‘สุภิญญา’ชี้ถึงเวลาแล้วไทยต้องมี‘Caller ID’เป็นบริการพื้นฐาน แจ้งเตือนสายเรียกเข้าลดเสี่ยงมิจฉาชีพ

กิจกรรม

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมให้มุมมองในรายการ นโยบาย By ประชาชน ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 โดยเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ เพื่อลดปัญหาการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีแอปพลิเคชั่นของภาคเอกชนให้ใช้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อมีคนใช้มากขึ้นอาจต้องเสียเงิน อีกทั้งยังมีแอปฯ ลักษณะนี้จากเอกชนหลายราย ข้อมูลจึงไม่ได้รวมศูนย์อย่างที่ภาครัฐมี หากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถบริหารจัดการเพื่อแก้ไขได้

ซึ่งแม้ด้านหนึ่งการรณรงค์ให้รู้เท่าทันข้อมูลอย่าเพิ่งเชื่อ  อย่าเพิ่งแชร์  อย่าเพิ่งรับ – อย่าเพิ่งโอน จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่อีกด้านก็ต้องมีระบบเข้ามาช่วย โดย Caller ID จะเป็นระบบแจ้งว่าใครโทรศัพท์เข้ามาหา ข้อดีคือช่วยให้ผู้รับสายตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับหรือไม่รับ เช่น กรณีเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่เคยมีการรายงานในระบบ หรือเป็นเบอร์ของธุรกิจต่างๆ ที่ติดต่อมาเพื่อขายสินค้า โดยแต่ละประเทศจะมีกฎเกณฑ์แตกต่างกันออกไป และบางประเทศถึงขั้นกำหนดว่าเมื่อโทรไปต้องแสดงตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วย

หนึ่งในแอปพลิเคชั่นของภาคเอกชนที่หลายคนคุ้นเคยคือ Whoscall ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพได้หากมีการรายงานเข้าไปในระบบ เช่น คนแรกรับสาย รู้ว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพแล้วรายงาน ระบบก็จะแจ้งไปยังคนอื่นๆ ที่ใช้แอปฯ นี้หากมีผู้ใช้เบอร์ดังกล่าวโทรไปหา แต่เมื่อเป็นแอปฯ เอกชนก็ต้องเสียเงิน ทั้งที่ควรเป็นบริการพื้นฐานสาธารณะใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และที่ผ่านมาคนไทยก็ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพกันมาก อย่างในปี 2567 พบสายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงถึง 168 ล้านครั้ง (ตามรายงานของ Whoscall)

ปัญหานี้ในประเทศไทยรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเศรษฐกิจด้วย เขาเรียก Easy Money อะไรที่ได้เงินง่าย ทั้งคนที่โทรมาหลอก และคนที่รับสายบางทีก็เชื่อไปเพราะอาจมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจหรือความกลัว องค์การสหประชาชาติ(UN) ได้ระบุว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า นโยบายนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สามารถทำได้ทันที แต่หากติดขัดในข้อกฎหมายก็ต้องฝากให้ฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมถึงฝ่ายวิชาการช่วยกันติดตามทวงถาม ขณะที่ภาคประชาสังคมอย่างสภาองค์กรของผู้บริโภคคงจะยินดีช่วยผลักดันต่อไป

ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวจะเหมือนกับการยกสมุดโทรศัพท์ หรือสมุดหน้าเหลืองเข้ามาไว้ อย่างหมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลหรือหน่วยงานต่างๆ ขอให้แสดงให้ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่าสามารถรับสายได้ ในขณะที่หากเป็นหมายเลขที่ไม่ได้ลงทะเบียนหรือเป็นชื่อแปลกๆ ก็ขอให้ระบบขึ้นคำเตือน ซึ่งเวลานี้ระบบเตือนภัยพิบัติ หรือ Cell Broadcast กำลังจะมีให้ใช้แล้ว ก็อยากให้มีระบบ Caller ID ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ เป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ควบคู่กับการมีสติและรู้เท่าทันของประชาชน

ส่วนข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แม้จะเข้าใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยแม้มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ในปัจจุบันก็ทราบกันดีว่าข้อมูลส่วนบุคคลหลุดกันมากอย่างที่เห็นว่ามิจฉาชีพรู้เบอร์โทรศัพท์ของเรา และหลายประเทศก็เห็นว่าต้องเปิดเผย เป็นเรื่องที่ต้องแลกกันแต่ก็คุ้มค่าและจำเป็น เพราะข้อมูลที่เปิดเผยเป็นเพียงการระบุตัวตนอย่างชื่อ ไม่ได้ระบุความเชื่อ – ความชอบ หรือหมู่เลือด 

อาจมีระบบหลังบ้านได้ เช่น ถ้าไม่อยากให้ขึ้นชื่อจริงก็อาจใช้ชื่อเล่นหรือนามปากกา แต่ต้องแลก่าถ้าใช้นามปากกาแล้วไปขึ้นชื่อในสายโทรศัพท์ของเพื่อนอาจไม่รับสาย    แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ประเด็นในเชิงระบบมากกว่า หากไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยแล้วมีการไปแก้ ID ได้  ถ้าระบบเราไม่เข้มแข็งทั้งระบบ ก็อาจมีปัญหาได้เช่นกัน สุภิญญา ระบุ

