สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 มีนาคม 2566

คลอรีนในน้ำประปา ทำให้ข้าวเป็นอันตราย หรือสูญเสียวิตามินบี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/pnbbwp8k4hti


‘แช่แข็งขวดน้ำพลาสติกเสี่ยงมะเร็ง’…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2atn0i3znl6ha


ธนาคารกรุงไทย เตือนมุกใหม่มิจฉาชีพ ใครเจอเหตุการณ์นี้ ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3if8tc9izhwyo


สีฉี่บอกโรค…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3o9hgtq4j7wtt


“เดินวันละ 10,000 ก้าว” ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2sih5t1qt0vu6


ลูกดูจอมือถือมากๆ เสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ryj6o4nx6a4i


เสาร์ 18 มีค. นี้ ชวนดูหนัง The Social Dilemma และร่วมวงสนทนา รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ กับ COFACT (ประเทศไทย)

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

ขอเชิญชวนรับชมภาพยนตร์ The Social Dilemma  และร่วมวงสนทนา รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2566 เวลา 13.00-16.30 น.

ณ หอภาพยนตร์ ศาลายา จ.นครปฐม
(พิกัดสถานที่)

13.00 – 14.30 น.
ชม “ภาพยนตร์สารคดี The Social Dilemma” ผลงานการผลิตของเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผลงานการกำกับของ เจฟฟ์ ออร์โลวสกี ที่นำเสนอปัญหาจากสื่อสังคมออนไลน์ในชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์และอิทธิพลที่ส่งผลต่อผู้ใช้งาน การถูกครอบงำชีวิตทั่วไป การเมือง มนุษยธรรม ความถูกต้อง หรือแม้แต่การแพร่กระจายของข่าวปลอมต่างๆ 

14.30 – 14.15 น.
พักรับประทานอาหารว่าง

14.45 – 16.30 น.
ร่วมสนทนา “มุมมองและประสบการณ์ปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทย”
โดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT (ประเทศไทย)

ลงทะเบียนร่วมงาน ได้ที่ลิงก์

https://fapot.or.th/main/cinema/view/1875

🎥 สนับสนุนกิจกรรมโดย Netflix

แกะรอยข่าว “ลูกชิ้นปลาเนื้อตัวเหี้ย” อีกหนึ่งบทเรียนของสื่อไทยและผู้ใช้โซเชียลมีเดีย

.โคแฟคตรวจสอบที่มาของข่าวการนำเนื้อตัวเหี้ยไปเป็นส่วนผสมของลูกชิ้นปลา พบว่าอาจเกิดจากการนำบทสนทนาในลักษณะ “คุยกันเล่นๆ” ของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จับกุมขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าใน จ.สุพรรณบุรี มาเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ จากนั้นจึงมีการนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กโดยไม่ผ่านการตรวจสอบที่มาและความถูกต้อง  จึงควรหยุดเผยแพร่และหยุดแชร์ต่อ

วันที่ 28 ก.พ. 2566 เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าจับกุมผู้ต้องหาลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พร้อมของกลางคือตัวเหี้ย ทั้งที่เป็นซากและที่ยังมีชีวิตเกือบ 100 ตัว

ข่าวนี้เริ่มได้รับความสนใจและแชร์กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงสายของวันที่ 1 มี.ค. เมื่อมีเพจเฟซบุ๊กบางแห่งรายงานว่า เนื้อเหี้ยที่ชำแหละแล้วจะถูกส่งไปทำลูกชิ้นปลา ส่งผลให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งกำกับดูแล บก.ปทส. ออกมาชี้แจงช่วงค่ำวันเดียวกันว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง 

“กรณีที่มีเพจหนึ่งโพสต์รูปภาพตัวเงินตัวทอง พร้อมข้อความระบุว่า ‘บุกทลายโรงงานผลิตลูกชิ้นปลาเจ้าใหญ่ที่ดัดแปลงใช้เนื้อของตัวเงินตัวทองมาทำเป็นลูกชิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ จัดจำหน่ายส่งขายทั่วประเทศมานานแล้ว’…จากการสอบถามผู้ต้องหาและจากการสืบสวน ยืนยันว่า ซากตัวเงินตัวทองเหล่านี้ เตรียมนำไปขายต่อที่ตลาดชายแดนภาคตะวันออก เพื่อนำไปประกอบเป็นอาหารป่าขายแก่ผู้ชื่นชอบเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด” บช.ก. ชี้แจงทางเฟซบุ๊ก

โคแฟคตรวจสอบ

เพจเฟซบุ๊กที่โพสต์เรื่องการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลาเมื่อวันที่ 1 มี.ค. และถูกแชร์ต่อจำนวนมาก เช่น 

• เพจ “ห้องข่าวจิตอาสา แจ้งเหตุเตือนภัย Live สด” โพสต์เมื่อ 11.45 น. ว่า “ป่าไม้เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก บุกทลายโรงงานลูกชิ้นทำจากตัวเงินตัวทองที่ อ.อู่ทอง ส่งขายทุกอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง (แทนลูกชิ้นปลาสีขาว)” ถูกแชร์กว่า 1 หมื่นครั้ง

• เพจ “อีซ้อขยี้ข่าว 2” โพสต์เมื่อ 17.24 น. ว่า “รวบพ่อค้าตัวเงินตัวทองรายใหญ่ค้าส่งชำแหละเนื้อขายส่งขายแปรรูปเพื่อนำไปเป็นอาหาร ทำเป็นลูกขิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังเกรงว่าน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ โดยชำแหละส่งไปขายทั่วประเทศทำแบบนี้มานานแล้ว” ถูกแชร์กว่า 1.5 หมื่นครั้ง 

• เพจ “ตาสว่าง” โพสต์เมื่อ 20.16 น. ว่า “ส่งขายทั่วประเทศ ทลายโรงงานผลิตลูกชิ้นปลาเจ้าใหญ่ที่ดัดแปลงใช้เนื้อของตัวเงินตัวทองมาทำเป็นลูกขิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ จัดจำหน่ายส่งขายทั่วประเทศมานานแล้ว” ถูกแชร์กว่า 1 หมื่นครั้ง

สื่อมวลชนกระแสหลักหลายแห่งก็เสนอข่าวลูกชิ้นปลาเนื้อตัวเหี้ยด้วยเช่นกัน เช่น เว็บไซต์มติชนพาดหัวข่าวว่า“เพจดังแฉ! ซากตัวเหี้ยรอชำแหละ แปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา-หนังตากแห้งเป็นปลากรอบ” โดยอ้างข้อความจากโพสต์ของเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว 2” และเพจเฟซบุ๊ก “ไทยรัฐนิวส์โชว์” พาดหัวข่าวว่า “บุกโรงงานชำแหละเหี้ย ขายเนื้อทำเมนูเปิบพิศดาร ‘ลูกชิ้นปลาเนื้อเหี้ย’” แต่ในเนื้อข่าวไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับลูกชิ้นปลา

