‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?

By : Zhang Taehun

รู้แล้วจะช็อก! แค่เคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที ก็กลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น เตือนอีก 4 สิ่งก็น่ากลัว

ข้างต้นนี้คือข้อความที่ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์และถูกส่งเข้ามาสอบถามในระบบของ Cofact ซึ่งเมื่อลองนำไปสืบค้นก็พบว่ามีสำนักข่าวรวมถึงเว็บไซต์หลายแห่ง อ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 2568 โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA)

– งานวิจัยนั้นว่าอย่างไร? : ในวันที่ 25 มี.ค. 2568 เว็บไซต์ acs.org ของสมาคมเคมีอเมริกัน (American Chemical Society : ACS) สมาคมเก่าแก่ด้านวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ Chewing gum can shed microplastics into saliva, pilot study finds อ้างถึงผลการศึกษาของ สันชัย โมฮันตี (Sanjay Mohanty) หัวหน้านักวิจัยของโครงการและศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ของ UCLA และ ลิซ่า โลเว่ (Lisa Lowe) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ที่ร่วมกันค้นคว้าว่า จำนวนไมโครพลาสติกที่มนุษย์อาจได้รับจากการเคี้ยวหมากฝรั่งธรรมชาติและหมากฝรั่งสังเคราะห์นั้นมาก – น้อยเพียงใด

โลเว่ กล่าวว่า สมมติฐานเบื้องต้นของตนคือหมากฝรั่งสังเคราะห์จะมีไมโครพลาสติกมากกว่ามากเนื่องจากฐานเป็นพลาสติกประเภทหนึ่ง โดยหมากฝรั่งธรรมชาติจะใช้พอลิเมอร์จากพืช เช่น ยางไม้ หรือยางไม้ชนิดอื่นๆ เพื่อให้ได้ความเหนียวที่เหมาะสม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ใช้ส่วนผสมหลักที่ทำจากยางสังเคราะห์จากพอลิเมอร์ที่ผลิตจากปิโตรเลียม ดังนั้นวิธีการวิจัยจึงใช้หมากฝรั่งสังเคราะห์ 5 ยี่ห้อ และหมากฝรั่งธรรมชาติ 5 ยี่ห้อ ซึ่งทั้งหมดมีวางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด 

ขณะที่ โมฮันตี อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อลดปัจจัยมนุษย์จากรูปแบบการเคี้ยวและน้ำลายที่หลากหลาย จึงให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง 1 คนเคี้ยวหมากฝรั่งแต่ละยี่ห้อ ยี่ห้อละ 7 ชิ้น ผู้เข้าร่วมการทดลองเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลา 4 นาที โดยเก็บตัวอย่างน้ำลายทุกๆ 30 วินาที จากนั้นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันเป็นตัวอย่างเดียว 

และยังมีการทดลองอีกแบบหนึ่ง มีการเก็บตัวอย่างน้ำลายเป็นระยะๆ เป็นเวลา 20 นาที เพื่อดูอัตราการปล่อยไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่งแต่ละชิ้น จากนั้นนักวิจัยได้วัดจำนวนไมโครพลาสติกในน้ำลายแต่ละตัวอย่าง อนุภาคพลาสติกจะถูกย้อมเป็นสีแดงและนับจำนวนด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Fourier-transform infrared spectroscopy ที่ตรวจหาสารเคมีจากการที่มันดูดซึมหรือคายรังสีอินฟราเรด ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของพอลิเมอร์ด้วย

โลเว่วัดปริมาณไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาโดยเฉลี่ย 100 ชิ้นต่อหมากฝรั่ง 1 กรัม แม้ว่าหมากฝรั่งบางชิ้นจะปล่อยไมโครพลาสติกออกมามากถึง 600 ชิ้นต่อกรัม หมากฝรั่งโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักระหว่าง 2 ถึง 6 กรัม ซึ่งหมายความว่าหมากฝรั่งชิ้นใหญ่สามารถปล่อยอนุภาคพลาสติกออกมาได้มากถึง 3,000 ชิ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงประเมินว่า หากคนทั่วไปเคี้ยวหมากฝรั่งแท่งเล็ก 160 – 180 ชิ้นต่อปี อาจส่งผลให้มีไมโครพลาสติกที่กินเข้าไปประมาณ 30,000 ชิ้น หากคนทั่วไปบริโภคไมโครพลาสติกหลายหมื่นชิ้นต่อปี การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจเพิ่มปริมาณไมโครพลาสติกที่กินเข้าไปได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตจากการทดลองนี้ว่า น่าแปลกที่หมากฝรั่งทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติมีไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาในปริมาณที่ใกล้เคียงกันเมื่อเคี้ยว และหมากฝรั่งทั้งสองชนิดนี้ยังมีพอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน ได้แก่ โพลีโอเลฟิน โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต โพลีอะคริลาไมด์ และโพลีสไตรีน พอลิเมอร์ที่พบมากที่สุดในหมากฝรั่งทั้งสองประเภทคือโพลีโอเลฟิน ซึ่งเป็นกลุ่มพลาสติกที่ประกอบด้วยโพลีเอทิลีนและโพลีโพรพิลีน

ไมโครพลาสติกส่วนใหญ่หลุดออกจากหมากฝรั่งภายใน 2 นาทีแรกหลังการเคี้ยว แต่โมฮันตีกล่าวว่าไมโครพลาสติกไม่ได้หลุดออกมาเพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยสลาย แต่การเคี้ยวนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนมากพอที่จะทำให้ชิ้นส่วนหลุดลอกออกไป และหลังจากเคี้ยวไป นาที อนุภาคพลาสติกที่เก็บรวบรวมได้ระหว่างการทดสอบถึงร้อยละ 94 ถูกปล่อยออกมา ดังนั้น โลเว่จึงแนะนำว่า หากต้องการลดความเสี่ยงในการสัมผัสไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่ง ก็ให้เคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นเดิมนั้นให้นานขึ้นหนึ่งชิ้นแทนการรีบหยิบหมากฝรั่งชิ้นใหม่มาเคี้ยว (they chew one piece longer instead of popping in a new one.) 

ถึงกระนั้น โมฮันตี ก็ย้ำว่า เป้าหมายของ การวิจัยนี้ไม่ใช่การทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อเราหรือไม่ ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์ แต่รับรู้ว่าเราสัมผัสกับพลาสติกในชีวิตประจำวัน และนั่นคือสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ โดยการศึกษาในสัตว์ทดลองและการศึกษาในเซลล์มนุษย์แสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกอาจก่อให้เกิดอันตราย ดังนั้น ในขณะที่เรารอคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากชุมชนวิทยาศาสตร์ บุคคลทั่วไปสามารถดำเนินการเพื่อลดการสัมผัสไมโครพลาสติกได้

นักวิจัยยังกล่าวด้วยว่า การศึกษานี้จำกัดอยู่แค่การระบุไมโครพลาสติกที่มีความกว้าง 20 ไมโครเมตรหรือใหญ่กว่า เนื่องจากเครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ ซึ่งโมฮันตี กล่าวว่า มีแนวโน้มว่าไม่พบอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กกว่าในน้ำลาย และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการปล่อยพลาสติกขนาดนาโนจากหมากฝรั่ง

พลาสติกที่หลุดออกมาในน้ำลายเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของพลาสติกที่อยู่ในหมากฝรั่ง ดังนั้น โปรดใส่ใจสิ่งแวดล้อม และอย่าทิ้งมันออกไปข้างนอกหรือติดไว้บนผนังหมากฝรั่ง หากไม่ทิ้งหมากฝรั่งที่ใช้แล้วอย่างถูกต้อง หมากฝรั่งที่ใช้แล้วก็จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งมลพิษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โมฮันตี ให้บทสรุปของการวิจัยครั้งนี้ 

