ฉากเกมออนไลน์-ภาพจุดบั้งไฟ ถูกอ้างเท็จว่าเป็นเหตุสู้รบอินเดีย-ปากีสถาน

กองบรรณาธิการโคแฟค

ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานดูเหมือนเป็นประเด็นที่ไกลตัวคนไทย แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยกลับเผยแพร่เนื้อหาเท็จจำนวนมากเกี่ยวกับการโจมตีตอบโต้กันของสองประเทศนี้ โคแฟครวบรวม 7 เนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่นับตั้งแต่อินเดียเปิดฉากโจมตีปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้เห็นรูปแบบของการเผยแพร่ข่าวลวงในบริบทความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มต้นหลังจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในฝั่งแคชเมียร์ของอินเดียเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงนี้ แม้ว่าปากีสถานจะปฏิเสธ แต่อินเดียก็เปิดฉากโจมตีปากีสถานและพื้นที่บางส่วนของแคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจุดชนวนให้เกิดการโจมตีตอบโต้กันตามแนวพรมแดนของทั้งสองประเทศเป็นเวลา 4 วัน มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายกว่า 60 ราย ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568

แม้ว่าทั้งสองชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ในเอเชียใต้จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่ข้อมูลบิดเบือนในโซเชียลมีเดียยังคงแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงบรรดาผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยด้วย

โคแฟครวบรวมเนื้อหา 7 ชิ้นที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยให้ข้อมูลเท็จและบิดเบือนว่าเป็นภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถาน

1. วิดีโอรถบรรทุกระเบิดในเมืองมุมไบถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีอินเดียด้วยขีปนาวุธของปากีสถาน

ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยเผยแพร่วิดีโอที่เขียนข้อความบรรยายว่า “สงครามอินเดียกับปากีสถานเมื่อวาน” โดยวิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นเหตุระเบิดรุนแรงบนถนน มีไฟไหม้และกลุ่มควันขนาดใหญ่ ฝังข้อความภาษาไทยว่า “ขีปนาวุธปากีสถานโจมตีอินเดีย” วิดีโอนี้ได้รับการกดถูกใจมากกว่า 5,700 ครั้ง และถูกแชร์ต่อมากกว่า 300 ครั้ง ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบ

โคแฟคตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือค้นหาภาพแบบย้อนหลังในกูเกิล (Google reverse image search) โดยแยกภาพนิ่งจากวิดีโอออกมาตรวจสอบ และพบว่าวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้งานอินสตาแกรมรายหนึ่ง (ลิงก์บันทึก) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีข้อความประกอบวิดีโอว่า “มุมไบ”

การค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม ทำให้พบว่าวิดีโอที่คล้ายกันนี้ปรากฏในโพสต์ X (ลิงก์บันทึก) ของสำนักข่าวไทมส์ออฟอินเดีย (Times of India) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเขตธาราวี มุมไบ จากเหตุรั่วไหลของแก๊สแอลพีจีจากรถบรรทุกที่บรรทุกถังแก๊สจำนวนมาก”

รายงานข่าวของไทมส์ออฟอินเดีย (ลิงก์บันทึก) ระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 24 มีนาคม 2568 เกิดเหตุถังแก๊สของรถบรรทุกระเบิดบริเวณใกล้กับท่ารถเมล์แห่งหนึ่งบนถนนไซออน-ธาราวีในเมืองมุมไบ โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในการควบคุมเพลิง

2. คลิปจากเหตุระเบิดที่ท่าเรือดูไบปี 2564 ถูกแชร์ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ฐานทัพอินเดียถูกโจมตีโดยปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยรายหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ เป็นภาพเปลวเพลิงและกลุ่มควันขนาดใหญ่จากเหตุระเบิด มีชิ้นส่วนจากแรงระเบิดเกลื่อนพื้น เจ้าของโพสต์เขียนข้อความประกอบวิดีโอว่า “ด่วน ฐานทัพอากาศอินเดียในรัฐคุชราต หลังจากปากีสถานโจมตีด้วยขีปนาวุธ” โพสต์นี้ได้รับการกดถูกใจเกือบ 900 ครั้งและถูกแชร์ต่อ 30 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เคยถูกเผยแพร่ในบัญชี X ของทาเมียร์ อัลมิสชาล (Tamer Almisshal) ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 (ลิงก์บันทึก) มีคำบรรยายเป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นไทยได้ว่าเป็นภาพความเสียหายจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำนักข่าวอัลจาซีราในซีเรีย (ลิงก์บันทึก) และสำนักข่าวอะราเบียนเดลี่ (ลิงก์บันทึก) ก็เผยแพร่วิดีโอเดียวกันในรายงานข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยระบุว่าเกิดเหตุระเบิดบนเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในช่วงกลางดึกของวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต

3. คลิปประเพณีบั้งไฟในไทยถูกบิดเบือนว่าเป็นโดรนที่อินเดียส่งไปโจมตีปากีสถาน

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่วิดีโอ บันทึกภาพวัตถุชิ้นหนึ่งหมุนเป็นวงในอากาศก่อนจะพุ่งตกลงสู่พื้นและปล่อยควันเป็นทางยาว ผู้โพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ปากีสถาน สามารถเห็นโดรนของอิสราเอลในวิดีโอที่ส่งโดยอินเดียไปยังปากีสถาน”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพงานเทศกาลบุญบั้งไฟในอำเภอทุ่งไชย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าถูกเผยแพร่ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 (ลิงก์บันทึก)

เมื่อตรวจสอบคลิปนี้อย่างละเอียดยังพบว่ากลุ่มคนในวิดีโอสวมเสื้อสีแดง ด้านหลังมีข้อความ “ตำบลทุ่งไชย”

เมื่อโคแฟคค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม พบว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 (ลิงก์บันทึก) ได้รายงานเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ว่าชุมชนในตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดเทศกาลแห่บั้งไฟตะไลยักษ์ ซึ่งเป็นประเพณีประจำปีของชาวอีสานที่จัดขึ้นเพื่อขอฝนตามความเชื่อดั้งเดิม

สำนักข่าวต่างประเทศอย่างรอยเตอร์ก็ได้ตรวจสอบวิดีโอเดียวกันนี้ โดยเขียนรายงานการตรวจสอบไว้ด้วย (ลิงก์บันทึก)

4. คลิปเหตุระเบิดในเลบานอนปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีฐานทัพปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ในช่วงที่สถานการณ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานทวีความตึงเครียด ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่คลิปวิดีโอ เหตุระเบิดเวลากลางคืนในย่านที่อยู่อาศัย มีเปลวไฟและกลุ่มควันขนาดใหญ่ตามมา ระบุข้อความประกอบว่า “คลิปอีกมุมมองหนึ่ง ภาพกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ขีปนาวุธพิสัยไกลพุ่งเข้าใส่ฐานทัพอากาศปากีสถานในเมืองลาฮอร์ ระบบป้องกันของจีนในปากีสถานไม่สามารถสกัดกั้นได้”

ในความเป็นจริงแล้ว คลิปวิดีโอดังกล่าวมาจากเหตุระเบิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองของกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี 2568

โคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปต้นฉบับถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 โดยระบุว่าเป็นคลิปเหตุการณ์การโจมตีและระเบิดในกรุงเบรุต (ลิงก์บันทึก)  

สำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกา (Voice of America) ก็ได้เผยแพร่คลิปเดียวกันนี้เช่นกัน (ลิงก์บันทึก) ให้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งกองทัพอิสราเอลแถลงว่าได้สังหารฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ รวมถึงผู้บัญชาการแนวรบทางใต้และแกนนำระดับสูงอีกหลายคน

5. ภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินตกในอินเดียปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นเหตุเครื่องบินรบอินเดียตกหลังถูกปากีสถานโจมตี

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ในเวลากลางคืน โดยเขียนบรรยายภาพว่า “อินเดีย – ปากีสถาน ยิงถล่มทางอากาศ เครื่องบินร่วงแล้ว 5 ลำ หลายสายการบินแห่ยกเลิกเที่ยวบิน”

โพสต์ดังกล่าว ซึ่งได้รับการกดถูกใจมากกว่า 400 ครั้ง ถูกเผยแพร่ในช่วงที่มีรายงานการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการยิงปืนใหญ่ระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยขณะนั้น กองทัพปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำ  

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียตกระหว่างการฝึกบินเวลากลางคืนในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เมื่อเดือนกันยายน 2567  

ภาพเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ในช่องยูทูบของสำนักข่าวอินเดียทูเดย์เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 (ลิงก์บันทึก) โดยรายงานระบุว่าเป็นภาพเครื่องบิน MiG-29 ของกองทัพอากาศอินเดียที่ประสบอุบัติเหตุตกในเขตบาร์เมอร์ รัฐราชสถาน ขณะกำลังฝึกบินในเวลากลางคืน

นิวเดลีเทเลวิชันหรือ NDTV สถานีโทรทัศน์ของอินเดียได้เผยแพร่ภาพจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยระบุชัดว่าเป็นภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจฝึกบิน ไม่ใช่การโจมตีทางทหาร และนักบินของเครื่องบินลำดังกล่าวปลอดภัยดี (ลิงก์บันทึก)

6. ภาพเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในกรุงเบรุตปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีในแคชเมียร์และท่าเรือในปากีสถาน

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพถ่ายเหตุระเบิดยามค่ำคืนที่แสดงเปลวไฟขนาดใหญ่พร้อมกลุ่มควันจำนวนมาก โดยคำบรรยายระบุว่า “Breaking News: แคชเมียร์ลุกเป็นไฟ! อินเดีย-ปากีสถานเปิดศึกปะทะหนัก จรวด-โดรนว่อนฟ้า”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกรายหนึ่งแชร์ภาพเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 โดยมีข้อความฝังในภาพว่า “อินเดียโจมตีครั้งใหญ่ที่ท่าเรือการาจี”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในรายงานข่าวของสำนักข่าว ABC News (ลิงก์บันทึก) คำบรรยายภาพระบุว่า “เปลวไฟและกลุ่มควันลอยขึ้นจากเหตุโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเขตดาเฮีย กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567”  

สำนักข่าวเอพียังได้เผยแพร่วิดีโอของเหตุการณ์เดียวกันในช่องยูทูบ (ลิงก์บันทึก) พร้อมคำบรรยายว่า “แรงระเบิดสะเทือนกรุงเบรุตตลอดคืนจากการโจมตีของอิสราเอล”

7. คลิปจากวิดีโอเกมถูกบิดเบือนว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์จริงที่ปากีสถานยิงเครื่องบินอินเดียตก

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้งานติ๊กต็อกแชร์คลิปวิดีโอ ที่มีข้อความฝังไว้ว่า “ปากีสถานยิงเครื่องบินของอินเดียตก ใกล้เมืองบาฮาวาลปูร” ส่วนคำบรรยายใต้คลิปเขียนว่า “อินเดีย-ปากีสถานล่าสุด ยิงเครื่องบินอินเดียตก #ข่าวต่างประเทศ #อินเดีย #ปากีสถาน #ขัดเเย้ง” มีผู้กดถูกใจกว่า 2,000 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าวและพบว่าคลิปนี้ไม่ได้มาจากเหตุการณ์จริง แต่เป็นฉากจากวิดีโอเกมแนวจำลองสถานการณ์ทหารชื่อ Arma 3 ซึ่งถูกเผยแพร่ไว้ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 (ลิงก์บันทึก) โดยในคำอธิบายระบุชัดว่าเป็นวิดีโอเกมจำลองทางทหารจากเกม Arma 3  

โคแฟคเปรียบเทียบภาพในวิดีโอ และพบว่าเนื้อหาจากคลิปในติ๊กต็อกตรงกับวิดีโอในยูทูบ ตั้งแต่ช่วงเวลา นาทีที่ 3.38 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาวิดีโอเกมดังกล่าวอย่างโบฮีเมีย อินเตอร์แอ็กทีฟ (Bohemia Interactive) ได้ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านทางอีเมลว่า คลิปดังกล่าวเป็นเนื้อหาจากเกมที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาจริง (ลิงก์บันทึก)

ภาพและวิดีโอส่วนใหญ่เป็นของจริง แต่ถูกนำมาบิดเบือนในบริบทความขัดแย้ง

ในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้แชร์ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจำนวนมากที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างทั้งสองประเทศ ส่วนใหญ่เป็นภาพและวิดีโอจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นภาพการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีภาพอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบเลยอย่างเช่น ประเพณีบั้งไฟและภาพจากเกมออนไลน์มาอ้างเท็จด้วย

แม้ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้จะไม่ได้ผ่านการตัดต่อหรือดัดแปลง แต่การนำมาใช้ผิดบริบท ใส่คำบรรยายที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจผิด ตื่นตระหนก และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสำคัญ เช่น การเดินทาง การทำธุรกิจได้  

ในช่วงที่สถานการณ์อ่อนไหวอย่างเช่นการสู้รบหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งต่อข่าวลวง-ข้อมูลเท็จที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

33 ปี พฤษภา35 : สื่อไทยวนเวียนวังวนอำนาจ หรือ รีบอร์นสู่อนาคต?

กิจกรรม

รับชมคลิปเต็ม คลิก

ประเด็นสำคัญ

• วังวนการเมืองและสื่อ : การปฏิรูปสื่อยังติดอยู่ในวงจรของการควบคุมโดยอำนาจรัฐและทุนนิยม สะท้อนผ่านการยึดสื่อในเหตุการณ์รัฐประหารและการผูกขาดโครงข่ายในยุค OTT

• ความสำคัญของฟรีทีวี : ฟรีทีวียังคงจำเป็นในฐานะแพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการรับข้อมูล

• การกำกับดูแล OTT : การขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนในการกำกับแพลตฟอร์ม OTT ทำให้เกิดความท้าทายในการคุ้มครองผู้บริโภคและรักษาคุณภาพเนื้อหา

• จริยธรรมสื่อและการรีบอร์น : การสร้างจริยธรรมสื่อที่แข็งแกร่งและการระดมทุนจากภาคประชาชนเป็นทางออกเพื่อให้สื่อเป็นอิสระจากอิทธิพลของรัฐและทุน

• บทบาท กสทช. : องค์กรอิสระอย่าง กสทชถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและความเป็นอิสระในการกำกับดูแลสื่อและโทรคมนาคม

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 รายการ Cofact Live Talk จัดเสวนาในหัวข้อ “33 ปี พฤษภา 35 จากฟรีทีวีถึง OTT การปฏิรูปสื่อก้าวหน้าหรือถอยหลัง” ถ่ายทอดสดผ่านเพจ Cofact, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ Ubon Connect โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณสมชัย สุวรรณบรรณ อดีตบรรณาธิการข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิทยุBBC ลอนดอน และอดีตผู้อำนวยการ Thai PBS, ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรตน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษา Cofact (ประเทศไทยและอดีตรองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.), คุณระวี ตะวันธรงค์กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติและคุณสุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact (ประเทศไทยดำเนินรายการโดยผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อย้อนรำลึกเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และทบทวนพัฒนาการของการปฏิรูปสื่อในประเทศไทยจากยุคฟรีทีวีสู่ยุค OTT (Over-The-Top) พร้อมตั้งคำถามว่าการปฏิรูปสื่อไทยก้าวหน้าหรือถอยหลังกันแน่

