‘2572’นับถอยหลัง‘ทีวีดิจิตอล’สิ้นสุดใบอนุญาต ‘โทรทัศน์ภาคพื้นดิน’จำเป็นแม้คนดูน้อยลง

กิจกรรม

25 มิ.ย. 2568 รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ชวนพูดคุยในประเด็น โทรทัศน์ไทย ครบ 70 ปี ไปต่อหรือพอแค่นี้ โดย ณตภณ ดิษฐบรรจง บรรณาธิการบริหาร THE F1RST (เดอะ เฟิร์สท์) เล่าถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้นในวงการโทรทัศน์ช่วงเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจิตอลตั้งแต่ในปี 2555 มีการจัดทำแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล มีข้อถกเถียงเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆ 

กระทั่งเกิดการประมูลใบอนุญาตในปี 2556 โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้รับเงินประมูลไป 5 หมื่นล้านบาท แต่ละช่องได้เตรียมการออกอากาศ และออกอากาศจริงในวันที่ 24 พ.ค. 2557 อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นยุครัฐบาลรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทีวีดิจิตอลบางช่อง เช่น Voice TV โดนจับตามองและถูกแทรกแซง เนื่องจากนำเสนอข่าวไม่ตรงกับนโยบายของ คสช. มากนักในเวลานั้น

ในปี 2557 ยังเป็นปีแรกที่เริ่มใช้กฎ Must Have และรายการที่มีปัญหาคือการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งทาง RS ได้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดไว้เมื่อหลายปีก่อนหน้าจะมีกฎ Must Have เกิดขึ้น แต่ กสทช. บอกว่าต้องถ่ายทอดให้ครบทุกนัดตามกฎ Must Have เรื่องนี้เป็นคดีความฟ้องร้องในศาลและ RS เป็นฝ่ายชนะ และเกิดบรรทัดฐานใหม่ คือ กฎ Must Have ของ กสทช. สามารถบังคับใช้ได้ แต่การบังคับใช้ต้องไม่มีผลย้อนหลัง 

อย่างไรก็ตาม คสช. ได้ใช้งบประมาณ 427 ล้านบาท จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ที่เก็บเงินจากผู้ประกอบการทุกรายทั้งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เพื่อให้คนไทยได้ชมฟุตบอลโลกครบทุกนัด ในปีเดียวกัน กสทช. ยังต้องขึ้นศาลสู้คดีกับช่อง 3 ที่ยังคงออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก ไม่ยอมนำมาออกอากาศคู่ขนานกับช่อง 3HD (หรือช่อง 33) ทำให้เวลานั้นช่อง 3 มี 4 ช่องคือช่อง 3 (อนาล็อก) ช่อง 13  (Family) ช่อง 28 (SD) และช่อง 33 (HD)

ซึ่งเหตุผลที่ไม่ยอมออกอากาศคู่ขนานในตอนแรก เนื่องด้วยช่อง 3 อ้างว่าเป็นคนละนิติบุคคลกัน กระทั่งในวันที่ 10 ต.ค. 2557 การเจรจาจบลงด้วยการที่ช่อง 3 ยอมออกอากาศผังรายการช่องอนาล็อกคู่ขนานกับช่อง 3HD จากนั้นในปี 2558 ThaiTV กับ Loca เป็น 2 ช่องแรกในช่องทีวีดิจิตอลที่ขอยุติการออกอากาศกลางคันเพราะไม่สามารถจ่ายเงินค่าใบอนุญาตงวดที่ 2 ได้ ต่อมาในวันที่ 1 มี.ค. 2564 ศาลตัดสินให้ ThaiTV ชนะคดี ดังนั้น กสทช. ต้องคืน Bank Guarantee ที่ยึดมาให้กับทาง ThaiTV ทั้งหมด

อนึ่ง เมื่อ ThaiTV เปิดเรื่องการคืนใบอนุญาต ส่งผลให้ผู้ประกอบการอีกหลายรายทำบ้าง จนวันที่ 11 เม.ย. 2562 คสช. ใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 ได้เปิดช่องให้คืนใบอนุญาตและงดเว้นการชำระค่าใบอนุญาตอีก 2 งวดสุดท้าย จากที่ต้องแบ่งชำระทั้งหมด 6 งวด โดยกลุ่มที่คืนใบอนุญาตมี 7 ช่อง คือ 3Family 3SD MCOT Family Voice TV Spring26 Spring19 และ Bright TV ยื่นมาในวันที่ 10 พ.ค. 2562 ซึ่งการยื่นต้องมีแผนเยียวยาผู้ชมและพนักงานด้วย

ปี 2563 เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 การเรียนการสอนต้องทำผ่านระบบทางไกล รัฐบาลได้ประสานกับทาง DLTV ซึ่งเป็นมูลนิธิการศึกษาทางไกล ขอ 15 ช่องของ DLTV มาออกอากาศชั่วคราวในทีวีดิจิตอลเป็นเวลา 6 เดือน และในปีนี้ยังมีการเกิดขึ้นของช่อง ALTV4 ซึ่งยังคงออกอากาศมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นในปี 2564 มีมติจาก กสทช. ที่อนุญาตให้ช่อง 5 เปลี่ยนจากเดิมช่องเลข 1 ใช้ช่องเลข 5 เป็นช่องเดียวในประเทศไทย และได้เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว

ในปี 2565 กสทช. ต้องใช้งบฯ 600 ล้านบาท จากกองทุน กทปส. ให้กับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไปร่วมกับภาคเอกชน จ่ายค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกในปีดังกล่าว ที่มีราคาประมูลถึง 1,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ กสทช. ถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 ศาลตัดสินยกฟ้องกรรมการ กสทช. 4 คนในคดีนี้ จากนั้นในวันที่ 26 มี.ค. 2567 สมาคมทีวิดิจิตอล ยื่นคัดค้านการประมูลคลื่น 3500MHz เนื่องจากเป็นคลื่น C-Band ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน 10 ล้านครัวเรือน 

ตามด้วยวันที่ 7 เม.ย. 2567 กสทช. มีมติถอดฟุตบอลโลกออกจากกฎ Must Have แต่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2568 และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ได้ไปยื่นหนังสือกับ กสทช. เพื่อศึกษาอนาคตทีวีดิจิตอลภายใน 60 วัน ส่วนมุมมองอนาคตโทรทัศน์ไทย 1.โทรทัศน์ภาคพื้นดินยังมีความจำเป็น เพราะถือเป็นสาธารณูปโภคของประเทศ 

อย่างในญี่ปุ่น กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลมีการเตือนภัยพิบัติและบูรณาการกับทุกภาคส่วน ในขณะที่ประเทศไทยต้องมาเรียกร้องให้ทำระบบเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) ทั้งที่ทีวีดิจิตอลทำได้ง่ายกว่า และในเวลานั้นก็มีผู้ประกอบการหลายรายพยายามทำ แต่ กสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล อาจพลาดไปในการทำทีวีดิจิตอลให้เป็นสาธารณูปโภค 

2.โทรทัศน์ไทยต้องไปต่อ แต่จะไปอย่างไร? มีแนวคิดที่ กสทช. คงจะทำไปประมาณหนึ่งแล้วแต่ยังไม่เป็นรูปธรรม คือ OTT หรือแพลตฟอร์มระดับชาติ ซึ่งหากจะทำต่อไปก็ต้องให้ทีวีดิจิตอลเข้าไปอยู่ในนั้นเป็นบริการพื้นฐาน แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการเองก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าที่อยู่ได้เป็นเพราะเนื้อหาหรือสถานี อย่างในอดีตที่โทรทัศน์ในไทยมีเพียง 6 ช่อง โมเดลหนึ่งคือแบ่งเวลาให้คนอื่นมาเช่าออกอากาศ แต่ปัจจุบันทำแบบนั้นไม่ได้แล้วเพราะความเสี่ยงมีมาก ในขณะที่การถือลิขสิทธิ์ (IP) เนื้อหาจำเป็นและสำคัญในการต่อยอด เช่น ละคร

สุดท้ายทุกคนก็อยากไปต่อ เพียงแต่จะไปต่อในท่าไหน ผมว่าอย่างไรก้ต้องกลับมาทำการบ้านกันพอสมควร ต้องยอมรับว่าจนถึง ณ วินาทีนี้ กสทช. ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าหลังปี 2572 (ปีที่ใบอนุญาตทีวีดิจิตอลจะหมดอายุ) จะไปไหน? แล้วสิ่งที่ กสทช. เคยอุดหนุนค่า MUX คุณรู้หรือเปล่าว่าโครงข่ายทีวีดิจิตอลหมดก่อนใบอนุญาตทีวีหลายเดือนเลยนะ แล้วถ้าปี 2571 โครงข่ายพวกนี้หมดใบอนุญาตแล้วเอาอย่างไรต่อ? ณตภณ กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อุปนายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากถามว่าโทรทัศน์ไทยยังมีอนาคตหรือไม่ ในมุมคนทำทีวีมองว่าไม่ว่าผู้ชมจะรับชมผ่านช่องทางใด ในฐานะผู้ผลิตก็ต้องไปให้ถึง อย่างในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ร้อยละ 65 – 70 ดูช่องโทรทัศน์แบบดั้งเดิมผ่านดาวเทียม ขณะที่การรับชมผ่านภาคพื้นดินเหลือเพียงร้อยละ 15 จากเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนที่มีการประมูลทีวีดิจิตอลใหม่ๆ มีผู้รับชมผ่านภาคพื้นดินร้อยละ 30 ซึ่ง กสทช. คาดการณ์ว่าจะทำให้เป็น 100% ได้แบบยุคทีวีอนาล็อกที่คนส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์ผ่านเสาอากาศ

แต่ในความเป็นจริง การรับชมโทรทัศน์ผ่านภาคพื้นดินลดลงเนื่องจากมีช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น IPTV อินเตอร์เน็ตทีวี และปัจจุบันคือ OTT ซึ่งหากดูตามแผนภูมิทัศน์สื่อที่สมาคมฯ เคยทำไว้ ใช้ปีปัจจุบันโดยยึดตัวเลขจาก Nielsen จะพบว่าผู้รับชมช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอยู่ที่ร้อยละ 65 – 70 รับชมผ่านภาคพื้นดินที่ร้อยละ 15 และอีกเกือบร้อยละ 20 รับชมผ่านออนไลน์ แต่หากคาดการณ์ไปอีก 4 ปี จนถึงสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2572 ดาวเทียมอาจไม่เพิ่มขึ้นแต่อยู่เท่าเดิม ขณะที่ภาคพื้นดินจะลดลงเหลือร้อยละ 10 ส่วนออนไลน์อาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 30  

ดังนั้นอนาคตของโทรทัศน์จึงอยู่ที่ระบบ Streaming หรืออยู่ที่ OTT แต่ในแง่ผู้ผลิตคือผลิตให้ออกได้ทุกๆ ช่องทาง อนาคตก็ต้องไปตามผู้บริโภคว่ารับชมแบบไหน ส่วนเนื้อหาจะเป็นอย่างไรตลาดหรือผู้บริโภคจะเป็นตัวกำหนด อย่างทุกวันนี้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลแบบเดิมมองถึงอนาคต ว่าทำอย่างไรจะให้ผู้ชมในส่วนของ Streaming รับชมทีวีดิจิตอลที่ทำได้ เพราะตรงนั้นมีคนดูอยู่มาก 

ซึ่งก็ได้พูดคุยกับทาง กสทช. ว่ามีการศึกษาแนวทางนี้ไว้ เมื่อสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2572 หากมีการต่อใบอนุญาตหรือประมูลใบอนุญาตใหม่ จะเพิ่มช่องทางนี้เข้าไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ การส่งสัญญาณภาคพื้นดินยังคงมีอยู่ แต่ผู้รับชมสะดวกรับชมผ่าน OTT หรือในการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีผู้ประกอบการโครงข่ายยอมรับว่าการทำให้คนรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั้นขาดการสร้างแรงจูงใจ แรกๆ มีแจกกล่อง แต่หลังๆ ไม่มีการโฆษณา ไม่มีการบอกว่ารับได้ ผลคือคนหันไปรับชมผ่านช่องทางอื่น

แต่หากผู้ประกอบการโครงข่ายและ กสทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้กับประชาชนว่าช่องทางนี้รับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย คือช่วงแรกๆ โครงข่ายยังไม่สมบูรณ์ แต่ปัจจุบันแม้โครงข่ายสมบูรณ์คนก็หันไปใช้ Smart TV ที่สามารถรับชมรายการต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ คือคนยังดูโทรทัศน์แต่ไม่รู้ว่าตนเองดูผ่านช่องทางใด ซึ่งตนมองว่าคงยังไม่ถึงขั้นยกเลิกการออกอากาศภาคพื้นดิน เพียงแต่การออกอากาศในช่องทางนี้คุ้มหรือไม่ที่จะขยายให้เต็มพื้นที่ เพราะคนรับเขาไปเลือกรับในแบบอื่น

อนึ่ง ในการประชุมกลุ่มย่อย Road Map TV เมื่อเร็วๆ นี้ทำให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น คือไม่ได้พูดถึงว่าสิ้นสุดใบอนุญาตแล้วจะทำอะไร แต่พูดถึงคลื่นความถี่ที่ใช้กับ TV ซึ่งมี 2 คลื่น คือ 1.คลื่น 470 –700 MHz สำหรับภาคพื้นดิน กับ 2.คลื่น 3500 MHz สำหรับ C-Band ซึ่งคลื่น 3500 MHz เป็นที่ชัดเจนว่าหมดใบอนุญาตแล้วทางโทรคมนาคม หรือ กสทช. ก็อยากได้ไปประมูล โดยมีการประชุม 3 ฝ่าย คือไทยคม โทรคมนาคม และทีวีดิจิตอล จะเอาไปก็ได้แต่ต้องมีแผนเปลี่ยนผ่านจาก C-Band เป็น KU-Band 

