กองทัพบกชี้แจง “ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร” เป็นข่าวเท็จ

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ”

แม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

“The Structure – เจ๊จุก คลองสาม” กับข้อความที่ถูกบิดเบือนของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบมีมที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีไทย-กัมพูชา ที่ระบุว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” ที่ถูกเผยแพร่ขณะเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 พบว่าเป็นการนำข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร. พวงทองมาบิดเบือนและเผยแพร่ผิดบริบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ที่แสดงความคิดเห็น

ช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ใช้ชื่อว่า “เจ๊จุก คลองสาม” ที่มักโพสต์เนื้อหาสนับสนุนกองทัพ ได้นำภาพ ศ.ดร. พวงทอง มาเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ก (ผู้ติดตาม 3.4 พันบัญชี) และ X (ผู้ติดตาม 1.14 แสนบัญชี) ในภาพฝังข้อความว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี ศ.พวงทองชี้กัมพูชาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ชาวโลกมองไทยเป็น ‘เด็กเจ้าปัญหา’” โดย “เจ๊จุก” เขียนข้อความเชิญชวนให้ผู้ติดตาม “ช่วยแสดงความเห็นกับเรื่องนี้ที”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบภาพและข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร.พวงทอง พบว่าเป็นพาดหัวข่าวของเพจข่าว The Structure ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 และมีการอัพเดทเพิ่มเติมในวันที่ 5 มิ.ย. โดยในเนื้อหาได้อ้างคำพูดของ ศ.ดร. พวงทองที่แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลังการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รายงานข่าวของ The Structure ชิ้นนี้อ้างมาจากข้อความที่ ศ.ดร. พวงทองโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan (ผู้ติดตาม 3.2 หมื่นบัญชี)เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ซึ่งให้ความเห็นสนับสนุนการที่ไทยใช้เวทีคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีในการแก้ปัญหาข้อพพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นล่าสุด โดยได้ยกกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2551-2554 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข้อความเต็มจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ 3 มิ.ย. 2568

“ยิ่งไม่เจรจา เน้นใช้กำลังทหารเป็นหลัก จะยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ และสงครามไม่เคยแก้ปัญหาข้อพิพาทได้

“ฮุน เซน เติบโตมาจากทหารบ้าน (กองกำลังเขมรแดง) ไม่มีการศึกษาสูงส่งอะไร แต่เขาเก่งเรื่องการต่างประเทศมากๆ (ขึ้นเป็นรมต.ต่างประเทศตั้งแต่อายุแค่ 28 ปี) พอเกิดเรื่องไม่ทันไร ก็ใช้เวทีรัฐสภาของตน ประกาศว่าจะนำปัญหาข้อพิพาทกับไทยขึ้นสู่ศาลโลก (ICJ) ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของ ICJ ตั้งแต่ปี 1962 หรือเมื่อแพ้กรณีปราสาทพระวิหาร แต่การประกาศเช่นนี้ของฮุน เซนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

“นกตัวแรก คือการประกาศให้ประชาชนกัมพูชาเห็นว่ารัฐบาลจะไม่หงอให้กับประเทศที่ใหญ่กว่า แม้เขาจะมีความสนิทสนมกับรัฐบาลไทยและครอบครัวชินวัตร แต่รัฐบาลกัมพูชามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาวกัมพูชา … ได้ใจคนเขมรท่วมท้น

“นกตัวสอง คือการประกาศให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาแก้ปัญหาโดยใช้กฏกติการะหว่างประเทศเป็นที่พึ่ง — กฏหมายระหว่างประเทศมีไว้แก้ปัญหาเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก — กัมพูชาประพฤติตนเป็นสมาชิกที่ดีของโลก … ฮุน เซนกำลังท้าทายประเทศไทยว่ากล้าหรือไม่ ที่จะให้คนกลางตัดสินปัญหา กลัวอะไร?

“ฉะนั้น สำหรับดิฉัน ในเมื่อไทยไม่ต้องการใช้ ICJ อีกต่อไป ก็ต้องอาศัยการเจรจาเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา การที่รัฐบาลประกาศใช้เวที JBC คือจุดเริ่มต้นที่ดี (แม้ว่าจะใช้เวลาหายงงอยู่นานก็ตาม บอกตรงๆ ว่างงกับรัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้มาก ทำงานแบบคนเมายาได้เกือบทุกเรื่อง)

“สำหรับคนที่โตไม่ทันเหตุการณ์ข้อพิพาทเหนือปราสาทพระวิหารที่ปะทุขึ้นโดยขบวนการที่มุ่งทำลายรัฐบาลพลังประชาชน/เพื่อไทยด้วยการปลุกกระแสคลั่งชาติระหว่างปี 2551-2554 ดิฉันขอย้อนเหตุการณ์ให้อ่านสั้นๆ ว่ากรณีนี้ทำให้สถานะของไทยเหมือนเด็กเกเรระหว่างประเทศอย่างไร

“เมื่อเกิดการปะทะทางทหารขึ้น รัฐบาลฮุน เซน ประกาศขอให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้น รมต.ต่างประเทศ นาย Marty Natalegawa ตอบรับแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว เพราะสอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ของอาเซียน ที่ระบุว่าประเทศสมาชิกพึงแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

“แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธในทันที บอกว่านี่เป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ต้องการให้บุคคลหรือองค์กรที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ไทยเป็นสมาชิกอาเซียน …. อินโดนีเซียเซ็งไปเลย

“เมื่อความขัดแย้งลุกลามบานปลายมากขึ้น เกิดการปะทะทั้งบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารและกลุ่มปราสาทตาเมือน ในเดือน ก.พ. 2554 ฮุน เซนประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาระดับทวิภาคีอีกแล้ว และยื่นร้องขอให้คณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC จัดประชุมด่วนเพื่อหาทางยุติความก้าวร้าวของไทย (คำของ กพช.) รวมทั้งให้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพมาประจำในพื้นที่พิพาทอีกด้วย

“รัฐบาลอภิสิทธิ์คัดค้านข้อเรียกร้องนี้ แต่ UNSC กลับตกลงที่จะรับพิจารณาประเด็นที่กัมพูชาร้องขอ

“UNSC ออกมติเตือนให้สองประเทศใช้ความรอบคอบระมัดระวังให้มากที่สุด, ให้มีการตกลงหยุดยิงอย่างถาวร และให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลางจัดการประชุมพบปะระหว่างสองฝ่าย

“ฮุน เซน รีบตอบสนองข้อเสนอของ UNSC ทันที ด้วยการเสนอให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันทีเช่นกัน

“ในที่สุด สิงหาคม 2554 กัมพูชาตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 ว่า “บริเวณใกล้เคียง” (vicinity) ปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องถอนทหารออกไปนั้น มีขอบเขตแค่ไหน นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท และยุติการกระทำที่เป็นการแทรกแซงสิทธิของกัมพูชาที่จะพัฒนาปราสาทพระวิหาร หรือทำให้ความขัดแย้งเลวร้ายลง

“เรื่องนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อศาลโลกตัดสินว่าภูเขาพระวิหารทั้งลูกคือบริเวณใกล้เคียงของปราสาท ที่ไทยต้องถอนทหารออกไป (ก่อนหน้านี้ ไทยถือว่าพื้นที่ฝั่งตะวันตกของหน้าผาหรือตัวปราสาท เป็นของไทย)

