ระวังข่าวลวง! เปิดความจริงท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศตอนที่ 14 โดยมีนายสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, นายสุผจญ กลิ่นสุวรรณผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐ และนายบัญชา จันทร์สมบูรณ์จากกองบรรณาธิการโคแฟค เพื่อถกประเด็นข่าวลวงที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาพร้อมแนะแนวทางรับมือเพื่อให้ประชาชนตั้งสติและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

นางสาวสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งสติท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ล้นทะลักโดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาซึ่งแม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ข่าวลือและข้อมูลบิดเบือนยังคงสร้างความสับสนทั้งในหมู่ประชาชนไทยและกัมพูชา เธอชี้ว่า ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องบิดเบือนเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพื่อลดความเกลียดชังและความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เธอยังยกตัวอย่างปรากฏการณ์ “ปีงู” ที่แสดงถึงความร้อนแรงในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ศาสนา หรือการทหาร ทั้งนี้ แม้จะรักชาติแต่ก็ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และเน้นย้ำบทบาทของสื่อมวลชนที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

สุผจญ กลิ่นสุวรรณ: ประสบการณ์ลงพื้นที่และความท้าทายในการแปล

นายสุผจญ เล่าประสบการณ์การลงพื้นที่สัมภาษณ์คณะผู้แทนจากอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งรวมถึงทูตเยอรมันและตัวแทนจากองค์กร Golden West ที่ทำงานด้านการกู้ระเบิด เขายกตัวอย่างกรณีคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกนำไปตัดต่อและแชร์ในกัมพูชา จนกลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิว 4.3 ล้านครั้ง พร้อมข้อความโจมตีว่าเขาเป็น “ขี้ขโมย” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงปัญหาการแปลข้อมูลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะกรณีการสัมภาษณ์คณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับระเบิดที่พบในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคำว่า “new” (ใหม่) ถูกตีความผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นระเบิดที่ฝังใหม่ สร้างความสับสนในวงกว้าง เขาเน้นย้ำว่า ความละเอียดอ่อนในการแปลและการรายงานข่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายสุผจญ ยังเปรียบเทียบเสรีภาพสื่อระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านเสรีภาพสื่อ โดยติมอร์ – เลสเต อยู่อันดับ 1 ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับ 9 จาก 180 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงข้อจำกัดของสื่อกัมพูชาที่ถูกควบคุมผ่านนโยบาย Single Gateway ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากกัมพูชาในเวทีสากลลดลง เขาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวและหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อป้องกันการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

(หมายเหตุ : เป็นการจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน – RSF ในรายงาน World Press Freedom Index 2025 อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ติมอร์ – เลสเตยังเป็นเพียงว่าที่สมาชิกอาเซียนเท่านั้น โดยจะมีการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในเดือน ต.ค. 2568 ในการประชุม ASEAN Summit ที่มาเลเซีย)

บัญชา จันทร์สมบูรณ์: ตรวจสอบข่าวลวงด้วยเครื่องมือดิจิทัล

นายบัญชา แบ่งปันประสบการณ์การตรวจสอบข่าวลวง โดยยกตัวอย่างกรณีคลิปที่อ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดน แต่เมื่อตรวจสอบด้วยGoogle Lens พบว่าเป็นเหตุการณ์ในอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสถานบันเทิงที่พัวพันกับยาเสพติดอีกกรณีคือคลิปที่อ้างว่าเป็นรถถังกัมพูชาระเบิด แต่แท้จริงแล้วมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษตั้งแต่ปี 2567 เขาอธิบายว่า การตรวจสอบภาพและคลิปที่มีแคปชั่นซับซ้อนอาจใช้เวลานานถึงครึ่งวันหรือมากกว่า และแนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพหรือคลิปก่อนแชร์นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงความท้าทายในยุค AI ที่ข่าวลวงถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่แนบเนียนมากขึ้น จึงอยากได้เครื่องมือตรวจสอบที่ตามทันมากขึ้น

นายบัญชายังยกบทความจากนิตยสาร The Diplomat ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา ซึ่งระบุว่าสื่อกัมพูชาขาดเสรีภาพและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งมีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสำนักข่าวระดับโลกตั้งสำนักงานอยู่ ส่งผลให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือในเวทีสากลมากกว่า

จากประเด็นที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอ สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือข่าวลวงได้ดังนี้:

1. ตั้งสติก่อนแชร์ : ประชาชนควรรอตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีอารมณ์ชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น

2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Google Lens หรือเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพและคลิป โดยเฉพาะเมื่อมีแคปชั่นที่อาจบิดเบือนความจริง

3. ยึดข้อเท็จจริง : สื่อมวลชนต้องรายงานตามคำให้การของแหล่งข่าวอย่างตรงไปตรงมา และระบุชัดเจนหากข้อมูลยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

4. เพิ่มความรอบคอบในการแปล : ในสถานการณ์ระหว่างประเทศ การแปลข้อมูลต้องคำนึงถึงบริบทและความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง

5. ส่งเสริมเสรีภาพสื่อ : สนับสนุนให้สื่อในภูมิภาคอาเซียนยกระดับความเป็นมืออาชีพและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายของข่าวลวงในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา วิทยากรทั้งสามเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมกันตั้งสติ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้รักษาเสรีภาพสื่อและเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงาน เพื่อให้สังคมยึดมั่นในข้อเท็จจริงและลดผลกระทบจากข้อมูลบิดเบือน


เอ๊ะ!! ยังไง? ‘อยู่จังหวัดที่ประกาศแต่ไม่ได้-ได้แต่ข้อความภาษาอังกฤษ’

เสียงสะท้อนถึงระบบ ‘Cell Broadcast’พายุคาจิกิ

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 ตัวอย่างข้อความแจ้งเตือนพายุ าจิกิ (Kajiki)” เป็นภาษาอังกฤษ (2 ภาพซ้าย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาษาไทย (2 ภาพขวา ภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568

ตามข้อความในภาพข้างบนที่ปรากฎในโทรศัพท์มือถือของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 24 ส.ค. 2568 แปลและสรุปความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้ว่า ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ริมตลิ่ง ที่ลาดเชิงเขา ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวขอให้ยกสิ่งของขึ้นที่สูง ย้ายสมาชิกในครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางไปอยู่ในที่ปลอดภัย และเตรียมการอพยพหากจำเป็น โดยอ้างถึงพายุ คาจิกิ (Kajiki) และลงท้ายด้วย “DDPM” ซึ่งก็ทำให้หลายคนตื่นตกใจ รวมถึงบ้างก็สงสัยว่าเป็นการส่งข้อความจากมิจฉาชีพเพื่อทำกลอุบายหลอกลวงเหยื่อหรือไม่ 

แจ้งเตือนจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพ

โคแฟคได้ตรวจสอบไปที่เพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM” ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการแจ้งเตือนจริง” โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ปภ.ได้แชร์โพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนกำลังแรง คาจิกิ บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ห่างจากเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 570 กม. กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกด้วยความเร็ว 20 กม./ชม.(ช้าลงเล็กน้อย) 

กรมอุตุฯได้ชี้แจงว่า พายุนี้มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นได้อีก เมื่อเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับหลังจากเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ช่วงวันที่ 25 -26 ส.ค. 2568 อิทธิพลของพายุ คาดว่าจะทำให้ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคอีสานตอนบน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรงยังต้องติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ สถานการณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลง

ในโพสต์ต่อมา ปภ. ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ที่ห้องประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ของปภ. นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังพายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ช่วงวันที่ 24 – 27 ส.ค. 2568 โดยนายสหรัฐ กล่าวว่า ปภ. ได้ทำการแจ้งให้ประชาชนให้ทราบและเตรียมพร้อมรับมือกับพายุคาจิกิ และได้เตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง” เพื่อให้รับทราบสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และจะได้สามารถอพยพกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที

จากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของ ปภ. ระบุเริ่มส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast จำนวน 4 โพสต์ โดย โพลต์แรก ระบุพื้นที่เสี่ยง 17 จังหวัดภาคเหนือ คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์และอุทัยธานี , โพสต์ที่สอง ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) คือ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมาและอุบลราชธานี, โพสต์ที่สาม ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก คือ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ และ โพสต์ที่สี่ ระบุพื้นที่เสี่ยง 5 จังกวัดในภาคใต้ คือ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ตและกระบี่ ทั้งนี้ จังหวัดที่ถูกระบุในทั้ง 4 โพสต์ดังกล่าว จะมีข้อความลงท้ายด้วยว่าให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด และในช่วงเวลาเดียวกัน สื่อมวลชน อาทิ ไทยรัฐ , TNN , The Nation เป็นต้น ได้เริ่มรายงานข่าวแล้ว

– ประชาชนงงจังหวัดเดียวกัน เหตุใดบางคนได้รับข้อความแจ้งเตือนแต่บางคนม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากเข้าไปดูความคิดเห็น (Comment) ในเพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM ของ ปภ. ในโพสต์ซึ่งระบุจังหวัดที่ ปภ. แจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่านระบบ Cell Broadcast จะพบเสียงสะท้อนจากประชาชนบางส่วนว่าตนเองไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือน แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ถูกประกาศว่าจะมีการแจ้งเตือนก็ตาม เช่น บางคนบอกว่าคนรอบข้างได้รับข้อความกันหมดแต่ตนเองไม่ได้ ขณะที่มีบางความเห็นพยายามช่วยเหลือด้วยการแนะนำวิธีเปิดระบบแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือ ตามที่สื่อและหน่วยงานต่างๆ เคยแนะนำไว้หลังเกิดกรณีประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา

ภาพ 02 เสียงสะท้อนจากประชาชน กรณีเตือนพายุคาจิกิ 

– อีกหนึ่งข้อข้องใจบางคนได้เฉพาะภาษาไทย บ้างได้เฉพาะภาษาอังกฤษ หรือบ้างก็ได้ทั้ง 2 ภาษา : แม้หลายคนจะได้รับข้อความแจ้งเตือน (ดังตัวอย่างในภาพนี้) แต่ในเพจของ ปภ. วันที่ 24 ส.ค. 2568 นับตั้งแต่เมื่อเริ่มทยอยส่งข้อความแจ้งเตือน ก็มีเสียงสะท้อนอยู่บ้างว่ามีบางคนได้รับเฉพาะภาษาไทย หรือเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast เฉพาะภาษาอังกฤษ ก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องผู้รับที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนทั้ง 2 ภาษา ก็อยากให้เรียงจากภาษาไทยก่อนแล้วค่อยตามด้วยภาษาอังกฤษ 

นอกจากเพจของ ปภ. เองแล้ว จากที่สำรวจเพจสำนักข่าวและอื่นๆ ที่พูดถึงเรื่องการแจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่าน Cell Broadcast พบความเห็นส่วนใหญ่ระบุว่าได้รับข้อความแจ้งเตือน โดยมีรายงานเริ่มได้รับตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น. แต่ก็มีเสียงสะท้อนเช่นเดียวกัน คือบางคนไม่ได้แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ประกาศแจ้งเตือน หรือบางคนก็ได้เฉพาะข้อความภาษาอังกฤษ รวมถึงบ้างก็ตกใจในทีแรกเพราะเข้าใจว่าเป็นมิจฉาชีพ  

จึงขอฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสียงสะท้อนเหล่านี้ไปปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้ดีขึ้นเพื่อป้องกันความสับสนและให้ประชาชนในพื่นที่เสี่ยงได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนเพื่อเตรียมตัวป้องกันได้ทันท่วงที!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/DDPMNews/posts/pfbid0JVXURNnBNUr95jbqU6i6uT44fx2hfNCmTH8EtBbRr6hPfAzk9vR1nxQoFc9LXozdl?rdid=1AlNen5twA4Vs2UM# (กรมอุตุนิยมวิทยาอัปเดตสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนเช้าตรู่วันนี้ (24/8/68) : ปภ.แชร์โพสต์จากกรมอุตุฯ)

https://www.facebook.com/share/p/1D5HapAXMH/ (ปภ.ประชุมติดตามสถานการณ์พายุ“คาจิกิ” กำชับพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังรับมือสถานการณ์ พร้อมส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำการพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า และเตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง) 

https://www.facebook.com/share/p/16pXf46Xsy/ (โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 17 จังหวัดภาคเหนือ)

https://www.facebook.com/share/p/15DpS2JfnA/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคอีสาน)

https://www.facebook.com/share/p/1BHnpC9bef/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคกลางและตะวันออก)

https://www.facebook.com/share/p/1EwXyG8pft/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 5 จังหวัดภาคใต้)

https://www.thairath.co.th/news/local/2878505 (ปภ.ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือนพายุ “คาจิกิ” เช็ก 15 จังหวัดเตรียมรับมือ : ไทยรัฐ 24 ส.ค. 2568) 

https://www.tnnthailand.com/earth/209194/ (ปภ. ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือน “พายุคาจิกิ” 17 จังหวัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก : TNN 24 ส.ค. 2568) 

https://www.nationthailand.com/news/general/40054443 (DDPM issues cell broadcast alerts to 15 provinces as storm Kajiki brings risk of flash floods, run-offs, and heavy rain from August 24–27. : The Nation 24 ส.ค. 2568)

https://www.scira.kmitl.ac.th/5101/ (Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว : สำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สจล.)

https://ndwc.disaster.go.th/ndwc/cms/7017?id=130360 (ปักหมุดวันทดสอบแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast : ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ  29 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=979311737714551&set=a.243987694580296 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. 27 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1131116305717372&set=a.976089214553416 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : NBT Connext 28 เม.ย. 2568)

ภาพ 03 วิธีเปิดรับการแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast 

ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก “NBT Connext’ ของสถานีโทรทัศน์ NBT กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 28 เม.ย. 2568): บทความ “Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว เขียนโดย กฤษฎา แก้ววัดปริง ที่ปรึกษาสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) อ้างถึงเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนประชาชน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เหตุร้ายในพื้นที่สาธารณะ และอื่นๆ อีกมากมาย 

“Cell Broadcast เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ออกแบบมาเพื่อส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องทราบเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เทคโนโลยีนี้ทำงานผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Towers) จึงสามารถส่งข้อความพร้อมกันในวงกว้างได้ภายในไม่กี่วินาที แม้ในสถานการณ์ที่เครือข่ายโทรศัพท์อาจมีการใช้งานหนาแน่น ความพิเศษของ Cell Broadcast อยู่ที่การทำงานแบบ One-to-Many คือสามารถส่งข้อความเดียวไปถึงผู้ใช้จำนวนมากพร้อมกัน ต่างจากการส่ง SMS ทั่วไปที่เป็นแบบ One-to-One ทำให้ไม่เกิดความล่าช้าหรือคอขวดในการส่งข้อความ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความดังกล่าว อธิบายการทำงานของ Cell Broadcast 

ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 เว็บไซต์ ndwc.disaster.go.th ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ แจ้งว่าจะมีการทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast 3 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับเล็ก (ภายในอาคาร) ใน 5 พื้นที่ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี ศาลากลางจังหวัดสงขลา และอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคาร A และอาคาร B กรุงเทพมหานคร ในวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. 

2.ระดับกลาง (ระดับอำเภอ) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครราชสีมา จ. นครราชสีมา อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 7 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. และ 3.ระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ จ.อุดรธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร ในวันอังคารที่ 13 พ.ค. 68 เวลา 13.00 น.

ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 27 เม.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.’ ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โพสต์ภาพอินโฟกราฟิก แนะนำวิธีการเปิดรับการแจ้งเตือนระบบ Cell Broadcast ดังนี้ 

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบ iOS” 1.ไปที่หน้าหลักเลือก ตั้งค่า (Settings) 2.เลือก ทั่วไป (General) 3.เลือก เกี่ยวกับ (About) 4.รอสักครู่ ระบบจะอัปเดตให้โดยอัตโนมัติ เมื่อมีข้อความเด้งขึ้นมา กด”ตกลง” 5.กลับไปยังหน้า การตั้งค่า เลือก การแจ้งเตือน 6.เลื่อนลงมาด้านล่างสุด จะพบหัวข้อ TH-ALERT (ติดตั้ง iOS 18 ขึ้นไป และ ไม่รองรับ iPhone X หรือเก่ากว่า) ผู้ให้บริการเวอร์ชันล่าสุด คือ AIS 63.0.1, TRUE 63.0.1 และ DTAC 63.0.1

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์ 1.ไปที่ การตั้งค่า (Setting) เลือก >> ความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน (Safety and emergency) เลือก >> แจ้งเตือนฉุกเฉินไร้สาย (Earthquake alerts) 2.เลื่อน เปิด “ อนุญาตการแจ้งเตือน ” 3.เลื่อน เปิด การแจ้งเตือน “ทุกเมนู” จะดีที่สุด (Android ติดตั้งเวอร์ชัน 12 ขึ้นไป) โดยหลังจากนั้นมีสำนักข่าวหลายแห่งได้นำไปเผยแพร่ต่อ


ผู้เชี่ยวชาญระบุ ไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้ตอนนอน เกิดขึ้นได้จริงจากหลายปัจจัย

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาเตือนภัยจากการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ขณะนอนหลับว่าเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์ โดยนักวิชาการด้านวิศวกรรมไฟฟ้าระบุว่าเนื้อหานี้ “เป็นจริง” แต่การเกิดไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชารจ์แบตเตอรีอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะการชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับเท่านั้น

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 6 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Abdulhakim Maming” โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพโทรศัพท์มือถือเกิดเปลวไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบตเตอรีไว้ข้างเตียงนอน พร้อมคำบรรยายว่า “อันตรายจากการชาร์จโทรศัพท์ตอนนอน” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม ส่วนภาพวิดีโอประกอบน่าจะเป็นภาพที่สร้างขึ้นจากเอไอ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง ณ วันที่โคแฟคตรวจสอบ (26 ส.ค. 2568) คลิปนี้ถูกแชร์ไปแล้วมากกว่า 6,100 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า เหตุไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตเตอรีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน ไม่ใช่เพียงเพราะเสียบสายชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับ

ดร.สุพรรณอธิบายว่า โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันใช้แบตเตอรีลีเธียม-ไอออน (Lithium-ion: Li-ion) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีคือมีความหนาแน่นในการเก็บพลังงานที่สูง มีน้ำหนักเบาและไม่มีปัญหา “memory effect” (แบตเตอรีถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรีไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่เคยเก็บไว้ได้ แบตเตอรีจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว) แบตเตอรีของโทรศัพท์มือถือรุ่นปัจจุบันจึงสามารถชาร์จเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องรอให้แบตเตอรีหมดเหมือนอย่างแบตเตอรีนิกเกิล-แคดเมียม (Nickel-Cadmium: Ni-Cd)

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรีลีเธียม-ไอออนจะมีความไวต่อความร้อนสูง กระบวนการทางเคมีภายในของแบตเตอรีจากการชาร์จจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งหากมีความร้อนสะสมมากเกินไปและควบคุมไม่ได้จนเกิด Thermal Runaway ก็จะทำให้เกิดการลุกไหม้ระเบิดขึ้นได้ 

นอกจากนี้ สาเหตุประกอบที่ทำให้เกิดไฟไหม้โทรศัพท์มือถือ ได้แก่ การใช้หัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน การเสื่อมตามอายุหรือการตกกระแทก การชาร์จในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเช่น ตากแดด มีการใช้งานหนักขณะชาร์จ เช่น เล่นเกม และการชาร์จใต้หมอน ฟูก หรือที่นอน 

ดร.สุพรรณเตือนว่า แม้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบจำกัดไฟป้องกันการ overcharged ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ต่ำลง หรือแม้จะใช้หัวชาร์จ สายชาร์จและแบตเตอรีของแท้จากผู้ผลิต แต่การเสียบชาร์จทิ้งไว้ขณะนอนหลับในเวลากลางคืนก็ไม่ถือว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากระบบป้องกันนั้นไม่ทำงานในขณะที่ผู้ใช้งานนอนหลับก็อาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือระงับเหตุได้ทัน เพราะการลุกไหม้ของแบตเตอรีมีความรุนแรงและรวดเร็วมาก 

