5 คนสื่อชวนจับตาเลือกตั้ง’66  พรรคการเมืองจัดเต็มสงครามข่าว-หาเสียง กับบทบาททับซ้อนตำแหน่งบริหารราชการ

16 ก.พ. 2566 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค  โคแฟค (ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนา Media Forum ครั้งที่ 18 หัวข้อ จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกันที่ห้องคึกฤทธิ์ ปราโมท  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.สุรัตน์ ทีรฆาภิบาล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารท่าพระจันทร์และวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมและการเมืองมายาวนาน ในทางการเมืองก็มีผู้เข้าไปผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศในหลายๆ ครั้ง

“ในช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งก็เหมือนทางข่าวของฝั่งการเมืองจะร้อนแรงพอสมควร ซึ่งการเลือกตั้งแน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นหัวใจที่สำคัญมากของประชาธิปไตย ฉะนั้นบทบาทของสื่อเองผมเชื่อว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะต้องนำเสนอข่าวสารต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาแล้ว เพราะสามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง บทบาทของสื่ออีกอย่างในยุคสมัยนี้คือ กระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมากขึ้นและง่ายขึ้น” รศ.ดร.สุรัตน์ กล่าว

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า  ช่วงนี้เป็นเวลาฝุ่นตลบจริงๆ อย่างนักการเมืองที่ยังไม่รู้ว่าขปอยู่พรรคไหน วันนี้อยู่พรรคหนึ่งตอนใกล้ๆ เลือกตั้งก็อาจไปอยู่อีกพรรคหนึ่งก็ได้ หรือการเมืองยังเป็นเรื่องที่มีคณิตศาสตร์เข้ามาด้วย เช่น ตัวเลขของการจัดตั้งรัฐบาล ตัวเลขของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เป็นตัวแปรซึ่งจะบอกว่าไม่มีบทบาทคงไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนในฐานะเป็นผู้บริโภคสื่อต้องมีความรู้และความเข้าใจ

“หลายครั้งเวลารายงานข่าวการเลือกตั้ง เราก็จะรายงานแบบถ้าตำราของต่างประเทศจะเรียกรายงานแบบม้าแข่ง ก็คือรายงานว่าพรรคไหนจะชนะ พรรคไหนจะได้เสียงมากกว่ากัน แต่ไม่ค่อยรายงานเรื่องของนโยบาย หรือแนวคิดของแต่ละพรรคที่เมื่อเข้ามาแล้วจะบริหารประเทศอย่างไร จะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับพี่น้องประชาชนอย่างไร  แต่ช่วงหลังมีเรื่องของนโยบายมาขายกัน เป็นลักษณะนโยบายประชานิยม หรือนโยบายขายฝัน มันเป็นไปได้หรือไม่ได้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนในฐานะผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ” ชวรงค์กล่าว

ดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวว่า การทำงานข่าวยุคนี้ด้านหนึ่งง่ายเพราะพรรคการเมืองหรือนักการเมืองมีการทำข่าวสำเร็จรูป (Press Release) ส่งให้ผู้สื่อข่าวทุกวัน แต่ความยากคือ การที่ผู้สื่อข่าวต้องฉุกคิดว่าในการส่งข่าวมาให้นั้นเป็นการปล่อยข่าวหรือไม่ หรือผู้สื่อข่าวก็มีข้อจำกัดในการสอบถามเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับการไปสัมภาษณ์แบบเจอหน้ากัน เรื่องนี้เป็นความท้าทายของผู้สื่อข่าวที่หากหยิบเพียงชิ้นข่าวนั้นมานำเสนอก็อาจเป็นการรายงานเพียงด้านเดียว สื่อก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองในการปล่อยข่าวได้

ขณะที่สิ่งที่พบในสนามข่าวปัจจุบันซึ่งเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ที่ต้องจับตาคือ บุคคลที่สวมหมวก 2 ใบ คือมีฐานะทั้งผู้มีอำนาจในรัฐบาล พร้อมกับมีตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมือง   เวลาที่ลงพื้นที่ไปพบปะประชาชนไปในฐานะใด  และจากที่ลงไปร่วมทำข่าวพบว่าใช้การหาเสียงในเวลาราชการ 

สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวว่า ปัจจุบันข่าวทะลักมาเป็นจำนวนมากซึ่งก็มาจากพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แต่นี่คือความท้าทายของคนทำงานสื่อที่บางครั้งดูเหมือนนักข่าวจะกลายเป็นพีอาร์หรือประชาสัมพันธ์ เพราะฝ่ายการเมืองจะไม่ส่งข่าวมุมลบมาให้อย่างแน่นอน ดังนั้นนักข่าวก็ต้องคอยตรวจสอบด้วย ซึ่งแม้บางครั้งแหล่งข่าวอาจจะโกรธหรืองอนนักข่าว แต่ก็ต้องมีวิธีพูดคุยกับแหล่งข่าว 

ทั้งนี้ มีความพยายามของพรรคการเมืองในการเข้าถึงตัวบรรณาธิการเพื่อขอฝากข่าว ดังนั้นการรักษาระยะห่างระหว่างคนทำงานสื่อกับฝ่ายการเมืองจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ แม้จะรู้จักกันหรือสนิทกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝากข่าวได้ ส่วนประเด็นการลาราชการไปหาเสียงให้พรรคการเมือง ก็มีประเด็นให้คิดต่อว่าเป็นการลาแบบใด 

เสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า  การเมืองหน้าฉากกับหลังฉากเป็นคนละเรื่องกัน และส่วนใหญ่เรื่องจริงมักอยู่ด้านหลัง ในขณะที่ด้านหน้าคือการเรียบเรียงเพื่อตั้งใจส่งสัญญาณให้ไปกระทบอีกฝ่าย หรือประเมินเสียงตอบรับ (Feedback) ทั้งนี้ ภาพรวมการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้านหนึ่งบอกได้ว่าค่อนข้างดุเดือดในรอบหลายปีเพราะมีการเดิมพันสูงมาก แต่อีกด้านก็เป็นเรื่องแปลกเพราะเหมือนรู้ล่วงหน้าแล้วว่าใครจะชนะ กระทั่งมองข้ามขั้นไปคุยกันเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว  ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ประสบการณ์อธิบายให้ผู้คนเข้าใจ ซึ่งหากสังเกตดูดีๆ จะมีการส่งสัญญาณสลับขั้วกันอยู่เรื่อยๆ  สิ่งเหล่านี้พอจะดูออกว่ามันคือ เกม และเป็นศิลปะที่ไม่ง่ายในการสื่อสารให้คนทราบ

“กอง บก. เองก็เหนื่อย รอบนี้เหนื่อยกับสงครามข่าวที่มันมีจำนวนมาก  แล้วผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเดิมพันแปลกๆ คือเหมือนกับเลือกตั้งไปก็ไม่ได้คิดว่าจะจบแค่การบริหาร คือมันมีเดิมพันไกลมาก บางคนก็จะกลับมาติดคุก-ไม่ติดคุก บางคนจะต้องรักษาอำนาจต่อ บางคนต้องผนึกเครือข่าย คือผมคิดว่าตอนนี้มันเดิมพันเยอะ เพราะฉะนั้นทุกคนลงกันเต็มที่  ดังนั้นการสื่อสารเต็มรูปแบบ Media (สื่อ) ก็ด้านหนึ่ง ไม่นับ IO (Information Operation-ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) มีทุกอย่าง” เสถียร กล่าว

สมฤดี ยี่ทอง บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี กล่าวว่า สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปัจจุบันน่าจะมีปัญหาเหมือนกันคือจำนวนนักข่าวลดลงในขณะที่พรรคการเมืองมีจำนวนเท่าเดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นกอง บก. จึงจำเป็นต้องเลือก โดยทั่วไปก็จะเป็นพรรคหลักๆ ตามความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทิ้งพรรคอื่นๆ ไม่เช่นนั้นพรรคใหม่ๆ คงไม่สามารถเกิดขึ้น  แต่อีกด้านหนึ่งพรรคการเมืองเองก็ปรับตัว มีการทำข่าวหรือคลิปวีดีโอส่งมาให้สื่อมากขึ้น ซึ่งคนทำงานสื่อก็ต้องตระหนักว่าหากเป็นการส่งข่าวทางเดียวก็จะได้แต่ภาพในด้านดีด้านเดียว ดังนั้นแม้จะไม่ได้ส่งนักข่าวไปลงพื้นที่ก็อาจต้องหาข้อมูลจากทางอื่น เช่น จากเพื่อนๆ ในวงการที่ไปลงพื้นที่ ซึ่งทางองค์กรต้นสังกัดจะย้ำเสมอในเรื่องการรักษาสมดุล (Balance) ความเป็นกลาง 

วราวิทย์ ฉิมมณี ผู้ดำเนินรายการ คมชัดลึก และข่าวข้นคนข่าว สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี กล่าวว่า อย่าปฏิเสธว่าการเมืองไม่ใช่เกม และนักการเมืองที่บอกว่าไม่ได้เล่นเกมจริงๆ ก็กำลังเล่นอยู่  ได้คุยกับแขกรับเชิญที่เป็นนักการเมืองมามาก บางทีหน้าฉากอย่างหนึ่งหลังฉากก็อีกอย่างหนึ่ง แต่การนำเรื่องหลังฉากมาถามกันตรงๆ หน้าฉากอาจไม่เหมาะสมจึงต้องหาวิธีการอื่นๆ   บางทีไม่ได้สัมภาษณ์นักการเมืองคนนั้น แต่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้รับการบอกเล่ามาเล่าผ่านหน้าจอเพื่อให้ทุกคนเท่าทัน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าประชาชนจะชอบหรือไม่ชอบใคร  สิ่งที่หวังที่สุดแล้วคือ อยากให้ประชาชนมีความเท่าทันเกมการเมือง  

“อย่างล่าสุดให้จับตามอง บอกว่าโคราชจะมีปราศรัยใหญ่ จะมีคนมาฟัง 4-5 หมื่นคน รู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนมาฟังจำนวนนั้น  ซึ่งแปลว่ามีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้ภาพแบบนี้มันเกิดขึ้น คือถึงแม้ว่าภาพนั้นมันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ว่าสารนั้นมันก็ได้เข้าไปแล้ว ทีนี้เวลาเรารายงานว่าใครไปทำอะไร เราก็จะสอดแทรกแง่มุมข้อสังเกตตรงนี้เข้าไปตลอดเพื่อให้ประชาชนคนรับสื่อรู้ทัน” วราวิทย์ กล่าว

ในตอนท้าย ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ รองประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)  กล่าวปิดการเสวนา ระบุว่า งานนี้เป็นเวทีที่มีคุณค่าและน่าสนใจ ซึ่งในช่วงเลือกตั้งนี้โคแฟคร่วมกับภาคีทั้งในและต่างประเทศ เตรียมทำระบบตรวจสอบข้อมูลเท็จ หลอกลวง สร้างความเกลียดชัง ใส่ร้ายกันและยินดีให้ทุกสื่อใช้ประโยชน์และเข้ามาร่วมมือกัน

อย่างที่ทุกท่านพูดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเดิมพันสูง ทุกท่านพูดว่านักการเมืองเขาก็เต็มที่ ตัวเงินก็ไม่น้อย แต่ในนามประชาชนก็เสี่ยงสูงเหมือนกัน เชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทเต็มรูป 100% มันจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้เป็นระดับประเทศ ฉะนั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน การทำหน้าที่ของสื่อออนไลน์ รวมทั้งการทำหน้าที่ของประชาชนจะมีความสำคัญมาก เวทีวันนี้เป็นเวทีเริ่มต้น คิดว่าจะต้องจับไต๋การเมืองกันต่อไป ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

