คลิปชุมนุมเรื่องที่ดินในเชียงใหม่ ถูกนำไปอ้างเท็จว่าเป็นม็อบ “ต่อต้านมิน อ่อง หล่าย” และ “ขับไล่ฮุน เซน”

คลิปการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดินใน จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ถูกนำมาใช้สร้างเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับ 3 เหตุการณ์ ใน 3 ประเทศ ตั้งแต่การชุมนุมต่อต้านพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ถึงการชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สะท้อนวิธีสร้างข่าวลวงด้วยการนำภาพเหตุการณ์จริงเพียงหนึ่งเหตุการณ์มาใส่คำบรรยายเท็จเพื่อสร้างเรื่องหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันที่ 24 มี.ค.-1 เม.ย. 2568 ประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินซึ่งรวมตัวกันในนาม “สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า” และ “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ” ได้ปักหลักชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับที่ดินทำกินของชาวบ้านและให้ยอมรับสิทธิชุมชนคนอยู่กับป่า

ระหว่างการชุมนุมได้มีการเผยแพร่ภาพกิจกรรมของผู้ชุมนุมออกมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่อมาคลิปการชุมนุมของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าได้ถูกนำมาใส่คำบรรยายบิดเบือนโดยผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งในเมียนมา ไทย และกัมพูชา ในช่วงที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

โคแฟครวบรวมโพสต์เท็จจากโซเชียลมีเดียในสามประเทศ ได้แก่ เมียนมา ไทย และกัมพูชา ซึ่งนำเอาคลิปการชุมนุมเรียกร้องสิทธิที่ดินใน จ.เชียงใหม่ มาแชร์ในบริบทที่เป็นเท็จสามกรณี ดังนี้

1. คนไทยชุมนุมต่อต้านมิน อ่อง หล่าย?

ผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวเมียนมาโพสต์วิดีโอในวันที่ 4 เม.ย. 2568 โดยมีข้อความบรรยายว่า “ชาวไทยเดินขบวนชุมนุมมุ่งหน้าไปยังอาคารรัฐสภาเพื่อต่อต้านการมาเยือนของมิน อ่อง หล่าย…3 เม.ย. 68” วิดีโอนี้มียอดรับชมมากกว่า 280,000 ครั้ง ถูกแชร์มากกว่า 1,700 ครั้ง และมีผู้ใช้งานชาวเมียนมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่เชื่อว่าเป็นการชุมนุมขับไล่ผู้นำเผด็จการเมียนมาจริงเป็นจำนวนมากใต้โพสต์ เช่น “ผู้นำของเราคงคิดว่าคนไทยมารวมตัวกันสนับสนุนเขา” “ได้โปรดระวังตัวด้วย” และ “อยากรู้ว่านายกฯ ไทยเชิญเขามาทำไม”

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาพม่า

วิดีโอนี้เริ่มถูกแชร์ในโพสต์ภาษาพม่าจำนวนมากในช่วงที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำเผด็จการทหารแห่งเมียนมา เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจหรือบิมสเทค (BIMSTEC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-4 เม.ย. 68

การมาเยือนของมิน อ่อง หล่าย ทำให้ไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาสังคมในฐานะประธานการประชุม BIMSTEC ครั้งที่ 6 องค์กรภาคประชาสังคมในไทย เมียนมา และนานาชาติ 319 องค์กร ร่วมกันยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการเชิญผู้นำคณะรัฐประหารของเมียนมาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว แต่ไม่เป็นผล

โคแฟคตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือค้นหาภาพแบบย้อนหลังในกูเกิล (Google reverse image search) โดยแยกเฟรมภาพจากวิดีโอออกมาตรวจสอบ ร่วมกับการค้นหาคำสำคัญ (keywords) พบวิดีโอลักษณะเดียวกันถูกโพสต์บนบัญชีติ๊กตอกของผู้ใช้งานชาวไทยเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2568 โดยคำบรรยายโพสต์ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นเหตุการณ์ “การประท้วงสิทธิที่ดินในเชียงใหม่”

สำนักข่าวไทยพีบีเอสภาคเหนือรายงานการชุมนุมในวันที่ 29 มี.ค. 2568 ว่า “กลุ่มมวลชน สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ยังคงชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เป็นวันที่ 6 เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายป่าอนุรักษ์ละเมิดสิทธิชุมชน” โดยภาพจากโพสต์ข่าวดังกล่าวแสดงผู้ชุมนุมที่มีลักษณะตรงกันกับชายในวิดีโอของโพสต์เท็จภาษาพม่า

การเปรียบเทียบภาพจากวิดีโอในโพสต์เท็จซึ่งแสดงผู้ชุมนุมที่มีลักษณะตรงกันกับภาพข่าวการชุมนุมวันที่ 29 มี.ค. 2568 ของสำนักข่าวไทยพีบีเอส

2. ผู้ใช้ติ๊กตอกกัมพูชาอ้างเกิดเหตุวุ่นวายในไทย

ผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวกัมพูชาซึ่งมักเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับสังคมและการเมืองโพสต์วิดีโอฝังข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า “ประเทศไทย (รูปธงชาติไทย) ปัญหา” ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 ทำให้ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เข้าใจผิดและนำไปเผยแพร่ต่อว่ามีการชุมนุมในไทยในวันดังกล่าว โดยวิดีโอความยาว 14 วินาทีนี้มียอดรับชมมากกว่า 788,000 ครั้ง และถูกแชร์ต่อมากกว่า 1,400 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เช่นเดียวกัน

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาเขมร

3. ชาวกัมพูชาชุมนุมขับไล่ฮุน เซน?

ทางด้านผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวไทยนำวิดีโอในโพสต์ของชาวกัมพูชาข้างต้นมาใส่ข้อความเพิ่มเติมว่า “ฮุนเซ็นออกไป (ประชาชนประท้วงแล้ว)” และเผยแพร่ในวันที่ 19 มิ.ย. 2568 พร้อมแฮชแท็ก “ประท้วงกัมพูชา” “ข่าวกัมพูชาวันนี้” “ประชาชนลุกฮือ” และ “ต้านรัฐบาลเขมร” วิดีโอนี้มียอดรับชมมากกว่า 177,000 ครั้ง ถูกแชร์ต่อมากกว่าร้อยครั้ง และมีผู้ใช้งานชาวไทยแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่เชื่อว่าเกิดการชุมนุมขับไล่อดีตผู้นำกัมพูชาจริง

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาไทย

วิดีโอนี้เริ่มถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นการชุมนุมที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาทั้งในโพสต์ภาษาไทยและกัมพูชาหลังจากทหารไทยและกัมพูชาปะทะกันบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย และนำไปสู่มาตรการโต้ตอบระหว่างไทยกับกัมพูชา เช่น การกระชับเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดนและนโยบายการห้ามนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอที่ถูกนำมาประกอบโพสต์เท็จในข้อ 2 และ 3 ถูกเผยแพร่ทางยูทูบมาตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 2568 คำบรรยายวิดีโอระบุว่า “เชียงใหม่ระอุ!! กลุ่มชาติพันธุ์นับหมื่นประท้วง” (ลิงก์บันทึก)

ภาพถ่ายหน้าจอของวิดีโอยูทูบวันที่ 7 เม.ย. 2568

เมื่อค้นหาเพิ่มเติมจึงพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพการชุมนุมของเครือข่ายชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายป่าอนุรักษ์ และได้มาชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดิน ร่วมกับสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือเมื่อวันที่ 24 มี.ค.-1 เม.ย. 2568 (ลิงก์บันทึก

ปรากฏการณ์ “1 คลิปจริง 3 โพสต์เท็จ” นี้ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งภายในและระหว่างประเทศ มักมีผู้นำคลิปเหตุการณ์ในอดีตหรือเหตุการณ์อื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องมาบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งอาจเป็นไปเพื่อสร้างรายได้จากยอดการเข้าชม เพื่อสร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม หรือสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายของตัวเอง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า กับสารก่อมะเร็ง ความจริงที่คนรักทุเรียนต้องรู้

ขอบคุณที่มา ubonconnect

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ตอนที่ 8 ได้นำเสนอประเด็นที่กำลังถูกแชร์อย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์เกี่ยวกับ “ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้ามีสารก่อมะเร็ง” โดยมีคุณสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ COFACT, คุณณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคุณZaaQ คนเช็กข่าว เพื่อขุดคุ้ยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความปลอดภัยของทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าและข้อควรระวังในการบริโภคทุเรียน

คุณสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงที่มาของข่าวลือเกี่ยวกับทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า เธอชี้ว่าแม้ทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม แต่ข่าวลือเหล่านี้สร้างความกังวลให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างทุเรียนในประเทศและนำเข้า เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจและระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว

คุณ ZaaQ คนเช็กข่าว เผยว่าเจอโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ที่เตือนเกี่ยวกับทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าจากเวียดนาม โดยอ้างว่ามีสารก่อมะเร็งและไม่ผ่านมาตรฐานการส่งออกไปจีน เขาตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ และขอให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเพียงข่าวลือที่ถูกขยายความ

คุณณัฐฐศรัณฐ์ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ อธิบายว่าจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าบางส่วน โดยเฉพาะมีการตรวจพบสารที่อาจก่อมะเร็งจริง โดยเฉพาะสารย้อมสี Basic Yellow 2 ซึ่งใช้ย้อมเปลือกทุเรียนให้ดูสวยงามตามรสนิยมของผู้บริโภคในจีน เช่น เปลือกสีเหลืองทองสำหรับทุเรียนหมอนทอง หรือสีเขียวในบางพื้นที่ สารนี้สามารถซึมผ่านเปลือกเข้าสู่เนื้อทุเรียนได้ และถูกจัดเป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง เนื่องจากจีนห้ามใช้สารนี้ในอาหารนอกจากนี้ ยังพบโลหะหนักอย่างแคดเมียม ซึ่งเคยก่อปัญหาสุขภาพในญี่ปุ่นมาแล้ว โดยพบในดิน น้ำหรือปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกทุเรียน คุณณัฐฐศรัณฐ์ระบุว่าทุเรียนที่ไม่ผ่านมาตรฐานการส่งออกไปจีนอาจถูกตีกลับและลักลอบนำเข้ามาขายในไทย ซึ่งอาจไม่ผ่านการตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้บริโภคต้องระวังทุเรียนนำเข้าที่อาจไม่ผ่านมาตรฐานแต่ทุเรียนในประเทศที่เราทราบแหล่งที่มาชัดเจน ไม่พบว่ามีปัญหานี้แต่อย่างใด

สำหรับข้อควรระวังในการบริโภคทุเรียน คุณณัฐฐศรัณฐ์กล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานและน้ำตาลสูงมาก โดยทุเรียน 100 กรัมให้พลังงาน120-200 กิโลแคลอรี เทียบเท่าข้าว 2 ทัพพี จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีไขมันสูง แม้จะเป็นไขมันดี แต่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดต้องระวังการบริโภคในปริมาณมาก ผู้ป่วยโรคไตก็ควรจำกัดการบริโภคเนื่องจากทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของไต สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การกินทุเรียนมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อเบาหวานขณะตั้งครรภ์นอกจากนี้ การกินทุเรียนพร้อมแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ต้องห้ามเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและอุณหภูมิร่างกายสูงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

คุณณัฐศรัณย์แนะนำว่า การกินทุเรียนควรควบคู่กับผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น มังคุด เพื่อลดอาการร้อนในซึ่งได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าได้ผล เขายังเตือนว่า การบริโภคข้าวเหนียวทุเรียนจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลและไขมันจากกะทิและข้าวเหนียว ทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าการกินทุเรียนเปล่า ๆ

สำหรับวิธีสังเกตทุเรียนที่อาจมีสารตกค้าง คุณณัฐฐศรัณฐ์ แนะนำว่าผู้บริโภคควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ทุเรียนจากจันทบุรี ระยอง หรือภาคใต้ของไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคทุเรียนที่อาจมีสารตกค้าง

