มองกระแส ‘เกลียดกลัวอิสลาม’ จาก‘9/11’ถึงยุคดิจิทัล น่าห่วงพื้นที่ออนไลน์ปั่นทำสังคมแตกแยก

รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ย. 2568 ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษา กมธ.วิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ และตัวแทนเยาวชน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในหัวข้อ “Fact over Fear: จากอคติ สู่การบูลลี่ ให้ความจริงแทนความกลัว” กับ 3 แขกรับเชิญ เนื่องในวาระครบ 24 ปี เหตุวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 หรือ 9/11 และนำมาซึ่งกระแสหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ที่หญิงชาวมุสลิมถูกคู่กรณีใช้ถ้อยคำรุนแรงพาดพิงศาสนาบนรถไฟฟ้า เป็นต้น 

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ยืนยันว่า จากการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่สังคมออนไลน์ (Social Media) ข้อมูลที่สร้างความเกลียดชังต่อผู้นำถือศาสนาอิสลาม หรือชาวมุสลิมนั้นมีอยู่จริง แม้หลายคนอาจไม่ค่อยได้เห็นก็ตาม โดยมีทั้งการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และเนื้อหาเท็จ อย่างเมื่อช่วงต้นปี 2568 ได้ทำการรวบรวมเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในช่วง 4 – 5 ปีล่าสุด  

หลังการรวบรวมคลิปวิดีโอด้วยถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ รวม 250 ชิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมีมากกว่านี้ พบตัวอย่างเนื้อหาที่เป็นข้อมูลเท็จ เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี นับถือศาสนาอิสลาม เป็นเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคำชี้แจงจากทั้งตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงมีภาพที่ชี้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ นับถือศาสนาพุทธก็ตาม โดยเนื้อหานี้มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายเอื้อต่อชาวมุสลิมมากกว่าชาวพุทธ ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างศาสนิกชนของทั้ง 2 ศาสนาในประเทศไทย 

หรือเนื้อหาที่พบช่วงปลายปี 2567 ที่มีเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ พบคลิปวิดีโอที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ มีการทำให้เสมือนว่าเป็นชาวมุสลิมพูด โดยขึ้นข้อความว่า“พวกเราชาวมุสลิมขอไม่รับอาหารที่ไม่มีฮาลาลพวกเรายอมอดตายดีกว่าถ้าทำผิดต่ออัลเลาะห์”คลิปนี้ตนไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นคำพูดของบุคคลนั้นจริงหรือไม่ หรือเป็นการที่ผู้ใช้บัญชี TikTok ดังกล่าวสร้างเนื้อหาขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดี มองว่าชาวมุสลิมเป็นคนเรื่องมาก ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือ 

“ในฐานะที่เป็น Fact Checker เราก็ยังไม่ได้มีการมาตรวจสอบเนื้อหานี้มากเท่าไร เพราะอาจจะมีหลายอย่าง เราก็โฟกัสเรื่องสุขภาพบ้าง เรื่องการเมืองบ้าง จึงอยากจะเชิญชวนว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราควรจะมาร่วมกันใส่ใจเนื้อหาเหล่านี้แล้วก็ช่วยกันเผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือว่าหักล้างความเท็จที่เกี่ยวกับคนมุสลิม ที่ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนต่างศาสนิกในสังคมเรา” กุลธิดา กล่าว 

ชุมพล ศรีสมบัติ แอดมินเพจข่าวมุสลิมเชียงใหม่เล่าว่า ตนเป็นชาวมุสลิมและยังเป็นคนเชื้อสายจีน ซึ่งกระแสความรู้สึกเกลียดกลัวอิสลามยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ เช่น ล่าสุดตนเพิ่งเห็นการแชร์ภาพและข้อความ “2 หนุ่มแขกปาทาน ผู้เสนอ พ.ร.บ.อิสลาม!! และขยายมัสยิด ทั่ว..” รวมถึงกรณีที่มีข่าวว่า ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นบุตรสาวของ ชาดา ไทยเศรษฐ์  สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กำลังจะได้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้เกิดกระแสความกังวลว่าอาจกระทบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยหรือหนึ่งในถ้อยคำที่พบบ่อยๆ คือทำไมต้องเอาศัตรูมาไว้ที่บ้าน 

ซึ่งในส่วนของตนก็จะพยายามชี้แจงด้วยการสร้างสื่อ เพื่อให้เห็นถึงวิถีวัฒนธรรมอันงดงาม โดยเฉพาะมุสลิมทางล้านนา จะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากมุสลิมในกรุงเทพฯ หรือใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะหากไล่สืบสาวสายบรรพชนกันจริงๆ ทางล้านนา ฝ่ายหญิงมักจะเป็นชาวพุทธ แต่งงานกับฝ่ายชายที่เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายอินเดีย บังกลาเทศ จีน ในเรื่องวิถีวัฒนธรรมส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันในพหุสังคม กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 ก็เริ่มมีการตีข่าวให้ร้าย ส่งผลต่อวิธีคิดที่เปลี่ยนไปของคนที่อยู่ร่วมกัน เช่น มองว่าชาวมุสลิมน่ากลัว

“จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ไปตอบโต้อะไรมาก มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก เพราะเราอย่าไปให้ความสำคัญกับสื่อ แต่ว่าเราก็ต้องชี้แจง เอาความงดงามมาสะท้อนให้ทุกฝ่ายได้เห็นว่าจริงๆ แล้วอิสลามไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เราอย่าไปกลัว อย่าไปเกลียด ไม่ใช่ว่าเห็นเขาใส่หมวก เห็นเขามีเครา หรือเขาคลุมฮิญาบ อย่างกรณีบนรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมา เราก็จะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกับอีกฝ่าย ในเคสที่เชียงใหม่ก็ยังเคยมี ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบขับมอเตอร์ไซค์ มีผู้ชายขับรถยนต์มาเปิดกระจกข้างๆ แล้วก็ด่า จนถึงไฟแดงถึงได้แยกกันไป ผู้หญิงก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร”ชุมพล กล่าว

