สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ดื่มน้ำต้มแพงพวยฝรั่งตากแห้ง แก้เบาหวาน ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง ถอนพิษ แก้หนองใน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2p0qtqfznujri


นั่งชักโครกสาธารณะติด HPV…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/yds7bjvclr94


ภาพวิดีโอ สมเด็จฮุน เซน ลูบหัว รมว.กลาโหมไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/300tcdrx850vh


จัดพื้นที่สูบบุหรี่ในสนามบิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5evm4yrwmlbc


ลาวผ่อนปรนนำเข้าโค กระบือ และหมูจากไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uifxt130fjp


13-16 มิ.ย. 68 พายุดีเปรสชันกระทบไทย ทำมรสุมแรง ฝนตกหนัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vy1hcanvl8pp


เชื้อ HIV ทำลายเม็ดเลือดขาว หากไม่รักษาจะเข้าสู่ระยะโรคเอดส์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jxzpjxgbghq9


การจูบลงไปบริเวณที่มีแผลของโรคซิฟิลิส มีโอกาสที่จะติดโรคได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zdsc5l6r2a20


กัมพูชา โต้กลับให้ คนไทย เข้าประเทศได้แค่ 7 วัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36hfv1876acey


รู้ได้ไง “AI” หรือ “ภาพจริง”? เจาะลึกการตรวจสอบข่าวลวงในยุคความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

กิจกรรม

ขอบคุณที่มา ubonconnect

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้นบนโซเชียลมีเดีย การแยกแยะระหว่างภาพจริงและภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์(AI) กลายเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังร้อนระอุ รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าวEP.4” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ได้พูดคุยถึงวิธีการตรวจสอบข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือน พร้อมชวนทุกคนรู้เท่าทันสื่อ ด้วยการสนทนานำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ, สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, กุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จากโคแฟค และ พี่ช้าง ธรรมชาติ ทานตะวันสดใส ตัวแทนคนเช็กข่าวที่นำประเด็นมาเสนอ

สุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ความร้อนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงปัญหาข้อมูลบิดเบือนที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเกลียดชัง เธอกล่าวว่า“ข้อมูลที่บิดเบือนหรือตั้งใจปั่น เพื่อประโยชน์ทางการเมืองสามารถจุดชนวนความโกรธเกลียดได้ง่าย” 

โดยเฉพาะในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพและคลิปที่เหมือนจริงได้อย่างน่ากลัว เธอเน้นย้ำว่า ทุกคนต้องรู้เท่าทันข้อมูล โดยตั้งคำถามว่าเป็น “AI หรือ IO (Information Operation)” ซึ่งหมายถึงปฏิบัติการข้อมูลที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม สุภิญญายังชวนผู้ชมส่งภาพหรือคลิปที่น่าสงสัยมาให้ทีมโคแฟคตรวจสอบ เพื่อช่วยกันแยกแยะความจริง

พี่ช้าง นำเสนอกรณีตัวอย่างคลิปที่แชร์กันในโซเชียลมีเดีย ซึ่งแสดงภาพบุคคลที่หน้าคล้ายนักการเมืองไทยกำลังยกมือไหว้ผู้นำกัมพูชา พร้อมซาวด์ตลกขบขันเขาตั้งคำถามว่า “คลิปนี้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงการแชร์เพื่อความขบขัน แต่ทำให้คนเข้าใจผิด?” พี่ช้างยอมรับว่า ความสมจริงของภาพและคลิปที่สร้างจาก AI ทำให้ผู้บริโภคสื่ออย่างเขาแยกแยะได้ยากและจำเป็นต้องพึ่งพาการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

กุลธิดา สามะพุทธิ อธิบายวิธีการตรวจสอบภาพและคลิปอย่างละเอียด กรณีแรกคือภาพนิ่งที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งหน้าตาคล้ายนักการเมืองไทยและผู้นำกัมพูชา เธอเล่าว่า ทีมโคแฟคใช้วิธี Reverse Image Search เพื่อค้นหาที่มาของภาพใน Google แต่ไม่พบแหล่งที่มา จึงค้นหาข่าวเพิ่มเติมและพบว่าไม่มีรายงานการพบปะระหว่างบุคคลทั้งสองในช่วงเวลาดังกล่าวต่อมาเมื่อตรวจสอบใน TikTok พบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์พร้อมแฮชแท็ก #AI ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ และถูกแชร์ต่อใน Facebook โดยไม่ระบุว่าเป็น AI ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวาง กุลธิดายังชี้จุดสังเกตภาพ AI เช่น ความผิดปกติของเส้นผม ลายธงกัมพูชา และเข็มกลัดที่ขาดรายละเอียด ซึ่งสามารถช่วยระบุว่าเป็นภาพปลอม

กรณีที่สองที่กุลธิดานำเสนอคือภาพป้ายหน้าร้านที่ระบุว่า “ไม่รับคนงานเขมร” ซึ่งถูกแชร์ใน X และแพลตฟอร์มอื่นๆ เธอวิเคราะห์ว่า ป้ายดูตึงเกินไปและขาดรอยยับตามธรรมชาติ รวมถึงมือของบุคคลในภาพที่เบลอ และแสงเงาที่ไม่สอดคล้องกัน

บ่งชี้ว่าเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรืออาจถูกแต่งด้วยPhotoshop กุลธิดาเตือนว่า แม้ภาพจะเป็นของจริง ก็อาจถูกนำมาใช้ในบริบทที่ผิด (False Context) เช่นภาพจากอดีตที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อสร้างความเข้าใจผิด

กรณีต่อไปเป็นคลิปที่แชร์ใน Facebook, LINE Open Chat และ TikTok ซึ่งแสดงภาพทหารกัมพูชานอนบนผ้า พร้อมคำบรรยายที่ล้อเลียนว่าเป็นการ “ซ้อมห่อศพ” กุลธิดาค้นพบว่า คลิปนี้มาจากบัญชี TikTok ของหน่วยงานสาธารณสุขกัมพูชา ซึ่งระบุว่าเป็นการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ไม่ใช่การฝึกห่อศพอย่างที่เข้าใจผิด น่าเสียดายที่สื่อหลักบางช่องนำคลิปนี้ไปรายงานโดยไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน สร้างความเข้าใจผิดเพิ่มขึ้น

กรณีสุดท้ายที่กุลธิดานำเสนอคือคลิปจาก YouTube ที่ถูกแชร์ข้ามแพลตฟอร์ม โดยยูทูบเบอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากอ้างว่า สหรัฐฯ คว่ำบาตรศาลโลก(International Court of Justice – ICJ) เนื่องจากเห็นใจประเทศไทยที่ถูก “รังแก” โดยกัมพูชาในกรณีพิพาทชายแดน

กุลธิดาตรวจสอบพบว่า ข้อมูลนี้บิดเบือนความจริงเพราะสหรัฐฯ คว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ(International Criminal Court – ICC) ไม่ใช่ศาลโลกที่เกี่ยวข้องกับคดีพิพาทเขตแดน

เธอตั้งข้อสังเกตว่า ความผิดพลาดนี้อาจเกิดจากความเข้าใจผิดของยูทูบเบอร์ หรือจงใจบิดเบือนเพื่อเรียกยอดวิวและกระแส โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชากำลังเป็นที่สนใจ กุลธิดาย้ำว่า ข้อมูลเช่นนี้สามารถตรวจสอบได้จากสื่อที่น่าเชื่อถือ ซึ่งควรรายงานข่าวการคว่ำบาตรศาลโลกอย่างกว้างขวางหากเป็นเรื่องจริง

สุชัย เจริญมุขยนันท เสริมว่า สื่อกระแสหลักควรเป็นที่พึ่งของประชาชน และไม่ควรนำข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบไปเผยแพร่ เขายังชี้ว่า ผู้บริโภคสื่อควรระวังการแชร์ข้อมูลด้วยอคติ (Confirmation Bias) ซึ่งอาจทำให้แชร์ข้อมูลลวงโดยไม่ตั้งใจ

บทสรุป รายการนี้เรียกร้องให้ทุกคนเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยตั้งคำถามว่า “เป็น AI หรือIO?” ก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง สุภิญญาแนะนำให้ใช้ความช่างสังเกตและวิจารณญาณ รวมถึงส่งข้อมูลที่น่าสงสัยให้ทีมโคแฟคช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง

สุชัยทิ้งท้ายว่า บางภาพอาจจับแพะชนแกะ “อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ จนกว่าจะเช็กให้ชัวร์” เพื่อสร้างสังคมที่รู้เท่าทันสื่อและลดการจับแพะชนแกะที่อาจสร้างความแตกแยก


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2568

จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2q2psvfv57g9


สนามแม่เหล็กโลกระดับ G4 อาจส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย ง่วง และอารมณ์แปรปรวน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2igaaer08jiu9


ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/309uao7aaa6fo


ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3f1pnzh0e2yel


ความดันสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถึงอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ngrqlpd7wnro


จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2q2psvfv57g9


กยศ. เปิดลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับเงินคืน กรณีคำนวณหนี้ใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24xveytq08bqi


ดื่มเหล้า ไม่แปรงฟัน ทำให้ฟันผุ จนเกิดการติดเชื้อฝีหนองที่รากฟันและปอด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/117w4rm2t951q


หมอยง ยันโควิด NB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักของไทยแล้ว ย้ำแพร่เร็ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3beb2cgmzge8p


มะพร้าวเจาะรูทิ้งไว้ ก่อให้เชื้อรา ทำให้สมองบวม เสียชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e1109swvid58


 รับประทานเนื้อวัวเสี่ยงเป็นโรคแอนแทรกซ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4fnraj6j7o67


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2568

เมฆหลากสี เกิดจากสารเคมีที่พ่นทิ้งไว้บนน่านฟ้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1drui5ok48c8m


น้ำเต้าหู้ ผสมมะนาวรักษาโรคสารพัด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1drui5ok48c8m