ที่ผ่านมามีรายงานเหตุไฟไหม้จากการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแบตเตอรีโดยไม่ได้มาตรฐาน หรือจากการใช้แบตเตอรีที่เก่าและเสื่อมสภาพ หรือมีความเสียหายจากการถูกกระแทกมาก่อน 

ระทึก! ชาร์จมือถือไว้ในครัว ไฟชอร์ตควันคลุ้งเต็มบ้าน | ข่าวช่อง 8 วันที่ 3 ต.ค. 2566
https://youtu.be/fnYNsoBHEp4?si=O2l5kw8wCO4mfpD5
อุทาหรณ์! ชาร์จมือถือข้างที่นอน จู่ ๆไฟลุกไหม้ลามพุ่งเข้าหาตัว หนุ่มสะดุ้งตื่นดับได้ทัน | เรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 27 ก.ค. 2565
https://youtu.be/gaTdEkJLakk?si=kniuQrNGEzGJ933k

ข้อแนะนำสำหรับการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถืออย่างปลอดภัย  

  • ควรชาร์จมือถือในขณะที่ผู้ใช้สามารถมีสติอยู่สังเกตเห็นได้
  • ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจากผู้ผลิตและไม่เสื่อมสภาพ ไม่ใช้แบตเตอรีที่บวมหรือมีความเสียหาย
  • ชาร์จในสภาพแวดล้อมที่ไม่ร้อน ตากแดด
  • ขณะชาร์จไม่ควรใช้งานมือถือหนัก เช่น เล่นเกม
  • ไม่ชาร์จใกล้วัสดุติดไฟง่ายหรือกักความร้อนเช่นหมอน ฟูก ที่นอน  
  • สังเกตโทรศัพท์มือถือว่ามีความร้อนสูงมากขณะชาร์จหรือไม่

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

TikTok ยกระดับความปลอดภัย ร่วมมือ 12 หน่วยงาน สานต่อโครงการ

คนไทยรู้ทันซีซัน 2 เติมองค์ความรู้และป้องกันภัยดิจิทัลแก่คนไทย

ประเทศไทย, กรุงเทพฯ – 25 สิงหาคม 2568 – TikTok ประเทศไทย แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำของโลก ประกาศขยายความร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 สู้ภัยออนไลน์ในปี 2568 ผนึกกำลังพันธมิตรเพิ่มอีก 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) ร่วมกับ 8 หน่วยงานหลักทั้งจากภาครัฐและประชาสังคม ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), โครงการโคแฟค (Cofact), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC), ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) รวมเป็น 12 หน่วยงาน เพื่อยกระดับองค์ความรู้และสร้างเกราะป้องกันภัยออนไลน์ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นให้กับคนไทย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มุ่งมั่นปรับปรุงนโยบายและมาตรการทางกฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนถือเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์อย่างยั่งยืน เมื่อภาคประชาชนมีความเข้มแข็งและรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่าง ๆ โอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจะน้อยลง กระทรวงดิจิทัลฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นของ TikTok และพันธมิตรทั้ง 12 หน่วยงานที่ได้ร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในครั้งนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการรับมือกับการหลอกลวงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและประชาสังคมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นาวสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้เร็วเท่ากับการปัดหน้าจอ เพื่อต่อสู้กับมัน ข้อเท็จจริงต้องรวดเร็วกว่า สร้างสรรค์กว่า และน่าสนใจกว่า ความร่วมมือของเรากับ TikTok ผ่านโครงการ #คนไทยรู้ทัน คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อความจริง เราจะสนับสนุนให้ครีเอเตอร์กลายเป็นเครือข่าย ‘ผู้มีอิทธิพลด้านข้อเท็จจริง’ ทั่วประเทศ เพื่อผลิตคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่ทรงพลัง สามารถดักทางกลโกงที่พบบ่อยและสอนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์แก่ผู้คนนับล้าน

นางชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok กล่าวว่า “TikTok มุ่งมั่นสร้างอนาคตดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จโครงการ “คนไทยรู้ทัน” ในปีแรก ที่มีผู้ทำคลิป TikTok ร่วมกิจกรรม #คนไทยรู้ทัน มากกว่า 2.5 ล้านคลิป และมียอดรับชมสูงถึง 3,400 ล้านครั้ง โดยมุ่งเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและอาศัยความเชี่ยวชาญของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมแบ่งบันข้อมูลที่น่าสนใจ ให้ความรู้ด้านภัยออนไลน์ให้กับคนไทยมาโดยตลอด นอกจากเราจะขยายพันธมิตรเพิ่มเป็น 12 หน่วยงานแล้ว เรายังได้ยกระดับการพัฒนาเนื้อหา สาระต่าง ๆ ให้ทันสมัย ครอบคลุม และตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังปลูกฝังเป็น New Online Behavior ใหม่ให้กับคนไทย เพื่อป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงออนไลน์ ผ่านการสร้าง Big Idea ต่อยอดคอนเทนต์ให้ผู้คนจดจำได้และนำไปปฏิบัติจริงได้”

“TikTok เชื่อว่าการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านดิจิทัล ยังเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพลตฟอร์มของเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย และมอบโอกาสให้คนไทยได้ต่อยอดพลังความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง โดย #คนไทยรู้ทัน เป็นการยกระดับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในมิติที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวจากทุกฝ่าย” นางชนิดา กล่าวเพิ่มเติม

การขยายความร่วมมือกับพันธมิตร: ครอบคลุมความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในปี 2025 ได้รับแรงสนับสนุนจากพันธมิตรสำคัญจากทั้ง 12 หน่วยงาน ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม หลัก ๆ ดังนี้
สร้างการตื่นตัวต่อภัยหลอกลวง – ที่จะร่วมกันสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงใหม่ ๆ ประกอบด้วย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA)


การซื้อขายออนไลน์ที่ปลอดภัย – เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง ทั้งยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสินค้าปลอมและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ขาย และตลาด ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB), และสภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC)


การป้องกันการหลอกลวงด้านการเงิน/การลงทุน – เพื่อรับมือกับการหลอกลงทุนที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น ประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และโครงการโคแฟค (Cofact)

TikTok มุ่งสร้างความตระหนักรู้ การมีส่วนร่วม สู่การสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยตั้งเป้าหมายให้โครงการ #คนไทยรู้ทัน ซีซัน 2 เข้าถึงชาวไทยทุกคน ผ่านการสร้างเนื้อหาที่หลากหลายและเข้าใจง่าย และอาศัยพลังครีเอเตอร์มากกว่า 10 ราย ที่มีผู้ติดตามรวมกว่าหลายล้านราย อาทิ ช่อง พยาบาลอัญ (Aunnyc), Brighten_Studios, Prewery Land, 1 นาที รีวิว, mightyptk, Auichocky รีวิวไปเรื่อย, AMPOSSIBLE, KWA, นักพากย์ตั่วเฮีย🎤 บน TikTok เป็นต้น ช่วยส่งต่อสาระความรู้ โดยเน้นไปที่การให้ความรู้เชิงป้องกันและเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันภัยออนไลน์ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงพื้นฐานไปจนถึงเทคนิคหลอกลวงใหม่ ๆ ที่ซับซ้อน

นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ “เอ๊ะ ถาม อ๋อ” หรือ #Hashtag Challenge ชวนครีเอเตอร์ร่วมสร้างสรรค์เนื้อหาวิดีโอไวรัล ตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กันยายน 2568 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ เนื้อหาที่มีคุณภาพและมียอดชมสูงสุดจะได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ ซึ่งจะช่วยกระจายความรู้ไปสู่ชุมชนในวงกว้างและสร้างกระแสการตื่นตัวอย่างยั่งยืน เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกันจากทุกฝ่าย เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม เราจะสามารถสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมั่นคงได้

คนไทยรู้ทันซีซัน2 #TikTokThailand #DigitalSafety #OnlineSafety #ThaiAware2.0

เกี่ยวกับ TikTok
TikTok คือแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก ที่มีพันธกิจหลักในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน TikTok มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอสแองเจลิสและสิงคโปร์ และสำนักงานสาขาอื่น ๆ ได้แก่ นิวยอร์ค ลอนดอน ดับลิน ปารีส เบอร์ลิน ดูไบ จาการ์ตา โซล และโตเกียว www.tiktok.com


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 สิงหาคม 2568

ห้ามใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ ส่องเบรกเกอร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i4obqyk3jh38


ไทยเตรียมประชุมสภาลงมติประกาศสงครามกับกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nmnc661iiwwj


คลิปรถถังกัมพูชาระเบิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b5dy71ay3e8n


คลิปอ้างแม่ทัพสั่งรื้อบ้านชาวเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2a0d0kxjm59et


ทูตเนเธอร์แลนด์พูดชัด “ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/243mkahbk1zp1


ดอกอาร์ติโชคมีประโยชน์ช่วยในการบำรุงตับ ป้องกันโรคตับอักเสบ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1o5dt8w30kgam#_=_


ดื่มน้ำอัดลมวันละ 3 ขวด เสี่ยงฟันผุ ฟันหัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hxaep7sm8nzs


ผู้ประกันตนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลฟรี หากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/h2n7qq1pdgli


แบงก์ชาติ ประกาศจำกัดยอดโอน และชำระเงินได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1whbt0emrvmt2


ททท. เตรียมของบ 700 ล้าน แจกตั๋วบินในประเทศ หวังกระตุ้นต่างชาติเที่ยวไทย พร้อมดันเที่ยวไทยคนละครึ่ง เฟส 2

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3447pvh7p8tse


อันตรายจากฟอสฟอรัสขาว แม้ไม่ใช่อาวุธเคมี แต่ก็ห้ามใช้กับพลเรือน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3fyosiwcj1ddc


