อนข้างดี เห็นได้ว่าเรามี AI โมเดลภาษาไทยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเราพึ่งพาข้อมูลและอัลกอริทึมของต่างประเทศอย่างเดียว ก็จะทำให้เกิดความลำเอียง (bias)หรือความลำเอียง

คุณรณพงษ์กล่าวว่า ในแง่ของความรู้และการใช้งาน AI ประเทศไทยน่าจะติดอันดับ Top 20 ของโลก แต่ประเด็นสำคัญคือประเทศไทยยังทิศทางว่าจะสร้างจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยีในด้านไหน ถ้าเพียงแค่พัฒนาเพื่อเอาไปใช้งานนั้นไม่ยาก แต่ถ้าจะพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างความแตกต่างจริง ๆ ต้องใช้ทั้งเงินทุน ความทุ่มเท เอาจริงเอาจังและระยะเวลานาน

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่าจากวิดีทัศน์ที่เปิดก่อนเข้าสู่การเสวนา พบว่ามีคำสำคัญ 3 คำ คือ จิตวิญญาณ เพื่อนร่วมทุกข์และความหวัง ซึ่งทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ AI ไม่มี แต่ศาสนจักรก็เห็นประโยชน์ของ AI เมื่อเร็ว ๆ นี้สมเด็จพระสันตะปาปาก็ทรงแนะนำว่าบรรดาผู้นำศาสนาต้องเห็นความสำคัญของ AI และหาทางใช้มันในทางที่ดี 

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงลงนามเอกสารเรื่อง “ความเก่าและความใหม่” ซึ่งนี่เนื้อหาเกี่ยวกับ AIเช่น AI คืออะไร และ AI ในมิติต่าง ๆ เช่น AI กับความสัมพันธ์ของมนุษย์เศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล การศึกษา ข่าวลวงและเนื้อหาอันเป็นเท็จ การปกป้องสภาพแวดล้อมสวัสดิการ รวมทั้ง AI กับความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยสรุป เอกสารฉบับนี้ย้ำว่าเราสามารถใช้ AI ได้ แต่ต้องเข้าใจบริบทและยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไป เอกสารที่พระสันตะปาปาทรงลงนามนี้ ร่วมจัดทำขึ้นอย่างรอบคอบโดยแผนกที่ดูแลด้านความเชื่อและแผนกที่ดูแลด้านการศึกษาและวัฒนธรรม

ในฐานะคนที่ทำงานด้านศาสนา บาทหลวงอนุชาจึงให้ความสนใจกับคุณธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงพยายามใช้ AI เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แนะนำการใช้ AI ในด้านจริยศาสตร์ คือทำอย่างไรให้คนใช้ AI แล้วเป็นคนที่ดีขึ้น

ศาสนาคริสต์มีศัพท์ใหม่คือ “ดิจิทัลมิชชันนารี” หมายถึงการเผยแผ่ธรรมสมัยใหม่ผ่านสื่อดิจิทัลโดยที่มิชชันนารีไม่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ แต่เผยแผ่เรื่องราวที่ดีงามและมีคุณค่าผ่านโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่น่าสนใจเพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ รวมถึงการสนับสนุนให้คาทอลิกทุกคนเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ที่บอกเล่าสิ่งดี ๆ ทางโซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์ทางศาสนาอาจจะไม่มียอดรับชมหรือผู้ติดตามมากมาย แต่สิ่งสำคัญต้องมีความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้พระสันตะปาปายังทรงออกสาส์นเนื่องในวันสื่อมวลชนในหัวข้อ “Share with Gentleness” คือเมื่อเราจะส่งต่อเนื้อหาใด ๆ ให้แชร์ด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยน และมีความหวังในหัวใจของเรา

ศาสนาคริสต์มีคำว่า wisdom แปลว่าปรีชาญาณ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาความรู้ (knowledge/ intellectual) ปรีชาญาณคือความรู้ที่พาเราไปสู่สรวงสวรรค์และชีวิตนิรันดร ผู้ที่มีปรีชาญาณย่อมใช้ชีวิตได้อย่างดี เข้าใจ มีความสุข รู้จักใช้ AI เพื่อเข้าใจความจริงและไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา

คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งTellscore แนะนำ Tellscore ว่าเป็นบริษัทด้านการตลาดที่ถ่ายทอดเรื่องราว (storytelling) เกี่ยวกับสินค้าต่าง ๆ ผ่าน content creator ซึ่งปัจจุบันมี content creator คนไทยที่เป็นเครือข่ายอยู่ประมาณ 8 หมื่นคน ซึ่งแนวทางการนำเสนอของบริษัทจะให้ความสำคัญกับเรื่องจริยธรรมในการนำเสนอ ไม่ปลุกปั่น ไม่ใช้เนื้อหาที่มีความรุนแรง ไม่หยาบคาย สุภาพ และนำเสนอเนื้อหาอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายวงการอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งยังต้องเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะแยกแยะว่าเป็นคนจริงหรือเป็น AI

“ในฐานะคนที่บอกต่อเรื่องราว เราต้องให้ความสำคัญในการผลิตเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่สร้างคอนเทนต์น้ำดี ที่ให้ความหวัง เพราะตอนนี้เราเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีปัญหารอบตัว…เทคโนโลยี AI อาจจะพาเราไปสุขหรือทุกข์ก็ได้” 

คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters ร่วมเสวนาผ่านทางวิดีโดคอลเนื่องจากลงพื้นที่ทำข่าวอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เธอกล่าวว่าเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียช่วยให้สื่อมวลชนทำงานง่ายขึ้น เช่น สัมภาษณ์ออนไลน์ สื่อสารกับคนในพื้นที่ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน รายงานข่าวได้แม่นยำและเหมือนรายงานอยู่ในสถานที่จริง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์ของเทคโนโลยี

สำหรับบทบาทของ AI นั้น ในฐานะที่เป็นนักข่าวมองว่านำมาใช้ประโยชน์ได้ในบางกรณี เช่น การผลิตอินโฟกราฟิก หรือการอธิบายข้อมูลที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แต่โดยส่วนตัวแล้ว คุณฐปณีย์บอกว่า “แทบไม่ได้ใช้ AI” ในกระบวนการทำข่าว เพราะนักข่าวต้องเป็นคนไปหาข่าว ไปทำข่าวจากสถานที่จริง สัมภาษณ์จริง

“เรายังต้องลงพื้นที่จริง ลงมาหาข่าวจริง มาเฝ้าที่ชายแดนเอง ข้ามไปเมียวดีเอง เพราะว่าการที่เราเป็นนักข่าว เราต้องไปเห็นด้วยตา ไปถ่ายภาพ ไปรายงานสิ่งที่เราเห็น สัมภาษณ์ผู้เสียหายสัมภาษณ์เหยื่อด้วยตัวเอง…มันคือความน่าเชื่อถือ คนที่ติดตามข่าวเราก็จะเชื่อถือว่าเราทำข่าวจริง เราไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นหรือใช้เทคโนโลยี”

“ต่อให้ใช้ผู้ประกาศข่าว AI มาอ่านข่าว แต่ถามว่าคนดูจะเชื่อใคร เชื่อ AI ที่อ่านข่าวในสตูดิโอหรือเชื่อฐปนีย์ที่ยืนอยู่ริมน้ำเมย ในเมืองชเวกกโกหรือเคเคปาร์คที่เป็นเมืองสแกมเมอร์ คนจะเชื่อฐปนีย์ที่ยืนคุยอยู่กับเหยื่อการค้ามนุษย์” คุณฐปนีย์ตั้งคำถาม 

แม้จะไม่ได้ใช้ AI ในงานข่าวมากนัก แต่คุณฐปณีย์บอกว่านักข่าวต้องศึกษาและเข้าใจ AI ให้มาก เพราะข่าวที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มักเกี่ยวข้องกับ AI อย่างเช่นกรณีแกงค์คอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพที่หลอกลวงทางออนไลน์ที่ใช้ AI ในการดัดแปลงเสียง ดัดแปลงใบหน้า และใช้มัลแวร์เพื่อหลอกลวงคนอื่น

​เธอเรียกร้องให้สังคมเห็นคุณค่าของคนที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพและทีมงานเบื้องหลังทุกคนที่ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นจริง 

​หลังจากผู้ร่วมเสวนาทุกท่านพูดจบในรอบแรก มีคำถามจากผู้ฟังว่า ทำอย่างไรไม่ให้ AI เข้ามาแย่งงานมนุษย์?