ติดโควิดให้ติดต่อโครงการ “โทร จ่าย จบ” เพื่อรักษาฟรีทุกอย่าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2das6kvy4ie08


พายุสุริยะรุนแรง อาจทำให้ระบบธนาคารล่ม เงินหายหมดบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x89h5sgeomgx


ฉีดวัคซีนโควิด ทำให้ติดเชื้อ HIV…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ofg70h0gbz55


วัคซีนโควิด ทำให้เกิด มะเร็งเทอร์โบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jqggwx3k9enl


อุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wlbuta5qjoso


กระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวรถตรวจสุขภาพเคลื่อนที่สำหรับผู้สูงวัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vrashzm0p9c7


ปลายพฤษภาคมนี้ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสานตอนบน และภาคตะวันออก เสี่ยงน้ำท่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1btfp2wcobgv4


สหรัฐฯ สั่งระงับ นัดขอวีซ่านักเรียน และวีซ่าแลกเปลี่ยนทั้งหมด พร้อมจ่อตรวจเข้มบัญชีโซเชียลฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t7zbllk193r1


EU เปลี่ยนระบบตรวจคนเข้าเมือง เริ่มใช้ ต.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nwpaxxlrqc9m


Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

อิสลามเป็นศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น, ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลามและอยู่เบื้องหลังนโยบายเอื้อคนมุสลิม – นี่คือตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามด้วยการใช้ข้อมูลเท็จและบิดเบือน (Islamophobic disinformation) ที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมานานหลายปี และเมื่อ TikTok เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อกลางปี 2561 เนื้อหาเหล่านี้ก็ตามมาปรากฏตัวในแพลตฟอร์มนี้ด้วย

ในวาระที่ TikTok ให้บริการในไทยครบรอบ 7 ปี ในปี 2568 นี้ โคแฟคซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการตรวจสอบข่าวลวงและรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเรื่อง “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok” โดยวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ 250 ชิ้นที่มีเนื้อหาต่อต้านอิสลามที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ TikTok 30 บัญชี วิดีโอเหล่านี้มีทั้งเนื้อหาล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย ไปจนถึงเนื้อหาเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอนของอิสลามและคนมุสลิม

เพื่อให้เห็นภาพของการใช้เนื้อหาเท็จและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ผู้เขียนได้เลือกวิดีโอ TikTok 3 ชิ้น มาตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) และนำเสนอผลการตรวจสอบในรายงานชิ้นนี้

1. ประเทศญี่ปุ่นปฏิเสธอิสลาม-คนมุสลิม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพย่านธุรกิจในญี่ปุ่น (ลิงก์บันทึก) ความยาว 5 นาที พร้อมเสียงบรรยายในประเด็น “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร” สรุปใจความได้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ข้องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิมโดยเด็ดขาด มีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อชาวมุสลิมและศาสนาอิสลาม เช่น ไม่ให้สัญชาติคนต่างชาติที่เป็นมุสลิม ไม่ให้คนมุสลิมพำนักอย่างถาวร ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้สอนภาษาอาหรับ ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอ่านเข้าประเทศ ไม่ให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์ วิศวกร หรือผู้บริหารบริษัทต่างชาติ บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎไม่รับคนมุสลิมเข้าทำงาน ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้ ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิม หญิงชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นที่รังเกียจและสังคมไม่ยอมรับ และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานทูตของประเทศอิสลามอยู่น้อยมาก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เสียงบรรยายนี้นำมาจากวิดีโอที่เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนราย ปัจจุบันไม่พบวิดีโอเรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร?” ในช่องยูทูบนี้แล้ว แต่เนื้อหาวิดีโอที่ถูกตัดมาบางช่วงยังคงถูกเผยแพร่ซ้ำโดยบัญชีผู้ใช้ TikTok อย่างน้อย 10 ราย

เมื่อถอดเสียงคำบรรยายและนำไปค้นหาในกูเกิลพบว่าเนื้อหาเดียวกันนี้ถูกเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2558 เช่น ในเว็บไซต์พันทิป Blogspot และเฟซบุ๊กเพจของ อปพส.

คลิปจากช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” เรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำใน TikTok

โคแฟคตรวจสอบจากฐานข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นและสื่อมวลชนญี่ปุ่นพบว่าเนื้อหาว่าด้วย “ญี่ปุ่น ‘แบน’ อิสลาม” ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในรูปแบบของข้อเขียนและคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์มานานนับสิบปี มีเนื้อหาที่เป็นเท็จ กล่าวคืออิสลามไม่ใช่ศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีผู้ที่นับถืออิสลามอยู่หลักแสนคน มีมัสยิดอยู่นับร้อยแห่ง มีตั้งศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศญี่ปุ่น (Islamic Center of Japan) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2509 มหาวิทยาลัยชั้นนำมีการสอนภาษาอาหรับ และรัฐบาลญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหลายประเทศ และผู้นำระดับสูงของประเทศเหล่านั้นก็เคยมาเยือนญี่ปุ่น ตามข้อมูลต่อไปนี้

  • สำนักข่าว Nikkei และ Asahi Shumbun รายงานตรงกันว่าจำนวนประชากรมุสลิมในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ Nikkei ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ญี่ปุ่นมีชาวมุสลิมอยู่ราว 350,000 คน เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวในเวลา 18 ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่น แต่ในจำนวนนี้ก็มีคนสัญชาติญี่ปุ่นที่นับถืออิสลามอยู่ด้วย Asahi Shimbun รายงานว่ามัสยิดในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนจากสิบกว่าแห่งในปี 2542 เป็น 113 แห่งในปี 2564
  • มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐและเอกชนในญี่ปุ่นเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษา เช่น Center for Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยเกียวโต, Middle Eastern and Islamic Studies ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และ Institute of Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยโซเฟีย
  • เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลาม เช่น การเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอิหร่าน (ปี 2543) และรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน (ปี 2566) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีอินโดนีเซียประชุมทวิภาคีพัฒนาความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (ปี 2566) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและปากีสถานประชุมทวิภาคีว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ปี 2567
  • ประเทศที่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลในญี่ปุ่นในฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมีประเทศมุสลิมอยู่หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ซาอุดิอารเบีย และตุรกี

ข้อมูลของทางการญี่ปุ่นและรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่หยิบยกมานี้ยืนยันได้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ห้าม ปิดกั้นหรือปฏิเสธศาสนาอิสลาม และมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหรือมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม  

2. ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นโดยตัดต่อภาพของชายมุสลิมคนหนึ่งเข้าไปด้วย และฝังข้อความว่า “แขกมาอยู่ขอนแก่นสั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูปที่มีรูปพระราชาออก ระวังเขาจะไม่ต้อนรับนะมุส” (ลิงก์บันทึก) โพสต์นี้มียอดการดูเกือบ 4.8 แสนครั้ง นอกจากนี้ยังมีบัญชีผู้ใช้ TikTok อีกรายหนึ่งโพสต์เนื้อหาประเด็นเดียวกันเมื่อ 18 มิถุนายน 2566 โดยโพสต์คลิปภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นที่มีเสียงบรรยายประกอบว่า “ซุ้มประตูเมืองขอนแก่น อิสลามจะเอาลง มีพระพุทธรูปของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนักปกป้องชาวพุทธได้รวมตัวกันต่อต้านและขอไว้ มิเช่นนั้นก็โดนสอยร่วง…”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง

เนื้อหาของโพสต์ TikTok นี้กล่าวหาว่าผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งน่าจะหมายถึงบุคคลในภาพ สั่งให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ออกจากซุ้มประตูเมือง

ประตูเมืองขอนแก่น ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2549 ด้วยงบประมาณ 15.5 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของเทศบาลนครขอนแก่น 14.5 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 1 ล้านบาท เมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญ “พระพุทธพระลับ” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดขอนแก่น จากวัดธาตุ พระอารามหลวง จำนวน 2 องค์ ขึ้นประดิษฐานบนมณฑปประตูเมืองขอนแก่นหลังใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล

โคแฟคตรวจสอบพบว่าชายมุสลิมในภาพคือ พ.ต.อ.สมหวัง เนตรทิพยานนท์ อดีตประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่น ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ว่ามีผู้นำภาพของเขาไปใช้เพื่อสร้างความเข้าใจผิด พร้อมกับยืนยันว่าเนื้อหาในวิดีโอ TikTok นี้ไม่เป็นความจริง เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงซุ้มประตูเมือง

พ.ต.อ.สมหวังยืนยันว่าไม่เคยมีกรณีที่คนมุสลิมในจังหวัดขอนแก่นเรียกร้องให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง และตนก็ไม่มีอำนาจหน้าที่จะทำเช่นนั้นได้

เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหานี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกราวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น คาดว่าผู้ที่ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จนี้ต้องการสร้างความเข้าใจผิดต่อคนมุสลิมในขอนแก่นเพื่อให้คนทั่วไปร่วมคัดค้านการจัดตั้งมัสยิด

โคแฟคสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไม่พบรายงานข่าวของสื่อมวลชนหรือข้อมูลอื่นว่ามีความพยายามในการนำพระพุทธรูปประจำเมืองและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น เมื่อประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.สมหวังจึงสรุปในเบื้องต้นได้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเนื้อหาในโพสต์ TikTok นี้เป็นความจริง

3. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลาม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์คลิปนายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) สนทนากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ระบุว่าเป็น “อดีตสาวมุสลิม” เรื่องการใช้ระบอบการปกครองแบบอิสลามในประเทศไทย ความยาวเกือบ 5 นาที มีภาพประกอบและข้อความที่ชักนำให้เข้าใจว่าระบบการเมืองการปกครองของไทยถูกกำหนดและครอบงำโดยอิสลามและคนมุสลิม หนึ่งในนั้นคือภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยกมือดุอาในวาระต่าง ๆ พร้อมข้อความว่า “พิธีเข้ารับอิสลาม” นอกจากนี้ยังมีภาพและข้อความที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์นับถือศาสนาอิสลามจึงมีนโยบายและอนุมัติงบประมาณจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมโดยไม่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ (ลิงก์บันทึก)