มะรูฟ เจะบือราเฮง ประธานมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์บนรถไฟฟ้า ทำให้ตนนึกถึงคนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องไปทำงานในกรุงเทพฯ ตนวิเคราะห์ว่าที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจาก 1.การเป็นผู้หญิงทำให้อาจถูกคุกคามได้ง่าย 2.การเป็นคนต่างถิ่น อาจไม่รู้สึกชิน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ของเรา จึงไม่ค่อยกล้าที่จะโต้ตอบ ยิ่งโดยเฉพาะการเป็นคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน 3.การเป็นมุสลิม อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นคนส่วนน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ 

ซึ่งเมื่อสิ่งเหล่านี้มาปนกันก็จะเรียกว่าเป็นการกดขี่ที่ทับซ้อน อย่างให้ตนจินตนาการว่าไปอยู่ตรงจุดนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรเหมือนกัน จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงมุสลิมคนดังกล่าวไม่โต้ตอบแต่อีกมุมหนึ่ง สิ่งที่น่าชื่นชมคือผู้หญิงคนนี้มีความอดทนอดกลั้น รวมถึงการเลือกที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยการปฏิเสธไม่ขอออกสื่อใดๆ เพราะไม่อยากให้กระทบถึงคู่กรณีจนไม่มีที่ยืนในสังคมทั้งที่อีกฝ่ายมาคุกคามตนเอง เรื่องนี้เป็นสิ่งพิเศษที่สอนใครหลายคน ซึ่งหลายๆ ศาสนา รวมถึงอิสลามก็สอนเรื่องความอดทนแม้ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคาม

อนึ่ง ก่อนหน้านี้หากพูดถึงคำว่า “ดราม่า” กระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม สิ่งนี่เปรียบเสมือนเป็นไฟที่ลุกลามไปทั่ว จากเดิมที่การลงโทษฝ่ายที่คุกคามเป็นไปตามระบบกฎหมาย เมื่อมีสื่อสังคมออนไลน์ มีการถ่ายและเผยแพร่คลิป แล้วก็มีคนคอยเชียร์หรือสุมไฟ เรื่องก็ยิ่งกว้างขึ้น ซึ่งตนมองว่าไม่สมสัดส่วน โดยการลงโทษนั้น การพึ่งพาระบบกฎหมายหรือจริยธรรมในที่ทำงานก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่การเลยไปและสุมไฟให้ใหญ่โตกว่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรส่งเสริม เรื่องดราม่าซ้ำเติมคนกระทำผิดเกินกว่าสัดส่วนที่ควรได้รับนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

“สิ่งหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือความกลัว อคติเหล่านี้ถ้าสมมติว่าในระดับปัจเจกมันเป็นสิ่งที่อารมณ์ความกลัว มันเป็นสิ่งที่ถูก Trigger (กระตุ้น) ได้ง่าย ทำให้เกิดความกลัวได้ง่าย ความอคติก็จะเกิดได้ง่ายเหมือนกัน แต่ถ้าสมมติว่าเรามองเห็น มองดูเกี่ยวกับความกลัวหรืออคติที่เกิดขึ้นในสังคม มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยอาจจากคนกลุ่มหนึ่งหรือคนที่ไม่หวังดี ด้วยกลไกของข่าวลวง – ข่าวปลอม หรือการใช้ Hate Speech การอคติเหมารวมคนกลุ่มหนึ่ง ก็ทำให้สิ่งเหล่านี้เหมือนกับลาวาที่อยู่ใต้ภูเขาไฟ ถ้าสมมติว่ามันปะทุขึ้นมา มันก็จะระเบิดขึ้นมา” มะรูฟ กล่าว 


หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://web.facebook.com/CofactThailand/videos/1536454984402992/ และอ่านรายงาน “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok”ได้ที่ https://blog.cofact.org/islamophobic-disinformation-on-tiktok/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ฝึกผสมทางทหารอินเดีย-ไทย ถูกนำมาบิดเบือนในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: อินเดียเลือกไทย จับมือซ้อมรบ MAITREE – XIV สะเทือนกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน กองทัพไทยและอินเดียมีการฝึกทางทหารร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2549 ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 ก.ย. 68 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก ติ๊กตอกและอินสตาแกรม โพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับการซ้อมรบร่วมของกองทัพอินเดียและไทย โดยอ้างว่าอินเดียสนับสนุนไทยในความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เช่น บัญชีเฟซบุ๊ก “Ladda Khommong” โพสต์คลิปพร้อมข้อความ “ฮุนเซนช็อก! อินเดียเลือกไทย จับมือซ้อมรบ Maitree – XIV สร้างเสาหลักที่ 3 เปลี่ยนเกมมหาอำนาจโลก เมกา สะเทือนทั้งอาเซียน ไทยเดินเกมไม่อ่อนข้อ ไม่เกรงใจมหาอำนาจโลก” 