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณไม่ใช่มหาอำนาจที่สามารถทำตามอำเภอใจได้แล้วล่ะก็ ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะโลกมีกฏหมายระหว่างประเทศให้คู่กรณีของไทยได้ใช้ แน่นอนว่าในขณะนี้ กัมพูชาไม่สามารถลากไทยกลับไปขึ้น ICJ ได้อีก แต่ไทยต้องคำนึงถึงสถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศให้มาก … หลายปีมานี้ วิกฤติการเมืองในไทยทำให้เรากลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาในสายตาของโลก รวมทั้งกรณีผู้อพยพอุยกูร์ และการคุกคามดร.พอล แชมเบอร์ด้วย — ซึ่งกระทบถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างประเมินค่าไม่ได้

“ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ไทยก็ไม่ควรย่ามใจว่าจะเอาชนะกัมพูชาได้ง่ายๆ เพราะนับตั้งแต่เกิดกรณีปราสาทพระวิหาร กัมพูชาเห็นไทยเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เขากระชับความร่วมมือด้านการทหารกับจีนมากขึ้น เพื่อเร่งสร้างสมพละกำลังทางทหารมากขึ้น … ปัญหาคือฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยตามการเปลี่ยนแปลงด้านการทหารของกัมพูชาหรือไม่?

“สูญเสียกันไปเท่าไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ทั้งชีวิตชาวบ้าน-ทหาร, เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของคนศรีษะเกษตายสนิทจนถึงปัจจุบัน, ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี-ค่าจ้างทนายต่างชาติ (เชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท) ฯลฯ

“ยังไม่นับว่าวิกฤติการณ์นี้ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถโฟกัสกับการแก้ปัญหาภายในได้อย่างเต็มที่

“ความขัดแย้งกับกัมพูชาในขณะนี้จึงชี้ว่า คนจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาชน ไม่สามารถเรียนรู้อดีตได้เลย เล่นกับไฟชาตินิยมง่ายกว่า เพราะเวลาไฟลามมือ ก็มือของคนอื่น ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แบบเดียวกับพวกคลั่งชาติในปี 2551-2554”

ในตอนหนึ่งของโพสต์ ศ.ดร.พวงทองได้เตือนว่าการปลุกกระแสรักชาติจนเกินขอบเขต และการเลือกใช้กำลัง โดยละเลยกลไกการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำต่อกัมพูชา สูญเสียทั้งชีวิตชาวบ้าน ทหาร และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของศรีสะเกษ และสูญเสียเขาพระวิหารในที่สุด

ทั้งนี้ข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์ไม่มีคำว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่อย่างใด

เมื่อเดือน เม.ย. 2568 เว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่รายงานเรื่อง งานวิจัยแคนาดาเผย โพสต์ ‘เจ๊จุกคลองสาม’ ปรากฎอยู่ในเอกสาร ‘ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา’ ของไอโอ อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง “วิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในไทย” จัดทำโดย อัลแบร์โต ฟิตตาเรลลี เอ็ม สก๊อต และเกศกนก วงษาภักดี ในนามของ The Citizen Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Munk School of Global Affairs and Public Policy มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา งานวิจัยนี้วิเคราะห์ว่า เพจ “เจ๊จุก คลองสาม” ซึ่งมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยโดยมีเจตนาซ่อนเร้น เป็นตัวอย่างไอโอหรือปฏิบัติการชักจูงซึ่งมีผู้ติดตามจริงบน X และ Facebook

ข้อสรุปของโคแฟค

จากการตรวจสอบข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์อย่างละเอียด ไม่มีข้อความว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แสดงว่าข้อความที่ The Structure นำมาใส่ประกอบภาพ ศ.ดร.พวงทองและพาดหัวข่าวนั้นเป็นข้อความที่บิดเบือน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของ รศ.ดร.พวงทอง

การที่ “เจ๊จุก คลองสาม” นำข้อความนี้มาเผยแพร่ในขณะที่เกิดเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และมีทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เป็นการจงใจเผยแพร่ผิดบริบท ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ศ.ดร.พวงทอง แสดงความเห็นปกป้องกัมพูชาในช่วงที่สองฝ่ายกำลังปะทะกัน นอกจากนี้การเขียนข้อความเชิญชวนให้แฟนคลับแสดงความคิดเห็น ยังแสดงถึงเจตนาสร้างกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ปัญหาการสู้รบบานปลายมากกว่าการยุติปัญหา

โคแฟคขอให้ประชาชนงดแชร์โพสต์ดังกล่าวและใช้วิจารณญาณการเสพข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ความมั่นคงชายแดนมีความสับสนและความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนในชาติ  และให้ตรวจสอบข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการและสื่อมวลชนอย่างรอบด้าน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ระวังสงครามข้อมูล! ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางข่าวจริง-ข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เฉพาะกิจ” ได้ออกอากาศในช่วงเวลา 20.00 น. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม โดยมีทหารไทยบาดเจ็บ 5 นายจากเหตุเหยียบกับระเบิด รวมถึง 1 นายที่ต้องสูญเสียขา และมีการปิด 4 ด่านชายแดน ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู รวมถึงปราสาทตามเมืองทองและตาควาย หลังกัมพูชาเริ่มยิงโจมตีก่อน ส่งผลให้เกิดการปะทะตลอดทั้งวัน รายการนี้มี**นายสุชัย เจริญมุขยนันท** เป็นผู้ดำเนินรายการพร้อมด้วยวิทยากร **นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์** ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ **นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ** Fact-checker จาก COFACT ร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และปัญหาการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความสับสนในช่วงวิกฤต

เรียกร้องยุติความรุนแรง ระวังสงครามข้อมูล

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการบาดเจ็บของทหารไทยและผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะฝั่งเพื่อนบ้านที่เริ่มปฏิบัติการก่อน เธอกล่าวว่า “เรารู้สึกเห็นใจพี่น้องทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลในยุคที่ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง โดยระบุว่า “สิ่งแรกที่บาดเจ็บล้มตายในภาวะสงครามคือความจริง” 

สุภิญญาเตือนว่า การแพร่กระจายของข่าวลือและข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอาจสร้างความสับสนและความเกลียดชัง เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และเลือกเชื่อเฉพาะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของหน่วยงานรัฐ หรือสื่อมวลชนที่มีจริยธรรม เธอยังชี้ว่าภาครัฐควรจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่เป็น “Fact-based” และทันท่วงที เพื่อลดความสับสนในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน

นอกจากนี้ สุภิญญายังแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงโดยอ้างถึงแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้สื่อทำงานอย่างมืออาชีพและภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องนักข่าว เธอยังขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่อาจยั่วยุความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา โดยเฉพาะแรงงานในประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างโพสต์ของ**นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง)** ที่เตือนว่า การคุกคามชาวกัมพูชาในไทยอาจส่งผลกระทบต่อคนไทยในกัมพูชา สร้างวงจรความเกลียดชังที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

สุภิญญากล่าวทิ้งท้ายว่า การรักชาติในยามวิกฤตสามารถแสดงออกได้ด้วยการตั้งสติ ไม่แชร์ข่าวลือและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รวมถึงการช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อลดความสับสนในสังคม