จากข้อมูลในรายการ ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าจากบางประเทศ อาจมีสารตกค้าง เช่น สารย้อมสี Basic Yellow 2 และโลหะหนักแคดเมียม ซึ่งอาจก่อมะเร็งได้หากสะสมในร่างกายในปริมาณมาก โดยเฉพาะทุเรียนที่ไม่ผ่านมาตรฐานส่งออกและถูกนำเข้ามาขายในไทยโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอย่างไรก็ตาม ทุเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ยังถือว่าปลอดภัยหากบริโภคด้วยความระมัดระวัง ผู้บริโภคควรจำกัดปริมาณการกินโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคไต และหลีกเลี่ยงการบริโภคทุเรียนพร้อมแอลกอฮอล์หรือของหวานที่มีน้ำตาลสูง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว การเลือกซื้อทุเรียนจากแหล่งที่เชื่อถือได้และการบริโภคอย่างพอเหมาะจะช่วยให้คนรักทุเรียนสามารถเพลิดเพลินกับผลไม้ยอดนิยมนี้ได้อย่างปลอดภัย


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2568

ครม. ไฟเขียว! เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เริ่มจ่ายอัตราใหม่ 1 ต.ค. 2568…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jpdjqc0oqln7


ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 , 39 ที่ใช้สิทธิโรงพยาบาลยะลา อายุ 50 ปีขึ้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zf4vxddc7lbe


หากถูกเห็บกัด มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากไวรัสโพวาสซานได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


สหรัฐฯ แจ้งภาษีนำเข้าจากไทยยังคงเป็นอัตราเดิม 36%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vzfqohgm27zk


มอเตอร์เวย์ M81 (บางใหญ่-กาญจนบุรี) เปิดให้ใช้ฟรีช่วงวันหยุดยาว 10–14 ก.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qg53xxt4jvll


เพิ่มเงินชดเชยการว่างงานจากการถูกเลิกจ้าง ร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายวัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zf4vxddc7lbe


ตัวเงินตัวทองเพาะพันธุ์ได้ ต้องได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของซิงค์สามารถลดสิวได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37nvpvcpoy25t


3 มหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมหนุนตรวจสอบข้อมูลลวงในวันพูดความจริง 

7 ก.ค. 2568 รายการ รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค ในครั้งนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท จาก Ubon Connect ชวนพูดคุยในประเด็น ความจริงร่วม จาก 3 ภูมิภาค : ความจริงช่วยสร้างสันติภาพหรือความขัดแย้งกันแน่ แต่ความลวงนั่นทำร้ายสังคมแน่แท้เนื่องในวาระวันพูดความจริงโลก วันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี 

รายการครั้งนี้เริ่มจากการแสดงธรรมโดย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเทศ ราชวรมหาวิหารประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. IBHAP Foundation ซึ่งท่านได้กล่าวว่า เนื่องในโอกาส วันอาสาฬหบูชา ที่เวียนมาถึงในปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ก.ค. 2568 ย้อนไปในสมัยพุทธกาล วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร พูดถึงความจริงที่เรียกว่า อริยสัจ 4” อันประกอบด้วยทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค จึงเห็นได้ว่าความจริงเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ อย่างแม้กระทั่งในศาสนาพุทธ 

และหากมองให้ลึกลงไปในเนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็จะเห็นว่า “พระพุทธเจ้าได้อธิบายให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความจริงกับการปฏิบัติ” เช่น ก่อนจะกล่าวถึงทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ท่านก็ยกตัวอย่างทางที่สุดโต่ง 2 ด้าน ฝั่งหนึ่งคือการปรนเปรอตนเองด้วยความสุขมากเกินไป กับอีกฝั่งคือการทรมานตนเองมากเกินไป ก่อนจะสรุปที่ทางสายกลางว่ามรรคมีองค์

อนึ่ง แม้ความจริงจะมีเพียงหนึ่งเดียว..แต่ความจริงก็อาจมองได้หลายมิติ ดังจะเห็นเรื่องราวการทำสงครามกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ – Information Operation) การปล่อยข้อมูลเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำร้ายทำลายกัน เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศลงมาจนถึงการต่อสู้กันของกลุ่มหรือพรรคที่มีความเห็นต่าง 

ดังนั้นแล้วจึงอยากชวนมองใน 2 อย่าง คือ 1.ตรวจสอบก่อนว่าเรื่องที่รับรู้ว่าเป็นข้อเท็จจริง (Fact) หรือไม่ อย่างที่ทางภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รณรงค์ว่า “Everyone is a Fact Checker” ทุกคนก่อนจะเชื่ออะไรต้องตรวจสอบเสียก่อน กับ 2.ท่าทีต่อความจริง ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะแม้จะตรวจสอบจนแน่ใจว่าเรื่องที่รู้มานั้นจริง เราก็ยังมีท่าทีที่จะเลือกปฏิบัติกับเรื่องนั้นๆ ได้ด้วยว่าจะเลือกอย่างไร 

ซึ่งเรื่องนี้ขอยกหลักคิดของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ที่แนะนำว่า ท่าทีต่อมนุษย์ให้ใช้เมตตา..ท่าทีต่อสัจธรรมให้ใช้ปัญญา” หมายถึงในแง่สัจธรรมควรไปให้สุดว่าเป็นความจริงหรือไม่ด้วยปัญญาความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ ปญฺญายตฺถํ วิปสฺสติ ที่หมายถึงการพิจารณาให้ถึงต้นกำเนิดของธรรมหรือปรากฏการณ์นั้นว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร แล้วจะได้เห็นเนื้อความด้วยปัญญา

แต่เมื่อรู้ความจริงนั้นแล้ว การมีท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์เราใช้เมตตา หมายความว่า เช่น บางคน บางกลุ่ม บางสังคม เขาอาจทำเรื่องนี้ไปแล้วเรามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่โอเค แต่ถ้าเรามองด้วยเมตตา เราอาจจะเห็นว่าเบื้องหลังความจริงที่ว่าคนคนนี้หรือกลุ่มนี้ทำเรื่องไม่ดีนี้มันมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะเห็นว่าบางทีเราเองอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยุติความขัดแย้งหรือยุติสงคราม คือสร้างสันติภาพหรือความสงบสุขขึ้นมาก็ได้

เช่น เราพูดกันบ่อยๆ เวลาเด็กทำอะไรไม่ดี หรือผู้ใหญ่ที่มีเงื่อนไขอะไรบางอย่างแล้วทำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะโจมตีแต่ปีศาจที่เราเห็น โดยลืมไปว่าบางครั้งสื่อมวลชน ครูบาอาจารย์ในโรงเรียน พระหรือสถาบันศาสนา บางทีล้วนมีส่วนในการที่ทำให้ปีศาจตนนั้นเกิดขึ้นมา บางทีการที่เราทำหรือไม่ทำอะไรล้วนมีส่วนที่ทำให้ภาวะนั้นๆ ที่มันไม่ดีในตัวบุคคลมันเกิดขึ้นและเติบโต ในมุมแบบนี้เราอาจต้องมองด้วยเมตตาว่าเราจะมีส่วนช่วยยุติความไม่ดีงามนั้นได้อย่างไร พระมหานภันต์ กล่าว

พระมหานภันต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องเลือกใช้หลักให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ภายในครอบครัว การเถียงไปให้ถึงที่สุดว่าใครผิด – ใครถูก อาจนำไปสู่ความแตกแยกของครอบครัว ลักษณะนี้อาจไม่จำเป็นที่ต้องต่อสู้กันเพื่อความจริง เพราะแต่ละคนก็จะถือชุดความจริงของตนเอง พ่อแม่ญาติพี่น้องทะเลาะกันมีแต่เสียครอบครัวแล้วจะทำไปเพื่ออะไร ก็น่าจะใช้การประนีประนอมพักเรื่องความจริงไว้ก่อนก็ได้ แต่หากเป็นกรณีที่หากปล่อยไว้ไม่ค้นหาความจริงก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์นำความเสียหายมาแบบไม่สิ้นสุด เช่น เรื่องทุจริตต่างๆ ก็ต้องหาความจริงให้ถึงต้นตอเพื่อนำไปสู่การแก้ไข

จากนั้นเป็นการเสวนาโดยวิทยากร 3 ท่าน โดย อังคณา พรมรักษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เล่าถึงกิจกรรม Workshop เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 ก.ค. 2568 ชวนนิสิตพูดคุยเรื่องสถานการณ์ความไม่จริงที่เคยพบเห็น เช่น ประสบการณ์ถูกหลอกโดยมิจฉาชีพรูปแบบต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพบว่านิสิตมีต้นทุนทักษะชีวิตอยู่พอสมควร เจออะไรแปลกๆ ก็จะสงสัยไว้ก่อน 

โดยหนึ่งในกลอุบายที่พบบ่อยๆ คือการหลอกให้ลงทุนโดยต้องจ่ายเงินก่อน แต่จำนวนเงินที่ให้จ่ายนั้นยังไม่มาก ซึ่งก็มีทั้งคนที่คิดได้และคนที่ลืมตัวแล้วโอนไป พร้อมกับฉายภาพให้เห็นว่ากิจกรรมนี้ไมได้จัดกันแต่เฉพาะในมหาวิทยาลัยมหาสารคามแต่ดำเนินการทั่วประเทศและระดับนานาชาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นิสิตได้เห็นว่าการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริงมีความสำคัญอย่างไร

เราชวนเขามอง อย่างน้อยที่สุดเขาสวมหมวก 2 ใบ ใบแรกเขาเป็นประชาชนทั่วไป ใบที่ 2 คือเขาเป็นสื่อ การที่เขาสวมหมวก 2 ใบลักษณะนี้เขาต้องทำบทบาทหน้าที่ทั้งปกป้องตัวเอง ปกป้องคนใกล้ชิดในครอบครัว และในขณะเดียวกันเขาเป็นสื่อที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ฉะนั้นเราก็ชวนเขามามุมมองเหล่านี้แล้วหลังจากนั้นเราชวนเขาให้รู้จักกันเครื่องมือในการที่จะตรวจสอบข้อมูลต่างๆอังคณา กล่าว

ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(วิทยาเขตปัตตานี) กล่าวว่า ที่คณะวิทยาการสื่อสารมอ.ปัตตานี มีกิจกรรม Hackathon ตามล่าความจริงพิชิตข้อมูลลวง ชวนคนรุ่นใหม่เข้ามาฝึกการตรวจสอบข้อมูลเท็จ ซึ่งจากโจทย์ที่ตั้งไว้ก็จะทำให้นักศึกษาที่มาเข้าร่วมได้เห็นว่า หลายๆ เรื่องที่ได้รับรู้มา หากตั้งข้อสังเกตเสียหน่อยก็จะนำไปสู่การตรวจสอบได้ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมาก – น้อยเพียงใด 

โดยโจทย์ที่ตั้งไว้ก็จะมี 2 เรื่อง 1.การโฆษณาที่พบได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง ยาสีฟันช่วยลดฟันร่น เรื่องนี้น่าสนใจเพราะเป็นข้อมูลที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์แล้วมีคนเชื่อเป็นจำนวนมาก กับ 2.ความเชื่อ ตัวอย่างโจทย์ที่ยกมาคือ ขนแมวสามารถผ่านเข้าไปในปอดของคนเราได้ ซึ่งหลายๆ เรื่องที่เป็นความเชื่อก็เป็นการบอกเล่าต่อๆ กันมาโดยไม่มีการตรวจสอบ

ถ้าเราหยุดคิดแล้วเอ๊ะสักนิด เราก็จะพบว่าหลายๆ ข้อมูลเราปฏิบัติผิดมาตลอดเลยเพราะเรามีความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดแล้วก็ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลกัน อันนี้ก็จะเป็นโจทย์ที่พยายามจะให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้พยายามตั้งคำถามทั้งในสื่อ ในโฆษณา แล้วก็ในความเชื่อที่ผ่านเข้าสู่การรับรู้ของเราในชีวิตประจำวัน ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ กล่าว 