สุภิญญา ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันการเปิดใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือต้องลงทะเบียน ดังนั้น กสทช. มีข้อมูลอยู่แล้วว่าซิมหมายเลขใดใครเป็นเจ้าของ แต่สิ่งที่ต้องไปแก้คือต้องไม่มีซิมผิดกฎหมาย การถือซิมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การมีอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ (Sim Box) หรือตั้งเสาสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องบังคับใช้กฎหมายให้จริงจัง   

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=e7AjAaUjZDc

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

[Live] 21.30 น. #นโยบายByประชาชน : ไทยจะมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ (6 พ.ค. 68)
…ปัจจุบันปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ ยังคงส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง จะดีกว่าหรือไม่ ถ้ารัฐ มีระบบระวังภัยที่ทำให้ประชาชนรู้ว่าใครโทรหา
.
คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT.ORG ได้เสนอนโยบาย “ไทยจะมีระบบแจ้งเตือนคนโทรหา หรือ Caller ID ที่จัดทำโดยภาครัฐ” เพื่อลดปัญหาการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
.
🗳️ ดูสดพร้อมร่วมโหวต “คุณเห็นด้วยกับนโยบายที่นำเสนอหรือไม่ ?” ทาง LINE @‌ThaiPBS เพิ่มเพื่อนคลิกเลย ! www.thaipbs.or.th/AddLINE
.
📌 รับชมได้ทาง #ThaiPBS #ช่องหมายเลข3 หรือรับชมทางออนไลน์

  • Website : www.thaipbs.or.th/live
  • Facebook : https://www.facebook.com/share/v/1EHNVtMBQU/
  • YouTube : https://youtu.be/e7AjAaUjZDc
  • TikTok : www.tiktok.com/@thaipbs/live
  • ชมอีกครั้งทาง : www.thaipbs.or.th/PbyP

ภาพรวมดัชนีเสรีภาพสื่อไทยในการจัดอันดับเสรีภาพสื่อโลก ปี 2025 ชี้วัดจาก การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย สังคม ความปลอดภัย

โดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนหรือ Reporter Without Borders Reporters Without Borders – RSF Asia-Pacific Bureau

Visual note โดย Supermommam – Visual Note

🇹🇭เสรีภาพสื่อ2025’คนข่าวไทยเจอแรงกดดันทั้งเศรษฐกิจ-การเมืองแนะจับตา‘โลกหันขวา-AI’🌎

กิจกรรม

3 พ.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) จัดงาน Cofact Live Talk on World Press Freedom Day 2025 : Freedom Index and its ramifications on truth-seeking เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคม ของทุกปี โดยเป็นการจัดทางออนไลน์ ถ่ายทอดสดผ่านเพจ Cofact โคแฟค , The Reporters และ Ubon Connect อุบลคอนเนก The Reporters Ubon Connect อุบลคอนเนก

ขอบคุณที่มาข้อมูล อุบลคอนเนก

Aleksandra Bielakowska,Advocacy Manager และ Arthur Rochereau, Advocacy Officer จากองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters without Borders) กล่าวถึงสถานการณ์เสรีภาพสื่อในรอบปีที่ผ่านมา โดยนิยามคำว่าเสรีภาพสื่อ หมายถึงความสามารถของนักข่าวในฐานะปัจเจกหรือกลุ่มคนที่สามารถคัดเลือก ผลิตและเผยแพร่ข่าวสารเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย สังคม โดยเฉพาะต้องปราศจากภัยคุกคามต่อความปลอดภัยต่อทั้งร่างกายและจิตใจ Reporters Without Borders – RSF Asia-Pacific Bureau

โดยรายงานเสรีภาพสื่อมวลชนโลกของ RSF แบ่งประเทศต่างๆ ออกเป็น 5 กลุ่ม ตั้งแต่ 1.กลุ่มที่สถานการณ์เสรีภาพดีที่สุด
2.กลุ่มที่สถานการณ์น่าพึงพอใจ
3.กลุ่มที่เริ่มมีปัญหา
4.กลุ่มที่เสรีภาพสื่อเริ่มเป็นเรื่องยาก
และ 5.กลุ่มที่สถานการณ์เสรีภาพสื่อเข้าขั้นย่ำแย่ที่สุด สำหรับประเทศไทยนั้น

รายงานฉบับล่าสุดจัดให้อยู่ในกลุ่ม Problematic Situation หรือกลุ่มที่ 3 (เริ่มมีปัญหา) โดยอยู่อันดับที่ 85 จากทั้งหมด 180 ประเทศ แม้จะอยู่ในกลุ่มบน (สูงกว่ากึ่งหนึ่งคือลำดับที่ 90) ก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในประเทศไทยเป็นแบบนี้ มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้สื่อจำนวนมากปิดตัวลง มีการเลิกจ้างพนักงาน และเรื่องการเมืองที่มีแรงกดดันทำให้การพูดคุยกันในประเด็นอ่อนไหวลดลง

ส่วนคำแนะนำสำหรับประเทศไทย

  1. รัฐควรปกป้องความหลากหลายของสื่อ ผ่านการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น ควบคุมการผูกขาดสื่อ สนับสนุนสื่อท้องถิ่นหรือสื่ออิสระ
  2. นำมาตรฐาน Journalism Trust Initiative (JTI) มาใช้เป็นแนวทางร่วมกัน
  3. มีระบบความรับผิดชอบทางประชาธิปไตยของผู้โฆษณา ต้องตระหนักถึงบทบาทในการสนับสนุนสื่อที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงแพลตฟอร์มที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน และ 4.การกำกับดูแลผู้ควบคุมข้อมูลออนไลน์ รัฐบาลควรออกกฎหมายเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ ไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตรายงานของ RSF ข้างต้นว่ายังเน้นที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาจัดทำจึงยังไปไม่ถึงเรื่องของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกระทบกับเสรีภาพสื่ออย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกังวลในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่จะได้รับผลกระทบมากคือสื่อขนาดเล็ก เช่น สื่ออิสระหรือนักข่าวพลเมือง การไหลเวียนของข่าวในระบบนิเวศสื่อจะกลายเป็นก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่ถูกควบคุมโดย AI ซึ่งคำถามคือแล้ว AI นั้นเป็นของใคร?