ข้อมูลจาก acs.org ยังระบุด้วยว่า งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก UCLA และโครงการ Maximizing Access to Research Careers ของมหาวิทยาลัยฮาวาย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสภาคุ้มครองแคลิฟอร์เนีย (California Protection Council) และวิธีการทดลองของงานวิจัยนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการตรวจสอบภายในของ UCLA  

ประมาณเกือบ 1 เดือนให้หลัง เว็บไซต์ newsroom.ucla.edu ช่องทางประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เผยแพร่ข่าว Bursting your bubble: Chewing gum releases microplastics into your saliva, UCLA research shows ในวันที่ 22 เม.ย. 2568 กล่าวถึงงานวิจัยข้างต้นของสันชัย โมฮันตี และ ลิซ่า โลเว่  ด้วยเช่นกัน

– ไมโครพลาสติกคืออะไร? : ข้อมูลจาก กรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า ไมโครพลาสติก (Microplastics) คือ อนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร มักเกิดจากการย่อยสลายหรือแตกหักของขยะพลาสติกขนาดใหญ่ หรือเกิดจากพลาสติกที่มีการสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ส่วนใหญ่มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี หรือบางครั้งมีรูปร่างไม่แน่นอน

1. Primary microplastics เป็นพลาสติกที่ถูกผลิตให้มีขนาดเล็กมาตั้งแต่ต้น เพื่อการใช้ประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น เม็ดพลาสติกที่นำมาใช้เป็นวัสดุตั้งต้นของการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก (Plastic pellet) เม็ดพลาสติกที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เครื่องสำอาง หรือยาสีฟัน (Plastic scrub) ซึ่งมักเรียกกันว่า ไมโครบีดส์ (Microbeads) หรือเม็ดสครับ ไมโครพลาสติกประเภทนี้สามารถแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลจากการทิ้งของเสียโดยตรงจากบ้านเรือนสู่แหล่งน้ำและไหลลงสู่ทะเล

2. Secondary microplastics เป็นพลาสติกที่เกิดจากพลาสติกที่มีขนาดใหญ่ หรือไมโครพลาสติก (Macroplastic) ซึ่งสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานานเกิดการย่อยสลายหรือแตกหัก โดยกระบวนการย่อยสลายพลาสติกขนาดใหญ่ให้กลายเป็นพลาสติกขนาดเล็กนี้สามารถเกิดได้ทั้งกระบวนการย่อยสลายที่เกิดจากแรงกระทำ(Mechanical degradation) 

กระบวนการย่อยสลายทางเคมี (Chemical degradation) กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ (Biological degradation) และกระบวนการย่อยสลายด้วยแสงอาทิตย์ ((UV degradation) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้สารแต่งเติมในพลาสติกหลุดออก ส่งผลให้โครงสร้างของพลาสติกเกิดการแตกตัวจนมีขนาดเล็ก กลายเป็นสารแขวนลอยปะปนอยู่ในแม่น้ำและทะเล

– ข้อกังวลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ :  ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า ปัจจุบันไมโครพลาสติกกลายเป็นปัญหามลพิษทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั่วโลก เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ทำให้ยากต่อการเก็บและการกำจัด รวมถึงมีคุณสมบัติที่คงสภาพ ย่อยสลายได้ยาก เมื่อมีการระบายน้ำที่ผ่านการบำบัดน้ำเสียลงสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อน แพร่กระจาย สะสม และตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ง่าย โดยการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมทางทะเลพบได้ทั้งในน้ำ และตะกอนดิน 

หากสิ่งมีชีวิตในทะเลกินเอาไมโครพลาสติกเข้าไป ทำให้เกิดการสะสมในห่วงโซ่อาหาร (Food chain) และสามารถถ่ายทอดไปตามลำดับขั้นของการบริโภคอาหารในระบบนิเวศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีรายงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อร่างกายในสัตว์ที่กินเม็ดไมโครพลาสติกเข้าไป เช่น การทำลายเนื้อเยื่อหลอดเลือด และมีผลกระทบต่อระบบหัวใจ อีกทั้ง ยังมีรายงานเกี่ยวกับสารที่เป็นองค์ประกอบและพบการปนเปื้อนอยู่ในไมโครพลาสติกมักเป็นสารพวกโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs) ดีดีที (DDT) และไดออกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานไมโครพลาสติกก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ จากการได้รับผ่านทางห่วงโซ่อาหาร ซึ่งนักวิจัยทั่วโลกกำลังศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการสะสมของสารพิษ และการถ่ายทอดของสารปนเปื้อนในไมโครพลาสติกสู่มนุษย์ รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องในอนาคต และจากผลกระทบข้างต้น วิธีการหนึ่งที่ทุกคนสามารถช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกไม่ให้แพร่กระจายในสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ คือ การสร้างจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันให้น้อยลง

ในวันที่ 23 ก.พ. 2568 พ.ญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ไมโครพลาสติก(MPs) เป็นผลมาจากการใช้พลาสติก จากผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติก หรือมีส่วนประกอบของพลาสติก ซึ่งได้แฝงตัวอยู่รอบตัว และพบได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว นั้น จากรายงานวิจัยของไทย พบว่า น้ำนมแม่จะตรวจพบไมโครพลาสติกจากห้องทดลอง แต่ยังน้อยกว่าการดื่มนมจากขวด ที่ผ่านความร้อนสูงจากการทำความสะอาดขวดนมและวิธีการเตรียมนม ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ทำให้แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีความกังวลว่าไมโครพลาสติกอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อของทารก แต่ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวและปริมาณที่ได้รับและก่อให้เกิดอันตรายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย

ไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการรับประทาน การสัมผัสเพราะมันสามารถปนอยู่ในอาหาร น้ำดื่ม เครื่องสำอาง  การใช้พลาสติกที่ทำให้เกิดไมโครพลาสติก จะละลายอยู่ในน้ำหรืออาจจะปนอยู่กับบรรจุภัณฑ์สำหรับเลี้ยงลูกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน หรือมีคุณภาพดีพอ รวมถึงมลพิษทางอากาศจากการสูดดมเข้าไป หรือปนผ่านเครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ 

นอกจากนี้ แม่ที่อยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แม่ที่อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม ปศุสัตว์หนาแน่น ซึ่งอาจจะมีไมโครพลาสติกปะปนได้สูง หากไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายแม่แล้ว อาจมีโอกาสที่จะเข้าสู่กระแสเลือด หรือเนื้อเยื่อต่างๆ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบข้อมูลชัดเจนว่าไมโครพลาสติกพบในนมแม่ได้อย่างไร หรืออาจเกิดจากการที่ไมโครพลาสติกปนอยู่ในภาชนะเก็บน้ำนมที่ให้เด็กกิน จึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกสามารถขับออกจากร่างกายได้ผ่านปัสสาวะ และเหงื่อได้” 

เว็บไซต์ newsroom.heart.org ของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา รายงานข่าว Living near an ocean polluted by microplastics may increase cardiometabolic disease risk อ้างผลการศึกษาของ ซาร์จู กานาตรา (Sarju Ganatra) ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ด้านความยั่งยืน รองประธานฝ่ายวิจัยภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ลาเฮย์ ในเมืองเบอร์ลิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และประธานบริษัท Sustain Health Solutions ที่พบว่า การอาศัยอยู่ในเขตชายฝั่งของสหรัฐฯ ที่ติดกับน่านน้ำทะเลซึ่งมีปริมาณไมโครพลาสติกเข้มข้นสูงมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับระบบการเผาพลาญพลังงานของร่างกาย(Cardiometabolic Diseases) เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้มีข้อจำกัดหลายประการ ประการแรก ความสัมพันธ์กับไมโครพลาสติกเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลระดับเขตมากกว่าข้อมูลรายบุคคล การศึกษาประเภทนี้ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลกระทบระหว่างระดับไมโครพลาสติกในมหาสมุทรใกล้เคียง (วัดเฉพาะในน้ำเท่านั้น ไม่ได้วัดในปลาหรือพืช) กับการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับระบบการเผาพลาญพลังงานของร่างกายซึ่ง กานาตรา กล่าวว่า คณะผู้วิจัยไม่ได้วัดระดับพลาสติกในประชากรในเขตเหล่านี้ และเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าอนุภาคเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้อย่างไร ดังนั้นแม้ผลการวิจัยจะน่าสนใจ แต่ก็ควรเป็นข้อเรียกร้องให้มีการวิจัยเชิงลึกมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อสรุปผลที่ชัดเจน