ข่าวนี้ยังถูกแชร์โดยผู้สื่อข่าวและบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น เฟซบุ๊กของ Yuthana Boonorm ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน โดยโพสต์ของเขามีผู้แชร์ต่อไปกว่า 1.4 พันครั้ง 

จากการตรวจสอบของโคแฟคเมื่อ 3 มี.ค. 2566 พบว่า เพจเฟซบุ๊กและสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลานำเสนอคำชี้แจงของ บช.ก. โดยบางแห่งได้แก้ไขเนื้อข่าวเดิม แต่บางแห่งนำเสนอเป็นโพสต์หรือข่าวชิ้นใหม่ โดยไม่ได้นำข่าวเดิมออกจากระบบ ทำให้ข่าวเรื่องการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลายังปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊กและ TikTok รวมทั้งเว็บไซต์ของสื่อมวลชนบางสำนัก

โคแฟคสอบถามไปยังแอดมินของเพจ “ห้องข่าวจิตอาสา แจ้งเหตุเตือนภัย Live สด” ซึ่งเป็นเพจแรกๆ ที่โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลา ได้รับคำอธิบายว่าทางเพจนำข่าวนี้มาจากกลุ่มไลน์แจ้งเหตุเตือนภัย ซึ่งมีสมาชิกจากหลายจังหวัดเป็นผู้ส่งข่าวเข้ามา สำหรับข่าวนี้ได้มาจากกลุ่ม “เรารักสุพรรณบุรี” เขายอมรับว่าไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาก่อนโพสต์เพราะเป็นข่าวที่มาจากสมาชิกจึงคิดว่ามีความถูกต้อง อีกทั้งเพจห้องข่าวจิตอาสาฯ ยังนำเสนอในลักษณะ “เตือนภัย” เท่านั้น

จากการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก “เรารักสุพรรณบุรี” พบว่ามีการนำเสนอภาพและข่าวเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ไม่ได้ระบุว่ามีการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลา ขณะที่แอดมินเพจให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า เนื้อหาที่โพสต์นั้นมาจากกลุ่มไลน์ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเนื้อข่าวบอกเพียงว่าชำแหละส่งร้านอาหารป่า

ด้านผู้สื่อข่าวท้องถิ่นใน จ.สุพรรณบุรี ที่ลงพื้นที่ทำข่าวนี้ ให้สัมภาษณ์โคแฟคโดยขอไม่เปิดเผยชื่อว่า เขาได้ยินเจ้าหน้าที่คุยเล่นกันในเชิงขำขันว่าเนื้อตัวเหี้ยอาจจะถูกส่งไปโรงงานทำลูกชิ้น ผู้สื่อข่าวรายนี้จึงสอบถามตำรวจและเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันว่าข้อมูลเรื่องลูกชิ้นปลานั้นไม่เป็นความจริง 

ข้อสรุปโคแฟค: ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นความจริง หยุดแชร์

1. การสอบสวนของเจ้าหน้าที่จนถึงขณะนี้พบเพียงว่า ผู้ต้องหาขบวนการค้าสัตว์ป่าชำแหละเนื้อตัวเหี้ยส่งร้านอาหารป่าในจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ข่าวที่ระบุว่าเนื้อเหี้ยถูกนำไปทำลูกชิ้นปลาจึงยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง อีกทั้งยังไม่มีการอ้างแหล่งที่มาหรือระบุแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลดังกล่าว ข่าวนี้จึงไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ควรเผยแพร่ต่อ เพราะอาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร  

2. หากการสอบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่พบหลักฐานว่ามีการนำเนื้อตัวเหี้ยไปผสมลูกชิ้นปลาหรืออาหารชนิดอื่นที่มีการบริโภคอย่างแพร่หลายจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะโดยทันที พร้อมกับมีมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหารเพื่อปกป้องผู้บริโภค


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 มีนาคม 2566

ลูกชิ้นทำจากเนื้อ “ตัวเงินตัวทอง”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/25rpcyllnkre6


มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค้นพบวิธีการทำลายเกราะเซลล์มะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่     https://cofact.org/article/1dw3dxlprp2r1


กรมสรรพากรแจ้ง การยื่นภาษีประจำ 2566 ไม่สำเร็จคลิกเพื่อตรวจสอบรายละเอียด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/udwmfce15prc


ต้นตอ“ไวรัสมาร์เบิร์ก”เสี่ยงตายสูงWHOสอบระบาดครั้งแรกใน“อิเควทอเรียลกินี”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hduspg41bp0v


กั๊กที่จอดรถบนถนนสาธารณะ มีความผิด คนแจ้งเบาะแสได้ส่วนแบ่งค่าปรับ 50%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3458dpmbow7cv


เตือนภัยโจรแฮกบาร์โค้ดเลข 13หลักบัตรประชาชนสูญเงินนับล้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1nmba5o5pl7g1


ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย”    

Top Fact Checks Political

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยา นับถือศาสนาอิสลาม เป็นข้อมูลเท็จที่ไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันสนทนามาเป็นเวลากว่า 5 ปี โคแฟคตรวจสอบพบว่าข้อมูลเท็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในทุกแพลตฟอร์ม 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 8 มี.ค.2559 หลังจากมีการนำภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่กลุ่มชาวมุสลิมนำมาให้และภาพที่เขาและนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา ยืนใกล้ผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม

“เป็นธรรมกับผมหน่อยสิ…(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” นายกฯ กล่าว

เดือน ธ.ค. 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมและการดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการใหญ่สำนักงานอิสลามภาคพื้นเอเชียใต้” ทำให้นายกฯ ต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 17 ธ.ค. 2562 ว่า “ในเรื่องที่มีการโพสต์ว่าภรรยาผม…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว โฆษกรัฐบาลยังช่วยชี้แจงด้วยอีกหลายครั้ง เช่น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวเมื่อ 9 มิ.ย. 2561 ว่ามีผู้ปล่อยข่าวบิดเบือนและสร้างความสับสนว่า รัฐบาลอนุมัติงบประมาณก่อสร้างมัสยิดหลายแห่งและให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธเพราะนายกฯ เป็นมุสลิม 

เดือน ธ.ค. 2562 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นโพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”