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เนื้อหาเท็จว่าด้วย พล.อ.ประยุทธ์และนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา นับถือศาสนาอิสลามถูกผลิตและเผยแพร่ในเฟซบุ๊กมานานกว่า 6 ปี และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื้อหาเท็จนี้ก็มาปรากฏอยู่ใน TikTok ด้วยเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างน้อย 2 ครั้งระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกเมื่อ 8 มีนาคม 2559 หลังจากมีผู้โพสต์ภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่ได้รับจากกลุ่มชาวมุสลิมและภาพนางนราพรยืนอยู่กับผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม

“(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เดือนธันวาคม 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม พล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาชี้แจงอีกครั้งเมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ว่า “…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นยังได้โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 แต่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของเขาและภรรยาก็ยังคงถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในทุกแพลตฟอร์ม 

สำหรับภาพและข้อความที่ถูกเผยแพร่ใน TikTok ที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าพิธีรับอิสลามนั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพการปฏิบัติภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การเข้าร่วมพิธีเปิดและปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2561 และภาพจากการร่วมรับประทานอาหารค่ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนพระราชทานเลี้ยงเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ภาพทั้งหมดไม่ใช่พิธีเข้ารับอิสลามตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง

เปรียบเทียบภาพ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จใน TikTok และภาพจากเหตุการณ์เดียวกันที่นำเสนอโดยสื่อมวลชน

โดยสรุป จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาจาก TikTok ทั้ง 3 ชิ้น พบว่าเรื่องญี่ปุ่นแบนศาสนาอิสลามและ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพิธีรับอิสลามมีเนื้อหาเป็นเท็จ ส่วนเรื่องการปลดพระพุทธรูปจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น บุคคลที่ถูกนำภาพมาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้เสนอให้นำพระพุทธรูปลงจากซุ้มประตูเมืองยืนยันว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

โพสต์ TikTok 3 ชิ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน (disinformation) เพื่อสร้างความเข้าใจผิดที่นำไปสู่ความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิม เนื้อหาเหล่านี้เป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเนื้อหาเท็จ-บิดเบือน ไม่เพียงปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชัง แต่ส่งผลในระดับที่ลึกกว่านั้น คือสร้างความเข้าใจผิด ทำให้ผู้คนหลงเชื่อและแยกไม่ออกว่าอะไร “จริง-ไม่จริง” เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมมาต่อเนื่องนานหลายปี เครือข่ายชาวพุทธต่อต้านอิสลามเริ่มขยายพื้นที่การสื่อสารสู่ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมที่มีผู้ใช้ในประเทศไทยมากถึง 50 ล้านบัญชี เนื้อหาที่เผยแพร่มีทั้งล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย บิดเบือนคำสอน และข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายศาสนาของรัฐไทย

“ธนาคารไทยโดนมุสลิมฮุบ”

“แขกเสวยสุข ได้งบประมาณแผ่นดินไปตั้งธนาคารอิสลาม ได้งบสร้างมัสยิด ได้งบไปแสวงบุญ เจ้าหน้าที่ในมัสยิดมีเงินเดือน”

“มุสลิมตั้งใจจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอิสลาม เพราะบ้านเมืองเราอุดมสมบูรณ์” 

“แขกมาอยู่ขอนแก่น สั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูป ที่มีรูปพระราชาออก”

“ลูกสาวมุสลิมแต่งงานกับพ่อได้ ศาสนาอนุญาต”

นี่คือตัวอย่างของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamphobia) ที่เผยแพร่อยู่ใน TikTok ทั้งข้อความและภาพประกอบมีความรุนแรงและมีจำนวนมากในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกำลังบ่มเพาะความเกลียดชังและความหวาดระแวงระหว่างคนต่างศาสนิกในสังคมไทยจนนำไปสู่การประหัตประหารกันได้ในอนาคต ดังที่งานวิชาการหลายชิ้นระบุตรงกันว่า ถ้อยคำอันตรายและปลุกปั่นความเกลียดชัง (dangerous/hate speech) เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง การสังหารหมู่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้

ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น การรวมตัวยื่นหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชุมนุมคัดค้านกฎหมายและนโยบายที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมและไม่เป็นธรรมต่อคนพุทธ รวมทั้งการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังอิสลามและคนมุสลิม ซึ่งนำโดยองค์กรชาวพุทธที่ “เปิดหน้า” ชัดเจนอย่างน้อย 2 องค์กร คือ สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) และองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.)

สปพ. มี น.ส.พาศิกา สุวจันทร์ เป็นนายกสมาคม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 จากการรวมตัวของผู้ที่ไม่พอใจวิดีทัศน์เพลงชาติที่จัดทำขึ้นใหม่เพราะเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและผู้นำศาสนาพุทธ ส่วน อปพส. มีเลขาธิการชื่อนายอัยย์ เพชรทอง อดีตแกนนำลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่มีบทบาทมากในการชุมนุมไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกค้นวัดเพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเมื่อปี 2560 แต่หลังจากถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีหมิ่นประมาทนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเมื่อปี 2565 นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล ก็มารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการและแกนนำ อปพส. แทน 

สปพ. อปพส. ใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารต่อสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ “ไลฟ์สด” การยื่นหนังสือ การชุมนุมของกลุ่มและ “ไลฟ์ทอล์ค” ของประพันธ์และพาศิกาเรื่องการปกป้องศาสนาพุทธจาก “การคุกคามของอิสลาม” แต่เมื่อ TikTok กลายเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวพุทธต่อต้านอิสลามก็เริ่มขยายช่องทางการสื่อสารสู่ TikTok  

แม้ว่าแกนนำ สปพ. และ อปพส. ดูจะยังนิยมสื่อสารทางเฟซบุ๊กและยูทูบมากกว่า แต่การปรากฏตัวของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามและเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับอิสลาม (Islamophobic Disinformation) ใน TikTok ก็เป็นประเด็นที่น่าสำรวจตรวจสอบ เพราะเนื้อหาเหล่านี้กำลังบ่มเพาะความเกลียดชังในใจผู้คนอยู่เงียบ ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งความเกลียดชังนี้อาจทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนต่างศาสนาในสังคมไทย  

ทำไมต้อง TikTok

ความนิยมและจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายงานชิ้นนี้เลือกตรวจสอบเนื้อหาบน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดยบริษัท ByteDance ของจีน เปิดตัวเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ปัจจุบันมีบริษัทย่อยที่ให้บริการผู้ใช้งานในแต่ละภูมิภาค เช่น TikTok Inc. ให้บริการในสหรัฐอเมริกา TikTok Information Technologies UK Ltd. ให้บริการในสหราชอาณาจักร ส่วนผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยให้บริการโดย TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สิงคโปร์

TikTok เปิดให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยเมื่อกลางปี 2561 และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2568 TikTok ให้ข้อมูลว่ามีบัญชีผู้ใช้คนไทยประมาณ 50 ล้านบัญชี

เว็บไซต์ Statista รายงานว่า TikTok ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 รองจาก Facebook, YouTube, Instagram และ WhatsApp โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกราว 1.58 พันล้านราย ประเทศไทยมีผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก

รายงานการศึกษาเรื่องสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยปี 67 โดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ที่นำเสนอในงานสัมมนาวิชาการของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 พบว่าในปี 2567 TikTok มียอดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน (engagement) สูงสุดในบรรดาโซเชียลมีเดีย 5 แพลตฟอร์ม คือ 1.44 พันล้านครั้ง รองลงมาคือ X (585 ล้านครั้ง) Instagram (498 ล้านครั้ง) และ Facebook (497 ล้านครั้ง)

บัญชีผู้ใช้และเนื้อหาที่นำมาวิเคราะห์

บัญชีผู้ใช้งาน TikTok ที่เผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามที่ศึกษาในรายงานชิ้นนี้มีทั้งหมด 30 บัญชี ซึ่งคัดเลือกและค้นหาจาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้แฮชแท็กที่กลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลามนิยมใช้ เช่น “อปพส.” “รวมพลังคนไทยพุทธ” “ต่อต้านอิสลาม” “ไม่เอาฮาลาล” “ยกเลิก พ.ร.บ.ฮัจย์”
  2. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้ชื่อองค์กรหรือบุคคลที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น เลขาธิการ อปพส. นายกสมาคม สปพ. ทนายความ พระสงฆ์และอดีตพระสงฆ์
  3. บัญชีผู้ใช้ TikTok ที่วิดีโอถูกนำมาแชร์ในเพจเฟซบุ๊กของ สปพ. อปพส. แกนนำองค์กรชาวพุทธ และในกลุ่มเฟซบุ๊กต่อต้านอิสลาม  

ในส่วนของการวิเคราะห์เนื้อหานั้น ผู้เขียนเลือกวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามจากวิดีโอยอดนิยม (popular) 10 อันดับแรกของแต่ละบัญชีมาวิเคราะห์ รวมเนื้อหาวิดีโอทั้งหมด 250 ชิ้น 

ทั้งนี้ การจัดลำดับวิดีโอยอดนิยมของบัญชีผู้ใช้งานแต่ละบัญชีนั้น ระบบของ TikTok ประมวลผลจากยอดการดู (view) จำนวนคนที่กดถูกใจ คนที่เข้ามาให้ความเห็น แชร์ และยอดการบันทึกวิดีโอ 

สิ่งที่พบ

ชื่อผู้ใช้ (nickname): เกือบทั้งหมดใช้ชื่อที่ไม่ระบุตัวตน บางบัญชีเลือกใช้ชื่อที่บ่งบอกถึงการต่อต้าน/ล้อเลียนอิสลามหรือปกป้องศาสนาพุทธ เช่น “ต่อต้าน อิสลาม มุสลิม” “ดับฝันมุดดิน” “คนไทยหัวใจพุทธ” “รวมใจคนไทยพุทธ”