ในขณะที่คลื่นภาคพื้นดินซึ่ง กสทช. ล็อกไว้สำหรับ 48 ช่อง ปัจจุบันมีเพียง 20 – 21 ช่อง แล้วทาง IMT ต้องการเอาไปใช้ส่วนหนึ่ง เพราะใช้ไม่หมดและเป็นย่านความถี่ที่ทั่วโลกใช้ ซึ่งในที่สุดก็ต้องแบ่งออกไป จากนั้นก็ต้องปรับช่องทีวีดิจิตอลกันใหม่ โดยทางสมาคมฯ ทำข้อเสนอไปว่าหากสิ้นสุดใบอนุญาตแล้วความคมชัดควรปรับเป็น HD ทั้งหมด ไม่มี SD อีกต่อไป โดยการปรับหมายถึงต้องใช้ช่องและโครงข่ายที่เหลือ คือ 3 ต่อ 1 เปลี่ยน SD เป็น HD แต่ไม่ต้องสนใจระดับ 4K ซึ่งควรปล่อยให้เป็นภาคสมัครใจของผู้ประกอบการ เพราะไม่ใช่ระดับความคมชัดของโทรทัศน์ที่คนส่วนใหญ่รับชม และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีเม็ดเงินลงทุนปรับปรุงให้ได้ขนาดนั้น

แต่การปรับเป็น HD ก็ต้องลดจำนวนช่องลง ซึ่งตอนนี้ช่องทีวีสาธารณะวางไว้ 6-7 ช่อง แต่ช่องเอกชน 15 ช่อง เป็น HD 7 ช่อง แล้วก็เป็น SD ก็จะยุบรวม มี 2 ทางเลือก ยุบเหลือ 10 + 7 หรือเหลือ 6  + 7 แล้วก็ประเมินว่าโครงข่ายที่เหลืออยู่ ที่ใช้ไม่เต็ม สามารถมาใช้กับการส่งของ HD ได้ เพียงพอไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อันนี้เป็นแนว ส่วนที่บอกว่าทีวีดิจิตอลควรมีบทบาทมากกว่าแค่ส่งสัญญาณโทรทัศน์ เรื่องนี้ถูกต้อง 

แต่ที่ผ่านมาเนื่องจากการประมูลค่อนข้างสับสน คือช่องไม่ควรประมูลคลื่นความถี่ เพราะช่องบริหารเนื้อหาไม่ใช่คลื่นความถี่ ในขณะที่ใบอนุญาตโครงข่าย กสทช. ให้คลื่นความถี่แต่ไม่ได้ให้เขาทำอย่างอื่นนอกจากส่งสัญญาณทีวีดิจิตอลภาคพื้นดิน ทั้งที่คลื่นความถี่ในย่านนั้นทำได้ เช่น การแจ้งเตือนภัยพิบัติ แต่น่าจะเป็นแนวทางที่ กสทช. ฝั่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์กำลังศึกษาอยู่ ว่าหากมีการประมูลครั้งต่อไป แทนที่จะให้ช่องประมูลก็ให้ทางโครงข่ายประมูล ก็จะเป็นการประมูลคลื่นอย่างแท้จริง ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย

ให้โครงข่ายประมูลแล้วก็ให้เขาทำอะไรมากกว่าการส่งสัญญาณภาคพื้นดิน เพื่อจะได้มีเงิน อย่างน้อยที่สุดทำให้ค่าใช้โครงข่ายทีวีดิจิตอลมันต่ำ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนสาธารณูปโภค เหมือนการไฟฟ้า การประปา ส่งไฟส่งน้ำไปเต็มที่ แต่คนใช้ไม่เต็มอันนั้นก็เป็นเรื่องของคนใช้ แต่แนวคิดคือระบบสาธารณูปโภคคือให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ก็เช่นเดียวกัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ผมก็คิดว่ามันก็ทำให้ทีวีมีโอกาสฟื้นตัวได้ อดิศักดิ์ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมได้ทาง Link https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1050728880531583/ (ภายในเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันถ่ายทอดสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รายงานพิเศษ: โลกออนไลน์โกรธเกลียดกันขนาดไหนในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชารอบล่าสุด

กองบรรณาธิการโคแฟค

27 มิถุนายน 2568

โคแฟคชวนสำรวจวาทกรรมและภูมิทัศน์ทางอารมณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาก่อนและหลังการปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหารไทยและกัมพูชาที่ชายแดนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

แม้ปัญหาการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณช่องบก อันสืบเนื่องมาจากปมขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนจะยังไม่นำไปสู่สภาวะสงครามอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล ทว่าร่องรอยของบทสนทนาและอารมณ์บนโลกโซเชียล รวมถึงการแสดงความคิดเห็นที่ท้าทายและดุดัน แผงด้วยอารมณ์โกรธ เกลียดและกังวลและปลุกปั่นด้วยแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งในห้วงเวลาดังกล่าว สามารถบ่มเพาะความเกลียดชัง ทลายความอดกลั้นต่อการสนับสนุนส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรถาพทางการเมืองของไทยได้

การทำความเข้าใจกับอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังบทสนทนาและพฤติกรรมการสื่อสารในโลกโซเชียลของผู้ใช้งานเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการออกแบบกลไกเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของอารมณ์สาธารณะ และอาจช่วยในการพัฒนาแนวทางสื่อสารในช่วงวิกฤตที่มีความซับซ้อนทั้งทางอารมณ์และข้อมูล

ทีมนักวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลดิจิตอลของนีโอ โมเมนตัม* ได้เก็บรวบรวมการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568** โดยใช้ keywords ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา และได้จำแนกบทสนทนาออกเป็น 10 หัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

ผลการเก็บข้อมูล พบข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศรวมทั้งสิ้น 49,127 ข้อความ จำนวนข้อความแตะระดับสูงสุดในช่วงวันที่ 3–9 มิ.ย. โดยเฉพาะในวันที่ 4 มิ.ย. พบข้อความมากกว่า 6,000 ข้อความภายในวันเดียว และในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์สำคัญหลายประการ ได้แก่ การที่รัฐสภากัมพูชามีมติยื่นเรื่องข้อพิพาทต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (2 มิ.ย.) การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย (4 และ 5 มิ.ย.) รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบายของนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมาธิการการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร อาทิ ข้อเสนอ “10 ข้อยุทธศาสตร์ชนะโดยไม่ต้องรบ” เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทผ่านแนวทางไม่ใช้ความรุนแรง

และในที่ 5 มิ.ย.ยังพบความเคลื่อนไหวหลากหลายบนสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งจากภาครัฐ โดยกองทัพบกได้เปิดแคมเปญ “#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” เพื่อแสดงจุดยืนในการปกป้องประเทศ และจากภาคประชาชน เช่น กลุ่มทะลุแก๊ซ (Thalugaz) ที่เคลื่อนไหวผ่านแฮชแท็ก “#NoWarThaiCambodia” และ “#สันติสู่ชายแดน” เพื่อสื่อสารจุดยืนด้านสันติภาพและสนับสนุนแนวทางการเจรจา สถานการณ์ในช่วงนี้จึงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เข้มข้นในพื้นที่ออนไลน์ โดยมีทั้งแนวคิดเชิงชาตินิยม ข้อเสนอในกรอบการทูต และการรณรงค์เพื่อสันติภาพดำเนินไปควบคู่กัน

นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยฯยังพบข้อความที่สะท้อนอารมณ์เชิงลบ(Negative Sentiment) ในสัดส่วนที่สูงถึง 32,698 ข้อความ (66.5%) ซึ่งข้อความจำนวนมากจัดอยู่ในประเภทที่สะท้อนความเกลียดชัง (Hate speech) ที่มีศักยภาพในการขยายระดับความขัดแย้งและลดพื้นที่ของการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ในช่วงวิกฤตทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ปริมาณข้อความเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังเหตุการณ์ปะทะ และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ระดับนโยบาย 

จำนวนข้อความในช่วง 30 วันแรกของสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำในช่วงต้น ก่อนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายหลังวันที่ 28 พ.ค. 2568 ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยจำนวนข้อความเพิ่มสูงสุดในช่วงวันที่ 3–9 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแถลงท่าทีจากทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชา รวมถึงการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย การเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ออนไลน์ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพในการสะท้อนระดับความตึงเครียดทางสังคมในลักษณะที่ใกล้เคียงกับเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง

ข้อความส่วนใหญ่สะท้อนอารมณ์เชิงลบ โดยเฉพาะในหัวข้อที่เชื่อมโยงกับการเมืองและความมั่นคง 

• ร้อยละ 66.5 ของข้อความทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่ม Negative Sentiment โดยเฉพาะในหัวข้อ การเมืองภายในประเทศ(Domestic Politics) อธิปไตย พื้นที่และดินแดน (Sovereignty and Territorial) และอัตลักษณ์และวัฒนธรรม (Identity and Culture)

• ข้อความในหัวข้อ การเมืองภายในประเทศ (Domestic Politics)จำนวนมากหยิบยกสถานการณ์ชายแดนไปใช้ในการโต้แย้งหรือสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลโดยเฉพาะผ่านการตั้งคำถามต่อท่าทีและการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร 

• ในขณะที่หัวข้อ อธิปไตย พื้นที่และดินแดน มักสะท้อนความรู้สึกวิตกกังวลหรือไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ

• ในหัวข้อ อัตลักษณ์และวัฒนธรรม พบข้อความที่โจมตีความเชื่อหรือวิถีชีวิตของทั้งสองฝ่าย ไปจนถึงการปฏิเสธความเป็นไปได้ของวัฒนธรรมร่วม ซึ่งอาจนำไปสู่การเสริมสร้างอคติและทัศนคติเชิงลบต่อกลุ่มอื่นในระดับสังคม

Hate Speech ปรากฏในปริมาณมาก โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่สะท้อนอคติและการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ 

จากการเก็บข้อมูล พบข้อความในกลุ่ม Negative Sentiment มากกว่าครึ่งหนึ่งมีลักษณะที่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของ Hate Speech

• ระดับ 1 ที่พบมากที่สุด (59.89%) ซึ่งสะท้อนการใช้ถ้อยคำหยาบการดูถูกสติปัญญา หรือการสร้างความเป็นอื่นระหว่างกลุ่ม โดยเฉพาะต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และผู้ที่มีความเห็นต่างในประเด็นการเมือง

• ระดับ 3 (32.71%) สะท้อนรูปแบบของการสื่อสารที่อิงภาพจำทางลบ การแปะป้าย และการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มทำให้ทัศนคติเชิงเกลียดชังสามารถแพร่กระจายได้ในวงกว้าง

• ระดับ 4 (5.92 %) ซึ่งแสดงออกถึงการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ หรือความเป็นพลเมือง 

• ระดับ 2 (0.89%) มีลักษณะของการคุกคามหรือล่วงละเมิดแบบเจาะจงบุคคลซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในระดับปัจเจก

• ระดับ 5 (0.59%) ที่มีความรุนแรงสูง เช่น การยุยงให้ใช้ความรุนแรงหรือทำให้ความรุนแรงดูเป็นสิ่งชอบธรรม ปรากฏในสัดส่วนน้อย แต่การปรากฏของข้อความในลักษณะดังกล่าวยังคงเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจมีผลต่อการยกระดับความตึงเครียดหรือสร้างความเข้าใจผิดในระดับสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อบริบทของข้อความเหล่านี้แทรกซึมอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางเป็นทุนเดิม

จากผลการวิเคราะห์นี้ ชัดเจนว่าการปะทุของอารมณ์ในพื้นที่ออนไลน์ช่วงเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแสดงความไม่พอใจเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงการเคลื่อนตัวของอารมณ์สาธารณะไปสู่การสื่อสารที่มีลักษณะเป็น HateSpeech ในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะในรูปแบบที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ และตอกย้ำอคติต่อกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มอย่างต่อเนื่อง

ความรุนแรงของถ้อยคำที่ปรากฏเหล่านี้จึงไม่เพียงเป็นภาพสะท้อนของบรรยากาศทางอารมณ์ในช่วงวิกฤต หากยังอาจกลายเป็นปัจจัยเร่งที่ส่งผลต่อท่าทีและพฤติกรรมของผู้คนในโลกจริง หากไม่มีแนวทางจัดการหรือการเฝ้าระวังที่เหมาะสมและต่อเนื่อง

หัวข้อที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนในพื้นที่ชายแดน แต่ข้อความจำนวนมากมีลักษณะในเชิงลบ

• หัวข้อที่มีจำนวนข้อความมากที่สุดคือ “Life and Humanity (วิถีชีวิต และความเป็นมนุษย์)” (48.47%) ซึ่งครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน แต่ ข้อความจำนวนมากในกลุ่มนี้กลับแสดงอารมณ์เชิงลบ เช่น ความกลัว ความไม่มั่นคง หรือความรู้สึกไม่สบายใจต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คน การตีความเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนผ่านกรอบของความเปราะบาง ความสูญเสีย หรือความทุกข์ร่วม จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นศูนย์รวมของความรู้สึกในช่วงเวลาวิกฤต และยังสะท้อนให้เห็นว่า ประเด็นชายแดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความมั่นคงในระดับรัฐเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับมิติของชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่โดยตรง

• ในขณะเดียวกัน หัวข้อ “Domestic Politics (การเมืองภายในประเทศ)” (15.27%) และ “Sovereignty and Territorial(อธิปไตย พื้นที่และดินแดน)” (15.19%) ก็ได้รับการกล่าวถึงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหัวข้อแรกมีสัดส่วนข้อความเชิงลบสูงที่สุด (73.94%) โดยข้อความเหล่านี้สะท้อนการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีหรือการตัดสินใจของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน ทั้งในแง่ของความเหมาะสม การสื่อสารต่อสาธารณะ และแนวทางการดำเนินนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประเด็นชายแดนเป็นจุดตั้งต้นในการแสดงความเห็นต่อประเด็นการเมืองภายในประเทศที่กว้างขึ้น เช่น บทบาทของกองทัพ หรือจุดยืนหรือท่าทีของรัฐบาล ส่วนหัวข้อที่สองสะท้อนการแสดงออกถึงความห่วงใยต่ออธิปไตยและเขตแดนของประเทศ โดยเฉพาะในลักษณะที่เน้นการยืนยันสิทธิของไทยเหนือพื้นที่พิพาท เช่น การอ้างถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือแผนที่ การใช้ถ้อยคำในเชิง “ต้องไม่ยอมอ่อนข้อ” หรือ “ไม่เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว” รวมถึงการแสดงความไม่พอใจต่อการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นฝ่ายรุกรานหรือท้าทายอธิปไตยไทย ขณะเดียวกันก็ปรากฏการวิจารณ์บุคคลหรือกลุ่มในประเทศที่ถูกมองว่า “อ่อนข้อ” หรือ “ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” ทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นพื้นที่ของการสื่อสารที่อ่อนไหวและเต็มไปด้วยการให้ความหมายเชิงอารมณ์ต่อคำว่า “แผ่นดิน” และ “ศักดิ์ศรีของชาติ”