บทสรุปของเรื่องนี้ : ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ข้อมูลเรื่องเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที จะได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น มาจากงานวิจัยที่มีอยู่จริง ซึ่งผู้วิจัยคาดหวังให้สังคมเกิดความตระหนักในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง กับ 2.ผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพยังไม่มีหลักฐานความเกี่ยวโยงที่ชัดเจนและเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเชิงลึกกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://cofact.org/article/2h2ysds5qmdgt

https://www.sanook.com/news/9813294/ เตือนช็อก 5 แหล่งซ่อนเร้น “ไมโครพลาสติก” แค่เคี้ยวหมากฝรั่งก็ “กลืน” ไปหลายพันชิ้น! (Sanook.com 9 ก.ค. 2568)

https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1187640 (คิดให้ดีก่อนเคี้ยว หมากฝรั่งดีหรือร้ายต่อสุขภาพของเรา? : กรุงเทพธุรกิจ 2 ก.ค. 2568)

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1172787 (‘หมากฝรั่ง’ มี ‘ไมโครพลาสติก’ เคี้ยวแต่ละที กลืนพลาสติกนับพัน : กรุงเทพธุรกิจ 26 มี.ค. 2568)

https://www.acs.org/pressroom/presspacs/2025/march/chewing-gum-can-shed-microplastics-into-saliva-pilot-study-finds.html (Chewing gum can shed microplastics into saliva, pilot study finds : ACS 25 มี.ค. 2568)

https://newsroom.ucla.edu/releases/bursting-your-bubble-chewing-gum-releases-microplastics-into-your-saliva-ucla-research-shows (Bursting your bubble: Chewing gum releases microplastics into your saliva, UCLA research shows : UCLA Newsroom 22 เม.ย. 2568))

http://otop.dss.go.th/index.php/knowledge/interesting-articles/273- (ไมโครพลาสติก (Microplastics) คืออะไร : ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินคเา OTOP กรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/250268/ (กรมอนามัย แจง ไมโครพลาสติกสามารถพบได้ ร่างกายขับออกได้เอง ชี้ พบในนมแม่น้อยมาก : กรมอนามัย 25 ก.พ. 2568)

https://newsroom.heart.org/news/living-near-an-ocean-polluted-by-microplastics-may-increase-cardiometabolic-disease-risk (Living near an ocean polluted by microplastics may increase cardiometabolic disease risk : haert.org 18 มิ.ย. 2568)

ภาพประกอบบทความ https://www.acs.org/pressroom/presspacs/2025/march/chewing-gum-can-shed-microplastics-into-saliva-pilot-study-finds.html


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 กรกฎาคม 2568

คนไทยติดเชื้อ HIV 6 แสนคน เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dfellz92j6en


ผลิตภัณฑ์ OlyLife THz Tera-P90 เครื่องนวดบำบัดอัจฉริยะ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3sc6921ikwku7#_=_


อายุไม่เกิน 26 ปี ฉีดวัคซีน HPV ฟรี!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


เชื้อวิบริโอแฝงตัวในหอยนางรมดิบ ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักทั่วไทย 19 – 24 กรกฎาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24rn3guii4728


อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ปิดการท่องเที่ยวและพักแรมประจำปี 1สค.-30กย.68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8uwa96o4x66q


ลาคลอดได้ 120 วัน สามีลาช่วยเลี้ยงลูกได้ 15 วัน นายจ้างต้องจ่ายเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vko1hgvsb3wt


เตือนภัยโรคบาดทะยัก เด็ก 8 ขวบป่วยหนักหลังฉีดวัคซีนไม่ครบ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


การที่เราดื่มชาเขียวมากเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25b2xcwifooj9


คู่รักสูงวัยถูกหลอกใน‘มาเลเซีย’ เดินทางไกลไปขึ้นกระเช้าที่ไม่มีอยู่จริง – พบแค่คลิปโปรโมทด้วย‘AI’…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hejjqmlfz290


ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า มีสารก่อมะเร็ง …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


แค่เคี้ยวหมาก ฝรั่ง 8 นาทีก็ “กลืน” ไมโคร พลาสติกหลาย พันชิ้น เตือนอีก 4 สิ่งก็น่ากลัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vzfqohgm27zk


คลิปชุมนุมเรื่องที่ดินในเชียงใหม่ ถูกนำไปอ้างเท็จว่าเป็นม็อบ “ต่อต้านมิน อ่อง หล่าย” และ “ขับไล่ฮุน เซน”

คลิปการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดินใน จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ถูกนำมาใช้สร้างเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับ 3 เหตุการณ์ ใน 3 ประเทศ ตั้งแต่การชุมนุมต่อต้านพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ถึงการชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สะท้อนวิธีสร้างข่าวลวงด้วยการนำภาพเหตุการณ์จริงเพียงหนึ่งเหตุการณ์มาใส่คำบรรยายเท็จเพื่อสร้างเรื่องหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันที่ 24 มี.ค.-1 เม.ย. 2568 ประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินซึ่งรวมตัวกันในนาม “สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า” และ “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ” ได้ปักหลักชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับที่ดินทำกินของชาวบ้านและให้ยอมรับสิทธิชุมชนคนอยู่กับป่า

ระหว่างการชุมนุมได้มีการเผยแพร่ภาพกิจกรรมของผู้ชุมนุมออกมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่อมาคลิปการชุมนุมของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าได้ถูกนำมาใส่คำบรรยายบิดเบือนโดยผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งในเมียนมา ไทย และกัมพูชา ในช่วงที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

โคแฟครวบรวมโพสต์เท็จจากโซเชียลมีเดียในสามประเทศ ได้แก่ เมียนมา ไทย และกัมพูชา ซึ่งนำเอาคลิปการชุมนุมเรียกร้องสิทธิที่ดินใน จ.เชียงใหม่ มาแชร์ในบริบทที่เป็นเท็จสามกรณี ดังนี้

1. คนไทยชุมนุมต่อต้านมิน อ่อง หล่าย?

ผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวเมียนมาโพสต์วิดีโอในวันที่ 4 เม.ย. 2568 โดยมีข้อความบรรยายว่า “ชาวไทยเดินขบวนชุมนุมมุ่งหน้าไปยังอาคารรัฐสภาเพื่อต่อต้านการมาเยือนของมิน อ่อง หล่าย…3 เม.ย. 68” วิดีโอนี้มียอดรับชมมากกว่า 280,000 ครั้ง ถูกแชร์มากกว่า 1,700 ครั้ง และมีผู้ใช้งานชาวเมียนมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่เชื่อว่าเป็นการชุมนุมขับไล่ผู้นำเผด็จการเมียนมาจริงเป็นจำนวนมากใต้โพสต์ เช่น “ผู้นำของเราคงคิดว่าคนไทยมารวมตัวกันสนับสนุนเขา” “ได้โปรดระวังตัวด้วย” และ “อยากรู้ว่านายกฯ ไทยเชิญเขามาทำไม”

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาพม่า

วิดีโอนี้เริ่มถูกแชร์ในโพสต์ภาษาพม่าจำนวนมากในช่วงที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำเผด็จการทหารแห่งเมียนมา เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจหรือบิมสเทค (BIMSTEC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-4 เม.ย. 68