ผศ.ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เล่าว่า มรภ.อุตรดิตถ์ มีกิจกรรมวันพูดความจริงใน 3 รูปแบบ คือ 1.สำรวจสถานการณ์ว่าคนที่อยู่ใน จ.อุตรดิตถ์ เจอข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนเรื่องใดบ้าง ซึ่งข้อค้นพบก็ไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ คือเรื่องมิจฉาชีพมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ในขณะที่ประเด็นที่ค่อนข้างเฉพาะในพื้นที่คือเรื่องภัยพิบัติ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ เช่น น้ำท่วม หรือที่ อ.ลับแล เคยเกิดเหตุโคลนถล่ม ภัยพิบัติจึงเป็นประเด็นที่ชาว จ.อุตรดิตถ์ ค่อนข้างระแวดระวังเป็นพิเศษ อาทิ ฝนตกมากหน่อยก็เกิดข่าวลือกัน

โดยแบ่งเป็นการทำแบบสอบถามอย่างเร็ว (Quick Survey) และการลงพื้นที่สัมภาษณ์ประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ ปภ.จังหวัด สื่อมวลชนในท้องถิ่น ก่อนนำมาประมวลผลและตัดต่อเป็นรายงาน 2.เสวนาหัวข้อ คนอุตรดิตถ์แคร์ข่าวแท้ไม่แพ้ข่าวลวง เสวนาสืบสานตำนานเมืองลับแล ร่วมเช็คก่อนแชร์กับภาคีโคแฟค อาทิ เมื่อพบประเด็นร่วมกันในพื้นที่อย่างเรื่องภัยพิบัติ จึงเชิญผู้เกี่ยวข้อง เช่น ประธานมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ (กู้ภัย) สื่อมวลชนของรัฐ (สวท.อุตรดิตถ์) นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ตำรวจ และตัวแทนนักศึกษา

และ 3.ละครออนไลน์ หยิบยกตำนาน เมืองลับแล ที่มีการกล่าวถึง เขตห้ามพูดโกหก มาเล่าโดยสอดแทรกความรู้เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับ อนึ่ง ในหลักสูตรปกติจะมีวิชาที่เสริมสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลอยู่แล้ว เช่น วิชารู้เท่าทันสื่อ วิชาพลเมืองดิจิทัล ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากภาคีโคแฟคในการเข้ามาสอนการใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ

กระบวนการฝึกเด็กและเยาวชน รวมถึงการทำงานโดยมีส่วนร่วมและสร้างการรับรู้ให้กับทุกภาคส่วน ตอนนี้ในพื้นที่อุตรดิตถ์ก็ขยายการทำงานด้วยการชวนภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสร้างการรับรู้ว่าเมื่อคุณมีปัญหานอกจากจะใช้วิจารณญาณส่วนตัวและมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ เปรียบเทียบข้อมูลอะไรต่างๆ ตามที่ทุกคนรู้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เรามามีส่วนร่วมในการเป็นส่วนหนึ่งในการเช็คข้อมูลได้ ก็คือโคแฟคผศ.ดร.รดี กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ประทับใจที่เห็นบรรยากาศคึกคักกว่าที่คิดไว้ ซึ่งเข้าใจว่าทั้งอาจารย์และนิสิต-นักศึกษาต่างก็มีภาระเรื่องการเรียนการสอน เมื่อโคแฟคเข้าไปชวนมาทำงานเรื่องส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็รู้สึกเกรงใจว่าอาจเป็นภาระเพิ่ม แต่ก็มีข้อดีคือกิจกรรมนี้สามารถนำไปผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ อีกทั้งมีกิจกรรมที่หลากหลาย เหมือนเป็นโครงการทดลองที่จะดูว่าภาคีสามารถไปออกแบบงานได้เลย

“ก็ดีนะในแง่ของหลากหลาย ในแง่ของทุกคนได้แสดงศักยภาพ ก็น่าจะได้ทำงานกันต่อเนื่องและจะได้ขยายโอกาสไปในพื้นที่อื่นๆ ที่เราจะได้เห็นเด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ถูก อย่างปีที่แล้วเราจัดเสวนาอยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นได้เนื้อหาสาระ ได้คนร่วมที่ดีเป็นภาคีในกรุงเทพฯ แต่ว่าตอนนี้งานของโคแฟคได้ขยายภาคีในกรุงเทพฯ ก็เยอะพอสมควรแล้ว เลยคิดว่าเราน่าจะได้กระจายไปทำงานในภูมิภาคท้องถิ่นที่เข้มแข็งมากกว่าเดิม” สุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ Link นี้ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/2170566536794017 (ภายใน 30 วันนับจากวันถ่ายทอดสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

“เช็กข่าวลือแผ่นดินไหวและสึนามิอย่างไร ให้ได้ข้อมูลจริง?”

ขอบคุณที่มาข้อมูล ubonconnect

ในรายการ *COFACT สนทนา รวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2561  ได้หยิบยกประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักมีข่าวลือเกี่ยวกับภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิแพร่สะพัดในโลกโซเชียลมีเดีย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน รายการนี้จึงชวนผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนประชาชนมาร่วมถกประเด็น “เช็กข่าวลือแผ่นดินไหว, สึนามิอย่างไร ให้ได้ข่าวจริง?” เพื่อให้ความรู้และแนวทางในการรับมือกับข้อมูลเท็จ พร้อมสร้างความมั่นใจในระบบเตือนภัยของภาครัฐ

ผู้ร่วมสนทนา

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT

บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสึนามิ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา

นุช คนเช็กข่าว ตัวแทนประชาชน

สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ

ความกังวลจากข่าวลือและการทำนายภัยพิบัติ

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการเล่าถึงความกังวลของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้เช่น จังหวัดกระบี่ ที่ญาติพี่น้องของเธอเองก็รู้สึกหวาดกลัวจากข่าวลือเรื่องสึนามิ ซึ่งมักถูกกระพือโดยการทำนายของหมอดูหรือข่าวลือในโซเชียลมีเดีย เป็นช่วงที่ต้องจับตาเรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิเธอชี้ว่า ความกลัวเหล่านี้เกิดจากทั้งข้อเท็จจริง เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต และความไม่รู้ที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ สุภิญญาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติและการตรวจสอบข้อมูล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการตื่นตัวและการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง

มุมมองจากประชาชน: ความท้าทายในการแยกแยะข่าวจริง-ข่าวลวง

นุช คนเช็กข่าว ในฐานะตัวแทนประชาชน เล่าถึงประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ติดตามข้อมูลภัยพิบัติผ่านกลุ่มไลน์และสื่อต่างๆ เธอระบุว่า ข่าวลือมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเรียกยอดวิวในโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนสับสนและไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือ นุชเสนอว่า ภาครัฐควรสื่อสารข้อมูลอย่างรวดเร็วและชัดเจนผ่านคลิปสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 3 นาที เพื่อให้ทันกับกระแสข่าวลือ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำนายจากหมอดูที่มักแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากหน่วยงานราชการ

ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ

บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา อธิบายว่า แผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก โดยเฉลี่ยมีแผ่นดินไหวระดับ 6 ขึ้นไปปีละประมาณ 100 ครั้ง และระดับ7 ซึ่งอาจสร้างความเสียหายได้ ปีละประมาณ 10 ครั้ง ส่วนสึนามิมักเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเล (มากกว่า 7.6) ที่มีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งของเปลือกโลก ทำให้เกิดการแทนที่น้ำในมหาสมุทรอย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหวระดับปานกลาง โดยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือขนาด 6.4 ที่จังหวัดเชียงรายในปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายไม่มากนัก

สำหรับสึนามิ บุรินทร์ชี้ว่า ประเทศไทยมีจุดเด่นคือมีชายฝั่งทั้งสองด้าน (อันดามันและอ่าวไทย) โดยฝั่งอ่าวไทยมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ส่วนฝั่งอันดามันมีความเสี่ยงมากกว่า แต่จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น การขุดพบตะกอนสึนามิโบราณ พบว่าสึนามิครั้งใหญ่ในแถบนี้มีวงจรการเกิดซ้ำทุก 600 ปี โดยครั้งล่าสุดเกิดในปี 2547 ทำให้โอกาสเกิดซ้ำในระยะใกล้นี้มีน้อย อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ 100%

ระบบเตือนภัยของภาครัฐ

บุรินทร์ยืนยันว่า กรมอุตุนิยมวิทยามีระบบเฝ้าระวังแผ่นดินไหวและสึนามิที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครื่องมือตรวจวัด เช่น ทุ่นลอยในมหาสมุทรและสถานีวัดระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำได้ทันที หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ขึ้นไปในทะเล ระบบจะแจ้งเตือนภายใน 10 นาที และคลื่นสึนามิใช้เวลาเดินทางถึงชายฝั่งประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ทำให้มีเวลาเพียงพอในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เขายังระบุว่า การเตือนภัยในประเทศไทยประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อมูลถึงประชาชนอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เซลล์บรอดแคสต์(Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มทดลองใช้แล้วและประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงใหม่

การรับมือข่าวลือและการสื่อสารในยุคดิจิทัล

สุภิญญาและนุชเห็นพ้องว่า การสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ในอดีต (เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวปี 2555 ที่ภูเก็ต) การสื่อสารของภาครัฐล่าช้าและพึ่งพาสื่อทีวีเป็นหลัก แต่ปัจจุบันโซเชียลมีเดียทำให้ทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลได้ทันทีซึ่งนำไปสู่ปัญหาข้อมูลล้นเกินและข่าวลวง สุภิญญาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา และฝึกเป็นพื้นฐานด้วยการหยุดคิดก่อนแชร์ข้อมูล

บุรินทร์แนะนำเพิ่มเติมว่า หากได้รับข่าวลือเกี่ยวกับสึนามิ ควรถามตัวเองว่าแผ่นดินไหวเกิดในทะเลแถบอันดามันและมีขนาดเกิน 7.6 หรือไม่ และพื้นที่ที่อยู่อาศัยเคยถูกคลื่นสึนามิท่วมถึงหรือไม่

พร้อมย้ำว่า ช่องทางการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ (ค้นหาคำว่า “earthquake tmd” หรือ “กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว” )

รายการ *COFACT สนทนารวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลือเกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิเป็นปัญหาที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนโดยเฉพาะเมื่อข้อมูลจากหมอดูหรือโซเชียลมีเดียแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง และสึนามิมีโอกาสเกิดซ้ำในรอบหลายร้อยปี อย่างไรก็ตาม ระบบเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์จริงประชาชนควรติดตามข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเช่น กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว และมีสติก่อนแชร์ข้อมูล เพื่อลดการแพร่กระจายของข่าวลวง

คำแนะนำสำหรับประชาชน

– ตรวจสอบข้อมูลจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย

– หยุดคิดก่อนแชร์ข่าวลือ โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวภัยพิบัติกำลังแพร่สะพัด

– หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ฝั่งอันดามัน ให้ทราบจุดอพยพที่ปลอดภัยและติดตามการซักซ้อมของหน่วยงานท้องถิ่น


ความจริงสร้างสันติภาพหรือจุดชนวนขัดแย้ง? Cofact Live Talk ชวนคนรุ่นใหม่ค้นหาคำตอบในวันพูดความจริง

วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เนื่องในวันพูดความจริง (Truth Day) Cofact ประเทศไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายจากสามภูมิภาค จัดงานเสวนา “Cofact Live Talk: ความจริงร่วมจาก 3 ภูมิภาค” ผ่านช่องทาง Facebook และ YouTube ของ Cofact รวมถึงอุบล Connect และเพจ IBHAP Foundation เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในยุคที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโซเชียลมีเดียที่ท้าทายการแยกแยะระหว่างความจริงและความลวง

งานนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา นำโดย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. (IBHAP Foundation) ซึ่งชวนผู้ฟังพิจารณาว่า “ความจริงช่วยสร้างสันติภาพหรือความขัดแย้งกันแน่ แต่ความลวงนั้นทำร้ายสังคมแน่แท้” ท่านนำเสนอมุมมองทางพุทธศาสนา โดยอ้างถึงอริยสัจ 4 และมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ว่า ความจริงมีหลายระดับและมิติ การรับมือต้องใช้ปัญญาในการตรวจสอบและเมตตาในการปฏิบัติต่อผู้อื่น พร้อมแนะแนวคิดจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ว่า “ต่อสัจธรรมใช้ปัญญามนุษย์ใช้เมตตา” เพื่อสร้างสันติภาพในสังคม

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact ประเทศไทย กล่าวถึงที่มาของวันพูดความจริงว่า เป็นโอกาสรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงอันตรายของข้อมูลบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะเมื่อความจริงบางอย่างกลายเป็น “ความจริงที่ไม่สะดวก” (Inconvenient Truth) ที่คนไม่อยากยอมรับ เธอยกตัวอย่างกรณีข่าวลวงด้านสุขภาพและการเมืองที่แชร์กันในโซเชียลมีเดีย พร้อมชี้ว่า Cofact มุ่งส่งเสริมให้ทุกคนเป็น “Fact Checker” เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อและแชร์

ผศ.ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จากภาคเหนือ ร่วมนำเสนอกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งถูกมองว่ามีทั้งความสามารถในการรับมือข้อมูลและความเสี่ยงจากข่าวลวง เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลในยุคที่สื่อมีความ “เทา” และเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับวาทกรรมเริ่มเลือนราง

ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จากภาคใต้ แบ่งปันประสบการณ์การทำงานกับนักศึกษาและชุมชนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ โดยเฉพาะในบริบทที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหากข้อมูลไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ

อังคณา พรมรักษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากภาคอีสาน เล่าถึงกิจกรรมเวิร์กชอปที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6-7 กรกฎาคม โดยชวนนักศึกษาและประชาชนทบทวนประสบการณ์เกี่ยวกับข้อมูลลวง เช่น การถูกหลอกโดยมิจฉาชีพผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมสอนการใช้เครื่องมือตรวจสอบ เช่น Google Lens และการตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ผลจากกิจกรรมพบว่านักศึกษามีส่วนร่วมอย่างคึกคัก โดยเฉพาะการเปลี่ยนโปรไฟล์โซเชียลมีเดียเพื่อรณรงค์วันพูดความจริง และสร้างคอนเทนต์ผ่าน Instagram เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

การเสวนาครั้งนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ซึ่งช่วยเชื่อมโยงประเด็นและสร้างบรรยากาศการถกเถียงที่สนุกสนานและได้สาระ ผู้เข้าร่วมจากสามภูมิภาคยังได้แชร์กิจกรรมที่จัดขึ้นในพื้นที่ เช่น การอบรมนักศึกษาให้เป็น “Fact Checker” และการสร้างเครือข่ายนักข่าวรุ่นใหม่เพื่อต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือน โดยเน้นว่า “ทุกคนคือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” และการชะลอการแชร์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือจะช่วยลดวงจรของข่าวลวง

บทสรุปการเสวนาวันนี้

  1. ตรวจสอบก่อนแชร์ – ใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens หรือตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น COFACT เพื่อยืนยันความถูกต้อง
  2. เพิ่มทักษะการรู้เท่าทันสื่อ – ฝึกเป็น “Active Citizen” ที่ช่างสงสัยและไม่เชื่อข้อมูลง่ายๆ
  3. เลือกกาลเทศะในการพูดความจริง – พิจารณาว่าความจริงนั้นเป็นประโยชน์และเหมาะสมหรือไม่ เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
  4. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Fact Checker – เข้าร่วมกิจกรรมหรือชุมชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

งานนี้ไม่เพียงชวนให้ตระหนักถึงความสำคัญของความจริงในยุคดิจิทัล แต่ยังจุดประกายให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปร่วมสร้างสังคมที่โปร่งใสและเท่าทันข้อมูล พูดความจริงทุกวัน ไม่ใช่เพียงวันนี้วันเดียว แคร์ข่าวแท้ ไม่แชร์ข่าวลวง


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 กรกฎาคม 2568

ยาดมสมุนไพร มีเชื้อรา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/lr4dll9ul5z0#_=_


เดือนกรกฎาคม 68 จะมีคนชุมพรและนราธิวาส เสียชีวิตเพราะสึนามิเป็นแสนคน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36nzjib8j0wxk


จะเกิด “สึนามิยักษ์” วันที่ 5 ก.ค. 68 เวลาตี 4 – 5 น….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nwa936w3hn48


พบโดรนจากไทยถูกส่งไปกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/odrqjhveimz3


มะเร็งคือธรรมชาติ เซลล์ปรับตัวเนื่องจากเลือดเป็นพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hyiljeopbz3l


สีส้มในชาไทย มีอันตรายกว่าที่เราคิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/m0t6n0l5w11q


ครม. ไฟเขียว! เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เริ่มจ่ายอัตราใหม่ 1 ต.ค. 2568

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jpdjqc0oqln7


ข้าวกัมพูชาแอบอ้างใช้ภาษาไทย และธงชาติไทย วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตจีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1h08xl9a2io2c


เตือน! กินไข่ดิบเสี่ยงติดเชื้อโรค อันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jen0r0goaedh


ห้ามกินทุเรียนกับโค้กเสี่ยงหัวใจวายตาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1kegnbdx8kt0h


ออสเตรเลียเตือนระวังการเดินทางเที่ยวภาคใต้ของการโจมตีของผู้ก่อการร้าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3l9f8v32oyqx7#_=_


‘2572’นับถอยหลัง‘ทีวีดิจิตอล’สิ้นสุดใบอนุญาต ‘โทรทัศน์ภาคพื้นดิน’จำเป็นแม้คนดูน้อยลง

25 มิ.ย. 2568 รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ชวนพูดคุยในประเด็น โทรทัศน์ไทย ครบ 70 ปี ไปต่อหรือพอแค่นี้ โดย ณตภณ ดิษฐบรรจง บรรณาธิการบริหาร THE F1RST (เดอะ เฟิร์สท์) เล่าถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้นในวงการโทรทัศน์ช่วงเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจิตอลตั้งแต่ในปี 2555 มีการจัดทำแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล มีข้อถกเถียงเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆ 

กระทั่งเกิดการประมูลใบอนุญาตในปี 2556 โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้รับเงินประมูลไป 5 หมื่นล้านบาท แต่ละช่องได้เตรียมการออกอากาศ และออกอากาศจริงในวันที่ 24 พ.ค. 2557 อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นยุครัฐบาลรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทีวีดิจิตอลบางช่อง เช่น Voice TV โดนจับตามองและถูกแทรกแซง เนื่องจากนำเสนอข่าวไม่ตรงกับนโยบายของ คสช. มากนักในเวลานั้น

ในปี 2557 ยังเป็นปีแรกที่เริ่มใช้กฎ Must Have และรายการที่มีปัญหาคือการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งทาง RS ได้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดไว้เมื่อหลายปีก่อนหน้าจะมีกฎ Must Have เกิดขึ้น แต่ กสทช. บอกว่าต้องถ่ายทอดให้ครบทุกนัดตามกฎ Must Have เรื่องนี้เป็นคดีความฟ้องร้องในศาลและ RS เป็นฝ่ายชนะ และเกิดบรรทัดฐานใหม่ คือ กฎ Must Have ของ กสทช. สามารถบังคับใช้ได้ แต่การบังคับใช้ต้องไม่มีผลย้อนหลัง 

อย่างไรก็ตาม คสช. ได้ใช้งบประมาณ 427 ล้านบาท จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ที่เก็บเงินจากผู้ประกอบการทุกรายทั้งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เพื่อให้คนไทยได้ชมฟุตบอลโลกครบทุกนัด ในปีเดียวกัน กสทช. ยังต้องขึ้นศาลสู้คดีกับช่อง 3 ที่ยังคงออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก ไม่ยอมนำมาออกอากาศคู่ขนานกับช่อง 3HD (หรือช่อง 33) ทำให้เวลานั้นช่อง 3 มี 4 ช่องคือช่อง 3 (อนาล็อก) ช่อง 13  (Family) ช่อง 28 (SD) และช่อง 33 (HD)

ซึ่งเหตุผลที่ไม่ยอมออกอากาศคู่ขนานในตอนแรก เนื่องด้วยช่อง 3 อ้างว่าเป็นคนละนิติบุคคลกัน กระทั่งในวันที่ 10 ต.ค. 2557 การเจรจาจบลงด้วยการที่ช่อง 3 ยอมออกอากาศผังรายการช่องอนาล็อกคู่ขนานกับช่อง 3HD จากนั้นในปี 2558 ThaiTV กับ Loca เป็น 2 ช่องแรกในช่องทีวีดิจิตอลที่ขอยุติการออกอากาศกลางคันเพราะไม่สามารถจ่ายเงินค่าใบอนุญาตงวดที่ 2 ได้ ต่อมาในวันที่ 1 มี.ค. 2564 ศาลตัดสินให้ ThaiTV ชนะคดี ดังนั้น กสทช. ต้องคืน Bank Guarantee ที่ยึดมาให้กับทาง ThaiTV ทั้งหมด

อนึ่ง เมื่อ ThaiTV เปิดเรื่องการคืนใบอนุญาต ส่งผลให้ผู้ประกอบการอีกหลายรายทำบ้าง จนวันที่ 11 เม.ย. 2562 คสช. ใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 ได้เปิดช่องให้คืนใบอนุญาตและงดเว้นการชำระค่าใบอนุญาตอีก 2 งวดสุดท้าย จากที่ต้องแบ่งชำระทั้งหมด 6 งวด โดยกลุ่มที่คืนใบอนุญาตมี 7 ช่อง คือ 3Family 3SD MCOT Family Voice TV Spring26 Spring19 และ Bright TV ยื่นมาในวันที่ 10 พ.ค. 2562 ซึ่งการยื่นต้องมีแผนเยียวยาผู้ชมและพนักงานด้วย

ปี 2563 เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 การเรียนการสอนต้องทำผ่านระบบทางไกล รัฐบาลได้ประสานกับทาง DLTV ซึ่งเป็นมูลนิธิการศึกษาทางไกล ขอ 15 ช่องของ DLTV มาออกอากาศชั่วคราวในทีวีดิจิตอลเป็นเวลา 6 เดือน และในปีนี้ยังมีการเกิดขึ้นของช่อง ALTV4 ซึ่งยังคงออกอากาศมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นในปี 2564 มีมติจาก กสทช. ที่อนุญาตให้ช่อง 5 เปลี่ยนจากเดิมช่องเลข 1 ใช้ช่องเลข 5 เป็นช่องเดียวในประเทศไทย และได้เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว

ในปี 2565 กสทช. ต้องใช้งบฯ 600 ล้านบาท จากกองทุน กทปส. ให้กับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไปร่วมกับภาคเอกชน จ่ายค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกในปีดังกล่าว ที่มีราคาประมูลถึง 1,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ กสทช. ถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 ศาลตัดสินยกฟ้องกรรมการ กสทช. 4 คนในคดีนี้ จากนั้นในวันที่ 26 มี.ค. 2567 สมาคมทีวิดิจิตอล ยื่นคัดค้านการประมูลคลื่น 3500MHz เนื่องจากเป็นคลื่น C-Band ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน 10 ล้านครัวเรือน 

ตามด้วยวันที่ 7 เม.ย. 2567 กสทช. มีมติถอดฟุตบอลโลกออกจากกฎ Must Have แต่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2568 และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ได้ไปยื่นหนังสือกับ กสทช. เพื่อศึกษาอนาคตทีวีดิจิตอลภายใน 60 วัน ส่วนมุมมองอนาคตโทรทัศน์ไทย 1.โทรทัศน์ภาคพื้นดินยังมีความจำเป็น เพราะถือเป็นสาธารณูปโภคของประเทศ 

อย่างในญี่ปุ่น กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลมีการเตือนภัยพิบัติและบูรณาการกับทุกภาคส่วน ในขณะที่ประเทศไทยต้องมาเรียกร้องให้ทำระบบเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) ทั้งที่ทีวีดิจิตอลทำได้ง่ายกว่า และในเวลานั้นก็มีผู้ประกอบการหลายรายพยายามทำ แต่ กสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล อาจพลาดไปในการทำทีวีดิจิตอลให้เป็นสาธารณูปโภค 