พรรคก้าวไกลเสนอลดบำนาญข้าราชการ ข่าวลวงที่กลับมาช่วงเลือกตั้ง   

Top Fact Checks Political
เนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิด

ข้อความที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญข้าราชการ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นเนื้อหาที่บิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิด ได้ถูกนำมาเผยแพร่ในแอปพลิเคชันไลน์และโซเชียลมีเดียอีกครั้งหลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ

“พรรคก้าวไกลเรียกข้าราชการบำนาญว่าพวกช้างป่วย งานไม่ทำ ได้รับเงินเดือน ตั้งงบประมาณไว้เลี้ยงช้างป่วยรอวันตาย” และ “ถ้าผม (พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-หัวพน้าพรรคก้าวไกล) ได้เป็นนายกฯ ผมจะตัดบำนาญข้าราชการ” เป็นตัวอย่างข้อความที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา โดยเนื้อหาลักษณะเดียวกันนี้ ได้ถูกส่งต่อทั้งในในแอปพลิเคชันไลน์และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก มีทั้งการแต่งกลอนโจมตีพรรคก้าวไกล และข้อความเชิญชวนให้ข้าราชการบำนาญลงชื่อเสนอกฎหมายตัดบำนาญ ส.ส. เพื่อเป็นการตอบโต้

การกลับมาของเนื้อหาที่บิดเบือนคำพูดของนายพิธาในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ทำให้พรรคก้าวไกลและนายพิธาต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง โดยนายพิธาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ว่า

“…มีข่าวปลอมข่าวหนึ่งที่วนกลับมา ถูกส่งต่อในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มไลน์ บิดเบือนว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า เราไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ สิ่งที่เราเสนอคือให้ลดงบประจำที่ไม่ใช่เงินเดือนของข้าราชการ เช่น การไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา โครงการที่ซ้ำซ้อน รวมถึงลดงบกลางที่เป็นเงินสำรองที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเอาไปใช้ได้ตามใจชอบ โดยไม่เกิดประโยชน์”

โคแฟคตรวจสอบ

วันที่ 13 ก.พ. 2566 โคแฟคตรวจสอบข่าวนี้พบว่า จุดเริ่มต้นของประเด็นงบประมาณบำนาญข้าราชการนี้ มาจากเนื้อหาส่วนหนึ่งของการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2566 ในวาระที่ 1 โดยนายพิธาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2565

จากคลิปบันทึกการอภิปรายของนายพิธา ความยาว 30 นาที สรุปใจความสำคัญได้ว่า นายพิธาเห็นว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลขาดความสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย เขาเปรียบโครงสร้างงบประมาณปี 2566 ว่าเป็นเหมือน “ช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้” และแสดงข้อมูลประกอบว่า งบประมาณรายจ่ายกว่า 3 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลตั้งไว้สำหรับปี 2566 นั้น เป็นรายจ่ายบุคลากรภาครัฐถึง 40 เปอร์เซ็นต์ รายจ่ายที่สูงที่สุดคือบำนาญข้าราชการ

“ตัวเลขที่สูงที่สุดในงบประมาณรายจ่ายคือเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ มูลค่า 3 แสนกว่าล้านบาท สูงเท่ากับกระทรวงศึกษาธิการทั้งกระทรวงที่ดูแลเด็กทั้งประเทศ อันนี้เป็นปัญหาเรื่องช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้” นายพิธากล่าวต่อที่ประชุมสภา

เขายังให้ข้อมูลอีกว่า งบประมาณรายจ่ายส่วนที่เป็นบำนาญข้าราชการเพิ่มขึ้นจาก 1.4 แสนล้านบาทในปี 2557 เป็น 3 แสนล้านบาทในปี 2564 และ 3.2 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนคาดว่าจำนวนข้าราชการบำนาญจะเพิ่มจาก 8 แสนคนในขณะนี้ เป็น 1.2 ล้านคนในปี 2580

“แค่บำนาญ แค่บุคลากรเนี่ย เกินงบประมาณที่เราจะใช้ไปเยอะมากเลยทีเดียว อันนี้เป็นยาขมที่เราต้องกลืน และผมก็ต้องส่งสัญญาณดังๆ ไปยังพี่น้องข้าราชการที่เคารพรักทุกท่านว่าเราต้องมาช่วยกันคิดว่ากระบวนการรัฐราชการ ช้างอุ้ยอ้าย ช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้แบบนี้ เราจะแก้ไขปัญหากันยังไง” นายพิธากล่าวก่อนจะอภิปรายเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ส่วนอื่นๆ ต่อไป

การอภิปรายของนายพิธาเมื่อวันที่่ 31 พ.ค. ซึ่งเป็นที่มาของการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับบำนาญข้าราชการ

หลังการอภิปราย ปรากฏว่ามีการนำคำพูดของนายพิธามาบิดเบือนและเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันไลน์ เช่น ข้อความที่ระบุว่านายพิธาเสนอให้ตัดบำนาญข้าราชการ กล่าวว่าเงินบำนาญคือตัวปัญหาของการพัฒนาประเทศ และเปรียบข้าราชการบำนาญว่าเป็น “ช้างป่วย” ที่เป็นภาระงบประมาณประเทศ เป็นต้น ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ได้ปรากฏในการอภิปรายของนายพิธา

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์โคแฟคว่า พรรคก้าวไกลรับมือกับ “ระลอกแรก” ของข่าวปลอมว่าด้วยการตัดบำนาญข้าราชการ ซึ่งคาดว่าเริ่มต้นจากการส่งข้อวามในแอปพลิเคชันไลน์ ด้วยการชี้แจงผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้แทนสหพันธ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทยและศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทยโดยตรง พร้อมกับแถลงข่าวร่วมกันที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2565