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ช่อง 33HD กล่าวว่า จากประสบการณ์ส่วนตัว นักข่าวที่ทำงานในประเด็นความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการเมือง สำหรับประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นยุคเผด็จการหรือประชาธิปไตยก็ไม่ต่างกัน เช่น การเสนอข่าวประเด็นชาวอุยกูร์ แม้จะไม่ถูกแทรกแซงโดยตรงอย่างการสั่งปิดสำนักข่าว แต่ก็ถูกคุกคามโดยอ้อมจากสิ่งที่อาจเรียกว่าเป็นปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำโดยฝ่ายใด หรือหากทำข่าวที่กระทบต่อนโยบายของรัฐบาลก็อาจถูก IO ในอีกรูปแบบเข้ามาโจมตี

โดยลักษณะที่พบคือการเข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งในเพจสำหรับเสนอข่าว เพจส่วนตัว ไปจนถึงเพจร้านอาหารที่ทำอยู่ จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยต่อชีวิต หรือนำภาพไปตัดต่อใส่คำพูดในลักษณะบิดเบือน ซีงเรื่องเหล่านี้เจอมาตั้งแต่เสนอข่าวชาวโรฮิงญา จนได้เข้าใจว่ามีกระบวนการทำ IO หรือการคุกคามทางอ้อมเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือ (Discredit) โดยหวังให้หยุดการรายงานข่าวนั้น

และก่อนหน้านี้เคยเข้าใจว่าคงทำกันเฉพาะยุครัฐบาลเผด็จการ กระทั่งปัจจุบันแม้เป็นยุครัฐบาลประชาธิปไตยก็ยังเกิดขึ้นและรุนแรงกวาเดิม เพราะไม่ใช่เพียงประเด็นความมั่นคงหรือชาตินิยม แต่ยังถูกนำไปโยงกับเรื่องการเมืองด้วย ส่วนประเด็นแรงกดดันด้านทุนที่ส่งผลต่อเสรีภาพสื่อตามรายงานของ RSF เรื่องนี้ก็เห็นด้วย อย่างตนทำสื่อออนไลน์และเป็นสื่อขนาดเล็ก อีกทั้งยังเน้นทำข่าวหนัก (Hard News) อย่างเรื่องการเมืองหรือสิทธิมนุษยชน ยอมรับว่าหาทุนยากมาก มีแรงกดดันทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน

“สื่ออิสระในยุคประชาธิปไตย แทนที่เราจะคิดว่าโอกาสในการที่จะแข่งขันอย่างเสรีในการหาสปอนเซอร์จากหน่วยงานของรัฐ กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เสรีอย่างที่ควรจะเป็น กลายเป็นว่าหน่วยงานรัฐที่ถืองบประมาณทางด้านที่อาจให้เงินสปอนเซอร์ให้กับสื่อเข้าไปยื่นประมูลงานกันได้อย่างอิสระ กลับกลายเป็นสื่อหน่วยงานรัฐขึ้นอยู่กับการเมือง เพราะว่าการเมืองเข้าไปดูเรื่องงบประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน แล้วเขาก็เหมือนเป็นคนถืองบประมาณตรงนี้ ถ้าสื่อไหนรายงานข่าวที่ไม่ได้เป็นผลบวกหรือผลดีกับหน่วยงานนั้น โอกาสที่คุณจะได้งบประมาณหน่วยงานนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย” ฐปณีย์ กล่าว

ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า รายงานเสรีภาพสื่อโลกของ RSF เป็นกระจกสะท้อนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกรวมถึงประเทศไทย และในกรณีของไทย แม้อันดับจะดีขึ้นแต่เมื่อดูคำอธิบายแล้วแย่ลง ซึ่งตัวชี้วัดที่ใช้ในรายงานก็ใช้กันมานาน สามารถอธิบายเหตุปัจจัยได้ว่าอะไรทำให้เสรีภาพสื่อลดลง

ทั้งนี้ หากเป็นในอดีตก่อนปี 2562 รายงานดัชนีเสรีภาพสื่อช่วยกระตุ้นรัฐบาลในบางประเทศได้จริง เช่น ทบทวนนโยบายและกฎหมาย แต่ในยุคปัจจุบันแม้อยากคาดหวังเช่นนั้นแต่ยังมองไม่เห็น แต่ก็ยังหวังว่ารัฐบาลไทยจะมองเห็นว่าเสรีภาพสื่อเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพระเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน แต่ก็ยังหวังได้น้อยเพราะรู้สึกว่ารัฐบาลมีเรื่องอื่นที่ให้ความสำคัญมากกว่า ขณะที่เมื่อมองออกไปในบริบทโลก จะเห็นกระแสหันขวาเพิ่มขึ้น มีความชาตินิยม (Nationalism) และอำนาจนิยม (Authoritarian) มากขึ้น