2.โทรทัศน์ไทยต้องไปต่อ แต่จะไปอย่างไร? มีแนวคิดที่ กสทช. คงจะทำไปประมาณหนึ่งแล้วแต่ยังไม่เป็นรูปธรรม คือ OTT หรือแพลตฟอร์มระดับชาติ ซึ่งหากจะทำต่อไปก็ต้องให้ทีวีดิจิตอลเข้าไปอยู่ในนั้นเป็นบริการพื้นฐาน แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการเองก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าที่อยู่ได้เป็นเพราะเนื้อหาหรือสถานี อย่างในอดีตที่โทรทัศน์ในไทยมีเพียง 6 ช่อง โมเดลหนึ่งคือแบ่งเวลาให้คนอื่นมาเช่าออกอากาศ แต่ปัจจุบันทำแบบนั้นไม่ได้แล้วเพราะความเสี่ยงมีมาก ในขณะที่การถือลิขสิทธิ์ (IP) เนื้อหาจำเป็นและสำคัญในการต่อยอด เช่น ละคร

สุดท้ายทุกคนก็อยากไปต่อ เพียงแต่จะไปต่อในท่าไหน ผมว่าอย่างไรก้ต้องกลับมาทำการบ้านกันพอสมควร ต้องยอมรับว่าจนถึง ณ วินาทีนี้ กสทช. ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าหลังปี 2572 (ปีที่ใบอนุญาตทีวีดิจิตอลจะหมดอายุ) จะไปไหน? แล้วสิ่งที่ กสทช. เคยอุดหนุนค่า MUX คุณรู้หรือเปล่าว่าโครงข่ายทีวีดิจิตอลหมดก่อนใบอนุญาตทีวีหลายเดือนเลยนะ แล้วถ้าปี 2571 โครงข่ายพวกนี้หมดใบอนุญาตแล้วเอาอย่างไรต่อ? ณตภณ กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อุปนายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากถามว่าโทรทัศน์ไทยยังมีอนาคตหรือไม่ ในมุมคนทำทีวีมองว่าไม่ว่าผู้ชมจะรับชมผ่านช่องทางใด ในฐานะผู้ผลิตก็ต้องไปให้ถึง อย่างในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ร้อยละ 65 – 70 ดูช่องโทรทัศน์แบบดั้งเดิมผ่านดาวเทียม ขณะที่การรับชมผ่านภาคพื้นดินเหลือเพียงร้อยละ 15 จากเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนที่มีการประมูลทีวีดิจิตอลใหม่ๆ มีผู้รับชมผ่านภาคพื้นดินร้อยละ 30 ซึ่ง กสทช. คาดการณ์ว่าจะทำให้เป็น 100% ได้แบบยุคทีวีอนาล็อกที่คนส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์ผ่านเสาอากาศ

แต่ในความเป็นจริง การรับชมโทรทัศน์ผ่านภาคพื้นดินลดลงเนื่องจากมีช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น IPTV อินเตอร์เน็ตทีวี และปัจจุบันคือ OTT ซึ่งหากดูตามแผนภูมิทัศน์สื่อที่สมาคมฯ เคยทำไว้ ใช้ปีปัจจุบันโดยยึดตัวเลขจาก Nielsen จะพบว่าผู้รับชมช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอยู่ที่ร้อยละ 65 – 70 รับชมผ่านภาคพื้นดินที่ร้อยละ 15 และอีกเกือบร้อยละ 20 รับชมผ่านออนไลน์ แต่หากคาดการณ์ไปอีก 4 ปี จนถึงสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2572 ดาวเทียมอาจไม่เพิ่มขึ้นแต่อยู่เท่าเดิม ขณะที่ภาคพื้นดินจะลดลงเหลือร้อยละ 10 ส่วนออนไลน์อาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 30  

ดังนั้นอนาคตของโทรทัศน์จึงอยู่ที่ระบบ Streaming หรืออยู่ที่ OTT แต่ในแง่ผู้ผลิตคือผลิตให้ออกได้ทุกๆ ช่องทาง อนาคตก็ต้องไปตามผู้บริโภคว่ารับชมแบบไหน ส่วนเนื้อหาจะเป็นอย่างไรตลาดหรือผู้บริโภคจะเป็นตัวกำหนด อย่างทุกวันนี้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลแบบเดิมมองถึงอนาคต ว่าทำอย่างไรจะให้ผู้ชมในส่วนของ Streaming รับชมทีวีดิจิตอลที่ทำได้ เพราะตรงนั้นมีคนดูอยู่มาก 

ซึ่งก็ได้พูดคุยกับทาง กสทช. ว่ามีการศึกษาแนวทางนี้ไว้ เมื่อสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2572 หากมีการต่อใบอนุญาตหรือประมูลใบอนุญาตใหม่ จะเพิ่มช่องทางนี้เข้าไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ การส่งสัญญาณภาคพื้นดินยังคงมีอยู่ แต่ผู้รับชมสะดวกรับชมผ่าน OTT หรือในการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีผู้ประกอบการโครงข่ายยอมรับว่าการทำให้คนรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั้นขาดการสร้างแรงจูงใจ แรกๆ มีแจกกล่อง แต่หลังๆ ไม่มีการโฆษณา ไม่มีการบอกว่ารับได้ ผลคือคนหันไปรับชมผ่านช่องทางอื่น

แต่หากผู้ประกอบการโครงข่ายและ กสทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้กับประชาชนว่าช่องทางนี้รับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย คือช่วงแรกๆ โครงข่ายยังไม่สมบูรณ์ แต่ปัจจุบันแม้โครงข่ายสมบูรณ์คนก็หันไปใช้ Smart TV ที่สามารถรับชมรายการต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ คือคนยังดูโทรทัศน์แต่ไม่รู้ว่าตนเองดูผ่านช่องทางใด ซึ่งตนมองว่าคงยังไม่ถึงขั้นยกเลิกการออกอากาศภาคพื้นดิน เพียงแต่การออกอากาศในช่องทางนี้คุ้มหรือไม่ที่จะขยายให้เต็มพื้นที่ เพราะคนรับเขาไปเลือกรับในแบบอื่น

อนึ่ง ในการประชุมกลุ่มย่อย Road Map TV เมื่อเร็วๆ นี้ทำให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น คือไม่ได้พูดถึงว่าสิ้นสุดใบอนุญาตแล้วจะทำอะไร แต่พูดถึงคลื่นความถี่ที่ใช้กับ TV ซึ่งมี 2 คลื่น คือ 1.คลื่น 470 –700 MHz สำหรับภาคพื้นดิน กับ 2.คลื่น 3500 MHz สำหรับ C-Band ซึ่งคลื่น 3500 MHz เป็นที่ชัดเจนว่าหมดใบอนุญาตแล้วทางโทรคมนาคม หรือ กสทช. ก็อยากได้ไปประมูล โดยมีการประชุม 3 ฝ่าย คือไทยคม โทรคมนาคม และทีวีดิจิตอล จะเอาไปก็ได้แต่ต้องมีแผนเปลี่ยนผ่านจาก C-Band เป็น KU-Band 

ในขณะที่คลื่นภาคพื้นดินซึ่ง กสทช. ล็อกไว้สำหรับ 48 ช่อง ปัจจุบันมีเพียง 20 – 21 ช่อง แล้วทาง IMT ต้องการเอาไปใช้ส่วนหนึ่ง เพราะใช้ไม่หมดและเป็นย่านความถี่ที่ทั่วโลกใช้ ซึ่งในที่สุดก็ต้องแบ่งออกไป จากนั้นก็ต้องปรับช่องทีวีดิจิตอลกันใหม่ โดยทางสมาคมฯ ทำข้อเสนอไปว่าหากสิ้นสุดใบอนุญาตแล้วความคมชัดควรปรับเป็น HD ทั้งหมด ไม่มี SD อีกต่อไป โดยการปรับหมายถึงต้องใช้ช่องและโครงข่ายที่เหลือ คือ 3 ต่อ 1 เปลี่ยน SD เป็น HD แต่ไม่ต้องสนใจระดับ 4K ซึ่งควรปล่อยให้เป็นภาคสมัครใจของผู้ประกอบการ เพราะไม่ใช่ระดับความคมชัดของโทรทัศน์ที่คนส่วนใหญ่รับชม และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีเม็ดเงินลงทุนปรับปรุงให้ได้ขนาดนั้น

แต่การปรับเป็น HD ก็ต้องลดจำนวนช่องลง ซึ่งตอนนี้ช่องทีวีสาธารณะวางไว้ 6-7 ช่อง แต่ช่องเอกชน 15 ช่อง เป็น HD 7 ช่อง แล้วก็เป็น SD ก็จะยุบรวม มี 2 ทางเลือก ยุบเหลือ 10 + 7 หรือเหลือ 6  + 7 แล้วก็ประเมินว่าโครงข่ายที่เหลืออยู่ ที่ใช้ไม่เต็ม สามารถมาใช้กับการส่งของ HD ได้ เพียงพอไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อันนี้เป็นแนว ส่วนที่บอกว่าทีวีดิจิตอลควรมีบทบาทมากกว่าแค่ส่งสัญญาณโทรทัศน์ เรื่องนี้ถูกต้อง 

แต่ที่ผ่านมาเนื่องจากการประมูลค่อนข้างสับสน คือช่องไม่ควรประมูลคลื่นความถี่ เพราะช่องบริหารเนื้อหาไม่ใช่คลื่นความถี่ ในขณะที่ใบอนุญาตโครงข่าย กสทช. ให้คลื่นความถี่แต่ไม่ได้ให้เขาทำอย่างอื่นนอกจากส่งสัญญาณทีวีดิจิตอลภาคพื้นดิน ทั้งที่คลื่นความถี่ในย่านนั้นทำได้ เช่น การแจ้งเตือนภัยพิบัติ แต่น่าจะเป็นแนวทางที่ กสทช. ฝั่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์กำลังศึกษาอยู่ ว่าหากมีการประมูลครั้งต่อไป แทนที่จะให้ช่องประมูลก็ให้ทางโครงข่ายประมูล ก็จะเป็นการประมูลคลื่นอย่างแท้จริง ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย

ให้โครงข่ายประมูลแล้วก็ให้เขาทำอะไรมากกว่าการส่งสัญญาณภาคพื้นดิน เพื่อจะได้มีเงิน อย่างน้อยที่สุดทำให้ค่าใช้โครงข่ายทีวีดิจิตอลมันต่ำ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนสาธารณูปโภค เหมือนการไฟฟ้า การประปา ส่งไฟส่งน้ำไปเต็มที่ แต่คนใช้ไม่เต็มอันนั้นก็เป็นเรื่องของคนใช้ แต่แนวคิดคือระบบสาธารณูปโภคคือให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ก็เช่นเดียวกัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ผมก็คิดว่ามันก็ทำให้ทีวีมีโอกาสฟื้นตัวได้ อดิศักดิ์ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมได้ทาง Link https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1050728880531583/ (ภายในเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันถ่ายทอดสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รายงานพิเศษ: โลกออนไลน์โกรธเกลียดกันขนาดไหนในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชารอบล่าสุด

กองบรรณาธิการโคแฟค

27 มิถุนายน 2568

โคแฟคชวนสำรวจวาทกรรมและภูมิทัศน์ทางอารมณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาก่อนและหลังการปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหารไทยและกัมพูชาที่ชายแดนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

แม้ปัญหาการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณช่องบก อันสืบเนื่องมาจากปมขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนจะยังไม่นำไปสู่สภาวะสงครามอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล ทว่าร่องรอยของบทสนทนาและอารมณ์บนโลกโซเชียล รวมถึงการแสดงความคิดเห็นที่ท้าทายและดุดัน แผงด้วยอารมณ์โกรธ เกลียดและกังวลและปลุกปั่นด้วยแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งในห้วงเวลาดังกล่าว สามารถบ่มเพาะความเกลียดชัง ทลายความอดกลั้นต่อการสนับสนุนส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรถาพทางการเมืองของไทยได้

การทำความเข้าใจกับอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังบทสนทนาและพฤติกรรมการสื่อสารในโลกโซเชียลของผู้ใช้งานเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการออกแบบกลไกเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของอารมณ์สาธารณะ และอาจช่วยในการพัฒนาแนวทางสื่อสารในช่วงวิกฤตที่มีความซับซ้อนทั้งทางอารมณ์และข้อมูล

ทีมนักวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลดิจิตอลของนีโอ โมเมนตัม* ได้เก็บรวบรวมการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568** โดยใช้ keywords ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา และได้จำแนกบทสนทนาออกเป็น 10 หัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

ผลการเก็บข้อมูล พบข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศรวมทั้งสิ้น 49,127 ข้อความ จำนวนข้อความแตะระดับสูงสุดในช่วงวันที่ 3–9 มิ.ย. โดยเฉพาะในวันที่ 4 มิ.ย. พบข้อความมากกว่า 6,000 ข้อความภายในวันเดียว และในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์สำคัญหลายประการ ได้แก่ การที่รัฐสภากัมพูชามีมติยื่นเรื่องข้อพิพาทต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (2 มิ.ย.) การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย (4 และ 5 มิ.ย.) รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบายของนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมาธิการการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร อาทิ ข้อเสนอ “10 ข้อยุทธศาสตร์ชนะโดยไม่ต้องรบ” เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทผ่านแนวทางไม่ใช้ความรุนแรง

และในที่ 5 มิ.ย.ยังพบความเคลื่อนไหวหลากหลายบนสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งจากภาครัฐ โดยกองทัพบกได้เปิดแคมเปญ “#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” เพื่อแสดงจุดยืนในการปกป้องประเทศ และจากภาคประชาชน เช่น กลุ่มทะลุแก๊ซ (Thalugaz) ที่เคลื่อนไหวผ่านแฮชแท็ก “#NoWarThaiCambodia” และ “#สันติสู่ชายแดน” เพื่อสื่อสารจุดยืนด้านสันติภาพและสนับสนุนแนวทางการเจรจา สถานการณ์ในช่วงนี้จึงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เข้มข้นในพื้นที่ออนไลน์ โดยมีทั้งแนวคิดเชิงชาตินิยม ข้อเสนอในกรอบการทูต และการรณรงค์เพื่อสันติภาพดำเนินไปควบคู่กัน

นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยฯยังพบข้อความที่สะท้อนอารมณ์เชิงลบ(Negative Sentiment) ในสัดส่วนที่สูงถึง 32,698 ข้อความ (66.5%) ซึ่งข้อความจำนวนมากจัดอยู่ในประเภทที่สะท้อนความเกลียดชัง (Hate speech) ที่มีศักยภาพในการขยายระดับความขัดแย้งและลดพื้นที่ของการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ในช่วงวิกฤตทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ปริมาณข้อความเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังเหตุการณ์ปะทะ และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ระดับนโยบาย 

จำนวนข้อความในช่วง 30 วันแรกของสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำในช่วงต้น ก่อนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายหลังวันที่ 28 พ.ค. 2568 ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยจำนวนข้อความเพิ่มสูงสุดในช่วงวันที่ 3–9 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแถลงท่าทีจากทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชา รวมถึงการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย การเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ออนไลน์ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพในการสะท้อนระดับความตึงเครียดทางสังคมในลักษณะที่ใกล้เคียงกับเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง

ข้อความส่วนใหญ่สะท้อนอารมณ์เชิงลบ โดยเฉพาะในหัวข้อที่เชื่อมโยงกับการเมืองและความมั่นคง 

• ร้อยละ 66.5 ของข้อความทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่ม Negative Sentiment โดยเฉพาะในหัวข้อ การเมืองภายในประเทศ(Domestic Politics) อธิปไตย พื้นที่และดินแดน (Sovereignty and Territorial) และอัตลักษณ์และวัฒนธรรม (Identity and Culture)

• ข้อความในหัวข้อ การเมืองภายในประเทศ (Domestic Politics)จำนวนมากหยิบยกสถานการณ์ชายแดนไปใช้ในการโต้แย้งหรือสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลโดยเฉพาะผ่านการตั้งคำถามต่อท่าทีและการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร 

• ในขณะที่หัวข้อ อธิปไตย พื้นที่และดินแดน มักสะท้อนความรู้สึกวิตกกังวลหรือไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ

• ในหัวข้อ อัตลักษณ์และวัฒนธรรม พบข้อความที่โจมตีความเชื่อหรือวิถีชีวิตของทั้งสองฝ่าย ไปจนถึงการปฏิเสธความเป็นไปได้ของวัฒนธรรมร่วม ซึ่งอาจนำไปสู่การเสริมสร้างอคติและทัศนคติเชิงลบต่อกลุ่มอื่นในระดับสังคม

Hate Speech ปรากฏในปริมาณมาก โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่สะท้อนอคติและการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ 

จากการเก็บข้อมูล พบข้อความในกลุ่ม Negative Sentiment มากกว่าครึ่งหนึ่งมีลักษณะที่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของ Hate Speech

• ระดับ 1 ที่พบมากที่สุด (59.89%) ซึ่งสะท้อนการใช้ถ้อยคำหยาบการดูถูกสติปัญญา หรือการสร้างความเป็นอื่นระหว่างกลุ่ม โดยเฉพาะต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และผู้ที่มีความเห็นต่างในประเด็นการเมือง

• ระดับ 3 (32.71%) สะท้อนรูปแบบของการสื่อสารที่อิงภาพจำทางลบ การแปะป้าย และการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มทำให้ทัศนคติเชิงเกลียดชังสามารถแพร่กระจายได้ในวงกว้าง

• ระดับ 4 (5.92 %) ซึ่งแสดงออกถึงการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ หรือความเป็นพลเมือง 

• ระดับ 2 (0.89%) มีลักษณะของการคุกคามหรือล่วงละเมิดแบบเจาะจงบุคคลซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในระดับปัจเจก

• ระดับ 5 (0.59%) ที่มีความรุนแรงสูง เช่น การยุยงให้ใช้ความรุนแรงหรือทำให้ความรุนแรงดูเป็นสิ่งชอบธรรม ปรากฏในสัดส่วนน้อย แต่การปรากฏของข้อความในลักษณะดังกล่าวยังคงเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจมีผลต่อการยกระดับความตึงเครียดหรือสร้างความเข้าใจผิดในระดับสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อบริบทของข้อความเหล่านี้แทรกซึมอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางเป็นทุนเดิม

จากผลการวิเคราะห์นี้ ชัดเจนว่าการปะทุของอารมณ์ในพื้นที่ออนไลน์ช่วงเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแสดงความไม่พอใจเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงการเคลื่อนตัวของอารมณ์สาธารณะไปสู่การสื่อสารที่มีลักษณะเป็น HateSpeech ในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะในรูปแบบที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ และตอกย้ำอคติต่อกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มอย่างต่อเนื่อง

ความรุนแรงของถ้อยคำที่ปรากฏเหล่านี้จึงไม่เพียงเป็นภาพสะท้อนของบรรยากาศทางอารมณ์ในช่วงวิกฤต หากยังอาจกลายเป็นปัจจัยเร่งที่ส่งผลต่อท่าทีและพฤติกรรมของผู้คนในโลกจริง หากไม่มีแนวทางจัดการหรือการเฝ้าระวังที่เหมาะสมและต่อเนื่อง

หัวข้อที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนในพื้นที่ชายแดน แต่ข้อความจำนวนมากมีลักษณะในเชิงลบ

• หัวข้อที่มีจำนวนข้อความมากที่สุดคือ “Life and Humanity (วิถีชีวิต และความเป็นมนุษย์)” (48.47%) ซึ่งครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน แต่ ข้อความจำนวนมากในกลุ่มนี้กลับแสดงอารมณ์เชิงลบ เช่น ความกลัว ความไม่มั่นคง หรือความรู้สึกไม่สบายใจต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คน การตีความเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนผ่านกรอบของความเปราะบาง ความสูญเสีย หรือความทุกข์ร่วม จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นศูนย์รวมของความรู้สึกในช่วงเวลาวิกฤต และยังสะท้อนให้เห็นว่า ประเด็นชายแดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความมั่นคงในระดับรัฐเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับมิติของชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่โดยตรง

• ในขณะเดียวกัน หัวข้อ “Domestic Politics (การเมืองภายในประเทศ)” (15.27%) และ “Sovereignty and Territorial(อธิปไตย พื้นที่และดินแดน)” (15.19%) ก็ได้รับการกล่าวถึงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหัวข้อแรกมีสัดส่วนข้อความเชิงลบสูงที่สุด (73.94%) โดยข้อความเหล่านี้สะท้อนการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีหรือการตัดสินใจของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน ทั้งในแง่ของความเหมาะสม การสื่อสารต่อสาธารณะ และแนวทางการดำเนินนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประเด็นชายแดนเป็นจุดตั้งต้นในการแสดงความเห็นต่อประเด็นการเมืองภายในประเทศที่กว้างขึ้น เช่น บทบาทของกองทัพ หรือจุดยืนหรือท่าทีของรัฐบาล ส่วนหัวข้อที่สองสะท้อนการแสดงออกถึงความห่วงใยต่ออธิปไตยและเขตแดนของประเทศ โดยเฉพาะในลักษณะที่เน้นการยืนยันสิทธิของไทยเหนือพื้นที่พิพาท เช่น การอ้างถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือแผนที่ การใช้ถ้อยคำในเชิง “ต้องไม่ยอมอ่อนข้อ” หรือ “ไม่เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว” รวมถึงการแสดงความไม่พอใจต่อการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นฝ่ายรุกรานหรือท้าทายอธิปไตยไทย ขณะเดียวกันก็ปรากฏการวิจารณ์บุคคลหรือกลุ่มในประเทศที่ถูกมองว่า “อ่อนข้อ” หรือ “ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” ทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นพื้นที่ของการสื่อสารที่อ่อนไหวและเต็มไปด้วยการให้ความหมายเชิงอารมณ์ต่อคำว่า “แผ่นดิน” และ “ศักดิ์ศรีของชาติ”

• แม้พื้นที่ออนไลน์จะเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางอารมณ์ แต่ยังมีเสียงเรียกร้องสันติภาพอย่างต่อเนื่อง ในหัวข้อ “PeaceBuilding (การสร้างสันติภาพ)” ซึ่งมีสัดส่วน 7.85% โดยเนื้อหาเหล่านี้ประกอบด้วยข้อเสนอที่เน้นการใช้การเจรจา กลไกทวิภาคี ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการหลีกเลี่ยงความรุนแรง รวมถึงการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนทั้งสองประเทศ การปรากฏของข้อความเหล่านี้ แม้จะมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับข้อความเชิงลบโดยรวม แต่สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ออนไลน์ยังคงเปิดช่องให้กับการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์และการแสวงหาทางออกโดยสันติ ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและการสื่อสารสาธารณะ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและลดการปะทะกันของอารมณ์ในช่วงวิกฤต

• หัวข้อ “Pro-War and Call for Violence (การเรียกร้องสงครามและการใช้ความรุนแรง)” แม้จะมีข้อความอยู่ในสัดส่วนเพียง 0.07% แต่มีนัยสำคัญ เนื่องจากแสดงให้เห็นการใช้ถ้อยคำที่เรียกร้องหรือสนับสนุนการใช้ความรุนแรง เช่น การแสดงความยินยอมต่อการทำสงคราม การมองว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการประณามแนวทางสันติภาพว่าอ่อนแอ ข้อความเหล่านี้แม้มีจำนวนไม่มาก แต่ควรได้รับความสนใจเชิงนโยบายและการสื่อสารสาธารณะ เนื่องจากมีศักยภาพในการหล่อเลี้ยงเรื่องเล่าที่สร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง

พฤติกรรมของผู้ใช้งานสะท้อนบทบาทเชิงรุกในการกำหนดทิศทางการสนทนา และการเคลื่อนไหวเชิงอารมณ์ 

การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์ระหว่างสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา พบว่า มีกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทสูงอย่างชัดเจนในช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 1–9 มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณข้อความในระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานเหล่านี้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ทั้งในด้านจำนวนโพสต์ การใช้แฮชแท็ก การกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่น (mention) และท่าทีทางอารมณ์ที่แสดงผ่านข้อความ

• ผู้ใช้งานที่มีจำนวนโพสต์สูงและมีความถี่ โดยบางบัญชีมีบทบาทสูงในการโพสต์ แสดงความคิดเห็น และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่ปริมาณข้อความเพิ่มสูงขึ้น บัญชีเหล่านี้ส่วนใหญ่มีข้อความในเชิงลบ แต่มีลักษณะการสื่อสารที่ต่อเนื่อง และใช้ฟังก์ชันของแพลตฟอร์ม เช่น การใช้ hashtag หรือ mention เพื่อกระจายข้อความในวงกว้าง 

• กลุ่มสื่อกระแสหลักเช่น ThaiPBSNews, naewna_news, PPTVHD36 และ newroom44 ทำหน้าที่ในการรายงานข่าวในลักษณะเป็นกลาง และยังมีผู้ใช้งานอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามผลักดันข้อเสนอเชิงบวก ซึ่งแม้จะมีบทบาทน้อยกว่าในเชิงปริมาณ แต่เป็นเสียงสำคัญในการรักษาสมดุลทางอารมณ์ในช่วงวิกฤต

• แม้ภาพรวมของข้อความในช่วงเวลาดังกล่าวจะโน้มเอียงไปในทางลบ แต่ยังพบผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทในการผลิตและเผยแพร่ข้อความเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น VoiceTVOfficial, SocialgazeTh, Goodstxxxxx, Tkhaxxxxxและ panyxxxxx ข้อความจากผู้ใช้งานกลุ่มนี้มักเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง สนับสนุนการเจรจา และแสดงความห่วงใยต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนแม้จำนวนโพสต์จะน้อยกว่ากลุ่มที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่บทบาทของพวกเขามีความสำคัญในฐานะเสียงทางเลือกที่พยายามถ่วงดุลความตึงเครียด และรักษาพื้นที่สำหรับการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

โดยสรุป พฤติกรรมของผู้ใช้งานในสถานการณ์วิกฤตนี้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของหลายกลุ่มที่มีบทบาทแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางกลุ่มผลิตข้อความอย่างเข้มข้นในเชิงวิพากษ์ บางกลุ่มทำหน้าที่เป็นสื่อกระจายข้อมูล ขณะที่บางกลุ่มพยายามผลักดันข้อเสนอเชิงบวกหรือสันติภาพ


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.neomomentum.com  หรือติดต่อได้ที่ contact@neomomentum.co

*Neo Momentum เป็น เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการให้บริการข้อมูล การวิจัย และการพัฒนา โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven) มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อน (social enterprise) จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและมีประสบการณ์ในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมการสื่อสารทางการเมืองในช่วงการชุมนุมประท้วงของนักศึกษาและเยาวชนไทยเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและสังคม ช่วงปี 2020-2021

**ข้อมูลชุดแรกเป็นส่วนหนึ่งของการเก็บข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อการศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา อารมณ์และพฤติกรรมของผู้ใช้งานในห้วงความตึงเครียดขัดแย้งตามแนวชายแดนและข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นมายับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2568 ภายใต้โครงการวิจัย ชื่อ Why is there so much anger?: Exploring emotional landscapes and online narratives amid Thai-Cambodian tensions


สังคมชินชา‘บิดเบือน-กระตุ้นเกลียดชัง’โจมตีทางการเมือง ‘ผู้หญิง’เหยื่อรุนแรง ถามหาบทบาท‘รัฐ-แพลตฟอร์ม’

10 มิ.ย. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ Westminster Foundation for Democracy (WFD) , Decode.plus , และ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) จัดงานเสวนา “Digital Duty: Tech vs Online Violence Against Women in Politics ความรับผิดชอบบนโลกดิจิทัลและความรุนแรงต่อผู้หญิงในพื้นที่การเมือง” ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อาคาร A ชั้น 1

สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้ก่อตั้ง Stoponlineharm.org บอกเล่าถึงงานวิจัยที่ตั้งโจทย์ว่า เมื่อช่วงเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้วยังมีการคุกคามนักการเมืองหญิงอยู่หรือไม่ โดยเก็บข้อมูล 2 รูปแบบ คือ 1.เชิงปริมาณ ใช้การเก็บข้อมูลจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) อย่าง Facebook และ X จำนวน 456 กรณี กับ 2.เชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์นักการเมืองหญิง จำนวน 18 ท่าน พบว่า

1.รูปแบบการใช้แพลตฟอร์ม หากเป็น Facebook จะเน้นการโจมตีระยะยาว เช่น ใส่ความเห็นซ้ำๆ ใต้โพสต์หรือแชร์ข้อมูลเท็จ ในขณะที่ X จะเน้นโจมตีประเด็นร้อน ระยะสั้น ทำแฮชแท็กหรือโพสต์แบบไวรัล 2.รูปแบบการโจมตี สำหรับ 2 อันดับแรกที่พบมากที่สุด คือ 2.1 ทำลายชื่อเสียง (Discredit) ร้อยละ 31.7 เช่น กล่าวหาว่ารับเงินจากต่างชาติ ด่าทอว่าโง่ ไม่สมควรมารับตำแหน่ง กับ 2.2 ด้อยค่า (Devalue) ร้อยละ 20.7 เช่น ชี้ว่าได้รับตำแหน่งเพราะคนในครอบครัวไม่ใช่ความรู้ความสามารถของตนเองนอกจากนั้นยังพบรูปแบบอื่นๆ เช่น ทำให้เป็นเรื่องตลก (Mocking) ร้อยละ 13.3 และโจมตีที่เรื่องเพศ (Gender-based Attack) ร้อยละ 16.4 เป็นต้น

3.พฤติกรรมของการโจมตี เช่น ใช้บัญชีปลอมหรือบัญชีแบบไม่เปิดเผยตัวตนในสื่อสังคมออนไลน์ โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทหรือข้อความเท็จแบบเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ดูเหมือนเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ บวกกับใช้แฮชแท็กในลักษณะถ้อยคำเหยียดหยามเพื่อให้เกิดกระแสในเวลาอันรวดเร็ว มีการใช้การสะกดผิดหรือใช้สัญลักษณ์ Emoji ไปจนถึงการใช้ภาพตัดต่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับและลบโพสต์นั้น และเมื่อเห็นบัญชีปลอมทำได้ คนทั่วไปที่ใช้บัญชีจริงระบุตัวตนได้ก็เข้าใจไปว่าตนเองก็สามารถคุกคามได้บ้างเช่นกัน

4.ผลกระทบที่นักการเมืองหญิงได้รับ พบว่า ร้อยละ 65 บอกเล่าถึงการคุกคามทางออนไลน์ที่ส่งผลต่อการทำงาน เช่น ต้องมาเสียเวลาแก้ข่าว  และอีกร้อยละ 20 เคยคิดจะออกไปจากแวดวงการเมือง นอกจากนั้น ร้อยละ 60 เล่าว่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เกิดความเครียดหรือซึมเศร้า เช่น มีกลุ่มตัวอย่างบางท่านบอกว่า บางทีการถูกทำร้ายร่างกายยังเจ็บน้อยกว่าการถูกนำภาพไปตัดต่อเป็นภาพลามกอนาจารเผยแพร่ทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การคุกคามจากในโลกออนไลน์ก็ลุกลามออกมาสู่การคุกคามในชีวิตจริงได้ เช่น มีการเผยแพร่พิกัดที่พักอาศัย ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 

5.ไม่ได้กระทบเฉพาะตนเอง แต่รวมถึงคนใกล้ชิดด้วย เช่น ลูกถูกเพื่อนล้อเลียน หรือคู่ชีวิตก็ถูกโจมตีด้วยจนกระทบต่อความสัมพันธ์ และมีบางครอบครัวขอให้ออกจากแวดวงการเมืองเพราะรับสิ่งที่เกิดขึ้นไมได้ 6.วิธีการรับมือ พบว่า ปัจจัยที่ยังทำให้ผู้หญิงอยู่ในแวดวงการเมืองแม้จะถูกโจมตีหรือคุกคาม คือพลังของคนรอบข้างและเครือข่ายเพื่อน รวมถึงเครือข่ายนักการเมืองหญิงด้วยกันเอง ส่วนวิธีรับมือที่พบ เช่น กลับมาดูใจตนเอง หยุดใช้สื่อสังคมออนไลน์ ปรึกษาจิตแพทย์ ดำเนินคดีทางกฎหมาย และสื่อสารผ่านสื่อเพื่อทวงคืนพื้นที่

และ 7.ทำไมปัญหาการคุกคามออนไลน์จึงยังคงดำรงอยู่ สาเหตุหลักๆ คือไม่มีหน่วยงานมาดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ โดยหากเป็นภาครัฐจะเน้นไปในเรื่องการหลอกลวงออนไลน์ หรือเมื่อไปแจ้งความก็ถูกเจ้าหน้าที่พูดจาซ้ำเติม ขณะที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ก็ไม่ลบเนื้อหานั้นออก เนื่องจากเนื้อหายังไม่ถึงเส้นหรือล้ำเส้นที่ระบบตั้งไว้ว่าหากถึงจุดนั้นแล้วจึงจะลบให้

อันนี้อยากฝากทางพรรคการเมือง คือพรรคไม่ได้ช่วยเหลือด้านนี้เลย พอตอนเข้ามาในพรรคไม่มีการอบรม ที่ได้สัมภาษณ์บางท่านบอกว่าพรรคการเมืองอบรมทุกอย่างยกเว้นเรื่องรับมือกับการถูกละเมิดออนไลน์ หรือหลายคนก็บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเจอถ้าคุณเข้ามาในตำแหน่งนี้ ไม่ต้องคิดว่าเป็นปัญหา สายใจ กล่าว

ผศ.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงพื้นที่ออนไลน์ บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Big Tech) จะมีบทบาทสูงมากจนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนได้ โดยโลกก่อนยุคดิจิทัล แม้รัฐจะพยายามควบคุมการแสดงออกของคน เช่น ออกกฎหมาย มีบทลงโทษ แต่รัฐก็ไม่มีอำนาจกรองสิ่งที่แต่ละคนสื่อสารออกมา ทำได้เพียงดำเนินการบางอย่างหลังคนคนนั้นสื่อสารออกไปแล้ว เช่น เชิญออกจากพื้นที่จัดงาน แตกต่างจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ บางคำที่ตั้งไว้ในระบบไม่ให้โพสต์ หากผู้ใช้งานโพสต์คำนั้น เนื้อหาที่โพสต์ก็จะถูกลบออกในทันทีเมื่อระบบตรวจจับได้ รวมถึงอาจถูกระงับการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือดังกล่าวจะถูกมองใน 2 มุม ระหว่างการป้องกันถ้อยคำที่หากสื่อสารออกไปอาจเกิดอันตรายต่อสังคม กับความกังวลเรื่องอำนาจนี้อยู่ในมือบริษัทเทคโนโลยีมากเกินไปจนกลายเป็นการเซ็นเซอร์ ขณะที่วิธีคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เดิมทีเกิดจากการต่อสู้ระหว่างรัฐกับประชาชน จนเกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้สิทธิต่างๆ ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ รวมถึงมีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจหรือทรัพยากรของรัฐ เช่น การใช้งบประมาณหรือดุลพินิจ เป็นต้น