สำหรับ “ระลอกที่สอง” ของข่าวเท็จเรื่องบำนาญข้าราชการในช่วงปลายเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 นายพริษฐ์วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพราะบริบททางการเมืองที่กำลังเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเขาคาดว่าอาจจมีข่าวปลอมอื่นๆ ที่ถูกผลิตขึ้นใหม่หรือถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำมากขึ้นในช่วงนี้ หนึ่งในนั้นข่าวเท็จที่บอกว่าพรรคก้าวไกลเสนอให้ยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้านในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“ข่าวปลอมมันกระทบกับฝ่ายที่ถูกกล่าวหาในทางที่ผิด แต่เราเข้าใจดีว่าทางออกไม่ใช่การให้อำนาจกับรัฐในการผูกขาดว่าอะไรเป็นข่าวปลอมแล้วปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ทางแก้ปัญหาคือการมีพื้นที่ตรงกลางที่ให้ฝ่ายที่เสียหายชี้แจงได้ และสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงชุดข้อมูลที่แตกต่างหลากหลายมากที่สุด” นายพริษฐ์กล่าวกับโคแฟค

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด งดแชร์

ข้อความที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญข้าราชการเป็นข้อมูลเท็จและบิดเบือนจากคำอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 ในสภาของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ข่าวนี้เป็นข่าวลวงวนซ้ำ โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกันแล้ว

รับชม! Media Forum “จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกัน” พฤ 16 ก.พ. 66 10โมง FB #Cofact #โคแฟค

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โคแฟค(ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมจัดเสวนา Media Forum ครั้งที่ 18 ในหัวข้อ “จับไต๋การเมืองช่วงฝุ่นตลบก่อนเลือกตั้ง : บทบาทสื่อและผู้บริโภคที่ควรร่วมมือกัน” ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ก.พ. 2566 เวลา 10.00 น.

ร่วมเสวนา โดย

  • นางสาวสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
  • นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี
  • นางสาวสมฤดี ยี่ทอง บรรณาธิการข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี
  • นางสาวดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวการเมือง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
  • นายวราวิทย์ ฉิมมณี ผู้ดำเนินรายการ คมชัดลึก และข่าวข้นคนข่าว สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี

ติดตามชมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก ThaiPBS, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ Cofact โคแฟค และสภาองค์กรของผู้บริโภค


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566

แคะจมูกบ่อยๆทำให้จมูกบาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/rpcwqr1vfoov#_=_


ดื่มน้ำมะนาวล้างไตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/34o2p2479wwqq


ฟันผุติดต่อกันได้ ผ่านการหอมหรือจูบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3uxe9z4ur9uum#_=_


ใช้มือถือตอนฝนตกอาจโดนฟ้าผ่า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/1pxx76tlryvht#_=_


 วิตามิน C เมื่อรับประทานมากเกินไป ทำให้ปัสสาวะมีลักษณะสีเหลือง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/16m25torykil3#_=_


ธนบัตรชำรุด สามารถแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรใหม่ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26vfvrgmbqgef#_=_


รับประทานหมูดิบทำให้หูดับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/87s4696pcod6#_=_


 เตือน “ช้อปปิ้งออนไลน์” ห้ามโอนเงินผ่าน WIFI เสี่ยงถูกแฮกบัญชี ทำสูญเงิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/luwuk5bhotf2#_=_


พล.อ.ประยุทธ์ ชวนคนติดตามข่าวช่อง Top News ข่าวจริงที่มาพร้อมกับเสียงวิจารณ์

Top Fact Checks Political

คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ชื่นชมและเชิญชวนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม Top News เป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียให้ความสนใจมากที่สุดประเด็นหนึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่ในสตูดิโอรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ของช่อง Top News พร้อมข้อความ “ประยุทธ์ขอให้ทุกคนดูข่าวช่อง Top News เป็นช่องเสนอข่าวจากข้อเท็จจริง วิเคราะห์ข่าวอย่างมีหลักเกณฑ์ที่ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง” ถูกเผยแพร่ในทวิตเตอร์และแอปพลิเคชันไลน์ในวันที่ 1 ก.พ. 2566 ขณะที่สื่อกระแสหลักก็เสนอข่าวในทำนองเดียวกัน เช่น เพจเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์โพสต์ภาพนายกฯ พร้อมคำพูด “ประชาชนที่รับฟังอยู่ทางบ้าน ขอให้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากช่อง Top News นะครับ เป็นช่องที่นำเสนอข่าวจากข้อเท็จจริง” โดยไทยรัฐให้ข้อมูลว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดระหว่างเยือน Top News เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 2 ปี

คำพูดของนายกฯ ที่ถูกหยิบยกมาบางส่วนและการสรุปความ ทำให้ขาดรายละเอียดและบริบท หลายคนจึงอาจสงสัยถึงที่มาที่ไป กระทั่งคิดว่าเป็นข่าวปลอม เพราะแม้ว่าการที่บุคคลสำคัญไปร่วมงานวันเกิดสื่อจะเป็นเรื่องปกติ แต่การที่นายกรัฐมนตรีชักชวนให้ประชาชนรับข่าวสารจากสื่อสำนักใดสำนักหนึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้ง Top News ไม่ได้เป็นสื่อในกำกับของรัฐบาลหรือสื่อกระแสหลัก แต่เป็นสื่อเอกชนที่ออกอากาศทางทีวีดาวเทียมและช่องทางออนไลน์มาได้เพียง 2 ปี 