คุณสมชัย สุวรรณบรรณ เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงพฤษภาทมิฬ2535 ขณะทำงานที่ BBC ลอนดอน ซึ่งต้องกลับมาช่วยรายงานข่าวท่ามกลางการปิดกั้นสื่อในไทย ทำให้ BBC กลายเป็นแหล่งข่าวที่ประชาชนไว้วางใจ ส่งผลให้เกิดการขยายฐานผู้ฟังและถ่ายทอดผ่านสถานีวิทยุในไทย เขาชี้ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 นำมาซึ่งการก่อตั้งกสทชและ Thai PBS 

แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปสื่อ มีทั้งความก้าวหน้าและถอยหลัง ปัจจุบัน สื่อดิจิทัลมักเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าหลักวารสารศาสตร์ ส่งผลให้สังคมเสื่อมถอย การผูกขาดโทรคมนาคมทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงข้อมูลกลายเป็น “ทาสเทเลคอม” เขายกตัวอย่างอังกฤษที่ออกกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์จากกรณีเนื้อหาจูงใจให้ฆ่าตัวตาย พร้อมเสนอให้ควบคุมแพลตฟอร์ม OTT เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสังคมสนับสนุนสื่อสาธารณะอย่าง Thai PBS และ Cofact ในการตรวจสอบเนื้อหา และป้องกันการถอยกลับสู่อำนาจนิยม โดยเฉพาะเมื่อเห็นกระแสฟาสซิสต์ฟื้นตัวในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรตน์ไตรรัตน์ ระบุว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เผยให้เห็นการปิดกั้นสื่อโดยรัฐ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องปฏิรูปสื่อและนำไปสู่รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ ITV และแนวคิดปฏิรูปสื่อ อย่างไรก็ตาม การเมืองและสื่อยังวนเวียนอยู่ในวงจรของการควบคุมโดยรัฐและทหาร การยึดคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ในช่วงรัฐประหารเป็นตัวอย่างชัดเจน เธอเน้นว่า ฟรีทีวียังคงจำเป็นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องจ่ายค่าเน็ต ลดความเหลื่อมล้ำ และต้องมีเนื้อหาที่มีสุนทรียะ ปัญหาคือ กสทชถูกตั้งคำถามว่าไม่อิสระอย่างแท้จริงและขาดประสิทธิภาพ การถือครองคลื่นยังคงอยู่กับภาครัฐ โดยเฉพาะวิทยุที่รัฐครอง 100% ผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัลเผชิญความไม่แน่นอนเมื่อใบอนุญาตจะสิ้นสุดในปี 2572 เธอเสนอให้กสทชทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ ประกาศแผนแม่บทฉบับที่ 3 ให้ชัดเจน สนับสนุนให้ประชาชนและผู้รับใบอนุญาตมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตสื่อ และรักษาสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผ่านฟรีทีวี

คุณระวี ตะวันธรงค์ เล่าถึงช่วงพฤษภาทมิฬ 2535 ที่ยังเป็นนักศึกษาและไม่มีส่วนร่วมโดยตรง แต่คุณพ่อ (คุณฉัตรชัย ตะวันธรงค์ถูกทำร้ายในเหตุการณ์ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ สะท้อนการปิดกั้นสื่อ ในปี2553 เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง Spring News และพัฒนาการรายงานสดผ่าน 3G ซึ่งเป็นนวัตกรรมในยุคนั้น เขามองโครงสร้างสื่อใน 3 ชั้นนักข่าวที่มีอุดมคติองค์กรเอกชนที่จ้างนักข่าวและรัฐกับการเมืองที่ควบคุมผ่านระบบทุนนิยม

ปัจจุบัน สื่อเอกชน เช่น Workpoint, RS, ช่อง 3, ช่อง 7 ขาดทุนหนักต้องหันไปผลิตรายการบันเทิงเพื่อเอาตัวรอด เขาเชื่อว่าสื่อต้อง “รีบอร์น” โดยใช้จริยธรรมที่แข็งแกร่งเป็นรากฐาน คนรุ่นใหม่ (Gen Alpha, Gen Z) มีความรู้เท่าทันสื่อสูงและเลือกกรองเนื้อหา เขาเสนอให้สร้างกองทุนระดมทุนจากประชาชน (Crowdfunding) เพื่อสนับสนุนสื่ออิสระที่เน้นข้อมูลเชิงลึก โดยปราศจากการครอบงำจากรัฐหรือทุน

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ เล่าว่า ในฐานะนิสิตในปี 2535 เธอสัมผัสบรรยากาศตึงเครียดและการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและอาจารย์เช่น อาจารย์อุบลรัตน์ ศิริยุทธเสนา ที่ผลักดันการปฏิรูปสื่อและการเมือง สิทธิเสรีภาพดีขึ้นเมื่อเทียบกับยุคก่อน 2535 และเทคโนโลยีสื่อก้าวกระโดดตั้งแต่ 3G และสมาร์ทโฟน แต่ในเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมการกำกับดูแลยังถอยหลัง ขาดความรู้เท่าทันสื่อ ทำให้ประชาชนถูกหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์มากที่สุดในภูมิภาค การผูกขาดโทรคมนาคมโดย 2 รายใหญ่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าเน็ตแพง เธอเน้นว่า ฟรีทีวีจำเป็นต้องคงอยู่เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่มีกำลังจ่ายค่าเน็ต เธอเสนอให้รักษาแพลตฟอร์มฟรีทีวี ผลักดันการกำกับดูแล OTT ที่เป็นธรรม สร้างกองทุนสื่ออิสระที่บริหารโดยภาคประชาสังคม และรวมพลังภาคเอกชน ประชาชน และสื่อสาธารณะเพื่อต่อรองกับ กสทชและกำหนดอนาคตสื่อ

การเสวนาครั้งนี้สะท้อนว่า การปฏิรูปสื่อตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2535 มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและเสรีภาพ แต่ยังติดอยู่ในวังวนของการควบคุมโดยอำนาจรัฐและทุน การปฏิรูปสื่อควรเน้นการรักษาฟรีทีวีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กำกับดูแล OTT อย่างเป็นธรรม สร้างจริยธรรมสื่อที่แข็งแกร่ง สนับสนุนกองทุนสื่ออิสระจากประชาชน และผลักดันให้ กสทชทำหน้าที่อย่างโปร่งใส รวมถึงสร้างเวทีหารือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดทิศทางสื่อไทยให้เป็นเครื่องมือส่งเสริมประชาธิปไตยและความรู้อย่างแท้จริง

ขอบคุณที่มา ubonconnect


ไขข้อข้องใจ น้ำดื่มแถมจากปั๊มน้ำมัน อันตรายจริงหรือ?

ประเด็นสุขภาพ

รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว EP.2 วันที่20 พฤษภาคม 2568 ได้เผยแพร่เรื่องที่เกิดจากจากกระแสไวรัลทางโซเชียลมีเดียที่เตือนว่าน้ำดื่มแจกฟรีตามปั๊มน้ำมันอาจอันตราย สร้างความกังวลให้ประชาชนว่าขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้มีรูพรุนจิ๋ว ทำให้สารเคมี แบคทีเรียหรือฝุ่นซึมเข้าไปได้เมื่อร้อน จนอาจก่อมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ มีลูกยาก หรือตับไตพัง รวมถึงคำเตือนว่าห้ามใช้ชงนม ล้างแผล หรือทำอาหาร จริงหรือไม่

รวมพลคนเช็กข่าว ได้เชิญ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อ.เจษฎ์) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, และประชาชนผู้ร่วมตรวจสอบข่าวอย่าง พลอย และ น้าติ๊ก มาร่วมหาคำตอบ โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ

ขวดน้ำพลาสติกมีรูพรุนจิ๋ว ทำให้สารเคมีหรือแบคทีเรียเข้าได้จริงหรือ?