รูปโปรไฟล์: เกือบทั้งหมดเลือกใช้รูปโปรไฟล์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ส่วนใหญ่ใช้รูปทั่วไปจากอินเทอร์เน็ต และมี 5 บัญชีที่ใช้รูปโปรไฟล์ที่มีข้อความล้อเลียนศาสดาของศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยถ้อยคำหยาบคาย

บัญชีผู้ใช้บางรายใช้รูปโปรไฟล์เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เป็นไปได้ว่าเจ้าของบัญชีเป็นคนเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน

วันที่สร้างบัญชีผู้ใช้: TikTok ไม่แสดงวันที่สร้างบัญชีให้บุคคลอื่นเห็น แต่เราพอจะรู้ช่วงเวลาที่บัญชีนั้นเริ่มใช้งานได้จากวิดีโอแรกที่โพสต์ ซึ่งพบว่า 15 จากทั้งหมด 30 บัญชี โพสต์วิดีโอแรกในปี 2567 รองลงมาคือปี 2566 (6 บัญชี) ส่วนบัญชีที่ใช้งานมานานที่สุดได้โพสต์วิดีโอแรกในปี 2561

จำนวนผู้ติดตาม (follower): บัญชีผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีผู้ติดตามหลักพัน บัญชีที่มีผู้ติดตามน้อยที่สุดคือ 53 ราย และผู้ติดตามมากที่สุดคือ 20,100 ราย และพบว่าหลายบัญชีมีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2568 เช่น “รวมพลังคนไทยพุทธ 2” มีผู้ติดตามเพิ่มจาก 3,152 เป็น 6,838 ราย “ดับฝันมุดดิน คนไทยในเยอรมัน” เพิ่มจาก 17,200 เป็น 18,900 ราย “Pasika Suwachun” เพิ่มจาก 1,429 เป็น 1,947 ราย และ “พื้นที่เสี่ยงภัย 24 ชั่วโมง” เพิ่มจาก 8,186 เป็น 10,400 ราย

ช่วงเวลาที่เผยแพร่และการเข้าถึง: วิดีโอทั้ง 250 ชิ้นเผยแพร่ช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2568 ส่วนมากโพสต์ในปี 2567 คือ 177 ชิ้น รองลงมาคือปี 2568 (38 ชิ้น) 2564 (15 ชิ้น) 2566 (12 ชิ้น) และ 2565 (8 ชิ้น)

รูปแบบของเนื้อหา: เกือบทั้งหมดเป็นวิดีโอสั้นที่ประกอบสร้างขึ้นจากภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คลิปข่าว ข้อความ เสียงพูด ที่นำมาจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ แอปพลิเคชันไลน์ รวมจากบัญชี TikTok อื่น ๆ มาตัดต่อ-ใส่เพลงและข้อความประกอบ เกิดเป็นเนื้อหาใหม่ในเชิงล้อเลียนคำสอน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย สร้างความเกลียดกลัวคนมุสลิมด้วยข้อความที่สร้างความเกลียดชัง (hate/dangerous speech) การบิดเบือนข้อเท็จจริง และเนื้อหาเท็จ วิดีโอส่วนใหญ่ไม่บอกต้นตอ/ที่มาของเนื้อหาที่นำมาตัดต่อ ทำให้ยากต่อการประเมินความน่าเชื่อถือหรือตรวจสอบความถูกต้อง

อีกรูปแบบหนึ่งที่พบมากคือวิดีโอจากเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ถ่ายทอดสดกิจกรรมของกลุ่ม อพปส. ที่นำมาตัดให้สั้นลง เช่น การเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก การส่งเสริมกิจการฮาลาล และงบประมาณอุดหนุนธนาคารอิสลาม รวมถึงเนื้อหาจากการ “บรรยาย” ของแกนนำ อปพส. และ สปพ. ทางเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์ศาสนาอิสลามหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายและกฎหมายที่ชาวพุทธกลุ่มนี้มองว่าเอื้อต่ออิสลาม

ยอดการชมวิดีโอ: จากวิดีโอทั้ง 250 ชิ้นที่นำมาวิเคราะห์ มี 11 ชิ้นที่มียอดการรับชมเกิน 1 ล้านครั้ง วิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก มีดังนี้

  1. คลิปเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายปี 2567 พร้อมข้อความ “พวกเราชาวมุสลิมขอไม่รับอาหารที่ไม่มีฮาลาล พวกเรายอมอดตายดีกว่า ถ้าทำผิดต่ออัลเลาะห์” เผยแพร่เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567 วิดีโอนี้มีคนเข้ามาคอมเมนต์เกือบ 18,000 ข้อความ ส่วนใหญ่เข้ามาล้อเลียนเสียดสีคนมุสลิมและคำสอนอิสลาม (เข้าชม 9.7 ล้านครั้ง)
  2. คลิป Shani Louk หญิงสาววัย 22 ปี ลูกครึ่งอิสราเอล-เยอรมัน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อ 7 ตุลาคม 2566 ที่รู้จักกันในชื่อ “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เทศกาลดนตรีที่คิบบุตซ์ เรอิม” ทางตอนใต้ของอิสราเอลใกล้ฉนวนกาซา คลิปนี้โพสต์เมื่อ 2 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “RIP Shani Louk ฉันจะไม่มีวันให้อภัยหรือลืมสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นทำกับคุณ” (เข้าชม 4.5 ล้านครั้ง)
  3. คลิปภาพประกอบเสียงพูดของชายมุสลิมคนหนึ่งกำลังตอบคำถามที่ว่าอัลเลาะห์กับหมอใครช่วยมุสลิมมากกว่ากัน? เขาตอบว่า “อัลเลาะห์ช่วยมากกว่า จากการที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ให้คนนั้นหายจากการรักษาของหมอ…” โพสต์เมื่อ 19 สิงหาคม 2567 จากการสืบค้นของผู้เขียนพบว่าต้นฉบับเสียงนี้เป็นของผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “ฟรีซ เดอะ ทรูธ” คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เผยแพร่คำสอนของอิสลาม พูดในรายการสนทนาทางช่องยูทูบ “สำนักพิมพ์อัซซาบิกูน” เมื่อ 10 ธันวาคม 2566 (เข้าชม 3.1 ล้านครั้ง)
  4. ภาพข่าวงาน AV Expo รวมดาราหนังโป๊ญี่ปุ่นที่จัดในประเทศไทย เผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม 2567 มีข้อความล้อเลียนว่า “ผู้ชายมุสลิมห้ามไปนะ” (เข้าชม 2.8 ล้านครั้ง)
  5. ภาพผู้หญิงสองคนกับโปสเตอร์รณรงค์ยกเลิกการสวมชุดคลุมศีรษะและใบหน้าของหญิงมุสลิม เผยแพร่เมื่อ 16 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “สวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามการคลุมศีรษะของอิสลาม ปิดหน้า ตา จมูก อย่างเป็นทางการ” (เข้าชม 2.5 ล้านครั้ง)
ภาพคลิปวิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก

10 ประเด็นร่วม สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

จากการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอทั้ง 250 ชิ้น พบว่ามีประเด็นร่วมที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม 10 ประเด็น ดังนี้

หมายเหตุ:

* เนื้อหาที่หยิบยกมาด้านล่างนี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง (fact check) ผู้เขียนอ้างถึงเพื่อแสดงตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok เพื่อเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาผลิตซ้ำความเกลียดชัง

** อ่านรายงาน Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok ที่นี่

1) คำสอนและความเชื่อ

นำคำสอนของอิสลามและความเชื่อของคนมุสลิมมาล้อเลียน บิดเบือน อ้างเท็จให้เกิดความเข้าใจว่าอิสลามสอนให้ใช้ความรุนแรงต่อคนต่างศาสนา กดขี่ทางเพศ งมงาย และไม่มีเหตุผล เช่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • อิสลามอนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานกับพ่อได้
  • ผู้หญิงที่ไม่สนองตัณหาสามีจะมีบาปหนา การเชื่อฟังสามีได้ผลบุญเท่ากับการญิฮาด
  • ปัสสาวะและอุจจาระของอิหม่ามไม่เหม็นและไม่สกปรก ผู้ใดดื่มปัสสาวะ อุจจาระและเลือดของอิหม่ามจะได้ขึ้นสวรรค์
  • อิสลามสอนให้เกลียดชังคนต่างศาสนา
  • ศาสนาอิสลามห้ามคนมุสลิมร่วมกิจกรรมประเพณีร่วมกับคนต่างศาสนา ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามสวมชุดไทย
  • อิสลามไม่มองว่าหมอเป็นคนช่วยชีวิตเพราะจะหายป่วยหรือไม่นั้นเป็นไปตามประสงค์ของอัลเลาะห์

2) ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

อ้างถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม” กล่าวหาว่าคนมุสลิมเป็นพวกนิยมความรุนแรง จ้องคุกคามและทำอันตรายคนพุทธและพระสงฆ์เพื่อยึดครองพื้นที่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คนมุสลิมกำลังจะยึดจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเพิ่มจำนวนประชากรเป็นกว่า 1 ล้านคน ขณะที่คนพุทธลดจำนวนจาก 3-4 แสนคน เหลือไม่ถึง 7 หมื่นคน
  • เผยแพร่ภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต การทำร้ายพระสงฆ์ การโจมตีวัด อาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากเหตุระเบิด ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นข่าวใหญ่ในอดีต เช่น กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ถูกจับเป็นตัวประกันและถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต และกรณีตากใบ โดยระบุว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาพรรคประชาชน และ สส. มุสลิม ของพรรคว่า “สนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดน” และ “เป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาว่าโรงเรียนตาดีกาแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้แขวนภาพและเชิดชู “ผู้ก่อการร้ายเบอร์ 1เป็นวีรบุรุษ
  • นำคลิปข่าวจากสื่อมวลชนมาใส่ข้อความบิดเบือนว่าคนมุสลิมกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นในพื้นที่ เช่น ข่าว “ดันมลายูเป็นภาษาราชการภาษาที่ 2″ และข่าวเยาวชนนับหมื่นคนสวมชุดมลายูรวมตัวกันในงานมลายูรายา 2024 ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อเดือนเมษายน 2567  