โคแฟคตรวจสอบ

จากวิดีโอบันทึกภาพและรายงานข่าวกิจกรรมวันครบรอบ 2 ปีของ Top News พล.อ.ประยุทธ์เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงในแวดวงการเมือง ตำรวจ ทหารและภาคธุรกิจที่เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับ Top News นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์แล้วยังมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต. วินธัย สุวารี ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็นต้น 

พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาอยู่ที่ Top News ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยออกตัวว่า “มาในหลายสถานะ” และกล่าวถึง Top News ว่า “เป็นสื่อที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ให้ความเชื่อถือและติดตามจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”

นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Top News นำนายกฯ เข้าเยี่ยมชมสตูดิโอ ซึ่งขณะนั้นกำลังออกอากาศสดรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ที่มีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เป็นพิธีกร คำพูดของนายกฯ จึงได้รับการเผยแพร่ในรายการดังกล่าวด้วย ช่วงหนึ่งนายกฯ พูดกับพิธีกรว่า “ผมติดตาม [Top News] เพราะว่าเราพูดจากข้อเท็จจริง ความเป็นจริง…เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์ข่าวก็อยากให้เป็นแบบนี้ แล้วก็ทำยังไงมันจะไม่สร้างความขัดแย้งกันมากมาย พูดกันด้วยข้อเท็จจริง…ผมก็ติดตามมา มีเวลาผมก็เปิดดู แล้วก็เห็นว่าเป็นสื่อที่มีคุณภาพ”

ก่อนจะออกจากสตูดิโอ นายกฯ ถามพิธีกรว่ายังถ่ายทอดสดอยู่หรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ เขาจึงหันมาพูดกับกล้อง เชิญชวนให้คนติดตามข่าวจาก Top News ซึ่งโคแฟคถอดคำพูดจากคลิปรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูป @TOPNEWSLIVE77 เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ดังนี้

“สวัสดีอีกครั้งนะครับ ก็ขอให้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากช่องท็อปนิวส์นะครับ ซึ่งเป็นช่องที่เสนอข่าวที่มาจากข้อเท็จจริง เท่าที่ผมประเมินเอานะ เสนอจากข้อเท็จจริง แล้วก็วิเคราะห์อย่างมีหลักมีเกณฑ์อะไรต่างๆ เหล่านี้ คือไม่ใช่เพื่อความขัดแย้ง ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าอะไรมันเป็นอะไร อันนั้นคือสิ่งสำคัญ ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งก็ตรงกับเจตนารมณ์ของผม แล้วก็กับแนวทางการปฏิบัติของผมสืบต่อไปในวันข้างหน้า”

ข้อสรุปโคแฟค: ข่าวจริง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเชิญชวนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากช่อง Top News จริง ซึ่งเป็นการพูดออกอากาศในรายการ “เช้าข่าวเข้ม” ขณะไปร่วมอวยพรวันครบรอบการก่อตั้งสถานี แต่ก็มีบางช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในเชิงเสนอแนะให้ Top News วิเคราะห์ข่าวบนพื้นฐานความจริง พูดข้อเท็จจริงและไม่สร้างความขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม น่าบันทึกไว้ด้วยว่า การชื่นชมยกย่อง Top News ของนายกฯ ได้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนไม่น้อยถึงความเหมาะสมของการที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีสนับสนุน Top News อย่างชัดเจน บางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่า Top News เสนอข้อเท็จจริงและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งวันต่อมา ผู้ประกาศข่าว Top News ก็ได้ออกมาตอบโต้เสียงวิจารณ์เหล่านั้น เช่น นายสันติสุข มะโรงศรี พิธีกรรายการ “ข่าวมีคม” กล่าวว่ามีการนำคำพูดของนายกฯ ไปทำแบนเนอร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่านายกฯ ชี้นำให้ประชาชนดูแต่ Top News 

“[พล.อ.ประยุทธ์] ไม่ได้บอกว่าให้ดูเฉพาะจาก Top News แบนเนอร์ถูกเอาไปโจมตี เอาไปด้อยค่าว่าช่องนี้เสนอแต่ข่าวปลอมข่าวเท็จ…บอกมาสิว่าข่าวไหนเท็จ ถ้ามันเท็จ ถ้ามันไม่ตรงเราจะแก้ให้” นายสันติสุขกล่าว

เรื่องแนะนำ

เมื่อรูปถ่ายคุณทวดกลายเป็นรูป “หลวงปู่ทวด” ลูกหลานวอนหยุดแชร์-หยุดแพร่ความเข้าใจผิด

เนื้อหาเป็นเท็จ

เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่ภาพของชายและหญิงชราสองคน พร้อมด้วยข้อความว่า “ภาพหลวงปู่ทวดเมื่อ 300 ปี พ.ศ. 2263 ฝรั่งถ่ายไว้ได้ ใครเห็นถือเป็นบุญวาสนา” ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชั่นไลน์ แม้ลูกหลานของบุคคลในภาพจะออกมายืนยันว่า ชายในภาพไม่ใช่หลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ชื่อดังแห่งภาคใต้ที่คนจำนวนมากเคารพศรัทธา แต่ก็ยังคงมีคนนำภาพนี้มาโพสต์และแชร์อยู่เสมอ

ภาพถ่ายขาวดำนี้มักถูกนำมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียโดยผู้ที่ศรัทธาพระเกจิอาจารย์หรือผู้ที่เดินทางไปยังสถานที่มีประวัติเชื่อมโยงกับหลวงปู่ทวด เช่น วัดช้างให้ จ.ปัตตานี หรือวัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนขนาดใหญ่ของหลวงปู่ทวด นอกจากนี้ยังมีการตัดภาพ (crop) ให้เป็นภาพเดี่ยวของชายชราผมสั้นเกรียน ห่มผ้าพาดบ่าคล้ายพระสงฆ์พร้อมกับเติมข้อความเป็นการ์ดอวยพร ทำให้ภาพนี้ถูกส่งต่อแพร่หลายยิ่งขึ้น