• แม้พื้นที่ออนไลน์จะเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางอารมณ์ แต่ยังมีเสียงเรียกร้องสันติภาพอย่างต่อเนื่อง ในหัวข้อ “PeaceBuilding (การสร้างสันติภาพ)” ซึ่งมีสัดส่วน 7.85% โดยเนื้อหาเหล่านี้ประกอบด้วยข้อเสนอที่เน้นการใช้การเจรจา กลไกทวิภาคี ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการหลีกเลี่ยงความรุนแรง รวมถึงการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนทั้งสองประเทศ การปรากฏของข้อความเหล่านี้ แม้จะมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับข้อความเชิงลบโดยรวม แต่สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ออนไลน์ยังคงเปิดช่องให้กับการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์และการแสวงหาทางออกโดยสันติ ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและการสื่อสารสาธารณะ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและลดการปะทะกันของอารมณ์ในช่วงวิกฤต

• หัวข้อ “Pro-War and Call for Violence (การเรียกร้องสงครามและการใช้ความรุนแรง)” แม้จะมีข้อความอยู่ในสัดส่วนเพียง 0.07% แต่มีนัยสำคัญ เนื่องจากแสดงให้เห็นการใช้ถ้อยคำที่เรียกร้องหรือสนับสนุนการใช้ความรุนแรง เช่น การแสดงความยินยอมต่อการทำสงคราม การมองว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการประณามแนวทางสันติภาพว่าอ่อนแอ ข้อความเหล่านี้แม้มีจำนวนไม่มาก แต่ควรได้รับความสนใจเชิงนโยบายและการสื่อสารสาธารณะ เนื่องจากมีศักยภาพในการหล่อเลี้ยงเรื่องเล่าที่สร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง

พฤติกรรมของผู้ใช้งานสะท้อนบทบาทเชิงรุกในการกำหนดทิศทางการสนทนา และการเคลื่อนไหวเชิงอารมณ์ 

การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์ระหว่างสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา พบว่า มีกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทสูงอย่างชัดเจนในช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 1–9 มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณข้อความในระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานเหล่านี้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ทั้งในด้านจำนวนโพสต์ การใช้แฮชแท็ก การกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่น (mention) และท่าทีทางอารมณ์ที่แสดงผ่านข้อความ

• ผู้ใช้งานที่มีจำนวนโพสต์สูงและมีความถี่ โดยบางบัญชีมีบทบาทสูงในการโพสต์ แสดงความคิดเห็น และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่ปริมาณข้อความเพิ่มสูงขึ้น บัญชีเหล่านี้ส่วนใหญ่มีข้อความในเชิงลบ แต่มีลักษณะการสื่อสารที่ต่อเนื่อง และใช้ฟังก์ชันของแพลตฟอร์ม เช่น การใช้ hashtag หรือ mention เพื่อกระจายข้อความในวงกว้าง 

• กลุ่มสื่อกระแสหลักเช่น ThaiPBSNews, naewna_news, PPTVHD36 และ newroom44 ทำหน้าที่ในการรายงานข่าวในลักษณะเป็นกลาง และยังมีผู้ใช้งานอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามผลักดันข้อเสนอเชิงบวก ซึ่งแม้จะมีบทบาทน้อยกว่าในเชิงปริมาณ แต่เป็นเสียงสำคัญในการรักษาสมดุลทางอารมณ์ในช่วงวิกฤต

• แม้ภาพรวมของข้อความในช่วงเวลาดังกล่าวจะโน้มเอียงไปในทางลบ แต่ยังพบผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทในการผลิตและเผยแพร่ข้อความเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น VoiceTVOfficial, SocialgazeTh, Goodstxxxxx, Tkhaxxxxxและ panyxxxxx ข้อความจากผู้ใช้งานกลุ่มนี้มักเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง สนับสนุนการเจรจา และแสดงความห่วงใยต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนแม้จำนวนโพสต์จะน้อยกว่ากลุ่มที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่บทบาทของพวกเขามีความสำคัญในฐานะเสียงทางเลือกที่พยายามถ่วงดุลความตึงเครียด และรักษาพื้นที่สำหรับการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

โดยสรุป พฤติกรรมของผู้ใช้งานในสถานการณ์วิกฤตนี้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของหลายกลุ่มที่มีบทบาทแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางกลุ่มผลิตข้อความอย่างเข้มข้นในเชิงวิพากษ์ บางกลุ่มทำหน้าที่เป็นสื่อกระจายข้อมูล ขณะที่บางกลุ่มพยายามผลักดันข้อเสนอเชิงบวกหรือสันติภาพ


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.neomomentum.com  หรือติดต่อได้ที่ contact@neomomentum.co

*Neo Momentum เป็น เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการให้บริการข้อมูล การวิจัย และการพัฒนา โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven) มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อน (social enterprise) จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและมีประสบการณ์ในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมการสื่อสารทางการเมืองในช่วงการชุมนุมประท้วงของนักศึกษาและเยาวชนไทยเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและสังคม ช่วงปี 2020-2021

**ข้อมูลชุดแรกเป็นส่วนหนึ่งของการเก็บข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อการศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา อารมณ์และพฤติกรรมของผู้ใช้งานในห้วงความตึงเครียดขัดแย้งตามแนวชายแดนและข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นมายับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2568 ภายใต้โครงการวิจัย ชื่อ Why is there so much anger?: Exploring emotional landscapes and online narratives amid Thai-Cambodian tensions


สังคมชินชา‘บิดเบือน-กระตุ้นเกลียดชัง’โจมตีทางการเมือง ‘ผู้หญิง’เหยื่อรุนแรง ถามหาบทบาท‘รัฐ-แพลตฟอร์ม’

กิจกรรม

10 มิ.ย. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ Westminster Foundation for Democracy (WFD) , Decode.plus , และ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) จัดงานเสวนา “Digital Duty: Tech vs Online Violence Against Women in Politics ความรับผิดชอบบนโลกดิจิทัลและความรุนแรงต่อผู้หญิงในพื้นที่การเมือง” ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อาคาร A ชั้น 1

สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้ก่อตั้ง Stoponlineharm.org บอกเล่าถึงงานวิจัยที่ตั้งโจทย์ว่า เมื่อช่วงเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้วยังมีการคุกคามนักการเมืองหญิงอยู่หรือไม่ โดยเก็บข้อมูล 2 รูปแบบ คือ 1.เชิงปริมาณ ใช้การเก็บข้อมูลจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) อย่าง Facebook และ X จำนวน 456 กรณี กับ 2.เชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์นักการเมืองหญิง จำนวน 18 ท่าน พบว่า

1.รูปแบบการใช้แพลตฟอร์ม หากเป็น Facebook จะเน้นการโจมตีระยะยาว เช่น ใส่ความเห็นซ้ำๆ ใต้โพสต์หรือแชร์ข้อมูลเท็จ ในขณะที่ X จะเน้นโจมตีประเด็นร้อน ระยะสั้น ทำแฮชแท็กหรือโพสต์แบบไวรัล 2.รูปแบบการโจมตี สำหรับ 2 อันดับแรกที่พบมากที่สุด คือ 2.1 ทำลายชื่อเสียง (Discredit) ร้อยละ 31.7 เช่น กล่าวหาว่ารับเงินจากต่างชาติ ด่าทอว่าโง่ ไม่สมควรมารับตำแหน่ง กับ 2.2 ด้อยค่า (Devalue) ร้อยละ 20.7 เช่น ชี้ว่าได้รับตำแหน่งเพราะคนในครอบครัวไม่ใช่ความรู้ความสามารถของตนเองนอกจากนั้นยังพบรูปแบบอื่นๆ เช่น ทำให้เป็นเรื่องตลก (Mocking) ร้อยละ 13.3 และโจมตีที่เรื่องเพศ (Gender-based Attack) ร้อยละ 16.4 เป็นต้น

3.พฤติกรรมของการโจมตี เช่น ใช้บัญชีปลอมหรือบัญชีแบบไม่เปิดเผยตัวตนในสื่อสังคมออนไลน์ โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทหรือข้อความเท็จแบบเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ดูเหมือนเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ บวกกับใช้แฮชแท็กในลักษณะถ้อยคำเหยียดหยามเพื่อให้เกิดกระแสในเวลาอันรวดเร็ว มีการใช้การสะกดผิดหรือใช้สัญลักษณ์ Emoji ไปจนถึงการใช้ภาพตัดต่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับและลบโพสต์นั้น และเมื่อเห็นบัญชีปลอมทำได้ คนทั่วไปที่ใช้บัญชีจริงระบุตัวตนได้ก็เข้าใจไปว่าตนเองก็สามารถคุกคามได้บ้างเช่นกัน

4.ผลกระทบที่นักการเมืองหญิงได้รับ พบว่า ร้อยละ 65 บอกเล่าถึงการคุกคามทางออนไลน์ที่ส่งผลต่อการทำงาน เช่น ต้องมาเสียเวลาแก้ข่าว  และอีกร้อยละ 20 เคยคิดจะออกไปจากแวดวงการเมือง นอกจากนั้น ร้อยละ 60 เล่าว่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เกิดความเครียดหรือซึมเศร้า เช่น มีกลุ่มตัวอย่างบางท่านบอกว่า บางทีการถูกทำร้ายร่างกายยังเจ็บน้อยกว่าการถูกนำภาพไปตัดต่อเป็นภาพลามกอนาจารเผยแพร่ทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การคุกคามจากในโลกออนไลน์ก็ลุกลามออกมาสู่การคุกคามในชีวิตจริงได้ เช่น มีการเผยแพร่พิกัดที่พักอาศัย ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 

5.ไม่ได้กระทบเฉพาะตนเอง แต่รวมถึงคนใกล้ชิดด้วย เช่น ลูกถูกเพื่อนล้อเลียน หรือคู่ชีวิตก็ถูกโจมตีด้วยจนกระทบต่อความสัมพันธ์ และมีบางครอบครัวขอให้ออกจากแวดวงการเมืองเพราะรับสิ่งที่เกิดขึ้นไมได้ 6.วิธีการรับมือ พบว่า ปัจจัยที่ยังทำให้ผู้หญิงอยู่ในแวดวงการเมืองแม้จะถูกโจมตีหรือคุกคาม คือพลังของคนรอบข้างและเครือข่ายเพื่อน รวมถึงเครือข่ายนักการเมืองหญิงด้วยกันเอง ส่วนวิธีรับมือที่พบ เช่น กลับมาดูใจตนเอง หยุดใช้สื่อสังคมออนไลน์ ปรึกษาจิตแพทย์ ดำเนินคดีทางกฎหมาย และสื่อสารผ่านสื่อเพื่อทวงคืนพื้นที่

และ 7.ทำไมปัญหาการคุกคามออนไลน์จึงยังคงดำรงอยู่ สาเหตุหลักๆ คือไม่มีหน่วยงานมาดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ โดยหากเป็นภาครัฐจะเน้นไปในเรื่องการหลอกลวงออนไลน์ หรือเมื่อไปแจ้งความก็ถูกเจ้าหน้าที่พูดจาซ้ำเติม ขณะที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ก็ไม่ลบเนื้อหานั้นออก เนื่องจากเนื้อหายังไม่ถึงเส้นหรือล้ำเส้นที่ระบบตั้งไว้ว่าหากถึงจุดนั้นแล้วจึงจะลบให้

อันนี้อยากฝากทางพรรคการเมือง คือพรรคไม่ได้ช่วยเหลือด้านนี้เลย พอตอนเข้ามาในพรรคไม่มีการอบรม ที่ได้สัมภาษณ์บางท่านบอกว่าพรรคการเมืองอบรมทุกอย่างยกเว้นเรื่องรับมือกับการถูกละเมิดออนไลน์ หรือหลายคนก็บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเจอถ้าคุณเข้ามาในตำแหน่งนี้ ไม่ต้องคิดว่าเป็นปัญหา สายใจ กล่าว

ผศ.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงพื้นที่ออนไลน์ บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Big Tech) จะมีบทบาทสูงมากจนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนได้ โดยโลกก่อนยุคดิจิทัล แม้รัฐจะพยายามควบคุมการแสดงออกของคน เช่น ออกกฎหมาย มีบทลงโทษ แต่รัฐก็ไม่มีอำนาจกรองสิ่งที่แต่ละคนสื่อสารออกมา ทำได้เพียงดำเนินการบางอย่างหลังคนคนนั้นสื่อสารออกไปแล้ว เช่น เชิญออกจากพื้นที่จัดงาน แตกต่างจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ บางคำที่ตั้งไว้ในระบบไม่ให้โพสต์ หากผู้ใช้งานโพสต์คำนั้น เนื้อหาที่โพสต์ก็จะถูกลบออกในทันทีเมื่อระบบตรวจจับได้ รวมถึงอาจถูกระงับการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือดังกล่าวจะถูกมองใน 2 มุม ระหว่างการป้องกันถ้อยคำที่หากสื่อสารออกไปอาจเกิดอันตรายต่อสังคม กับความกังวลเรื่องอำนาจนี้อยู่ในมือบริษัทเทคโนโลยีมากเกินไปจนกลายเป็นการเซ็นเซอร์ ขณะที่วิธีคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เดิมทีเกิดจากการต่อสู้ระหว่างรัฐกับประชาชน จนเกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้สิทธิต่างๆ ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ รวมถึงมีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจหรือทรัพยากรของรัฐ เช่น การใช้งบประมาณหรือดุลพินิจ เป็นต้น

บริษัทเหล่านี้มีทั้งอำนาจในเชิงเทคโนโลยี มีความสามารถในเชิงเทคโนโลยีที่จะช่วยกำกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มได้ คำถามก็คือเราไว้ใจเขาแค่ไหน? อันนี้คิดว่าเป็นคำถามสำคัญเหมือนกัน เพราะบริษัทไม่เหมือนกับองค์กรของรัฐที่ไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรมันมีกระบวนการในการตรวจสอบการใช้อำนาจ แต่การใช้อำนาจของบริษัทไม่ได้มีกลไกพื้นฐานหรือกลไกประชาธิปไตยใดๆ ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ยกเว้นแต่ว่าคุณเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นจำนวนมากพอที่จะบอกเขาได้ว่ามันคืออะไรผศ.ฐิติรัตน์ กล่าว      

สัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล กล่าวว่า หลักเสรีภาพในการแสดงออกนั้นการจะยกเว้นเรื่องใดรัฐต้องออกมากฎหมายายกเว้นเรื่องนั้น เช่น ประเทศไทยมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่การออกกฎหมายต้องทำเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน รวมถึงเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ตามกติการะหว่างประเทศ (ICCPR) จะห้ามใน 2 เรื่อง คือ 1.ยุยงให้เกิดสงคราม กับ 2.ยุยงให้เกิดความเกลียดชังหรือความรุนแรง 

ตัวอย่างกรณีศึกษา คือตัวแทนชาวโรฮิงญา ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาปล่อยให้มีการใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างความเกลียดชังชาวโรฮิงญาในเมียนมา แต่เรื่องนี้ไปจบตรงที่คดีหมดอายุความก็เป็นประเด็นที่ต้องแก้ไขในกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะความรุนแรงก่อความเสียหายขึ้นแล้วแต่ไปกำหนดอายุความไว้เพียง 1 – 2 ปี อนึ่ง ตามหลักการคือแพลตฟอร์มไม่ควรต้องรับผิดเรื่องใครเผยแพร่เนื้อหาอะไรเพราะไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ต้องรับผิดชอบประมาณหนึ่งหากไม่มีการคัดกรองหรือนำเนื้อหาออกจากระบบ

แต่อีกด้านหนึ่ง  เมื่อจะให้รัฐมีอำนาจสั่งการหรือประสานบริษัทเทคโนโลยีให้ลบเนื้อหาออก(Takedown Order) สิ่งที่ต้องระมัดระวังคืออำนาจนั้นจะกลายเป็นเครื่องมือที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้าม เช่น ตามหลักการอำนาจนี้ควรอยู่กับฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระ แต่ที่ประเทศอินเดียให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐคนใดก็ได้ ผลคือ X หรือเดิมคือทวิตเตอร์ ไปฟ้องศาลว่ากฎหมายของอินเดียไม่ถูกต้องเพราะให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่กว้างเกินไป 

คือต้องเจอกันตรงกลาง ต้องมีคนมาดู ต้องมีเจ้าหน้าที่ทางด้านกฎหมาย เป็นศาลเป็นคนมาคุม แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ช้า ต้องเร็วมากภายใน 24 ชั่วโมง ไทยก็มี Takedown Order แต่เป็นคล้ายๆ อินเดีย แต่ไม่ค่อยได้ใช้ คือเป็นเจ้าหน้าที่คนไหนก็ได้เอาลงได้ ไม่ได้ผ่านกระบวนการศาล อันนี้ก็ค่อนข้างน่ากังวลเหมือนกัน สัณหวรรณ กล่าว

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า โลกออนไลน์หลังการเลือกตั้งในไทยเมื่อปี 2566 พบสถานการณ์การใช้ข้อมูลบิดเบือนรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ข้อมูลแฝงเจตนาร้าย (Malinformation) ที่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริงแต่ถูกให้ความเห็นเพิ่มเติมจนแยกแยะได้ยากว่าข้อมูลนั้นบิดเบือนอย่างไร และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างแพลตฟอร์ม X นั้นโดยพื้นฐานเป็นแพลตฟอร์มที่สื่อสารด้วยอารมณ์อยู่แล้ว แต่สัดส่วนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักในช่วงก่อนกับหลังเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับ Facebook ที่พบการเพิ่มขึ้นมากกว่าของการสื่อสารแบบใช้อารมณ์และข้อมูลบิดเบือนที่ซับซ้อน

ส่วนผู้เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนข้อมูลเหล่านี้ยังคงเป็นรูปแบบเดิม เช่น พรรคการเมือง สื่อ ผู้สนับสนุน สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่จนกลายเป็นวัฒนธรรมการสื่อสารที่ดูเหมือนการใช้ข้อมูลบิดเบือนหรือสร้างความเกลียดชังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ประกอบกับเทคโนโลยีเอื้อให้คนผลิตเนื้อหาได้รวดเร็วและง่ายขึ้น ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ล้นหลามและการจัดการให้ข้อมูลถูกนำออกจากระบบก็ไม่ง่าย อย่างประสบการณ์ของโคแฟค หลายเรื่องแม้จะตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว แต่ข้อมูลเท็จนั้นก็ยังคงอยู่ในระบบ รวมถึงธรรมชาติของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่เน้นอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง ทำให้การที่คนจะมาฟังว่าข้อมูลที่ถูกต้องเป็นอย่างไรนั้นน้อยลง

ทำอย่างไรสิ่งที่เราตรวจสอบไปจะถูกมองเห็นและแพร่กระจายไปในวงกว้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรเป็นความร่วมมือที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม ก็ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเสียทีเพราะว่าในเงื่อนไขของแพลตฟอร์มเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอน องค์กรที่รายงานเป็นพาร์ทเนอร์ของเขาไหม? ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย IFCN หรือเปล่า? ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การทำงานร่วมกันไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควรกุลชาดา กล่าว 

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านช่องยูทูบของ Thai PBS 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ผู้เชี่ยวชาญไขข้อข้องใจ “ยาดมสมุนไพร” เสี่ยงเชื้อราจริงหรือ?

ประเด็นสุขภาพ

ขอบคุณที่มา UBONCONNECT

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” จัดเสวนาออนไลน์เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือบนโซเชียลมีเดียที่ว่า “ยาดมสมุนไพร” อาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา และอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้น “เชื้อราขึ้นปอด” โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ ผศ.ดร.พัชรีกัมมารเจษฎากูล ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาคลินิกจากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมให้ความรู้ พร้อมด้วย จอย คนเช็กข่าว โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

ความกังวลจากข่าวลือ “ยาดมสมุนไพรปนเปื้อนเชื้อรา”

คุณจอย เปิดประเด็นจากกระแสโซเชียลที่ระบุว่ายาดมสมุนไพรแบบกระปุกที่หลายคนใช้เป็นประจำอาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา โดยมีผู้ป่วยบางรายพบเชื้อราในปอดและสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับยาดม หลังตรวจพบคราบสีดำที่ก้นกระปุกยาดม เรื่องนี้สร้างความกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ยาดมสมุนไพรที่เชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและปลอดภัย

ดร.พัชรี ได้กล่าวถึง งานวิจัยระหว่างช่วงเดือนมีนาคมพ.ศ. 2556 จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 เก็บตัวอย่างยาดมสมุนไพรจากแหล่งผลิตในจังหวัดสมุทรปราการ โดยสุ่มตรวจ 15 ยี่ห้อ 35 ตัวอย่าง พบว่า ทุกขวดมีเชื้อราปนเปื้อน ซึ่งบ่งชี้ว่าการปนเปื้อนอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตหรือการเก็บรักษาอย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อราในปอดนั้นเกิดจากการใช้ยาดมโดยตรง

ข้อมูลจากงานวิจัย: ยาดมสมุนไพรถูกตรวจสอบอย่างไร?

ดร.พัชรี อธิบายถึงงานวิจัยว่า ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างยาดมสมุนไพรจากแหล่งผลิตและร้านค้าทั่วไป รวมถึงยี่ห้อที่วางจำหน่าย แบ่งยาดมออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่:

• ยาดมแบบแห้ง (เช่น ยาดมสมุนไพรแบบผง)

• ยาดมแบบน้ำมัน (เช่น ยาดมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย)

• ยาดมแบบผสม (ผสมทั้งแบบแห้งและน้ำมัน)

ผลการวิจัยพบว่า ยาดมแบบแห้ง มีการปนเปื้อนเชื้อรามากที่สุด เนื่องจากส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรแห้งมีโอกาสดูดซับความชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา

เชื้อราฉวยโอกาส” คืออะไรอันตรายแค่ไหน?

อาจารย์พัชรี อธิบายเพิ่มเติมว่า เชื้อราฉวยโอกาส พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เช่น ในดินหรืออากาศ แต่สามารถก่อโรคได้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุเด็ก หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน มะเร็ง) โดยเชื้อราบางชนิดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดหรือโพรงจมูกได้ หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เชื้อราทุกตัวที่พบจะก่อโรคในคน บางตัวอาจไม่เป็นอันตรายต่อคนที่มีสุขภาพแข็งแรง

วิธีเลือกและใช้ยาดมให้ปลอดภัย

เพื่อให้ประชาชนใช้ยาดมสมุนไพรอย่างปลอดภัยอาจารย์พัชรี มีข้อแนะนำดังนี้:

• เลือกยาดมที่มีเลขทะเบียนยา และตรวจสอบวันหมดอายุ รวมถึงสภาพบรรจุภัณฑ์ว่าสะอาด ไม่รั่วหรือแตก

• สังเกตความผิดปกติ เช่น กลิ่นแปลก เนื้อสมุนไพรเปื่อยยุ่ย หรือมีคราบสีดำ หากพบให้หยุดใช้ทันที

• หลีกเลี่ยงการจ่อยาดมใกล้จมูกเกินไป เพื่อลดโอกาสสูดดมเชื้อราหรือสารปนเปื้อน

• ปิดฝาให้สนิทหลังใช้ เพื่อป้องกันความชื้นและการปนเปื้อน

• กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีภูมิแพ้ โรคโพรงจมูกอักเสบ หรือภูมิคุ้มกันต่ำ ควรระวังเป็นพิเศษและปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติหลังใช้ยาดม ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

• อาการไม่พึงประสงค์ที่ควรหยุดใช้ : หากมีอาการระคายเคือง หรือแสบจมูก ควรรีบหยุดใช้

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ยาดม

ดร.พัชรี ฝากถึงผู้ที่ชื่นชอบการใช้ยาดมว่า “ยาดมสมุนไพรไม่ใช่สิ่งที่อันตรายหากเลือกใช้อย่างถูกวิธีและจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและการเก็บรักษาที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนได้” 

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ผู้ใช้สังเกตพฤติกรรมการใช้งานของตนเอง เช่น ไม่ใช้ยาดมมากเกินไปหรือบ่อยเกินความจำเป็น เพื่อลดโอกาสสัมผัสเชื้อที่อาจปนเปื้อน


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 มิถุนายน 2568

เตือนภัย ถุงเท้ารักษาสารพัดโรค หลอกขายมากว่า 10 ปี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/300tcdrx850


วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลอดเลือดสมองอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nagp1o19izpv


ดื่มเบียร์ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qq3nhtvwmucj


กาแฟลดน้ำหนักแบบชงดื่ม ลดพุงได้โดยไม่ต้อง ออกกำลังกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eyze93v0wvi3


กฎใหม่! ผู้สมัครวีซ่าสหรัฐชั่วคราว ประเภท F, M หรือ J ต้องเปิดโซเชียลเป็นสาธารณะ มีผลบังคับใช้ทันที

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23eqqd6y286r7


ผลชันสูตร ชายชาวลำปางเสียชีวิตบนรถทัวร์ เป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ep9g6vs1238f


  ธ.กรุงไทย สามารถถอนเงินแบบไม่ใช้บัตรที่ตู้ ธ.กสิกรไทยได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jfe1jucgafvv


 ผอ. โรงเรียน 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถสั่งหยุดเรียนได้ หากมีสถานการณ์ไม่ปลอดภัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cvky8s9sdoak


ใช้หูฟังนานๆ ทำให้สมองเสื่อมได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9s248ifdswnj


วิดีโอทดลองด้วยการเอาเนื้อทุเรียน มาผสมกับสารละลาย “เบตาดีน” กลายเป็นใส นี่คือฤทธิ์ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qi9tk57xzjn1


ถึงเวลาไทยต้องมีแนวปฏิบัติกำกับดูแล‘AI’เครื่องมือเอื้อ‘ง่าย-เร็ว’ยิ่งต้องสร้างความรู้เท่าทัน

กิจกรรม

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2568 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ ThaiPBS จัดเสวนา Side-Event “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ที่ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา อาคารมงกุฎสมมุติวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่บอท (Bot) กระจายข่าวได้เร็วกว่านักข่าว และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ลอกเลียนเสียงมนุษย์ได้แม่นยำ บทบาทของนักข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและผู้ใช้สื่อไม่ได้ลดน้อยลงไป แต่ถูกนิยามด้วยอะไรบางอย่าง ส่วนการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ใช่เพียงการลบล้างข่าวปลอม แต่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งความเชื่อมั่น และสร้างพลังให้กับประชาชนคิดอย่างมีวิจารณญาณ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความแน่นอนจำลอง

“AI เองก็มีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยง ถ้าใช้อย่างรับผิดชอบก็จะช่วยยืนยันแหล่งข้อมูล ช่วยวิเคราะห์รูปแบบ และคุ้มครองนักข่าวจากอันตรายที่เกิดจากดิจิทัล แต่ถ้าเกิดปล่อยให้เป็นไปโดยไร้การควบคุมก็อาจบิดเบือนความจริงได้ เวทีในวันนี้จึงสะท้อนพันธะร่วมกันของเราทุกคนในการปกป้องสิทธิของสาธารณชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องความเร็วเท่านั้น แต่ยังต้องทำงานอย่างลึกซึ้ง ซื่อสัตย์และรอบด้านด้วยรศ.ดร.ปรีดา กล่าว

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีการออกแนวปฏิบัติเรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีจริยธรรม มาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 ซึ่งเวลานั้นการใช้ AI ในงานสื่อมวลชนยังไม่แพร่หลายมากเท่าปัจจุบันที่ใช้กันในทุกมิติ เช่น จากที่ใช้เพียงการสร้างภาพสมมติเพื่อประกอบข่าว ก็ใช้ทั้งสรุปข่าว ย่อข่าว เขียนข่าว หาข้อมูล ทำกราฟิก ไปจนถึงสร้างเป็นผู้ประกาศมาอ่านข่าวแทนมนุษย์ 