3) ตราฮาลาล

องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านสินค้าฮาลาลและนโยบายสนับสนุนกิจการฮาลาลมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในเดือนกันยายน 2565 อปพส. รวมตัวกันที่บริษัทซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ถ.สีลม เรียกร้องให้ร้านเซเวนอีเลเวนทุกสาขาจัดชั้นวางจำหน่ายสินค้าที่ไม่มีตราฮาลาลแยกออกจากสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าชาวพุทธที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ การคัดค้านฮาลาลเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกนำมาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมใน TikTok

ตัวอย่างเนื้อหา

  • กล่าวหาว่าการขอตราฮาลาลทำให้คนไทยต้องซื้อสินค้าแพง เพราะผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นในการขอรับรองตราฮาลาล
  • กล่าวหาว่ารายได้จากการรับรองฮาลาลถูกนำไปใช้อย่างไม่โปร่งใส

4) การสร้างมัสยิดและห้องละหมาด

การเพิ่มขึ้นของมัสยิดและการจัดให้มีห้องละหมาดถูกนำมาบิดเบือนว่ารัฐไทยให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาอื่น ๆ และยังถูกนำไปโยงในทฤษฎีสมคบคิดว่าอิสลามกำลัง “รุกคืบ” เพื่อขยายอิทธิพลและจำนวนประชากร

ตัวอย่างเนื้อหา

  • เลขาธิการ อปพส. อ้างว่างบประมาณในการสร้างวัดมาจากการบริจาคของชาวพุทธ แต่งบประมาณในการสร้างมัสยิดมาจากงบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุน “แปลว่ามุสลิมยึดรัฐบาลแล้ว”
  • สมาชิก อปพส. อ้างว่าสนามบินสุวรรณภูมิไม่มีห้องพระสำหรับพระสงฆ์และคนพุทธ แต่มีห้องละหมาดสำหรับคนมุสลิม
  • ภาพตำแหน่งที่ตั้งมัสยิดบนแผนที่ประเทศไทย พร้อมข้อความว่า “ใกล้เป็นรัฐอิสลามเข้ามาทุกขณะ” และ “ประเทศไทยทำไมถึงมีมัสยิดเยอะจัง? เขาสร้างไว้ทำไม? เอาเงินจากไหนมาสร้าง”
  • ภาพป้ายคัดค้านการสร้างมัสยิดในจังหวัดต่าง ๆ

5) นโยบายเอื้อคนมุสลิม

โจมตีและกล่าวหารัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันว่าใช้งบประมาณสนับสนุนศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมากกว่าศาสนาอื่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์: เลขา อปพส. โจมตีรัฐบาล สส. และ สว. ที่อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของชาวมุสลิมในไทย
  • ธนาคารอิสลาม: กล่าวหารัฐบาลว่าใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาทในการแก้ปัญหาหนี้เสียและการขาดทุนของธนาคารอิสลาม และอ้างว่าคนมุสลิมมีสิทธิกู้เงินธนาคารอิสลามได้ทันทีในวงเงิน 2 แสนบาท
  • ทุนการศึกษา: อ้างว่าเด็กมุสลิมได้เรียนฟรี มีโควตาให้เด็กมุสลิมเข้าโรงเรียนนายร้อยและมหาวิทยาลัย 12 แห่ง ปีละ 44 คน โดยไม่ต้องสอบแข่งขันและไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
  • สิทธิพิเศษในการรับเข้าทำงาน: อ้างว่าหน่วยงานของรัฐมีโควตาพิเศษรับคนมุสลิมเข้าทำงานโดยไม่ต้องแข่งขันตามระบบ

6) “แผนการยึดครองประเทศไทย”

ผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าอิสลามมีแผน “ยึดประเทศไทย” โดยอ้างถึงการเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิม การเพิ่มจำนวนมัสยิด บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองมุสลิมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การแฝงตัวของคนมุสลิมเข้ามาเป็นพระสงฆ์เพื่อทำลายวงการสงฆ์ และการผลักดันการใช้กฎหมายอิสลามทั่วประเทศ

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงของ น.ส.พศิกา นายกฯ สปพ. อ้างถึง “แผนการยึดครองประเทศไทยภายใน 10 ปี” ด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มจำนวนโรงเรียนปอเนาะเพื่อปลุกกระดมเยาวชนมุสลิม เร่งให้มุสลิมชายหญิงอายุ 12-13 ปีแต่งงานเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมให้มากที่สุด ผู้เขียนตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นข้อความที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2550 อ้างว่ามาจาก “เอกสารลับเฉพาะของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและยึดครองประเทศไทย” ที่แปลจากภาษายาวี
  • การบรรยายของ พล.อ.ณพล บุญทับ อดีตรองสมุหราชองครักษ์ ในการสัมมนาเชิงปฎิบัติการแนวทางสร้างอาสาสมัครคุ้มครองพระพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 7-8 กันยายน 2556 ที่วัดราชาธิวาส เนื้อหาการบรรยายของ พล.อ. ณพล ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลาม ในคลิปนี้ พล.อ. ณพลพูดถึงการผลักดันร่างกฎหมายอิสลามเข้าสู่สภา โดยอ้างว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ ทั้งคนมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยแฝงมาตราที่ระบุว่าจังหวัดที่มีมัสยิดตั้งแต่ 3 แห่งขึ้นไปจะต้องมีกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น
  • กล่าวหาว่าผู้นำทางการเมืองและการทหารในอดีต เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน นายอารีย์ วงศ์อารยะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนในการส่งเสริมให้อิสลาม “รุกราน” พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมชาวพุทธ เช่น ตัดวิชาส่งเสริมพุทธศาสนาออกจากตำราเรียน ตัดงบบำรุงวัดและพระสงฆ์ ตัดงบโครงการบรรพชาฤดูร้อน ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อ “เปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามในชื่อ Thailand Darussaram”

7) ข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อคนมุสลิมด้วยการนำข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิมมาเผยแพร่ต่อโดยใส่ข้อความชี้นำให้เข้าใจว่าหลายประเทศกำลังต่อต้านคนมุสลิม เพราะศาสนาอิสลามเป็นที่มาของความขัดแย้งและความรุนแรง

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปข่าวจากสำนักข่าวอัลจาซีรากรณีชาวมุสลิมในจีนปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามเข้าไปรื้อสิ่งปลูกสร้างภายในมัสยิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำพร้อมข้อความว่า “รัฐบาลจีนสั่งปราบปรามกลุ่มมุสลิมที่คิดแบ่งแยกการปกครองเพราะคัมภีร์เขียนไว้มุสลิมต้องปกครองตนเองด้วยกฎหมายอิสลาม จึงกลายเป็นการปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐในทุก ๆ ดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่ ปัญหาความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นตลอดไป”
  • คลิปจากวอยซ์ทีวีที่พิธีกรข่าวพูดถึงข้อเสนอของนายกเนเธอร์แลนด์ให้ปิดมัสยิดทั้งประเทศ ถูกนำมาใส่ข้อความประกอบว่า “นายกเนเธอร์แลนด์เสนอให้ปิดมัสยิดทั่วประเทศ มัสยิดคือแหล่งปัญหา”
  • ข่าวทางการอินเดียสั่งถอดลำโพงกว่า 45,000 ตัว จากศาสนสถาน รวมทั้งมัสยิด
  • ข่าวนักเรียนมุสลิมในกรุงลอนดอนแพ้คดีที่เธอฟ้องร้องโรงเรียนข้อหาละเมิดสิทธิเพราะห้ามไม่ให้เธอละหมาดที่โรงเรียน

8) ออกจากอิสลาม

นำเสนอเรื่องราวของคนที่ออกจากอิสลาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊ก “กุรอานศึกษาแนววิพากษ์ – Critical Quran Studies” ที่เผยแพร่ซีรีส์ “ทำไมฉันจึงออกจากอิสลาม” มาตั้งแต่ปี 2566 โดยอ้างว่าเป็นเรื่องราวจริงของคนที่ส่งข้อมูลมาให้ทางเพจเผยแพร่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านเรื่องราวของชายชาวนครศรีธรรมราชที่เปลี่ยนจากอิสลามมานับถือพุทธ
  • คลิปวิดีโอชายมุสลิมกำลังร้องไห้คร่ำครวญเป็นภาษาต่างประเทศ มีข้อความว่า “อิหม่ามร้องไห้เมื่อมุสลิมออกจากการนับถืออิสลามมาก”

9) อิสลาม vs พุทธ

เปรียบเทียบคำสอนของศาสนาอิสลามกับศาสนาพุทธ ยกย่องว่าศาสนาพุทธดีกว่าศาสนาอื่น ๆ หรืออ้างถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนพุทธและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านบทความเรื่อง “ศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ตรงข้ามกัน” ซึ่งพูดถึงศาสนาพุทธในทางที่ดี แต่อิสลามในทางที่ไม่ดี
  • คลิป น.ส. พาศิกา นายกฯ สปพ. พูดว่าโรงเรียนวัดในกรุงเทพฯ มีนักเรียนมุสลิมเข้ามาเรียนจำนวนมากและเรียกร้องขอแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามและขอให้มีอาหารฮาลาล ซึ่งเธอบอกว่า “แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะคุกคาม รุกราน รุกคืบเข้ามาในพื้นที่ของชาวพุทธที่เป็นคนดั้งเดิมของแผ่นดินไทย”