ณรณพงศ์ ตอบว่าขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคนนำเทคโนโลยีไปใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ดีขึ้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง AI และมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เรียกว่า AI & Human Collaboration หรือพัฒนาระบบ hybrid systemคือให้ AI ทำงานบางอย่างเช่น ติดต่อนัดหมาย แจ้งซ่อม ปิดการขาย แต่ถ้าลูกค้าต้องการคุยกับพนักงานก็ต้องเข้ามาตอบทันที

“ปฏิเสธไม่ได้ว่างานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วย AI  AI ไม่ได้แทนที่คน แต่แทนที่งาน เพราะฉะนั้นคนต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ต้องทำอะไรที่สร้างคุณค่า โดยเฉพาะเรื่องที่ดีต่อจิตใจและจิตวิญญาณ”

คุณสุวิตากล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการ ได้สัมผัสความกังวลของพนักงานว่าจะถูก AI มาแทนที่ แต่ Tellscore ให้ความสำคัญกับพนักงาน เช่น ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์มีการปรับjob description ให้เป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบการทำงานที่ใช้ AI เพราะ AI อาจมีความลำเอียง (bias) ส่วนตำแหน่งอื่นเช่นพนักงานขาย AI ทำงาแทนได้ยากเพราะต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า  

​คุณสุภิญญาปิดท้ายวงเสวนาด้วยประเด็นคำถามว่า ปัจเจกบุคคลและสังคมจะรับมือกับความจริงความลวงในโลกที่เทคโนโลยีไปไกลแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งวิทยากรผู้เข้าร่วมเสวนาให้ความเห็นตามลำดับ ดังนี้

คุณรณพงศ์ กล่าวว่ามนุษย์จะต้องพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญที่ลึกกว่า AI เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่า AI ทำงานนั้นถูกหรือผิดอย่างไร ส่วนเรื่องการแยกแยะความเท็จ-ความจริงในยุค AI นั้น เราทุกคนจะต้องมีวิจารณญาณการรู้เท่าทัน ฝึกตั้งคำถามว่าเนื้อหานั้นมันจริงหรือไม่ หาความจริงร่วมเพราะแต่ละเรื่องมีหลายมุมมอง เราต้องหาข้อมูลประกอบให้เยอะที่สุดแล้วก็มาตัดสินด้วยวิจารณญาณของตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ

คุณรณพงศ์ฝากประเด็นให้คิดในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ที่คาดว่าจะซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นแต่ขณะนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เป็นไปได้สูงว่ามนุษย์จะต้องกลับมาหาที่พึ่งทางจิตใจมากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์เรื่องสุขภาวะ ความสงบสุขในจิตใจเพราะผู้คนอาจจะเหนื่อยหนักกับการใช้เทคโนโลยี เมื่อถึงตอนนั้น AI จะช่วยให้เรามีสันติภาพทั้งภายในและสร้างสันติภาพโลกได้หรือไม่ อย่างไร

เมื่อ AI ถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะต้องมีมนุษยธรรมก่อนถึงจะสร้าง AI ที่มีมนุษยธรรมหรือจริยธรรม หรือเลียนแบบความดีได้ ทุกอย่างอยู่ที่วัตถุประสงค์ในการใช้งานและจุดมุ่งหมายของคนสร้าง AI ซึ่งถ้ามีการนำไปใช้ผิดทาง ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และมนุษยธรรมในใจของผู้คนให้ได้ก่อน

บาทหลวงอนุชา แนะนำให้ทุกคนรับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ และใช่หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเราไปให้ค่าให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเอง เช่น เวลาสมาชิกในครอบครัวกินอาหารด้วยกัน ทุกคนก็หยิบสมาร์ตโฟนหรือไอแพดมาดู ทำให้ไม่ได้พูดคุยกัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงหายไป

บาทหลวงอนุชาตั้งข้อสังเกตว่าจริง ๆ แล้วในปัจจุบันนี้ คนที่เข้าถึง AI อาจจะเป็นคนในเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่โลกใบนี้ยังมีผู้คนอีกหลายกลุ่ม ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือคนกลุ่มน้อยที่เข้าไม่ถึงข้อมูล คนที่ถูกกีดกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมองแต่เฉพาะเรื่อง AI แต่ควรมองทุกเรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ และปกป้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ

เพราะฉะนั้นใด ๆ ก็ตามครับที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะให้มันทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ ต้องช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรี ต้องดึงคนที่เขาอ่อนแอขึ้นมาเพราะมนุษยชาติบนโลกใบเดียวกันต้องดูแลกัน

คุณสุวิตา ย้ำว่าหากนำ AI มาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ก็ย่อมเป็นเรื่องดี ทั้งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภาพหรือการนำ AI มาช่วยในการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเชื่อมั่นว่าหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ไม่ได้นิ่งดูดายถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในอนาคตผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง AI จะมีมากกว่านี้ เพราะขณะนี้ AI ส่วนหนึ่งยังให้ใช้งานได้ฟรีหรือราคาไม่แพง แต่ถ้าวันหนึ่งที่บริษัทพัฒนา AI เหล่านี้คิดค่าบริการในราคาแพง โลกเราจะเกิดความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในประวัติการณ์ ระหว่างคนที่เข้าถึง AI กับคนที่เข้าไม่ถึง ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝากไว้ให้คิด

ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยกล่าวเป็นคนสุดท้ายโดยเล่าประสบการณ์ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทที่พัฒนา AI เพื่อมาทำงานแทนนักบัญชีและการบริหารจัดการเอกสารบัญชีก่อนเข้าระบบบัญชี

ดร.พณชิตตอบคำถามผู้ฟังก่อนหน้านี้ว่า “AI ทดแทนการทำงานของคนได้และทดแทนได้เยอะด้วย” แต่อย่างไรก็ตาม AI คือสถิติ ไม่ใช่ความฉลาด ข้อมูลทุกอย่างที่ AI บอกมาล้วนมาจากการสถิติ ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่สมบูรณ์แบบ

“ผมพูดได้ว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคนที่ทำงาน จะต้องเปลี่ยนไปทำงานอื่น นี่คือความจริงที่ AI ส่งผลอยู่ในปัจจุบัน”

ดร.พณชิตกล่าวว่า เขาศึกษาและทำงานด้าน AI มาเป็นเวลานาน ในช่วงแรก ๆ มีตำราเรียนที่ตั้งคำถามว่านักพัฒนา AI กำลังสร้างสัตว์ประหลาดกันอยู่หรือเปล่า ซึ่งเป็นคำถามที่น่าขบคิดแม้ว่าในเวลานั้น AI จะยังไม่มีพลังมากเท่านี้

เขายอมรับว่าเทคโนโลยี AI “มาไวกว่าที่คิด” และจากการทำวิจัยเรื่องอนาคตของ AI เขาคาดการณ์ในปี 2030 AI จะเก่งเท่ามนุษย์ และมนุษย์จะต้องทำงานร่วมกับ AI แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็จะต้องใช้ชุดทักษะ (skill set) บางอย่างในการทำงานที่ AI ไม่มี เช่น ความคิดและความรู้ ซึ่งความคิดเป็นเสมือนเครื่องมือในการปรุงความรู้ออกมาซึ่งแต่ละคนย่อมปรุงออกมาได้ไม่เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ AI ไม่มีเหมือนมนุษย์คือทักษระในการดูแลจิตใจหรือความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่มนุษย์พึงมีต่อกัน และมนุษย์ควรจะมีเพื่อดูแลตัวเอง

“ในฐานะคนที่ทำ AI อยากจะฝากไว้ว่า AI มันทำให้คุณได้ทุกอย่างแหละครับ  มันเป็นเครื่องมือที่คุณใช้ในการค้นคว้าข้อมูลหรือขอความคิดเห็น แต่คนที่จะดูแลจิตใจและชีวิตของคุณได้คือตัวคุณเอง…ไม่ว่า AI จะพัฒนาไปไกลถึงไหน มันก็เป็นเครื่องมือหนึ่ง และมันจะสร้างความท้าทายในเรื่องของการดูแลจิตใจมากขึ้น”

********************

ขอบคุณรูปจาก จากงานประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญา’ 68  #SoulConnectFest2025 #Humanicec


‘AI’คือเครื่องมือ อยู่ที่มนุษย์จะใช้อย่างไร ‘จริยธรรม’จำเป็น ‘งานสื่อ’ผู้สื่อข่าว-ช่างภาพลงพื้นที่ยังสำคัญ

27 ก.พ. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ” โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์  ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินรายการ การเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “Soul Connect Fest 2025 มหกรรมพบเพื่อนใจ” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา ระหว่างวันที่ 27 ก.พ. – 2 มี.ค. 2568 ที่สามย่านมิตรทาวน์

รณพงศ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บจก.มายด์ เอไอ เซาท์อีสเอเชีย กล่าวว่า ณ วันนี้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI) เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร – อาชีพไหนต่างก็ใช้ AI ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปัญญาประดิษฐ์คือการใช้เทคโนโลยีสร้างหรือเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ขึ้น ดังนั้นย่อมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนมนุษย์ กล่าวคือ คอมพิวเตอร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต..เมื่อไม่มีชีวิตก็เท่ากับไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีมโนสำนึกหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นของตนเอง

ขณะที่ความฉลาดของมนุษย์ หากดูการทำงานของสมองจะมีทั้ง ซีกซ้าย คือตรรกะ เรียนรู้จากภาษา อย่างวิชาแรกๆ ที่มนุษย์เรียนก็คือวิชาด้านภาษา หากไม่รู้ภาษาก่อนก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้กับ ซีกขวา คืออารมณ์ความรู้สึก เรียนรู้จากประสบการณ์ เช่น จับอะไรแล้วรู้สึกร้อนก็ต้องปล่อยมือออก ส่วนการเรียนรู้ของ AI คือเรียนรู้จากข้อมูล(Data) ขนาดมหาศาล ทำให้ AI คาดเดาได้ว่าเราต้องการอะไร “AI เรียนรู้จากพฤติกรรมของเราและคาดเดาไปเรื่อยๆ และสิ่งนี้เป็นที่มาของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)   

ถึงกระนั้น สมองซีกซ้ายหรือการเรียนรู้เชิงตรรกะก็สำคัญไม่แพ้กันและอยู่กับ AI มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกกลบกระแสด้วยการเรียนรู้แบบสมองซีกขวา ในขณะที่คนเราจะตัดสินใจโดยไม่ใช้ตรรกะได้หรือไม่ ก็อาจได้บางเรื่องแต่จะไม่สมบูรณ์ อาจผิดพลาดได้ จึงต้องใช้ตรรกะมาช่วย ทั้งนี้ เมื่อมองดูสถานการณ์ในประเทศไทย หากเป็นการนำ AI มาใช้ (Adoption) มองว่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนไทยชอบลองอะไรใหม่ๆ  

ส่วนการพัฒนา AI ในประเทศไทยก็มีบริษัทที่ทำเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย มีการพัฒนาโมเดล AI ภาษาไทย ในลักษณะเดียวกับ AI เจ้าดังอย่าง ChatGPT ซึ่งการพัฒนา AI ของไทยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการไปพึ่งพาข้อมูลหรืออัลกอริทึมของต่างประเทศเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ตามมาคือความลำเอียง (Bias) ที่บอกกันว่ามนุษย์ลำเอียงแต่เทคโนโลยีไม่ลำเอียง ในความเป็นจริงคือมนุษย์ใส่ความลำเอียงให้เทคโนโลยีตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ วิธีการคิดนโยบาย