ซึ่งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติก็เตรียมที่จะทบทวน เพราะตอนออกแนวปฏิบัติก็ทำใจแล้วว่าน่าจะมีการปรับปรุงบ่อยที่สุด เพราะ AI ทั้งตัวเทคโนโลยีและการใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นช่วง 6 เดือน จึงเวลาเหมาะสมที่จะต้องมาทบทวนกันรอบหนึ่ง โดยมอบโจทย์ให้ทางคณะกรรมการจริยธรรมไปดู อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะได้มาทบทวน

ขณะเดียวกันเราพบว่าตัวแพลตฟอร์มซึ่งมีการใช้ AI อยู่แล้ว ก็จะมีผลต่อการทำงานของเรา ทำอย่างไรที่เขาจะเอาข่าวของเราที่มีการตรวจสอบเป็นข่าวจริงต่างๆ มานำเสนอ หรือเขาจะไปเลือกเอาข่าวที่อาจมีความจริงแฝงมาเสนอด้วย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแพลตฟอร์มว่าจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันด้วย ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ปาฐกถา เรื่อง “AI กับจริยธรรมสื่อมวลชน : เมื่ออัลกอริทึมมีอิทธิพลต่อความจริงกล่าวถึงประโยชน์ของ AI ในวงการสื่อ เช่น การผลิตหรือรวบรวมเนื้อหา (Content Creation/Curation) ทำวิดีโอ ตรวจจับข่าวปลอม (Detect Fake News) ทำระบบอัตโนมัติ (Automation) หลังบ้าน แปลภาษา วิเคราะห์ผู้รับสาร ฯลฯ

แต่อีกด้านหนึ่ง AI ก็มีผลกระทบเชิงลบ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright) การนำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด อาทิ Deepfake (ปลอมใบหน้า – แปลงเสียง ซึ่งเชื่อมโยงกับการหลอกลวง) AI ทำงานผิดพลาด (Mistake) ซึ่งเป็นความผิดพลาดโดยไม่มีเจตนาโดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐจะกลัวมากเรื่องความไม่สมบูรณ์ของ AI แล้วไปให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชน รวมถึงการที่ AI จะมาแย่งงานของมนุษย์ (Job Replacement) อย่างที่พูดถึงกันมากคือคนที่ใช้ AI เป็นจะมาแทนคนที่ใช้ไม่เป็น

ทั้งนี้ ในมุมมองของตน ประเด็นปัญญาประดิษฐ์กับจริยธรรมและธรรมาภิบาล (AI Ethics & Governance) แบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ 1.ประเทศ ซึ่งมีการถกเถียงกันว่าจะไปทางใดระหว่างจริยธรรมกับกฎหมาย จึงมีการพูดถึงจุดกึ่งกลางของทั้ง 2 ด้าน คือ มาตรฐาน (Standard) หมายถึงหากผุ้ใช้งานเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่มีมาตรฐาน ก็ทำให้แน่ใจได้ว่า AI จะไม่ผลิตเนื้อหาที่ผิดจริยธรรม  

โดยมาตรฐานแบ่งได้ 3 ด้านหลักๆ คือ 1.ความมั่นคงปลอดภัย (Safety & Security) ผู้ใช้งานใส่ข้อมูลลงไปในเครื่องมือ AI แล้วจะไม่หลุดออกไปที่อื่น 2.ความแม่นยำ (Precision) ไม่ใช่สร้างเนื้อหาผิดเพี้ยน (Hallucinate) และ 3.การใช้ข้อมูล (Data) เครื่องมือ AI นั้นฝึกโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งใด เป็นข้อมูลที่มีอคติ (Bias) มาก – น้อยเพียงใด ละเมิดความเป็นส่วนตัว/ละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่

หรือหากสุดท้ายจำเป็นต้องไปที่กฎหมาย มีตัวอย่างกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU) ที่แบ่งการควบคุมการพัฒนาและการใช้งาน AI ไว้ 4 ระดับ คือ 1.ไม่อาจยอมรับได้ ห้ามทำเด็ดขาด เช่น การให้คะแนนทางสังคม (Social Scoring) 2.ความเสี่ยงสูง ต้องประเมินให้ผ่านมาตรฐานตามที่กำหนดจึงจะอนุญาตให้ผลิตหรือใช้งานได้ 3.ความเสี่ยงปานกลาง ต้องแจ้งผู้ใช้งานว่าเครื่องมือ AI ปฏิบัติตามข้อกำหนดจริยธรรมอย่างไร มีข้อมูลกำกับ และ 4.เสี่ยงน้อย ก็ไม่ต้องมีข้อกำหนดใดๆ เหมือนกับ 3 ระดับข้างต้น   

2.ประชาคม เช่น แนวปฏิบัติของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ในหมวด 3 ว่าด้วยการใช้ AI ในระดับองค์กร และหมวด 4 ว่าด้วยการใช้ AI ในระดับบุคคลที่ประกอบอาชีพ ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือองค์กรสื่อแต่ละแห่ง หากเป็นองค์กรที่ดีมีจริยธรรมก็จะต้องนำไปออกแนวปฏิบัติภายในของตนเอง และ 3.ปัจเจกบุคคล ก็ต้องเข้าใจและระมัดระวังกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นต้น

แต่โดยสรุปแล้วหากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ออกกฎหมายพิเศษเพิ่มเติม โดยยกตัวอย่างกฎหมายดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ด้านการแพทย์ – สาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหลักเกณฑ์ตรวจสอบเครื่องมือแพทย์ที่เข้มงวดมาก ซึ่งรวมถึงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยี AI ด้วย หากไม่ผ่านเกณฑ์ก็ไม่อนุญาตให้นำมาใช้ หรืออย่างเรื่องลิขสิทธิ์ก็มีกฎหมายอยู่ คำถามคือแล้ววงการสื่อเป็นอย่างไร มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้วหรือไม่ เพียงขยายให้ครอบคลุมสิ่งที่ AI จะมีขึ้นก็น่าจะเพียงพอ ไม่ต้องออกกฎหมายพิเศษ

สิ่งที่ควรจะเป็นทางออกในวันนี้ก็คือนโยบาย แนวปฏิบัติ ข้อกำหนดระดับประชาคม อย่างน้อยที่สุดสมาคมหรือสภาของทางสื่อมวลชนเอง กำกับดูแลตัวเองเช่นเดียวกับหลายๆ ภาคส่วน ภาคเอกชนหลายภาคส่วนก็ทำอย่างเดียวกัน ผมคิดว่าที่ดีมากๆ คือการสร้าง Best Practice (แนวปฏิบัติที่ดีผมยกตัวอย่าง ThaiPBS ใช้ AI เยอะมาก แล้วมีวิธีทำ AI Governance (ธรรมาภิบาล AI) อย่างไร ควบคุมได้จริงหรือไม่ ถ้าควบคุมได้จริงเอาขึ้นมาเป็น Best Practice ให้กับหน่วยงานอื่นๆ พิจารณาต่อ อันนี้ผมคิดว่าเป็นทางที่ดีมากๆ ผอ. NECTEC กล่าว 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ ในประเด็นเรื่องสื่อและจริยธรรม AI” โดย น.ส.ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ ThaiPBS เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ThaiPBS ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)สนับสนุนงานข่าวในหลายเรื่อง เช่น แปลงเนื้อหาตัวอักษรเป็นเสียงบรรยาย (Text to Speech) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา หรือผู้ติดตามข่าวสารแต่ไม่สะดวกที่จะอ่าน 

การทำหน้าจอแนวตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่รับชมผ่านโทรศัพท์มือถือ การทดลองทำผู้ประกาศแบบ Virtual เพื่อให้สื่อสารได้หลายภาษาเป็นต้น กระทั่งการเกิดขึ้นของเครื่องมืออย่าง ChatGPT เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ก็เริ่มคิดกันว่าหากในอนาคตจำเป็นต้องใช้ AI ในห้องข่าว (Newsroom) จะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งก็เป็นช่วงที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติก็มีแนวปฏิบัติเรื่องการใช้ AI ออกมา ถือว่ามีประโยชน์มากและ ThaiPBS อาจต้องนำมาใช้เขียนแนวปฏิบัติของตนเอง

แต่ด้วยความที่ AI มีพลวัติและการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว จึงนำ AI มาใช้ใน 2 ส่วน คือ 1.งาน Production เช่น สร้าง Storyboard ช่วยหาแนวคิด พบว่าเกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น กับ 2.ใช้สนับสนุนการแปลภาษา อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า ไม่ได้ใช้ AI ให้มีบทบาทกับห้องข่าวทั้งหมด แต่ใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานข่าว แต่การใช้ AI ก็อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องมีมนุษย์ช่วยดูแล หรืออย่างการให้ AI ช่วยสร้างกราฟิกเพื่ออธิบายข้อมูล หากทักษะไม่เพียงพอ สิ่งที่ AI สร้างขึ้นก็อาจผิดเพี้ยนได้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างสูงมาก

รอยเตอร์เพิ่งเผยแพร่รายงาน ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่รู้สึกสะดวกสบายกับการใช้ AI แล้วก็ไม่รู้สึกว่า AI เป็นความเสี่ยงในการใช้ พอเรามานั่งดูการใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ เราก็พบว่าเป็นอย่างนั้น แต่จากการสำรวจก็พบว่าผู้ชมของเราเขาจะรู้สึกว่าถ้าเอา AI มาใช้เป็นหลักแล้วมนุษย์แค่ Approve (รับรองให้ถูกสร้างออกมาจาก AI คนที่เป็นผู้ชมอาจรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไร ในทางกลับกันถ้ามนุษย์เป็นคนนำแล้วเอา AI มาช่วยสนับสนุน ผู้ชมของเราจะรู้สึก Comfortable (สะดวกสบายหรือปลอดภัยมากกว่าใช้ AI เป็นตัวนำ ตรงนี้น่าสนใจว่าแล้วจริงๆ การใช้ AI ในห้องข่าวหรือในมุมมองของสื่อมวลชนเอง ผู้ชม – ผู้อ่านเขารู้สึกอย่างไร น.ส.ชุตินธรา กล่าว

นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การมาของ AI ทำให้คนทำงานคุณภาพออกจากอุตสาหกรรมสื่อไปเป็นจำนวนมากเพราะปรับตัวไม่ทัน ถ่ายรูป – ถ่ายวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือไม่เป็นบ้าง ใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่เป็นบ้าง หรือชอบที่จะฟังคลิปเสียงสัมภาษณ์แล้วแกะถอดความด้วยตนเองมากกว่าจะใช้ AI ช่วยถอดเสียงเป็นตัวหนังสือ จะทำอย่างไรที่จะเข็นให้คนกลุ่มนี้อยู่ในอุตสาหกรรมต่อไปได้ ซึ่งระยะหลังๆ ก็มีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคสื่อว่าเหตุใดคุณภาพข่าวจึงลดลง   

ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยพบคนที่ออกจากอุตสาหกรรมสื่อแล้วไปเปิดช่องทางออนไลน์ของตนเอง แล้วบอกว่าสนุกมากกับการใช้ AI มาช่วยทำงานเพราะแทบไม่มีต้นทุน มีข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ให้นำไปใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงใส่คำสั่งให้ AI เรียบเรียงเนื้อหาขึ้นมาใหม่ (Rewrite) เท่านั้น ได้เนื้อหาไปนำเสนอในช่องทางออนไลน์ เท่านี้ก็มีรายได้แล้ว หรือการแปลข่าวต่างประเทศก็แปลไปโดยที่ไม่รู้บริบทหรือความสะเอียดของภาษา ก็ไม่รู้ว่าที่แปลมานั้นถูก – ผิดอย่างไร

อย่างในงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก สื่อถูกตั้งคำถามว่าเหคุใดคุณภาพงานลดลง ที่ลดก็เพราะองค์กรปรับคนทำงานคุณภาพออกไปแล้วแทนที่ด้วย AI มองว่าจ่ายค่าบริการรายปีดีกว่าจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่วนคนที่ยังอยู่ในองค์กรก็จะเหมือนเป็ดที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง หรือมีกรณีไปฟังแถลงข่าว นักข่าวพูดใส่โทรศัพท์มือถือตามที่แหล่งข่าวให้สัมภาษณ์โดยที่อาจไม่เข้าใจสิ่งที่แหล่งข่าวนำเสนอ ความลึกและความแม่นของข่าวจึงหายไป มีแต่ข่าวฉาบฉวย เน้นความง่ายและความเร็วหรือใช้ AI ถอดข้อความจากเอกสารเข้ามาอยู่ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่ตรวจก่อนก็จะไม่รู้ว่า AI อาจถอดให้มาแบบผิดๆ ก็ได้  

อีกมิติหนึ่งขอสะท้อน ในเชิงสมาคมนักข่าวฯ อบรมนักศึกษา คนที่จะเข้าสู่วิชาชีพนักข่าวทุกปีเลย สิ่งที่เราเจอเรื่องหนึ่งคือเหมือนคนใช้สมองคิดน้อยลง สมมติมีโจทย์ ผมว่าทั้งนักศึกษา ทั้งนักข่าวปัจจุบัน นักข่าวใหม่เอง ถ้าเขาอยากทำอะไรขาไม่ได้หาแหล่งข้อมูลเหมือนเราแล้ว ไม่มีความสามารถในการโทรเช็คกับแหล่งข่าว ไม่รู้ว่าต้นทางของข้อมูลฉบับนี้ต้องหาที่หน่วยงานไหน เขียนแค่ Prompt ว่าฉันต้องการสถิติใน AI มันเอามาจากไหนก็ไม่รู้ ถูก – ผิดก็ไม่รู้ ด้วยความง่าย สะดวก เร็ว ทำให้คุณภาพลดลง นายจีรพงษ์ กล่าว

นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า ตนเพิ่งได้เป็นสมาชิกของ World Association of Newspapers and News Publishers มีการแชร์ข้อมูลกัน ซึ่งมีข้อมูลที่พบว่าประเทศไทยเป็นดาวเด่นในการเชื่อและตื่นเต้นกับการใช้ AI เป็นลำดับแรกๆ ของโลก ในขณะที่อีกหลายประเทศไม่ได้ตื่นเต้น เพราะรู้ว่าการใช้ต้องมีจริยธรรมและการรู้เท่าทัน (Ethics & Literacy) คนไทยพร้อมจะเชื่อโดยไม่รู้ว่าข้อมูลที่ AI ใช้นั้นมาจากสำนักข่าวหรือไม่