แม้จะมีการชี้แจงหลายครั้ง แต่ข้อมูลเท็จว่าด้วยการนับถือศาสนาของครอบครัวจันทร์โอชาก็ยังถูกส่งต่อกันทางแอปพลิเคชันไลน์และปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดีย มีการอ้างถึงนายกฯ ว่า “เขยแขก” และวิจารณ์การตกแต่งทำเนียบรัฐบาลว่าเหมือน “เส้นทางเดินสู่สุเหร่า” เป็นต้น

โคแฟคตรวจสอบ

เนื่องจากข้อมูลเท็จเรื่องนายกฯ และภรรยานับถือศาสนาอิสลามถูกเผยแพร่มานานหลายปี โคแฟคยังไม่สามารถสืบสาวถึงต้นตอของข้อมูลนี้ได้ แต่หากดูจากช่วงเวลาการออกมาชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์และการรายงานข่าวของสื่อมวลชน สรุปเบื้องต้นได้ว่าข่าวเท็จนี้ปรากฏวนซ้ำมาตั้งแต่ปี 2559

สื่อมวลชนบางสำนักวิเคราะห์ว่า จังหวะเวลาการปล่อยข้อมูลเท็จนี้สัมพันธ์กับปัญหาเกี่ยวกับวงการสงฆ์ เช่น ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช (2559) การปิดล้อมวัดพระธรรมกาย เพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโยในคดีร่วมกันฟอกเงินกับอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (2561)   และการตรวจสอบคดี “เงินทอนวัด” (2562-2563)

การตรวจสอบของโคแฟคเมื่อ 24 ก.พ. 2566 พบว่า ข้อมูลเท็จนี้ยังคงปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊กและยูทูปของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีความเชื่อมโยงกับ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) และ สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายและกฎหมายที่พวกเขามองว่าเอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์  การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางศาสนา และการสร้างมัสยิด เป็นต้น 

อปพส. มีเลขาธิการชื่อนายอัยย์ เพชรทอง อดีตแกนนำลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่มีบทบาทมากในช่วงที่มีการชุมนุมไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกค้นวัดเพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโย ส่วน สปพ. มี น.ส.พาศิกา สุวจันทร์ เป็นนายกสมาคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 จากการรวมตัวของผู้ที่ไม่พอใจวิดีทัศน์เพลงชาติที่จัดทำขึ้นใหม่เพราะเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและผู้นำศาสนาพุทธ จึงเรียกร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินระงับใช้ 

ข้อมูลเท็จที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่มีลักษณะเกลียดกลัวอิสลามหรือ Islamophobia ที่เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กของ อปพส. และ สปพ. ซึ่งมักใช้ข้อมูลเท็จนี้มาประกอบข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธและความเชื่อที่ว่ามี “ขบวนการกลืนชาติ” บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเพื่อให้ไทยกลายเป็น “รัฐอิสลาม” 

เนื้อหาเหล่านี้มักถูกแชร์ต่อโดยสมาชิกเครือข่ายที่มักใช้ชื่อโปรไฟล์คล้ายๆ กัน คือ นำหน้าด้วยอักษรย่อ อพปส. หรือ “รวมใจคนไทยพุทธ” ผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มนี้มักจะโพสต์เนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน บางครั้งเป็นภาพและข้อความเดียวกัน มีการแชร์เนื้อหาของกันและกัน  และมีความเป็นไปได้ว่าหนึ่งคนอาจเป็นเจ้าของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายบัญชี

นอกจากเรื่องการนับถือศาสนาของนายกฯ และภรรยาแล้ว ช่วงที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามอีกหลายชิ้นที่ศูนย์ต่อต้านต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน  เช่น 

● กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงบรรจุอิสลามศึกษาไว้ในหลักสูตรของทุกโรงเรียน

● ศาสนาอิสลามมีกฎห้ามเคารพธงชาติและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

● หนังสือเรียนวิชาอิสลามห้ามไหว้ผู้มีพระคุณเพราะผิดหลักศาสนา

● ชาวมุสลิมมีบัญชีธนาคารอิสลามทุกคน และกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้

● ฝ่ายนิติบัญญัติผลักดันกฎหมายเพื่อจัดตั้งศาลชารีอะห์

● มีการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ดะวะห์” ที่ผลักดันให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติไทย

● กองทัพให้นักบวชอิสลามมาประกอบพิธีสถาปนามณฑลทหารบกแทนพระสงฆ์

● พล.อ.ประยุทธ์เตรียมนำคนมุสลิมจำนวนมากเข้ามาประเทศหลังเยือนซาอุดิอาระเบียเพื่อเปลี่ยนไทยเป็นรัฐอิสลาม

● สมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็นประกาศยึดรัฐปัตตานีในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ

● พ.ร.บ.กิจการฮัจย์เปิดช่องให้อิสลามเข้าควบคุมกรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย

● รัฐธรรมนูญไทยระบุว่าจุฬาราชมนตรีมีอำนาจเหนือนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทย เป็นต้น 

ข้อสรุปโคแฟค: ข้อมูลเท็จ หยุดแชร์

พล.อ.ประยุทธ์และโฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงซ้ำหลายครั้งว่านายกฯ และภรรยาเป็นพุทธศาสนิกชน นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายจำนวนมากที่ยืนยันว่าทั้งสองเข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ  ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของนายกฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวลวงที่มีเนื้อหาปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลามในสังคมไทย โคแฟคแนะนำหยุดเชื่อ หยุดแชร์ เพราะเป็นข้อมูลเท็จที่สร้างความเกลียดชัง แต่อย่างไรก็ตาม เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรนำมาสร้างความเกลียดชังกัน ไม่ว่ากรณีใดๆ


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566

รักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยการดื่มน้ำกระชายผสมน้ำผึ้งมะนาว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/73dw6ffxk5qu


ทาวาสลีนในรูจมูก ช่วยดักจับฝุ่น PM 2.5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/3tfzhz6xfkvrt


กินยาเม็ดหรือแคปซูลกับน้ำเย็นเท่านั้นจริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่     https://cofact.org/article/13nvmvax2nbii


 เมื่อ อายุ 65 ปีขึ้นไป จะได้รับ “ยกเว้นภาษี 190,000 บาท”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24yzgxob8m5de


21 กพ. 66 “รถบรรทุกแก๊ส”พลิกคว่ำ ไฟลุกท่วมกลางถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี กม.8

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1zjhikwfcvw8p


กั๊กที่จอดรถบนถนนสาธารณะ มีความผิด คนแจ้งเบาะแสได้ส่วนแบ่งค่าปรับ 50%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3458dpmbow7cv


การงีบหลับกลางวันเป็นประจำ จะทำให้บุคคลที่เป็นเพศหญิง ลดการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงมากถึง 37%…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/13ddzhinbkk7v