ไทยเองก็เป็นประเทศที่มีนักพัฒนาเก่งๆ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วเราก็พัฒนา AI ขึ้นมาได้ค่อนข้างจะดี แต่อันนั้นเป็นการพัฒนาที่เหมือนตามแบบของคนอื่น ยังไมใหม่เสียทีเดียว แต่ก็ยังมี AI อีกหลายประเภท ยังมีอีกหลายสาขามากๆ ที่เรียกว่าเราพัฒนาได้ดี แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เราขาดทิศทางว่าประเทศเราควรจะสร้างจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยีในด้านไหน ถ้าเราแค่พัฒนาเอาไปใช้งาน อันนี้ไม่ยาก แต่ถ้าเราจะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้เกิดขึ้น ให้สร้างความแตกต่างจริงๆ อันนี้ต้องใช้พละกำลังมหาศาล ทั้งในเรื่องของเงินทุน ระยะเวลา ความมุ่งมั่ ไปให้สุดทาง กัดไม่ปล่อย บางทีต้องใช้เวลา 10  20 ปี รณพงศ์ กล่าว

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า หากมองตามความเห็นส่วนตัวแล้ว AI หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้ช่วยอะไรทั้งเรื่องจิตวิญญาณ ความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์และความหวัง เพราะ AI ไม่มีวิญญาณ คุยกับ AI มากๆ อาจเป็นทุกข์ก็ได้ และมีคำถามว่า AI สร้างความหวังอะไรให้กับเรา? การคุยกันเรื่อง AI จึงเป็นการคุยกันในเรื่องเทคโนโลยี และไม่ได้เป็นเครื่องมือที่เรามีอำนาจเหนือเสมอไป บางครั้งเราก็ถูกควบคุมเช่นกัน

ทั้งนี้ AI จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้งาน อย่างตนเป็นบาทหลวง เป็นคนของศาสนา ก็ต้องมองในมุมศาสนา ซึ่งก็คือคุณธรรม (Ethics) และศักดิ์ศรีของมนุษย์ ก็ต้องพยายามใช้ AI เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและสร้างศักดิ์ศรีให้กับมนุษย์ แต่หากเป็นนักธุรกิจก็จะมองว่า AI จะช่วยธุรกิจได้อย่างไร หรือเป็นนักการศึกษาก็ใช้ AI ในเรื่องการศึกษา ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในมุมของศาสนา คือต้องช่วยแนะนำการใช้ AI ในเรื่องจริยศาสตร์ ทำอย่างไรที่ใช้ AI แล้วจะเป็นคนที่ดีขึ้น

เราสนใจเรื่องจริย เรื่องคุณค่าของมนุษย์ ดังนั้นในศาสนาคริสต์จะเริ่มมีคำใหม่ นั่นก็คือคำว่าดิจิทัล มิชชันนารี คือแต่ก่อนเวลาเราได้ยินได้ฟังโรงเรียนของคาทอลิก เราจะเป็นคุณพ่อ (นักบวช) มาจากต่างประเทศแล้วมาแพร่ธรรมในประเทศไทยโดยมีความคิดว่าเขาได้เอาสิ่งดีๆ มาให้ แต่การแพร่ธรรมสมัยใหม่ มิชชันนารีไม่ต้องเดินทางมา แต่ทำ Social Media (สื่อสังคมออนไลน์ให้น่าสนใจ เขาสามารถอยู่ที่ประเทศของเขา แต่เขาสามารถร่วมกันเผยแพร่เรื่องราวของสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง น่าสนใจและมีคุณค่า แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ จะทำอย่างไรให้มีความน่าสนใจ ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ บาทหลวงอนุชา กล่าว

สุวิตา จรัญวงศ์  CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscoreกล่าวว่า Tellscore มีอินฟลูเอนเซอร์ลงทะเบียนอยู่ประมาณ 8 หมื่นคน ซึ่งจะมีบริษัทต่างๆ มาจ้างให้อินฟลูเอนเซอร์ประชาสัมพันธ์แบรนด์สินค้า แต่ก่อนจะร่วมงานกันลูกค้าจะขอให้ตรวจสอบประวัติอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ย้อนหลัง 3 ปี ไม่ปลุกปั่นรุนแรง หยาบคาย วับๆ แวมๆ แม้ต้องการยอดการรับชมเยอะๆ แต่ต้องผ่านเกณฑ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ระยะหลังๆ สังคมไทยตื่นตัวขึ้นมาก เนื่องมาจากความระมัดระวังมิจฉาชีพ เช่น ในอินเตอร์เน็ต มีคนแต่งตัวดี เรียกตนเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์แต่อาจไปชักชวนคนให้เล่นการพนัน ลักษณะนี้ยังแยกออกว่าใครขาว เทาหรือดำ การขับเคลื่อนเรื่องจริยธรรมนั้นสำคัญ เพราะสื่อสังคมออนไลน์มีพื้นที่ใหญ่มาก ลองนึกถึงคนไทย 70 ล้านคน ใช้สื่อสังคมออนไลน์กว่า 60 ล้านคน และทุกคนก็มีโอกาสผลิตเนื้อหาหรือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะสื่อสังคมออนไลน์ใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

อย่างไรก็ตาม ผู้จ้างงานรีวิวสินค้าก็ต้องการทราบว่ามีการใช้ AI ช่วยเล่าเรื่องหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องจริยธรรมแต่เป็นเรื่องเสมือนหรือไม่เสมือน ยิ่งทุกวันนี้การใช้ AI ถูกกว่าใช้มนุษย์ ดังนั้นผู้ให้บริการก็ต้องระบุให้ชัดเจน เช่น Live สินค้าแบบ 24 ชั่วโมง แต่ใช้ AI รันไปเรื่อยๆ ใช้สคริปต์เป็นสารตั้งต้นสัก 1 ย่อหน้า ไล่เรียงสินค้าไปว่ามีอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ AI ทำไม่ได้คือ การให้ความหวัง

ทางเศรษฐกิจเราให้ความหวังคน ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าทุนนิยม ความหวังทางด้านเศรษฐกิจก็คือ เงิน พอมีเงินเขามีความหวัง แต่เป็นความหวังทางโลก อีกความหวังหนึ่งที่เราสังเกต ถ้าเกิดสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตมันปลอดภัยคนเราก็จะมีความหวัง เราจะสิ้นหวังเมื่อสภาพแวดล้อมบางอย่างพร่องไป เศรษฐกิจไม่ดี ภัยคุกคาม มีสงครามเข้ามา เราก็เลยรู้สึกว่ามีสิ่งเร้าในฐานะมนุษย์เดียวกัน ในฐานะคนที่บอกต่อเรื่องราว ต้องให้ความสำคัญในการผลิตเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ที่สร้างเนื้อหาน้ำดีที่เป็นเรื่องของความหวังด้วย สุวิตา กล่าว

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ช่อง 33HD กล่าวว่า AI อาจใช้ช่วยงานได้ในบางกรณีที่ต้องใช้เทคนิคของเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การทำอินโฟกราฟิก การอธิบายข้อมูล แต่สำหรับผู้สื่อข่าวที่ต้องไปหาข่าวจากสถานที่จริงก็อาจไม่ได้ใช้ AI ซึ่งแม้ผู้สื่อข่าวจะต้องรู้เท่าทัน AI หรือเทคโนโลยี แต่การลงพื้นที่ไปเห็นสถานที่ด้วยตาและได้สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องด้วยตนเองเพื่อนำมารายงาน สิ่งนี้คือความน่าเชื่อถือ คนที่ติดตามก็จะเชื่อว่าเราทำข่าวจริงไม่ใช่ตกแต่งขึ้น

เพราะการไปลงพื้นที่คือได้เห็น ได้ตั้งคำถาม ได้เขียนข่าวและรายงานทุกอย่างด้วยตนเองจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นทั้งหมด และแม้จะมีการอ่านข่าวโดยผู้ประกาศข่าวที่เป็น AI ก็เป็นการอ่านในสิ่งที่ผู้อื่นเขียนมาให้ นี่คือความแตกต่าง ถามว่าคนจะเชื่อใครระหว่าง AI ที่อ่านข่าวในสตูดิโอ หรือผู้สื่อข่าวที่ไปลงพื้นที่ การได้เข้าไปในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้สัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ แต่การส่งผู้สื่อข่าวและช่างภาพลงพื้นที่ย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ทำให้สื่อในปัจจุบันไม่ค่อยลงทุนในส่วนนี้ 

Content Creator (ผู้ผลิตเนื้อหา) เป็นอีกงานหนึ่งที่สำคัญในการใช้ข้อมูลมาแล้วก็คิดสร้างเนื้อหา แต่จะแตกต่างจากความเป็นนักข่าว (Reporter หรือ Journalist) ยังอยากที่จะให้ย้ำความสำคัญของนักข่าวและคนที่มาทำข่าวในพื้นที่ภาคสนาม หรือไปหาข่าวด้วยตัวเอง เพราะนี่คือคนที่เป็นต้นทุนสำคัญในการหาข้อมูล หาแหล่งเนื้อหาต่างๆ และอยากให้พวกเขาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุน เพราะสุดท้ายเราต่างก็ย่อมได้ข้อมูลจากนักข่าวซึ่งเป็นคนแรกที่ลงพื้นที่ไปทำข่าว สัมภาษณ์และรายงานมา แล้วถึงจะเอาไปสร้างเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ ออกมา ฐปณีย์ กล่าว