ทำให้เราไม่เหมือนเดิม ไม่เป็นกลาง ไม่รอบด้าน ไม่เป็นผู้ที่รับรู้แต่ไม่ตัดสิน แต่กลายเป็นการทำให้เราอยู่ในโลกที่เราอยากรับรู้และเชื่อในสิ่งนี้ ดังนั้นพอบอกว่าเสรีภาพสื่อดีขึ้นและเราเชื่อว่าดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แต่ก่อนเราจะตั้งคำถามว่าดีขึ้นจริงหรือไม่และอะไรคือปัจจัย และไม่อยากได้คำอธิบายด้วยว่าจริงๆ แล้วไม่ดีขึ้นแม้จะเป็นรัฐบาลพลเรือนมาจากการเลือกตั้งก็ตาม เพราะยังมีเรื่องการใช้กฎหมาย หรือการที่ขั้วการเมืองเข้าไปมีข้อจำกัดในการให้อิสระกับสื่อ การหันขวาทำให้ความเป็นกลาง ความโปร่งใสหรือความเป็นอิสระของสื่อน้อยลง

“ในยุคที่โลกหันขวา เราก็รู้อยู่แล้วว่าโลกหันขวาไปจริงๆ เสรีภาพสื่อหรือดัชนีที่เราให้คุณค่ากับมัน อาจไม่ได้เป็นการให้คุณค่ากับอีกฝ่ายการเมืองหนึ่ง หรือฝ่ายที่มีความคิดเฉดการเมืองอีกเฉดหนึ่ง ซึ่งกลุ่มการเมืองหันขวาแบบนั้นอาจเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นในสังคม ในไทยด้วยแล้วก็ในโลก ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ ก็แอบหวังแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีหวังได้ขนาดนั้นหรือไม่?” ดร.พิมพ์รภัช กล่าว

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นใหม่ๆ เกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ เช่น อคติจากอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) จะทำอย่างไรให้ไม่ตกอยู่กับกระบวนการข่าวสารที่สร้างขึ้นมาหรือหลอกลวง การปกป้องจากข้อมูลบิดเบือนที่ถูกสร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (Protect Against AI Disinformation) ควรมีกลไกหรือกรอบงานอะไรหรือไม่ที่จะมากั้นหรืออย่างน้อยให้เราสามารถตรวจสอบได้

สิทธิในการตรวจสอบข้อมูล (Right to Verify หรือ Right to Fact – Checking) ซึ่งหากเจอข่าวผิดก็เข้าไปแก้ได้ทันทีหากมีข้อมูลมากกว่า หรือการที่นักข่าวต้องอยู่ในภาวะแวดล้อมที่ทำงานได้ปลอดภัย นอกจากความปลอดภัยทางกายภาพแล้วต่อไปอาจต้องรวมถึงความปลอดภัยทางดิจิทัล (Digital Safety หรือ Digital Security) ด้วย เช่น การทำ IO หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

“มันเป็นมุมเดิมที่เขาพยายามจะบอกว่ายังมีอยู่ เราก็ยังเห็นว่าสื่อสารมวลชนแบบเดิมก็ยังเป็นกลไกในการบอกข่าวแจ้งข่าวให้เราทราบอยู่ แต่ในขณะเดียวกันที่เราสนใจในวันนี้คือเสรีภาพที่คุณพูดถึงน่าจะขยายขอบเขตและพรมแดนไปกว้างขวางมากขึ้น” รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/988238506410765/
(มีกำหนด 30 วัน นับจากวันถ่ายทอดสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2568

 วันที่ 26 มี.ค 68 นายกฯ กัมพูชาเดินทางมาไทย เพื่อขอเจรจาเปิดทางขึ้นเขาพระวิหารฝั่งไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ru32dubzy0ff


เตรียมทดสอบระบบ Cell Broadcast การเตือนภัย วันที่ 2,7,13 พ.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xw86281p0rbf


 7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1q6ioj3mo007e


ใช้ปากกาเมจิกเขียนลงบนพลาสติกบรรจุอาหาร  อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2xz8zyp4fqrhp


เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นทท.ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตรตม.6 แบบดิจิทัล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ytp3g07n0j4y


 มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี เปิดวิ่งฟรีตลอดสาย เริ่ม 3 พฤษภาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2j80bocyexc5t


ห้ามครูทำคอนเทนต์เด็ก ฝ่าฝืนถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1v9mccgiajtf9


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 เมษายน 2568

ภูเก็ตอาจจมน้ำ เพราะแผ่นดินไหวใหญ่ จะมีคนเสียชีวิต 4-6 หมื่นคน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y8mfhu9es4kj


ภาคเหนือในไทย คือพื้นที่ปลอดภัยที่สุดจากแผ่นดินไหว ไม่ใช่ภาคอีสาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x5se73xaaq7g


 เงินดิจิทัล 10,000 บาท จ่ายครบทุกกลุ่มภายในเดือน ก.ย. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1abzc8zv2wv5k


เตรียมรับมือ พายุฤดูร้อน 26-28 เม.ย. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30o6yrho0qqp2


รถไฟฟ้า 20 บาท เริ่ม 30 ก.ย. 68 ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z4sj11f5on5x


วันที่ 11 เม.ย. ถึง 10 พ.ค. 68 เขตประเวศ ประกาศเรื่องโรคพิษสุนัขบ้าระบาดชั่วคราวในพื้นที่เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uco40gszckt0#_=_