ถูกดูดเงินจากบัญชี ธนาคารต้องรับผิดชอบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2p8bv9i4wss97


ถอดบทเรียนจาก‘ฟิลิปปินส์’ถึง‘ไทย’ ‘ข้อมูลบิดเบือน-ปฏิบัติการข่าวสาร’ปัจจัยเสี่ยงการเลือกตั้ง

10 ก.พ. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) จัดประชุมเรื่อง “เจาะ (อิทธิพล) ปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์ (Online Manipulation) กับผลการเลือกตั้ง : บทเรียนจากฟิลิปปินส์สู่ไทย” ณ โรงแรมโอเรียนทัล เรสซิเดนซ์ ถ.วิทยุ กรุงเทพฯ

โมริทช์ ไคลเนอ-บรอคฮอฟฟ์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ (FNF) กล่าวว่า ตนนั้นอายุ 68 ปีแล้ว เติบโตมาในเยอรมนียุคทศวรรษ 1970-1980 (ปี 2513-2532) สื่อมวลชนหลักในยุคนั้น คือวิทยุ-โทรทัศน์ และข้อมูลข่าวสารที่มาจากภาครัฐ ซึ่งความสำคัญของสื่อในช่วงเวลานั้นคือข้อมูลต้องเชื่อถือได้ แต่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และตัวเราต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อในข้อมูลที่ได้รับเหล่านั้นหรือไม่ เพราะมีข่าวลวง (Fake News) อยู่มากมายเต็มไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน การแข่งขันนั้นมีทุกยุคทั้งนักการเมืองหรือบริษัท หรือแม้แต่มูลนิธิ ซึ่งไม่ว่าองค์กรแบบใด หากโกหกแล้วถูกจับได้ความน่าเชื่อถือจะดิ่งลงเหวไปและยากมากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาได้ แต่ข้อสังเกตคือยุคปัจจุบันการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารปลอมหรือบิดเบือนนั้นมียุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การทำผิดพลาดแบบครั้งต่อครั้ง อย่างเช่นเรื่องของโดนัลด์ ทรัมป์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) ในการเลือกตั้งที่สหรัฐฯ หรือเรื่องอื่นๆ เป็นทราบกันดีว่ามีการสร้างเรื่องราวขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องแต่ก็ใช้การอย่างได้ผล

“การทำหัวข้อรณรงค์ที่เป็น Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อน) อย่างเป็นระบบ กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคมไปแล้ว ซึ่งผมรู้สึกตกใจมาก เพราะเราอยู่กันตรงนี้เพื่อดูบทเรียนจากฟิลิปปินส์ และผมคิดว่าเราสามารถจะทำอะไรในการต่อต้านปฏิบัติการข้อมูลบิดเบือนในออนไลน์ได้บ้าง ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ แล้วฟิลิปปินส์เพิ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อไม่นานนี้ช่นเดียวกัน” ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในบางครั้งมีความซับซ้อนระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น ซึ่งเราต้องแยกให้ได้ระหว่างข้อเท็จจริงกับสิ่งต่างๆ ที่แทรกเข้ามาในการเมือง ดังนั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ทุกคนควรอยู่บนแพลตฟอร์มที่เปิดเผย ปลอดภัยและสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ และยินดีที่จะได้รายงานว่าสิ่งนี้เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว นี่คือสิ่งที่โคแฟคต้องการทำ 

ตัวอย่างจากเมื่อเร็วๆ นี้ ตนเพิ่งไปประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้พบคนรุ่นใหม่จากฟิลิปปินส์ซึ่งมาจากพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมก้าวหน้า ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) จำนวนมาก แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เพราะบางครั้งผู้คนก็ไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงแต่เลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ สำหรับโคแฟคความจริงสำคัญที่สุด แต่ในแง่การเมืองหลายคนก็บอกว่าข้อเท็จจริงไม่สำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลต่างๆ ที่โยนเข้าไปในโลกออนไลน์

เราคิดว่าข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และแน่นอนสันติภาพ เพราะเราต้องการเห็นเรื่องของหลักนิติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีการนำมาใช้ในเวทีเลือกตั้งในครั้งนี้ แน่นอนมันไม่ง่าย มันมีข้อมูลท่วมเราเหมือนกับทะเล แล้วก็เห็นข้อมูลอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้ง มีการปั่นให้เกิดขึ้นทางออนไลน์ด้วยบางครั้ง อันนี้เราก็ดูว่าทางผู้ที่ต้องดูแลจะต้องทำอย่างไร ทั้งความเท็จรวมทั้งปฏิบัติืการทางออนไลน์ด้วย เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรอวจสอบ สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “ถอดบทเรียนการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ 2022 จากมุมมองสื่อสารมวลชน” โดยมีวิทยากรจากประเทศฟิลิปปินส์ 2 ท่าน ซึ่ง ผศ.คลิฟ วี.อาร์เกวยเยส ภาควิชารัฐศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัย เดอ ลา ซาลล์ เปิดประเด็นด้วยคำถาม “ทำไมต้องตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน?” ซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแตกต่างจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จด้วยความเข้าใจผิด ตรงที่ “ข้อมูลบิดเบือนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ” มีจุดประสงค์ในการสร้างผลเสียต่อบุคคล ชุมชนหรือสังคมทั้งหมด 

ข้อมูลบิดเบือนทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมือง เกิดความเกลียดชัง เกิดการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มศาสนาที่เป็นชนกลุ่มน้อย เช่น การทำร้ายชาวโรฮิงญาในเมียนมา หรืออาจดึงความสนใจจากสาธารณชนออกไป อย่างในฟิลิปปินส์ที่มีการเลือกตั้งมาแล้วก็มีการใช้ข้อมูลบิดเบือนมากมายซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจใช้สิทธิ์ออกเสียงของเรา ดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงว่าข้อมูลบิดเบือนบั่นทอนความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง เช่น มีการกล่าวหาว่ามีการโกงเลือกตั้งทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ อย่างในสหรัฐฯ ก็นำไปสู่การประท้วงอย่างรุนแรง

ข้อมูลบิดเบือนยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนในสายตาประชาชน ไม่ว่าสื่อนั้นจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนก็ตาม ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่จำเป็นต้องมีการตอบโต้ข้อมูลบิดเบือน ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ 1.แบบหยาบ (Crude) ข้อมูลไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี ออกแนวความเห็นป่วนๆ (Troll) มากกว่า กับ 2.แบบซับซ้อน (Sophisticate) มีการใช้เทคโนโลยี หรือใช้กลวิธีประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้เกิดเป็นกระแส (Viral) ได้จริง เช่น Deep Fake (เทตคโนโลยีปลอมแปลงภาพ-เสียงของบุคคลอื่น)