ตามที่คลิปไวรัลระบุว่า ขวดน้ำพลาสติกมีรูพรุนขนาดเล็ก ที่มองไม่เห็น อาจทำให้สารเคมี ฝุ่น หรือเชื้อโรคซึมเข้าไปได้เมื่อขวดถูกความร้อน อ.เจษฎ์ อธิบายว่าขวดน้ำดื่มส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง รูพรุนขนาดเล็ก (ประมาณ 2 นาโนเมตร) มีจริง แต่เล็กมากจนสารเคมี เช่น ไอระเหยน้ำมัน หรือเชื้อแบคทีเรีย (ขนาดใหญ่กว่ารูพรุนมาก) ซึมผ่านได้ยากและช้ามาก การที่น้ำในขวดจะปนเปื้อนจนเป็นอันตรายจึงแทบเป็นไปไม่ได้ในสภาวะปกติ

น้ำดื่มจากปั๊มน้ำมันทำให้เป็นมะเร็ง ฮอร์โมนเพี้ยน มีลูกยากหรือตับไตพังจริงหรือ?

คลิปไวรัลอ้างว่าน้ำดื่มที่ตากแดดในปั๊มน้ำมันอาจปล่อยสารเคมี เช่น BPA, Phthalates หรือสารก่อมะเร็ง อ.เจษฎ์ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ขวด PET มีโครงสร้างโมเลกุลที่เสถียร สารเคมีเหล่านี้ไม่หลุดออกมาง่ายๆ แม้ขวดจะถูกความร้อนที่ 40-60 องศาเซลเซียส (เช่น ในรถยนต์ที่จอดตากแดด) การวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และงานศึกษาในต่างประเทศ (เช่น อังกฤษ ปี 2012) พบว่า ต้องใช้ความร้อนสูงถึง 60 องศาเซลเซียสนาน 11 เดือน จึงจะมีสารเคมีหลุดออกมาในปริมาณที่เกินมาตรฐาน ซึ่งในชีวิตประจำวันแทบเป็นไปไม่ได้

ส่วนคำเตือนเรื่องมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ หรือตับไตพัง อ.เจษฎ์ระบุว่า ข้อมูลเหล่านี้เกินจริงและสร้างความตื่นตระหนกเกินเหตุ หากขวดน้ำดื่มอันตรายจริงหน่วยงานสาธารณสุขคงสั่งห้ามจำหน่ายหรือแจกจ่ายไปนานแล้ว

ห้ามใช้ขวดน้ำดื่มชงนม ล้างแผล หรือทำอาหาร จริงหรือ?

อ.เจษฎ์แนะนำว่า น้ำดื่มจากขวดที่สะอาดและได้มาตรฐานสามารถใช้ดื่มได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เหมาะสำหรับการชงนม ล้างแผล หรือทำอาหารโดยตรง เนื่องจาก:

• ชงนม: ควรใช้น้ำต้มสุกเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากขั้นตอนการผลิตหรือการเก็บรักษา

• ล้างแผล: ควรใช้น้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเฉพาะ ไม่ควรใช้น้ำดื่มทั่วไป เพราะอาจมีจุลินทรีย์เล็กน้อยที่ไม่เป็นอันตรายต่อการดื่ม แต่ไม่เหมาะกับแผล

• ทำอาหาร: หากต้องใช้ ควรต้มน้ำก่อนเพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม คำเตือนที่ห้ามใช้โดยเด็ดขาดนั้นเกินจริงและไม่จำเป็นต้องกังวลถึงขนาดนั้น

ขวดน้ำที่ตากแดดในปั๊มน้ำมันหรือทิ้งไว้ในรถยนต์อันตรายหรือไม่?

น้าติ๊ก ถามถึงกรณีขวดน้ำที่ตากแดดทั้งวันในปั๊มน้ำมันหรือทิ้งไว้ในรถยนต์ อ.เจษฎ์ย้ำว่า ขวดน้ำในปั๊มน้ำมันมักมีการหมุนเวียนเร็ว ไม่ได้เก็บไว้นานเป็นเดือน จึงไม่น่าจะมีการสะสมสารเคมีหรือไอระเหยน้ำมันในปริมาณที่เป็นอันตราย พื้นที่ปั๊มน้ำมันเป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทดี โอกาสที่ไอระเหยน้ำมันจะซึมเข้าไปในขวดจึงน้อยมาก

สำหรับน้ำขวดที่ทิ้งไว้ในรถยนต์ การทดลองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า การจอดรถตากแดด 1-7 วัน ไม่ทำให้สารเคมีจากขวด PET หลุดออกมาในระดับอันตราย อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการเก็บไว้นานเกิน 1 ปี เนื่องจากขวดอาจเริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน

สำหรับกลิ่นเหม็นที่บางคนพบในน้ำขวด อ.เจษฎ์ชี้ว่าส่วนใหญ่มาจากน้ำลายหรือเชื้อจุลินทรีย์จากปากของผู้ดื่มเองที่ปนเปื้อนในขวด ไม่ใช่เชื้อโรคจากภายนอกซึมเข้าไป ส่วนค่า pH ของน้ำที่อาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย เนื่องจากน้ำดื่มมีค่าpH ใกล้เคียง 7 (เป็นกลาง) และร่างกายสามารถปรับสมดุลได้

มีหน่วยงานใดตรวจสอบปัญหานี้อย่างจริงจังหรือไม่?

น้องพลอย สอบถามถึงหน่วยงานที่ดูแลและวิธีแจ้งเตือนประชาชน อ.เจษฎ์ระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่:

• สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)และ กระทรวงอุตสาหกรรม: ดูแลมาตรฐานการผลิตขวดน้ำ (มอก.)

• สำนักงานอาหารและยา (อย.) และ กระทรวงสาธารณสุข: ตรวจสอบความปลอดภัยของน้ำดื่มและสารปนเปื้อน

• กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์: วิจัยและตรวจสอบสารเคมีในขวดน้ำดื่ม

• สมาคมพลาสติก: ให้ข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับพลาสติก

หากประชาชนสงสัยหรือพบปัญหา สามารถแจ้ง อย. หรือ สคบ. เพื่อตรวจสอบได้ นอกจากนี้ องค์กรตรวจสอบข่าว เช่น COFACT และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมช่วยตรวจสอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนในการดื่มน้ำขวด

อ.เจษฎ์แนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยและลดความกังวล ดังนี้:

• เลือกซื้อน้ำที่มีคุณภาพ: ตรวจสอบฉลาก วันหมดอายุ และสภาพขวดว่าสะอาด ไม่ชำรุด

• ดื่มให้หมดเร็ว: หลีกเลี่ยงเก็บน้ำขวดไว้นาน โดยเฉพาะหลังเปิดฝา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากน้ำลายหรือจุลินทรีย์

• ไม่ใช้ขวดซ้ำบ่อย: ขวด PET ออกแบบให้ใช้ครั้งเดียว หากใช้ซ้ำ ต้องล้างให้สะอาดและไม่เก็บนานเกิน 1 ปี

• หลีกเลี่ยงความร้อนนานๆ: ไม่ควรทิ้งขวดน้ำในรถที่จอดตากแดดเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน

• แยกเก็บขวดน้ำ: ปั๊มน้ำมันควรเก็บขวดน้ำในที่ร่มห่างจากถังน้ำมัน เพื่อลดความกังวลของผู้บริโภค

• ทิ้งขยะให้ถูกวิธี: แยกขวดพลาสติกเพื่อรีไซเคิล

ข้อสรุปน้ำดื่มจากปั๊มน้ำมันปลอดภัยหรือไม่?