บัญชีอินสตาแกรม “sangkom2535” โพสต์ภาพฝังข้อความว่า “ฮุนเงิบ สะเทือนทั้งอาเซียน อินเดียจับมือไทยซ้อมรบ เสาหลักที่ 3 เปลี่ยนเกมอำนาจโลก” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: วันที่ 1-14 ก.ย. 68 กองทัพอินเดียและไทยมีการฝึกร่วมกันจริง โดยสำนักงานข้อมูลข่าวสารสื่อมวลชนของรัฐบาลอินเดียได้เผยแพร่ภาพพิธีเปิดการฝึกผสมระหว่างกองทัพบกอินเดียและไทยภายใต้รหัส MAITREE ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 68 ณ ศูนย์ฝึกร่วมทางการทหารในอำเภออัมรอย รัฐเมฆาลัย ประเทศอินเดีย และให้ข้อมูลว่าการฝึกผสมนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2549 และจัดต่อเนื่องมาตลอด โดยครั้งก่อนหน้าคือครั้งที่ 13 กองทัพไทยเป็นเจ้าภาพการฝึกที่ค่ายวชิรปราการ จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 1-15 ก.ค. 67 

เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกผสมระหว่างกองทัพบกภายใต้รหัส MAITREE ว่าเป็นการฝึกระหว่างหน่วยทหารราบ ระดับกองร้อยทหารราบ โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพการฝึกเป็นประจำทุกปีตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 

📌 สรุปได้ว่าขณะนี้มีการฝึกผสมระหว่างทหารอินเดียและไทยจริงที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นการฝึกภายใต้ความร่วมมือทางการทหารที่มีมานานเกือบ 20 ปี แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำการฝึกร่วมครั้งนี้มาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นการบิดเบือนข้อมูลให้เกิดความเข้าใจผิด

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

“ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่ถูกจำคุก

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ไทยคนแรกที่ต้องจำคุก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลคลาดเคลื่อน จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกฯ ไทยคนแรกที่ติดคุก**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 9 ก.ย. 68 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องรับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากการบังคับโทษจำคุกในคดีทุจริตที่เขาเป็นจำเลยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลังฟังคำสั่งศาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ และบุตรสาวของนายทักษิณแถลงต่อสื่อมวลชนโดยกล่าวตอนหนึ่งว่า “ภูมิใจที่คุณพ่อได้สร้างประวัติศาสตร์มากมายในประเทศ…วันนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีนายกฯ คนแรกที่จะต้องจำคุก”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่นิตยสารศิลปวัฒนธรรมเผยแพร่ทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊กวันที่ 9 ก.ย. 68 ระบุว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ ไทยคนแรกที่ติดคุก โดยเป็นการถูกจำคุกจากข้อหาอาชญากรสงคราม ซึ่งมีที่มาจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรัฐบาลที่นำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกฯ ในขณะนั้นมีพฤติกรรมเข้าข้างญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพเข้าไทย และให้ไทยเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น

สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้อ้างอิงข้อมูลจากวิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “อาชญากรสงครามในประเทศไทย พ.ศ. 2488-2489” ของอังคณา เกียรติศักดิ์นุกูล ซึ่งให้ข้อมูลว่าจอมพล ป. ถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2488 และถูกนำไปฝากขังที่สันติบาลหนึ่งคืน ก่อนจะถูกย้ายไปขังที่โรงพักศาลาแดง และนำตัวไปเข้าคุกลหุโทษ

“จอมพล ป. จึงเป็นนายกฯ ไทยคนแรกที่ติดคุก” สุทธาสินีระบุและให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ท้ายที่สุดศาลมีคำสั่งในช่วงเดือน ก.พ. 2489 ยกฟ้องคดีอาชญากรสงครามที่จอมพล ป. และคนอื่น ๆ ตกเป็นจำเลย เพราะพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามออกมาบังคับใช้ทีหลังการกระทำ จึงไม่มีผลย้อนหลัง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

แกะรอยข่าวการเมือง: เทคนิคตรวจสอบข้อเท็จจริงท่ามกลางเกมการเมืองที่พลิกผัน

วันที่ 9 กันยายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว ตอน “Fact, Fast & Furious: แกะรอยข่าวการเมือง เช็กอย่างไรให้ชัวร์” ออกอากาศเวลา19:00-19:30 น. นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยผู้ร่วมเสวนา สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์บรรณาธิการข่าวการเมือง ช่อง 3 และวิชาธร วงษ์พันธุ์รองบรรณาธิการบริหาร เนชั่นทีวี ร่วมถกประเด็นการตรวจสอบข่าวการเมืองในยุคที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่การเมืองไทยอยู่ในภาวะ “สามก๊ก” พร้อมให้คำแนะนำแก่ผู้บริโภคข่าวและสื่อมวลชนในการแยกแยะข้อเท็จจริง

การเมืองเปลี่ยนไว ข่าวจริง-ไม่จริงท้าทายการตรวจสอบ

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการแสดงความเสียใจต่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และครอบครัวที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก พร้อมชี้ว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วราว “หน้ามือเป็นหลังมือ” ตั้งแต่การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปจนถึงข่าวลือเรื่องยุบสภาและการเดินทางไปต่างประเทศของอดีตนายกฯ สุภิญญากล่าวว่า “ข่าวการเมืองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ข่าวที่ไม่จริงเมื่อวาน อาจกลายเป็นจริงวันนี้” ทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากข่าวการเมืองไม่เหมือนข่าววิทยาศาสตร์ที่ยึดหลักการชัดเจน แต่เต็มไปด้วยเกมการเมืองและการชิงไหวชิงพริบ

เทคนิคตรวจสอบข่าวให้ “ชัวร์” จากมืออาชีพ

สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง ช่อง3 อธิบายว่า การตรวจสอบข่าวการเมืองต้องยึดหลักการตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น การจัดตั้งรัฐบาลครั้งล่าสุดที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบ่อยครั้ง เธอยกตัวอย่างกรณีพรรคเพื่อไทยที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค กล่าวถึงการยุบสภาในสื่อหนึ่ง แต่เมื่อถูกถามซ้ำกลับปฏิเสธ ก่อนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย จะยืนยันในวันรุ่งขึ้นว่ามีการดำเนินการทูลเกล้าฯเพื่อยุบสภาไปแล้ว สมฤทัยชี้ว่า “ข่าวการเมืองไม่ใช่ข่าวปลอม แต่เป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคต้องเข้าใจว่าเป็นเกมการเมือง และต้องตามให้ทัน” 