10) ล้อเลียนอิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok มีการนำภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และข้อความต่าง ๆ จากหลายแหล่ง มาตัดต่อเป็นเนื้อหาเชิงล้อเลียน เสียดสี กล่าวหา สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่ออิสลามและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้ช่วงปลายปี 2567 เขียนบรรยายว่าชาวมุสลิมไม่รับอาหารจากหน่วยกู้ภัยเพราะไม่ใช่อาหารฮาลาล
  • ภาพประชาชนรอรับแจกของในงานเทกระจาดที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ยะลา มีข้อความเสียดสีชาวมุสลิมที่มารับอาหาร
  • คลิปทำขาหมูพะโล้ เขียนข้อความ “เมื่อเราเป็นอิสลาม แต่เพื่อนไทยพุทธ ให้ลองเปิดใจกินหมู ทุกคนว่าไงดี”

บทสรุปและข้อสังเกต

จากการศึกษาวิดีโอสั้นที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามจำนวน 250 ชิ้น ที่เผยแพร่โดย 30 บัญชีผู้ใช้ TikTok ระหว่างเดือนสิงหาคม 2564-มีนาคม 2568 แสดงให้เห็นว่า TikTok เป็นช่องทางในการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม นอกเหนือจาก Facebook, YouTube และ X แม้รูปแบบและลักษณะของเนื้อหาจะแตกต่างไปตามแพลตฟอร์มที่เน้นการนำเสนอวิดีโอสั้น (short video) แต่ประเด็นหรือ narratives ที่ถูกนำมาใช้สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ยังคงเป็นประเด็นเดียวกับที่พบในแพลตฟอร์มอื่น เช่น การสร้างภาพว่าอิสลามเป็นศาสนาที่สนับสนุนความรุนแรง การเชื่อมโยงอิสลามกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วย “การล้างเผ่าพันธุ์ชาวพุทธ” และการสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชุมชนคนพุทธกับมุสลิม

การสร้างความเกลียดกลัวอิสลามผ่านวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ใน TikTok มีทั้งการล้อเลียนและการใช้เนื้อหาเท็จ-ข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดภาพลบต่อชาวมุสลิม และสร้างความเข้าใจผิดต่อคำสอนของอิสลาม กฎหมายและนโยบายของรัฐ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหลายฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) เนื้อหาเท็จ/บิดเบือนเหล่านี้ เช่นเดียวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาประเด็นอื่น ๆ อย่างเรื่องสุขภาพและการเมือง

ผู้เขียนพบว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เป็นวิดีโอสั้นใน TikTok มีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อหาในแพลตฟอร์มอื่น เพราะผู้สร้างวิดีโอสั้นเหล่านี้มักผสมผสานเนื้อหาหลายรูปแบบจากหลายแหล่ง ทั้งข้อความในไลน์ ข้อเขียนจากบล็อกและเว็บไซต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ไลฟ์สตรีม คลิปข่าวต่างประเทศ วิดีโอจากผู้ใช้งานอื่น (user-generated content) ฯลฯ มาตัดต่อเข้าด้วยกัน โดยไม่ระบุหรืออ้างอิงที่มา และใส่ข้อความที่ชี้นำความเห็นหรือสร้างความเข้าใจผิด

การวิเคราะห์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาวิดีโอ TikTok จึงไม่ใช่แค่เพียงการนำข้อความหรือภาพมาตรวจสอบ แต่ต้อง แยกองค์ประกอบของวิดีโอนั้นออกเป็นส่วน ๆ สืบค้นต้นตอของเนื้อหาแต่ละส่วน แล้วจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาแต่ละส่วน ทำให้การตรวจสอบเนื้อหาใน TikTok ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลามาก

ข้อสังเกตประการสุดท้ายคือ เนื้อหาหลายชิ้นมีถ้อยคำและภาพที่รุนแรงมาก ยังไม่นับข้อความในคอมเมนต์ที่ปลุกปั่นและยั่วยุในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างเช่นหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เนื้อหาเหล่านี้ปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มมาเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี ทำให้เกิดคำถามต่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์มถึงประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการใช้งานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน

3 คำถาม 3 คำตอบกับ TikTok

ผู้เขียนได้สอบถาม TikTok เกี่ยวกับหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนและการจัดการเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังทางศาสนาและได้รับคำตอบจาก คุณสิริประภา วีระไชยสิงห์ Outreach and Partnerships Lead, Trust and Safety – TikTok ดังนี้

ถาม: TikTok มีหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาหรือไม่ อย่างไร?

ตอบ: หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนของ TikTok ไม่อนุญาตให้ใช้ถ้อยคำและการแสดงพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังหรือการส่งเสริมแนวคิดที่สร้างความเกลียดชังทั้งโดยชัดเจนหรือโดยนัยที่เกี่ยวข้องกับศาสนา รวมถึงกลุ่มที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชาติกำเนิด ศาสนา ชนเผ่า วรรณะ รสนิยมทางเพศ เพศ เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ โรคร้ายแรง ความทุพพลภาพ และสถานะการอพยพ

เนื้อหาที่ลดคุณค่าทางอ้อมของกลุ่มที่ได้รับการคุ้มครอง อาจไม่มีคุณสมบัติสำหรับการเผยแพร่ใน “หน้าฟีดสำหรับคุณ (For You Feed- FYF)

ถาม: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวกับการสร้างความแตกแยกระหว่างคนต่างศาสนาเป็นอย่างไร หากพบเนื้อหาเท็จที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามจะดำเนินการอย่างไร?

ตอบ: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความรุนแรงและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาควบคู่นโยบายหรือกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการคัดกรองเนื้อหาในระดับต่าง ๆ เช่น ลบเนื้อหาที่ไม่อนุญาต จำกัดเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน หรือจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง FYF

TikTok ปรับปรุงนโยบายและบังคับใช้กฎให้เข้มงวดยิ่งขึ้นอยู่เสมอ และฝึกอบรมทีมผู้เชี่ยวชาญในการคัดกรองเนื้อหาเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชัง สัญลักษณ์ คำศัพท์ และภาพจำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นอกจากนี้ TikTok ยังทำงานร่วมกับองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับรองจากเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ (IFCN) โดยระหว่างการตรวจสอบ วิดีโอนั้นจะไม่มีสิทธิ์ใน FYF หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ชัดเจน วิดีโอนั้นจะมีป้ายกำกับว่าเนื้อหาไม่ได้รับการตรวจสอบ ไม่อนุญาตให้ปรากฏใน FYF และแนะนำให้ผู้ใช้พิจารณาก่อนแชร์

ถาม: บัญชีผู้ใช้หลายบัญชีเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัว/ดูหมิ่นศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมาเป็นเวลาหลายปี และเนื้อหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ เหตุใดบัญชีและเนื้อหาเหล่านี้จึงไม่ถูกนำออกจากระบบ?

ตอบ: ถ้อยคำและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังจะถูกดำเนินการเมื่อตรวจพบ TikTok ฝึกอบรม ทีมงานผู้เชี่ยวชาญและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นประจำเพื่อตรวจจับแนวโน้มของเนื้อหาดังกล่าว

ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ระบบของ TikTok ตรวจจับได้ลบเนื้อหาที่มีการละเมิดกฎของชุมชน 2.8 ล้านวิดีโอในประเทศไทย

แม้ว่าระบบจะมีความแม่นยำในการตรวจจับ แต่ก็ยังมีเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ เสียง การ์ตูน มีม สิ่งของ ท่าทาง และสัญลักษณ์ ซึ่งการถ่ายทอดบางอย่างอาจไม่ชัดเจน TikTok จึงต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและภาคประชาสังคมเพื่อให้การตรวจจับเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้น

ทั้งนี้ TikTok มีชุมชน #MuslimTok ซึ่งรวบรวมผู้สร้างคอนเทนต์มุสลิมมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก และเปิดโอกาสให้คนทุกศาสนาและชุมชนมุสลิมได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอิสลามและประสบการณ์ของชาวมุสลิมความหลากหลายนี้เป็นหัวใจสำคัญของ TikTok ซึ่งมีเป้าหมายให้ชาวมุสลิมมีประสบการณ์เชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้สร้างสรรค์หรือผู้ใช้ทั่วไปของแพลตฟอร์ม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ไขความจริงบุหรี่ไฟฟ้า 2568: ข่าวลวงที่คุณต้องรู้ก่อนสูบ

กิจกรรม

วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 – ในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว ตอนที่ 3 นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันทดำเนินรายการ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ รศดรพญ.เริงฤดี ปธานวนิช จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชนคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล , สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ พลินี เสริมสินสิริ จาก COFACT ประเทศไทย ได้เจาะลึกประเด็น “ข่าวจริง-ข่าวปลอม” เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2568 เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ที่แพร่หลายในสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน พร้อมตอบคำถามสำคัญ 8 ข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมาก

รายการเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับสารอันตรายในบุหรี่ไฟฟ้า คำถามแรกที่หลายคนสงสัยคือ มีน้ำยาดองศพในบุหรี่ไฟฟ้าจริงหรือไม่? รศ. ดร. พญ.เริงฤดี ยืนยันว่าเป็นความจริง สารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือน้ำยาดองศพ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งพบในบุหรี่ไฟฟ้า เกิดจากส่วนผสมอย่างกลีเซอรอลหรือโพรพิลีนไกลคอลที่ถูกความร้อนจนแตกตัว งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาและแหล่งอื่น ๆ ยืนยันว่าสารนี้มีปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ต่อมา มีความเชื่อว่ารัฐบาลโจมตีบุหรี่ไฟฟ้าเพราะไม่ได้เก็บภาษี จริงหรือ? คุณหมอเริงฤดีชี้แจงว่าไม่จริงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้ามาจากอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ใช่เรื่องภาษี โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งพบว่าเกือบ 40% ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นกลุ่มนี้ แม้ถูกกฎหมาย เยาวชนก็ไม่สามารถซื้อได้ตามกฎหมาย และการทำให้ถูกกฎหมายอาจส่งสัญญาณผิด ๆ ว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย

ข้ออ้างเรื่องภาษีมักมาจากกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เพื่อผลักดันให้ถูกกฎหมาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลกระทบด้านสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากโรคปอดอักเสบในเด็กที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า

ข้อสงสัยต่อมาคือ สารปรุงแต่งกลิ่นในบุหรี่ไฟฟ้าที่เหมือนขนมหรืออาหารทั่วไป จริงหรือไม่? คุณหมอยืนยันว่าจริง บุหรี่ไฟฟ้ามีสารปรุงแต่งกลิ่นมากถึง16,000 ชนิดตามรายงานขององค์การอนามัยโลกเช่น สารไดอะซีติลที่ใช้ในเนยหรือป๊อปคอร์นปลอดภัยเมื่อรับประทาน แต่เป็นอันตรายเมื่อสูดดมเข้าปอด สารเหล่านี้ในรูปแบบไอระเหยอาจทำร้ายระบบทางเดินหายใจ

อีกความเชื่อที่ว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่นำไปสู่การสูบบุหรี่ธรรมดา ถูกหักล้างโดยงานวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คุณหมอเริงฤดีเผยว่าการศึกษาในนักเรียนชั้น ม.1 ที่ติดตาม 1 ปี พบว่าเด็กที่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสสูบบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ต่างประเทศระบุว่าอาจสูงถึง 2-10 เท่า แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็น “ประตู” สู่การสูบบุหรี่ธรรมดา

ประเด็นที่ว่านิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตราย คุณหมอระบุว่าไม่จริง นิโคตินเป็นสารเสพติดรุนแรงเทียบเท่าเฮโรอีน ทำให้เลิกยาก และส่งผลต่อหัวใจ ปอด และพัฒนาการสมองในเด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีความเข้มข้นสูงกว่าบุหรี่ธรรมดา และบางครั้งถูกเรียกว่า“ยาพิษ” ในต่างประเทศ

หลายคนเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าให้ “ไอน้ำ” ไม่ใช่ควัน จึงปลอดภัย คุณหมอชี้ว่าไม่จริง ไอจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นไอระเหยของสารเคมี เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, โลหะหนัก(ตะกั่ว, ปรอท), สารก่อมะเร็ง และอนุภาคขนาดเล็กที่เล็กกว่า PM 2.5 ซึ่งเข้าสู่ปอดได้ลึกและเป็นอันตรายการเรียกว่า “ไอน้ำ” เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่ในโซเชียลมีเดีย

ส่วนคำถามที่ว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ติดนั้น คุณหมอยืนยันว่าไม่จริง บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินในปริมาณสูง โดยเฉพาะรุ่นใหม่ ๆ ที่ 1 แท่งอาจเทียบเท่าบุหรี่ธรรมดา20-400 มวน งานวิจัยพบว่าเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีพฤติกรรมเสพติดรุนแรง เช่น ต้องสูบทันทีภายใน 5 นาทีหลังตื่นนอน ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสพติดที่รุนแรงกว่าบุหรี่ธรรมดา

ความเชื่อที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา95% ถูกหักล้างว่าไม่จริง ข้อมูลนี้มาจากรายงานที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทบุหรี่ ซึ่งขาดความเป็นกลางงานวิจัยล่าสุดระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา และบางกรณีพบผลกระทบที่ไม่เคยพบในบุหรี่ธรรมดา เช่น โรคปอดอักเสบเฉียบพลันในเด็ก

นอกจากนี้ ผู้ชมถามว่าในประเทศไทยมีข้อมูลเด็กป่วยหรือเสียชีวิตจากบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ คุณหมอระบุว่า ยังไม่มีระบบเก็บข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานข่าวจำนวนมากเกี่ยวกับเด็กที่ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบเฉียบพลันและปัญหาหัวใจจากบุหรี่ไฟฟ้า ในต่างประเทศเริ่มมีการเก็บข้อมูล แต่เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ งานวิจัยยังอยู่ในช่วงพัฒนา กลุ่มที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้ามักปฏิเสธความเชื่อมโยงกับโรคโดยอ้างว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ

อีกคำถามคือ บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวนได้หรือไม่? คุณหมอชี้ว่าไม่จริง องค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยังไม่รับรองว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ งานวิจัยพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มักสูบทั้งสองอย่างหรือเปลี่ยนไปติดบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งทางการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นการเลิกบุหรี่ เพราะยังคงพึ่งพานิโคติน

นายณรงค์ แสงศร หรือ “หมอบ้านดง” อดีตสาธารณสุขอำเภอตระการพืชผล เข้าร่วมผ่าน Zoom แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าในชุมชน โดยเฉพาะในเยาวชน และเสนอให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษารณรงค์อย่างจริงจัง พร้อมฝากให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อตีแผ่อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

รศ. ดร. พญ.เริงฤดี สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย มีสารอันตรายมากมาย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, นิโคติน, โลหะหนัก และอนุภาคขนาดเล็ก โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่ถูกหลอกล่อด้วยรูปลักษณ์และรสชาติผู้ปกครอง ครู และสังคมต้องช่วยกันปกป้องเยาวชนและควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่นกระทรวงสาธารณสุข หรือโรงพยาบาล แทนการเชื่อโฆษณาในโซเชียลมีเดีย

ขอบคุณที่มา อุบลคอนเนก


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2568

แนะนำกินยาเขียวเพื่อรักษาโควิด 19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jh9b0lhetjwo


“จีน-อียิปต์” ซ้อมรบทางอากาศครั้งแรก บินเหนือ “พีระมิด” …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/348vlnvl0186t


เรือสุพรรณหงส์ กำลังจะตกเป็นของกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1be7iu11l0gb2


ทานเมลทิลีนบูล เพื่อล้างพิษ หลังฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/w5cn6ji4ho4t


น้ำดื่มแถมจากปั๊มน้ำมัน อันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bnnf1034kyxu


 ปล่อยบั้งไฟใกล้รัศมีสนามบิน มีโทษทั้งจำและปรับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36tiz7retcmv8


ดื่มน้ำหวาน ช่วยแก้อาการหน้ามืดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1l7dtc86bo03t


กทม. ประกาศสิ้นสุดสาธารณภัยในเขตพื้นที่ก่อสร้างอาคาร สตง.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ckwkrm2re9k4


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ปิดการท่องเที่ยวและพักแรมตั้งแต่ 16 พ.ค. – 14 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pfgazeibv0gy#_=_


ครม.อนุมัติงบกลาง 2,049 ล้าน ฟื้นฟูพื้นที่เสียหายจากอุทกภัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8utl7m0d6g98#_=_


การเคหะฯ เดินหน้ารับมือแผ่นดินไหว ยกระดับความปลอดภัยบ้านทั่วไทย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/4g9mrmcage2n#_=_


Gaszym มีส่วนผสมจากตับหมูแจ้งลูกค้่่าทุกครั้ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pwaldyews7uw


ฉากเกมออนไลน์-ภาพจุดบั้งไฟ ถูกอ้างเท็จว่าเป็นเหตุสู้รบอินเดีย-ปากีสถาน

กองบรรณาธิการโคแฟค

ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานดูเหมือนเป็นประเด็นที่ไกลตัวคนไทย แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยกลับเผยแพร่เนื้อหาเท็จจำนวนมากเกี่ยวกับการโจมตีตอบโต้กันของสองประเทศนี้ โคแฟครวบรวม 7 เนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่นับตั้งแต่อินเดียเปิดฉากโจมตีปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้เห็นรูปแบบของการเผยแพร่ข่าวลวงในบริบทความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มต้นหลังจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในฝั่งแคชเมียร์ของอินเดียเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงนี้ แม้ว่าปากีสถานจะปฏิเสธ แต่อินเดียก็เปิดฉากโจมตีปากีสถานและพื้นที่บางส่วนของแคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจุดชนวนให้เกิดการโจมตีตอบโต้กันตามแนวพรมแดนของทั้งสองประเทศเป็นเวลา 4 วัน มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายกว่า 60 ราย ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568

แม้ว่าทั้งสองชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ในเอเชียใต้จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่ข้อมูลบิดเบือนในโซเชียลมีเดียยังคงแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงบรรดาผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยด้วย

โคแฟครวบรวมเนื้อหา 7 ชิ้นที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยให้ข้อมูลเท็จและบิดเบือนว่าเป็นภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถาน

1. วิดีโอรถบรรทุกระเบิดในเมืองมุมไบถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีอินเดียด้วยขีปนาวุธของปากีสถาน

ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยเผยแพร่วิดีโอที่เขียนข้อความบรรยายว่า “สงครามอินเดียกับปากีสถานเมื่อวาน” โดยวิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นเหตุระเบิดรุนแรงบนถนน มีไฟไหม้และกลุ่มควันขนาดใหญ่ ฝังข้อความภาษาไทยว่า “ขีปนาวุธปากีสถานโจมตีอินเดีย” วิดีโอนี้ได้รับการกดถูกใจมากกว่า 5,700 ครั้ง และถูกแชร์ต่อมากกว่า 300 ครั้ง ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบ

โคแฟคตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือค้นหาภาพแบบย้อนหลังในกูเกิล (Google reverse image search) โดยแยกภาพนิ่งจากวิดีโอออกมาตรวจสอบ และพบว่าวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้งานอินสตาแกรมรายหนึ่ง (ลิงก์บันทึก) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีข้อความประกอบวิดีโอว่า “มุมไบ”

การค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม ทำให้พบว่าวิดีโอที่คล้ายกันนี้ปรากฏในโพสต์ X (ลิงก์บันทึก) ของสำนักข่าวไทมส์ออฟอินเดีย (Times of India) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเขตธาราวี มุมไบ จากเหตุรั่วไหลของแก๊สแอลพีจีจากรถบรรทุกที่บรรทุกถังแก๊สจำนวนมาก”