ข้อมูลและประวัติหลวงปู่ทวดที่เผยแพร่อยู่ทั่วไปนั้น เป็นการผสมกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์กับตำนานที่เล่าขานต่อกันมา เว็บไซต์นิตยสารสารคดีและจดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือในด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ระบุว่า หลวงปู่ทวดเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคใต้ ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีในการบันทึกภาพในโลก รูปลักษณ์หน้าตาของท่านที่เห็นจากพระเครื่องหรือประติมากรรมในยุคหลังที่ห่างจากช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่หลายร้อยปี ล้วนเป็นภาพจากนิมิตที่ว่ากันว่าท่านแสดงอภินิหารให้เห็น

โคแฟคคาดว่า ช่วงต้นเดือนมีนาคมจะมีการแชร์ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพถ่ายหลวงปู่ทวดนี้กันมากขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและสื่อมวลชนบางสำนักที่ระบุว่า วันที่ 6 มี.ค. เป็นวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ทวด

โคแฟคตรวจสอบ


กรณี “รูปถ่ายหลวงปู่ทวด”
นี้ เคยมีผู้หักล้างข้อมูลโดยอ้างอิงประวัติศาสตร์การถ่ายภาพที่ระบุว่า ภาพถ่ายใบแรกของโลกถ่ายโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเมื่อปี 1826 (พ.ศ. 2369) ขณะที่ประวัติหลวงปู่ทวดที่เผยแพร่โดยทั่วไประบุว่า ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยปลายอยุธยา ซึ่งยังไม่มีการใช้กล้องถ่ายรูป และมรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2226 ซึ่งหมายความว่า หลวงปู่ทวดมรณภาพก่อนที่จะมีการถ่ายภาพขึ้นในโลกถึงกว่า 140 ปี

นอกจากนี้ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธ ฆราวาสจะไม่นั่งเสมอพระสงฆ์ หากชายชราในภาพเป็นพระสงฆ์จริง หญิงชราย่อมจะไม่นั่งเสมอท่าน

ปี 2563 ลูกหลานตระกูลไชยรักษ์อย่างน้อยสองคน คือนายจิตติศักด์ ไชยรักษ์ และนายล้ำเลิศ ไชยรักษ์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กยืนยันว่า บุคคลในภาพคือบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่ใช่พระอริยสงฆ์ชื่อดังและไม่ได้เป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อ 300 ปีก่อนอย่างที่ลือกัน

วันที่ 23 ม.ค. 2566 นายจิตติศักดิ์ อายุ 47 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เกี่ยวกับที่มาของภาพถ่ายนี้ว่า ชายชราในภาพคือ นายพ่วง ไชยรักษ์ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ คือภรรยาชื่อนางรอด ไชยรักษ์ ภาพนี้ถ่ายที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่ทราบว่าถ่ายเมื่อใดและใครเป็นคนถ่าย เขาเห็นภาพถ่ายนี้ที่บ้านตั้งแต่เด็กๆ และได้รับคำบอกเล่าว่าทั้งสองท่านคือบรรพบุรุษของครอบครัวไชยรักษ์

หากนับตามลำดับญาติ นายพ่วงมีศักดิ์เป็น “เทียด” หรือพ่อของทวดของนายจิตติศักดิ์ แต่ลูกหลานรุ่นหลังมักเรียกท่านว่า “ทวดพ่วง”

“ทวดพ่วงเป็นคนพัทลุง เดินทางเอาช้างมาให้ที่นครศรีธรรมราชแล้วมาได้เมียที่นี่ เครือญาติและลูกหลานของทวดพ่วงจึงมีอยู่ทั้งที่พัทลุงและนครฯ หลายบ้านก็มีภาพนี้อยู่ แต่ใครเป็นคนถ่าย ถ่ายปีไหนนั้นเราไม่รู้ คนเฒ่าคนแก่ที่พอจะรู้ก็ตายไปกันหมดแล้ว” นายจิตติศักดิ์บอกกับโคแฟค

นายจิตติศักดิ์เล่าว่า ราวปี 2560 ครอบครัวไชยรักษ์ได้จัดงานรวมญาติ และมีการพิมพ์ภาพนี้แจกลูกหลาน รวมทั้งส่งไฟล์ภาพไปในไลน์กลุ่มครอบครัว ต่อมาก็พบว่ามีการเผยแพร่ภาพนี้ในโซเชียลมีเดียพร้อมกับข้อความเท็จที่ระบุว่าเป็นภาพของหลวงปู่ทวด

นายจิตติศักดิ์กล่าวว่า ลูกหลานของทวดพ่วงรู้สึกไม่สบายใจที่มีการนำภาพบรรพบุรุษไปเผยแพร่และให้บิดเบือนว่าบุคคลในภาพคือหลวงปู่ทวด ทางครอบครัวอยากให้หยุดส่งต่อภาพนี้

“ผมก็ได้แต่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กยืนยันไปว่าคนในภาพคือทวดของผม ส่วนใครจะเชื่ออะไรยังไงก็ว่ากันไป…โซเชียลมีเดียมันกว้างขวาง มันทำอะไรไม่ได้”

ขณะที่นายล้ำเลิศ ไชยรักษ์ สมาชิกครอบครัวอีกคนหนึ่งโพสต์ข้อความชี้แจงในทำนองเดียวกันและทิ้งท้ายว่า “ขอความกรุณาอย่าแชร์ อย่าเอาหลวงพ่อทวดมาจาบจ้วง อย่าเอาภาพบรรพบุรุษของผมและลูกหลานไชยรักษ์มาบิดเบือน”