การมาเยือนของมิน อ่อง หล่าย ทำให้ไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาสังคมในฐานะประธานการประชุม BIMSTEC ครั้งที่ 6 องค์กรภาคประชาสังคมในไทย เมียนมา และนานาชาติ 319 องค์กร ร่วมกันยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการเชิญผู้นำคณะรัฐประหารของเมียนมาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว แต่ไม่เป็นผล

โคแฟคตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือค้นหาภาพแบบย้อนหลังในกูเกิล (Google reverse image search) โดยแยกเฟรมภาพจากวิดีโอออกมาตรวจสอบ ร่วมกับการค้นหาคำสำคัญ (keywords) พบวิดีโอลักษณะเดียวกันถูกโพสต์บนบัญชีติ๊กตอกของผู้ใช้งานชาวไทยเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2568 โดยคำบรรยายโพสต์ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นเหตุการณ์ “การประท้วงสิทธิที่ดินในเชียงใหม่”

สำนักข่าวไทยพีบีเอสภาคเหนือรายงานการชุมนุมในวันที่ 29 มี.ค. 2568 ว่า “กลุ่มมวลชน สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ยังคงชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เป็นวันที่ 6 เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายป่าอนุรักษ์ละเมิดสิทธิชุมชน” โดยภาพจากโพสต์ข่าวดังกล่าวแสดงผู้ชุมนุมที่มีลักษณะตรงกันกับชายในวิดีโอของโพสต์เท็จภาษาพม่า

การเปรียบเทียบภาพจากวิดีโอในโพสต์เท็จซึ่งแสดงผู้ชุมนุมที่มีลักษณะตรงกันกับภาพข่าวการชุมนุมวันที่ 29 มี.ค. 2568 ของสำนักข่าวไทยพีบีเอส

2. ผู้ใช้ติ๊กตอกกัมพูชาอ้างเกิดเหตุวุ่นวายในไทย

ผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวกัมพูชาซึ่งมักเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับสังคมและการเมืองโพสต์วิดีโอฝังข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า “ประเทศไทย (รูปธงชาติไทย) ปัญหา” ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 ทำให้ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เข้าใจผิดและนำไปเผยแพร่ต่อว่ามีการชุมนุมในไทยในวันดังกล่าว โดยวิดีโอความยาว 14 วินาทีนี้มียอดรับชมมากกว่า 788,000 ครั้ง และถูกแชร์ต่อมากกว่า 1,400 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เช่นเดียวกัน

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาเขมร

3. ชาวกัมพูชาชุมนุมขับไล่ฮุน เซน?

ทางด้านผู้ใช้งานติ๊กตอกชาวไทยนำวิดีโอในโพสต์ของชาวกัมพูชาข้างต้นมาใส่ข้อความเพิ่มเติมว่า “ฮุนเซ็นออกไป (ประชาชนประท้วงแล้ว)” และเผยแพร่ในวันที่ 19 มิ.ย. 2568 พร้อมแฮชแท็ก “ประท้วงกัมพูชา” “ข่าวกัมพูชาวันนี้” “ประชาชนลุกฮือ” และ “ต้านรัฐบาลเขมร” วิดีโอนี้มียอดรับชมมากกว่า 177,000 ครั้ง ถูกแชร์ต่อมากกว่าร้อยครั้ง และมีผู้ใช้งานชาวไทยแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่เชื่อว่าเกิดการชุมนุมขับไล่อดีตผู้นำกัมพูชาจริง

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จภาษาไทย

วิดีโอนี้เริ่มถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นการชุมนุมที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาทั้งในโพสต์ภาษาไทยและกัมพูชาหลังจากทหารไทยและกัมพูชาปะทะกันบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย และนำไปสู่มาตรการโต้ตอบระหว่างไทยกับกัมพูชา เช่น การกระชับเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดนและนโยบายการห้ามนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอที่ถูกนำมาประกอบโพสต์เท็จในข้อ 2 และ 3 ถูกเผยแพร่ทางยูทูบมาตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 2568 คำบรรยายวิดีโอระบุว่า “เชียงใหม่ระอุ!! กลุ่มชาติพันธุ์นับหมื่นประท้วง” (ลิงก์บันทึก)

ภาพถ่ายหน้าจอของวิดีโอยูทูบวันที่ 7 เม.ย. 2568

เมื่อค้นหาเพิ่มเติมจึงพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพการชุมนุมของเครือข่ายชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายป่าอนุรักษ์ และได้มาชุมนุมเรียกร้องสิทธิในที่ดิน ร่วมกับสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือเมื่อวันที่ 24 มี.ค.-1 เม.ย. 2568 (ลิงก์บันทึก

ปรากฏการณ์ “1 คลิปจริง 3 โพสต์เท็จ” นี้ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งภายในและระหว่างประเทศ มักมีผู้นำคลิปเหตุการณ์ในอดีตหรือเหตุการณ์อื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องมาบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งอาจเป็นไปเพื่อสร้างรายได้จากยอดการเข้าชม เพื่อสร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม หรือสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายของตัวเอง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า กับสารก่อมะเร็ง ความจริงที่คนรักทุเรียนต้องรู้

ประเด็นสุขภาพ

ขอบคุณที่มา ubonconnect

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ตอนที่ 8 ได้นำเสนอประเด็นที่กำลังถูกแชร์อย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์เกี่ยวกับ “ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้ามีสารก่อมะเร็ง” โดยมีคุณสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ COFACT, คุณณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคุณZaaQ คนเช็กข่าว เพื่อขุดคุ้ยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความปลอดภัยของทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าและข้อควรระวังในการบริโภคทุเรียน

คุณสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงที่มาของข่าวลือเกี่ยวกับทุเรียนแกะเปลือกนำเข้า เธอชี้ว่าแม้ทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม แต่ข่าวลือเหล่านี้สร้างความกังวลให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างทุเรียนในประเทศและนำเข้า เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจและระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว

คุณ ZaaQ คนเช็กข่าว เผยว่าเจอโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ที่เตือนเกี่ยวกับทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าจากเวียดนาม โดยอ้างว่ามีสารก่อมะเร็งและไม่ผ่านมาตรฐานการส่งออกไปจีน เขาตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ และขอให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเพียงข่าวลือที่ถูกขยายความ

คุณณัฐฐศรัณฐ์ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ อธิบายว่าจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าบางส่วน โดยเฉพาะมีการตรวจพบสารที่อาจก่อมะเร็งจริง โดยเฉพาะสารย้อมสี Basic Yellow 2 ซึ่งใช้ย้อมเปลือกทุเรียนให้ดูสวยงามตามรสนิยมของผู้บริโภคในจีน เช่น เปลือกสีเหลืองทองสำหรับทุเรียนหมอนทอง หรือสีเขียวในบางพื้นที่ สารนี้สามารถซึมผ่านเปลือกเข้าสู่เนื้อทุเรียนได้ และถูกจัดเป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง เนื่องจากจีนห้ามใช้สารนี้ในอาหารนอกจากนี้ ยังพบโลหะหนักอย่างแคดเมียม ซึ่งเคยก่อปัญหาสุขภาพในญี่ปุ่นมาแล้ว โดยพบในดิน น้ำหรือปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกทุเรียน คุณณัฐฐศรัณฐ์ระบุว่าทุเรียนที่ไม่ผ่านมาตรฐานการส่งออกไปจีนอาจถูกตีกลับและลักลอบนำเข้ามาขายในไทย ซึ่งอาจไม่ผ่านการตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้บริโภคต้องระวังทุเรียนนำเข้าที่อาจไม่ผ่านมาตรฐานแต่ทุเรียนในประเทศที่เราทราบแหล่งที่มาชัดเจน ไม่พบว่ามีปัญหานี้แต่อย่างใด