คำถามต่อมา จะต่อต้านข้อมูลบิดเบือนได้อย่างไร? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศมีข้อมูลบิดเบือนที่แตกต่างกัน อย่างแรกจึงต้องดูลักษณะการบิดเบือน ต่อมาต้องมีผู้เฝ้าระวังทางสังคม (Watchdog) อยู่ แต่จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับระบบที่มีในประเทศนั้นๆ เช่น กฎเกณฑ์ของรัฐระบุการดำเนินการไว้อย่างไร หรือความแตกต่างของแต่ละสื่อและการเผยแพร่ในแต่ละแพลตฟอร์ม สุดท้ายคือบทบาทของภาคประชาสังคมและภาคเอกชนในการมีส่วนร่วม ซึ่งอย่างหลังนี้เองเป็นตัวแบบ (Model) ที่ปกป้องเสรีภาพได้มากที่สุด

ทั้งนี้ ข้อมูลบิดเบือนอาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายรัฐหรือฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐก็ได้ ผ่านการใช้สื่อที่เป็นเชิงพาณิชย์เข้าไปเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งเป็นกลวิธีแบบ Sophisticate อย่างหนึ่ง เพราะใช้กลไกความเสรีของสื่อ ใช้ความสร้างสรรค์สูงในการทำข้อมูลปั่นกระแส ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสื่อต่างๆ จะมีการตรวจสอบแค่ไหน และต้องพิจารณาความหลากหลายของสื่อเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการข้อมูลบิดเบือน 

ส่วนการที่รัฐจะออกระเบียบมาควบคุมข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นอันตรายเพราะสื่อจะรู้สึกว่าถูกควบคุม และการที่รัฐไม่สามารถขยายอำนาจการควบคุมไปถึงสื่ออินเตอร์เน็ต ก็เท่ากับรัฐไม่สามารถควบคุมกระแสทางออนไลน์ได้ อนึ่ง รัฐเองอาจมีทางเลือกน้อยสำหรับการเข้าถึงและกระจายสื่อที่เป็นข้อเท็จจริง ในขณะที่ภาคประชาสังคมอาจทำได้ดีกว่าในการต่อต้านข้อมูลบิดเบือน แต่ก็้ต้องยอมรับว่าหากเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนก็เป็นเรื่องยากในการจัดการ เรื่องนี้จึงเหมือนแมวไล่จับหนู หมายถึงการต้องคอยดูว่าจะจัดการอย่างไร

ในการเข้าใจว่ามันมีการผลิต Disinformation อันนี้มาจากการศึกษาการจัดเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2562 ล่าสุดคือ 2565 มันกลายเป็นสิ่งที่เป็น Mainstream (กระแสหลัก) เป็นส่วนหนึ่งของการทำยุทธศาสตร์การเลือกตั้งทั่วไปในฟิลิปปินส์แล้ว ถือเป็น Content (เนื้อหา) หนึ่งเลยทีเดียว แล้วมันมีแต่ละขั้นตอนในการทำข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้ แต่ละคนก็จะมีบทบาทที่แตกต่างกันไป จุดที่มันเป็นยุทธศาสตร์บนๆ เรื่องของการโฆษณา ก็จะเป็นคนระดับสูงๆ จะบอกแบบว่าตัว Disinformation Content (เนื้อหาบิดเบือน) จะเป็นอย่างไร จะมีประสิทธิภาพได้แบบไหนบ้าง

เสร็จแล้วก็ส่งมาในทีมที่เป็น Production (ฝ่ายผลิต) เป็นมือโปรในทำ PR (ประชาสัมพันธ์) ทำแผนยุทธศาสตร์การโฆษณาต่างๆ ทำมีม รูป Infographic ต่างๆ ที่เขาทำบิดเบือนขึ้นมา จากนั้นส่งต่อมาที่ทีมเทคนิค พวกนี้เป็น Social Media Manager (ผู้จัดการสื่อสังคมออนไลน์) เป็นบริษัทเทคโนโลยี แล้วถ้าเรามาดูวิถีนี้ แนวทางนี้ก็จะเห็นได้เลยว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตทั้งหมดจำเป็นจะต้องมีมาตรการในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ผศ.คลิฟ ระบุ

ผศ.คลิฟ ยังกล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง หากทำงานกับองค์กรที่ควบคุมการติดตามผลการเลือกตั้ง เช่น ในประเทศไทยคือ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อตรวจสอบการออกแบบหัวข้อรณรงค์หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ มีการรายงานว่างบประมาณที่ใช้จัดทำมาจากแหล่งใด ก็จะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การผลิตข้อมูลบิดเบือนด้วยเช่นกัน

ด้าน รศ.อีวอน ชัว วิทยาลัยสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ในฟิลิปปินส์มีข้อมูลบิดเบือน หรือ Disinformation จำนวนมาก โดย 9 ใน 10 ของชาวฟิลิปปินส์มีประสบการณ์ได้รับข้อมูลบิดเบือนโดยเฉพาะเรื่องการเมือง ซึ่งในฟิลิปปินส์มีเว็บไซต์ tsek.ph ซึ่ง Tsek คือการเขียนคำว่า Check ในภาษาฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นจากการสร้างความร่วมมือเกิดเป็นเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2562 ภาคีเครือข่ายนอกจากสื่อแล้วยังมีภาควิชาการ จากนั้นในปี 2563 มีการดึงภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของสื่อในฟิลิปปินส์มีการแข่งขันกันจึงไม่ต้องการให้สื่อใดเป็นผู้นำ จึงต้องอาศัยภาควิชาการเพราะต้องการคนที่เป็นกลาง แต่การทำงานในรูปแบบภาคีไม่อาจบังคับหรือกำหนดให้ใครทำอะไรได้ ต้องเป็นข้อเสนอเข้ามา แต่จะมีการตกลงเรื่องการให้แชร์ข้อมูลที่ตรวจสอบเพื่อนำไปกระจายในอุตสาหกรรมสื่อ เช่น ให้เผยแพร่ได้เพียงกี่ย่อหน้า แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วในการนำไปใช้ต่อต้านข้อมูลบิดเบือน 

มีการทำข้อตกลงอย่างละเอียดร่วมกันแล้วว่าอะไรทำได้แค่ไหน รวมถึงยังต้องมีฝ่ายกฎหมายเพื่อดูแลหากเกิดการฟ้องร้องขึ้น ส่วนมาตรฐานการตรวจสอบข้อมูลก็ยึดตามแนวทางของ International Fact Checking Network (IFCN) มีการตกลงระบบการให้เรตติ้ง (จริง ปลอม บิดเบือน ฯลฯ) ในภาคีเครือข่ายเป็น 5 ระดับ สำหรับใช้ในฐานข้อมูลกลาง โดยมีบรรณาธิการของภาคีเครือข่ายเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนการใส่ข้อมูลลงในฐานข้อมูลก็ฝากทางมหาวิทยาลัยดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาคนทำงานสื่อที่ไม่มีเวลา