รายงานข่าวของไทมส์ออฟอินเดีย (ลิงก์บันทึก) ระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 24 มีนาคม 2568 เกิดเหตุถังแก๊สของรถบรรทุกระเบิดบริเวณใกล้กับท่ารถเมล์แห่งหนึ่งบนถนนไซออน-ธาราวีในเมืองมุมไบ โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในการควบคุมเพลิง

2. คลิปจากเหตุระเบิดที่ท่าเรือดูไบปี 2564 ถูกแชร์ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ฐานทัพอินเดียถูกโจมตีโดยปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยรายหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ เป็นภาพเปลวเพลิงและกลุ่มควันขนาดใหญ่จากเหตุระเบิด มีชิ้นส่วนจากแรงระเบิดเกลื่อนพื้น เจ้าของโพสต์เขียนข้อความประกอบวิดีโอว่า “ด่วน ฐานทัพอากาศอินเดียในรัฐคุชราต หลังจากปากีสถานโจมตีด้วยขีปนาวุธ” โพสต์นี้ได้รับการกดถูกใจเกือบ 900 ครั้งและถูกแชร์ต่อ 30 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เคยถูกเผยแพร่ในบัญชี X ของทาเมียร์ อัลมิสชาล (Tamer Almisshal) ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 (ลิงก์บันทึก) มีคำบรรยายเป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นไทยได้ว่าเป็นภาพความเสียหายจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำนักข่าวอัลจาซีราในซีเรีย (ลิงก์บันทึก) และสำนักข่าวอะราเบียนเดลี่ (ลิงก์บันทึก) ก็เผยแพร่วิดีโอเดียวกันในรายงานข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยระบุว่าเกิดเหตุระเบิดบนเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในช่วงกลางดึกของวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต

3. คลิปประเพณีบั้งไฟในไทยถูกบิดเบือนว่าเป็นโดรนที่อินเดียส่งไปโจมตีปากีสถาน

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่วิดีโอ บันทึกภาพวัตถุชิ้นหนึ่งหมุนเป็นวงในอากาศก่อนจะพุ่งตกลงสู่พื้นและปล่อยควันเป็นทางยาว ผู้โพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ปากีสถาน สามารถเห็นโดรนของอิสราเอลในวิดีโอที่ส่งโดยอินเดียไปยังปากีสถาน”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพงานเทศกาลบุญบั้งไฟในอำเภอทุ่งไชย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าถูกเผยแพร่ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 (ลิงก์บันทึก)

เมื่อตรวจสอบคลิปนี้อย่างละเอียดยังพบว่ากลุ่มคนในวิดีโอสวมเสื้อสีแดง ด้านหลังมีข้อความ “ตำบลทุ่งไชย”

เมื่อโคแฟคค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม พบว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 (ลิงก์บันทึก) ได้รายงานเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ว่าชุมชนในตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดเทศกาลแห่บั้งไฟตะไลยักษ์ ซึ่งเป็นประเพณีประจำปีของชาวอีสานที่จัดขึ้นเพื่อขอฝนตามความเชื่อดั้งเดิม

สำนักข่าวต่างประเทศอย่างรอยเตอร์ก็ได้ตรวจสอบวิดีโอเดียวกันนี้ โดยเขียนรายงานการตรวจสอบไว้ด้วย (ลิงก์บันทึก)

4. คลิปเหตุระเบิดในเลบานอนปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีฐานทัพปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ในช่วงที่สถานการณ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานทวีความตึงเครียด ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่คลิปวิดีโอ เหตุระเบิดเวลากลางคืนในย่านที่อยู่อาศัย มีเปลวไฟและกลุ่มควันขนาดใหญ่ตามมา ระบุข้อความประกอบว่า “คลิปอีกมุมมองหนึ่ง ภาพกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ขีปนาวุธพิสัยไกลพุ่งเข้าใส่ฐานทัพอากาศปากีสถานในเมืองลาฮอร์ ระบบป้องกันของจีนในปากีสถานไม่สามารถสกัดกั้นได้”

ในความเป็นจริงแล้ว คลิปวิดีโอดังกล่าวมาจากเหตุระเบิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองของกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี 2568

โคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปต้นฉบับถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 โดยระบุว่าเป็นคลิปเหตุการณ์การโจมตีและระเบิดในกรุงเบรุต (ลิงก์บันทึก)  

สำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกา (Voice of America) ก็ได้เผยแพร่คลิปเดียวกันนี้เช่นกัน (ลิงก์บันทึก) ให้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งกองทัพอิสราเอลแถลงว่าได้สังหารฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ รวมถึงผู้บัญชาการแนวรบทางใต้และแกนนำระดับสูงอีกหลายคน

5. ภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินตกในอินเดียปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นเหตุเครื่องบินรบอินเดียตกหลังถูกปากีสถานโจมตี

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ในเวลากลางคืน โดยเขียนบรรยายภาพว่า “อินเดีย – ปากีสถาน ยิงถล่มทางอากาศ เครื่องบินร่วงแล้ว 5 ลำ หลายสายการบินแห่ยกเลิกเที่ยวบิน”

โพสต์ดังกล่าว ซึ่งได้รับการกดถูกใจมากกว่า 400 ครั้ง ถูกเผยแพร่ในช่วงที่มีรายงานการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการยิงปืนใหญ่ระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยขณะนั้น กองทัพปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำ  

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียตกระหว่างการฝึกบินเวลากลางคืนในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เมื่อเดือนกันยายน 2567  

ภาพเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ในช่องยูทูบของสำนักข่าวอินเดียทูเดย์เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 (ลิงก์บันทึก) โดยรายงานระบุว่าเป็นภาพเครื่องบิน MiG-29 ของกองทัพอากาศอินเดียที่ประสบอุบัติเหตุตกในเขตบาร์เมอร์ รัฐราชสถาน ขณะกำลังฝึกบินในเวลากลางคืน

นิวเดลีเทเลวิชันหรือ NDTV สถานีโทรทัศน์ของอินเดียได้เผยแพร่ภาพจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยระบุชัดว่าเป็นภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจฝึกบิน ไม่ใช่การโจมตีทางทหาร และนักบินของเครื่องบินลำดังกล่าวปลอดภัยดี (ลิงก์บันทึก)

6. ภาพเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในกรุงเบรุตปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีในแคชเมียร์และท่าเรือในปากีสถาน

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพถ่ายเหตุระเบิดยามค่ำคืนที่แสดงเปลวไฟขนาดใหญ่พร้อมกลุ่มควันจำนวนมาก โดยคำบรรยายระบุว่า “Breaking News: แคชเมียร์ลุกเป็นไฟ! อินเดีย-ปากีสถานเปิดศึกปะทะหนัก จรวด-โดรนว่อนฟ้า”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกรายหนึ่งแชร์ภาพเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 โดยมีข้อความฝังในภาพว่า “อินเดียโจมตีครั้งใหญ่ที่ท่าเรือการาจี”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในรายงานข่าวของสำนักข่าว ABC News (ลิงก์บันทึก) คำบรรยายภาพระบุว่า “เปลวไฟและกลุ่มควันลอยขึ้นจากเหตุโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเขตดาเฮีย กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567”  

สำนักข่าวเอพียังได้เผยแพร่วิดีโอของเหตุการณ์เดียวกันในช่องยูทูบ (ลิงก์บันทึก) พร้อมคำบรรยายว่า “แรงระเบิดสะเทือนกรุงเบรุตตลอดคืนจากการโจมตีของอิสราเอล”

7. คลิปจากวิดีโอเกมถูกบิดเบือนว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์จริงที่ปากีสถานยิงเครื่องบินอินเดียตก

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้งานติ๊กต็อกแชร์คลิปวิดีโอ ที่มีข้อความฝังไว้ว่า “ปากีสถานยิงเครื่องบินของอินเดียตก ใกล้เมืองบาฮาวาลปูร” ส่วนคำบรรยายใต้คลิปเขียนว่า “อินเดีย-ปากีสถานล่าสุด ยิงเครื่องบินอินเดียตก #ข่าวต่างประเทศ #อินเดีย #ปากีสถาน #ขัดเเย้ง” มีผู้กดถูกใจกว่า 2,000 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าวและพบว่าคลิปนี้ไม่ได้มาจากเหตุการณ์จริง แต่เป็นฉากจากวิดีโอเกมแนวจำลองสถานการณ์ทหารชื่อ Arma 3 ซึ่งถูกเผยแพร่ไว้ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 (ลิงก์บันทึก) โดยในคำอธิบายระบุชัดว่าเป็นวิดีโอเกมจำลองทางทหารจากเกม Arma 3  

โคแฟคเปรียบเทียบภาพในวิดีโอ และพบว่าเนื้อหาจากคลิปในติ๊กต็อกตรงกับวิดีโอในยูทูบ ตั้งแต่ช่วงเวลา นาทีที่ 3.38 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาวิดีโอเกมดังกล่าวอย่างโบฮีเมีย อินเตอร์แอ็กทีฟ (Bohemia Interactive) ได้ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านทางอีเมลว่า คลิปดังกล่าวเป็นเนื้อหาจากเกมที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาจริง (ลิงก์บันทึก)

ภาพและวิดีโอส่วนใหญ่เป็นของจริง แต่ถูกนำมาบิดเบือนในบริบทความขัดแย้ง

ในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้แชร์ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจำนวนมากที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างทั้งสองประเทศ ส่วนใหญ่เป็นภาพและวิดีโอจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นภาพการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีภาพอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบเลยอย่างเช่น ประเพณีบั้งไฟและภาพจากเกมออนไลน์มาอ้างเท็จด้วย

แม้ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้จะไม่ได้ผ่านการตัดต่อหรือดัดแปลง แต่การนำมาใช้ผิดบริบท ใส่คำบรรยายที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจผิด ตื่นตระหนก และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสำคัญ เช่น การเดินทาง การทำธุรกิจได้  

ในช่วงที่สถานการณ์อ่อนไหวอย่างเช่นการสู้รบหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งต่อข่าวลวง-ข้อมูลเท็จที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