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาเป็นเท็จ หยุดแชร์

ภาพนี้ไม่ใช่ภาพของหลวงปู่ทวด ลูกหลานของบุคคลในภาพยืนยันกับโคแฟคว่า นี่เป็นภาพของนายพ่วงและนางรอด ผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไชยรักษ์ อีกทั้งจากประวัติของหลวงปู่ทวดที่มีการบันทึกไว้ว่า ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยา ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดบันทึกภาพของหลวงปู่ทวดไว้ได้


วงประชุมโคแฟคเห็นความสำคัญของการต่อต้านข้อมูลลวงช่วงการเลือกตั้ง

วงประชุมโคแฟคเห็นความสำคัญของการต่อต้านข้อมูลลวงช่วงการเลือกตั้ง

หนุนสร้างความร่วมมือหลายฝ่ายสกัดและลดผลกระทบของการปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์

กรุงเทพมหานคร—นักวิชาการและสื่อมวลชนจากฟิลิปปินส์และไทยที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เจาะ (อิทธิพล) ปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ (Online Manipulation) กับผลการเลือกตั้ง: บทเรียนจากฟิลิปปินส์สู่ไทย” สนับสนุนความริเริ่มในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมต่อข่าวปลอมและปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยในปีนี้ 

การประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ร่วมจัดโดยโคแฟค (ประเทศไทย) และองค์กรภาคีเครือข่าย โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) สื่อมวลชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคมเข้าร่วมกว่า 50 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาแนวทางในการสร้างความรู้เท่าทันของสังคมและแสวงหาวิธีการรับมือกับปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง และการสร้างความเข้าใจผิดและความสับสนให้แก่ประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองทางสื่อสังคมออนไลน์  

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวนำการประชุมว่า ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เป็นธรรม แต่ยอมรับว่าการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในช่วงเลือกตั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะปริมาณข้อมูลที่ล้นหลามและความพยายามในการปั่นและกระพือความขัดแย้งมีความรุนแรงขึ้น

“ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญต่อสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ สันติภาพ และหลักนิติธรรมในการเลือกตั้ง…การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นปัญหาและต้องป้องกันก็จริง แต่เราไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ดังนั้นจึงต้องร่วมกันคิดว่าควรรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร”

ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศยทั้งที่เป็นประชาธิปไตยและเผด็จการ และส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อผลการเลือกตั้ง ดังที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

 

คลีฟ วี. อาร์เกวยเยส ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดอ ลา ซาลล์ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทความวิชาการในรายงาน Disinformation in the Global South 2023 กล่าวว่า การจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง การทำลายชื่อเสียงของบุคคล หรือสร้างความเกลียดชังกลุ่มชาติพันธุ์ เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

อาร์เกวยเนสกล่าวว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริง การสกัดข่าวลวง และการรับมือกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปฏิบัติการเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบในหลายระดับและอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและบั่นทอนความสุจริตของการเลือกตั้ง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

อีวอน ชัว อดีตผู้สื่อข่าว ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ฟิลิปปินส์ เล่าประสบการณ์การก่อตั้งเว็บไซต์ www.tsek.ph ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นักวิชาการด้านสื่อและสื่อมวลชนหลายสำนักในฟิลิปปินส์ร่วมกันทำ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางการเมืองในการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ในปี 2019 และ 2022 ว่าเป็นตัวอย่างของความพยายามในการสกัดข่าวลวงในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 

เธอเล่าว่า ธรรมชาติของสื่อมวลชนนั้นมีการแข่งขันกันสูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ภาควิชาการอย่างวิทยาลัยสื่อสารมวลชนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์จึงเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ริเริ่มและประสานงาน จนเกิดเป็นแพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริง tsek.ph ขึ้น นับเป็นมิติใหม่ที่สื่อมวลชนจากหลายสำนักมาทำงานร่วมกัน โดยมีทั้งนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ และภาคประชาสังคมร่วมให้การผู้สนับสนุน 

แม้การทำงานของ tsek.ph จะมีอุปสรรคและไม่บรรลุเป้าหมายในบางด้าน แต่เธอเชื่อว่าความริเริ่มนี้ได้พัฒนาทักษะของผู้สื่อข่าวในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารและการหักล้างข้อมูลเท็จ (debunk) รวมทั้งทำให้ประชาชนรู้เท่าทันข้อมูลในโลกออนไลน์มากขึ้น

“เราต้องไม่ลืมว่า การปล่อยข่าวปลอมนั้นเกิดขึ้นมาเป็นสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกำจัดมันได้ภายในวันเดียว สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องอย่ายอมแพ้ การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง แม้การเลือกตั้งจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม” อาจารย์ชัวให้ความเห็นและย้ำว่า การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลออนไลน์เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่แค่สื่อมวลชน 

“แม้แต่ข่าวที่สื่อนำเสนอก็จะต้องถูกตรวจสอบความถูกต้องด้วยเช่นกัน ทั้งโดยสื่อด้วยกันเองและโดยประชาชนผู้รับข่าวสาร” เธอกล่าว

เจสัน อาร์. กอนซาเลซ ผู้อำนวยการพรรคเสรีนิยม ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่าเขาได้เห็นถึงอานุภาพของการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ในการทำลายคู่แข่งทางการเมืองและเพื่อชักนำทัศนคติของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปี 2022 

“ชาวฟิลิปปินส์ถูกถล่มด้วยคลื่นข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมเข้าใส่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมพูดได้ว่า การจงใจปล่อยข้อมูลเท็จเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง” นายกอนซาเลสกล่าว

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ปี 2022 นายกอนซาเลสเป็นกำลังสำคัญในทีมรณรงค์หาเสียงของนางเลนี โรเบรโด รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในขณะนั้น ซึ่งลงชิงตำแหน่งในนามอิสระ ในช่วงนั้นนางเลนีถูกโจมตีจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่นายกอนซาเลสเชื่อว่า “ลงทุนทำอย่างเป็นระบบ”