เธอยังยกตัวอย่างกรณีพรรคประชาชนที่เกิดความสับสนเมื่อมีข่าวว่านายเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิหัวหน้าพรรคประชาชน จะแถลงมติสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย แต่สุดท้ายผู้แถลงกลายเป็นนายไอติมพริษฐ์ วัชรสินธุโดยระบุว่ายังไม่มีมติ สมฤทัยอธิบายว่า สื่อต้องตรวจสอบซ้ำจากแหล่งข่าวทั้งในและนอกพรรค รวมถึงการประสานงานระหว่างทีมข่าวในสนามและกองบรรณาธิการเพื่อยืนยันความถูกต้อง โดยเน้นว่า “เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน สื่อต้องยืนยันข้อมูลที่มั่นใจ และยอมรับว่าข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ตามบริบท”

วิชาธร วงษ์พันธุ์ รองบรรณาธิการบริหาร เนชั่นทีวีเสริมว่า การตรวจสอบข่าวการเมืองต้องตรงไปที่แหล่งข่าวหลัก เช่น บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงในโผครม. โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ข้อมูล “ดิ้นได้” เช่น การปรับครม. ที่มีการเปลี่ยนแปลงโควต้ารัฐมนตรีบ่อยครั้ง วิชาธรเล่าว่า ทีมข่าวต้องเกาะติดแหล่งข่าวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ “คีย์แมน” ในพรรคการเมือง และบางครั้งต้องปกป้องแหล่งข่าวด้วยการตรวจสอบข้อมูลจากช่องทางอื่นเพื่อไม่ให้แหล่งข่าวถูกเปิดเผยเขายกตัวอย่างกรณีพลเอกณัฐพลที่ถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเป็นข่าวใหม่ที่ไม่มีสัญญาณมาก่อน โดยทีมข่าวช่อง 3 ต้องตรวจสอบซ้ำหลายรอบเพื่อยืนยันความถูกต้อง

วิชาธรยังกล่าวถึงความท้าทายในการแข่งขันด้านความเร็วของสื่อออนไลน์ ที่มักต้องลงข่าวทันทีเมื่อยืนยันประเด็นหลักได้ แม้ว่ารายละเอียดจะตามมาภายหลัง เช่น การยืนยันว่าเพื่อไทยยุบสภา ก่อนลงรายละเอียดเพิ่มเติมในโพสต์ถัดไป ซึ่งต่างจากสื่อทีวีที่เน้นความสมบูรณ์ของเนื้อหา

ข่าวที่เช็คยากที่สุดในการเมืองยุคสามก๊ก

สมฤทัยระบุว่า ข่าวที่เช็คยากที่สุดคือช่วงที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยมีการชิงไหวชิงพริบ โดยเฉพาะวันที่พรรคประชาชนเปลี่ยนกำหนดการแถลงมติจาก 10:00 น. เป็น 9:00 น. และสุดท้ายแถลงเร็วกว่ากำหนดเพื่อตอบโต้ข่าวยุบสภาของเพื่อไทย เธอชี้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ใช่ข่าวปลอม แต่เป็นการปล่อยข่าวเพื่อลวงหรือชิงความได้เปรียบ ซึ่งสื่อและผู้บริโภคต้องระวัง

วิชาธรเสริมว่า ข่าวที่ยากที่สุดคือการตัดสินใจของสองขั้วการเมืองสำคัญที่เปลี่ยนจากสนับสนุนเพื่อไทยไปเป็นภูมิใจไทย โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า เช่น กรณีของนายธรรมนัสที่ย้ายมาอยู่กับภูมิใจไทยและได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งต่างจากเพื่อไทยที่อาจไม่ให้ตำแหน่ง เขาย้ำว่า สื่อต้องตรวจสอบเหตุผลเบื้องลึกอย่างละเอียด แต่บางครั้งแหล่งข่าวก็ไม่เปิดเผยความจริงทั้งหมด

เรตติ้งคุณภาพ: ทางออกของสื่อน้ำดี

แนวคิด “เรตติ้งคุณภาพ” ซึ่งเกิดจากการหารือในหลักสูตรของ บยส.24 ร่วมกับสมฤทัยและวิชาธร โดยชี้ว่า การวัดเรตติ้งแบบเดิมที่เน้นจำนวนผู้ชมอาจไม่สะท้อนคุณภาพของเนื้อหา วิชาธรเสนอให้มีเกณฑ์วัดเรตติ้งในเชิงคุณภาพ เช่น ความถูกต้องตามจรรยาบรรณสื่อ การนำเสนอสองมุมอย่างสมดุล และการหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ละเมิดกฎหมาย เช่น การเปิดเผยข้อมูลเด็กหรือการใช้ภาพรุนแรง “ถ้ามีเรตติ้งคุณภาพสื่อน้ำดีจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น และสังคมจะได้ประโยชน์จากเนื้อหาที่มีคุณภาพ”

สมฤทัยเห็นด้วยว่า การวัดเรตติ้งคุณภาพเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ท้าทาย เพราะต้องเปลี่ยนกรอบการวัดที่พ่วงกับผลประโยชน์ทางการค้า วิชาธรเสริมว่า สื่อที่เน้นความเร็วอาจเสียเปรียบในด้านความถูกต้อง แต่การวัดคุณภาพจะช่วยยกระดับวงการสื่อ