กฎใหม่กทม. เลี้ยงสัตว์ หมาแมวกี่ตัว ต้องดูขนาดพื้นที่บ้าน คอนโด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3g0m8m5vkvmu3#_=_


ความขัดแย้ง‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ : เมื่อการเสพข่าวด้วยอารมณ์อาจทำให้ละเลยข้อเท็จจริง : Special Report 58/68

By Zhang Taehun

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนขึ้นในวันที่ 19 เม.ย. 2568 ดังนั้นข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ผู้อ่านควรรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อติดตามความคืบหน้าเพิ่มเติมของสถานการณ์

หากนับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 ซึ่งกลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลและกลายเป็นการสู้รบระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายในดินแดนฉนวนกาซา ก็เป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่งแล้ว และแม้จะมีการหยุดยิงพร้อมกับแลกเปลี่ยนระหว่างตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสจับไปกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในเรือนจำของอิสราเอล แต่ก็เป็นเวลาช่วงสั้นๆ เพียง 6 สัปดาห์ ก่อนที่จะกลับเข้าสู่การสู้รบกันอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน แต่นอกจากข่าวการต่อสู้กันด้วยอาวุธแล้ว ข่าวลวงหรือข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดก็ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ซึ่งในบทความนี้ได้ยกตัวอย่างมาจากทางสำนักข่าวหรือเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Check) ในต่างประเทศที่ได้ตรวจสอบในรอบปีที่ผ่านมา

1.นักโทษชาวปาเลสไตน์ถูกทหารอิสราเอลจับโยนลงถังน้ำกรด : เรื่องนี้มีที่มาจากเว็บไซต์ altnews.in โดย Alt News เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรซึ่งก่อตั้งขึ้นในอินเดียเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนโลกออนไลน์ (ลักษณะเดียวกับ cofact.org ของประเทศไทย) รายงานหัวข้อ Bangkok amusement park stunt viral as Israelis throwing Palestinian prisoners in acid tank ระบุว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2568 มีผู้ก่อตั้งโรงเรียนในบังกลาเทศ โพสต์คลิปวีดีโอในเฟซบุ๊ก อ้างว่านักโทษชาวปาเลสไตน์ถูกหย่อนลงในถังน้ำกรด

ภาพที่ 1 : Alt News เปรียบเทียบรายละเอียดของคลิปวีดีโอที่อ้างว่าเป็นคลิปทหารอิสราเอลจับนักโทษชาวปาเลสไตน์โยนลงถังน้ำกรด กับคลิปการแสดงผาดโผนที่จัดโดยสวนสนุกในประเทศไทย

คลิปทำนองเดียวกันยังถูกแชร์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวปากีสถาน รวมถึงมีผู้นำไปแชร์ต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น X , TikTok อ้างว่านักโทษชาวปาเลสไตน์ถูกทหารอิสราเอลจับโยนลงถังสารเคมีอันตรายบ้าง ถังน้ำร้อนเดือดๆ บ้าง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เนื้อหาคลิปวีดีโอเป็นการแสดงฉากแอ็คชั่นผาดโผน ในโชว์ที่จัดขึ้นในสวนสนุก Dream World ในประเทศไทย โดยมีผู้โพสต์คลิปวีดีโอเต็มของโชว์นี้ไว้ในแพลตฟอร์ม YouTube เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2566 เป็นชื่อคลิป “Hollywood Action Stunt Show @ Dream World” ซึ่งช็อตที่ถูกตัดทอนไปทำคลิปสั้นแล้วถูกเข้าใจว่าเป็นการทารุณกรรมนักโทษชาวปาเลสไตน์โดยทหารอิสราเอล จะอยู่ในนาทีที่ 3.25 – 3.50 

โดยจะเห็นรายละเอียดเหมือนกันแบบเป๊ะๆ ทั้งสีชุดของนักโทษ ถังใบใหญ่ๆ ที่มีควันพวยพุ่งพร้อมสัญลักษณ์กะโหลกไขว้ที่สื่อว่าเป็นวัตถุอันตราย และอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ โดยรอบ นอกจากนั้น บางคลิปที่ถูกแชร์กันยังมีเสียงผู้ชมโชว์ดังกล่าวพูดคุยกันเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก อนึ่ง หากใช้คำว่า “Hollywood Action Stunt Show dream world” ไปค้นหาใน YouTube จะมีผู้โพสต์คลิปวีดีโอโชว์ดังกล่าวเป็นจำนวนมากพร้อมคำบรรยายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ และบางคลิปมีอายุมากกว่า 10 ปี ซึ่งลำดับการโชว์และฉากโดยรอบเหมือนกันทุกประการ อาจต่างกันบ้างในชุดที่นักแสดงซึ่งแสดงเป็นนักโทษสวมใส่เท่านั้น

ภาพที่ 2 :สำนักข่าว AFP ชี้ว่าภาพที่ถูกแชร์ อ้างตำรวจอิสราเอลรัดคอเด็กชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสวีเดน หลายปีก่อนหน้าการสู้รบครั้งล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่า ภาพที่ถูกแชร์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการสู้รบระลอกล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ต.ค. 2566 นานหลายปี โดยในแพลตฟอร์ม YouTube มีคลิปวีดีโอชื่อ “Vakt dunkade nioårings huvud i marken” ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2558 โดย Sydsvenskan ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ในสวีเดน และทีมงานของ AFP ที่รู้ภาษาสวีเดน จับใจความเสียงที่พูดในคลิปได้ว่า “นั่นเด็ก” และ “เขาอายุเท่าไหร่”