หมายเหตุ : เนื่องจาก ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ช่อง 33HD ติดภารกิจลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย – เมียนมา จึงได้บันทึกความเห็นของตนเป็นคลิปวีดีโอให้ทีมงานนำมาเปิดในวงเสวนาครั้งนี้ 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-


มองโลกแล้วดูไทย! ‘ปั่นกระแสเกลียดชัง’ขาดกลไกรับมือ จี้แพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบกว่าที่เป็นอยู่

1 มี.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “รับมือความเกลียดชัง ข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective wisdom vs. Digital Hate 4.0: Navigating the DeepTech Era” ดำเนินรายการโดยจัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Soul Connect Fest 2025 มหกรรมพบเพื่อนใจ” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา ระหว่างวันที่ 27 ก.พ. – 2 มี.ค. 2568 ที่สามย่านมิตรทาวน์

สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion เปิดเผยผลการสำรวจข้อมูลความเกลียดชังออนไลน์ โดยกล่าวว่า หากเป็นสถานการณ์ในระดับโลก ปัญหานี้ขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในอินเดีย หรือสหรัฐอเมริกาที่พบถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) พุ่งเป้าไปที่การต่อต้านชาวเอเชีย ขณะที่ความคาดหวังต่อแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ดูจะคาดหวังได้น้อยลงเพราะลดมาตรฐานลง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Check) โดยให้ผู้ใช้งานมาให้ข้อมูล (Community Notes)  หรือประเทศอย่างเยอรมนี แม้จะมีนโยบายควบคุมเนื้อหาสร้างความเกลียดชังที่เข้มแข็งมากแห่งหนึ่งในโลก แต่ผลเลือกตั้งที่เพิ่งออกมาน่าวิตกไม่น้อย ซึ่งในสังคมเยอรมัน Hate Speech จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและความกังวลการสูญเสียอัตลักษณ์จากการมาของผู้อพยพจำนวนมาก โดยในปี 2560 เยอรมนีออกกฎหมาย NetzDG กำหนดให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต้องมีช่องทางรับแจ้งและหากผิดจริงต้องนำออกภายใน 24 ชั่วโมง หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับสูงถึง 50 ล้านยูโร มีการนำข้อความออกจากระบบไปร้อยละ 15 ส่วนใหญ่เป็นความเกลียดชังและความรุนแรง 

แต่ด้วยความที่ต้องใช้เวลารวดเร็วและมีบทลงโทษที่รุนแรง ผลข้างเคียงคือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Hate Speech อาจถูกลบไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่กฎหมาย NetzDG กำลังจะถูกทดแทนด้วยกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งยุโรปที่เรียกว่า EU Digital ServiceAct ขณะที่อังกฤษ มีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ มีการทำงานกับสำนักงานอัยการสูงสุด ติดตามข้อมูลเป็นรายเดือนว่ามีเรื่องร้องเรียนและการดำเนินคดีมาก–น้อยเพียงใด มีการทำงานกับภาคประชาสังคมทั้งการแจ้งเหตุและการช่วยเหลือ โดยบริบทของอังกฤษจะเป็นความเกลียดชังเรื่องเชื้อชาติ ศาสนาหรืออัตลักษณ์ทางเพศ

ที่ประเทศญี่ปุ่น มีกฎหมาย Hate Speech Elimination Act ซึ่งมาจากปัญหาความเกลียดชังต่อชนชาติอื่นที่เข้ามาอยู่ในญี่ปุ่น (โดยเฉพาะชาวจีนและเกาหลี) กลุ่มขวาจัดนิยมจักรวรรดิกลับมามีบทบาทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ไม่ได้มีบทลงโทษเป็นการเฉพาะ เป็นเพียงการอธิบายหลักการว่าอะไรเข้าข่ายผิด และหน่วยงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่อย่างไรบ้าง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้กฎหมายนี้ในการไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมเดินขบวนได้ หรือศาลใช้กฎหมายนี้สั่งให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ลบเนื้อหาได้

ขณะที่ประเทศไทย ในปี 2564 มีการทำข้อมูล Hate Speech ในบริบท 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยศึกษาเพจเฟซบุ๊กที่กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดระดับ Hate Speech ตั้งแต่ระดับน้อย เช่น การด่าทอ จนถึงระดับมากคือ ชวนกันออกไปใช้ความรุนแรงในโลกจริง ซึ่งแม้อย่างหลังนี้จะมีน้อยแต่ก็มีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับช่วงเวลานั้นที่มีการชุมนุมแล้วมีการใช้ Hate Speech สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายรัฐในการใช้กำลังจัดการกับผู้เห็นต่าง โดยพบทั้งคนทั่วไปและสื่อมวลชนที่ใช้ Hate Speech 

ล่าสุดเรื่อง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ก็มีการสร้างความเข้าใจผิด มีการพยายามที่จะกล่าวหา –กล่าวโทษที่ไม่จริง ทำให้สุดท้ายที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรคว่ำหลายมาตรา เช่น มาตรา 27 ที่จะจัดการพื้นที่ตนเอง หรือคว่ำเรื่องชนเผ่าพื้นเมือง โดยอ้างว่าชนเผ่าเหล่านี้จะตั้งสภาพื้นเมือง มีเพลงชาติ – ธงชาติของตนเองและนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องไม่จริงแต่ก็พูดกันทั่วไป

บทเรียนใหญ่ๆ แต่ละที่จะแตกต่างกัน ทำอย่างไรที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จะรักษาความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและสิทธิเสรีภาพการแสดงออกได้อย่างไร แต่ถ้าดูภาพรวมจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี และกฎหมาย ระเบียบต่างๆ มีข้อจำกัดมาก ดังนั้นกระดุมเม็ดแรกหรือขั้นแรกจะต้องกลับมาเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างความรู้ความเข้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับชุมชนและชาวเน็ต สุนิตย์ กล่าว

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคมจิตวิทยาสต กล่าวว่า การสร้างความเกลียดชังเป็นกระบวนการที่มีมาในวิถีชีวิต ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งในทางจิตวิทยา การสร้างความเกลียดชังมีนัยยะ2 ประการคือ 1.นำไปสู่ความรุนแรง จากการแสดงออกทางคำพูดหรือการสื่อสารในโลกออนไลน์ จะนำไปสู่ความรุนแรงในโลกจริง ซึ่งหากย้อนมองประวัติศาสตร์ ก่อนจะเกิดความรุนแรงจะมีการโหมถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม2519 ในไทย   2.การสร้างความเกลียดชังมีลำดับขั้น และเกิดขึ้นได้ทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว เริ่มจาก 2.1 มองความต่างเป็นเรื่องถูก – ผิด 2.2 เมื่อแบ่งความต่างเป็นถูก – ผิด ได้แล้วก็จะตัดสินว่าดี –เลว และ 2.3 สิ่งใดที่ถูกตัดสินว่าเลว สิ่งนั้นไม่สมควรมีอยู่ เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็เตรียมยกระดับกลายเป็นความรุนแรง เช่น กีดกันออกไปจากการทำงาน หรือหนักที่สุดคือมองว่าสามารถเข่นฆ่าให้ตายได้ 

กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ทำลายสังคมอย่างมาก คือทำให้เกิดความรุนแรง ดังนั้นสังคมที่มีวุฒิภาวะทั้งหลายจะต้องสร้างสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่จะต้องจัดการกับสิ่งนี้ ต้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิด อย่างกฎหมายที่เยอรมันก็เป็นตัวอย่างที่คลาสสิก ซึ่งตอนนี้ใช้ทั่วยุโรป ก่อนหน้านี้ในปี 2017 (2560) เยอรมันมีกฎหมายมานานแล้วว่าถ้าจะบอกว่าความเห็นนี้ด้วยเหตุผลไม่ดีอย่างไรพูดได้เต็มที่ แต่เมื่อใดที่พูดเนื้อหา Hate Speech ตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ถือว่าผิดกฎหมายนพ.ยงยุทธ กล่าว

ณภัทร ชุ่มจิตตรี (คิง ก่อนบ่าย) นักแสดงรายการ สภาทอล์คช่องไทยรัฐทีวี กล่าวว่า เคยมีประสบการณ์ลงสนามการเมือง จากในตอนแรกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เช่น เรื่องโควิด-19 ได้รับเสียงชื่นชม บอกเป็นดาราต้องอยู่ข้างประชาชน เรียกร้องให้มาเล่นการเมือง แต่เมื่อตัดสินใจไปลงสมัครรับเลือกตั้งในอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงในพรรคชอบบอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ จากแฟนคลับที่เคยชื่นชมกลายเป็นเจอทัวร์ลงแทน ถูกถามว่า เป็นตลกดีอยู่แล้วจะมาลงการเมืองทำไม? เป็นต้น 

โดยสรุปก็คือ หากเราเป็นที่ถูกใจเขาก็ว่าดีได้เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน แต่หากเราไม่เป็นที่ถูกใจจะเจอทัวร์ลง จะขยับอะไรก็เป็นประเด็นตลอด มีการใช้ถ้อยคำเหยียด (Bully) ว่าเอาความรู้ความสามารถอะไรมาเป็นนักการเมือง ซึ่งย้อนคิดว่า ในขณะที่ผู้คนมองนักแสดงตลกเป็นตัวตลก แต่ไม่เคยถามเลยว่านักแสดงตลกคนนั้นเรียนจบอะไรมา อย่างตนจบ ป.ตรี การบริหารจัดการ และ ป.โท ด้านการจัดการฟุตบอลอาชีพ แต่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามนี้ มีแต่มองว่าเป็นตัวตลก