เปิดกลยุทธ์ตรวจสอบข่าวลวงในภาวะวิกฤติ

นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จากCOFACT เล่าถึงความท้าทายในการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยทีม COFACT ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวปลอมที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย เธอยกตัวอย่างกรณีที่ตรวจสอบ 3 คลิปไวรัลในวันเกิดเหตุ:

1. คลิปปั๊มน้ำมันปตท. อำเภอกันทรลักษ์ : คลิปนี้แสดงภาพกลุ่มควันจากการโจมตี ซึ่งถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ทีม COFACT พยายามติดต่อเจ้าของคลิปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ อย่างไรก็ตาม 30 นาทีต่อมา กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ยืนยันว่ามีกระสุนตกลงที่ปั๊มน้ำมันจริง ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นคลิปจากเหตุการณ์จริง

2.คลิปโรงพยาบาลพนมดงรัก : มีการแชร์คลิปที่อ้างว่าเกิดเหตุรุนแรงที่โรงพยาบาลพนมดงรัก ทีมCOFACT เริ่มต้นด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่อาจทำให้การติดต่อโรงพยาบาลโดยตรงไม่เหมาะสม จึงติดต่อผู้นำชุมชนในอำเภอพนมดงรัก ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดว่ามีเหตุการณ์จริงแต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้

3.คลิปเครื่องบิน F-16 : คลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ของไทยถล่มฐานทัพกัมพูชา ทีม COFACT ใช้เทคนิค Reverse Image Search ผ่าน Google พบว่าคลิปนี้เป็นภาพเก่าตั้งแต่ปี 2023 และเคยถูกแชร์ในบริบทความขัดแย้งอื่น เช่น อินเดีย-ปากีสถาน หรือเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กุลธิดายังยกตัวอย่างคลิปไวรัลใน TikTok ที่อ้างว่านักเรียนในวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ วิ่งหนีทหารกัมพูชาที่ไล่ยิง ทีมงานติดต่อเพจ Facebook ของวิทยาลัย ซึ่งแอดมินยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จริงแต่เกิดจากนักเรียนตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดและวิ่งหาที่หลบภัย ไม่ใช่ถูกทหารกัมพูชาไล่ยิงตามที่แคปชั่นระบุ เธอชี้ว่า การบิดเบือนบริบท (context) เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

กุลธิดาแนะนำให้ประชาชนฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง เช่น การใช้ Google Reverse Image Search และเรียกร้องให้ผู้ที่พบข้อมูลน่าสงสัยส่งมาให้ COFACT ตรวจสอบ เพื่อเป็น “การบริจาคข้อมูล” ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวง เธอยังฝากถึงหน่วยงานที่ได้รับการติดต่อจาก COFACT ให้ช่วยยืนยันข้อมูลเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิทยากรทั้งสามท่านเน้นย้ำให้ประชาชนตั้งสติ ไม่แชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และสนับสนุนให้ภาครัฐจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ COFACT ยังเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเป็น“อาสาสมัคร fact-checkers” โดยส่งข้อมูลน่าสงสัยมาให้ตรวจสอบ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ติดตามเพจทางการของหน่วยงาน เช่น สำนักงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด หรือสื่อหลักอย่าง Thai PBS, AFP ประเทศไทย และ COFACT รวมถึงฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองเพื่อeรับมือกับวิกฤตข้อมูลข่าวสารในอนาคต

รายการนี้ยังส่งกำลังใจถึงทหาร สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว และขอให้ทุกฝ่ายปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งนี้


ขอบคุณที่มา ubon connect

คลิปแฟนบอลอินโดนีเซียก่อเหตุจลาจล ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็น “ม็อบชาวกัมพูชาขับไล่ฮุน เซน”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน  

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปแฟนฟุตบอลก่อจลาจลในอินโดนีเซีย**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา

คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 68 โคแฟคและ AFP Fact Check ตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 68 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68

วิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ ยืนยันไม่มีเหตุการณ์ “เขมรไล่ยิงนักศึกษา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68) ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว”

โคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันนี้จึงวิ่งหาที่หลบภัย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 68 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคคลากร

คลิปข่าวลวงวนซ้ำ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพ “F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** 

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…”

โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาวันนี้ โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน 

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ ตรวจสอบแล้วเป็นภาพเหตุการณ์จริง

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น

ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว”

เว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

คลิประเบิดที่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เป็นภาพเหตุการณ์จริง

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชา

โคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ทั้งนี้ ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Maps จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

‘แถลงการณ์ขอโทษ (ปลอม)’ ข้อมูลลวงกลางดรามาซีอีโอหนุ่มควงสาวที่ไม่ใช่ภริยาชมคอนเสิร์ตColdplay

By : Zhang Taehun

โดยทั่วไปแล้ว การไปชมมหรสพอย่าง คอนเสิร์ต หรือการแสดงดนตรีของศิลปินดัง ได้ฟังบทเพลงที่ชื่นชอบ ควรจะเป็นช่วงเวลาของ ความสุข แต่คงไม่ใช่กับกรณีล่าสุด ในคอนเสิร์ตของวงร็อคสัญชาติอังกฤษอย่าง Coldplay ที่สนามกีฬา ยิลเลตต์ สเตเดียม (Gillette Stadium)ในเมืองฟ็อกซ์โบโร (Foxborough) รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ค่ำวันที่ 16 ก.ค. 2568 เมื่อกล้องของฝ่ายจัดคอนเสิร์ตฉายภาพบรรยากาศของผู้ชมไปเรื่อยๆ อย่างที่คุ้นเคยกันไปสะดุดที่ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังชมการแสดงดนตรีอย่างสนุกสนานและแสดงอากับกิริยาที่สนิทสนมกันเหมือนคู่รัก เมื่อเห็นภาพจากจอ พวกเขาก็แสดงอาการอับอายและพยายามหลบกล้อง จนเป็นที่สังเกตของคนที่มาชมคอนเสิร์ตและยังถูกคริส มาร์ติน นักร้องนำของวงฯแซวในเชิงที่ตอกย้ำความมีพิรุธ ยิ่งกระตุ้นให้คนสนใจเพิ่มขึ้นอีก

เหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดียแทบจะทันที  มีการไปขุดคุ้ยประวัติคนทั้งสองจนพบว่าเป็น แอนดี้ ไบรอน (Andy Byron) ซีอีโอของ Astronomer บริษัทสตาร์ทอัพในนิวยอร์ก สหรัฐฯ กับ คริสติน คาบ็อท (Kristin Cabot) ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทดังกล่าว โดยต่างคนต่างมีครอบครัวอยู่แล้ว (หรือบางกระแสก็ว่าฝ่ายชายมีครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงเพิ่งหย่าร้าง) ทำให้ถูกสังคมโจมตีอย่างหนักยิ่งขึ้นและมีมีมล้อเลียนทั้งสองออกมามากมาย ต่อมาในวันที่ 19 ก.ค. 2568 มีรายงานว่า Astronomer ออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวันที่ 18 ก.ค. 2568 สั่งพักงาน แอนดี้ ไบรอน โดยมอบหมายให้ พีท เดอจอย (Pete DeJoy) ผู้ร่วมก่อตั้ง Astronomer รักษาการในตำแหน่งซีอีโอแทน 