มีการประชุมจัดทำหลักสูตร ใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้ได้หลักสูตรอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร แบบเป็นหลักสูตรเร่งรัด 1 วัน รวมไปถึงจัดหลักสูตร 1 เทอม ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วย ทำให้บางครั้งจะพบว่านักศึกษามีความรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทำงานสื่อ แม้จะทำไม่สำเร็จตามเป้าทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความรู้เรื่องข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวลวง

กระทั่งในปี 2565 ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ครั้งนี้คณะทำงาน tsek.ph มีความเข้าใจแล้วและมีแนวทางอยู่จึงทำเพียงส่งคำเชิญภาคีเครือข่ายเท่านั้น ที่สำคัญครั้งนี้ยังมีภาคประชาสังคมที่มีศักยภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาอีก มีสื่อหลายสำนักที่มาเข้าร่วม รวมถึงภาควิชาการที่ในแต่ละ 1 มหาวิทยาลัยอาจมีหลายโครงการก็ได้ มีอาสาสมัครสังเกตการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา มีการฝึกอบรมที่ขยายจากทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเพิ่มการทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ มีจรรยาบรรณ และมีความปลอดภัยทั้งทางกาย กฎหมาย รวมถึงทางจิตใจ

การปล่อยข่าวลวงข่าวปลอมมีมาเป็นสิบๆ ปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องตระหนักยึดไว้เสมอก็คือว่า ถ้าพวกเขาใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะสร้างข้อมูลปลอมพวกนี้ได้ เราไม่สามารถถล่มมันได้ภายในคืนเดียว สิ่งที่สำคัญมากคือต้องอย่าล้มเลิกความหวัง แม้กระทั่งการเลือกตั้งจะจบลงไปแล้ว ถึงคุณคิดว่าความพยายามของคุณไม่เกิดดอกออกผลอะไรเลย ไม่ใช่! แต่ถามตัวคุณเองว่าเราจะทำอะไรได้อีกในการเผชิญกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในเรื่องที่เราเรียกว่าข้อมูลบิดเบือนรศ.อีวอน กล่าว

รศ.อีวอน ยังกล่าวถึงความท้าทายในสังคมฟิลิปปินส์ เนื่องจากข้อมูลบิดเบือนมาทางคลิปวีดีโอมากกว่าตัวหนังสือ ซึ่งก็มีทั้งคลิปยาวบ้าง-สั้นบ้าง และไม่รู้ว่าแทรกข่าวลวงไว้ตรงไหน คนทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงต้องมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลในแพลตฟอร์มดังกล่าวด้วย เคยมีการทำคลิปวิดีโอตรวจสอบข้อเท็จจริง ภายในเวลาไม่กี่วันมียอดคนดูถึง 7 หมื่น ชี้ให้เห็นว่าเป็นสื่อที่ดึงดูดมาก จึงต้องลงทุนเล่าเรื่องและจี้ลงไปว่าอะไรที่บิดเบือน

สุดท้ายคือเรื่องของการดึงสื่อสำนักต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย ซึ่งอาจจะมีทั้งสื่อที่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ซ้าย-ขวา หรือชอบ-ไม่ชอบรัฐบาล เรื่องนี้ก็เหมือนกับการแต่งงานที่ไม่สามารถบังคับใครได้ ดังนั้นสื่อที่ไม่พอใจกรอบข้อตกลงก็จะไม่เข้ามาร่วม จึงต้องยอมรับว่าไม่สามารถดึงสื่อมาเข้าร่วมได้ทุกสำนัก แต่หากสมมติ เช่น มีสื่อ 30 สำนัก ดึงมาเข้าร่วมได้ 14 สำนัก ก็ถือว่าดีแล้ว และตนอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นการสร้างสมรรถนะของแต่ละภาคส่วนสำหรับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เพื่อปกป้องข้อมูลที่ถูกต้อง

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “เราพลาดตรงไหน-อะไรที่ไม่ได้ทำ-ต้องทำอย่างไร เพื่อให้การหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสร้างภูมิคุ้มกันต่อปฏิบัติการข้อมูลบนโลกออนไลน์” โดยมีวิทยากร 3 ท่าน เริ่มจาก เจสัน อาร์ กอนซาเลซ ผู้อำนวยการพรรคเสรีนิยม ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ข้อมูลบิดเบือนเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อประชาธิปไตยของฟิลิปปินส์ และการกลับมายิ่งใหญ่ของตระกูลมาร์กอสหลังจากที่ต้องอับอายหลบหนีไปนานก็เพราะมาจากการทำข้อมูลลักษณะนี้

รายงานการศึกษาเรื่อง “Fake News and internet propaganda , and the Philippine elections : 2022 พบว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูบ (Youtube) และติ๊ี๊กต๊อก (TikTok) คือแพลตฟอร์มออนไลน์ 3 อันดับแรกที่พบข้อมูลบิดเบือนในฟิลิปปินส์ พบผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลเหล่านี้ถึง 67 ล้านครั้ง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทัศนคติของคนฟิลิปปินส์จำนวนมาก มองว่าอะไรที่ตนเองไม่เห็นด้วยคือข่าวลวง (Fake News) ทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วง

ในปี 2561 มีงานวิจัยชื่อ “This is what a paid operation looks like.” ว่าด้วยกระบวนการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากลูกค้าที่เป็นนักการเมือง มีการกำหนดหัวข้อรณรงค์ ข้อความที่ต้องการสื่อออกไป ก่อนแปรรูปเป็นเนื้อหาสำหรับเผยแพร่โดย อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือบุคคลที่เก่งในการผลิตเนื้อหาบนโลกออนไลน์และมีชื่อเสียงมีผู้คนให้ความสนใจติดตามมาก สุดท้ายถูกทำให้แพร่กระจายโดยบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำปลอมขึ้น กระบวนการนี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การดำเนินการเกิดขึ้นในบ้านซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัท

ในปี 2565 ยังมีการศึกษาหัวข้อ “Parallel Public Spheres : Influence Operations in the 2022 Philippine Elections” พบกระบวนการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในบทบาทที่หลากหลาย เช่น บางคนถูกวางตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีการใช้ชาวต่างชาติที่อาศัยในฟิลิปปินส์ที่หน้าตาดีมาดึงดูดความสนใจ เป็นต้น อนึ่ง พฤติกรรมของผู้รับสารที่ชอบอะไรสั้นๆ ก็มีผลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวคือ ผูุ้้รับสารจะอ่านเพียงพาดหัวข่าวแต่ไม่ได้สนใจเนื้อหาภายในข่าว แล้วก็มาอ่านเฉพาะความเห็นที่มีผู้โพสต์ถึงเนื้อหานั้น