หรืออย่างที่รอยเตอร์สำรวจความเชื่อมั่นสำนักข่าวแล้วไปพบนักเล่าข่าวในแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งข้อมูลชี้ว่าคนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่เชื่ออะไรก็ได้ ไม่ได้สนว่าจะเป็นสำนักข่าวหรือไม่ อินฟลูเอนเซอร์หยิบข่าวจากสำนักข่าวไปเล่าแล้วมียอดคนดูมากกว่าตัวสำนักข่าวเจ้าของชิ้นงาน คือเราไม่มีการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ซึ่งน่ากังวลและประเทศไทยยังขาดความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Quotient หรือ DQ) ว่าควรรู้เท่าทันและระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างไร 

ปัญหาอยู่ที่การศึกษาให้ข้อมูลความรู้ ถ้าภาษาเดิมเรียกว่ารู้เท่าทันสื่อ ประเด็นคือเรายังไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี เราใช้แต่ยังไม่รู้เท่าทันเนื้อหาของมันจริงๆ พอไม่รู้เท่าทันสุดท้ายพอเราได้รับเนื้อหาบางเนื้อหา มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอันนั้นจริง – ปลอม มันขึ้นอยู่กับใครส่งให้ มันยังเป็นวัฒนธรรม มันไม่เป็นการไตร่ตรอง มันก็เหมือนย้อนกลับไปที่พูดเรื่องข่าวปลอมบ่อยๆ ทำไมข่าวปลอมยังวิ่งอยู่ ทุกวันนี้ AI ก็ข่าวปลอมเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องไม่ได้อยู่ที่ผู้ผลิต ต้องไปเป็นระดับกระทรวงที่ต้องให้ความรู้ตั้งแต่เด็กจนไปถึงผู้ใหญ่เลย นายระวี กล่าว

นายนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าเรากำลังพูดถึงธุรกิจสื่อซึ่งมีเรื่องกำไร – ขาดทุน แต่ปัญหาของธุรกิจสื่อคือรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นความจริงหนึ่งที่ค้นพบคือ สำนักข่าวผลิตเนื้อหาคุณภาพออกมานำเสนอ แต่มีอินฟลูเอนเซอร์หยิบเนื้อหานั้นไปเล่าในพื้นที่ออนไลน์แล้วได้ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงกว่าสำนักข่าว บริษัทโฆษณา (เอเจนซี่) กลับเลือกจ่ายเงินโฆษณากับอินฟลูฯ เพราะดูที่ยอด Engagement ดังนั้นคนที่อยู่ในธุรกิจสื่อจึงเลือกทำข่าวที่ได้ Engagement ดีก็เพื่อให้องค์กรยังอยู่ต่อไปได้

รวมถึงการมาของ AI จึงถูกมุ่งไปที่การหาข่าวหรือการพาดหัวที่สร้าง Engagement ดังนั้นหากจะทำให้สื่ออยู่ได้ก็ต้องมีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามา เพราะหากเนื้อหาต้นฉบับ (Original Content) ที่สร้างไว้มีมูลค่า และที่บอกว่าคนไทยเชื่อ AI เพราะทุกคนเอาข้อมูลไปเล่าเนื่องจากได้เงินง่าย และการใช้ AI ก็ไม่มีต้นทุน กวาดรวมข้อมูลหรือเนื้อหามาแล้วก็ได้เงิน แต่เงินนั้นมาจากเนื้อหาต้นฉบับที่คนอื่นสร้างไว้ ดังนั้นเรื่องลิขสิทธิ์ต้องมาก่อน คนทำแอปพลิเคชั่นใช้ AI กวาดข้อมูลต้องซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อให้ผู้ผลิตเนื้อหาต้นฉบับอยู่ได้และ AI ก็ยังไปต่อได้  

ภายใต้ธุรกิจสื่อ สิ่งสำคัญคือรายได้ต้องอยู่ได้ด้วย จึงจะสามารถผลักดันออกไปได้ต่อ ฉะนั้นถ้าเราได้รับการสนับสนุนจากเอเจนซี่ ไม่ได้ให้คะแนนหรือตั้ง Engagement กับคนที่ผลิตเนื้อหาจาก AI หรือใช้การเล่าจาก AI เพียงอย่างเดียว ผมว่าอันนี้น่าจะช่วยสนับสนุนได้ เพราะอย่างหนึ่งผมก็เชื่อว่าเนื้อหาหรือข่าวหลายๆ เนื้อหามันไม่ได้ต้องการ Engagement แต่ต้องการ Awareness (สร้างความตระหนักรู้) ให้คนตื่นตัว อย่างข่าวการศึกษา แต่จะไปทำอย่างไรให้มัน Impact (ส่งผลมากกว่า ให้คนเข้าใจข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้น นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า AI ช่วยทำให้งานของนักข่าวรวดเร็วขึ้นจากการช่วยรวบรวมข้อมูล หรือประกอบสร้าง (Generated) จากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แต่คำถามคือข้อมูลที่มีอยู่แล้วนั้นมาจากแหล่งใด ซึ่งการมาของ AI ก็เป็นการสอบทวนด้วยว่าเราได้ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact – Checking) ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานหรือไม่

แต่อีกด้านหนึ่ง ต่อให้คนทำข่าวตั้งใจตรวจสอบและทำอย่างมีจริยธรรม แต่ก็มีความท้าทายคือมักไปจบที่ความต้องการยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ซึ่ง AI ช่วยให้เกิด Engagement ได้ง่ายมาก ส่วนคำถามว่าเหตุใดคนจึงเชื่อ AI ได้ง่ายมาก อาจเป็นเพราะ AI เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น – จับต้องไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่ส่งมาดูน่าเชื่อถือ หรือบางทีผู้รับสารอาจต้องการเพียงข้อมูล (Informational) ไม่ได้ต้องการองค์ความรู้ (Knowledge) หรือข่าว (News) ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้รับสารตั้งคำถาม หรือทำให้ผู้รับสารฉลาดขึ้น

หรือสิ่งที่กังวลมากๆ คือการกระจายของข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน (Spread of Misinformation) หรือข่าวที่ไม่ได้ถูกคัดกรอง หรือการที่มนุษย์ใช้เหตุผล (Reasoning) คิดเชิงวิเคราะห์น้อยลง คำถามคือคนที่ใช้ AI รู้สึกตรงนี้ด้วยหรือไม่ จำเป็นต้องกลับไปหาจุดกำเนิดของข้อมูล (Originate) หรือไม่ เพราะเพราะข้อมูลทั้งหมดที่ได้จาก AI ที่ Generated ก็คือข้อมูลที่ถูกผลิตมาแล้ว แล้วก็รีไซเคิลซ้ำกัน

อย่างถ้าวันนี้ผมบอกว่าสิ่งที่กำลังพูดมาจาก ChatGPT อาชีพผมจบเลย แต่บอกว่าคิดเอง คัดกรองเอง แต่ใช้ ChatGPT ในการ Generated เราจะไปถึงขั้นไหนการใช้ ผมคิดว่าคงปฏิเสธไม่ได้ เพราะ AI อยู่เป็นอวัยวะที่ 33 34 45 และอื่นๆของเรา คราวนี้การใช้อย่างมีจริยธรรม หรือแนวปฏิบัติ คงเป็นเรื่องที่ต้องคุยกัน เพราะเราก็กังวลกับการได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่โปรงใส รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว

ในช่วงท้ายยังมีการยื่นข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.ต่อรัฐบาล  ดังนี้ 1.1 กำหนเกรอบนโยบายแห่งชาติว่าด้วย AI กับภาคส่วนต่างๆ 1.2 เตรียมความพร้อมต่อการกำกับดูแลโดยกฎหมาย 1.3 ให้ความสำคัญกับกฎหมายลิขสิทธิ์ที่จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับเนื้อหาดั้งเดิม 1.4 สร้างการมีส่วนร่วมจากภาคผู้เชี่ยวชาญในการกำหนดความเสี่ยงจาก AI เพื่อนำไปสู่การกำกับดูแล 1.5 ส่งเสริมการร่วมมือระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัยและองค์กรสื่อ ในการพัฒนา AI ที่รับผิดชอบและให้ความสำคัญต่อนโยบายพัฒนาการรู้เท่าทัน AI ต่อประชาชน

2.ต่อ Global Platform และผู้สนับสนุนรายได้ (ทั้งค่าย AI สือสังคมออนไลน์และเอเจนซี่โฆษณา)ดังนี้ 2.1 ให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพ แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจากความนิยมเพียงอย่างเดียว และ AI ควรเรียนรู้เรื่องจริยธรรมและสิ่งที่ควรระวังด้วย 2.2 ควรนำเข้าข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือเท่านั้นเข้าสู่ระบบ Machine Learning ไม่นำข้อมูลที่สร้างจาก AI มาเรียนรู้ซ้ำ

2.3 จัดให้มีระบบ Warning ที่จะป้องกันปัญหาจากข้อมูลบิดเบือน 2.4 ร่วมพัฒนาแนวทางการใช้ AI ตรวจสอบข่าวปลอมกับองค์กรสื่อ โดยยึดหลักโปร่งใส เปิดเผยโมเดล และไม่ลำเอียงต่อกลุ่มความเชื่อใดๆ 2.5 ให้ผู้ผลิตข่าวสามารถปิดกั้นการดัดแปลงโดย AI ได้ เช่น การห้าม Large Language Model (LLM) นำบทความไปฝึกโมเดลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือต้องมีการซื้อ – ขายข้อมูลให้ถูกต้องในเรื่องลิขสิทธิ์

3.ต่อองค์กรสื่อมวลชน ดังนี้ 3.1 สร้างแนวปฏิบัติและเครื่องมือการบังคับใช้แนวปฏิบัติการใช้ AI ในองค์กรข่าว ซึ่งถือเป็นระดับ Community Level ในการกำกับดูแลกันเองด้านการใช้ AI เช่น การตั้งคณะทำงานภายในองค์กร ตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างสม่ำเสมอ 3.2 สร้างแนวปฏิบัติที่ดีของธรรมาภิบาล AI ในองค์กรสื่อ และแสวงหาแนวทางการรักษางานของมนุษย์ 3.3 อบรมสื่อมวลชนเรื่องการรู้เท่าทัน AI กำหนดนโยบายจริยธรรม AI เช่น การใช้ AI เรียบเรียงข่าว ตรวจคำผิด สร้างภาพ ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ 

ให้ความรู้เรื่องข้อจำกัดของ AI ความลำเอียงของโมเดล และการตรวจสอบข้อมูลจาก AI 3.4 ยึดถึงในคุณค่าของวารสารศาสตร์ รวมถึงระมัดระวังไม่ใช้ AI แทนมนุษย์ในกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม เช่น การพิจารณาเผยแพร่ข่าว่อ่อนไหวภาพรุนแรง หรือข้อมูลส่วนบุคคล 3.5 รณรงค์ให้สื่อมวลชนรักษาคุณภาพของเนื้อหา โดยระมัดระวังเรื่องการใช้ AI อย่างขาดการกำกับดูแลที่ดี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจของสื่อ

และ 4.ต่อผู้บริโภคสื่อและภารวิชาการ ดังนี้ 4.1 พัฒนาทักษะของตนเองในการใช้และอยู่กับ AI 4.2 สร้างองค์ความรู้และพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัล และการรู้เท่าทัน AI แก่สื่อมวลชนและประชาชนที่เป็นทั้งผู้บริโภคสื่อและผู้สร้างเนื้อหาบนสื่อออนไลน์ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน 4.3 ภาคประชาชนต้องรวมพลังกันเพื่อส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคในการรับรู้ว่าเนื้อหานั้นมาจาก AI หรือมนุษย์ 4.4 เสริสร้างทักษะการรู้เท่าทัน AI แก่สาธารณะ ให้รู้เท่าทันการดัดแปลงเนื้อหา เช่น Deepfake , Chatbot , Voice clone 4.5 เรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องเปิดช่องทางร้องเรียนหรือรายงานเนื้อหา AI ที่ผิดจริยธรรม และให้แพลตฟอร์มหรือสื่อดำเนินการแก้ไขอย่างโปร่งใส.


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2568

“บอแรกซ์” ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนทางเพศ และดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qvzcdr5t6s8e


ไข่ต้มไข่แดงขอบสีเขียวมีพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2d39l7s0ymwqa


ผงชูรสเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29u3q7b75lx6p


กาแฟลดน้ำหนักแบบชงดื่ม ลดพุงได้โดยไม่ต้อง ออกกำลังกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eyze93v0wvi3


วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลอดเลือดสมองอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nagp1o19izpv


ดื่มเบียร์ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qq3nhtvwmucj


 รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงศาลยา – ตลิ่งชัน – ศิริราช คาดพร้อมใช้งานปี 2573

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/tv7qwbcom6ye


 ไต้หวันฟรีวีซ่าให้คนไทยเพิ่มอีก 1 ปี เริ่ม 1 สิงหาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nsfqv4icdfff


ใช้หูฟังนานๆ ทำให้สมองเสื่อมได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9s248ifdswnj


วิดีโอทดลองด้วยการเอาเนื้อทุเรียน มาผสมกับสารละลาย “เบตาดีน” กลายเป็นใส นี่คือฤทธิ์ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qi9tk57xzjn1


ฝุ่นตลบชายแดนไทย-กัมพูชา: คนไทยเช็กข่าว

Top Fact Checks Health MisInfo

ขอบคุณที่มา Ubon Connect

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว EP.5 ได้นำเสนอประเด็นร้อน “ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี?” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ“พี่กบ” คนเช็กข่าว ร่วมด้วย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ เพื่อชวนผู้ชมวิเคราะห์วิธีการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลมีเดีย

คุณสุภิญญา กล่าวเปิดประเด็นว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เต็มไปด้วย “สงครามข้อมูลข่าวสาร” โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความสับสนให้ประชาชนทั้งสองประเทศ “ตอนนี้คนไทยสับสนมาก เพราะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอมปะปนกัน สงครามข้อมูลออนไลน์กำลังหนักหน่วง ทุกฝ่ายต่างนำเสนอข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง บางครั้งมีการบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลาย” 