พบมือถือของทหารกัมพูชา ที่มีภาพการลักลอบใช้-วางทุ่นระเบิด PMN-2…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1j9ehxtaqmxlf


‘บิดเบือน – คลาดเคลื่อน’ มีทุกยุคตั้งแต่โทรเลขถึงเอไอ! ‘ตั้งสติ-รู้เท่าทัน’ทักษะสำคัญรับมือข้อมูลลวง

20 ส.ค. 2568 รายการ Cofact Live Talk โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟคและ Ubon connect ชวนพูดคุยกับ วิจิตรา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในหัวข้อ จากยุคโทรเลขถึงเอไอ เทคโนโลยีการสื่อสารจะนำเราไปสู่จุดใด? เนื่องในเดือนวิทยาศาสตร์

คุณวิจิตรา ไล่เรียงประวัติศาสตร์นวัตกรรมการสื่อสารของมนุษยชาติ เริ่มจากการสนทนาปากเปล่าต่อหน้า แต่เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมต้องการสื่อสารให้ได้ไกลมากขึ้น จึงมีการพัฒนานวัตกรรมมาตามลำดับ อาทิ ในศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 – 2442) หรือยุคโทรเลข เกิดการพัฒนารหัสมอร์ส (Morse code) ที่เป็นการเข้ารหัสเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เช่น ไฟดับ – ไฟสว่าง จะเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ 

แต่ก็มีเรื่องข้อมูลที่ถูกบิดเบือน หรือมองว่าบิดเบือนระหว่างส่งผ่านตัวกลาง ข้อมูลมีไม่มากแต่ก็ทำให้คนเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อน ตัวอย่างของความผิดพลาดในยุคโทรเลข เช่น เกิดจากความเข้าใจของคนกลางนำสาร (Messenger) ที่ไม่เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ อย่างรหัสมอร์สที่มีทั้งตัวสั้นและตัวยาวก็ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ หรือจากคนกลางที่บิดเบือนโดยการตีความสารตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งการเกิดสถานการณ์บางอย่าง อาทิ สงคราม อาจทำให้เกิดความกลัวและกังวล นำไปสู่การบิดเบือนข้อมูลผิดพลาดขึ้นได้

ทีนี้พอมาถึงยุคที่เราเรียกว่าเป็นยุคดิจิทัล หรือยุคที่เราบอกว่าเรามีการแพร่ภาพส่งสัญญาทางอินเตอร์เน็ต เรามี Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) เรามีความรวดเร็วในการแพร่ภาพกระจายสัญญาณ ข้อมูลหลากหลายแต่ขาดการกลั่นกรอง อันนี้ต้องบอกว่าการที่เรามีโซเชียลหลายๆ อัน ทุกคนสามารถทำตัวเหมือนเป็น อาจใช้คำว่าผู้ให้ข้อมูล แต่ข้อมูลนั้นมันมีมากมายมหาศาล คนก็เลยต้องกลับไปพิจารณากันใหม่ว่าข้อมูลอะไรที่จะทำให้เราแยกแยะความจริงกับความไม่จริงออกจากกันได้อย่างไรบ้าง

จากยุคโทรเลขสู่ยุคดิจิทัล ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 (ปี 2443  – 2542) มาจนถึงปัจจุบันที่พูดถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI)ทุกอย่างแปลเป็นค่าทางคณิตศาสตร์แล้วสร้างภาพจำลองขึ้นมา อย่างที่เห็น AI สามารถสร้างคลิปวีดีโอเป็นใบหน้าเหมือนกับเราแล้วขยับปากพูดได้ทั้งที่ตัวเราไม่ได้พูดสิ่งนั้น ซึ่งแทบจะแยกไม่ออกระหว่างคนคนนั้นพูดจริงๆ หรือการใช้เครื่องมือสร้างภาพขึ้นมาแล้วพูดตามบทที่ใครบางคนเขียนไว้ อย่างที่เรียกกันว่า Deepfakr หรือการปลอมแปลงใบหน้าและเสียงของบุคคล เพื่อให้พูดอะไรแล้วคนฟังเชื่อ นำไปสู่การหลอกลวงให้เกิดความเสียหาย

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ รู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป โดยมีหลักคือ ตั้งสติ ค่อยๆ ดู เช่น ข้อมูลไหนมาจากใคร น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งข้อมูลเป็นอย่างไร ซึ่งในปรัชญาทางวิทยาศาสตร์คือจะเชื่อก็ต่อเมื่อข้อมูลนั้นผ่านการพิสูจน์แล้วว่าจริงหรือไม่จริง แต่ในอนาคตจะเป็นเรื่องยากขึ้น ระหว่างความจริงกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงจะมีเพียงเส้นบางๆ ที่เราอาจรู้เท่าทันไม่ได้ ต้องดึงสติกลับมาก่อน อย่าใช้อารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว  

ประการต่อมา ต้องมีทักษะในการตรวจสอบข่าว ไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด เหลือพื้นในในการตรวจสอบไว้บ้าง ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันก็มีทั้งเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ เช่น โคแฟค และเครือข่ายที่เป็นสำนักข่าวต่างๆ ( อาทิ ชัวร์ก่อนแชร์) ตลอดจนมีเครื่องมือที่ให้คนทั่วไปใช้ตรวจสอบ (อาทิ Google Lens) หรือการสังเกต URL เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ตมีทั้งประโยชน์และสิ่งที่คุกคาม แต่จะทำอย่างไรให้เราสร้างเกราะป้องกันตนเอง เข้าไปอยู่ในชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยเหลือในยามที่ต้องการทางออกได้ 

เช่น ตรวจสอบข้อมูลจากตรงนี้เราใช้แพลตฟอร์มของโคแฟคที่มีข้อมูล เขาเคยมีเรื่องนี้อยู่ในฐานข้อมูลไหมนะ? เราลองเข้าไปดู เห็นหลายๆ ข้อมลเป็นประโยชน์มากๆ เลย ถ้าเรารู้ก่อน รู้ว่าจะมีความเสี่ยงแบบนี้ึ้นมา เราก็จะสามารถเป็นคนที่ช่วยป้องกันการแพร่ของ่าวปลอมได้ แล้วก็ช่วยป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกภัยคุกคามจากการหลอกลวงทางออนไลน์ได้

อีกส่วนหนึ่ง  ความรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล(Digital Literacy) เป็นเรื่องสำคัญ เช่น เข้าใจกลไกการตลาดของสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจมีความพยายามสร้างกระแสเพื่อนำไปสู่มูลค่าอะไรบางอย่าง หรือ รอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint) ไปแสดงความคิดเห็น โพสต์หรือทำธุรกรรมใดๆ ไว้ จะทิ้งร่องรอยซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคต เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจแม้ไม่ได้อยู่ในการศึกษาภาคบังคับ 

อนึ่ง อพวช. เป็นหน่วยงานภาครัฐ มีบทบาทส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี แต่ก็จะมี่หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ที่หากมี่ความร่วมมือ มีเครือข่ายแล้วสามารถสร้างสังคมให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ เกิดความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซี่งสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน  อย่างโคแฟคก็มีภาคีที่เข้มแข็งและต่อยอดให้ผู้คนเกิดการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลและภัยคุกคามในอนาคต ยังไม่นับรวมว่าการมีนวัตกรรมใหม่ๆ อาจใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นก็ได้ 

การสื่อสารการผิดพลาด ข่าวปลอม มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ในยุคแห่ง AI การเข้าใกล้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เราอาจมองไม่เห็นเลยก็ได้ หรือว่าในอนาคตที่มีตัว VR (Virtual Reality – เทคโนโลยีสร้างสภาพแวดล้อมจำลองเสมือนจริง) , AR (Augmented Reality – นำข้อมูลเสมือนมาผสานกับโลกจริง) การมีอยู่ของความเป็นจริงหรือการที่เราเห็นกันตัวต่อตัว เราคิดว่าเป็นความจริงแล้ว บางทีอาจเป็นการสร้างบอทมาคุยแล้วเอารูปภาพใส่ อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่อนาคตก็ทำได้ ซึ่งถามว่ามันก็อาจมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดบางอย่าง แต่เราก็ต้องมีความตระหนักรู้ว่าเทคโนโลยีมันทำได้นะ ก็รู้ให้เท่าทันแล้วก็ทำใจเอาไว้ว่าความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อตลอดเวลาก็ได้ ให้มีพื้นที่ในการที่จะเรียนรู้ตลอดเวลาไว้ด้วย

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://web.facebook.com/CofactThailand/videos/1182382533912725/ (ในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่แพร่ภาพสด ตามข้อกำหนดของ Facebook) 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ไขข้อข้องใจ เคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที = กลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้นจริงหรือ?