ภาพที่ 1 จดหมายขอโทษสังคมจาก แอนดี ไบรอน ซีอีโอของ Astronomer ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นของปลอม   

แต่ประเด็นของข่าวนี้ที่มาเกี่ยวข้องกับงานของ Cofact เนื่องจากในช่วงที่สถานการณ์กำลังชุลมุน มีการเผยแพร่เนื้อหาที่อ้างว่าเป็นแถลงการณ์ของ แอนดี้ ไบรอน เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2568 ระบุว่า ผมขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ และความผิดหวังที่เกิดขึ้น , สิ่งที่ควรจะเป็นค่ำคืนแห่งเสียงเพลงและความสุข กลับกลายเป็นความผิดพลาดส่วนตัวอย่างร้ายแรงที่เกิดขึ้นบนเวทีสาธารณะ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อภรรยา ครอบครัว และทีมงาน Astronomer ทุกท่านสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้จากผมในฐานะหุ้นส่วน ในฐานะพ่อ และในฐานะผู้นำ , 

แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็น หรือวิธีที่ผมอยากเป็นตัวแทนบริษัทที่ผมร่วมสร้าง ผมขอใช้เวลาไตร่ตรอง รับผิดชอบ และหาแนวทางต่อไป ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ผมขอความเป็นส่วนตัวในขณะที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ , ผมยังอยากจะแสดงความเสียใจด้วยที่สิ่งที่ควรจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัว กลับกลายเป็นเรื่องสาธารณะโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผม ผมเคารพศิลปินและนักแสดง แต่ผมหวังว่าเราทุกคนจะคิดอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนชีวิตของคนอื่นให้กลายเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ , ดังที่เพื่อนคนหนึ่งเคยร้องไว้ว่า : แสงสว่างจะนำทางคุณกลับบ้าน และจุดประกายกระดูกของคุณ และผมจะพยายามซ่อมแซมคุณ

รายงานข่าว ‘Fake’ Astronomer CEO statement circulates after viral Coldplay concert video โดยสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส วันที่ 19 ก.ค. 2568 อ้างคำยืนยันของ มาร์ค วีลเลอร์ (Mark Wheeler) รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Astronomer ที่ให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นของปลอม เช่นเดียวกับ ไร วอล์คเกอร์ (Ry Walker) อดีตซีอีโอของ Astronomer ที่โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ในวันเดียวกันว่า ปลอมสุดๆ (Super Fake)” นอกจากนั้น AFP ไม่พบหลักฐานว่าไบรอนเผยแพร่คำแถลงดังกล่าว บัญชี LinkedIn ของเขาก็หายไปแล้ว (no longer exists)

ภาพที่ 2 : ไร วอล์คเกอร์ อดีตซีอีโอของ Astronomer แชร์โพสต์แถลงการณ์ขอโทษของ แอนดี ไบรอน โดยบอกว่าเป็นของปลอมแบบสุดๆ 

วีลเลอร์ ยังอ้างถึงบัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ “@PeterEnisCBS” ซึ่งโพสต์ภาพดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2568 และถูกระงับการใช้งานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเนื่องจากละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์มบัญชีดังกล่าวอ้างว่าเป็นผู้สื่อข่าวสังกัด CBS News ชื่อ ปีเตอร์ เอนิส (Peter Enis) แต่เมื่อค้นหาในเว็บไซต์ของสำนักข่าวกลับไม่พบบทความใดๆ ที่มีชื่อเดียวกับบัญชีดังกล่าว อีกทั้งภาพหน้าจอของประวัติของบัญชีแสดงให้เห็นว่าบัญชีดังกล่าวเคยถูกระบุว่าเป็นบัญชีล้อเลียน

นอกจากนั้น ประวัติของ @PeterEnisCBS ยังอ้างว่าเคยเกี่ยวข้องกับสื่อเจ้าดังในสหรัฐฯ อย่าง นสพ.New York Times และสถานีวิทยุ NPR มาก่อน และรูปโปรไฟล์ของบัญชียังแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งสวมเข็มกลัดคล้ายกับโลโก้ NBC News อีกด้วย ชื่อดังกล่าวไม่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของทั้งสามองค์กรนี้เช่นกัน อนึ่ง เครื่องมือตรวจจับที่รู้จักกันในชื่อ InVID-WeVerify พบ “หลักฐานปานกลาง” ที่บ่งชี้ว่า “รูปโปรไฟล์ดังกล่าวอาจเป็นรูปที่ประดิษฐ์ขึ้นมา” ขณะที่ Hive Moderation เครื่องมือตรวจจับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเมินว่า “มีแนวโน้มที่จะมีเนื้อหาที่สร้างโดย AI หรือเนื้อหาที่ปลอมแปลงอย่าง Deepfake”

ภาพที่ 3 บัญชีแพลตฟอร์ม ที่ใช้ชื่อว่า ปีเตอร์ เอนิส ซึ่งโพสต์แถลงการณ์ขอโทษของ แอนดี ไบรอนที่ต่อมาถูกระบุว่าเป็นแถลงการณ์ปลอม 

ในวันที่ 19 ก.ค. 2568 สำนักข่าว CNN สหรัฐฯ รายงานข่าว Astronomer CEO resigns after viral Coldplay concert incident อ้างการเปิดเผยจากทาง Astronomy ว่า แอนดี้ ไบรอน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ และบอร์ดบริหารของ Astronomer ได้รับหนังสือลาออกดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้น บัญชีแพลตฟอร์ม LinkedIn ของ Astronomer ได้โพสต์ข้อความชี้แจง ระบุในตอนหนึ่งว่า แอนดี ไบรอน ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ โดยรายงานที่ระบุเป็นอย่างอื่นนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง    

ในโพสต์ต่อมาของบัญชีแพลตฟอร์ม LinkedInของ  Astronomer ซึ่งเป็นโพสต์ยืนยันการลาออกของ แอนดี้ ไบรอน ได้กล่าวว่า แอนดี้ ไบรอน ได้ยื่นหนังสือลาออก และคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแล้ว คณะกรรมการจะเริ่มสรรหาซีอีโอคนต่อไป โดยพีท เดอจอย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ จะยังคงดำรงตำแหน่งรักษาการซีอีโอต่อไป” 

ภาพที่ 4 2 โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม LinkedInของ  Astronomer (ซ้าย  โพสต์ก่อน) ยืนยันว่า แอนดี้ ไบรอน ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ โดยรายงานที่ระบุเป็นอย่างอื่นนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (ขวา  โพสต์หลัง) ยืนยันว่า แอนดี้ ไบรอน ยื่นหนังสือลาออก และบอร์ดบริหารได้รับทราบแล้ว 

แม้เรื่องนี้จะยังไม่ถึงขั้นข้อมูลลวงที่เป็นอันตรายรุนแรง (เช่น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ถูกหลอกสูญเสียทรัพย์สิน หรือสร้างความเกลียดชังจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย) แต่ที่หยิบยกขึ้นมาบอกเล่าก็เพราะน่าจะเป็นอุทาหรณ์ได้อีกครั้งว่าบนโลกออนไลน์ที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็วและแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ผู้รับสารยังคงต้องพึงระลึกว่ามีความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และอย่าคล้อยตามการกล่าวอ้างที่ดูสอดคล้องกับสถานการณ์และแชร์ไปทันโดยไม่กลั่นกรอง

ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความท้าทายของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถูกพาดพิง (บุคคลหรือองค์กร) ตลอดจนสำนักข่าวต่างๆ  ในการทำงานแข่งกับเวลาเพื่อตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข้อมูลลวงเหล่านั้นโดยเร็ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.livenowfox.com/news/ceo-hr-kiss-cam-coldplay (Coldplay kiss cam catches alleged affair between AI CEO and HR chief : Live Now Fox 17 ก.ค. 2568)

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_9855326 (พักงาน “ซีอีโอคบชู้” หลังคลิปคอนเสิร์ต Coldplay กลายเป็นไวรัลฉาวกระฉ่อนโลก (คลิป) : ข่าวสด 19 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.677Y7T3 (‘Fake’ Astronomer CEO statement circulates after viral Coldplay concert video : AFP 19 ก.ค. 2568)

https://edition.cnn.com/2025/07/19/business/andy-byron-astronomer-ceo-resigns (Astronomer CEO resigns after viral Coldplay concert incident : CNN 19 ก.ค. 2568)

https://www.linkedin.com/posts/astronomer_astronomer-is-committed-to-the-values-and-activity-7352044359338373121-Fwe5

https://www.linkedin.com/posts/astronomer_activity-7352912623987777536-4Xqr


หมอหัวใจเตือนอินฟลูฯอย่าทำให้คนไข้เสี่ยงด้วยข้อมูลผิด ๆ

ในช่วงที่ผ่านมา กระแสต่อต้านยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statin) ได้สร้างความสับสนในสังคม ด้วยข้อมูลที่ระบุว่ายานี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต และกล้ามเนื้อ ทำให้หลายคนสงสัยว่า ยาลดไขมันสแตตินเป็น “พระเอก” ที่ช่วยปกป้องหัวใจ หรือเป็น “ผู้ร้าย” ที่ก่อโทษต่อร่างกายกันแน่รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2568 ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดมาร่วมไขข้อข้องใจในประเด็นนี้ พร้อมเตือนอินฟลูเอนเซอร์ให้ระวังการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่ออันตรายจากการหยุดยาโดยไม่จำเป็น

รายการร่วมพูดคุยโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT , นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ (หมอหม่อง) หน่วยวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ คุณเมย์ คนเช็กข่าว โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

Statin : พระเอกที่ช่วยชีวิตหรือผู้ร้ายที่ต้องระวัง?

นพ.รังสฤษฎ์ หรือ “หมอหม่อง” อธิบายว่า Statin เป็นยาที่มีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ เช่น ผู้ที่เคยเจ็บหน้าอก ผ่าตัดบายพาส หรือใส่สเตนต์ ซึ่งยานี้ช่วยลดโอกาสการเกิดซ้ำได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ Statin ยังมีบทบาทในการลดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันและอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน

แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคหัวใจ การใช้ Statin จะพิจารณาจากระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไขมันเลว), อายุ, เพศ, การสูบบุหรี่, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, และน้ำหนักตัว ซึ่งสามารถคำนวณได้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Thai Cardiovascular Risk Score (Thai CV Risk Score) หากความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางถึงสูงการใช้ Statin จะถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

Statin ไม่ใช่ยาที่ใช้พร่ำเพรื่อ ทุกอย่างในวงการแพทย์ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และโทษ โดยอิงจากงานวิจัยที่ปราศจากอคติและหลักฐานเชิงประจักษ์” หมอหม่องย้ำ

โทษของ Statin : มีจริงแค่ไหน?

กระแสต่อต้านยา Statin มักอ้างถึงผลข้างเคียง เช่นอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อสลาย หรือผลกระทบต่อตับและไต หมอหม่องชี้แจงว่า ผลข้างเคียงเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่พบได้น้อยมาก:

– อาการปวดกล้ามเนื้อ : พบในผู้ป่วยประมาณ 10% ซึ่งสามารถจัดการได้โดยการปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนตัวยา

– กล้ามเนื้อสลาย : เป็นภาวะรุนแรง แต่พบเพียง 1-3 รายต่อแสนคน และแพทย์จะเฝ้าระวังด้วยการตรวจค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ (CPK)

– ผลต่อตับ: อาจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ป่วยราว 1% แต่ไม่รุนแรง และไม่มีผลกระทบต่อไตแต่อย่างใด

ถ้าความเสี่ยงของผู้ป่วยสูง เช่น มี LDL สูงมาก หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย การใช้Statin เป็นสิ่งจำเป็น เพราะโอกาสเกิดโรคหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบรุนแรงกว่าผลข้างเคียงมาก หมอหม่องกล่าว

หมอหัวใจติงอินฟลู: อย่าทำให้คนไข้เสี่ยงด้วยข้อมูลคลาดเคลื่อน

หมอหม่องแสดงความเห็นต่อกระแสต่อต้าน Statin ในโซเชียลมีเดียว่า การตั้งคำถามต่อยาเป็นเรื่องดีเพราะช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้และตระหนักถึงการรักษาแต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือน อาจทำให้ผู้ป่วยตัดสินใจหยุดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงร้ายแรง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ

“ผมอยากให้อินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึง Statin คุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าปล่อยให้ความเคลือบแคลงใจหรือข้อมูลที่ผิดพลาดทำให้คนไข้หวาดกลัวจนหยุดยา เพราะนั่นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง” หมอหม่องเตือน พร้อมแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่นเว็บไซต์ของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยหรือโรงพยาบาลของรัฐ

ทางเลือกอื่น: ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพียงพอหรือไม่?

คุณเมย์ คนเช็กข่าว ถามถึงความเป็นไปได้ในการลดไขมันเลว (LDL) โดยไม่ต้องพึ่งยา หมอหม่องยืนยันว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง แต่ในบางคนที่ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลมากเกินไปหรือกำจัดได้ไม่ดี (เช่น ผู้ที่มีภาวะ Familial Hypercholesterolemia) การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอาจลด LDL ได้เพียง 10-20% ซึ่งไม่เพียงพอในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง

“ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคุมอาหารดีแค่ไหน LDL ก็ยังสูง เพราะตับสร้างคอเลสเตอรอลมากเกินไป ในกรณีนี้ยาสแตตินจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยง” หมอหม่องอธิบาย

หยุดยา Statin ได้หรือไม่?