สมฤทัยแนะนำให้ผู้บริโภคข่าวติดตามอย่างมีสติ เก็บข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อใช้ตัดสินใจในอนาคต โดยระวังข่าวในโซเชียลมีเดียที่อาจบิดเบือน เช่น กรณีที่มีการโพสต์ว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ลงนามในเอกสารร่วมซึ่งไม่เป็นความจริง

วิชาธรแนะนำให้คอข่าวการเมืองเกาะติดทุกความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะในยุคที่การเมือง“สนุกและดิ้นตลอดเวลา” พร้อมแยกแยะระหว่างข่าวข้อเท็จจริงและบทวิเคราะห์ที่อาจมีมุมมองส่วนตัว

รายการสรุปว่า การตรวจสอบข่าวการเมืองในยุคที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วต้องอาศัยความรอบคอบและการตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือสื่อต้องยึดหลักจรรยาบรรณและตรวจสอบซ้ำหลายชั้นส่วนผู้บริโภคควรติดตามข่าวอย่างมีสติ แยกแยะข้อเท็จจริงจากข่าวลือ และเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ตกข่าว แนวคิดเรตติ้งคุณภาพถูกเสนอเป็นทางเลือกเพื่อยกระดับวงการสื่อให้ผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น


เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ลายมือหวัดจนแทบอ่านไม่ออกของ “อนุทิน ชาญวีรกูล”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ลายมือหวัดจนแทบอ่านไม่ออกของนายอนุทิน ชาญวีรกูล  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ลายมือของนายอนุทินจริง แต่เป็นการเขียนเล่นเพื่อลองปากกาเมื่อปี 62**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 68  ผู้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ได้แชร์ภาพแผ่นกระดาษมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดจนอ่านไม่ออก มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง “แกะ” ลายมือแบบคำต่อคำ สรุปใจความได้ว่าเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์  ด้านล่างลงลายมือชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” 

ภาพที่ส่งต่อกันทางไลน์และถูกนำมาเผยแพร่ต่อในเฟซบุ๊กมีกลอนประกอบว่า “ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ ถ้าสวยสดยศนั้นชั้นเสมียน ถ้าเขียนอ่านพอได้นายทะเบียน ถ้าขีดเขียนอ่านไม่ได้เป็นนายคน”

ภาพลายมือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีการส่งต่อกันทางไลน์และเฟซบุ๊ก

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ภาพแผ่นกระดาษที่มีข้อเขียนด้วยลายมือและลงชื่อนายอนุทินนี้เป็นภาพเก่าที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กแชร์กันอย่างกว้างขวางช่วงปลายเดือนกันยายน 62 ซึ่งขณะนั้นนายอนุทินดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 

ผู้จัดการออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 62 ว่า นายอนุทินโพสต์ภาพนี้ในเฟซบุ๊ก Anutin Charnvirakul ในเชิงขำขัน ต่อมามีผู้แชร์ภาพนี้ไปเป็นจำนวนมากและยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่อมีผู้พยายามแกะลายมือของนายอนุทินออกมาได้ใจความ 

ในวันเดียวกัน นายอนุทินตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับภายลายมือดังกล่าว โดยยอมรับว่าเขาเป็นผู้เขียนจริง แต่เป็นการ “เขียนมั่ว ๆ” เพื่อลองปากกาที่เพิ่งเปลี่ยนหมึกมาใหม่ พร้อมกับกล่าวชมคนที่พยายามแกะลายมือของเขาออกมาได้อย่างถูกต้อง “ผมเขียนเสร็จยังอ่าน (ลายมือตัวเอง) ไม่ออกเลย” นายอนุทินกล่าว

โคแฟคตรวจสอบเฟซบุ๊ก Anutin Charnvirakul เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 68 ไม่พบภาพลายมือหวัดดังกล่าวแล้ว แต่มีภาพข้อความอวยพรปีใหม่ 2566 ที่นายอนุทินเขียนถึงข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขด้วยลายมือ พบว่าเขียนด้วยตัวบรรจงที่อ่านง่าย

ภาพข้อความอวยพรปีใหม่ 2566 ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เขียนถึงข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขด้วยลายมือและโพสต์ในเฟซบุ๊ก Anutin Charnvirakul

#โคแฟค #FactCheck #ตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 กันยายน 2568

คลิป “จิงโจ้ ขึ้นเครื่องบิน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36fqjyk06343r


ชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/148d5zinurcbh


ตม.สระแก้ว เปิดด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ทุกวันพุธและวันอาทิตย์ตั้งแต่ 31 ส.ค. 68 เป็นต้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dtpl4zvormn1


กองทัพยังตรึงชายแดนไทย-กัมพูชา วันที่ 5 ก.ย.68 ได้จัดพิธีสดุดีวีรชนทหารกล้า-อาลัยประชาชนผู้บริสุทธิ์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1lyw3utsq8hjj


ญี่ปุ่นรับมือไต้ฝุ่น “เผ่ย์ผ่า” พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศ[5กย68]

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/eaoivoo2k6e5


กทม. จัดหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ ก.ย.68 ทำหมัน ฉีดวัคซีน ฝังไมโครชิป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/khilbu1w7gca


จับ-ส่งกลับ’นักเรียนกัมพูชา’ แม่พาลอบเข้าเมืองตั้งแต่เล็ก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dof3vuw350v8


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กสทช. คุมเข้มซิม SMS เบอร์ต่างชาติ มีผลทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spekgy49i22l


เพียงแค่สแกนม่านตาก็สามารถแลกรับเงินค่าตอบแทนได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2yki7x09s66x2


ภาพทหารกัมพูชายืนปัสสาวะริมกำแพงพระราชวังจตุมุขมงคลในกรุงพนมเปญ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gsey2yxuc6zk