เธอย้ำว่า ประชาชนต้องมีสติและตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนเชื่อหรือแชร์ เพื่อลดอคติและป้องกันการตกเป็นเครื่องมือของปฏิบัติการข้อมูล (IO) ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างมีกลยุทธ์นี้ “เราต้องตั้งหลัก อย่าให้อารมณ์ความรักชาติครอบงำจนขาดเหตุผล เป้าหมายคือสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่สงบและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย”

พี่กบ เปิดประเด็นถามถึง ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี? โดย ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งติดตามประเด็นชายแดนมาโดยตลอด ได้แนะนำวิธีการตรวจสอบข่าวสารอย่างเป็นระบบ 

“สำหรับคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ควรเริ่มจากติดตามเพจทางการของรัฐบาล เช่น เพจนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมักมีข้อมูลใกล้เคียงความจริงมากที่สุด และสามารถเปรียบเทียบมุมมองจากเพจทางการของกัมพูชาได้ ด้วยฟังก์ชันแปลภาษาของโซเชียลมีเดียที่แม่นยำขึ้น” 

เขายังแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง เช่น การสังเกตการใช้ชีวิตประจำวันของคนกัมพูชาที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งยังคงมีอยู่แม้สถานการณ์จะตึงเครียด 

ผมไปโรงพยาบาลยังได้ยินภาษากัมพูชา แม้จะบางลง แต่ก็ยังมีคนมาใช้บริการ แสดงว่าสถานการณ์ในพื้นที่อาจไม่รุนแรงเท่าส่วนกลางมอง”

ดร.ธนเชษฐ ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมุมมองของคนในพื้นที่ชายแดนและส่วนกลาง “คนชายแดนเห็นการค้าขายและการไปมาหาสู่เป็นเรื่องปกติ แต่คนในส่วนกลางที่ถูกปลูกฝังเรื่องอธิปไตยอาจมองว่าแผ่นดินตารางนิ้วเดียวเสียไม่ได้ เมื่อเกิดความขัดแย้ง คนชายแดนจะกังวลเรื่องผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น ชาวบ้านในบุรีรัมย์ต้องพาวัวหนีหากเกิดสงคราม เพราะวัวคือทรัพย์สินสำคัญ” 

อาจารย์ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากงานวิจัยชายแดนไทย-ลาวว่า คนในพื้นที่มองชายแดนเป็นเรื่องยืดหยุ่น เช่น การข้ามฝั่งไปจับปลา แต่เมื่อมีผลประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว ชายแดนก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างมูลค่า “มุมมองของคนชายแดนและส่วนกลางจึงต่างกัน ประชาชนต้องเข้าใจบริบทนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่บิดเบือน”

เมื่อถูกถามถึงวิธีสังเกตข่าวปลอม ดร.ธนเชษฐ แนะนำให้ดูที่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจกองบัญชาการกองทัพไทย หรือเพจไทยคู่ฟ้า ซึ่งมักตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบจากชุมชนท้องถิ่น เช่น กลุ่มไลน์ของอบต. ที่มักแจ้งเตือนสถานการณ์จริงในพื้นที่ นอกจากนี้ เขายังแนะนำแหล่งข้อมูลวิชาการ เช่น ผลงานของอาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน อาจารย์อัครพล ค่ำคูณ และอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นกลางและไม่ปลุกอารมณ์โกรธแค้น  รวมถึงพอดแคสต์อย่าง Point of View และ Average History ที่ให้ความรู้สั้นกระชับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

“พี่กบ” กล่าวเสริม ถึงความท้าทายในการรับข้อมูลที่ถูกต้องในยุคที่โซเชียลมีเดียรวดเร็วและรุนแรง “กระแสชาตินิยมมักมีนัยยะซ่อนเร้น บางครั้งข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนมีอารมณ์ร่วม ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ประชาชนสองฝ่ายมีการไปมาหาสู่และค้าขายเป็นปกติ” เขาเสนอว่า ประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อมูล โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศหรือภายในประเทศ “เราต้องแยกให้ออกว่านี่เป็นเรื่องของผู้นำหรือประชาชน ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจบริบทและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่วมกัน”

คุณสุภิญญา ปิดท้ายด้วยคำเตือนว่า “ในภาวะความขัดแย้ง ความจริงคือสิ่งแรกที่ถูกทำลาย ทุกฝ่ายมีปฏิบัติการข้อมูล (IO) เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประชาชนต้องรู้เท่าทันว่าโซเชียลมีเดียถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึมที่ทำให้เราอยู่ใน ‘ห้องแห่งเสียงสะท้อน’ เห็นแต่ข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของเรา” เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งคำถามและมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก “ทางออกที่ดีที่สุดคือทางที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ อย่าเพิ่งอินกับข้อมูลมากเกินไป ต้องเช็กให้ชัวร์ ใช้เหตุผล และสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่เป็นเสียงของความจริงและมนุษยชาติ

จากรายการ โคแฟคสนทนา วิทยากรแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของรัฐบาลทั้งไทยและกัมพูชา รวมถึงเพจนักวิชาการที่มีข้อมูลเป็นกลาง เช่น อาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน หรือพอดแคสต์ Point of View ประชาชนในพื้นที่ชายแดนควรลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน ต้องระวังอคติและอารมณ์ชาตินิยมที่อาจถูกปลุกผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในยุคที่อัลกอริทึมขับเคลื่อนข้อมูลให้อยู่ใน “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” สุดท้าย ควรยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งทั้งในโลกออนไลน์และพื้นที่จริง


สวิตเซอร์แลนด์สั่งแบน ‘แมมโมแกรม’: ข่าวลวงแชร์วนซ้ำจากต่างประเทศก่อนมาถึงเมืองไทย

บทความ

By : Zhang Taehun

ด่วน: สวิตเซอร์แลนด์ห้ามทำแมมโมแกรม — และได้เปิดโปงกลุ่มมาเฟียทางการแพทย์!

พาดหัวข้อความที่ถูกส่งเข้ามาสอบถามในระบบของ Cofact เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2568 โดยเนื้อหาของโพสต์ดังกล่าวอ้างว่า โดยอ้างว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามทำแมมโมแกรม ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม  และระบุด้วยว่า การตรวจด้วยวิธีดังกล่าวทำให้เกิด ผลบวกปลอมหมายถึงได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านมทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้ป่วย แถมยังอ้างว่าพบผลบวกปลอมสูงถึงร้อยละ 60 อีกต่างหาก และยังระบุด้วยว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นความจงใจของอุตสาหกรรมยาที่ต้องการสร้างกำไรจากสถานการณ์นี้

– แมมโมแกรมคืออะไร?

บทความ การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี ที่เผยแพร่ตั้งแต่เมื่อปี 2559 โดย รังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า แมมโมกราฟฟี (Mammography) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สร้างภาพภายในเนื้อเยื่อของเต้านมโดยใช้รังสีเอ็กซ์ขนาดกำลังต่ำ การตรวจแมมโมกราฟฟีหรือที่เรียกกันว่า แมมโมแกรม นั้นเป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งทำให้มีโอกาสรักษาหายขาดมากที่สุด ทั้งนี้การตรวจด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี่แบ่งได้คร่าวๆ 2 แบบ คือ 

1.การตรวจในผู้ที่ไม่มีอาการ (Screeningmammography) เป็นการตรวจที่สำคัญในการคัดกรองหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น เพราะมะเร็งบางชนิดอาจใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อเต้านมเป็น ปีหรือ 2 ปีก่อนที่ผู้ป่วยหรือแพทย์จะสามารถคลำส่วนที่ผิดปกตินี้ได้ ล่าสุดวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา  แนะนำให้เริ่มทำการตรวจ screening mammogram  ปีละครั้งเมื่อสตรีมีอายุ 40 ปีขึ้นไป สำหรับผู้หญิงที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีความเสี่ยงสูงเช่น มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรรับการตรวจก่อนอายุ 40 ปีหรือไม่ หรือควรตรวจอะไรเพิ่มเติม เช่น Breast MRI

2.การตรวจในผู้ที่มีอาการ (Diagnosismammography) เช่นคลำก้อนได้ที่เต้านม มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังบริเวณเต้านม หรือมีสารคัดหลั่งผิดปกติออกมาจากหัวนม (เลือด,หนอง) การตรวจนี้มักเป็นการตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบความผิดปกติจาก Screening mammogram

เครื่องแมมโมแกรมมีส่วนที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งใส่หลอดเอกซเรย์ และมีส่วนประกอบที่ช่วยให้รังสีผ่านเฉพาะเต้านมที่ทำการตรวจ เป็นเครื่องที่สร้างมาเพื่อใช้ตรวจเฉพาะเต้านมเท่านั้น โดยจะมีแผ่นรองรับเต้านมและกดเนื้อเต้านมในมุมต่างๆเพื่อการถ่ายภาพ การตรวจ Breast tomosynthesis  ต้องใช้เครื่อง Digital mammography เท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเครื่อง Digital mammography จะสามารถตรวจด้วยวิธี tomosynthesis ได้

เครื่องจะให้กำเนิดรังสีเอกซ์ในขนาดที่พอเหมาะ ผ่านอวัยวะที่จะทำการตรวจ รังสีที่ผ่านจะถูกเก็บไว้ในแผ่นรับรังสีซึ่งจะได้รับการแปลเป็นภาพผ่านระบบคอมพิวเตอร์ให้แพทย์แปลผลอีกครั้งหนึ่ง ในอดีตแผ่นรับรังสีเป็นแผ่นฟิล์มแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นแผ่นรับรังสีที่เป็นระบบอิเล็คทรอนิกส์แทน แต่แผ่นฟิล์มก็ยังคงใช้อยู่ ทั้งนี้ การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี เป็นการตรวจที่ไม่ต้องเข้าพักในโรงพยาบาล (ตรวจแบบผู้ป่วยนอก) เจ้าหน้าที่รังสีเทคนิคที่ผ่านการอบรมเฉพาะจะเป็นผู้ทำการถ่ายภาพ โดยเริ่มต้นด้วยการจัดตำแหน่งของเต้านมให้พอเหมาะที่แผ่นรองรับที่ตัวเครื่องและใช้แผ่นใสแข็งอีกแผ่นค่อยๆกดเต้านมเพื่อให้เนื้อเยื่อแผ่ออก และไม่ขยับระหว่างทำการถ่ายภาพ

– สวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเมมโมแกรมจริงหรือไม่?

คำตอบคือ ไม่จริ แถมเรื่องนี้ยังเคยเป็นข่าวลวงในต่างประเทศและถูกหักล้างไปแล้ว ก่อนจะถูกแปลเป็นภาษาไทยและเข้ามาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ของไทยอีกต่างหาก อาทิ ในวันที่ 13 มิ.ย. 2567 เว็บไซต์ นสพ. USA Today สหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ Mammograms don’t cause cancer, aren’t banned in Switzerland | Fact check โดยอ้างถึงโพสต์หนึ่งที่ถูกแชร์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2567 ระบุว่า สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่ห้ามการตรวจแมมโมแกรม และอ้างว่า ผลการตรวจที่เป็นบวกราวร้อยละ 50-60 ไม่ถูกต้องและกระบวนการคัดกรองกระตุ้นการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเนื้องอก โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์มากกว่า 100 ครั้งในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ แถมยังถูกนำไปแชร์บนแพลตฟอร์มอื่น เช่น X (ทวิตเตอร์เดิม)

(ภาพ 01) โพสต์ที่ USA Today อ้างถึง (ในภาพเป็นวันที่ 3 มิ.ย. 2567 เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของโซนเวลา)

ในเวลานั้น ผู้สื่อข่าวของ USA Today ได้สอบถามไปยัง เซลีน เรย์มอนด์ (Celine Reymond) โฆษกสำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับคำยืนยันว่า ในระดับประเทศไม่มีนโยบายห้ามการตรวจเอกซเรย์ด้วยแมมโมแกรม โดยโปรแกรมการตรวจคัดกรองนั้นจัดทำขึ้นโดยรัฐต่างๆ

ขณะที่ คอร์เนเลีย ลีโอ (Cornelia Leo) หัวหน้าแพทย์ของ Interdisciplinary Breast Center ของ Cantonal Hospital Baden ในเมืองบาเดิน (Baden) ของสวิตเซอร์แลนด์ ให้ข้อมูลว่า การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมมีให้บริการใน 14 รัฐจากทั้งหมด 26 รัฐในสวิตเซอร์แลนด์ และอีก 4 รัฐกำลังดำเนินการนำโปรแกรมดังกล่าวไปปฏิบัติ ส่วนในรัฐอื่นๆ ก็มีการตรวจแมมโมแกรมด้วยเช่นกัน แต่ในระดับบุคคล เรียกว่าการตรวจคัดกรองแบบตามโอกาส ทั้งนี้ โปรแกรมการตรวจคัดกรองแมมโมแกรมเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสูงที่ได้รับการตรวจสอบเป็นประจำ

นอกจากนั้น ข้อมูลที่ทางเว็บไซต์ของโรงพยาบาลซูริก ยังระบุด้วยว่า โรงพยาบาลได้เชิญชวนสตรีที่มีสุขภาพแข็งแรง อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และไม่มีอาการมะเร็งเต้านม ให้เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมทุกๆ 2 ปีในบางรัฐ แต่การตรวจคัดกรองจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านคุณภาพที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย 

ในเวลาต่อมา วันที่ 20 ก.พ. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ เผยแพร่บทความ Fact Check: Switzerland has not banned mammograms, contrary to online claims ระบุว่า พบโพสต์เนิ้อหาทำนองเดียวกันกับUSA Today เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2567 บนแพลตฟอร์ม X และเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม จากคำตอบที่ได้รับทางอิเมล ซึ่งผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ได้สอบถามไปยัง สำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีนโยบายห้ามการตรวจแมมโมแกรม

ทางสำนักงานสาธารณสุขกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า คำกล่าวอ้างที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ เป็นการตีความรายงานปี 2557 ผิด โดยคณะกรรมการการแพทย์สวิส (SMB) ซึ่งตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และ SMB ถูกยุบไปตั้งแต่เมื่อปี 2565 ทั้งนี้ ในสวิตเซอร์แลนด์แนะนำให้ทำการตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป และโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจะจัดตั้งขึ้นโดย แคนตัน (Canton)” ต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารในสวิตเซอร์แลนด์ที่คล้ายกับเทศมณฑล (County) หรือมลรัฐ (State)

จากแผนที่ 26 รัฐของสวิตเซอร์แลนด์ มี 15 รัฐที่เสนอโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างเป็นระบบและเป็นระเบียบ โดยรัฐอื่นๆ อีก 3 รัฐมีแผนที่จะแนะนำโครงการในอนาคต โครงการที่เป็นระบบคือโครงการที่ผู้หญิง – มักจะอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป – ได้รับเชิญให้เข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำนอกจากนี้ ยังมีอีก 8 รัฐที่มีโครงการเฉพาะกิจ โดยที่ผู้หญิงจะถูกส่งไปตรวจแมมโมแกรมหลังจากได้รับการแนะนำจากแพทย์ รายงานการตรวจสอบของรอยเตอร์ ระบุ

– ผลบวกปลอมจากการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมสูงถึงร้อยละ 50  60 จริงหรือ?