สำหรับคำถามที่ว่าสามารถหยุดยาสแตตินได้หรือไม่หมอหม่องระบุว่า ในกลุ่มป้องกันแบบปฐมภูมิ (คือไม่เคยเป้นโรคมาก่อน) หากผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนระดับ LDL ลดลงและความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำแพทย์อาจพิจารณาลดขนาดยาหรือหยุดยาได้ โดยต้องติดตามผลเลือดอย่างสม่ำเสมอ แต่ในกลุ่มที่เคยเป็นโรคหัวใจ (ป้องกันแบบทุติยภูมิ) การหยุดยาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคอย่างมาก จึงไม่แนะนำให้หยุด

ข้อแนะนำสำหรับประชาชน

– ตรวจสุขภาพเป็นประจำ : ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจวัดความดัน ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดอย่างน้อยปีละครั้ง

– ปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา : อย่าหยุดยาด้วยตนเองโดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ

– เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: ข้อมูลจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลของรัฐ หรือคณะแพทยศาสตร์ต่าง ๆ เป็นแหล่งที่เชื่อถือได้

– ระวังข้อมูลในโซเชียลมีเดีย: ข้อมูลที่แชร์ใน LINE หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ มักมีโอกาสผิดพลาดสูงถึง99% ควรตรวจสอบกับแพทย์หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

สรุป: Statin คือพระเอกเมื่อใช้อย่างถูกต้อง

นพ.รังสฤษฎ์ สรุปว่า สแตตินเป็น “พระเอก” ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจนับล้านคนทั่วโลก แต่การใช้ยาต้องเหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล หากใช้ในกลุ่มที่ไม่จำเป็น ผลข้างเคียงอาจมากกว่าประโยชน์การตัดสินใจใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์โดยพิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย

“Statin ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดเมื่อใช้อย่างถูกต้องอย่าปล่อยให้ความกลัวจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด” หมอหม่องทิ้งท้าย


‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?

By : Zhang Taehun

รู้แล้วจะช็อก! แค่เคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที ก็กลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น เตือนอีก 4 สิ่งก็น่ากลัว

ข้างต้นนี้คือข้อความที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์และถูกส่งเข้ามาสอบถามในระบบของ Cofact ซึ่งเมื่อลองนำไปสืบค้นก็พบว่ามีสำนักข่าวรวมถึงเว็บไซต์หลายแห่ง อ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 2568 โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA)

– งานวิจัยนั้นว่าอย่างไร? : ในวันที่ 25 มี.ค. 2568 เว็บไซต์ acs.org ของสมาคมเคมีอเมริกัน (American Chemical Society : ACS) สมาคมเก่าแก่ด้านวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ Chewing gum can shed microplastics into saliva, pilot study finds อ้างถึงผลการศึกษาของ สันชัย โมฮันตี (Sanjay Mohanty) หัวหน้านักวิจัยของโครงการและศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ของ UCLA และ ลิซ่า โลเว่ (Lisa Lowe) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ที่ร่วมกันค้นคว้าว่า จำนวนไมโครพลาสติกที่มนุษย์อาจได้รับจากการเคี้ยวหมากฝรั่งธรรมชาติและหมากฝรั่งสังเคราะห์นั้นมาก – น้อยเพียงใด

โลเว่ กล่าวว่า สมมติฐานเบื้องต้นของตนคือหมากฝรั่งสังเคราะห์จะมีไมโครพลาสติกมากกว่ามากเนื่องจากฐานเป็นพลาสติกประเภทหนึ่ง โดยหมากฝรั่งธรรมชาติจะใช้พอลิเมอร์จากพืช เช่น ยางไม้ หรือยางไม้ชนิดอื่นๆ เพื่อให้ได้ความเหนียวที่เหมาะสม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ใช้ส่วนผสมหลักที่ทำจากยางสังเคราะห์จากพอลิเมอร์ที่ผลิตจากปิโตรเลียม ดังนั้นวิธีการวิจัยจึงใช้หมากฝรั่งสังเคราะห์ 5 ยี่ห้อ และหมากฝรั่งธรรมชาติ 5 ยี่ห้อ ซึ่งทั้งหมดมีวางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด 

ขณะที่ โมฮันตี อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อลดปัจจัยมนุษย์จากรูปแบบการเคี้ยวและน้ำลายที่หลากหลาย จึงให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง 1 คนเคี้ยวหมากฝรั่งแต่ละยี่ห้อ ยี่ห้อละ 7 ชิ้น ผู้เข้าร่วมการทดลองเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลา 4 นาที โดยเก็บตัวอย่างน้ำลายทุกๆ 30 วินาที จากนั้นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันเป็นตัวอย่างเดียว 

และยังมีการทดลองอีกแบบหนึ่ง มีการเก็บตัวอย่างน้ำลายเป็นระยะๆ เป็นเวลา 20 นาที เพื่อดูอัตราการปล่อยไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่งแต่ละชิ้น จากนั้นนักวิจัยได้วัดจำนวนไมโครพลาสติกในน้ำลายแต่ละตัวอย่าง อนุภาคพลาสติกจะถูกย้อมเป็นสีแดงและนับจำนวนด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Fourier-transform infrared spectroscopy ที่ตรวจหาสารเคมีจากการที่มันดูดซึมหรือคายรังสีอินฟราเรด ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของพอลิเมอร์ด้วย

โลเว่วัดปริมาณไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาโดยเฉลี่ย 100 ชิ้นต่อหมากฝรั่ง 1 กรัม แม้ว่าหมากฝรั่งบางชิ้นจะปล่อยไมโครพลาสติกออกมามากถึง 600 ชิ้นต่อกรัม หมากฝรั่งโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักระหว่าง 2 ถึง 6 กรัม ซึ่งหมายความว่าหมากฝรั่งชิ้นใหญ่สามารถปล่อยอนุภาคพลาสติกออกมาได้มากถึง 3,000 ชิ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงประเมินว่า หากคนทั่วไปเคี้ยวหมากฝรั่งแท่งเล็ก 160 – 180 ชิ้นต่อปี อาจส่งผลให้มีไมโครพลาสติกที่กินเข้าไปประมาณ 30,000 ชิ้น หากคนทั่วไปบริโภคไมโครพลาสติกหลายหมื่นชิ้นต่อปี การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจเพิ่มปริมาณไมโครพลาสติกที่กินเข้าไปได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตจากการทดลองนี้ว่า น่าแปลกที่หมากฝรั่งทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติมีไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาในปริมาณที่ใกล้เคียงกันเมื่อเคี้ยว และหมากฝรั่งทั้งสองชนิดนี้ยังมีพอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน ได้แก่ โพลีโอเลฟิน โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต โพลีอะคริลาไมด์ และโพลีสไตรีน พอลิเมอร์ที่พบมากที่สุดในหมากฝรั่งทั้งสองประเภทคือโพลีโอเลฟิน ซึ่งเป็นกลุ่มพลาสติกที่ประกอบด้วยโพลีเอทิลีนและโพลีโพรพิลีน

ไมโครพลาสติกส่วนใหญ่หลุดออกจากหมากฝรั่งภายใน 2 นาทีแรกหลังการเคี้ยว แต่โมฮันตีกล่าวว่าไมโครพลาสติกไม่ได้หลุดออกมาเพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยสลาย แต่การเคี้ยวนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนมากพอที่จะทำให้ชิ้นส่วนหลุดลอกออกไป และหลังจากเคี้ยวไป นาที อนุภาคพลาสติกที่เก็บรวบรวมได้ระหว่างการทดสอบถึงร้อยละ 94 ถูกปล่อยออกมา ดังนั้น โลเว่จึงแนะนำว่า หากต้องการลดความเสี่ยงในการสัมผัสไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่ง ก็ให้เคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นเดิมนั้นให้นานขึ้นหนึ่งชิ้นแทนการรีบหยิบหมากฝรั่งชิ้นใหม่มาเคี้ยว (they chew one piece longer instead of popping in a new one.) 