ขอบคุณที่มา ubonconnect

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศเวลา 19.00-19.30 น. นำเสนอประเด็นร้อนที่กำลังถูกพูดถึงในโลกโซเชียลว่า “การเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น” โดยมี รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ “พี่หน่อย” คนเช็กข่าว ร่วมถกประเด็นนี้อย่างเข้มข้น ด้วยมุมมองทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

ประเด็นนี้เริ่มต้นจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาทีอาจทำให้ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ รศ.ดร.เจษฎา อธิบายว่า ข้อมูลนี้มาจากงานวิจัยเบื้องต้นของทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (UCLA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยยังไม่ได้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในวารสารวิชาการ งานวิจัยนี้ทดลองโดยให้อาสาสมัครเพียงคนเดียวเคี้ยวหมากฝรั่ง 5 ยี่ห้อ ซึ่งแบ่งเป็นหมากฝรั่งสังเคราะห์ (ผลิตจากโพลิเมอร์ปิโตรเลียม) และหมากฝรั่งจากยางไม้ธรรมชาติ โดยเก็บตัวอย่างน้ำลายทุก 30 วินาทีจนครบ 4 นาที และบ้วนปากด้วยน้ำเพื่อตรวจหาไมโครพลาสติกด้วยกล้องจุลทรรศน์และเครื่องสเปกโทรสโกปี

ผลการวิจัยพบว่า หมากฝรั่ง 1 กรัมสามารถปล่อยไมโครพลาสติกได้ประมาณ 50-100 ชิ้น และหากเป็นหมากฝรั่งชิ้นใหญ่ (2-6 กรัม) อาจปล่อยไมโครพลาสติกได้สูงถึง 3,000 ชิ้นต่อชิ้น โดยปริมาณไมโครพลาสติกส่วนใหญ่จะถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ 2 นาทีแรกของการเคี้ยวและเพิ่มขึ้นจนเกือบครบ 94% เมื่อเคี้ยวถึง 8 นาที น่าสนใจว่า หมากฝรั่งทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติล้วนปล่อยไมโครพลาสติกในปริมาณใกล้เคียงกัน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทีมวิจัย เนื่องจากหมากฝรั่งธรรมชาติควรมีส่วนประกอบจากยางไม้ที่คาดว่าจะปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.เจษฎา ชี้ว่า งานวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการเช่น การใช้เพียงอาสาสมัครคนเดียว ซึ่งอาจไม่สะท้อนผลลัพธ์ในวงกว้าง และยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าเหตุใดหมากฝรั่งธรรมชาติก็ปล่อยไมโครพลาสติกออกมาได้ นอกจากนี้ การวัดปริมาณไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายและผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่มีการยืนยันที่ชัดเจนจากงานวิจัยในวงกว้าง องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอันตรายโดยตรงส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางระบบย่อยอาหาร

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่งกับแหล่งอื่น เช่นน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งอาจมีไมโครพลาสติกสูงถึง 10,000-200,000 ชิ้นต่อลิตร ปริมาณจากหมากฝรั่งถือว่าน้อยกว่ามาก รศ.ดร.เจษฎา จึงแนะนำว่า ผู้บริโภคไม่ควรกังวลเกินไป แต่หากกังวล สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นเดิมนานขึ้น แทนการเปลี่ยนชิ้นใหม่บ่อยๆ ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณไมโครพลาสติกที่ร่างกายได้รับ

สุภิญญา กลางณรงค์ เสริมว่า ประเด็นนี้จัดอยู่ในหมวด “จริงบางส่วน” เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันการพบไมโครพลาสติกจริง แต่ผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ชัดเจน การบริโภคอย่างเหมาะสมและการตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ฉลากหมากฝรั่งมักไม่ระบุชัดเจนว่าเป็นแบบสังเคราะห์หรือธรรมชาติ ซึ่งอาจต้องผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดให้ผู้ผลิตระบุข้อมูลอย่างละเอียดมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

การเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาทีอาจทำให้ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกสูงสุดถึง 3,000 ชิ้นต่อชิ้นจริงตามงานวิจัยเบื้องต้น แต่ปริมาณนี้ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับแหล่งอื่น เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ผู้บริโภคยังสามารถเคี้ยวหมากฝรั่งได้ตามปกติ แต่ควรบริโภคอย่างพอดีและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากชัดเจน เพื่อลดความกังวลและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

รายการนี้แนะนำให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวสารในโซเชียลมีเดียแพร่กระจายรวดเร็ว และควรเลือกบริโภคอาหารอย่างหลากหลายและสมดุล เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว


คลิปสร้างด้วย AI บิดเบือนท่าทีสหรัฐฯ-เกาหลีใต้-อาเซียน ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบโพสต์เฟซบุ๊กที่อ้างว่าสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และอาเซียนร่วมประณามกัมพูชาเรื่องการวางทุ่นระเบิดและละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พบว่าเป็นเนื้อหาบิดเบือน แม้ว่าสหรัฐฯ เกาหลีใต้และอาเซียนจะออกแถลงการณ์ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แต่ไม่มีข้อความ “ประณามกัมพูชา” ตามที่โพสต์เฟซบุ๊กนี้กล่าวอ้าง

หนึ่งวันหลังจากที่ทางการไทยนำคณะทูต ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารและสื่อต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ผลกระทบจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยกองกำลังของกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “JO SB” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 1.30 นาที มีเสียงบรรยายประกอบภาพที่สร้างโดย AI และฝังข้อความว่า “ผลลัพธ์จากทัวร์ทูตทหาร” (ลิงก์บันทึก)

เสียงบรรยายในคลิปอ้างว่า หลังจากทูตทหารของประเทศต่าง ๆ ได้ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มี 3 ประเทศแรกที่เคลื่อนไหวประณามกัมพูชาและมีท่าที “เลือกข้าง” ไทย ได้แก่ 1) สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาเรื่องการใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล และชื่นชมความโปร่งใสของไทยในการเปิดให้พิสูจน์ความจริง 2) เกาหลีใต้ เรียกร้องให้ยุติความรุนแรง ประณามการใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล และประกาศความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และ 3) อาเซียน มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเรียกร้องให้เปิดประชุมฉุกเฉินรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทันทีซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา คือวิกฤติเร่งด่วน

ตัวอย่างภาพประกอบจากวิดีโอที่อ้างว่าสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอาเซียนประณามกัมพูชาหลังจากไทยพาทูตทหารลงพื้นที่
โพสต์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “JO SB” เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2568

คลิปถูกโพสต์เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2568 และยังคงเข้าถึงได้ในขณะนี้ (17 ส.ค. 2568) มียอดการรับชมเกือบ 7 แสนครั้ง และถูกแชร์เกือบ 700 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

ในกรณีที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มีแถลงการณ์หรือท่าทีต่อสถานการณ์ในประเทศอื่น แถลงการณ์นั้นจะถูกเผยแพร่ทางช่องทางที่เป็นทางการ เช่น เว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลมีเดียที่เป็นทางการของรัฐบาลนั้น ๆกรณีนี้โคแฟคตรวจสอบจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ และเว็บไซต์อาเซียน  ไม่พบว่ามีแถลงการณ์ที่ระบุข้อความ “ประณามกัมพูชา” แต่มีแถลงการณ์ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

สหรัฐอเมริกา

จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ www.state.gov ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่เกิดการปะทะ จนถึงวันที่ 2 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันที่เฟซบุ๊ก “JO SB” โพสต์วิดีโอนี้ พบว่ามีการเผยแพร่แถลงการณ์หรือข่าวภารกิจของกระทรวงฯ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ดังนี้  

24 ก.ค. 2568

สำนักโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่แถลงการณ์กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา (On the Thailand-Cambodia Border Conflict) ข้อความว่า “สหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากกับรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิต เราเรียกร้องอย่างจริงจังให้ยุติการโจมตีโดยทันที ปกป้องพลเรือน และระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี”  

27 ก.ค. 2568

• โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แทมมี บรูซ เผยแพร่ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่านายรูบิโอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยลดความตึงเครียดในทันที และตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาในกรณีข้อพิพาทชายแดนที่กำลังดำเนินอยู่ พร้อมทั้งย้ำถึงความปรารถนาต่อสันติภาพของประธานาธิบดีทรัมป์ ตลอดจนความสำคัญของการหยุดยิงโดยทันที สหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการหารือในอนาคต เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา

• รัฐมนตรีรูบิโอออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจาระดับสูงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยว่า “กัมพูชาและประเทศไทยมีกำหนดจะเริ่มการเจรจาระดับสูงที่ประเทศมาเลเซียในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการหยุดยิงโดยทันที เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ในมาเลเซียเพื่อสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพครั้งนี้ ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และผมยังคงมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับคู่เจรจาของแต่ละประเทศ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดยิ่ง เราต้องการให้ความขัดแย้งนี้ยุติโดยเร็ว”

28 ก.ค. 2568

รัฐมนตรีรูบิโอออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยว่า “สหรัฐอเมริกาชื่นชมการประกาศหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยในวันนี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประธานาธิบดีทรัมป์และผมมุ่งมั่นที่จะยุติความรุนแรงโดยทันที และคาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำมั่นของตนอย่างเต็มที่ในการยุติความขัดแย้งนี้ เราขอขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สำหรับความเป็นผู้นำของท่าน และสำหรับการเป็นเจ้าภาพการเจรจาหยุดยิง เราเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำมั่นของตน สหรัฐฯ จะยังคงมุ่งมั่นต่อและมีส่วนร่วมในกระบวนการที่สหรัฐฯ และมาเลเซียจัดขึ้นนี้เพื่อยุติความขัดแย้งครั้งนี้”

วันที่ 30 ก.ค. 2568

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แทมมี บรูซ เผยแพร่ถ้อยแถลงว่ารัฐมนตรีรูบิโอได้โทรศัพท์ขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียผ่านนายโมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย สำหรับบทบาทของรัฐบาลมาเลเซียในการลดความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา และอำนวยความสะดวกในการพบปะกันของผู้นำทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนการเจรจาหารือในอนาคตเกี่ยวกับการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงเพื่อนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของไทยและกัมพูชา  

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย ข้อความว่า “สหรัฐอเมริกายินดีต่อการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee) ในวันนี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ อันเป็นก้าวสำคัญไปสู่การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการจัดให้มีกลไกการสังเกตการณ์จากประเทศอาเซียน ประธานาธิบดีทรัมป์และผมคาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำมั่นของตนอย่างเต็มที่ในการยุติความขัดแย้งนี้ เราขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สำหรับความเป็นผู้นำของท่าน และสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดกระบวนการหยุดยิง ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของความเต็มใจของท่านในการร่วมกับสหรัฐฯ จัดการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม เพื่อแก้ไขความขัดแย้งดังกล่าว เราตั้งตารอที่จะได้สนับสนุนมาเลเซีย สมาชิกอาเซียน และประเทศทั้งสองในขณะที่กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป”

เกาหลีใต้

จากการตรวจสอบเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ www.mofa.go.kr พบว่าระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 2 ส.ค. 2568 พบแถลงการณ์หรือถ้อยแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเพียง 1 ชิ้น ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 หัวข้อ “MOFA Spokesperson’s Statement on the Military Clash between Thailand and Cambodia” ระบุว่ารัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีมีความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชา และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีขอเรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาลดความตึงเครียดและแก้ปัญหาโดยสันติผ่านการเจรจา