พอคนเราเสพโซเชียลเยอะในสิ่งที่เราเจอ อย่างที่บอกว่าก็จิตตกไปพักหนึ่ง แต่ตอนหลังเรารู้เลยว่าวิธีการจะแก้ปัญหาในเรื่องการถูกเหยียดในสังคมออนไลน์ทำอย่างไร? 1.ไม่เติมเน็ต พอไม่เติมเน็ตเราก็เปิดหัวข้อนั้นไม่ได้ 2.เปิดเน็ตไปแล้วอ่านผ่านๆ เลือกอ่านความเห็นที่ดี ที่ส่งเสริมให้กำลังใจเรา และ 3.เรียนรู้ว่าโซเชียลคือที่ระบายออกทางความคิดของคนที่เล่นโซเชียล แต่คนที่มีความรู้ มีสติมีปัญญา เขาจะไม่มาคอมเมนต์ในทางลบ เพราะเขารู้สึกว่าจะเสียเวลาในเรื่องพวกนั้น เราก็รู้แล้วว่าคนที่เข้ามาเขาไม่มีที่ระบาย ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าระบายแล้วมีความสุขก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราสร้างความสุขให้เขา ด้วยการสร้างเรื่องให้เขาด่านั่นเอง ณภัทร กล่าว

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์, OSU ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ กล่าวว่า ในทางศาสนาเห็นว่าเมื่อเกิดความเกลียดแล้วเราไปเกลียดตอบจะมีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ อย่างในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งคนหนุ่ม – สาวมีวันวาเลนไทน์ ในพระคัมภีร์มีถ้อยคำที่อัครสาวกเปาโล กล่าวถึงความรักว่า ความรักอดทนนานและมีใจปราณี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักกล้าทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ 

ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจทำให้คิดว่าเราต้องไม่ตอบโต้คนในทางออนไลน์ว่าเขามาว่า ถ้าเรายิ่งไปเขียนต่อว่าเขากลับยิ่งเพิ่มความเกลียดต่อไป เราไม่ต้องไปตอบโต้ ให้อภัยเขาไปว่าสิ่งที่เขาทำนี้เพราะไม่รู้ ถ้าเรายิ่งแชร์ ยิ่งมีเรื่องแชร์ต่อๆ ไป ยิ่งเกลียด ถ้ามีความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น แม้แต่คนที่เรารักที่ทำผิดเราก็ยังต้องทน ยิ่งคนอื่นก็น่าจะทนง่ายเพราะเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เรา คิดว่าการมีขันติ มีความอดทนในเรื่องแบบนี้ เราก็สู้กับความเกลียดด้วยความรัก ที่จะไม่ทำร้ายคนต่อๆ ไป ซิสเตอร์ศรีพิมพ์กล่าว

อังคณา  นีละไพจิตร  สมาชิกวุฒิสภา (สว.)กล่าวว่า Hate Speech มีจุดเริ่มต้นมาจากความพยายามด้อยค่าเหยื่อและด้อยค่าคนทำงานเพื่อคนอื่น และในประเทศไทยไม่มีกลไกปกป้อง อย่างสมัยทำงานเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตนเองน่าจะเป็น กสม. ที่เจอ Hate Speech มากที่สุด ต่อมาเมื่อเปลี่ยนบทบาทไปทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ ซึ่งไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับประเทศไทย ก็เห็นว่ามี Hate Speech เข้ามาน้อยลง แต่เมื่อกลับมาเป็น สว. ก็ต้องมาเผชิญกับ Hate Speech อีกครั้ง 

อนึ่ง เมื่อมีการใช้ Hate Speech หนึ่งในสิ่งที่พบคือ เพศถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง เช่น เมื่อพูดถึงประเด็นโทษประหารชีวิตหรือผู้ลี้ภัย ผู้พูดที่เป็นผู้หญิงมักถูกโจมตีว่าในข้อความที่หยาบคาย แต่เมื่อไปแจ้งความก็จะถูกถามว่าตรงไหนสร้างความเกลียดชังหรือลดทอนคุณค่า และการต้องใช้ปากกาขีดเส้นเน้นสีถ้อยคำนั้นก็เหมือนถูกกระทำซ้ำ ซึ่งตนก็ตั้งคำถามกับสังคมมาตลอดว่าอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง

วันนี้มีนักกิจกรรมทางการเมืองผู้หญิงหลายคนที่ออกไปเลยจากวงการ ไม่มาพูดเรื่องการเมือง ไม่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอีก เพราะทนไม่ได้กับการที่รูปของตัวเองถูกเอาไปตัดต่อแปะกับภาพที่ไม่ใช่ตัวเอง เป็นภาพเปลือยบ้างอะไรบ้าง คิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมควรตั้งคำถามโดยเฉพาะกับบริษัทที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม หรือบริษัทเทคโนโลยี สว. อังคณา กล่าว

ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่า สื่อสังคมออนไลน์ถูกใช้ในทางการเมืองมากขึ้น อย่างนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ก็หันมาใช้เพราะเป็นช่องทางสื่อสารกับประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่คนไทยก็มีความลื่นไหลทางภาษา หาวิธีเลี่ยงระบบตรวจจับของแพลตฟอร์ม เช่น ใช้การสะกดคำผิด ใช้สัญลักษณ์แสดงอารมณ์ (Emoji) ใช้การบิดคำแต่อ่านแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างความเกลียดชัง และการรายงานแพลตฟอร์มก็ใช้เวลานานกว่าจะมีการดำเนินการ ทำให้หลายคนเลือกปล่อยผ่าน

โดยรูปแบบ Hate Speech ที่พบได้บ่อยๆ คือการด้อยค่า แทนที่จะพูดคุยกันเรื่องนโยบายที่นำเสนอก็เบี่ยงให้ไปเป็นเรื่องอื่นแทน ส่วนการข่มขู่พบไม่มากแต่มีความรุนแรง เช่น บอกว่าจะเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลให้กับคนที่ต้องลงพื้นที่ อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผย อาทิ หมายเลขโทรศัพท์ สถานที่พักอาศัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงที่ปกติก็มีจำนวนน้อยในทางการเมืองอยู่แล้ว ยิ่งเจอความเสี่ยงเหล่านี้ก็ทำให้เกิดความกลัวและไม่อยากอยู่ต่อไปในพื้นที่ทางการเมือง แม้จะเป็นข้อมูลเท็จหรือภาพตัดต่อก็ต้องมาแก้ข่าวแทนที่จะไปมุ่งเน้นการทำงาน

ผลกระทบทางจิตใจมันไม่ได้อยู่แค่ระยะเวลาสั้นๆ มันกระทบต่อยาว หลายคนเจอภาวะทางจิตใจต่อเนื่อง รวมถึงครอบครัวก็มีผลกระทบด้วย ทำให้กระบวนการเหล่านี้ถูกรับมือโดยส่วนตัว พรรคการเมือง รัฐสภา หน่วยงานแวดล้อมก็ไม่ได้มีกลไกรับมือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้แพลตฟอร์มควรจะมีความรับผิดรับชอบที่มากกว่านี้ อย่างเช่นการเก็บข้อมูลให้ชัดเจนเลยว่ามีกรณีที่เข้าข่ายประเด็นเหล่านี้ การสร้างความเกลียดชัง การให้ข้อมูลที่ผิดในระยะเวลาต่อเนื่องมีเท่าไร แล้วแพลตฟอร์มดูแลอย่างไร เพื่อที่จะให้ภาพความรุนแรงเหล่านี้มันเห็นชัดเจนร่วมกันมากขึ้นว่าสังคมเราในแต่ละรอบช่วงเวลา ในแต่ละปีเจอกันเยอะแค่ไหน ชมพูนุท กล่าว

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.กล่าวว่า Hate Speech นำไปสู่ความโกรธ ความเกลียดและความรุนแรง หากคนเราส่งต่อความรักโลกก็จะมีแต่รอยยิ้มและสันติสุข แต่หากเต็มไปด้วยความเกลียดชังก็อยู่กันไม่ได้ มีความอึดอัดคับข้องใจ เห็นหน้ากันไม่อยากอยู่ด้วยกัน ถ้าเดินหนีไม่ได้บางทีก็ถึงขั้นใช้ความรุนแรงทำร้ายกันซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม แต่โลกปัจจุบันที่เป็นยุคออนไลน์ มีการสร้างความเกลียดชังทางออนไลน์เป็นจำนวนมากทั้งเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนาและอื่นๆ ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ

เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราอยู่กันเป็นสังคม สังคมไทยก็เป็นพหุวัฒนธรรม จริงๆ ต้องเคารพความแตกต่างหลากหลายและอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เข้าใจและให้อภัย ถ้าเต็มไปด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง ความเกลียด ชีวิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ ประการหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือเราจะ Handle (รับมือเรื่องพวกนี้อย่างไร ที่สำคัญคือต้องมีสติ จริงๆ แล้วในโลกออนไลน์ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวเร็วมาก ข่าวสารถาโถมเข้ามาจากทุกสารทิศ เราเองต้องมีสติและค่อยๆ คิดว่าเรื่องนี้จริง  ไม่จริง” วสันต์ กล่าว  

ในช่วงท้าย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ผอ.สถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวว่า ปัญญารวมหมู่ (Collective Wisdom) ในแง่ของสังคม จะเป็นในลักษณะที่แก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลับมาดีก็ได้ หรือหากสถานการณ์ดีอยู่แล้วแต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้อวิชชามหาชนเกิดขึ้น สังคมและบ้านเมืองก็จะไปอีกทางได้เช่นกัน

ถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร? ขอทิ้งไว้ด้วยคำง่ายๆ คำว่าแคร์ แต่ไม่ใช่แคร์บางคน ต้องแคร์ทุกคน แคร์สิทธิมนุษยชน และแคร์ไปทั้งมนุษยชาติ นั่นคือสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ พระมหานภันต์กล่าว   

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-


สำรวจข้อดี-ข้อเสียของระบบ Community Notes ที่เมตาจะเริ่มใช้เร็ว ๆ นี้

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอบริษัทเมตา เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเธรดส์ ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริษัทกลับสู่ “รากเหง้า” ของแพลตฟอร์มในการเป็นพื้นที่เสรีภาพด้านการแสดงความคิดเห็น ด้วยการยกเลิกโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สามและเตรียมหันมาใช้ฟีเจอร์ Community Notes คล้ายกับที่ใช้บน X แทน

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้มาจากการที่ซักเคอร์เบิร์กมองว่าผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระใช้อำนาจและอคติจนข้ามเส้นจากการตรวจสอบไปสู่การเซนเซอร์เนื้อหา แต่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่านี่เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่เมตาใช้เพื่อเอาใจรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

Community Notes คืออะไร?