ถึงกระนั้น โมฮันตี ก็ย้ำว่า เป้าหมายของ การวิจัยนี้ไม่ใช่การทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อเราหรือไม่ ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์ แต่รับรู้ว่าเราสัมผัสกับพลาสติกในชีวิตประจำวัน และนั่นคือสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ โดยการศึกษาในสัตว์ทดลองและการศึกษาในเซลล์มนุษย์แสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกอาจก่อให้เกิดอันตราย ดังนั้น ในขณะที่เรารอคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากชุมชนวิทยาศาสตร์ บุคคลทั่วไปสามารถดำเนินการเพื่อลดการสัมผัสไมโครพลาสติกได้

นักวิจัยยังกล่าวด้วยว่า การศึกษานี้จำกัดอยู่แค่การระบุไมโครพลาสติกที่มีความกว้าง 20 ไมโครเมตรหรือใหญ่กว่า เนื่องจากเครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ ซึ่งโมฮันตี กล่าวว่า มีแนวโน้มว่าไม่พบอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กกว่าในน้ำลาย และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการปล่อยพลาสติกขนาดนาโนจากหมากฝรั่ง

พลาสติกที่หลุดออกมาในน้ำลายเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของพลาสติกที่อยู่ในหมากฝรั่ง ดังนั้น โปรดใส่ใจสิ่งแวดล้อม และอย่าทิ้งมันออกไปข้างนอกหรือติดไว้บนผนังหมากฝรั่ง หากไม่ทิ้งหมากฝรั่งที่ใช้แล้วอย่างถูกต้อง หมากฝรั่งที่ใช้แล้วก็จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งมลพิษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โมฮันตี ให้บทสรุปของการวิจัยครั้งนี้ 

ข้อมูลจาก acs.org ยังระบุด้วยว่า งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก UCLA และโครงการ Maximizing Access to Research Careers ของมหาวิทยาลัยฮาวาย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสภาคุ้มครองแคลิฟอร์เนีย (California Protection Council) และวิธีการทดลองของงานวิจัยนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการตรวจสอบภายในของ UCLA  

ประมาณเกือบ 1 เดือนให้หลัง เว็บไซต์ newsroom.ucla.edu ช่องทางประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เผยแพร่ข่าว Bursting your bubble: Chewing gum releases microplastics into your saliva, UCLA research shows ในวันที่ 22 เม.ย. 2568 กล่าวถึงงานวิจัยข้างต้นของสันชัย โมฮันตี และ ลิซ่า โลเว่  ด้วยเช่นกัน

– ไมโครพลาสติกคืออะไร? : ข้อมูลจาก กรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า ไมโครพลาสติก (Microplastics) คือ อนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร มักเกิดจากการย่อยสลายหรือแตกหักของขยะพลาสติกขนาดใหญ่ หรือเกิดจากพลาสติกที่มีการสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ส่วนใหญ่มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี หรือบางครั้งมีรูปร่างไม่แน่นอน

1. Primary microplastics เป็นพลาสติกที่ถูกผลิตให้มีขนาดเล็กมาตั้งแต่ต้น เพื่อการใช้ประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น เม็ดพลาสติกที่นำมาใช้เป็นวัสดุตั้งต้นของการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก (Plastic pellet) เม็ดพลาสติกที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เครื่องสำอาง หรือยาสีฟัน (Plastic scrub) ซึ่งมักเรียกกันว่า ไมโครบีดส์ (Microbeads) หรือเม็ดสครับ ไมโครพลาสติกประเภทนี้สามารถแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลจากการทิ้งของเสียโดยตรงจากบ้านเรือนสู่แหล่งน้ำและไหลลงสู่ทะเล

2. Secondary microplastics เป็นพลาสติกที่เกิดจากพลาสติกที่มีขนาดใหญ่ หรือไมโครพลาสติก (Macroplastic) ซึ่งสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานานเกิดการย่อยสลายหรือแตกหัก โดยกระบวนการย่อยสลายพลาสติกขนาดใหญ่ให้กลายเป็นพลาสติกขนาดเล็กนี้สามารถเกิดได้ทั้งกระบวนการย่อยสลายที่เกิดจากแรงกระทำ(Mechanical degradation) 

กระบวนการย่อยสลายทางเคมี (Chemical degradation) กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ (Biological degradation) และกระบวนการย่อยสลายด้วยแสงอาทิตย์ ((UV degradation) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้สารแต่งเติมในพลาสติกหลุดออก ส่งผลให้โครงสร้างของพลาสติกเกิดการแตกตัวจนมีขนาดเล็ก กลายเป็นสารแขวนลอยปะปนอยู่ในแม่น้ำและทะเล

– ข้อกังวลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ :  ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า ปัจจุบันไมโครพลาสติกกลายเป็นปัญหามลพิษทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั่วโลก เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ทำให้ยากต่อการเก็บและการกำจัด รวมถึงมีคุณสมบัติที่คงสภาพ ย่อยสลายได้ยาก เมื่อมีการระบายน้ำที่ผ่านการบำบัดน้ำเสียลงสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อน แพร่กระจาย สะสม และตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ง่าย โดยการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมทางทะเลพบได้ทั้งในน้ำ และตะกอนดิน 

หากสิ่งมีชีวิตในทะเลกินเอาไมโครพลาสติกเข้าไป ทำให้เกิดการสะสมในห่วงโซ่อาหาร (Food chain) และสามารถถ่ายทอดไปตามลำดับขั้นของการบริโภคอาหารในระบบนิเวศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีรายงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อร่างกายในสัตว์ที่กินเม็ดไมโครพลาสติกเข้าไป เช่น การทำลายเนื้อเยื่อหลอดเลือด และมีผลกระทบต่อระบบหัวใจ อีกทั้ง ยังมีรายงานเกี่ยวกับสารที่เป็นองค์ประกอบและพบการปนเปื้อนอยู่ในไมโครพลาสติกมักเป็นสารพวกโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs) ดีดีที (DDT) และไดออกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานไมโครพลาสติกก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ จากการได้รับผ่านทางห่วงโซ่อาหาร ซึ่งนักวิจัยทั่วโลกกำลังศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการสะสมของสารพิษ และการถ่ายทอดของสารปนเปื้อนในไมโครพลาสติกสู่มนุษย์ รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องในอนาคต และจากผลกระทบข้างต้น วิธีการหนึ่งที่ทุกคนสามารถช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกไม่ให้แพร่กระจายในสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ คือ การสร้างจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันให้น้อยลง

ในวันที่ 23 ก.พ. 2568 พ.ญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ไมโครพลาสติก(MPs) เป็นผลมาจากการใช้พลาสติก จากผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติก หรือมีส่วนประกอบของพลาสติก ซึ่งได้แฝงตัวอยู่รอบตัว และพบได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว นั้น จากรายงานวิจัยของไทย พบว่า น้ำนมแม่จะตรวจพบไมโครพลาสติกจากห้องทดลอง แต่ยังน้อยกว่าการดื่มนมจากขวด ที่ผ่านความร้อนสูงจากการทำความสะอาดขวดนมและวิธีการเตรียมนม ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ทำให้แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีความกังวลว่าไมโครพลาสติกอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อของทารก แต่ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวและปริมาณที่ได้รับและก่อให้เกิดอันตรายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย

ไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการรับประทาน การสัมผัสเพราะมันสามารถปนอยู่ในอาหาร น้ำดื่ม เครื่องสำอาง  การใช้พลาสติกที่ทำให้เกิดไมโครพลาสติก จะละลายอยู่ในน้ำหรืออาจจะปนอยู่กับบรรจุภัณฑ์สำหรับเลี้ยงลูกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน หรือมีคุณภาพดีพอ รวมถึงมลพิษทางอากาศจากการสูดดมเข้าไป หรือปนผ่านเครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ 

นอกจากนี้ แม่ที่อยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แม่ที่อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม ปศุสัตว์หนาแน่น ซึ่งอาจจะมีไมโครพลาสติกปะปนได้สูง หากไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายแม่แล้ว อาจมีโอกาสที่จะเข้าสู่กระแสเลือด หรือเนื้อเยื่อต่างๆ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบข้อมูลชัดเจนว่าไมโครพลาสติกพบในนมแม่ได้อย่างไร หรืออาจเกิดจากการที่ไมโครพลาสติกปนอยู่ในภาชนะเก็บน้ำนมที่ให้เด็กกิน จึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกสามารถขับออกจากร่างกายได้ผ่านปัสสาวะ และเหงื่อได้” 

เว็บไซต์ newsroom.heart.org ของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา รายงานข่าว Living near an ocean polluted by microplastics may increase cardiometabolic disease risk อ้างผลการศึกษาของ ซาร์จู กานาตรา (Sarju Ganatra) ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ด้านความยั่งยืน รองประธานฝ่ายวิจัยภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ลาเฮย์ ในเมืองเบอร์ลิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และประธานบริษัท Sustain Health Solutions ที่พบว่า การอาศัยอยู่ในเขตชายฝั่งของสหรัฐฯ ที่ติดกับน่านน้ำทะเลซึ่งมีปริมาณไมโครพลาสติกเข้มข้นสูงมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับระบบการเผาพลาญพลังงานของร่างกาย(Cardiometabolic Diseases) เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้มีข้อจำกัดหลายประการ ประการแรก ความสัมพันธ์กับไมโครพลาสติกเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลระดับเขตมากกว่าข้อมูลรายบุคคล การศึกษาประเภทนี้ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลกระทบระหว่างระดับไมโครพลาสติกในมหาสมุทรใกล้เคียง (วัดเฉพาะในน้ำเท่านั้น ไม่ได้วัดในปลาหรือพืช) กับการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับระบบการเผาพลาญพลังงานของร่างกายซึ่ง กานาตรา กล่าวว่า คณะผู้วิจัยไม่ได้วัดระดับพลาสติกในประชากรในเขตเหล่านี้ และเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าอนุภาคเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้อย่างไร ดังนั้นแม้ผลการวิจัยจะน่าสนใจ แต่ก็ควรเป็นข้อเรียกร้องให้มีการวิจัยเชิงลึกมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อสรุปผลที่ชัดเจน

บทสรุปของเรื่องนี้ : ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ข้อมูลเรื่องเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที จะได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น มาจากงานวิจัยที่มีอยู่จริง ซึ่งผู้วิจัยคาดหวังให้สังคมเกิดความตระหนักในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง กับ 2.ผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพยังไม่มีหลักฐานความเกี่ยวโยงที่ชัดเจนและเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเชิงลึกกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://cofact.org/article/2h2ysds5qmdgt

https://www.sanook.com/news/9813294/ เตือนช็อก 5 แหล่งซ่อนเร้น “ไมโครพลาสติก” แค่เคี้ยวหมากฝรั่งก็ “กลืน” ไปหลายพันชิ้น! (Sanook.com 9 ก.ค. 2568)

https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1187640 (คิดให้ดีก่อนเคี้ยว หมากฝรั่งดีหรือร้ายต่อสุขภาพของเรา? : กรุงเทพธุรกิจ 2 ก.ค. 2568)

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1172787 (‘หมากฝรั่ง’ มี ‘ไมโครพลาสติก’ เคี้ยวแต่ละที กลืนพลาสติกนับพัน : กรุงเทพธุรกิจ 26 มี.ค. 2568)

https://www.acs.org/pressroom/presspacs/2025/march/chewing-gum-can-shed-microplastics-into-saliva-pilot-study-finds.html (Chewing gum can shed microplastics into saliva, pilot study finds : ACS 25 มี.ค. 2568)

https://newsroom.ucla.edu/releases/bursting-your-bubble-chewing-gum-releases-microplastics-into-your-saliva-ucla-research-shows (Bursting your bubble: Chewing gum releases microplastics into your saliva, UCLA research shows : UCLA Newsroom 22 เม.ย. 2568))

http://otop.dss.go.th/index.php/knowledge/interesting-articles/273- (ไมโครพลาสติก (Microplastics) คืออะไร : ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินคเา OTOP กรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/250268/ (กรมอนามัย แจง ไมโครพลาสติกสามารถพบได้ ร่างกายขับออกได้เอง ชี้ พบในนมแม่น้อยมาก : กรมอนามัย 25 ก.พ. 2568)

https://newsroom.heart.org/news/living-near-an-ocean-polluted-by-microplastics-may-increase-cardiometabolic-disease-risk (Living near an ocean polluted by microplastics may increase cardiometabolic disease risk : haert.org 18 มิ.ย. 2568)

ภาพประกอบบทความ https://www.acs.org/pressroom/presspacs/2025/march/chewing-gum-can-shed-microplastics-into-saliva-pilot-study-finds.html


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 กรกฎาคม 2568

คนไทยติดเชื้อ HIV 6 แสนคน เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dfellz92j6en


ผลิตภัณฑ์ OlyLife THz Tera-P90 เครื่องนวดบำบัดอัจฉริยะ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3sc6921ikwku7#_=_


อายุไม่เกิน 26 ปี ฉีดวัคซีน HPV ฟรี!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


เชื้อวิบริโอแฝงตัวในหอยนางรมดิบ ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักทั่วไทย 19 – 24 กรกฎาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24rn3guii4728


อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ปิดการท่องเที่ยวและพักแรมประจำปี 1สค.-30กย.68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8uwa96o4x66q


ลาคลอดได้ 120 วัน สามีลาช่วยเลี้ยงลูกได้ 15 วัน นายจ้างต้องจ่ายเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vko1hgvsb3wt


เตือนภัยโรคบาดทะยัก เด็ก 8 ขวบป่วยหนักหลังฉีดวัคซีนไม่ครบ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


การที่เราดื่มชาเขียวมากเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25b2xcwifooj9


คู่รักสูงวัยถูกหลอกใน‘มาเลเซีย’ เดินทางไกลไปขึ้นกระเช้าที่ไม่มีอยู่จริง – พบแค่คลิปโปรโมทด้วย‘AI’…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hejjqmlfz290


ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า มีสารก่อมะเร็ง …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


แค่เคี้ยวหมาก ฝรั่ง 8 นาทีก็ “กลืน” ไมโคร พลาสติกหลาย พันชิ้น เตือนอีก 4 สิ่งก็น่ากลัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vzfqohgm27zk