นอกจากนั้น บุคคลในคลิปที่ถูกอ้างว่าเป็นตำรวจ จะเห็นเจ้าหน้าที่สวมเสื้อกั๊กเรืองแสงที่มีคำว่า “Ordnings Vakt” ซึ่งเป็นภาษาสวีเดน แปลว่า ตัวแทนบริการสาธารณะ ในภาษาสวีเดนอยู่ด้านหน้าและด้านหลัง เครื่องแบบนี้มักสวมใส่โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ให้ความช่วยเหลือตำรวจสวีเดน อีกทั้งยังสอบถามไปยัง Jens Mikkelsen หนึ่งในผู้สื่อข่าวที่ส่งข่าวนี้ให้กับ Sydsvenskan ได้รับการยืนยันว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองมัลโมของสวีเดน ไม่ใช่เมืองเยรูซาเล็มในอิสราเอล อีกทั้งเด็กชายในคลิปยังมีพื้นเพเป็นชาวโมร็อกโก ก่อนจะอพยพมาอยู่ที่สวีเดนด้วย ไม่ใช่ชาวปาเลสไตน์แต่อย่างใด

3.ชาวเนเธอร์แลนด์แสดงท่าทีสะใจกับเหตุทำร้ายร่างกายแฟนบอลชาวอิสราเอล ในวันที่ 7 พ.ย. 2567 เกิดเหตุชาวอิสราเอลซึ่งเดินทางไปชมการแข่งขันฟุตบอลที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถูกกลุ่มผู้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์รุมทำร้าย ซึ่งรายงานจากทางตำรวจอัมสเตอร์ดัม ระบุว่า เป็นเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างแฟนบอลทั้ง 2 กลุ่ม อีกทั้งแฟนบอลชาวอิสราเอลยังเป็นฝ่ายยั่วยุก่อนด้วยจนนำมาสู่เหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าว แต่ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวใดๆ และไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้กับการต่อต้านชาวยิว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของปาเลสไตน์ก็เรียกร้องให้ทางการเนเธอร์แลนด์ปกป้องชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับที่อยู่ในเนเธอร์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาเนื่องจากมีการแชร์คลิปวีดีโอบนเฟซบู๊กและ X เป็นภาพของชาวเนเธอร์แลนด์กำลังแสดงความยินดีโดยผู้โพสต์ได้เขียนบรรยายว่า “The Dutch celebrate after teaching the Israelis a lesson they will never forget. (ชาวดัตช์ฉลองบทเรียนที่ให้กับชาวอิสราเอลที่พวกเขาไม่มีวันลืม)” บ้าง หรือ “Left Wing Antisemitic Dutch go out and celebrate while chanting ‘Free Palestine’ the morning after the pogrom against the Jews in Amsterdam.(กลุ่มต่อต้านชาวยิวฝ่ายซ้ายชาวดัตช์ออกไปเฉลิมฉลองพร้อมกับตะโกนว่า ปลดปล่อยปาเลสไตน์‘ ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ทำร้ายชาวยิวในอัมสเตอร์ดัม)” บ้าง เป็นต้น

ภาพที่ 3 : ภาพจากคลิปวีดีโอซึ่งอ้างว่าชาวเนเธอร์แลนด์สะใจที่ชาวอิสราเอลถูกทำร้าย แต่จริงๆ แล้วเป็นเหตุการณ์ในงานรณรงค์เสรีภาพสื่อ

ในวันที่ 15 พ.ย. 2567 สำนักข่าวรอยเตอร์ เผยแพร่รายงาน Fact Check: Video shows applause for Palestinian photojournalist, not celebration of attacks on Israeli soccer fans ระบุว่า ภาพที่อ้างว่าเป็นชาวเนเธอร์แลนด์กำลังสะใจที่เห็นชาวอิสราเอลถูกทำร้าย จริงๆ มาจากคลิปวีดีโอที่ถูกโพสต์ในอินสตาแกรมไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2567 หรือเกือบ 6 เดือนก่อนเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างแฟนบอลชาวอิสราเอลกับกลุ่มสนับสนุนปาเลสไตน์ตามที่ปรากฎเป็นข่าว 

โดยผู้โพสต์คลิปคือ Motaz Azaiza ช่างภาพชาวปาเลสไตน์ บรรยายว่า ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน @worldpressphoto ในวันนี้ ขอบคุณที่เป็นพลังที่ผมใช้เพื่อให้ผมก้าวต่อไปได้ ซึ่งทางรอยเตอร์ได้ติดต่อสอบถามไป และได้รับคำชี้แจงจากเจ้าตัวว่าตนเป็นผู้ถ่ายคลิปดังกล่าว โดยผู้คนได้มารวมตัวกันเพื่อแสดงน้ำใจต่อปาเลสไตน์ ขณะที่โฆษกของ De Nieuwe Kerk ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ชี้แจงว่า Azaiza เป็นวิทยากรและเป็นสมาชิกคณะกรรมการในงาน World Press Photo วิดีโอนี้ถ่ายทำหลังจากจบการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเสรีภาพสื่อและประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในฉนวนกาซา และผู้ฟังปรบมือให้เขาหลังจากนั้น