สำหรับข้อควรระวังในการบริโภคทุเรียน คุณณัฐฐศรัณฐ์กล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานและน้ำตาลสูงมาก โดยทุเรียน 100 กรัมให้พลังงาน120-200 กิโลแคลอรี เทียบเท่าข้าว 2 ทัพพี จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีไขมันสูง แม้จะเป็นไขมันดี แต่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดต้องระวังการบริโภคในปริมาณมาก ผู้ป่วยโรคไตก็ควรจำกัดการบริโภคเนื่องจากทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของไต สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การกินทุเรียนมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อเบาหวานขณะตั้งครรภ์นอกจากนี้ การกินทุเรียนพร้อมแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ต้องห้ามเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและอุณหภูมิร่างกายสูงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

คุณณัฐศรัณย์แนะนำว่า การกินทุเรียนควรควบคู่กับผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น มังคุด เพื่อลดอาการร้อนในซึ่งได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าได้ผล เขายังเตือนว่า การบริโภคข้าวเหนียวทุเรียนจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลและไขมันจากกะทิและข้าวเหนียว ทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าการกินทุเรียนเปล่า ๆ

สำหรับวิธีสังเกตทุเรียนที่อาจมีสารตกค้าง คุณณัฐฐศรัณฐ์ แนะนำว่าผู้บริโภคควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ทุเรียนจากจันทบุรี ระยอง หรือภาคใต้ของไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคทุเรียนที่อาจมีสารตกค้าง

จากข้อมูลในรายการ ทุเรียนแกะเปลือกนำเข้าจากบางประเทศ อาจมีสารตกค้าง เช่น สารย้อมสี Basic Yellow 2 และโลหะหนักแคดเมียม ซึ่งอาจก่อมะเร็งได้หากสะสมในร่างกายในปริมาณมาก โดยเฉพาะทุเรียนที่ไม่ผ่านมาตรฐานส่งออกและถูกนำเข้ามาขายในไทยโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอย่างไรก็ตาม ทุเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ยังถือว่าปลอดภัยหากบริโภคด้วยความระมัดระวัง ผู้บริโภคควรจำกัดปริมาณการกินโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคไต และหลีกเลี่ยงการบริโภคทุเรียนพร้อมแอลกอฮอล์หรือของหวานที่มีน้ำตาลสูง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว การเลือกซื้อทุเรียนจากแหล่งที่เชื่อถือได้และการบริโภคอย่างพอเหมาะจะช่วยให้คนรักทุเรียนสามารถเพลิดเพลินกับผลไม้ยอดนิยมนี้ได้อย่างปลอดภัย


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2568

ครม. ไฟเขียว! เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เริ่มจ่ายอัตราใหม่ 1 ต.ค. 2568…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jpdjqc0oqln7


ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 , 39 ที่ใช้สิทธิโรงพยาบาลยะลา อายุ 50 ปีขึ้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zf4vxddc7lbe


หากถูกเห็บกัด มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากไวรัสโพวาสซานได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


สหรัฐฯ แจ้งภาษีนำเข้าจากไทยยังคงเป็นอัตราเดิม 36%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vzfqohgm27zk


มอเตอร์เวย์ M81 (บางใหญ่-กาญจนบุรี) เปิดให้ใช้ฟรีช่วงวันหยุดยาว 10–14 ก.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qg53xxt4jvll


เพิ่มเงินชดเชยการว่างงานจากการถูกเลิกจ้าง ร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายวัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zf4vxddc7lbe


ตัวเงินตัวทองเพาะพันธุ์ได้ ต้องได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ks7qlgdmfbp


อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของซิงค์สามารถลดสิวได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37nvpvcpoy25t


3 มหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมหนุนตรวจสอบข้อมูลลวงในวันพูดความจริง 

กิจกรรม

7 ก.ค. 2568 รายการ รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค ในครั้งนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท จาก Ubon Connect ชวนพูดคุยในประเด็น ความจริงร่วม จาก 3 ภูมิภาค : ความจริงช่วยสร้างสันติภาพหรือความขัดแย้งกันแน่ แต่ความลวงนั่นทำร้ายสังคมแน่แท้เนื่องในวาระวันพูดความจริงโลก วันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี 

รายการครั้งนี้เริ่มจากการแสดงธรรมโดย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเทศ ราชวรมหาวิหารประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. IBHAP Foundation ซึ่งท่านได้กล่าวว่า เนื่องในโอกาส วันอาสาฬหบูชา ที่เวียนมาถึงในปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ก.ค. 2568 ย้อนไปในสมัยพุทธกาล วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร พูดถึงความจริงที่เรียกว่า อริยสัจ 4” อันประกอบด้วยทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค จึงเห็นได้ว่าความจริงเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ อย่างแม้กระทั่งในศาสนาพุทธ 

และหากมองให้ลึกลงไปในเนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็จะเห็นว่า “พระพุทธเจ้าได้อธิบายให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความจริงกับการปฏิบัติ” เช่น ก่อนจะกล่าวถึงทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ท่านก็ยกตัวอย่างทางที่สุดโต่ง 2 ด้าน ฝั่งหนึ่งคือการปรนเปรอตนเองด้วยความสุขมากเกินไป กับอีกฝั่งคือการทรมานตนเองมากเกินไป ก่อนจะสรุปที่ทางสายกลางว่ามรรคมีองค์

อนึ่ง แม้ความจริงจะมีเพียงหนึ่งเดียว..แต่ความจริงก็อาจมองได้หลายมิติ ดังจะเห็นเรื่องราวการทำสงครามกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ – Information Operation) การปล่อยข้อมูลเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำร้ายทำลายกัน เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศลงมาจนถึงการต่อสู้กันของกลุ่มหรือพรรคที่มีความเห็นต่าง 

ดังนั้นแล้วจึงอยากชวนมองใน 2 อย่าง คือ 1.ตรวจสอบก่อนว่าเรื่องที่รับรู้ว่าเป็นข้อเท็จจริง (Fact) หรือไม่ อย่างที่ทางภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รณรงค์ว่า “Everyone is a Fact Checker” ทุกคนก่อนจะเชื่ออะไรต้องตรวจสอบเสียก่อน กับ 2.ท่าทีต่อความจริง ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะแม้จะตรวจสอบจนแน่ใจว่าเรื่องที่รู้มานั้นจริง เราก็ยังมีท่าทีที่จะเลือกปฏิบัติกับเรื่องนั้นๆ ได้ด้วยว่าจะเลือกอย่างไร 

ซึ่งเรื่องนี้ขอยกหลักคิดของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ที่แนะนำว่า ท่าทีต่อมนุษย์ให้ใช้เมตตา..ท่าทีต่อสัจธรรมให้ใช้ปัญญา” หมายถึงในแง่สัจธรรมควรไปให้สุดว่าเป็นความจริงหรือไม่ด้วยปัญญาความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ ปญฺญายตฺถํ วิปสฺสติ ที่หมายถึงการพิจารณาให้ถึงต้นกำเนิดของธรรมหรือปรากฏการณ์นั้นว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร แล้วจะได้เห็นเนื้อความด้วยปัญญา

แต่เมื่อรู้ความจริงนั้นแล้ว การมีท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์เราใช้เมตตา หมายความว่า เช่น บางคน บางกลุ่ม บางสังคม เขาอาจทำเรื่องนี้ไปแล้วเรามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่โอเค แต่ถ้าเรามองด้วยเมตตา เราอาจจะเห็นว่าเบื้องหลังความจริงที่ว่าคนคนนี้หรือกลุ่มนี้ทำเรื่องไม่ดีนี้มันมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะเห็นว่าบางทีเราเองอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยุติความขัดแย้งหรือยุติสงคราม คือสร้างสันติภาพหรือความสงบสุขขึ้นมาก็ได้