อ.เจษฎ์สรุปว่า น้ำดื่มแจกฟรีจากปั๊มน้ำมันที่ได้มาตรฐานและหมุนเวียนเร็ว ปลอดภัยสำหรับการบริโภค คำเตือนในคลิปไวรัลส่วนใหญ่เป็นการบิดเบือนและเกินจริง โดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ หรือตับไตพัง อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำเพื่อความมั่นใจ เช่น เก็บขวดในที่ร่ม ดื่มให้หมดเร็ว และไม่ใช้ขวดซ้ำนานเกินไป

สุภิญญา กลางณรงค์ เน้นย้ำว่า การตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์เป็นสิ่งสำคัญ รายการ รวมพลคนเช็กข่าว จะเป็นพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตรวจสอบข่าวลือและข้อเท็จจริงต่อไป โดยสามารถติดตามได้ทุกวันอังคารผ่านแพลตฟอร์ม COFACT.ORG หรือ LINE : @COFACT

รับขมเพิ่มเติม คลิก


เครื่องมือตรวจสอบภาพจากเอไอเชื่อถือได้แค่ไหน ?

แม้ว่าเครื่องมือตรวจสอบภาพและวิดีโอที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จะเป็นเครื่องทุ่นแรงที่ช่วยตรวจสอบความจริงแท้ของเนื้อหาในยุคที่คนจำนวนไม่น้อยเลือกใช้เอไอในการสร้างรูปภาพและวิดีโอเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อเรียกยอดไลก์ยอดแชร์ แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาและยังมีข้อจำกัดหลายประการ เราจึงไม่สามารถใช้ผลการตรวจสอบจากเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเพียงแหล่งเดียวได้

ปัจจุบันมีเครื่องมือตรวจสอบภาพและวิดีโอที่สร้างจากเอไอให้เลือกใช้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบฟรีหรือมีค่าใช้จ่าย เช่น AI or Not, AI Detector, Illuminarty, Winston AI และ Fake Image Detector เป็นต้น รวมถึงโปรแกรมที่สำนักข่าวและองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เลือกใช้อย่าง InVID-WeVerify, DeepFake-o-meter และ Hive Moderation

แต่ขณะนี้ยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบเนื้อหาจากเอไอใดที่มีสามารถแสดงผลการวิเคราะห์อย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ในทุกกรณี การใช้เครื่องมือหลาย ๆ ชนิดเพื่อวิเคราะห์ภาพร่วมกันก็สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่วิธีที่ได้ผลที่สุดก็ยังคงเป็นการค้นหาแหล่งที่มาของภาพต้นฉบับเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาพหรือวิดีโอนั้นถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ จากแหล่งที่มาและในบริบทใด และถูกตัดต่อเพิ่มเติมหรือไม่เมื่อถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำ

แม้บางคนจะมองว่าอีกไม่นาน การสังเกตจุดผิดปกติในภาพอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเพราะเครื่องมือเอไอสามารถผลิตภาพและวิดีโอได้สมจริงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการใช้ตาเปล่าสังเกตจุดผิดปกติในภาพยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลดีตราบใดที่เอไอยังไม่สามารถสร้างภาพเสมือนจริงได้สมบูรณ์แบบ หรือเครื่องมือตรวจสอบเอไอยังไม่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาจากเอไอได้ถูกต้องแม่นยำ ดังนั้น การฝึกคัดกรองเนื้อหาจากเอไอด้วยตัวเองจึงเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยุคนี้จำเป็นต้องมีไว้เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้หลงเชื่อหรือกลายเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

วิธีสังเกตรูปภาพ AI

นอกจากการสังเกตลายน้ำหรือโลโก้ของเครื่องมือเอไอต่าง ๆ ซึ่งมักปรากฏบริเวณมุมภาพ วิธีสังเกตรูปภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้นมีดังนี้

  • นิ้วมือหรือนิ้วเท้าของคนและสัตว์มีจำนวนมากหรือน้อยกว่าความเป็นจริง
  • ผิวหนังเรียบเนียนเหมือนไม่มีรูขุมขน
ภาพเอไอที่ระบุว่า “อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงกรณีพระสงฆ์เริงรักแม่ชีกลางลานพญานาค”
  • ตัวอักษรและข้อความไม่มีความหมาย
ภาพเอไอของ “ศาลเจ้าออปติมัสไพรม์”
  • แสงและเงาไม่สอดคล้องกัน
ภาพเอไอและคำกล่าวอ้างเท็จที่ว่า “กุนุงปาดังเป็นปีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก”
  • องค์ประกอบภาพสวยงามเกินจริง
  • สัดส่วนของคนและวัตถุไม่สัมพันธ์กัน
  • ใบหน้าคนบิดเบี้ยว
ภาพเอไอที่อ้างว่า “พบกระดูกยักษ์คอยาวที่สุดในโลก” ในป่าแอมะซอน
  • ดวงตาและฟันของคนหลาย ๆ คนในภาพมีลักษณะและการจัดเรียงเหมือนกันทุกมุม
ภาพเอไอเกี่ยวกับการค้นพบเครื่องบินมาเลเซีย MH370
  • วัตถุในภาพบางส่วนเคลื่อนไหวในขณะที่บางส่วนหยุดนิ่งอยู่กับที่

เครื่องมือตรวจสอบ AI ของกูเกิล

ในส่วนของกูเกิล เราสามารถใช้การค้นหาภาพย้อนหลัง (Reverse Image Search) และคลิกที่ “เกี่ยวกับรูปภาพนี้” เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือหากพบข้อความ “สร้างด้วย Google AI” ก็หมายความว่ารูปดังกล่าวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพถูกสร้างขึ้นด้วยเอไอของกูเกิล ซึ่งจะมีลายน้ำดิจิทัลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแต่เครื่องมือของกูเกิลสามารถตรวจจับได้

ฟีเจอร์ “เกี่ยวกับรูปภาพนี้” (About this image) ของกูเกิล จะขึ้นข้อความ “สร้างด้วย Google AI” หากรูปภาพถูกสร้างจากเครื่องมือเอไอของกูเกิล

แม้ว่าสุดท้ายนี้เราจะไม่สามารถสรุปได้ว่าเครื่องมือตรวจสอบเอไอชนิดไหนมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกับเครื่องมือค้นหาข้อมูลอื่น ๆ รวมถึงการฝึกฝนทักษะการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อจับผิดภาพที่สร้างจากเอไอด้วยตัวเองโดยยึดหลัก “ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อข้อมูล” ก็ช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้หลงเชื่อข้อมูลลวงในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเอไอถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดได้เป็นอย่างดีแล้ว

หมายเหตุ: บทความนี้ไม่มีเจตนาสนับสนุนหรือโฆษณาโปรแกรมใด ๆ ที่ถูกกล่าวถึง

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2568

ตลาดทุเรียนราคาลดลง เนื่องจากรถขนส่งทุเรียนไทย ติดด่านจีนจํานวน 500 คัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b6lz2j0vsx9r


กลืนยาสีฟันเสี่ยงสมองเสื่อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s9gicfkkpzgt


พายุหอยหมีเข้าไทย วันที่ 9-13 พ.ค. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1k08hsak1game