ไอซ์แลนด์ ประเทศเดียวในโลกที่ “ไม่มียุง” แต่กำลังจะเปลี่ยนไปเพราะโลกร้อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1hdlwhb3lyedm


เนื้อหาที่ตรวจสอบ: การขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ จะทำได้เมื่อรัฐบาลทำงานไปแล้ว 1 ปี ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: การขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ จะทำได้เมื่อรัฐบาลทำงานไปแล้ว 1 ปี

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาคลาดเคลื่อน รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่ารัฐบาลต้องทำงานไปแล้ว 1 ปี สภาฯ ถึงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 5 ก.ย. 68 นายดวงฤทธิ์ บุนนาค ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 5 หมื่นคน ระบุว่า “การขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะสามารถกระทำได้เมื่อรัฐบาลทำงานไปแล้ว 1 ปี” ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลประกอบความเห็นของเขาต่อกรณีที่พรรคประชาชนประกาศจะใช้การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจกำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยกรณีการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: รัฐธรรมนูญปี 2560 บัญญัติเรื่องการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะไว้ในมาตรา 151-155 ซึ่งไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีจะทำได้เมื่อรัฐบาลทำงานไปแล้ว 1 ปี

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับนักวิชาการด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ซึ่งให้ข้อมูลตรงกันว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุเรื่องเงื่อนเวลาการทำงานของรัฐบาลก่อนถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่ารัฐบาลต้องทำงานไปแล้ว 1 ปีถึงจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่กำหนดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจทำได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น โดยนับปีตามสมัยประชุม ไม่ใช่ตามปีปฏิทิน

นักวิชาการนิติศาสตร์อีกท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคตรงกันว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 151-155 ที่ว่าด้วยการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลต้องทำงาน 1 ปี ถึงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ บอกแต่เพียงว่าเมื่อเปิดสมัยประชุมสภาแล้วจะอภิปรายได้ปีละครั้งเท่านั้น 

สำหรับกระบวนการเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนั้น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) สรุปใจความสำคัญไว้ดังนี้ 

▪️มาตรา 151 ระบุว่า การยื่นขออภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรร่วมลงชื่อยื่นเสนอญัตติ 

▪️มาตรา 154 การอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ทำได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลมีเวลาทำงานและไม่เป็นภาระมากเกินไป ฝั่ง สส. เองก็จะได้มีเวลาไปทำงานอย่างอื่นด้วย โดยปีในความหมายของมาตรา 154 นับตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร วันที่เรียกประชุมรัฐสภานัดแรกจะนับเป็นวันเปิดสมัยประชุม ซึ่งในหนึ่งปี จะมีสมัยประชุมสามัญสองสมัย หนึ่งสมัยมี 120 วัน  

#โคแฟค #FactCheck #ตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง

เด็กกัมพูชาในสุรินทร์ถูกจับส่งกลับ? นักกฎหมาย-สิทธิมนุษยชนร่วมคลี่ปมกฎหมาย

ขอบคุณที่มา อุบลคอนเนค

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าวEP.15” เปิดวงสนทนาถกเถียงกรณีร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก หลังครูในจังหวัดสุรินทร์เผยแพร่คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพเด็กชายอายุ 13 ปี สวมชุดลูกเสือถูกตำรวจนำตัวไปสถานีตำรวจ โดยครูเล่าว่าหลังเคารพธงชาติ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมในข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่เด็กอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกลับกัมพูชา และไม่สามารถพูดภาษากัมพูชาได้

กรณีดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ชี้ว่าการจับกุมเด็กดังกล่าวอาจขัดต่อ สิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก่อนจะมีการช่วยเหลือให้เด็กไปพักอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการถกเถียงว่าการส่งเด็กกลับประเทศต้นทางนั้น “ถูกหรือผิดตามกฎหมาย”

สุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เปิดประเด็นว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องบุคคลหนึ่ง แต่สะท้อนปัญหากว้างขวางจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง “สงครามข้อมูลข่าวสาร” ที่ทวีความรุนแรงในโลกออนไลน์ เธอย้ำว่าสังคมควรใจเย็นและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการด่วนตัดสินว่า “ผิดกฎหมายต้องจับ” หรือ “เป็นเด็กต้องช่วยไว้” ล้วนเป็นมุมมองที่ต้องชั่งน้ำหนักกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยหลักการสากล “เด็กถือเป็นพลเมืองของโลก” ไม่อาจโยนภาระทั้งหมดให้กับความเป็นสัญชาติของเด็กเพียงอย่างเดียว

วุฒิชัย พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในรายการว่า ต้องพิจารณาทั้งกฎหมายภายในและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย โดยในประเทศ แม้เด็กจะไม่มีสัญชาติไทย แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายด้านการศึกษากำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ส่วนด้านสิทธิมนุษยชน ไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งมีผลผูกพันต่อการปฏิบัติราชการ หากเจ้าหน้าที่ใช้เพียงข้อกฎหมายคนเข้าเมืองโดยไม่คำนึงถึงพันธกรณีอื่น ก็อาจถูกมองว่า “ละเมิดสิทธิเด็ก” ได้

สัญญา ทิพบำรุง ตัวแทนเครือข่ายครอบครัวยิ้ม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ กล่าวว่า ชุมชนท้องถิ่นเห็นปัญหานี้บ่อย โดยเฉพาะเด็กจากกัมพูชาที่เติบโตในไทย เรียนในโรงเรียนไทย แต่เมื่อเกิดกรณีทางกฎหมาย กลับถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวผิดกฎหมาย” ทั้งที่ชีวิตจริงพวกเขาไม่รู้จักประเทศต้นทางเลย

สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ สรุปการสนทนาว่า ประเด็นนี้เป็นทั้งเรื่องกฎหมายและสิทธิมนุษยชนที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ร่วมกัน เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนความซับซ้อนของกฎหมายคนเข้าเมือง สิทธิในการศึกษา และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยต้องปฏิบัติ การคลี่คลายต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักการคุ้มครองสิทธิเด็ก ไม่ใช่เพียงการตีความตัวบทกฎหมายแคบ ๆ


ขุดที่มาหลักสูตร บ.ย.ส. หลังพบข้อความอ้าง “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นคนต้นคิด

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ปลายเดือนสิงหาคม 2568 มีการส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊กเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) โดยอ้างว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้คิดหลักสูตรนี้ โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารและแหล่งข่าวในศาลยุติธรรมไม่พบหลักฐานว่านายทักษิณเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของหลักสูตร บ.ย.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติโครงการสมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 โดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นผู้เสนอ

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 28 ส.ค. 2568 มีการส่งข้อความขนาดยาวทางไลน์อ้างถึงกรณีที่ผู้พิพากษาสองคน ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และยกเลิกการกำหนดให้ผู้พิพากษาเข้าอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร, หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหาระดับสูง, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน และหลักสูตรอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากไม่ก่อประโยชน์ในการทำงาน ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า และส่งเสริมระบบอุปถัมภ์

ข้อความไลน์ระบุตอนหนึ่งว่าหลักสูตร บ.ย.ส. “ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบเจอกับผู้บริหาร CEO ของบริษัทเอกชนที่มาเรียนด้วยกัน ทั้งกิน เที่ยว ดื่มด้วยกัน” โดยเฉพาะนายทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในหลักสูตรเพียงเพื่อมาเลี้ยงดูปูเสื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ข้าราชการ ทำให้เกิดความสนิทสนมและเกิดการเอื้อประโยชน์ให้กันในภายหลัง และยังอ้างด้วยว่าผู้ที่คิดค้นหลักสูตรนี้คือนายทักษิณ ชินวัตร

“ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้ ถ้าไม่ใช่ขาใหญ่ทำลายชาติ ทำลายโครงสร้างที่เคยดีงาม นอกจากชายโฉดที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร” ข้อความที่ส่งต่อกันทางไลน์ระบุ 

นอกจากจะส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์แล้ว ข้อความนี้ยังถูกแชร์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งในวันเดียวกัน

โคแฟคตรวจสอบ

ลำดับเหตุการณ์

ประเด็นการเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568

วันที่ 14 ม.ค. 2568 สำนักข่าวอิศรารายงานว่านายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางและนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ได้ทำบันทึกข้อความถึงประธานศาลฏีกาเพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดวินัยของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า

วันที่ 23 ม.ค. 2568 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ประชุมโดยบรรจุวาระพิจารณาข้อเสนอยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ของศาลยุติธรรมเพื่อป้องกันระบบอุปถัมภ์ แต่ตัวแทนผู้บริหารหลักสูตร บ.ย.ส. ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการ

วันที่ 29 พ.ค. 2568 นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาแผนการดำเนินการอบรม หลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 ประจำปี 2568  

วันที่ 1 ส.ค. 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนตั้งคำถาม เรียกร้องความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งจับตาการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินการหลักสูตร บ.ย.ส. โดยระบุว่า “หลักสูตรนักบริหาร สามารถเลือกเชิญบุคคลใดก็ได้เข้าร่วม ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบ CEO บริษัทเอกชน นายทุนขนาดใหญ่ กินเที่ยวดื่มด้วยกัน เลี้ยงดูปูเสื่อ สนิทสนมและเอื้อประโยชน์กันได้ในภายหลัง” และ “เมื่อผู้พิพากษาไปรู้จักกับคนที่อาจมาเป็นคู่ความวันหลัง การรู้จักกันในวงแคบทำให้เกิดการช่วยเหลือกันแบบลับ ๆ วงในมีพื้นที่พิเศษ วงนอกเข้าไม่ได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือของศาลลดลง” 

วันที่ 15 ส.ค. 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2 และ 3 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายขอปรับลดงบประมาณที่ศาลยุติธรรมขอ 16 ล้านบาทเพื่อจัดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยให้เหตุผลว่าสถาบันตุลาการเป็นองค์กรที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เที่ยงตรง และปราศจากอคติ แม้ว่าผู้พิพากษาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลภายนอกที่เรียนร่วมกันได้ “แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นทันทีหากบุคคลดังกล่าวกลายมาเป็นคู่ความในคดีที่ผู้พิพากษารับผิดชอบในอนาคต” 

นายพริษฐ์อ้างถึงหนังสือของผู้พิพากษาสองคน ถึงประธานศาลฎีกาที่ขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยผู้พิพากษาทั้งสองซึ่งพบว่า 87% ของผู้พิพากษาทั้งหมด 1,455 คนที่ตอบแบบสอบถามเห็นว่าหลักสูตร บ.ย.ส. กระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษา และ 82% เห็นว่าควรยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.

วันที่ 19 ส.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารหลักสูตร บ.ย.ส.ประชุมครั้งที่ 2/2568 โดยมีการพิจารณาถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการจัดหลักสูตร บ.ย.ส. ตลอดจนข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่บุคลากรของศาลยุติธรรม คณะกรรมาธิการต่าง ๆ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชน ได้ส่งมายังคณะกรรมการฯ หรือเผยแพร่ตามสื่อ ซึ่งคณะกรรมการฯ ลงความเห็นว่า “หลักสูตร บ.ย.ส. เป็นหลักสูตรวิชาการที่เป็นประโยชน์” จากนั้นได้พิจารณาและอนุมัติรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 จำนวน 90 คน กำหนดรายงานตัววันที่ 31 ต.ค. 2568

ข้อความไลน์และเฟซบุ๊กอ้าง “ทักษิณ” ต้นคิด บ.ย.ส.