อาเซียน

จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ทางการของอาเซียน asean.org พบว่าระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 16 ส.ค. 2568 อาเซียนได้เผยแพร่แถลงการณ์กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา 2 ฉบับ คือ

28 ก.ค. 2568 แถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on Thailand-Cambodia Border Dispute ซึ่งสาระสำคัญ 3 ข้อ คือ 1-แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดนต้องอพยพหนีภัย 2-เรียกร้องการหยุดยิง ขอให้ยุติปฏิบัติการสู้รบทั้งหมด และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพ ยุติข้อพิพาทด้วยสันติวิธีโดยยึดหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และ 3-สนับสนุนความพยายามของประธานอาเซียนในการอำนวยความสะดวกให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาและยุติการสู้รบ  

31 ก.ค. 2568 แถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อผลการหารือระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชาที่มาเลเซีย (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on the Outcome of the Special Meeting Hosted by Malaysia to Address the Current Situation Between Cambodia and Thailand) มีสาระสำคัญ 4 ข้อ คือ 1-ยินดีกับผลการประชุมพิเศษเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 2-ชื่นชมบทบาทของมาเลเซียและการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และจีน ในการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิง 3-สนับสนุนให้กัมพูชาและไทยแก้ปัญหาอย่างสันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และ 4-สนับสนุนความพร้อมของมาเลเซียในการประสานงานคณะผู้สังเกตการณ์ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง

ข้อสรุปโคแฟค

  • นับตั้งแต่เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 และหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 จนถึงปัจจุบัน (17 ส.ค.2568) เว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอาเซียน ไม่มีแถลงการณ์ ถ้อยแถลงหรือข่าวแจกสื่อมวลชนฉบับใดทีมีเนื้อหาประณามกัมพูชาตามคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กนำมาเผยแพร่
  • การค้นหารายงานข่าวของสื่อมวลชนที่เชื่อถือได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในช่วงเวลาหนึ่งเดือนย้อนหลัง ก็ไม่พบรายงานข่าวที่มีเนื้อหาตามที่คลิปวิดีโอนี้กล่าวอ้าง
  • นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา โคแฟคพบว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งไทยและกัมพูชาได้เผยแพร่เนื้อหาเท็จจำนวนมากที่อ้างว่ารัฐบาลประเทศต่าง ๆ สนับสนุนประเทศของตน จนบางประเทศต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เนื้อหาเท็จเหล่านี้สร้างความสับสนต่อสถานการณ์และยังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจึงควรตรวจสอบความถูกต้องให้ดีก่อนเชื่อหรือแชร์

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2568

คลิปพระสงฆ์กัมพูชาเดินขบวนประท้วงฮุน เซน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1l32u4fw1fpym


คลิปสร้างถนนสู่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/200yicvz008wh


คลิปวิดีโอชาวกัมพูชาก่อเหตุเผาตึกคอลเซ็นเตอร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n0w8h9gvchzd


พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เปิดช่องแจกที่ดินให้ต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dp1llxenbg9a


เปลือกกล้วยบำรุงผิว ดีเท่า botox…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wsiu9krs60tn


ทานอาหารตามหมู่เลือด ดีจริงหรือ ?…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/x6y72fmxznv1


“หัวเชื้อกลิ่นแมงดา” เป็นอันตรายต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/17ry6arxvu09m


แกนนำกลุ่ม “ไทยไม่ทน” โพสต์บิดเบือน พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ อ้างเปิดช่องแจกที่ดินให้คนต่างด้าว 20 ไร่

กองบรรณาธิการโคแฟค

แกนนำกลุ่ม “ไทยไม่ทน” ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านแรงข้ามชาติ โพสต์ข้อความบิดเบือนพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ (พ.ร.บ. ชาติพันธุ์) สร้างความเข้าใจผิดว่ากฎหมายฉบับนี้เปิดช่องแจกที่ดินทำกินให้คนต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 นายอัครวุธ บุรณพนธ์ หรือ “เต้ อาชีวะ” แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 2.4 แสนบัญชีว่า กฎหมายฉบับนี้ “อาจมีแอบแฝงแจกที่ทำกินให้ครอบครัวละ 20 ไร่ สุดท้ายแล้วคนไทยแท้ไม่มีที่ทำกิน แต่กลุ่มต่างด้าวที่แฝงเป็นชาติติพันธุ์อาจได้ที่ทำกิน” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปเกือบ 500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)

นายอัครวุธซึ่งตั้งฉายาให้ตัวเองว่า “มือปราบต่างด้าว” ระบุว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์อาจเปิดช่องให้คนเมียนมาหรือกลุ่มจีนเทามาสวมสิทธิ์เป็น “กลุ่มชาติพันธุ์” เพื่อรับสิทธิครอบครองที่ดิน   

โคแฟคตรวจสอบ

เมื่อตรวจสอบเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 โดยละเอียด พบว่าไม่มีข้อความใดที่ระบุถึงการแจกที่ดินทำกิน 20 ไร่ให้กลุ่มคนต่างด้าวตามที่นายอัครวุธอ้างในโพสต์เฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ซึ่งอยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้กำหนดหลักการโดยกว้างเพื่อคุ้มครองสิทธิพลเมืองพื้นฐานและการเข้าถึงที่ดินให้ชาวไทยชาติพันธุ์ โดยระบุถึงสิทธิที่ดินทำกินในมาตรา 9 ว่า “กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน”

มาตรา 9 (4) กำหนดให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองจากการถูกพรากจากที่ดินและที่อยู่อาศัยของตนโดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้า และมีสิทธิโต้แย้งทางกฎหมาย สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม

ข้อความในมาตรา 9 ของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ฉบับที่ผ่านการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 6 ส.ค. 2568

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความใดในร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ระบุเรื่องการมอบที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 20 ไร่ อีกทั้งกฎหมายฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าว แต่ระบุถึงการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ปกากะญอ ชาวม้ง อาข่า ชาวเล ฯลฯ ซึ่งในประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่มากกว่า 60 กลุ่ม คิดเป็นประชากรราว 6 ล้านคน หรือ 4.3% ของประชากรไทย

“แจกที่ดินครอบครัวละ 20 ไร่” มีที่มาจากไหน?

โคแฟคตรวจสอบกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องพบว่าตัวเลข “20 ไร่” อาจนำมาจาก พระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ” ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2567

พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ เป็นความพยายามของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการแก้ปัญหาเขตป่าอนุรักษ์ทับซ้อนที่ดินทำกินของชาวบ้าน ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นชาวไทยชาติพันธุ์บนพื้นที่ห่างไกล โดยมาตรา 10 และ 11 ระบุแนวทางแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบด้วยการจัดสรรที่ดินทำกินให้ผู้มีสัญชาติไทยที่พิสูจน์ได้ว่าทำกินอยู่บนที่ดินนี้มาอย่างต่อเนื่องครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ ตามอายุโครงการคราวละ 20 ปี พร้อมกับกำหนดคุณสมบัติและข้อต้องห้ามของผู้ที่จะได้สิทธินี้ไว้อย่างชัดเจน

มีความเป็นไปได้ว่า เนื้อหาของ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ ที่ระบุถึงการจัดสรรที่ดิน 20 ไร่เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน ถูกนำมาบิดเบือนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่า พ.ร.บ.ชาติพันธุ์จะจัดสรรที่ดิน 20 ไร่ให้แรงงานต่างด้าว

สำหรับข้อกังวลว่ากฎหมายฉบับนี้จะเปิดช่องให้แรงงานต่างด้าวสวมสิทธิในที่ดินทำกินนั้น นายอภินันท์ ธรรมเสนา นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับของกระทรวงวัฒนธรรมที่ได้รับมอบหมายให้ขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่าเป็นไปได้ยากมากที่กฎหมายจะเปิดช่องให้เกิดการสวมสิทธิ

“ความกังวลว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์จะให้ที่ดินคนต่างด้าวนั้นเป็นไม่ได้เลย เพราะรัฐมีกระบวนการกลั่นกรองก่อนจัดสรร กฎหมายกำหนดว่าผู้มีสิทธิเข้าโครงการ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ต้องมีสัญชาติไทยและต้องพิสูจน์สิทธิว่าเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นั้นมานาน ซึ่งต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์” นายอภินันท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างกฎหมายชาติพันธุ์ในรัฐสภาให้สัมภาษณ์โคแฟค และย้ำว่า “การขอที่ดินไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

การพิสูจน์สิทธิว่าเป็น “ผู้ตั้งถิ่นฐาน” นั้นต้องผ่านการสำรวจตรวจสอบโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจะต้องเป็นผู้มีรายชื่อตามผลสำรวจการถือครองที่ดินของรัฐ

เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการนำเนื้อหา พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ มาบิดเบือนว่าเป็นการ “แจกป่าให้ต่างด้าว” มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในช่วงที่นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.ชาติพันธุ์ม้งจากพรรคประชาชน อภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ว่าควรครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในขั้นตอนการขอสัญชาติไทยด้วย ผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งโพสต์คลิปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568 พร้อมข้อความว่า “จับตาพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย แจกป่าครอบครัวละ 20 ไร่ให้ต่างด้าว” ซึ่งไม่ตรงกับเนื้อหาของ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ที่กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการไว้อย่างชัดเจน

ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์เนื้อหาบิดเบือนการอภิปรายของ สส. พรรคประชาชน และสาระสำคัญของ พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ และร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ (ลิงก์บันทึก)