คำตอบคือ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในวันที่ 24 มี.ค. 2568 สำนักข่าว Euronews ของฝรั่งเศสเผยแพร่รายงาน No, Switzerland hasn’t banned mammograms นอกจากจะยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องสวิตเซอร์แลนด์แบนการตรวจด้วยแมมโมแกรมนั้นไม่เป็นความจริงแล้ว ยังไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญในประเด็นผลบวกปลอมนี้ด้วย

ปาร์ธา บาซู (Partha Basu) หัวหน้าสาขาการตรวจจับในระยะเริ่มต้น การป้องกัน และการติดเชื้อของสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในเมืองลียงของฝรั่งเศส อธิบายว่า แม้ผลบวกปลอมจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดกรอง แต่การได้รับผลบวกปลอมเพียงครั้งเดียวก็ไม่เหมือนกับการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย โดย ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการตรวจคัดกรอง (Screening Test) และการตรวจวินิจฉัย (Diagnostic Test) โดยการตรวจวินิจฉัยก็เหมือนกับการตัดชิ้นเนื้อ ซึ่งคาดหวังว่าจะมีความแม่นยำสูงมาก

การตรวจคัดกรองเป็นเพียงการระบุว่าใครมีความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำที่จะเป็นโรค และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงแนะนำเสมอว่าผู้หญิงที่ผลการตรวจแมมโมแกรมเป็นบวกควรเข้ากระบวนการสอบสวนโรค (Investigated) โดยเร็วที่สุด บาซูกล่าว  

รายงานข่าวของ USA Today อ้างอิงข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า ผู้หญิงมากกว่าร้อยละ 50 ในสหรัฐฯ ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปีเป็นเวลา 10 ปี จะได้รับผลบวกปลอมในบางช่วงเวลา ซึ่งหมายความว่าพบความผิดปกติในภาพเอกซเรย์แต่ไม่พบมะเร็งซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์กร Susan G. Komen ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ทำงานด้านมะเร็งเต้านมในสหรัฐฯรายงานในทำนองเดียวกันว่าโอกาสเกิดผลบวกปลอมอยู่ที่ร้อยละ 50-60 หลังจากทำแมมโมแกรม 10 ปี โดยผลบวกปลอมเกิดขึ้นบ่อยกว่าเล็กน้อยในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า

ขณะที่รายงานของรอยเตอร์ อ้างอิงคำอธิบายของ คริส เดอ วูล์ฟ (Chris de Wolf) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและประธานองค์กรอ้างอิงยุโรปด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและบริการวินิจฉัยคุณภาพ ที่กล่าวว่า ในยุโรป สัดส่วนของผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมาตรวจเพิ่มเติมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10-12 ในครั้งแรก และร้อยละ3-5 ในการตรวจครั้งต่อไป ซึ่งตัวเลขหลังนี้หมายความว่าผู้หญิง 30-50 คนในทุกๆ 1,000 คนถูกเรียกตัวกลับมาตรวจเพิ่มเติมหลังการตรวจแมมโมแกรม และในจำนวนผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมา ประมาณ 7 คนจะเป็นมะเร็ง 

ดังนั้น ในจำนวนผู้หญิงที่ถูกเรียกตัวกลับมา 23  43 คน หรือ 76  86% ให้ผลบวกปลอม แต่เมื่อพิจารณาเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั้งหมดที่ได้รับการคัดกรอง จะพบว่าอยู่ที่ 23  43 ใน 1,000 คน หรืออยู่ที่ 2.3  4.3% โดยโพสต์ดังกล่าวอาจหมายถึงความเสี่ยงสะสมของผลบวกปลอมด้วย ตัวอย่างเช่น หากอัตราผลบวกปลอมอยู่ที่ 5% และผู้หญิงเข้ารับการตรวจคัดกรอง 12 ครั้งตั้งแต่อายุ 50 ปี ความเสี่ยงสะสมโดยประมาณของผลบวกปลอมในช่วงเวลาดังกล่าวจะอยู่ที่ 60% เดอ วูล์ฟ ระบุ

อัตราการตรวจซ้ำเฉลี่ยของสวิตเซอร์แลนด์สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-69 ปีอยู่ที่ 31 ต่อ 1,000คนในปี 2562 – 2564 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้หญิงทั้งหมดที่ได้รับการตรวจคัดกรอง ทั้งนี้ ตามรายงานที่จัดทำขึ้นสำหรับ Swiss Cancer Screening อัตราผลบวกปลอมอยู่ที่ 26 ต่อผู้หญิง 1,000 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 2.6 ของผู้ที่ได้รับการตรวจคัดกรองทั้งหมด อัตราดังกล่าวสูงขึ้นสำหรับผู้ที่เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมครั้งแรกในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราการตรวจซ้ำอยู่ที่ 110.8 ต่อ 1,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของผู้ที่ได้รับการตรวจคัดกรองทั้งหมด อัตราการตรวจพบผลบวกปลอมอยู่ที่ 105 รายต่อผู้เข้ารับการตรวจ 1,000 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 10.5 ของผู้เข้ารับการตรวจทั้งหมด

– ตรวจแมมโมแกรมทำให้เกิดเนื้องอก? 

เป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาถามในระบบของ Cofact และมีการระบุด้วยว่า ยิ่งแย่ลงไปอีก: แมมโมแกรมอาจทำให้เนื้องอก(ถ้ามี)แพร่กระจายได้ การศึกษาวิจัยใหม่ยืนยันว่าการกดทับเนื้อเยื่อที่บอบบางอาจกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจาย และการทดสอบอาจเพิ่มโรคก็ได้

คำตอบคือ ไม่จริง  โดยรายงานการตรวจสอบจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ยืนยันโดยอ้างคำพูดของปาริสา ล็อตฟี (Parisa Lotfi) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยาและการถ่ายภาพทางชีวการแพทย์ที่ศูนย์มะเร็งเยล (YCC) ในสหรัฐฯ ที่กล่าวกับ USA Today ว่า โพสต์ที่ว่าแมมโมแกรมกระตุ้นการเติบโตของเนื้องอกและการแพร่กระจายนั้นไม่เป็นความจริง ไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บ่งชี้ว่าแมมโมแกรมทำให้เกิดมะเร็ง การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ทั้งแรงกดจากแมมโมแกรมและปริมาณรังสีของมะเร็งเต้านมไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดย พ.ร.บ.คุณภาพและมาตรฐานแมมโมแกรม(Mammography Quality and Standards Act) ขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) รับรองว่าปริมาณรังสีอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยและต่ำกว่าค่ามาตรฐานของรังสีเอ็กซ์

เอวานโดร เดอ อาซัมบูจา (Evandro de Azambuja) หัวหน้าทีมสนับสนุนทางการแพทย์ของสถาบัน Jules Bordet ในเมืองอันเดอร์เลชท์ของเบลเยียม อธิบายกับ Euronews ว่า หากปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคร่งครัดตามคำแนะนำของหน่วยงานต่างๆ ปริมาณรังสีก็จะต่ำ ดังนั้นจะไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งจากการฉายรังสีแมมโมแกรม

สรุปแล้วการตรวจแมมโมแกรมมีประโยชน์หรือไม่?

รายงานของ Euronews อ้างความเห็นของ จูเลีย ชวาร์ตซ์ (Julia Schwarz) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับระยะเริ่มต้นจาก Swiss Cancer League ในเมืองเบิร์น (Bern) ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ระบุว่า ผู้หญิงควรได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับผลบวกปลอมก่อนเข้ารับการตรวจแมมโมแกรม โอกาสนั้นไม่มากนัก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นคือโอกาสในการรักษาให้หายจะสูงขึ้น

เช่นเดียวกับ คอร์เนเลีย ลีโอ หัวหน้าแพทย์ของ สถาบันรักษาเต้านมแบบบูรณาการ (Interdisciplinary Breast Center) ของ Cantonal Hospital Baden ในเมืองบาเดินของสวิตเซอร์แลนด์ ที่กล่าวกับ USA Today ว่า ข้อดีของการตรวจแมมโมแกรมนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ผลการศึกษาในระดับนานาชาติและในสวิตเซอร์แลนด์แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ มะเร็งเต้านมจะถูกตรวจพบในระยะเริ่มแรก ทำให้การรักษามีภาระน้อยลงด้วย ลีโอกล่าว 

ขณะที่ประเทศไทย เท่าที่สืบค้นได้ มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ห่างกันประมาณ 1 ปี โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 รายการ ชัวร์ก่อนแชร์ ทางช่อง MCOT HD ได้สอบถามไปยัง ศ.พญ.ชลทิพย์ วิรัติพันธ์ หัวหน้าศูนย์วินิจฉัยเต้านม ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้รับคำยืนยันว่า จากการวิจัยทั่วโลกที่ทำกันมากว่า 30 ปี ชี้ว่า แมมโมแกรมเป็นวิธีเดียวที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้มากกว่าร้อยละ 20

และแม้จะมีการตรวจพบผลบวกลวง ก็ไม่ได้แปลว่าจะหักล้างและสรุปว่าไม่ควรตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรม ซึ่งหากเทียบกันระหว่างการตรวจหามะเร็งเต้านมตั้งแต่แรกๆ กับการเจอผลบวกลวง โดยเป็นการเจอชิ้นเนื้อแต่ยังบอกไม่ได้ว่าคืออะไร ขั้นตอนต่อไปก็จะแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อ และการตรวจชิ้นเนื้อนั้นแล้วพบว่าไม่ใช่มะเร็ง ก็เท่ากับว่าเราสามารถเก็บชิ้นเนื้อนั้นไว้กับร่างกายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ดีกว่าไม่รู้แล้วต้องมาคอยลุ้นว่าชิ้นเนื้อจะโตขึ้นหรือไม่ นอกจากนั้นยังควบคุมปริมาณรังสีที่ใช้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย  

การทำแมมโมแกรมยังไม่กระตุ้นให้เกิดเนื้องอก เพราะไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปที่ไหนหรือทำให้ลุกลามมากขึ้น ส่วนที่บอกว่าผู้หญิงแข็งแรงทำแมมโมแกรมแล้วตรวจเจอมะเร็ง เรื่องนี้เป็นไปได้ว่าเป็นการเจอมะเร็งที่ซ่อนอยู่เงียบๆ ยังไม่แสดงอาการ สุดท้ายคือสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้ห้ามการตรวจแมมโมแกรม เพียงแต่ที่นั่นรัฐบาลไม่ได้บรรจุให้เป็นสิทธิประโยชน์ และไม่ได้สนับสนุนหรือเชิญชวนให้มาตรวจ 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานโดยอ้างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงแนะนำและให้บริการตรวจแมมโมแกรม ซึ่งการตรวจแมมโมแกรมถือเป็นวิธีตรวจคัดกรองมาตรฐาน (gold standard) สำหรับการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป 

ปัจจุบันมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่า แมมโมแกรมสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหายและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในยุโรป พบว่า การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ 20-40% ในกลุ่มสตรีที่เข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังแนะนำให้ประเทศที่มีทรัพยากรเพียงพอดำเนินโปรแกรมการตรวจแมมโมแกรมอย่างเป็นระบบโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการสุขภาพและลดภาระของโรคในระยะยาว แม้ว่า การตรวจแมมโมแกรมจะมีความเสี่ยงบางประการ เช่น การได้รับรังสีในปริมาณเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ของการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นซึ่งช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตแล้ว การตรวจแมมโมแกรมจึงให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

รวมถึงเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute” ก็ยังโพสต์คลิปวีดีโอพร้อมคำบรรยาย ข่าวดีของหญิงไทย…. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์  ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0 22026800 ต่อ 1127

บทสรุปคือ สวิสเซอร์แลนด์สั่งแบนแมมโมแกรมเป็นอีกหนึ่งข่าวลวงที่เข้าข่าย แชร์วนซ้ำ” มีการหักล้างไปแล้วก็ยังกลับมาใหม่ได้อีก!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://cofact.org/article/3ceijwwvsa336

https://www.radiologythailand.org/th/การตรวจเต้านมด้วยเครื่/ (การตรวจเต้านมด้วยเครื่องแมมโมกราฟฟี่ : รังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย)

https://www.usatoday.com/story/news/factcheck/2024/06/13/mammograms-banned-switzerland-fact-check/74005275007/ (Mammograms don’t cause cancer, aren’t banned in Switzerland | Fact check : USA Today 13 มิ.ย. 2567)

https://www.reuters.com/fact-check/switzerland-has-not-banned-mammograms-contrary-online-claims-2025-02-20/ (Fact Check: Switzerland has not banned mammograms, contrary to online claims : รอยเตอร์ 20 ก.พ. 2568)

https://www.euronews.com/my-europe/2025/03/24/no-switzerland-hasnt-banned-mammograms (No, Switzerland hasn’t banned mammograms : Euronews 24 มี.ค. 2568)

https://www.youtube.com/watch?v=gD9c4bIQMew (ชัวร์ก่อนแชร์ : แมมโมแกรม อันตราย กระตุ้นให้เป็นมะเร็ง จริงหรือ? : ชวร์ก่อนแชร์ 20 พ.ค. 2567)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/การทำแมมโมแกรมอาจกระตุ้นให้เนื้องอกลุกลาม/ (การทำแมมโมแกรมอาจกระตุ้นให้เนื้องอกลุกลาม : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 3 มิ.ย. 2568)

https://www.facebook.com/NationalCancerInstitute.Thailand/videos/1606874680006528