หลังการเลือกตั้งซึ่งผลออกมาว่านายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้รับชัยชนะ นายกอนซาเลสจึงได้ตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า BUILD Pilipinas เพื่อต่อสู้กับปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารทางการเมือง โดยคิดค้นและออกแบบวิธีการทำงานที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่การตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการต่อสู้กับข่าวลวงในฟิลิปปินส์

ผศ.ดร. จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากการศึกษาและสังเกตการณ์ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองในโซเชียลมีเดียของไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีสองส่วน คือ ปฏิบัติการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตน

“เวลาที่เราบอกว่ามีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและการควบคุมข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่เราต้องสนใจคือ อำนาจทางการเมืองอยู่ที่ใคร ในบรรยากาศแบบนี้ อำนาจมันไม่เท่ากัน ทรัพยากรในการจ้าง การผลิต การสนับสนุนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมืองของแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเมื่อเรากังวลต่อการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวในบริบทการเลือกตั้งไทย เราต้องถามก่อนว่าใครมีอำนาจในการทำของแบบนี้มากกว่า อำนาจรัฐอยู่ที่ไหน” ผศ.ดร.จันจิรากล่าว

ผศ.ดร.จันจิราคาดการณ์ว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปีนี้ สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ “การผสมกันของการดำเนินคดีกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้โพสต์ข้อความ และผู้แชร์ข้อมูลที่ไม่ตรงหรือผิดกติกาตามความเห็นของ กกต. ซึ่งมักจะเป็นข้อมูลที่มาจากการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐ”

“คำถามก็คือการดำเนินคดีกับผู้ที่แชร์ข้อมูลเหล่านี้ จะส่งผลต่อความสามารถในการตรวจสอบการเลือกตั้งของภาคประชาสังคมหรือไม่” เธอกล่าว

ผศ.ดร.จันจิรา กล่าวด้วยว่า สงครามข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องปกติของการเมืองและในบริบทการเลือกตั้ง แต่สงครามข้อมูลที่อันตรายคือสงครามข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะมันนำมาซึ่งการทำลายชื่อเสียง สร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามและการดำเนินคดีกับบุคคล  

ดร. สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ว่าการเมืองไทยกับฟิลิปปินส์ มีความคล้ายกันตรงที่เป็นการเมืองแบบ “ตระกูลการเมือง” คือตระกูลการเมืองมีผลต่อการได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจึงคาดได้ว่าปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่จะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง 2566 จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลการเมือง

ดร.สติธรยอมรับว่าการตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งนั้นมีความยาก เนื่องจาก “การผลิตความจริง” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยคนทุกกลุ่ม ปริมาณข้อมูลหรือสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างอ้างว่าเป็น “ความจริง” นั้นก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตยหยิบยกงานวิจัยเกี่ยวกับการรับข้อมูลข่าวสารในช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่พบว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ความสนใจข่าวสารของผู้คนจะสูงขึ้นเสมอ

งานวิจัยยังพบอีกว่า ช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารนั้น แม้โซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางหลัก แต่การรับข้อมูลโดยตรงจากการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งและจากคำบอกเล่าของคนที่รู้จักข้อมูลก็มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนอย่างมากเช่นกัน 

สำหรับข้อเสนอต่อการรับมือและสกัดข่าวลวงในช่วงเลือกตั้ง ดร.สติธรกล่าวว่าเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายริเริ่มการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นภารกิจที่ภาควิชาการและสถาบันวิจัยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนได้ 

 

 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ 2566

ติดเชื้อไวรัส Parabola จากสุนัขและแมว ทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/n73yyox9qlgz


อย. เตือน ‘ขนมควันทะลัก’ ผสมไนโตรเจนเหลว จะกินต้องรอให้ควันหมดก่อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zctn2ys9rr7j


ธ.กรุงไทย เตือนมุกใหม่มิจฉาชีพ ใครเจอเหตุการณ์นี้ ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2yzfi1kae8yl5


Whoscall แอปบล็อกเบอร์กวนใจ รู้ทันมิจฉาชีพ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kyw23s2jviuq


ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ “ยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2mn2ky9040bk1


 ฟิลิปปินส์ขาดแคลนหัวหอม หัวหอม 1 กก. แพงกว่าค่าแรง 1 วันในฟิลิปปินส์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5kq0rgg6968i


‘ญี่ปุ่น’ ครองแชมป์ ‘หนังสือเดินทาง’ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/zrazp50p96q1


เราไม่ควรล้างไก่สดก่อนนำมาปรุงอาหาร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zv9msbxw99rz

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 มกราคม 2566

ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการชัก โดยการใช้ช้อนยัดปาก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1lsku93jmqer4


ส่งภาพ ‘สวัสดีตอนเช้า’ ในไลน์ มีความผิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/jga2f03n9pbh


ปลาช็อต เมนูยอดฮิต น้ำจิ้มซีฟู้ด ฆ่าพยาธิได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1lj3zhebv1u1b


สุดช็อก! ‘สูดดมควันธูป’ เสี่ยงปัญหาสุขภาพและมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nynurqw0t8i


แฉ! มุกใหม่แก๊งออนไลน์ดูดเงินในบัญชีเหยื่อ ‘ตำรวจ-ผู้เชี่ยวชาญ’ แนะวิธีป้องกันก่อนหมดตัว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3eoyg3lbc7fuf


“สัญญาณมือ” ขอความช่วยเหลือ ยามฉุกเฉิน

อ่านต่อได้ที่  ttps://cofact.org/article/vub6m65m5ef4


ทำใบขับขี่ปี 2566 สามารถเข้า Walk-in หรือจองคิวออนไลน์ผ่านแอปฯ DLT Smart Queue

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2hm0yp1ooa7d


 ไม่ควรกินวิตามินพร้อมชา กาแฟ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/35c2gs7eggn7r