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊กและส่งต่อกันทางไลน์นั้นเป็นข้อความที่องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ACT) โพสต์ทางเพจเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 แต่ได้เติมข้อความว่า “ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้…นอกจากชายโฉดที่ชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’” เข้ามา เพื่อเชื่อมโยงหลักสูตร บ.ย.ส. เข้ากับทักษิณ

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยืนยันกับโคแฟคว่าข้อความต้นฉบับของ ACT ไม่มีข้อความใดที่พาดพิงถึงนายทักษิณแน่นอน และรู้สึกไม่สบายใจที่มีผู้นำข้อความขององค์กรไปบิดเบือน

เปรียบข้อความในโพสต์ต้นฉบับขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) กับโพสต์ที่นำข้อความของ ACT มาบิดเบือนโดยเติมประโยคที่อ้างว่านายทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้คิดหลักสูตร บ.ย.ส.

ต้นกำเนิด บ.ย.ส. 

โคแฟคตรวจสอบตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำกล่าวอ้างที่ว่านายทักษิณเป็นคนต้นคิดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยค้นคว้าจากเอกสารที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ศาลยุติธรรม และนำมาเทียบเคียงกับประวัติการทำงานทางการเมืองของนายทักษิณ พบข้อมูลดังนี้

รายงานเรื่อง “การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ของนางกรชศา เจริญเลิศ ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาส่วนบุคคลของผู้เข้าอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 14 ปี 2553 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของหลักสูตร บ.ย.ส.ว่า มีที่มาจากปัญหาที่ว่าการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมกระจัดกระจายอยู่หลายกรมหลายกระทรวง แต่ละหน่วยงานต่างมีหลักการ ดุลยพินิจและแนวปฏิบัติต่างกัน อีกทั้งยังขาดการประสานความร่วมมือกันทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดปัญหาและอุปสรรค 

ปี 2539 คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นประธาน “คณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรม” ประกอบด้วยผู้แทนจากศาล กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กรมการปกครอง กรมตำรวจ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสภาทนายความ

วันที่ 18 ม.ค. 2539 คณะกรรมการฯ ที่ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธานได้เสนอ “โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ต่อ ครม. ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 อนุมัติโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ทำความตกลงเรื่องงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป การอบรมรหลักสูตร บ.ย.ส. จึงได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก (รุ่นที่ 1) ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.2539 – พฤษภาคม 2540  

ปัจจุบันโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ดำเนินการโดยวิทยาลัยการยุติธรรม สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพิ่งประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมที่ผ่านการคัดเลือกรุ่นที่ 30 ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568

ทำความรู้จักหลักสูตร บ.ย.ส. เพิ่มเติมจากเอกสารที่เผยแพร่โดยวิทยาลัยการยุติธรรมด้านล่าง

ทักษิณทำอะไรช่วงปี 2539?

ฐานข้อมูลนักการเมืองของสถาบันพระปกเกล้าระบุว่านายทักษิณเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เชิญมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2537 ในสมัยรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย แต่ทักษิณลาออกหลังจากอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 101 วัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญขณะนั้นระบุว่ารัฐมนตรีต้องไม่มีกิจการสัมปทานกับรัฐ 

จากนั้นวันที่ 28 พ.ค. 2538 ทักษิณได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 2 กรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.ค. 2538 โดยชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 1 ในเขตที่ลงสมัคร หลังเลือกตั้ง ทักษิณเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2538 โดยรับผิดชอบงานด้านการจราจรและระบบขนส่งมวลชน แต่ได้ลาออกและพ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ เมื่อ 23 พ.ค. 2539 และลาออกจากพรรคพลังธรรมในเวลาต่อมา

ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณกลับมาเป็นรองนายกฯ อีกครั้งช่วงสั้น ๆ ระหว่าง 15 ส.ค. – 9 พ.ย. 2540 หลังกจากนั้นเขาจึงได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541  

ข้อสรุปโคแฟค

ปี 2539 ซึ่งเป็นปีที่หลักสูตร บ.ย.ส. ถือกำเนิดขึ้นนั้น ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทย ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งวันที่ 13 ก.ค. 2538 และพ้นจากตำแหน่งวันที่ 25 พ.ย. 2539 จากการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2539

ครม.บรรหารมีนายทักษิณ ชินวัตร (พรรคพลังธรรม) เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม (พรรคมวลชน) เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม 

แม้นายทักษิณจะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ใน ครม. บรรหารที่มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมในการดำเนินการหลักสูตรอบรม บ.ย.ส. เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 แต่เขาเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลเรื่องการจราจร ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านยุติธรรม ซึ่งอยู่ในความดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้เสนอโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ให้ ครม.อนุมัติ นายทักษิณจึงไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกับการริเริ่มหลักสูตร บ.ย.ส. และโคแฟคยังไม่พบหลักฐานอื่นที่ระบุว่านายทักษิณเป็นผู้ต้นคิดหลักสูตรนี้

โคแฟคสอบถามจากแหล่งข่าวผู้พิพากษาที่ติดตามการดำเนินงานของหลักสูตร บ.ย.ส. ได้รับคำยืนยันว่านายทักษิณไม่ได้มีส่วนในการก่อตั้งหลักสูตร บ.ย.ส. อย่างแน่นอน โคแฟคพยายามติดต่อ ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ และยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