Community Notes หรือโน้ตชุมชน คือระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่ถูกแชร์บนแพลตฟอร์ม โดยผู้ใช้งานที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ให้ข้อมูล (contributor) จะสามารถเขียนโน้ตเพิ่มเติมเพื่ออธิบายหรือให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโพสต์ที่อาจมีเนื้อหาเป็นเท็จ บิดเบือน หรือทำให้เข้าใจผิดได้ หากโน้ตได้รับการโหวตจากผู้ให้ข้อมูลอื่น ๆ ว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพียงพอ โน้ตเหล่านี้ก็จะปรากฏควบคู่ไปกับโพสต์ต้นฉบับเพื่อให้ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ ได้พิจารณาข้อมูลทั้งสองด้านด้วยตัวเอง

หน้าตาของ Community Note ที่แพลตฟอร์ม X ทำขึ้นเป็นตัวอย่าง
(Credit @CommunityNotes via X)
เมื่อผู้ใช้งานเพิ่มโน้ตเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม ระบบจะให้ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ โหวตว่าข้อมูลนั้นมีประโยชน์หรือไม่ ถ้าได้รับการโหวตเพียงพอ โน้ตนั้นก็จะปรากฏควบคู่ไปกับโพสต์ต้นฉบับ (Credit @CommunityNotes via X)

จากประสบการณ์การใช้งานจริงของผู้เขียน ทั้งในฐานะผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียและผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับการเก็บข้อมูลจากงานวิจัยและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โคแฟคจะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของระบบ Community Notes ของ X ซึ่งน่าจะเป็นแม่แบบให้กับระบบใหม่ของเมตาเร็ว ๆ นี้

ข้อดีของ Community Notes

● ทุกคนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูล

ผู้ให้ข้อมูลต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นเป็นผู้ใช้งานที่สร้างบัญชี X มาไม่ต่ำกว่าหกเดือน มีเบอร์โทรศัพท์สำหรับยืนยันตัวตน และไม่เคยละเมิดกฎการใช้งาน X ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลได้ เท่ากับว่าผู้ใช้งานจะมีบทบาทในการสร้างสรรค์ชุมชนและกำหนดลักษณะของเนื้อหาบนแพลตฟอร์มด้วยตัวเอง

● ไม่จำกัดแค่การตรวจสอบข่าวปลอม

ผู้ให้ข้อมูลไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ว่าจะต้องเพิ่มโน้ตเกี่ยวกับข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มบริบทใด ๆ ก็ได้เกี่ยวกับโพสต์ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลว่าโพสต์ดังกล่าวอาจจะเป็นการแฝงโฆษณาหรือการโปรโมตสินค้าปลอมก็ย่อมทำได้ โน้ตชุมชนจึงทำหน้าที่เสมือนบริบทหรือเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์ ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสได้รับข้อมูลที่หลากหลายรอบด้านมากกว่าเดิม

ตัวอย่างเช่น โพสต์ที่นำรูปของลูกฮิปโปของสวนสัตว์ซินซินนาติในสหรัฐอเมริกามาใช้และอ้างว่าเป็นลูกฮิปโปของสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยโน้ตชุมชนของผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งได้รับการโหวตและปรากฏขึ้นใต้โพสต์ดังกล่าวภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง และมียอดชมมากกว่า 18,000 ครั้ง ถือว่าเป็นความร่วมมือของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มที่ช่วยกันตรวจสอบข้อมูลอย่างรวดเร็ว และไม่จำกัดเพียงแค่ประเด็นข่าวปลอมร้ายแรง อย่างเช่น ประเด็นการเมืองหรือภัยธรรมชาติเท่านั้น

● โปร่งใส-ตรวจสอบได้

โน้ตชุมชนถูกออกแบบมาให้เป็นระบบ crowdsourcing หรือระบบที่อาศัยความร่วมมือของกลุ่มคนที่หลากหลายโดยไม่มีการแทรกแซงจากตัวแพลตฟอร์มเอง ดังนั้น ข้อมูลของโน้ตที่ได้รับคะแนนโหวตให้ปรากฏใต้โพสต์ต่าง ๆ รวมถึงอัลกอริธึมการจัดลำดับโน้ตที่เป็นประโยชน์จึงสามารถเข้าถึงได้จากสาธารณะ

ข้อเสียของ Community Notes

● ขาดการตรวจสอบจากมืออาชีพ

เนื่องจากแนวคิดของโน้ตชุมชนคือการให้ผู้ใช้งานช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาในแพลตฟอร์มกันเอง เราจึงไม่อาจวางใจได้อย่างเต็มที่ว่าผู้ให้ข้อมูลมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่ตัวเองเขียนโน้ตอย่างรอบด้านและปราศจากอคติ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการเขียนโน้ตชุมชนคือการอ้างอิงเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น สุดท้ายแล้วผู้ให้ข้อมูลก็ยังจำเป็นต้องใช้แหล่งอ้างอิงจากบุคคลที่สาม เช่น รายงานข่าว หรือรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเว็บที่เชื่อถือได้ ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันหนึ่งว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาพันธมิตรหรือองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของข่าวปลอม

● ใช้อัลกอริธึมตัดสิน

แม้ว่าจะมีโน้ตที่ได้รับการโหวตจากผู้ให้ข้อมูลรายอื่น ๆ ว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ได้แปลว่าโน้ตเหล่านั้นจะปรากฏในโพสต์ที่เป็นปัญหา ที่ผ่านมามีโน้ตชุมชนที่ได้รับคะแนนโหวตว่าเป็นประโยชน์มากถึงร้อยละ 60 ที่ไม่ได้รับการเผยแพร่ เนื่องจากอัลกอริธึมของ X จะทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ระบบแสดงโน้ตดังกล่าวใต้โพสต์หรือไม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์อาจไม่ได้ถูกเผยแพร่หรือไม่มีใครเห็นเลยหากอัลกอริธึมมองว่าคะแนนโหวตนั้นยังไม่ได้มาจากกลุ่มคนที่หลากหลายเพียงพอ

ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างของโพสต์ที่อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นภาพรูปปั้นเทพออปติมัสไพรม์ของจริงในไทย ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลบางส่วนเขียนโน้ตชุมชนไว้แล้วว่านี่เป็นรูปที่สร้างจากเอไอ แต่โน้ตเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏใต้โพสต์ดังกล่าวเพราะอัลกอริธึมมองว่ายังไม่ได้รับการโหวตจากกลุ่มผู้ใช้งานที่หลากหลายพอ การโพสต์เนื้อหาที่ถูกต้องไว้ใต้โพสต์นั้น ๆ จึงสามารถถูกมองเห็นและแชร์ไปยังผู้ใช้งานรายอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้โน้ตชุมชน

เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีอคติหรือความเชื่อส่วนตัวของตัวเอง และโซเชียลมีเดียก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ดังนั้น ความพยายามของแพลตฟอร์มที่จะเป็นพื้นที่ของอิสรภาพในการแสดงออก ก็อาจจะไม่สามารถส่งเสริมให้แพลตฟอร์มนั้น ๆ เป็นพื้นที่ของข้อเท็จจริงได้ในเวลาเดียวกันหากปราศจากการควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เมตายังไม่ได้ระบุเกี่ยวกับกรอบเวลาหรือระบบ Community Notes อย่างชัดเจน โดยกล่าวเบื้องต้นเพียงว่ามีแผนเริ่มใช้งานระบบดังกล่าวในสหรัฐอเมริกาภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และจะขยายการใช้งานไปยังประเทศอื่น ๆ ในอนาคต

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ข่าวลวง-ข้อมูลบิดเบือน’ภัยคุกคามโลก ยุค ‘AI’ยิ่งเนียนแยกยาก ‘รู้เท่าทัน’ยิ่งจำเป็น ‘ตรวจสอบ’หน้าที่ทุกคน

11 ก.พ. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. ThaiPBS และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมจัดงานวันอินเทอร์เน็ตปลอดภัยสากล (Safer Internet Day 2025) ยกระดับรับมือข้อมูลลวง 4.0 เพื่อลดภัยคุกคามโลก

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum หรือ WEF) กำหนดให้ข่าวลวงเป็นวาระแห่งโลก โดยระบุว่า ในห้วงเวลา 2 – 3 ปีนี้ เรื่องของข้อมูลบิดเบือน – คลาดเคลื่อน (Disinformation , Misinformation) คือภัยคุกคามอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

งานที่เราทุกคนทำ นอกจากจะลดปัญหาในเมืองไทยแล้ว เราก็น่าจะช่วยลดภัยคุกคามโลกได้ด้วยเพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่จริงๆ เป็นที่มาของการที่เรารับมือร่วมกัน สุภิญญา กล่าว

กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า รายงาน WEF Global Risk Report 2024 ระดมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเกือบ1,500 คน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม จัดลำดับความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อโลก และลงความเห็นว่า ข้อมูลบิดเบือน – คลาดเคลื่อน จะเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่หลายประเทศมีการเลือกตั้ง จึงคาดการณ์ว่าจะมีการใช้เนื้อหาเท็จเป็นเครื่องมือเอาชนะกันทางการเมืองจำนวนมาก