ผักชีฝรั่งเสี่ยงทำให้แท้งลูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jbaxb3zbu79l#_=_


พบหมูเถื่อนปนเปื้อนเชื้อโรค นำเข้าจากจีน ส่งขายทั่วประเทศไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/s6wizvfkl1wd#_=_


คณะกรรมการการบินพลเรือน ประกาศมาตรการคุ้มครองสิทธิผู้โดยสารเที่ยวบินฉบับใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/199uypw6ib7an


ภาพไอเดียสร้างสกายวอล์กแห่งแรกของ บึงกาฬ ที่ หินสามวาฬ

อ่านต่อได้ที่ อ่านต่อhttps://cofact.org/article/1jwq38gsuy6ri


คุมเข้มเปิดเทอม ทุกพื้นที่ในโรงเรียนต้องปลอดบุหรี่ไฟฟ้า

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qu64supnwer0


กรมสรรพสามิต ยืนยันการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ไม่กระทบราคาขายปลีกน้ำมัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dvxhkze95t3i


 กทม. เตรียมเปิด ‘บ้านอิ่มใจ’ แก้ปัญหาคนไร้บ้าน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1c9y57i7eqhtn


โควิดกลับมาระบาด ปีนี้ทั่วประเทศติดแล้ว 4 หมื่นคน เสียชีวิตแล้ว 14 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/65jaewhc3rdj


โควิดระบาดรอบใหม่ร้ายแรง? ชัวร์หรือมั่ว!

กิจกรรม

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศครั้งแรกผ่านช่องทาง COFACT , UbonConnect ทั้ง Facebook และ Youtube รวมถึงเครือข่าย วารินชำราบบ้านเฮา , Vr CableTV , สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนร่วมตรวจสอบข่าวลวง ข่าวปลอม และข่าวเท็จที่แพร่สะพัดในสังคม ครั้งนี้ประเด็นร้อนที่นำมาพูดคุยคือข่าวลือเรื่อง “โควิด-19 ระบาดรอบใหม่รุนแรง” ซึ่งสร้างความกังวลให้ประชาชนจากข้อความที่แชร์กันในโซเชียลมีเดียและกลุ่มไลน์ โดยสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT นายแพทย์ธีระพงษ์ แก้วภมร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี คุณเบ็ญ ตัวแทนประชาชนคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดยสุชัย เจริญมุขยนันท

ในช่วงเริ่มรายการ คุณสุภิญญาเน้นย้ำแนวคิดของ COFACT ที่ต้องการให้ทุกคนเป็น “คนเช็กข่าว” ด้วยตัวเองในยุคที่ข้อมูลท่วมท้นและยากจะแยกแยะความจริง โดย COFACT มีฐานข้อมูลออนไลน์ให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูล รวมถึงเปิดช่องทางให้ส่งข่าวมาพิสูจน์ผ่าน LINE @COFACT และเว็บไซต์ cofact.org ด้านคุณเบ็ญเล่าถึงข้อความในกลุ่มไลน์ที่ได้รับ เช่น ข่าวเตือนให้งดเดินทาง ระวังการระบาดรุนแรงใน 8 จังหวัด พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเอง เช่น การกินวิตามินซี วิตามินอี ตากแดด และรักษาความชุ่มชื้นในลำคอ รวมถึงคำเตือนเรื่องล็อกดาวน์หรือการติดเชื้อจากการเดินสวนกัน ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้รับสาร

นายแพทย์ธีระพงษ์ชี้แจงว่า ข่าวลือเรื่องโควิดระบาดรอบใหม่รุนแรงนั้นไม่เป็นความจริง ปัจจุบันโควิด-19 ถือเป็น “โรคประจำถิ่น” ที่พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีเหมือนไข้หวัดทั่วไป โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่า ในปี 2568 มีผู้ป่วยสะสม 45,958 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีผู้ป่วย 777,730 ราย และเสียชีวิต 222 ราย ลดลงเกือบ 7 เท่า

ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ อยู่แล้ว แม้ไม่ติดโควิด การระบาดเป็นกลุ่มก้อนหรืออาการรุนแรงก็ลดลงอย่างชัดเจน

สำหรับคำแนะนำที่แชร์กัน เช่น การดื่มน้ำอุ่น 50-80 ซีซีเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในลำคอ หรือการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด คุณหมอยืนยันว่าไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการดื่มน้ำปริมาณเฉพาะเจาะจงป้องกันโควิดได้ การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ร่างกายแข็งแรงทั่วไป แต่การป้องกันที่มีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีน (ซึ่งปัจจุบันไม่ได้นำเข้าแล้ว) การสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด การล้างมือบ่อย ๆ และการอยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดเป็นคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดโอกาสติดเชื้อไม่เฉพาะโควิด แต่รวมถึงไข้หวัดใหญ่หรือวัณโรคด้วย

เมื่อถูกถามถึงวิธีแยกอาการโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ คุณหมออธิบายว่าอาการคล้ายกันมาก เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย แต่โควิดอาจมีอาการเฉพาะ เช่น การสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น หายใจลำบาก หรือท้องเสีย การตรวจ ATK เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยัน ส่วนกรณีที่ประชาชนกังวลเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีน คุณหมอชี้แจงว่าในช่วงวิกฤตโควิด ทุกประเทศต้องเร่งพัฒนาและใช้วัคซีนในเวลาจำกัดเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ซึ่งประเทศไทยก็ติดตามผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง โดยส่งข้อมูลให้คณะกรรมการพิจารณาเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่มีวัคซีนโควิดนำเข้าแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาตามอาการ

สำหรับสัญญาณที่ควรไปโรงพยาบาล คุณหมอแนะนำให้สังเกตอาการที่กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หายใจไม่สะดวก ท้องเสียรุนแรง หรืออาการทรุดลง โดยสามารถติดต่อหน่วยสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อรับคำแนะนำ โดยไม่ต้องแจ้งสถานพยาบาลเหมือนในอดีต เนื่องจากโควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ส่วนไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาด คุณหมอระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากปอดอักเสบทุกปี และแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มีให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป

คุณหมอยังเตือนถึงปัญหาข่าวลวงด้านสุขภาพที่พบมากในโซเชียลมีเดีย เช่น ข่าวเท็จที่อ้างชื่ออาจารย์ประสิทธิ์จากศิริราชเตือนการระบาดรุนแรง ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่เป็นความจริง แนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หรือสอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน แทนการเชื่อข้อมูลจาก TikTok หรือโพสต์ที่หวังยอดไลก์

สรุป: ข่าวลือโควิดระบาดใหม่รุนแรงเป็น “ข่าวมั่ว” โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นที่ไม่น่ากังวลเหมือนในอดีต ประชาชนควรใช้ชีวิตตามปกติ ป้องกันตัวด้วยวิธีพื้นฐาน และตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

รับชมเพิ่มเติม คลิก

กรรมการอิสลามระบุ “เคเอฟซีในไทย ไม่มีตราฮาลาล”  

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาเฟซบุ๊กโพสต์ที่ระบุว่า คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี (กอจ. ปัตตานี) ประกาศว่าร้านไก่ทอด “เคเอฟซี” ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีเครื่องหมายรับรองฮาลาล ผลการตรวจสอบพบว่า ร้านเคเอฟซีทุกสาขาในประเทศไทยไม่ได้รับการรับรองฮาลาลจริง แต่ กอจ. ปัตตานีไม่ได้ออกประกาศใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงเวลานี้