เช่นเดียวกับโฆษกของงาน World Press Photoระบุว่า งานซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 พ.ค. 2567 ที่ De Nieuwe Kerk เป็นการจัดงานในประเด็นเสรีภาพสื่อ ไม่ใช่การชุมนุมประท้วง เพียงแต่ผู้เข้าร่วมงานบางส่วนนำธงปาเลสไตน์มาชูด้วยและมีการตะโกน ซึ่งในฐานะองค์กรเสรีภาพในการแสดงออก จึงไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเนื่องจากไม่มีการรบกวนกิจกรรมดังกล่าว

ภาพที่ 4 : เฟซบุ๊กโพสต์คลิปวีดีโอของสำนักข่าวจากตุรกี แต่บรรยายเป็นภาษามาเลเซีย อ้างว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินให้อิสราเอลเป็นรัฐผิดกฎหมาย

4.ศาลโลกบอกว่าอิสราเอลเป็นรัฐผิดกฎหมายรายงาน UN top court ruled ‘illegal’ Israel’s occupation of Palestinian territory, not Israeli stateโดยสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส วันที่ 9 ต.ค. 2567 อ้างถึงผู้ใช้เฟซบุ๊กที่นำคลิปวีดีโอของสำนักข่าว TRT World ของตุรกีมาโพสต์ แล้วบรรยายเป็นภาษามาเลเซีย ว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) ประกาศให้อิสราเอลเป็นรัฐที่ผิดกฎหมายศาลยังตัดสินว่าอิสราเอลไม่สามารถเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยได้ ในที่สุด ความยุติธรรมก็ได้รับชัยชนะ โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 

แต่เมื่อตรวจสอบคำแนะนำที่ทาง ICJ แถลงเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2567 ตามคำร้องขอของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีความยาว 83 หน้า พบว่า การที่อิสราเอลยังคงยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ต่อไปนั้นขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ (Against International Law) พร้อมบรรยายปฏิบัติการทางทหารและมาตรการต่างๆ ที่อิสราเอลดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2510 แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่บอกว่าอิสราเอลเป็นรัฐผิดกฎหมาย (Illegal State)

นอกจากนั้น คลิปวีดีโอที่โพสต์ดังกล่าวนำมาอ้างถึง ยังเป็นคลิปข่าวของ TRT World เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2567 เป็นเหตุการณ์ที่ Riyad Al-Maliki รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปาเลสไตน์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อที่กรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ ภายหลัง ICJ เผยแพร่คำแนะนำดังกล่าว โดยรมว.ต่างประเทศปาเลสไตน์ กล่าวว่า  ความเห็นของ ICJ คือจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับปาเลสไตน์ สำหรับความยุติธรรม และสำหรับกฎหมายระหว่างประเทศ

โดยหากเข้าไปดูในแพลตฟอร์ม YouTube คลิปต้นทางซึ่งถูกโพสต์โดยช่อง TRT World วันที่ 19 ก.ค. 2567 มีชื่อคลิปว่า Palestinian Foreign Minister Riyad al Maliki briefs media after ICJ ruling on Israel’s occupation และมีคำบรรยายว่า Riyad Al-Maliki รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปาเลสไตน์ เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับรองความมุ่งมั่นและความพากเพียรของชาวปาเลสไตน์ โดยสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลที่ระบุว่าการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอลเป็นการทำผิดกฎหมาย (ไม่ได้บอกว่าอิสราเอลเป็นรัฐผิดกฎหมาย)

จากทั้ง 4 เรื่องที่รวบรวมมาข้างต้น มีข้อสังเกตว่าผู้โพสต์น่าจะอยู่ในฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายและปฏิบัติการต่างๆ ของอิสราเอลที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ รวมถึงเมื่อดูจากชื่อของบัญชีผู้โพสต์หรือภาษาที่ใช้ในการโพสต์ก็อาจมีภูมิหลังบางอย่างร่วมกันหรือใกล้เคียงกับชาวปาเลสไตน์ เช่นเดียวกับผู้แชร์ต่อก็อาจมีมุมมองในลักษณะเดียวกัน จึงเป็นข้อเตือนใจได้ว่า เมื่อเรามีอคติต่อเรื่องใดแล้ว เราก็มักเชื่อและส่งต่อเรื่องนั้นในมุมมองที่อคติทันทีโดยละเลยที่จะสงสัยและตรวจสอบข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเสมอในการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ในยุคที่ใครๆ ก็ทำสื่อได้แบบปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง เชื้อชาติ และ ศาสนา เป็นเรื่องที่อ่อนไหวยิ่งต้องงระมัดระวังในการสื่อสารหรือการแชร์ เพราะการส่งผ่านความรุนแรงและความเกลียดชังจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ยิ่งเป็นการตอลิ่มความขัดแย้งที่ฝังลึกมายาวนานให้ยากแก่การคลี่คลายลงได้

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

แต่งหน้าบ่อยทำให้หน้าแก่ขึ้นจริงหรือ?

     การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจ เคยสังเกตใบหน้าของตัวเองหลังล้างเครื่องสำอางออกไปแล้วไหม ว่าผิวของเรานั้นเริ่มเหี่ยวย่นลงหรือไม่ หากผิวหน้าเริ่มมีสภาพดังกล่าวไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด 

แต่หากว่าผิวหน้าของเราถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างหนักหน่วงในทุก ๆ วัน อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมา เช่น ก่อให้เกิดผิวอุดตัน ความหมองคล้ำ และยังเป็นตัวเร่งผิวหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวกว่าวัยอีกด้วย 

     ดังนั้นเครื่องสำอางเป็นตัวดีที่ทำให้หน้าของเราโทรมได้ง่ายเพราะมีสารปนเปื้อนหลายๆอย่าง และเครื่องสำอางมีให้เลือกหลายเกรด หลายราคา และหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อนั้นก็มีสรรพคุณชวนเชื่อที่แตกต่างกันออกไป หากเราเลือกใช้สินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัย แน่นอนว่าผิวของเราได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ จากสารที่มาจากสินค้าเหล่านั้น ก่อให้เกิดเป็นริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ใบหน้าหมองคล้ำ เกิดการระคายเคือง

วิธีการแก้ไข : ควรศึกษาที่มาของสินค้าที่เราจะซื้อว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน มีส่วนผสมอะไรในผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นบ้าง สามารถใช้กับสภาพผิวของเราได้หรือไม่ รวมไปถึงวันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเลยละค่ะ เพราะบางคนเห็นแก่ของลดล้างสต๊อก ต้องเช็กให้ดี ๆ

    ดังนั้นการแต่งหน้าเป็นประจำจนไม่ให้ผิวของเราได้พักและล้างหน้าผิดวิธีหรือไม่สะอาด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาหรือทำให้ผิวหน้าแก่กว่าวัยขึ้นได้

(ข้อมูลจาก  : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. ) / กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสารธารณะสุข )

Banner :

ลิ้งค์กระทู้ Cofact  : https://cofact.org/article/daeuzmg6cpj3

ดื่มนมพร้อมยาได้ผลจริงหรือไม่


      นม เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน และหลายคนมักเลือกดื่มนมพร้อมยาเมื่อเจ็บป่วย หรือรู้สึกไม่สบาย โดยเชื่อว่านมช่วยเคลือบกระเพาะอาหารและลดการระคายเคืองจากยา แต่การดื่มนมพร้อมยานั้นได้ผลจริงหรือ?
      เนื่องจากนมมีปริมาณแคลเซียมสูง เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ ส่งผลให้การดื่มนมควบคู่กับยาอาจทำให้แคลเซียมเกิดปฏิกิริยากับยา ส่งผลให้ยาหมดฤทธิ์และประสิทธิภาพของยา โดยมีผลเกี่ยวกับการดูดซึมของยาบางชนิดในร่างกายดูดซึมยาได้น้อยลง และอาจส่งผลให้ผลการรักษาจากยานั้นลดลง
ยาที่ไม่ควรรับทานพร้อมนม ได้แก่
1. ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Quinolone (Ciprofloxacin, Norfloxacin, Ofloxacin)
2. ยาต้านเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Tetracyclines
3. ยาบำรุงเลือดธาตุเหล็ก เป็นต้น

       ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ หากต้องการดื่มนมหรืออาหารที่มีแคลเซียม ควรทานหลังจากรับประทานยาไปแล้วเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดูดซึมยาและประสิทธิภาพการรักษา

 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ : กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค / พบแพทย์ (PobPad) / สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) / สำนักงานอาหารและยา / กระทรวงสาธารณสุข)

ยิ่งออกกำลังกายหนัก น้ำหนักยิ่งลดเร็วจริงหรือ


      หลายคนที่ชอบออกกำลังกายเพื่อหุ่นสวย ผอมพลิ้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไม ยิ่งออกกำลังกายยิ่งอ้วน” ทั้งที่ออกกำลังกายเป็นประจำในทุก ๆ วัน แต่ยังอ้วน ทำให้เกิดความสับสนและสงสัยว่า ยิ่งออกกำลังกายหนัก น้ำหนักยิ่งลดเร็วจริงหรือ
      บางคนที่อยากลดน้ำหนัก หรือสร้างกล้ามเนื้อแบบเร่งรัด มักจะหักโหมออกกำลังกายวันละหลายๆ ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ แล้วแม้อาจจะช่วยให้น้ำหนักลดได้บ้าง แต่ถือเป็นการออกกำลังกายที่ผิดวิธี นำมาซึ่งผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง ทั้งทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ ทำให้อ่อนเพลีย บางคนยังกดดันตัวเองหรืออาจมีอาการเครียดและจิตตกในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายอีกด้วย และหากเครียดมากๆ จะทำให้ร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากกว่าปกติ 

       ฮอร์โมนคอร์ติซอลในภาวะปกติ มีหน้าที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไป แต่ถ้าฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งออกมามากเกินไป จะส่งผลในทางตรงกันข้ามคือ ทำให้อยากอาหาร โดยเฉพาะของหวานมากขึ้น ทั้งยังจะไปเผาผลาญมวลกล้ามเนื้อของเราให้ลดน้อยลง ซึ่งกล้ามเนื้อเปรียบเสมือนเตาเผาพลังงาน เมื่อมวลกล้ามเนื้อลดลง จะส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานของร่างกายน้อยลงตาม คนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อย จะทำให้อ้วนขึ้นง่ายกว่าแม้จะกินน้อยกว่าคนอื่นๆ และอาจส่งผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในระยะยาว ซึ่งอาจเกิดขึ้นหากออกกำลังกายมากไปโดยไม่มีการพักผ่อนหรือฟื้นฟูร่างกายอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ
           

       ดังนั้น หากเราอยากลดน้ำหนักจริง ๆ โดยไม่ทำร้ายสุขภาพของตนเองควรลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการควบคุมอาหารและนอนหลับให้เพียงพอ

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ : Fit Me Sportswear / กรมสุขภาพจิต / กรมอนามัย / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)