เช่น เราพูดกันบ่อยๆ เวลาเด็กทำอะไรไม่ดี หรือผู้ใหญ่ที่มีเงื่อนไขอะไรบางอย่างแล้วทำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะโจมตีแต่ปีศาจที่เราเห็น โดยลืมไปว่าบางครั้งสื่อมวลชน ครูบาอาจารย์ในโรงเรียน พระหรือสถาบันศาสนา บางทีล้วนมีส่วนในการที่ทำให้ปีศาจตนนั้นเกิดขึ้นมา บางทีการที่เราทำหรือไม่ทำอะไรล้วนมีส่วนที่ทำให้ภาวะนั้นๆ ที่มันไม่ดีในตัวบุคคลมันเกิดขึ้นและเติบโต ในมุมแบบนี้เราอาจต้องมองด้วยเมตตาว่าเราจะมีส่วนช่วยยุติความไม่ดีงามนั้นได้อย่างไร พระมหานภันต์ กล่าว

พระมหานภันต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องเลือกใช้หลักให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ภายในครอบครัว การเถียงไปให้ถึงที่สุดว่าใครผิด – ใครถูก อาจนำไปสู่ความแตกแยกของครอบครัว ลักษณะนี้อาจไม่จำเป็นที่ต้องต่อสู้กันเพื่อความจริง เพราะแต่ละคนก็จะถือชุดความจริงของตนเอง พ่อแม่ญาติพี่น้องทะเลาะกันมีแต่เสียครอบครัวแล้วจะทำไปเพื่ออะไร ก็น่าจะใช้การประนีประนอมพักเรื่องความจริงไว้ก่อนก็ได้ แต่หากเป็นกรณีที่หากปล่อยไว้ไม่ค้นหาความจริงก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์นำความเสียหายมาแบบไม่สิ้นสุด เช่น เรื่องทุจริตต่างๆ ก็ต้องหาความจริงให้ถึงต้นตอเพื่อนำไปสู่การแก้ไข

จากนั้นเป็นการเสวนาโดยวิทยากร 3 ท่าน โดย อังคณา พรมรักษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เล่าถึงกิจกรรม Workshop เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 ก.ค. 2568 ชวนนิสิตพูดคุยเรื่องสถานการณ์ความไม่จริงที่เคยพบเห็น เช่น ประสบการณ์ถูกหลอกโดยมิจฉาชีพรูปแบบต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพบว่านิสิตมีต้นทุนทักษะชีวิตอยู่พอสมควร เจออะไรแปลกๆ ก็จะสงสัยไว้ก่อน 

โดยหนึ่งในกลอุบายที่พบบ่อยๆ คือการหลอกให้ลงทุนโดยต้องจ่ายเงินก่อน แต่จำนวนเงินที่ให้จ่ายนั้นยังไม่มาก ซึ่งก็มีทั้งคนที่คิดได้และคนที่ลืมตัวแล้วโอนไป พร้อมกับฉายภาพให้เห็นว่ากิจกรรมนี้ไมได้จัดกันแต่เฉพาะในมหาวิทยาลัยมหาสารคามแต่ดำเนินการทั่วประเทศและระดับนานาชาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นิสิตได้เห็นว่าการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริงมีความสำคัญอย่างไร

เราชวนเขามอง อย่างน้อยที่สุดเขาสวมหมวก 2 ใบ ใบแรกเขาเป็นประชาชนทั่วไป ใบที่ 2 คือเขาเป็นสื่อ การที่เขาสวมหมวก 2 ใบลักษณะนี้เขาต้องทำบทบาทหน้าที่ทั้งปกป้องตัวเอง ปกป้องคนใกล้ชิดในครอบครัว และในขณะเดียวกันเขาเป็นสื่อที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ฉะนั้นเราก็ชวนเขามามุมมองเหล่านี้แล้วหลังจากนั้นเราชวนเขาให้รู้จักกันเครื่องมือในการที่จะตรวจสอบข้อมูลต่างๆอังคณา กล่าว

ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(วิทยาเขตปัตตานี) กล่าวว่า ที่คณะวิทยาการสื่อสารมอ.ปัตตานี มีกิจกรรม Hackathon ตามล่าความจริงพิชิตข้อมูลลวง ชวนคนรุ่นใหม่เข้ามาฝึกการตรวจสอบข้อมูลเท็จ ซึ่งจากโจทย์ที่ตั้งไว้ก็จะทำให้นักศึกษาที่มาเข้าร่วมได้เห็นว่า หลายๆ เรื่องที่ได้รับรู้มา หากตั้งข้อสังเกตเสียหน่อยก็จะนำไปสู่การตรวจสอบได้ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมาก – น้อยเพียงใด 

โดยโจทย์ที่ตั้งไว้ก็จะมี 2 เรื่อง 1.การโฆษณาที่พบได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง ยาสีฟันช่วยลดฟันร่น เรื่องนี้น่าสนใจเพราะเป็นข้อมูลที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์แล้วมีคนเชื่อเป็นจำนวนมาก กับ 2.ความเชื่อ ตัวอย่างโจทย์ที่ยกมาคือ ขนแมวสามารถผ่านเข้าไปในปอดของคนเราได้ ซึ่งหลายๆ เรื่องที่เป็นความเชื่อก็เป็นการบอกเล่าต่อๆ กันมาโดยไม่มีการตรวจสอบ

ถ้าเราหยุดคิดแล้วเอ๊ะสักนิด เราก็จะพบว่าหลายๆ ข้อมูลเราปฏิบัติผิดมาตลอดเลยเพราะเรามีความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดแล้วก็ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลกัน อันนี้ก็จะเป็นโจทย์ที่พยายามจะให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้พยายามตั้งคำถามทั้งในสื่อ ในโฆษณา แล้วก็ในความเชื่อที่ผ่านเข้าสู่การรับรู้ของเราในชีวิตประจำวัน ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ กล่าว 

ผศ.ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เล่าว่า มรภ.อุตรดิตถ์ มีกิจกรรมวันพูดความจริงใน 3 รูปแบบ คือ 1.สำรวจสถานการณ์ว่าคนที่อยู่ใน จ.อุตรดิตถ์ เจอข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนเรื่องใดบ้าง ซึ่งข้อค้นพบก็ไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ คือเรื่องมิจฉาชีพมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ในขณะที่ประเด็นที่ค่อนข้างเฉพาะในพื้นที่คือเรื่องภัยพิบัติ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ เช่น น้ำท่วม หรือที่ อ.ลับแล เคยเกิดเหตุโคลนถล่ม ภัยพิบัติจึงเป็นประเด็นที่ชาว จ.อุตรดิตถ์ ค่อนข้างระแวดระวังเป็นพิเศษ อาทิ ฝนตกมากหน่อยก็เกิดข่าวลือกัน

โดยแบ่งเป็นการทำแบบสอบถามอย่างเร็ว (Quick Survey) และการลงพื้นที่สัมภาษณ์ประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ ปภ.จังหวัด สื่อมวลชนในท้องถิ่น ก่อนนำมาประมวลผลและตัดต่อเป็นรายงาน 2.เสวนาหัวข้อ คนอุตรดิตถ์แคร์ข่าวแท้ไม่แพ้ข่าวลวง เสวนาสืบสานตำนานเมืองลับแล ร่วมเช็คก่อนแชร์กับภาคีโคแฟค อาทิ เมื่อพบประเด็นร่วมกันในพื้นที่อย่างเรื่องภัยพิบัติ จึงเชิญผู้เกี่ยวข้อง เช่น ประธานมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ (กู้ภัย) สื่อมวลชนของรัฐ (สวท.อุตรดิตถ์) นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ตำรวจ และตัวแทนนักศึกษา

และ 3.ละครออนไลน์ หยิบยกตำนาน เมืองลับแล ที่มีการกล่าวถึง เขตห้ามพูดโกหก มาเล่าโดยสอดแทรกความรู้เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับ อนึ่ง ในหลักสูตรปกติจะมีวิชาที่เสริมสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลอยู่แล้ว เช่น วิชารู้เท่าทันสื่อ วิชาพลเมืองดิจิทัล ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากภาคีโคแฟคในการเข้ามาสอนการใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ

กระบวนการฝึกเด็กและเยาวชน รวมถึงการทำงานโดยมีส่วนร่วมและสร้างการรับรู้ให้กับทุกภาคส่วน ตอนนี้ในพื้นที่อุตรดิตถ์ก็ขยายการทำงานด้วยการชวนภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสร้างการรับรู้ว่าเมื่อคุณมีปัญหานอกจากจะใช้วิจารณญาณส่วนตัวและมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ เปรียบเทียบข้อมูลอะไรต่างๆ ตามที่ทุกคนรู้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เรามามีส่วนร่วมในการเป็นส่วนหนึ่งในการเช็คข้อมูลได้ ก็คือโคแฟคผศ.ดร.รดี กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ประทับใจที่เห็นบรรยากาศคึกคักกว่าที่คิดไว้ ซึ่งเข้าใจว่าทั้งอาจารย์และนิสิต-นักศึกษาต่างก็มีภาระเรื่องการเรียนการสอน เมื่อโคแฟคเข้าไปชวนมาทำงานเรื่องส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็รู้สึกเกรงใจว่าอาจเป็นภาระเพิ่ม แต่ก็มีข้อดีคือกิจกรรมนี้สามารถนำไปผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ อีกทั้งมีกิจกรรมที่หลากหลาย เหมือนเป็นโครงการทดลองที่จะดูว่าภาคีสามารถไปออกแบบงานได้เลย

“ก็ดีนะในแง่ของหลากหลาย ในแง่ของทุกคนได้แสดงศักยภาพ ก็น่าจะได้ทำงานกันต่อเนื่องและจะได้ขยายโอกาสไปในพื้นที่อื่นๆ ที่เราจะได้เห็นเด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ถูก อย่างปีที่แล้วเราจัดเสวนาอยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นได้เนื้อหาสาระ ได้คนร่วมที่ดีเป็นภาคีในกรุงเทพฯ แต่ว่าตอนนี้งานของโคแฟคได้ขยายภาคีในกรุงเทพฯ ก็เยอะพอสมควรแล้ว เลยคิดว่าเราน่าจะได้กระจายไปทำงานในภูมิภาคท้องถิ่นที่เข้มแข็งมากกว่าเดิม” สุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ Link นี้ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/2170566536794017 (ภายใน 30 วันนับจากวันถ่ายทอดสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

“เช็กข่าวลือแผ่นดินไหวและสึนามิอย่างไร ให้ได้ข้อมูลจริง?”

กิจกรรม

ขอบคุณที่มาข้อมูล ubonconnect

ในรายการ *COFACT สนทนา รวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2561  ได้หยิบยกประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักมีข่าวลือเกี่ยวกับภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิแพร่สะพัดในโลกโซเชียลมีเดีย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน รายการนี้จึงชวนผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนประชาชนมาร่วมถกประเด็น “เช็กข่าวลือแผ่นดินไหว, สึนามิอย่างไร ให้ได้ข่าวจริง?” เพื่อให้ความรู้และแนวทางในการรับมือกับข้อมูลเท็จ พร้อมสร้างความมั่นใจในระบบเตือนภัยของภาครัฐ

ผู้ร่วมสนทนา

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT

บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสึนามิ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา

นุช คนเช็กข่าว ตัวแทนประชาชน

สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ

ความกังวลจากข่าวลือและการทำนายภัยพิบัติ

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นด้วยการเล่าถึงความกังวลของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้เช่น จังหวัดกระบี่ ที่ญาติพี่น้องของเธอเองก็รู้สึกหวาดกลัวจากข่าวลือเรื่องสึนามิ ซึ่งมักถูกกระพือโดยการทำนายของหมอดูหรือข่าวลือในโซเชียลมีเดีย เป็นช่วงที่ต้องจับตาเรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิเธอชี้ว่า ความกลัวเหล่านี้เกิดจากทั้งข้อเท็จจริง เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต และความไม่รู้ที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ สุภิญญาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติและการตรวจสอบข้อมูล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการตื่นตัวและการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง

มุมมองจากประชาชน: ความท้าทายในการแยกแยะข่าวจริง-ข่าวลวง

นุช คนเช็กข่าว ในฐานะตัวแทนประชาชน เล่าถึงประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ติดตามข้อมูลภัยพิบัติผ่านกลุ่มไลน์และสื่อต่างๆ เธอระบุว่า ข่าวลือมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเรียกยอดวิวในโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนสับสนและไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือ นุชเสนอว่า ภาครัฐควรสื่อสารข้อมูลอย่างรวดเร็วและชัดเจนผ่านคลิปสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 3 นาที เพื่อให้ทันกับกระแสข่าวลือ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำนายจากหมอดูที่มักแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากหน่วยงานราชการ

ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ

บุรินทร์ เวชบรรเทิง ผู้เชี่ยวชาญจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา อธิบายว่า แผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก โดยเฉลี่ยมีแผ่นดินไหวระดับ 6 ขึ้นไปปีละประมาณ 100 ครั้ง และระดับ7 ซึ่งอาจสร้างความเสียหายได้ ปีละประมาณ 10 ครั้ง ส่วนสึนามิมักเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเล (มากกว่า 7.6) ที่มีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งของเปลือกโลก ทำให้เกิดการแทนที่น้ำในมหาสมุทรอย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหวระดับปานกลาง โดยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือขนาด 6.4 ที่จังหวัดเชียงรายในปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายไม่มากนัก

สำหรับสึนามิ บุรินทร์ชี้ว่า ประเทศไทยมีจุดเด่นคือมีชายฝั่งทั้งสองด้าน (อันดามันและอ่าวไทย) โดยฝั่งอ่าวไทยมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ส่วนฝั่งอันดามันมีความเสี่ยงมากกว่า แต่จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น การขุดพบตะกอนสึนามิโบราณ พบว่าสึนามิครั้งใหญ่ในแถบนี้มีวงจรการเกิดซ้ำทุก 600 ปี โดยครั้งล่าสุดเกิดในปี 2547 ทำให้โอกาสเกิดซ้ำในระยะใกล้นี้มีน้อย อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ 100%

ระบบเตือนภัยของภาครัฐ

บุรินทร์ยืนยันว่า กรมอุตุนิยมวิทยามีระบบเฝ้าระวังแผ่นดินไหวและสึนามิที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครื่องมือตรวจวัด เช่น ทุ่นลอยในมหาสมุทรและสถานีวัดระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำได้ทันที หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ขึ้นไปในทะเล ระบบจะแจ้งเตือนภายใน 10 นาที และคลื่นสึนามิใช้เวลาเดินทางถึงชายฝั่งประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ทำให้มีเวลาเพียงพอในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เขายังระบุว่า การเตือนภัยในประเทศไทยประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อมูลถึงประชาชนอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เซลล์บรอดแคสต์(Cell Broadcast) ซึ่งเริ่มทดลองใช้แล้วและประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงใหม่

การรับมือข่าวลือและการสื่อสารในยุคดิจิทัล

สุภิญญาและนุชเห็นพ้องว่า การสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ในอดีต (เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวปี 2555 ที่ภูเก็ต) การสื่อสารของภาครัฐล่าช้าและพึ่งพาสื่อทีวีเป็นหลัก แต่ปัจจุบันโซเชียลมีเดียทำให้ทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลได้ทันทีซึ่งนำไปสู่ปัญหาข้อมูลล้นเกินและข่าวลวง สุภิญญาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา และฝึกเป็นพื้นฐานด้วยการหยุดคิดก่อนแชร์ข้อมูล