ซึ่งผลกระทบจากข้อมูลเท็จหวังผลในทางการเมือง เช่น อาจนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ลุกลามสู่สถานการณ์ความรุนแรง ทำให้การรับรู้ความจริงของแต่ละคนแตกต่างกันอย่างสุดขั้วจนแทบจะคุยกันไม่ได้ในทุกเรื่อง และอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นข้ออ้างเรื่องการต่อต้านข่าวปลอมให้รัฐบาลควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน โดยยอมให้เผยแพร่เฉพาะสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าถูกต้องเท่านั้น เป็นต้น

ขณะที่งาน Fact Checker หรือ นักตรวจสอบข้อเท็จจริง นั้นใช้เวลาไม่น้อยในการหาหลักฐานจากหลายแหล่งมาหักล้างข้อมูลเท็จอีกทั้งยังต้องเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายและน่าเชื่อถือ และแม้จะทำออกมาแล้วคนก็ยังไม่ค่อยช่วยกันแชร์ ตรงข้ามกับข่าวลวงหรือเนื้อหาเท็จที่มีจำนวนมหาศาลอีกทั้งผลิตและเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังดูหวือหวาน่าสนใจตื่นเต้นจนเห็นแล้วก็อยากแชร์ในทันที

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งจำเป็นและมีพลัง และเชื่ออย่างสนิทใจว่างานที่พวกเราทำจะช่วยลดความเสี่ยงหรือภัยคุกคามของข่าวลวงได้ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นข่าวลวง 1.0 ที่กุเรื่องโกหกขึ้นมาอย่างง่ายๆ หรือว่าเนื้อหาเท็จที่แนบเนียนเหมือนจริงมากด้วยเทคโนโลยีของ AIกุลธิดา กล่าว

ธนภณ เรามานะชัย Lead Trainer ของโคแฟคและ Certified Trainer ของ Google News Initiative เปิดประเด็นชวนคิดเรื่องการใช้ ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)” เช่น ChatGPT โดยตั้งคำถาม รู้หรือไม่ว่า Generative AI นำข้อมูลจากไหนมาตอบ? และอยากให้ทำความเข้าใจว่า “Generative AI ไม่ใช่เครื่องมือสืบค้นข้อมูล แต่เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์เนื้อหาและคิดไอเดียใหม่ๆ 

ทั้งนี้ AI จะได้คำตอบมาก – น้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ AI ได้เรียนรู้ (Training Model) ดังนั้นหากถามในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือถามในสิ่งที่เป็นการตีความทางสังคม ศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งข้อมูลประเภทนี้สามารถตีความได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน ลักษณะนี้ Generative AIอาจให้คำตอบอย่างไม่ครบถ้วนรอบด้าน หรือแม้แต่สมมติข้อมูลขึ้นมา ทำให้ไม่ได้ข้อมูลตรงกับที่ต้องการ

ในฐานะที่ทำเรื่องการปลูกฝังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องมือ AI อย่างสร้างสรรค์ ผมอาจสรุปมาเป็น 4 ข้อด้วยกัน 1.เราต้องใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ผลงาน เราต้องคิดว่า AI เสมือนว่าเป็นผู้ช่วยส่วนบุคคล เหมือนกับเราสั่งงานกับมัน 2.เราต้องไม่ใช่ Generative AI เป็นแหล่งอ้างอิงหลัก ควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่มาต้นฉบับ และค้นหาร่วมกับ Search Engine (เครื่องมือสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตด้วย 3.การเขียนคำสั่ง หรือ Prompt ต้องเน้นการออกคำสั่ง Prompt คือคำสั่งไม่ใช่คำถาม 

ดังนั้นการใช้ Generative AI ที่ดีคือสั่งงานให้มันทำ เราถึงจะเป็นผู้ใช้งาน Generative AI ที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานแล้วได้คำตอบ สั่งให้ทำงานแทนที่จะถามคำถาม และสุดท้าย 4.ผมก็อยากจะส่งเสริมการเรียนการสอนในปัจจุบันนี้ แน่นอนเราหลีกเลี่ยงการใช้ Generative AI ในการเรียนการสอนไม่ได้ จึงอยากให้หลายๆ ครั้งกลับมามองว่าเราจะส่งเสริมการสอบแบบ Generative AI เน้นกระบวนการทำเป็นลำดับขั้น โดยเฉพาะทักษะการเขียนคำสั่ง Prompt อาจต้องเริ่มจากการลำดับประโยคและพื้นฐานไวยากรณ์ที่จำเป็นต่อการออกคำสั่ง ธนภณกล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวถึงประสบการณ์ 10 ปี ของการทำงานตรวจสอบข้อมูลของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ นับจากรายการโทรทัศน์ในปี 2558 ซึ่งพบความท้าทาย เช่น คนเลือกจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ ข้อมูลลวงสามารถผลิตและส่งต่อได้ง่ายและเร็ว บวกกับกลไกตลาดยังกระตุ้นให้ข้อมูลเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยเห็นว่ายิ่งทำให้แปลก รุนแรงหรือตื่นเต้นเพียงใด ก็จะยิ่งมีคนสนใจจำนวนมาก นำมาซึ่งรายได้ของคนที่ทำ แต่ข้อมูลที่ไม่จริงเหล่านี้เมื่อเข้าระบบไปแล้วการแก้ไขกลับทำได้ยาก

ทั้งนี้ บทบาทของชัวร์ก่อนแชร์ ที่ผ่านมาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยจากเดิมที่สื่อมวลชนจะไม่รายงานเรื่องที่ไม่จริง แต่ปัจจุบันเรื่องไม่จริงสื่อมวลชนก็ต้องรายงานว่าไม่จริงด้วย เพราะปัจจุบันสื่อตัวเล็กลงแต่มวลชนตัวใหญ่ขึ้น สามารถส่งสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น มวลชนทั้งสร้าง ส่งและเสพ ขณะที่สื่อทำหน้าที่สร้างและส่ง ดังนั้นสิ่งที่ชัวร์ก่อนแชร์พยายามทำคือการส่งต่อความรู้และประสบการณ์ไปยังมวลชนให้มีแนวคิดที่ปลอดภัยกับสังคม 

ที่ผ่านมาพยายามหักล้างข้อมูล เราอยากทำ 3 อย่าง คือปกปัก หักล้างและสร้างภูมิ จริงๆ หักล้างเริ่มก่อน แล้วก็การทำให้คนมีภูมิคุ้มกันเราก็อยากทำมากขึ้น แล้วระยะยาวเราก็พยายามทำเรื่อง Literacy Education (การศึกษาเพื่อรู้เท่าทัน) พีรพล กล่าว

พรวุฒิ พิพัฒนเดชศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคดูข้อมูลบิดเบือนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1.ภัยคุกคามทางออนไลน์ เช่น มิจฉาชีพ การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล 2.เมืองที่เป็นธรรม เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นานา  และ 3.ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค เช่น โฆษณาอาหารและยาที่เกินจริง

ขณะที่งานนวัตกรรมที่ตนดูแลอยู่ เป็นการรับข้อมูลทั้งจากเรื่องร้องเรียน ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ จากภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม โดยการประมวลผลมีทั้งการประชุมกลุ่มเฉพาะ (Focus Group) พูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายว่าปัญหาคืออะไร ส่วนที่เป็นข้อมูลเชิงเทคนิคก็ให้นักวิชาการมาทำวิจัย หรือขอความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ เชิญมาร่วมประชุมระดมสมอง

เราสนับสนุนให้มีการร้องทุกข์ เพราะว่ายิ่งเรามีเรื่องร้องเรียนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีข้อมูลต่างๆ ที่จะนำไปสู่กระบวนการจัดการและกรองออกมาเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าว

กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสื่อสำนักดิจิทัลThaiPBS กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดในเดือน ก.พ. 2568 โดย We Are Social พบว่า ค่าเฉลี่ยการใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตต่อวันของคนไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และหากเป็นการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือจะอยู่ในอันดับ 5 ของโลก อีกทั้งไทยยังมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก 

แต่ในทางกลับกัน ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ปี 2567 พบว่า คนไทยเจอภัยออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นตอร์ ถูกหลอกขายสินค้า หลอกลงทุน – กู้เงิน ทุกอย่างเหมือนเหรียญที่มีสองด้านเทคโนโลยีไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดี ยังมีมิจฉาชีพอยู่ด้วยเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านหนึ่งถูกใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แต่อีกด้านก็มีมิจฉาชีพนำไปใช้ อย่างประสบการณ์ที่เคยนำภาพและคลิปวีดีโอที่ AI ทำขึ้นไปให้บุคคลหลากหลายช่วงอายุและระดับการศึกษาดู พบว่ามีคนทุกช่วงวัยและการศึกษาที่ตอบผิด ดังนั้นความเนียนของ AI ก็เป็นภัยได้เช่นกัน

และแม้ข่าวลวงมีมานานแล้ว แต่มีปัจจัยที่ทำให้แพร่กระจายได้มากขึ้น 1.การมาของสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ทำให้ข้อมูลถูกส่งต่อได้ง่าย เช่น แสดงความคิดเห็น (Comment) ปุ่มส่งต่อ (Share) 2.การพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ AI สามารถผลิตข้อมูลที่เนียนมากขึ้น สวนทางกับแพลตฟอร์มที่ไม่มีเทคโนโลยีควบคุมได้ทัน 3.ขาดทักษะ คนยังขาดความรู้เท่าทัน ยิ่งยุค AI ที่ทำให้แยกแยะได้ยาก ประกอบกับพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปตามการใช้สื่อสังคมออนไลน์ อ่านน้อยลง สมาธิสั้น 4.ข่าวลวงสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ และ 5.ช่องโหว่การกำกับดูแล ทั้งจากภาครัฐและแพลตฟอร์ม