บริษัทเหล่านี้มีทั้งอำนาจในเชิงเทคโนโลยี มีความสามารถในเชิงเทคโนโลยีที่จะช่วยกำกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มได้ คำถามก็คือเราไว้ใจเขาแค่ไหน? อันนี้คิดว่าเป็นคำถามสำคัญเหมือนกัน เพราะบริษัทไม่เหมือนกับองค์กรของรัฐที่ไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรมันมีกระบวนการในการตรวจสอบการใช้อำนาจ แต่การใช้อำนาจของบริษัทไม่ได้มีกลไกพื้นฐานหรือกลไกประชาธิปไตยใดๆ ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ยกเว้นแต่ว่าคุณเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นจำนวนมากพอที่จะบอกเขาได้ว่ามันคืออะไรผศ.ฐิติรัตน์ กล่าว      

สัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล กล่าวว่า หลักเสรีภาพในการแสดงออกนั้นการจะยกเว้นเรื่องใดรัฐต้องออกมากฎหมายายกเว้นเรื่องนั้น เช่น ประเทศไทยมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่การออกกฎหมายต้องทำเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน รวมถึงเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ตามกติการะหว่างประเทศ (ICCPR) จะห้ามใน 2 เรื่อง คือ 1.ยุยงให้เกิดสงคราม กับ 2.ยุยงให้เกิดความเกลียดชังหรือความรุนแรง 

ตัวอย่างกรณีศึกษา คือตัวแทนชาวโรฮิงญา ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาปล่อยให้มีการใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างความเกลียดชังชาวโรฮิงญาในเมียนมา แต่เรื่องนี้ไปจบตรงที่คดีหมดอายุความก็เป็นประเด็นที่ต้องแก้ไขในกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะความรุนแรงก่อความเสียหายขึ้นแล้วแต่ไปกำหนดอายุความไว้เพียง 1 – 2 ปี อนึ่ง ตามหลักการคือแพลตฟอร์มไม่ควรต้องรับผิดเรื่องใครเผยแพร่เนื้อหาอะไรเพราะไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ต้องรับผิดชอบประมาณหนึ่งหากไม่มีการคัดกรองหรือนำเนื้อหาออกจากระบบ

แต่อีกด้านหนึ่ง  เมื่อจะให้รัฐมีอำนาจสั่งการหรือประสานบริษัทเทคโนโลยีให้ลบเนื้อหาออก(Takedown Order) สิ่งที่ต้องระมัดระวังคืออำนาจนั้นจะกลายเป็นเครื่องมือที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้าม เช่น ตามหลักการอำนาจนี้ควรอยู่กับฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระ แต่ที่ประเทศอินเดียให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐคนใดก็ได้ ผลคือ X หรือเดิมคือทวิตเตอร์ ไปฟ้องศาลว่ากฎหมายของอินเดียไม่ถูกต้องเพราะให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่กว้างเกินไป 

คือต้องเจอกันตรงกลาง ต้องมีคนมาดู ต้องมีเจ้าหน้าที่ทางด้านกฎหมาย เป็นศาลเป็นคนมาคุม แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ช้า ต้องเร็วมากภายใน 24 ชั่วโมง ไทยก็มี Takedown Order แต่เป็นคล้ายๆ อินเดีย แต่ไม่ค่อยได้ใช้ คือเป็นเจ้าหน้าที่คนไหนก็ได้เอาลงได้ ไม่ได้ผ่านกระบวนการศาล อันนี้ก็ค่อนข้างน่ากังวลเหมือนกัน สัณหวรรณ กล่าว

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า โลกออนไลน์หลังการเลือกตั้งในไทยเมื่อปี 2566 พบสถานการณ์การใช้ข้อมูลบิดเบือนรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ข้อมูลแฝงเจตนาร้าย (Malinformation) ที่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริงแต่ถูกให้ความเห็นเพิ่มเติมจนแยกแยะได้ยากว่าข้อมูลนั้นบิดเบือนอย่างไร และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างแพลตฟอร์ม X นั้นโดยพื้นฐานเป็นแพลตฟอร์มที่สื่อสารด้วยอารมณ์อยู่แล้ว แต่สัดส่วนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักในช่วงก่อนกับหลังเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับ Facebook ที่พบการเพิ่มขึ้นมากกว่าของการสื่อสารแบบใช้อารมณ์และข้อมูลบิดเบือนที่ซับซ้อน

ส่วนผู้เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนข้อมูลเหล่านี้ยังคงเป็นรูปแบบเดิม เช่น พรรคการเมือง สื่อ ผู้สนับสนุน สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่จนกลายเป็นวัฒนธรรมการสื่อสารที่ดูเหมือนการใช้ข้อมูลบิดเบือนหรือสร้างความเกลียดชังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ประกอบกับเทคโนโลยีเอื้อให้คนผลิตเนื้อหาได้รวดเร็วและง่ายขึ้น ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ล้นหลามและการจัดการให้ข้อมูลถูกนำออกจากระบบก็ไม่ง่าย อย่างประสบการณ์ของโคแฟค หลายเรื่องแม้จะตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว แต่ข้อมูลเท็จนั้นก็ยังคงอยู่ในระบบ รวมถึงธรรมชาติของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่เน้นอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง ทำให้การที่คนจะมาฟังว่าข้อมูลที่ถูกต้องเป็นอย่างไรนั้นน้อยลง

ทำอย่างไรสิ่งที่เราตรวจสอบไปจะถูกมองเห็นและแพร่กระจายไปในวงกว้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรเป็นความร่วมมือที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม ก็ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเสียทีเพราะว่าในเงื่อนไขของแพลตฟอร์มเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอน องค์กรที่รายงานเป็นพาร์ทเนอร์ของเขาไหม? ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย IFCN หรือเปล่า? ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การทำงานร่วมกันไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควรกุลชาดา กล่าว 

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านช่องยูทูบของ Thai PBS 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ผู้เชี่ยวชาญไขข้อข้องใจ “ยาดมสมุนไพร” เสี่ยงเชื้อราจริงหรือ?

ขอบคุณที่มา UBONCONNECT

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” จัดเสวนาออนไลน์เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือบนโซเชียลมีเดียที่ว่า “ยาดมสมุนไพร” อาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา และอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้น “เชื้อราขึ้นปอด” โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ ผศ.ดร.พัชรีกัมมารเจษฎากูล ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาคลินิกจากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมให้ความรู้ พร้อมด้วย จอย คนเช็กข่าว โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

ความกังวลจากข่าวลือ “ยาดมสมุนไพรปนเปื้อนเชื้อรา”

คุณจอย เปิดประเด็นจากกระแสโซเชียลที่ระบุว่ายาดมสมุนไพรแบบกระปุกที่หลายคนใช้เป็นประจำอาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา โดยมีผู้ป่วยบางรายพบเชื้อราในปอดและสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับยาดม หลังตรวจพบคราบสีดำที่ก้นกระปุกยาดม เรื่องนี้สร้างความกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ยาดมสมุนไพรที่เชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและปลอดภัย

ดร.พัชรี ได้กล่าวถึง งานวิจัยระหว่างช่วงเดือนมีนาคมพ.ศ. 2556 จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 เก็บตัวอย่างยาดมสมุนไพรจากแหล่งผลิตในจังหวัดสมุทรปราการ โดยสุ่มตรวจ 15 ยี่ห้อ 35 ตัวอย่าง พบว่า ทุกขวดมีเชื้อราปนเปื้อน ซึ่งบ่งชี้ว่าการปนเปื้อนอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตหรือการเก็บรักษาอย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อราในปอดนั้นเกิดจากการใช้ยาดมโดยตรง

ข้อมูลจากงานวิจัย: ยาดมสมุนไพรถูกตรวจสอบอย่างไร?

ดร.พัชรี อธิบายถึงงานวิจัยว่า ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างยาดมสมุนไพรจากแหล่งผลิตและร้านค้าทั่วไป รวมถึงยี่ห้อที่วางจำหน่าย แบ่งยาดมออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่:

• ยาดมแบบแห้ง (เช่น ยาดมสมุนไพรแบบผง)

• ยาดมแบบน้ำมัน (เช่น ยาดมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย)

• ยาดมแบบผสม (ผสมทั้งแบบแห้งและน้ำมัน)

ผลการวิจัยพบว่า ยาดมแบบแห้ง มีการปนเปื้อนเชื้อรามากที่สุด เนื่องจากส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรแห้งมีโอกาสดูดซับความชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา

เชื้อราฉวยโอกาส” คืออะไรอันตรายแค่ไหน?

อาจารย์พัชรี อธิบายเพิ่มเติมว่า เชื้อราฉวยโอกาส พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เช่น ในดินหรืออากาศ แต่สามารถก่อโรคได้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุเด็ก หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน มะเร็ง) โดยเชื้อราบางชนิดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดหรือโพรงจมูกได้ หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เชื้อราทุกตัวที่พบจะก่อโรคในคน บางตัวอาจไม่เป็นอันตรายต่อคนที่มีสุขภาพแข็งแรง

วิธีเลือกและใช้ยาดมให้ปลอดภัย

เพื่อให้ประชาชนใช้ยาดมสมุนไพรอย่างปลอดภัยอาจารย์พัชรี มีข้อแนะนำดังนี้:

• เลือกยาดมที่มีเลขทะเบียนยา และตรวจสอบวันหมดอายุ รวมถึงสภาพบรรจุภัณฑ์ว่าสะอาด ไม่รั่วหรือแตก

• สังเกตความผิดปกติ เช่น กลิ่นแปลก เนื้อสมุนไพรเปื่อยยุ่ย หรือมีคราบสีดำ หากพบให้หยุดใช้ทันที

• หลีกเลี่ยงการจ่อยาดมใกล้จมูกเกินไป เพื่อลดโอกาสสูดดมเชื้อราหรือสารปนเปื้อน

• ปิดฝาให้สนิทหลังใช้ เพื่อป้องกันความชื้นและการปนเปื้อน

• กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีภูมิแพ้ โรคโพรงจมูกอักเสบ หรือภูมิคุ้มกันต่ำ ควรระวังเป็นพิเศษและปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติหลังใช้ยาดม ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

• อาการไม่พึงประสงค์ที่ควรหยุดใช้ : หากมีอาการระคายเคือง หรือแสบจมูก ควรรีบหยุดใช้

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ยาดม

ดร.พัชรี ฝากถึงผู้ที่ชื่นชอบการใช้ยาดมว่า “ยาดมสมุนไพรไม่ใช่สิ่งที่อันตรายหากเลือกใช้อย่างถูกวิธีและจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและการเก็บรักษาที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนได้” 

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ผู้ใช้สังเกตพฤติกรรมการใช้งานของตนเอง เช่น ไม่ใช้ยาดมมากเกินไปหรือบ่อยเกินความจำเป็น เพื่อลดโอกาสสัมผัสเชื้อที่อาจปนเปื้อน


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 มิถุนายน 2568

เตือนภัย ถุงเท้ารักษาสารพัดโรค หลอกขายมากว่า 10 ปี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/300tcdrx850


วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลอดเลือดสมองอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nagp1o19izpv


ดื่มเบียร์ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qq3nhtvwmucj


กาแฟลดน้ำหนักแบบชงดื่ม ลดพุงได้โดยไม่ต้อง ออกกำลังกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eyze93v0wvi3


กฎใหม่! ผู้สมัครวีซ่าสหรัฐชั่วคราว ประเภท F, M หรือ J ต้องเปิดโซเชียลเป็นสาธารณะ มีผลบังคับใช้ทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23eqqd6y286r7


ผลชันสูตร ชายชาวลำปางเสียชีวิตบนรถทัวร์ เป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ep9g6vs1238f


  ธ.กรุงไทย สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรที่ตู้ ธ.กสิกรไทยได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jfe1jucgafvv


 ผอ. โรงเรียน 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถสั่งหยุดเรียนได้ หากมีสถานการณ์ไม่ปลอดภัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cvky8s9sdoak


ใช้หูฟังนานๆ ทำให้สมองเสื่อมได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9s248ifdswnj


วิดีโอทดลองด้วยการเอาเนื้อทุเรียน มาผสมกับสารละลาย “เบตาดีน” กลายเป็นใส นี่คือฤทธิ์ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qi9tk57xzjn1