บุรินทร์แนะนำเพิ่มเติมว่า หากได้รับข่าวลือเกี่ยวกับสึนามิ ควรถามตัวเองว่าแผ่นดินไหวเกิดในทะเลแถบอันดามันและมีขนาดเกิน 7.6 หรือไม่ และพื้นที่ที่อยู่อาศัยเคยถูกคลื่นสึนามิท่วมถึงหรือไม่

พร้อมย้ำว่า ช่องทางการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ (ค้นหาคำว่า “earthquake tmd” หรือ “กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว” )

รายการ *COFACT สนทนารวมพลคนเช็กข่าว* ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลือเกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิเป็นปัญหาที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนโดยเฉพาะเมื่อข้อมูลจากหมอดูหรือโซเชียลมีเดียแพร่กระจายเร็วกว่าข้อมูลจากภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง และสึนามิมีโอกาสเกิดซ้ำในรอบหลายร้อยปี อย่างไรก็ตาม ระบบเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์จริงประชาชนควรติดตามข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเช่น กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว และมีสติก่อนแชร์ข้อมูล เพื่อลดการแพร่กระจายของข่าวลวง

คำแนะนำสำหรับประชาชน

– ตรวจสอบข้อมูลจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย

– หยุดคิดก่อนแชร์ข่าวลือ โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวภัยพิบัติกำลังแพร่สะพัด

– หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ฝั่งอันดามัน ให้ทราบจุดอพยพที่ปลอดภัยและติดตามการซักซ้อมของหน่วยงานท้องถิ่น


ความจริงสร้างสันติภาพหรือจุดชนวนขัดแย้ง? Cofact Live Talk ชวนคนรุ่นใหม่ค้นหาคำตอบในวันพูดความจริง

กิจกรรม

วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เนื่องในวันพูดความจริง (Truth Day) Cofact ประเทศไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายจากสามภูมิภาค จัดงานเสวนา “Cofact Live Talk: ความจริงร่วมจาก 3 ภูมิภาค” ผ่านช่องทาง Facebook และ YouTube ของ Cofact รวมถึงอุบล Connect และเพจ IBHAP Foundation เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในยุคที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโซเชียลมีเดียที่ท้าทายการแยกแยะระหว่างความจริงและความลวง

งานนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา นำโดย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. (IBHAP Foundation) ซึ่งชวนผู้ฟังพิจารณาว่า “ความจริงช่วยสร้างสันติภาพหรือความขัดแย้งกันแน่ แต่ความลวงนั้นทำร้ายสังคมแน่แท้” ท่านนำเสนอมุมมองทางพุทธศาสนา โดยอ้างถึงอริยสัจ 4 และมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ว่า ความจริงมีหลายระดับและมิติ การรับมือต้องใช้ปัญญาในการตรวจสอบและเมตตาในการปฏิบัติต่อผู้อื่น พร้อมแนะแนวคิดจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ว่า “ต่อสัจธรรมใช้ปัญญามนุษย์ใช้เมตตา” เพื่อสร้างสันติภาพในสังคม

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact ประเทศไทย กล่าวถึงที่มาของวันพูดความจริงว่า เป็นโอกาสรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงอันตรายของข้อมูลบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะเมื่อความจริงบางอย่างกลายเป็น “ความจริงที่ไม่สะดวก” (Inconvenient Truth) ที่คนไม่อยากยอมรับ เธอยกตัวอย่างกรณีข่าวลวงด้านสุขภาพและการเมืองที่แชร์กันในโซเชียลมีเดีย พร้อมชี้ว่า Cofact มุ่งส่งเสริมให้ทุกคนเป็น “Fact Checker” เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อและแชร์

ผศ.ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จากภาคเหนือ ร่วมนำเสนอกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งถูกมองว่ามีทั้งความสามารถในการรับมือข้อมูลและความเสี่ยงจากข่าวลวง เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลในยุคที่สื่อมีความ “เทา” และเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับวาทกรรมเริ่มเลือนราง

ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จากภาคใต้ แบ่งปันประสบการณ์การทำงานกับนักศึกษาและชุมชนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ โดยเฉพาะในบริบทที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหากข้อมูลไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ

อังคณา พรมรักษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากภาคอีสาน เล่าถึงกิจกรรมเวิร์กชอปที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6-7 กรกฎาคม โดยชวนนักศึกษาและประชาชนทบทวนประสบการณ์เกี่ยวกับข้อมูลลวง เช่น การถูกหลอกโดยมิจฉาชีพผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมสอนการใช้เครื่องมือตรวจสอบ เช่น Google Lens และการตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ผลจากกิจกรรมพบว่านักศึกษามีส่วนร่วมอย่างคึกคัก โดยเฉพาะการเปลี่ยนโปรไฟล์โซเชียลมีเดียเพื่อรณรงค์วันพูดความจริง และสร้างคอนเทนต์ผ่าน Instagram เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

การเสวนาครั้งนี้ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ซึ่งช่วยเชื่อมโยงประเด็นและสร้างบรรยากาศการถกเถียงที่สนุกสนานและได้สาระ ผู้เข้าร่วมจากสามภูมิภาคยังได้แชร์กิจกรรมที่จัดขึ้นในพื้นที่ เช่น การอบรมนักศึกษาให้เป็น “Fact Checker” และการสร้างเครือข่ายนักข่าวรุ่นใหม่เพื่อต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือน โดยเน้นว่า “ทุกคนคือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” และการชะลอการแชร์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือจะช่วยลดวงจรของข่าวลวง

บทสรุปการเสวนาวันนี้

  1. ตรวจสอบก่อนแชร์ – ใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens หรือตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น COFACT เพื่อยืนยันความถูกต้อง
  2. เพิ่มทักษะการรู้เท่าทันสื่อ – ฝึกเป็น “Active Citizen” ที่ช่างสงสัยและไม่เชื่อข้อมูลง่ายๆ
  3. เลือกกาลเทศะในการพูดความจริง – พิจารณาว่าความจริงนั้นเป็นประโยชน์และเหมาะสมหรือไม่ เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
  4. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Fact Checker – เข้าร่วมกิจกรรมหรือชุมชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

งานนี้ไม่เพียงชวนให้ตระหนักถึงความสำคัญของความจริงในยุคดิจิทัล แต่ยังจุดประกายให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปร่วมสร้างสังคมที่โปร่งใสและเท่าทันข้อมูล พูดความจริงทุกวัน ไม่ใช่เพียงวันนี้วันเดียว แคร์ข่าวแท้ ไม่แชร์ข่าวลวง


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 กรกฎาคม 2568

ยาดมสมุนไพร มีเชื้อรา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/lr4dll9ul5z0#_=_


เดือนกรกฎาคม 68 จะมีคนชุมพรและนราธิวาส เสียชีวิตเพราะสึนามิเป็นแสนคน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36nzjib8j0wxk


จะเกิด “สึนามิยักษ์” วันที่ 5 ก.ค. 68 เวลาตี 4 – 5 น….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nwa936w3hn48


พบโดรนจากไทยถูกส่งไปกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/odrqjhveimz3


มะเร็งคือธรรมชาติ เซลล์ปรับตัวเนื่องจากเลือดเป็นพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hyiljeopbz3l


สีส้มในชาไทย มีอันตรายกว่าที่เราคิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/m0t6n0l5w11q


ครม. ไฟเขียว! เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เริ่มจ่ายอัตราใหม่ 1 ต.ค. 2568

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jpdjqc0oqln7


ข้าวกัมพูชาแอบอ้างใช้ภาษาไทย และธงชาติไทย วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตจีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1h08xl9a2io2c


เตือน! กินไข่ดิบเสี่ยงติดเชื้อโรค อันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jen0r0goaedh


ห้ามกินทุเรียนกับโค้กเสี่ยงหัวใจวายตาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1kegnbdx8kt0h


ออสเตรเลียเตือนระวังการเดินทางเที่ยวภาคใต้ของการโจมตีของผู้ก่อการร้าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3l9f8v32oyqx7#_=_