ThaiPBS ที่เป็นสื่อสาธารณะทำอะไร? ได้เกิด ThaiPBS Verify ขึ้นมา วัตถุประสงค์ตอนนี้ ช่วยตรวจสอบ ช่วยเสริมทักษะ สร้างชุมชนหรือรวบรวมเนื้อหาให้คนเข้าไปตรวจสอบได้ พยายามให้เข้ากับมาตรฐาน IFCN (International Fact Checking Network) สร้างบรรทัดฐานอุตสาหกรรมสื่อ จะตรวจสอบคนอื่นได้ตัวเองก็ต้องไม่ผิดด้วย เพราะถ้าผิดคือมหันตภัยหนักกว่าอีก ก็ต้องยกระดับทั้งข้างนอกและข้างในด้วย กนกพร กล่าว

ชนิดา จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวว่า SONP ทำโครงการ Cyber Booster ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รายการสถานีประชาชน ทาง ThaiPBS  และ Tellscore แพลตฟอร์มรวมอินฟลูเอนเซอร์ ร่วมกันผลิตสื่อที่ต้องการบอกกับประชาชนว่าให้เท่าทันกับภัยออนไลน์

“Cyber Booster ก็คือการรวมตัวของตำรวจ โครงการนี้จะมีความแตกต่าง วิทยากรแต่ละท่านจะเตือนเราเรื่องข้อมูลลวง ดังนั้นในการทำโครงการเราก็เลยคิดว่าคนที่จะให้ข้อมูล คนที่จะเตือนภัยได้ดีที่สุดก็คือเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นตำรวจ การที่เขาคลุกคลีและมีข้อมูลอยู่ในมือ เขาจะต้องเป็นคนที่ให้ข้อมูล ผลิตและสร้างสรรค์คลิปจำนวน 16 คลิป รวบรวมภัยทุกรูปแบบในการเตือน ไม่ว่าจะเป็นลวงให้รัก หลอกลงทุน ชนิดา กล่าว

ตรี บุญเจือ ผู้อำนวยการสำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช. กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการรู้เท่าทันสื่อ เราพูดถึงประสบการณ์ ความรู้ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จะสามารถทำให้เราคิด วิเคราะห์ ประเมินผลและตรวจสอบข้อมูลที่จริงและลวงได้ แต่ความท้าทายคือสื่อในรูปแบบความคิดเห็นมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่ข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์มากขึ้น ประเมินค่าที่เกิดขึ้นกับตัวเราและสังคมมากขึ้น

ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่บ้าง เรามีองค์ประกอบอยู่หลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีเครื่องมือเป็นกฎหมาย เป็นนโยบายต่างๆ เราสามารถขับเคลื่อนได้ ภาครัฐเราอาจมีทุน มีทรัพยากรบางอย่างที่ส่งต่อให้หน่วยงานต่างๆ มีกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มี กสทช. มีกองทุน กทปส. ด้วย เรามีทุนที่จะสามารถขับเคลื่อนได้ ภาคส่วนที่เป็นสื่อเองเราพูดถึงความรับผิดชอบกันอยู่แล้วในการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงแต่สามารถทำได้มากกว่านั้น เราสามารถร่วมรณรงค์และใช้พื้นที่ของเราในการณรงค์ได้ 

ตัวแพลตฟอร์ม เจ้าของพื้นที่ มีทั้งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและแพลตฟอร์มต่างๆ แล้วก็ภาคประชาสังคมเองร่วมขับเคลื่อน หลายๆ องค์กร อย่างโคแฟคที่พูดถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง เราก็คงจะสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน  สร้างความร่วมมือ บูรณาการระหว่างหน่วยงานในมิติต่างๆและหลังจากเทคโนโลยีพัฒนาไป เราก็อาจต้องพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบเฝ้าะรังด้วยผอ.สำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช.กล่าว

ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวถึงแนวคิดการกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น Principles for Trustworthy AI โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) มี AI Convention ส่วนกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีหลักการและจริยธรรมในการพัฒนา AI (Principles และ Ethics) 

หลักการของการพัฒนา AI ที่ดี หลักการสำคัญอันหนึ่งคือ Transparency (ความโปร่งใส) เรื่องเกี่ยวกับความโปร่งใสของข้อมูล ฉะนั้นจะต้องแสดงให้เห็นว่าในมิติของการพัฒนา ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ เสียง มันถูก AI เข้าไปแก้ไขตรงไหนได้บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าถ้าเกิดมีมิจฉาชีพที่ตั้งใจ รู้อยู่แล้วว่าเราใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ทำ แต่ก็ตั้งใจเอามาหลอกคนอื่น ที่เราเรียกว่า Impersonation (การปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นนี่คือสิ่งที่เป็นปัญหา รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-


รับประทานไก่เป็นเกาต์ จริงหรือ     

“รับประทานไก่เยอะระวังเป็นเกาต์” ประโยคที่หลาย ๆ คนได้ยินกันจนชิน ทำให้ผู้คนคิดมากทุกครั้งเวลารับประทานไก่ เนื่องจากโรคเกาต์เป็นโรคที่น่ากลัว ปวดตามข้อบนร่างกายไปจนถึงความพิการ หรือการเกิดโรคอื่นตามมา แต่การกินไก่ทำให้เป็นเกาต์จริงหรือ

       โรคเกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบซึ่งเกิดจากกรดยูริคในเลือดสูง โดยทั่วไปเป็นผลจากพันธุกรรมและภาวะแวดล้อม ส่งผลให้เกิดการสะสมภายในข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน
              ซึ่งเกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเกินไป กรดยูริก เป็นสารชนิดหนึ่งในร่างกายที่สร้าง ขึ้นที่ตับ ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของสารชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “พิวรีน” โดยสาเหตุของกรดยูริกในเลือดสูง 70% เกิดจากการสร้างขึ้นเองของร่างกายตามธรรมชาติ ส่วนอีก 30% เกิดจากการทานอาหารที่มีกรดยูริคสูงเข้าไป การบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ ซึ่งเกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูงและตกผลึกในข้อต่อ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและปวดข้อต่อ
      ในกรณีการกินไก่ ซึ่งไก่มีกรดยูริกในปริมาณปานกลางเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ, เครื่องในสัตว์, หรืออาหารทะเล แต่การกินไก่ในปริมาณมากหรือการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูงเกินไปอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคเกาต์ในคนที่มีความเสี่ยงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับกรดยูริกสูงอยู่แล้ว

ดังนั้น การทานไก่ “ไม่ใช่” สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ เพราะร่างกายรับกรดยูริคมาจากอาหารอื่น ๆ ได้อีกมากมาย โดยอาหารที่มีกรดยูริคสูง ทำให้สะสมในร่างกายมากเกินไป

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ : สำนักข่าววันนิวส์ ช่องวัน 31 / กรมอนามัย / โรงพยาบาลรามคำแหง นพ. เกียรติ ภาสภิญโญ อายุรศาสตร์โรคข้อ และรูมาติสซั่ม )

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 มีนาคม 2568

ใบกระเจี๊ยบแดง มีสรรพคุณช่วยทำให้ตับแข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคตับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q8rkenjgj1bq


 ยืนปัสสาวะบ่อย เสี่ยงต่อมลูกหมากโตและมะเร็ง!…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3ll7uxk6dz2ko


พบเฮลิคอปเตอร์ยกรถบรรทุกขนส่งน้ำมันจากฝั่งไทยข้ามไปยังเมียวดี …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3t5os0lp4be3


ไทยสร้างรั้วกั้นชายแดนไทยและกัมพูชา ระยะทางความยาว 55 กิโลเมตร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/12pil23eka1d4


  เตือนห้ามดื่มนมดิบ หลังพบไข้หวัดนกในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19n7rk40c2m2


อุตุฯเตือน ไทยตอนบนอากาศแปรปรวน มีฝนฟ้าคะนอง เหนือ-อีสานมีลูกเห็บตกบางพื้นที่

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/36gl4efxlluc5


แอปออนไลน์ ชุดผีเสื้อ AI แต่งตัว อาจโดนเรียกเก็บเงิน ดูวิธียกเลิก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2o3el3bvb35xd


 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจับมือเอกชน พัฒนาเทคโนโลยี AI สร้าง Smart Farmer

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/27p4kfhnathvi


เตรียมย้าย บขส. หมอชิต 2 เอกมัย สายใต้ ไปสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3u2iuzprytpo8


 กทม. เปิดปฏิบัติการทำความสะอาดเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางและทางข้าม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3d8svynuwhi5t


ใส่ผ้าอนามัยระยะเวลานาน ทำให้เสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก”

มะเร็งปากมดลูก นับว่าเป็นภัยคุกคามสุขภาพของผู้หญิงไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงอายุ 35-50 ปี แต่ในปัจจุบันก็พบผู้ป่วยในช่วงวัยรุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามถึงประเด็นที่ว่า  การไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ นั้นมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกจริงหรือไม่

การเกิดมะเร็งปากมดลูกนั้น เกิดจากการติดเชื้อ HPV (Human papilloma virus) ซึ่งปกติมัก มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ผ่านการสัมผัสผิวหรือเยื่อบุอวัยวะเพศ หรือการที่ปากมดลูกมีรอยถลอกหรือแผลทำให้ติดเชื้อ รวมไปถึงการสูบบุหรี่ที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง

แนวทางการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ดังนี้

  • 1. หมั่นตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรกเริ่มซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้โดย แพปสเมียร์ (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV 
  • 2. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
  • 3. คุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย
  • 4. งดสูบบุหรี่
  • 5.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย 
  • 6. หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน

ทั้งนี้การใส่ผ้าอนามัยแผ่นเดิมเป็นระยะเวลานาน  ก็สามารถส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง อาการคัน หรือเชื้อเหล่านี้อาจแพร่ไปยังทางเดินปัสสาวะทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 4-6 ชั่วโมง หรือตามปริมาณประจำเดือนที่มีในแต่ละวันให้เหมาะสม

(ข้อจาก คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี / คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล / สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข )

Cofact

https://cofact.org/article/3pw67a6ue2mem