ข้อสรุปโคแฟค

  1. ข้อความที่แกนนำกลุ่มไทยไม่ทนโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ เปิดให้มีการแจกที่ดินทำกินให้คนต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่ เป็นข้อความที่บิดเบือน โดยอาจนำข้อความจาก พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ มาเชื่อมโยงแบบผิด ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นให้คนในสังคมเกิดความไม่ไว้วางใจแรงงานต่างด้าว
  2. ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ มีสาระสำคัญอยู่ที่การคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เฟซบุ๊ก “เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์” นำมาเชื่อมโยงกับกลุ่มคนต่างด้าว ทำให้เกิดความสับสนระหว่าง “กลุ่มชาติพันธุ์” ที่เป็นพลเมืองดั้งเดิมในประเทศไทยกับ “คนต่างด้าว” ซึ่งหมายถึง คนต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในไทย โดยอาจจะเป็นแรงงานข้ามชาติ ผู้อพยพและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ
  3. ช่วงที่ผ่านมา กลุ่มไทยไม่ทนมักสื่อสารในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ด้วยเนื้อหาบิดเบือนและประทุษวาจา (hate speech) ประชาชนจึงควรตรวจสอบความถูกต้องและใช้วิจารณญาณก่อนจะเชื่อหรือแชร์เนื้อหาเหล่านี้

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 สิงหาคม 2568

หัวหน้าพรรคประชาชนประณาม รพ. ที่ปฏิเสธรักษาคนเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2nyo5qvd07j4f


คลิปพลทหารกัมพูชาวัย 87 ปี รอร่ำลาลูกสาวก่อนไปรบที่ชายแดน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sq5v0cbasvx9


คลิปแร้งและอีการุมทึ้งศพทหารไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hdn0wxipfbek


คลิปญาติหามศพทหารกัมพูชาไปเผา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zyesejq75zrw


จับสายลับกัมพูชา ลอบเข้าชายทะเลโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พร้อมโดรนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชี้เป้าโจมตีกองบิน 5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30zvbbobe82ng


ภาพปลอม AI ความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซน-ภรรยา-โฆษกกลาโหมกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qnbs01hsurca


กินทุเรียนหมอนทองสุก เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


กยศ. ยกหนี้ให้ทหารที่เสียชีวิตจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3pmieca8gklpk


กรมการปกครอง สั่ง X-Ray เฝ้าระวังโดรนในพื้นที่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mpqqgs1ui029


อาหารมีส่วนกระตุ้นไมเกรน สัญญาณจากร่างกายถึงการทานอาหารที่ไม่เหมาะสม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nkgec4wlavos


ใช้ยาลดความดันเกินขนาด อันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33n6wm53gydsg


แสงสีเขียวที่เห็นบนท้องฟ้าเมื่อคืนวันที่ 3 ส.ค. 2568 ไม่ใช่โดรน แต่คือ “ดาวตกชนิดระเบิด”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/p43iy9b5b9bv


องุ่นไซมัสคัท มีสารตกค้าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/opiwemd6cniy


เมื่อ‘เครื่องบินรบ’ยุทโธปกรณ์เด่นสมรภูมิ‘ไทย – กัมพูชา’ มาพร้อมการระบาดของ‘ข่าวลวง’ในสื่อออนไลน์

By: Zhang Taehun

ในการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาตลอด 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2568 เมื่อกัมพูชาเปิดฉากโจมตีข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งไทยและทำให้พลเรือนเสียชีวิตหลายราย นำไปสู่การตอบโต้จากฝ่ายไทย กระทั่งในวันที่ 28 ก.ค. 2568 ทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจากันที่มาเลเซีย และได้ข้อสรุปว่าจะหยุดยิงเมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 29 ก.ค. 2568 ในเวลา 00.00 น. เครื่องบินรบ” โดยเฉพาะ F-16” เป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์หลักในปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทย ถูกจับตามองผ่านสื่อต่างๆ พร้อมๆ กับการกระจายของ ข่าวลวง” ในรูปแบบ คลิปวีดีโอ อย่างต่อเนื่อง ในหมู่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งโคแฟคได้รวบรวมมานำเสนอเป็นตัวอย่าง ดังนี้ 

ภาพ 01 คลิปวีดีโออ้างว่าเครื่องบิน F-16 ไทย โจมตีกองบัญชาการกัมพูชา 

ภาพ 02 ตัวอย่างคลิปเดียวกันที่เคยถูกอ้างในบริบทต่างๆ เช่น การสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน (ซ้าย) การทิ้งระเบิดในซูดาน (ขวา)

ในวันที่ 24 ก.ค. 2568 ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทย ข่าวการออกปฏิบัติการของเครื่องบิน F-16 ก็เริ่มปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ดังตัวอย่างบัญชีเฟซบุ๊ก ธวัชชัย สามัญชน โพสต์ลิปชื่อ ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย ขณะรุกรบจบเร็ว เพียง 20 นาที F-16กลับฐานปลอดภัยทุกลำ

เบื้องต้นโคแฟคได้ตรวจสอบในวันเดียวกับที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ด้วยวิธีนำภาพไปสืบค้นย้อนกลับด้วย Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบว่า เคยมีการโพสต์คลิปเดียวกันมาแล้วหลายครั้งในบริบทอื่นๆ ก่อนหน้าความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ระลอกล่าสุด เช่น วันที่ 10 พ.ค. 2568 ถูกโพสต์โดยบัญชี TikTok ชื่อ rehanuddinfaiziofficial ในชื่อคลิปว่า “Pakistan Attck on India” อ้างว่าเป็นคลิปเครื่องบินปากีสถานโจมตีอินเดีย เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าวกำลังมีการสู้รบกันระหว่างอินเดียกับปากีสถาน 

หรือในวันที่ 18 พ.ค. 2566 เว็บไซต์ africa-press.net ใช้ภาพดังกล่าวรายงานข่าวเป็นภาษาอาหรับ ว่า السودان.. الطيران الحربي يستخدم صواريخ عالية الدقة وشديدة الانفجار وتدمير عشرات السياراتซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sudan: Warplanes use high-precision, high-explosive missiles, destroying dozens of vehicles” และภาษาไทยว่า ซูดาน: เครื่องบินรบใช้ขีปนาวุธระเบิดแรงสูงที่มีความแม่นยำสูง ทำลายยานพาหนะได้หลายสิบคัน ซึ่งขณะนั้นซูดานกำลังมีสงครามกลางเมือง แต่ยังไม่สามารถระบุต้นทางได้

นอกจากนั้นยังพบการโพสต์ภาพจากคลิปดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ในเว็บไซต์ indtoday.com บรรยายว่า “Indian Armed Forces Thwart Pakistani Drone And Missile Attacks, Destroy Air Defence System In Lahore” อ้างว่าเป็นการโจมตีระบบป้องกันภัยทางอากาศของปากีสถาน ในเมืองลาฮอร์ แต่ทาง The Current สำนักข่าวออนไลน์ในปากีสถาน ได้ตรวจสอบแล้วระบุว่า คลิปนี้เคยถูกโพสต์มาแล้วก่อนหน้านั้น ซึ่งเมื่อโคแฟคลองค้นหาต่อ ก็ไปพบคลิปวิดีโอภาษารัสเซีย ชื่อ Харьков —момент прилетаодной из “Гераней” во время обработкиобъектов укровермахта # 2025” แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Kharkov – the moment of arrival of one of the “Geraniums” during the processing of the objects of the Ukrainian Wehrmacht # 2025” และภาษาไทยคือ คาร์คิฟ ช่วงเวลาแห่งการมาถึงของ (โดรน“เจอเรเนียม” ในระหว่างการประมวลผลวัตถุของกองกำลังยูเครน # 2025” ทางช่องยูทูบ ระบุเวลาโพสต์คือวันที่ 30 เม.ย. 2568 สอดคล้องกับที่ทาง TFC ไต้หวันตรวจสอบพบจากเทเลแกรม

ในเวลาต่อมา สำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เผยแพร่รายงานการตรวจสอบเพิ่มเติมในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ระบุว่า คลิปดังกล่าวมีต้นทางมาจากช่องยูทูบ “Unreal vfx” เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2566 โดยผู้โพสต์ได้บรรยายไว้ใต้ใต้คลิปว่า คลิปนี้ถูกสร้างขึ้นด้วย Adobe After Effects ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์กราฟิกเคลื่อนไหวและเอฟเฟกต์ภาพ และเมื่อทาง AFP ได้สอบถามไปว่า วิดีโอนี้แสดงภาพจริงหรือไม่ ผู้โพสต์คลิปดังกล่าวตอบว่าเป็นกราฟิกเคลื่อนไหวนอกจากนั้น ในช่อง Unreal vfx ยังมีคลิปวีดีโอที่มีฉากหลัง (อาคารสถานที่) แบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนจากการถูกเครื่องบินรบโจมตีเป็นถูกอุกกาบาตพุ่งชนแทน

ภาพ 03 ภาพเดียวในเรื่องเล่าที่แตกต่าง (ซ้าย)ชาวกัมพูชาอ้างว่ายิง F-16 ไทยตก (ขวา) ชาวไทยอ้างว่าส่งโดรนไปโจมตีกัมพูชา

ในวันที่ 4 ส.ค. 2568 เว็บไซต์ tfc-taiwan.org.twของ Taiwan Fact Checker รายงานการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 บรรยายเป็นภาษาจีน อ้างว่าเป็นเหตุการณ์เครื่องบิน F-16 ถูกยิงตกในเหตุสู้รบไทย – กัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบก็พบว่า เป็นคลิปเก่าที่เคยมีผู้เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ทางเทเลแกรม โดยเป็นคลิปภาษารัสเซียที่ถอดความได้ว่า “มันกำลังตกจากที่สูง” ส่วนข้อความอธิบายวีดิโอ ระบุว่า ในการบุกโจมตีเมื่อเร็วๆ นี้ โดรน ‘เจอเรเนียม’ บินลงมาด้วยความเร็วสูงไปยังเป้าหมายที่ไหนสักแห่งในยูเครน”และเมื่อตรวจสอบกับ Google Map ก็พบว่าสถานที่ที่ปรากฏในคลิปวีดีโออยู่ในหมู่บ้านชนบทซาลิซนิชนา ในเขตคาร์คิฟ ประเทศยูเครน

โคแฟคลองนำภาพในคลิปดังกล่าวไปต้นหาด้วย Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบว่า ชาวเน็ตไทยและกัมพูชาต่างใช้คลิปนี้เพื่ออ้างผลงานของทหารฝ่ายตน อาทิ ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 บัญชียูทูบชื่อ កសិករជនបទ ៚ Rural farmerโพสต์คลิปวิดีโอตั้งชื่อเป็นภาษาเขมรว่า “F16ត្រូវបានបាញ់នៅទឹកដីកម្ពុជា 24/07/2025 (F-16 ถูกยิงตกในกัมพูชา 24 ก.ค. 2568)

ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 เช่นกัน เพจเฟซบุ๊ก ฟ้าให้ ทีวี ได้โพสต์ภาพนิ่งจากคลิปนี้พร้อมกับบรรยายเป็นภาษาไทยว่า เวลา 09.40 น. โดรน zero ทำลายคลัง สป.5 แห่งที่ 2 ของเขมร บริเวณ ด้านหลังภูมะเขือ

ภาพ 04 ภาพจากคลิปเดียวกัน เคยถูกอ้างถึงในช่วงการสู้รบระหว่างอินเดีย – ปากีสถาน (ซ้าย  8 พ.ค. 2568) และรัสเซีย – ยูเครน (ขวา 30 เม.ย. 2568)

ภาพ 05 คลิปวีดีโอถูกโพสต๋ในเฟซบุ๊กวันที่ 24 ก.ค. 2568 อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ไทยโจมตีกัมพูชา (แต่จริงๆ แล้วคือเครื่องบิน Mig-29)

ภาพ 06 คลิปจากมุมเดียวกันที่ถูกโพสต์ก่อนหน้าใน TikTok (ซึ่งบรรยายว่าเป็นเครื่องบิน Mig-29 – ซ้ายและยูทูบ (ที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเหตุการณ์หรือสถานที่ใด – ขวา)

ในวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการสู้รบระหว่างไทย – กัมพูชา บัญชีเฟซบุ๊ก “Nakarince Sawaengsuk” โพสต์คลิปวิดีโอชื่อ สองลูกนี้ส่งมอบให้โดยตรง และใส่ตัวอักษรบรรยายในคลิปว่า “สองลูกนี้มอบให้กัมพูชา” อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) ก็ไปพบคลิปเดียวกันถูกโพสต์ก่อนหน้านั้น 

เช่น ในวันที่ 2 มิ.ย. 2568 บัญชี TikTok ชื่อ “militarylandd” โพสต์ คลิปวิดีโอบรรยายเป็นภาษารัสเซีย ว่า Истребитель МиГ-29 Fulcrum ВВС Украины выполняет боевуюзадачусбрасывая две управляемыеавиабомбы AASM-250.” แปลได้ว่า เครื่องบินขับไล่ MiG-29 Fulcrum ของกองทัพอากาศยูเครนปฏิบัติภารกิจการรบโดยทิ้งระเบิดนำวิถี AASM-250 จำนวน 2 ลูก

อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นคลิปเครื่องบินรบของยูเครนจริงตามที่กล่าวอ้างในคลิป TikTok หรือไม่ โดยยืนยันได้เพียงว่าไม่ใช่คลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การสู้รบไทย –กัมพูชาเท่านั้น อนึ่ง ในวันที่ 4 มิ.ย. 2568 ยังพบช่องยูทูบ “OP Info” โพสต์ คลิปShorts ในชื่อ “lansare” ภาพในคลิปเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด

ภาพ 07 เมื่อภาพจากวีดีโอเกมถูกนำไปใช้อ้างว่าเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดในหลายเหตุการณ์สู้รบ 

มีการแชร์คลิปเครื่องบินทิ้งระเบิดใส่กองทหารและรถบรรทุกในทุ่งกว้าง อาทิ วันที่ 27 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Sokkheang Hen” คลิปReelsบรรยายภาษาเขมรว่า “#ថៃជាអ្នកផ្តើមសង្គ្រាម#កម្ពុជាប្រើសិទ្ធការពារខ្លួន #ប្រទេសថៃបាញ់កម្ពុជាមុន“ (#ไทยเริ่มสงคราม #กัมพูชาใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเอง #ไทยยิงกัมพูชาก่อน)

แต่เมื่อลองใช้ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) ค้นหาภาพ กลับพบว่าคลิปแบบเดียวกันถูกกล่าวอ้างมาก่อนในหลายบริบท เช่น วันที่ 30 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก ลุงกบพาแซ่บโพสต์คลิปReels บรรยายภาษาไทยว่า นาทีถล่มฐานเขมร” และ ขยันถ่ายขยันโพสต์เนาะทหารเขมร แต่ก็ขอบคุณทำให้มีคลิปสวยๆ มาลง

วันที่ 28 ม.ค.2568 บัญชีเฟซบุ๊ก 𝐺𝑎𝑠𝑝𝑎𝑟𝑑 𝑀𝑖𝑒𝑙𝐺𝑘 คลิปวีดีโอ บรรยายเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า  “Wow regardez Ce que les fardc ont fait aux militaires rwandais 🇨🇩 #Goma #Congo #Rwanda (ว้าว ดูสิว่า FARDC ทำอะไรกับกองทัพรวันดา 🇨🇩 #โกมา #คองโก #รวันดา)

หรือคลิปReels ที่ถูกโพสต์โดยบัญชีเฟซบ๊กชื่อAbasi Mtangi ซึ่งเมื่อดูจากช่วงเวลาของผู้แสดงความเห็นแล้วอย่างน้อยที่สุดน่าจะถูกโพสต์เมื่อ 26 สัปดาห์ก่อน (นับย้อนไปจากวันที่ 5 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันเขียนบทความนี้ ซึ่งย่อมต้องอยู่ประมาณต้นปี 2568 ก่อนเหตุสู้รบไทย – กัมพูชาแน่นอน) บรรยายด้วยภาษาสวาฮิลี ว่า “Leo waasi  wamekutana na kitu kizitoo  fanaleki #abasimtangi #africa  pray for Congo 🇨🇩 🇨🇩 ” (วันนี้พวกกบฏต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่จะล้มพวกเขาลง #abasimtangi #แอฟริกา โปรดอธิษฐานเพื่อคองโก 🇨🇩 🇨🇩)

รวมถึงบัญชีเฟซบุ๊ก 李東昇 โพสต์ คลิปวีดีโอพร้อมคำบรรยายภาษาจีน ระบุว่า 俄國士兵被烏克蘭一發海馬斯集束彈殲滅 (ทหารรัสเซียเสียชีวิตจากระเบิดลูกปราย HIMARS ของยูเครน) ถูกโพสต์ในวันที่ 20 ต.ค. 2567 เป็นต้น 

ซึ่งสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เคยเผยแพร่รายงานการตรวจสอบคลิปนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2567 โดยในเวลานั้น ระบุว่า ในวันที่ 2 พ.ย. 2567 พบการแชร์ภาพดังกล่าวด้วยภาษาเกาหลี อ้างว่ามีทหารกว่า 400 นายเสียชีวิตภายในเวลาเพียง 12 วินาทีหลังการทิ้งระเบิด โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 มีรายงานจากหน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ อ้างว่าเกาหลีเหนือได้ส่งทหารไปสนับสนุนรัสเซียทำสงครามกับยูเครน แต่ทางเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม คลิปดังกล่าวทำให้ชาวเกาหลีใต้บางส่วนเชื่อว่าเกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียจริง 

แต่เมื่อทาง AFP ได้ทดลองสืบค้นด้วยวิธี Google Reverse Image ก็ไปพบคลิปในช่องยูทูบ ชื่อคลิปว่า “Amerika A-10C2 Savaş Uçağı Kanada Askerlerine Saldırdı! | DCS (เครื่องบินขับไล่ A-10C2 ของอเมริกาโจมตีทหารแคนาดา! | DCS) ซึ่ง DCS นั้นย่อมาจาก Digital Combat Simulator เป็นวีดีโอเกมที่นำเสนอการจำลองสถานการณ์ทางทหาร รถถัง ยานพาหนะภาคพื้นดิน และเรือรบที่สมจริง และเมื่อสอบถามไปยัง Cagri Karip ผู้โพสต์คลิปดังกล่าว ก็ได้รับคำยืนยันว่าคลิปนี้ตนสร้างขึ้นด้วยเกม DCS และไม่ได้นำเสนอเหตุการณ์จริงใดๆ

จากตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์สู้รบ โดยเฉพาะในช่วงวันแรกๆ ของเหตุการณ์ สิ่งที่มักตามมาเสมอคือ “ข่าวลวง” ซึ่งทำให้นึกถึงงานชิ้นแรกๆ ของโคแฟคอย่าง ตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวเท็จ สถานการณ์ในยูเครน COFACT Special Report #18” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2565 หรือราว 1 สัปดาห์ หลังรัสเซียกกองทัพบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ในเวลานั้นสถานการณ์ของข่าวลวงก็ไม่ต่างกับในปัจจุบัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ในหลากหลายที่มา ทั้งจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่ดำเนินการเป็นระบบ การโพสต์ของปัจเจกบุคคลเพื่อเอาใจช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไปจนถึงโพสต์เพื่อต้องการยอดติดตามและแชร์ต่อ (ซี่งอาจหมายถึงรายได้ของผู้โพสต์)

และยิ่งผู้รับสารกำลัง อิน มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์นั้นมากเท่าใดก็จะยิ่งมีโอกาสแชร์ต่อมากเท่านั้น ตั้งสติก่อนเชื่อและแชร์” จึงยังคงเป็นคำเตือนสำคัญที่ต้องย้ำกันอยู่เสมอ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1045839897752529&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3 (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : Cofact 24 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682D7KF (Video edited with motion graphics software falsely linked to Thailand-Cambodia conflict : AFP 31 ก.ค. 2568)

https://tfc-taiwan.org.tw/fact-check-reports/false-claim-thai-cambodia-conflict-russian-drone-footage (網傳影片「泰國F16被柬埔寨打下來」?: Taiwan Fact Checker 4 ส.ค. 2568)

https://thecurrent.pk/fact-check-india-hit-lahore-with-a-kamikaze-drone (FACT CHECK: India hit Lahore with a Kamikaze drone? : The Current 8พ.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36LM9QJ (Video game footage misrepresented as ‘massacred North Korean troops’ : AFP 11 พ.ย. 2568)