ประเด็นเรื่องเคเอฟซีกับตราฮาลาลถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมานานหลายปี และมักมีผู้โพสต์จุดประเด็นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก “พา กิน เที่ยว Pa Kin Tiaw” โพสต์ข้อความว่า “ห๊ะะะะ กอจ ปัตตานี ประกาศ kfc 3 จังหวัดไม่มีฮาลาล #ไม่มีฮาลาลกินไม่ได้นะคับ” (ลิงก์บันทึก) โดยอ้างคำพูดของนายอับดุลมานะ เจะเล๊ะ กรรมการด้านกิจการฮาลาล คณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ว่าร้านเคเอฟซีไม่มีเครื่องหมายรับรองฮาลาล มุสลิมที่รับประทานต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม โพสต์นี้ถูกแชร์ไป 600 ครั้ง เนื้อหาเดียวกันนี้ยังปรากฏในเพจเฟซบุ๊กอื่น ๆ รวมทั้งอินสตาแกรม และติ๊กต็อกในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดคำถามและความสับสนขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มคนมุสลิม  

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยการสัมภาษณ์นายซาฮารี เจ๊ะหลง เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการฮาลาล กอจ.ปัตตานี สืบค้นคำชี้แจงของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสอบถามไปที่บริษัท บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารเคเอฟซีในประเทศไทย ได้ข้อมูลดังนี้

เคเอฟซีไม่ได้ยื่นขอใบรับรองฮาลาลที่ จ.ปัตตานี

นายซาฮารีกล่าวว่าเคเอฟซีไม่ได้ยื่นขอใบรับรองฮาลาล กอจ. ปัตตานีจึงไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ เพราะในทางกฎหมาย ถ้าผู้ประกอบการไม่ยื่นขอใบรับรองฮาลาล คณะกรรมการอิสลามฯ ก็ไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ

“เมื่อเราไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ ก็ไม่สามารถออกใบรับรองฮาลาลได้ ทำให้เคเอฟซีไม่มีใบรับรองฮาลาล” นายซาฮารีให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568

ตามระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบริหารกิจการฮาลาล พ.ศ.2558 มอบหมายให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (กอจ.) เป็นหน่วยงานตรวจและรับรองฮาลาลแก่ผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการฮาลาลของผู้ประกอบการภายในจังหวัดนั้น โดย กอจ. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาลของจังหวัดเพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบผลิตภัณฑ์

กอจ. ปัตตานี ไม่ได้ออกประกาศ “ห้ามมุสลิมรับประทานเคเอฟซี”

นายซาฮารีกล่าวเพิ่มเติมว่า กอจ. ปัตตานีไม่ได้ออกประกาศห้ามหรือรณรงค์ไม่ให้คนมุสลิมรับประทานอาหารของร้านเคเอฟซี เพียงแต่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริงว่าเคเอฟซีไม่มีตราฮาลาลเท่านั้น

ส่วนคำพูดของนายอับดุลมานะ เจ๊ะเล๊ะ กรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล กอจ. ปัตตานี ที่ระบุว่าอาหารของร้านเคเอฟซี มุสลิมไม่สามารถรับประทานได้เพราะไม่ฮาลาล และคนมุสลิมที่รับประทานเคเอฟซีต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนานั้น นายซาฮารีกล่าวว่าเป็นเนื้อหาเก่าที่ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำ และนายอับดุลมานะ ผู้ที่ถูกอ้างถึงก็เสียชีวิตไปนานนับสิบปีแล้ว

โคแฟคตรวจสอบที่มาของคำให้สัมภาษณ์ของนายอับดุลมานะที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย โดยอ้างที่มาจากสำนักข่าวเนชั่น แต่ไม่พบรายงานข่าวชิ้นนี้ในช่องทางการเผยแพร่ของสำนักข่าวเนชั่นหรือสื่อกระแสหลักเลย จึงไม่สามารถยืนยันที่มาและความถูกต้องของเนื้อหาได้

รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยยืนยัน “เคเอฟซี ไม่มีตราฮาลาล”

ในการสัมมนาสตรีมุสลิมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย ประจำปี ฮ.ศ. 1446 วันที่ 19 เมษายน 2568 ผู้แทนสตรีมุสลิมจาก จ.ตราด ได้สอบถามอาจารย์ประสาน ศรีเจริญ รองประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับอาหารของเคเอฟซีว่า “เราอยากได้ความชัดเจนว่า (เคเอฟซี) เราทานได้หรือไม่ได้…มันเป็นความไม่สบายใจ เป็นเรื่องที่ยืดเยื้อ ยังไม่มีข้อสรุป มุสลิมก็ไปทะเลาะกันเองในโซเชียล ทำให้คนต่างศาสนิกเห็นพวกเราเป็นตัวตลก”

อาจารย์ประสานตอบว่า เคเอฟซีในประเทศไทย ยังไม่ได้รับการรับรองฮาลาลจากคณะกรรมการกลางอิสลามฯ

“เคเอฟซีในประเทศนี้ กรรมการกลาง (อิสลาม) ยังไม่รับรอง ส่วนกินได้หรือไม่ได้นั้นเป็นสิทธิของท่าน ต้องไปตรวจสอบ แต่ว่าไม่มีเครื่องหมายฮาลาล” รองประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยกล่าว

อาจารย์ประสาน ศรีเจริญ รองประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตอบข้อสงสัยของผู้แทนสตรีมุสลิมจาก จ.ตราด เรื่องการรับรองฮาลาลของเคเอฟซี ในการสัมมนาสตรีมุสลิม งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568

เคเอฟซียังไม่ตอบกลับโคแฟค

โคแฟคส่งข้อความสอบถามเรื่องการรับรองฮาลาลไปที่เพจเฟซบุ๊ก KFC รวมทั้งส่งอีเมลไปที่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารเคเอฟซีในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ

ข้อสรุปโคแฟค

อาจารย์ประสาน ศรีเจริญ รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และนายซาฮารี เจ๊ะหลง เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการฮาลาล กอจ. ปัตตานี ระบุชัดเจนตรงกันว่าขณะนี้ร้านเคเอฟซีในประเทศไทย ไม่ได้รับเครื่องหมายรับรองฮาลาล แต่มุสลิมจะรับประทานหรือไม่นั้นเป็นสิทธิที่แต่ละคนจะพิจารณา

ส่วนข้อความที่ระบุว่า กอจ. ปัตตานี ประกาศว่าเคเอฟซีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีเครื่องหมายรับรองฮาลาล-ห้ามมุสลิมรับประทานนั้น เป็นเนื้อหาที่อ้างอิงจากคำพูดของอดีตกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล กอจ. ปัตตานี เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งโคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ แต่มีผู้อ้างว่ามาจากสำนักข่าวเนชั่น ข้อความนี้ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมาเป็นเวลานาน อย่างน้อยตั้งแต่ปี 2557 และถูกนำกลับมาเผยแพร่ใหม่หลายครั้ง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นประกาศล่าสุดจาก กอจ. ปัตตานี ทั้งที่จริงแล้ว กอจ. ปัตตานีไม่ได้ออกประกาศใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 พฤษภาคม 2568

ถ้าโลกกลมคนที่อยู่ด้านใต้ของโลกต้องยืนกลับหัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zh58yylco7q7


ติดเชื้อหัดยังปลอดภัยกว่าฉีดวัคซีน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1v42e2hy4pwo4


เปิดรายชื่อ 22 จังหวัด ที่ปลอดภัยที่สุดจากแผ่นดินไหว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mdu280hutha6


รัฐไฟเขียว ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 วันพระใหญ่ เริ่ม 10 พ.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tiy2hxelo0x3


ครม. อนุมัติ เพิ่มค่าตอบแทนครูสอนศาสนา-บริหารจัดการโรงเรียน 5 จังหวัดชายแดนใต้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/x80kf2zwal05


กรมอุตุฯ ประกาศ เตรียมเข้าสู่ฤดูฝน กลางพฤษภาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3iuaq4huh3nt9


ปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ) ชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1iwsk0kt86rao


ดื่มกาแฟส้มเป็นประจำ เสี่ยงไขมันพอกตับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/cc8p9948uzmx


กุนเชียง มีสารก่อมะเร็งชื่อ ไนโตรซามีน ช่วยถนอมอาหารให้สีเนื้อสัตว์ดูสีสดอยู่เสมอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tnwcg1evg42e


‘สุภิญญา’ชี้ถึงเวลาแล้วไทยต้องมี‘Caller ID’เป็นบริการพื้นฐาน แจ้งเตือนสายเรียกเข้าลดเสี่ยงมิจฉาชีพ

กิจกรรม

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมให้มุมมองในรายการ นโยบาย By ประชาชน ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 โดยเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ เพื่อลดปัญหาการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีแอปพลิเคชั่นของภาคเอกชนให้ใช้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อมีคนใช้มากขึ้นอาจต้องเสียเงิน อีกทั้งยังมีแอปฯ ลักษณะนี้จากเอกชนหลายราย ข้อมูลจึงไม่ได้รวมศูนย์อย่างที่ภาครัฐมี หากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถบริหารจัดการเพื่อแก้ไขได้

ซึ่งแม้ด้านหนึ่งการรณรงค์ให้รู้เท่าทันข้อมูลอย่าเพิ่งเชื่อ  อย่าเพิ่งแชร์  อย่าเพิ่งรับ – อย่าเพิ่งโอน จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่อีกด้านก็ต้องมีระบบเข้ามาช่วย โดย Caller ID จะเป็นระบบแจ้งว่าใครโทรศัพท์เข้ามาหา ข้อดีคือช่วยให้ผู้รับสายตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับหรือไม่รับ เช่น กรณีเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่เคยมีการรายงานในระบบ หรือเป็นเบอร์ของธุรกิจต่างๆ ที่ติดต่อมาเพื่อขายสินค้า โดยแต่ละประเทศจะมีกฎเกณฑ์แตกต่างกันออกไป และบางประเทศถึงขั้นกำหนดว่าเมื่อโทรไปต้องแสดงตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วย

หนึ่งในแอปพลิเคชั่นของภาคเอกชนที่หลายคนคุ้นเคยคือ Whoscall ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพได้หากมีการรายงานเข้าไปในระบบ เช่น คนแรกรับสาย รู้ว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพแล้วรายงาน ระบบก็จะแจ้งไปยังคนอื่นๆ ที่ใช้แอปฯ นี้หากมีผู้ใช้เบอร์ดังกล่าวโทรไปหา แต่เมื่อเป็นแอปฯ เอกชนก็ต้องเสียเงิน ทั้งที่ควรเป็นบริการพื้นฐานสาธารณะใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และที่ผ่านมาคนไทยก็ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพกันมาก อย่างในปี 2567 พบสายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงถึง 168 ล้านครั้ง (ตามรายงานของ Whoscall)

ปัญหานี้ในประเทศไทยรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเศรษฐกิจด้วย เขาเรียก Easy Money อะไรที่ได้เงินง่าย ทั้งคนที่โทรมาหลอก และคนที่รับสายบางทีก็เชื่อไปเพราะอาจมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจหรือความกลัว องค์การสหประชาชาติ(UN) ได้ระบุว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า นโยบายนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สามารถทำได้ทันที แต่หากติดขัดในข้อกฎหมายก็ต้องฝากให้ฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมถึงฝ่ายวิชาการช่วยกันติดตามทวงถาม ขณะที่ภาคประชาสังคมอย่างสภาองค์กรของผู้บริโภคคงจะยินดีช่วยผลักดันต่อไป

ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวจะเหมือนกับการยกสมุดโทรศัพท์ หรือสมุดหน้าเหลืองเข้ามาไว้ อย่างหมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลหรือหน่วยงานต่างๆ ขอให้แสดงให้ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่าสามารถรับสายได้ ในขณะที่หากเป็นหมายเลขที่ไม่ได้ลงทะเบียนหรือเป็นชื่อแปลกๆ ก็ขอให้ระบบขึ้นคำเตือน ซึ่งเวลานี้ระบบเตือนภัยพิบัติ หรือ Cell Broadcast กำลังจะมีให้ใช้แล้ว ก็อยากให้มีระบบ Caller ID ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ เป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ควบคู่กับการมีสติและรู้เท่าทันของประชาชน

ส่วนข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แม้จะเข้าใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยแม้มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ในปัจจุบันก็ทราบกันดีว่าข้อมูลส่วนบุคคลหลุดกันมากอย่างที่เห็นว่ามิจฉาชีพรู้เบอร์โทรศัพท์ของเรา และหลายประเทศก็เห็นว่าต้องเปิดเผย เป็นเรื่องที่ต้องแลกกันแต่ก็คุ้มค่าและจำเป็น เพราะข้อมูลที่เปิดเผยเป็นเพียงการระบุตัวตนอย่างชื่อ ไม่ได้ระบุความเชื่อ – ความชอบ หรือหมู่เลือด 

อาจมีระบบหลังบ้านได้ เช่น ถ้าไม่อยากให้ขึ้นชื่อจริงก็อาจใช้ชื่อเล่นหรือนามปากกา แต่ต้องแลก่าถ้าใช้นามปากกาแล้วไปขึ้นชื่อในสายโทรศัพท์ของเพื่อนอาจไม่รับสาย    แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ประเด็นในเชิงระบบมากกว่า หากไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยแล้วมีการไปแก้ ID ได้  ถ้าระบบเราไม่เข้มแข็งทั้งระบบ ก็อาจมีปัญหาได้เช่นกัน สุภิญญา ระบุ

สุภิญญา ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันการเปิดใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือต้องลงทะเบียน ดังนั้น กสทช. มีข้อมูลอยู่แล้วว่าซิมหมายเลขใดใครเป็นเจ้าของ แต่สิ่งที่ต้องไปแก้คือต้องไม่มีซิมผิดกฎหมาย การถือซิมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การมีอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ (Sim Box) หรือตั้งเสาสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องบังคับใช้กฎหมายให้จริงจัง   

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=e7AjAaUjZDc

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

[Live] 21.30 น. #นโยบายByประชาชน : ไทยจะมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ (6 พ.ค. 68)
…ปัจจุบันปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ ยังคงส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง จะดีกว่าหรือไม่ ถ้ารัฐ มีระบบระวังภัยที่ทำให้ประชาชนรู้ว่าใครโทรหา
.
คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT.ORG ได้เสนอนโยบาย “ไทยจะมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ” เพื่อลดปัญหาการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
.
🗳️ ดูสดพร้อมร่วมโหวต “คุณเห็นด้วยกับนโยบายที่นำเสนอหรือไม่ ?” ทาง LINE @‌ThaiPBS เพิ่มเพื่อนคลิกเลย ! www.thaipbs.or.th/AddLINE
.
📌 รับชมได้ทาง #ThaiPBS #ช่องหมายเลข3 หรือรับชมทางออนไลน์

  • Website : www.thaipbs.or.th/live
  • Facebook : https://www.facebook.com/share/v/1EHNVtMBQU/
  • YouTube : https://youtu.be/e7AjAaUjZDc
  • TikTok : www.tiktok.com/@thaipbs/live
  • ชมอีกครั้งทาง : www.thaipbs.or.th/PbyP