“Influence Operations (ปฏิบัติการสร้างอิทธิพล) ถือเป็นกรอบใหญ่ในการที่จะระบุบุคลิกลักษณะ ตัวแพลตฟอร์ม แล้วก็แนวปฏิบัติที่จะสามารถยึดเอาความเห็น เอาความสนใจของสาธารณะได้ แล้วก็มีการขับเคลื่อนความคิดเห็น แล้วมีผลต่อผลลัพธ์ของการเลือกตั้งได้ด้วย พูดง่ายๆ คุณจะจัดการกับการใส่ร้ายป้ายสีได้อย่างไร กับการเปรียบเทียบไปเป็นพิน็อกคิโอ (ตัวละครในนิทาน) เฉยๆ ลอยๆ ขึ้นมา 

ตัว Influence Operations สามารถที่จะใช้ข้อมูล Disinformation ได้อย่างยาวนาน พูดง่ายๆ มันมีอันตรายมากในช่วงการเลือกตั้ง แต่เมล็ดพันธุ์ของมันถูกเพาะไว้ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะให้เติบโตในหัวของคน แล้วมันเติบโตทั้งปริมาณด้วย บ่อยครั้งเราจะเห็นหลายแพลตฟอร์ม แล้วก็มีอินฟลูเอนเซอร์มากมาย หรือมีคนหยิบยกข้อความเดียวกันมาย้ำๆ นั่นคือวิธีที่คุณเปลี่ยนคำโกหกให้กลายเป็นความจริง” เจสัน กล่าว

ขณะที่ ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยหัวหน้าโครงการ Monitoring Center on Organized Violence Events (MOVE) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า เริ่มสนใจ ไอโอ (IO-Operation Information) หรือการทำ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร บนโลกออนไลน์เมื่อ 5 ปีก่อน โดยเฝ้าสังเกตการณ์ไอโอทั้งที่ถูกจัดตั้งและไม่ถูกจัดตั้ง อย่างไรก็ตาม ในบริบทสังคมตะวันตกที่การเมืองเป็นแบบเปิด จึงเปราะบางต่อการแทรกแซงของข้อมูลข่าวสาร การถกเถียง (Debate) เกี่ยวกับไอโอในสังคมแบบนี้ จึงว่าด้วยผลกระทบด้านความเป็นปึกแผ่นของสังคม

เช่น จะมีการแบ่งขั้ว-แยกข้าง หรือมีความคิดสุดโต่งเกิดขึ้นในสังคมเพียงใด ซึ่งทำให้ความเป็นประชาธิปไตยในสังคมเสื่อมลง ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นก็มีการเมืองแบบเปิด ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจึงเป็นแบบกระจาย ดังนั้นจึงไม่อาจนำกรณีของประเทศไทยไปเทียบเคียงได้ เพราะไทยนั้นมีบรรยากาศของข้อมูลข่าวสารที่ถูกควบคุม ดังนั้นสำหรับไทยนอกจากข้อมูลข่าวสารจะถูกควบคุมแล้วยังมีการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบรรยากาศแบบนี้อำนาจมีความไม่เท่ากันอยู่ อาทิ ทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้ทำไอโอของพรรคการเมืองแต่ละฝั่งไม่เท่ากัน

หรืออาจกล่าวได้ว่า ภายใต้บรรยากาศที่อำนาจไม่เท่ากัน ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจะถูกใช้เพื่อรักษาฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า มีตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น อินเดีย ที่พรรครัฐบาลคือ BJP สามารถกดดันแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก ไม่ให้จัดการกับถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่มาจากพรรค BJP ได้ ส่วนในบริบทประเทศไทย มีทั้งการใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่าง การจับกุมดำเนินคดี ไปจนถึงการใช้สปายแวร์ (Spyware) สอดส่องตัวละครทางการเมือง ไม่ใช่แค่นักเคลื่อนไหวแต่รวมถึงนักการเมืองด้วย

ทั้งนี้ การทำสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ในบริบทการเลือกตั้ง หรือในสังคมที่ขัดแย้งกัน แต่การทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่อันตราย คือในบริบทที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย เพราะจะนำมาซึ่งวิธีการต่างๆ เช่น กระจายข้อมูลที่เป็นการทำลายชื่อเสียง ตั้งคำถามถึงศีลธรรมหรืออารมณ์ความรู้สึกของบุคคลซึ่งผู้ถูกกระทำจะกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม และเป็นการสร้างฉากต่อไปคือการดำเนินคดี แต่ข้อค้นพบนี้จะเกิดขึ้นในบริบทของไทยหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป

สมมติว่าเราเอาบรรยากาศการเลือกตั้งเข้ามาวางในท่อวิเคราะห์ของดิฉัน คำถามต่อไปคือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลข่าวสาร ขณะเดียวกันก็เกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและบรรยากาศการควบคุมครรลองของการเลือกตั้ง ฉะนั้นสิ่งที่เราจะเห็นก็คือการผสมกันของ หนึ่ง..การดำเนินคดีของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ต่อผู้โพสต์ข้อความ ต่อผู้แชร์ข้อมูลที่อาจจะไม่ตรงหรือว่าผิดกติกา ตามที่ กกต. เห็น และการแชร์ข้อมูลเหล่านี้หลายครั้งเป็นข้อมูลที่มาจากกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของราชการ

คำถามก็คือการแชร์ข้อมูลเหล่านี้ที่โดนดำเนินคดี โดยกลไกการตรวจสอบการเลือกตั้งอื่นๆ มันจะส่งผลต่อความสามารถในการตรวจสอบการเลือกตั้งของภาคประชาสังคมหรือไม่ ประเด็นถัดมาก็คืองานวิจัยที่ทำอยู่และกำลังจะดำเนินต่อไป พบว่าการตรวจตราสอดส่องมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันทำให้ผู้ที่ตรวจตราสอดส่องตัวละครทางการเมืองทั้งหลายมีข้อมูลมากพอ นอกจากจะชี้ว่าใครทำผิดกฎหมายอะไรในโลกออนไลน์บ้างแล้ว สามารถ Craft (ประดิษฐ์) สามารถออกแบบข้อความที่ใช้ในการโจมตีตัวละครทางการเมืองได้ด้วย ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว

ด้าน ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เปรียบเทียบไทยกับฟิลิปปินส์ในประเด็น ตระกูลการเมือง กล่าวคือ หากรุ่นลูกถูกเสนอชื่อเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งสำคัญอย่างประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประวัติของรุ่นพ่อจะถูกขุดคุ้ยมาบอกเล่า เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกเล่าแบบใด หากเป็นฝ่ายที่ชอบรุ่นพ่อก็จะเล่าในแง่บวก แต่หากเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะเล่าในแง่ลบ และจะมีทั้งการขุดข้อมูลเก่ามาฉายซ้ำและการตีความข้อมูลนั้นใหม่

ส่วนการทำสงครามข้อมูลข่าวสารระหว่างฝ่ายต่างๆ นั้นจะมีทั้งกลุ่มจัดตั้งและกลุ่มที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสถภาวะแบบนี้ก็จะผลิตข้อมูลมาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันตลอดเวลา นอกจากนั้น ในทุกวันเราทุกคนผลิตข้อมูลกันตลอดเวลา บางอย่างเป็นข้อเท็จจริงแต่บางอย่างก็เป็นความคิดเห็น หรือบางอย่างก็เป็นบทวิเคราะห์ที่วิเคราะห์จากอะไรก็ไม่รู้ คำถามคือเราจะตรวจสอบกันไหวหรือไม่หรือจะปล่อยให้แต่ละคนเลือกเชื่อและเลือกวิเคราะห์กันเอง

ช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร ที่มันน่าสนใจก็ตรงที่ว่า เราสังเกตดีๆ ช่องทางที่กังวลเยอะๆ เช่น Social Media มันเริ่มมีสัดส่วนคนที่รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้งช่องทางนี้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต ส่วนสื่อ Traditional (ดั้งเดิม) วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อะไรนี่ตกไปเลย แต่ที่น่าสนใจคือช่องทางรับข้อมูลที่มันมาจากช่องทางธรรมชาติ มันยังเป็นช่องทางที่คนจำนวนไม่น้อยเขารับอยู่

โดยเฉพาะการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร-พรรคการเมือง โดยเฉพาะคำบอกเล่าของคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน อันนี้เป็นช่องทางที่เขารับข้อมูลข่าวสาร คืออะไรที่มันมาจากช่องทางที่มันเป็นทางการมันก็ยังมีการคัดกรอง มีการเช็คกันได้ หรือ Social Media อินเตอร์เน็ต มันก็ยังมีระบบเข้าไปช่วยได้ แต่ที่มาจากตัวต่อตัวจากนักการเมือง เวลาเขาพูดถึงตัวเองเขาก็ต้องพูดในทางที่ดี ส่วนพูดถึงคู่แข่งก็ต้องพูดทางที่ร้าย การพูดคุยกันเองระหว่างผู้คน ก็ตั้งเป็นประเด็นไว้ว่าเราจะเช็คกันไหวหรือ” ดร.สติธร กล่าว 

ในตอนท้าย ดร.ไมเคิล วาติกิโอดิส ที่ปรึกษาอาวุโส Centre for Humanitarian Dialogue (HD) เป็นผู้กล่าวปิดงาน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยคิดว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของเงิน แต่วันนี้เห็นได้ชัดและต้องขยับจากเงินมาเป็นข้อมูล และการเล่าเรื่อง (Narrative) เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการทำให้เกิดการเสวนา (Dialogue) ก็ต้องมาจากการเล่าเรื่องที่ดี ทั้งนี้ ในบริบทประเทศไทย ตนคิดว่าสิ่งที่จะช่วยได้จริงๆ ในการตอบโต้ข้อมูลเหล่านี้คือการนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เพราะจะเป็นหนทางในการเอาชนะข้อมูลบิดเบือน เพราะการมีเรื่องเล่าส่งผลต่อการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากฟิลิปปินส์คือถ้าคนอ่านประวัติของยุคมาร์กอสจริงๆ เขาก็จะสามารถทำการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงออกไปตอนลงคะแนนเสียงแน่นอน เพราะมันมีประวัติอยู่แล้ว และผมก็คิดถึงความสำคัญมากๆ ในตอนนี้ ในการพูดถึงประวัติศาสตร์ออกไป แล้วก็เปลี่ยนให้มันเป็นกระบวนการ สำหรับผมคิดว่ามันมีประโยชน์มากสำหรับพรรคการเมือง สำหรับภาคประชาสังคมต่างๆ ในประเทศไทย ในการสร้างการหารือ ทำความคุ้นเคยกับคนที่มาลงคะแนนเสียงในยุคใหม่ๆ หรือว่าเด็ก-เยาวชน ให้เข้าใจอดีตที่เกิดขึ้น ดร.ไมเคิล ฝากทิ้งท้าย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อกตั้ง

มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี ผลงานรัฐบาลไหน?

Top Fact Checks Political


ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือ “มอเตอร์เวย์” เป็นเมกะโปรเจกต์ที่ฝ่ายการเมืองมักนำมากล่าวอ้างว่าเป็นหนึ่งใน “ผลงาน” ของฝ่ายตน โดยเฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โคแฟคตรวจสอบคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวในเวทีปราศรัยใหญ่ที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อ 29 ม.ค. 2566 ว่ามอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรีที่คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า “เริ่มมาตั้งแต่สมัยไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และอยู่ในโครงการ (เงินกู้) สามล้านล้าน ตอนสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของเพื่อไทย” ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ออกมาวิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงความล่าช้าในการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา และกล่าวว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์และได้เป็นรัฐบาล “จะเร่งรัดการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน”

การที่พรรคเพื่อไทยหยิบยกมอเตอร์เวย์ขึ้นมาหาเสียง ทำให้ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันโลกออนไลน์” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 34,000 คน โพสต์ข้อความว่า “มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช เป็นผลงานของรัฐบาลปัจจุบันทั้งหมด ตั้งแต่ตอกเสาตอม่อต้นแรกจนใกล้แล้วเสร็จ พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” และสรุปว่ารัฐบาลของนายทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายบางปะอิน-โคราช หรือทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายอื่นๆ 

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อ 15 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า หนึ่งในผลงานช่วง 8 ปีที่เขาเป็นนายกฯ คือ การสร้างมอเตอร์เวย์เพิ่มขึ้น 3 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมา บางใหญ่-กาญจนบุรี และพัทยา-มาบตาพุด สอดคล้องกับเพจเฟซบุ๊กพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แชร์อินโฟกราฟิกรวม “33 ผลงานภาคอีสาน” ของรัฐบาลประยุทธ์ หนึ่งในนั้นคือมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานต่างๆ เช่น ราชกิจจานุเบกษา มติคณะรัฐมนตรีย้อนหลังในเว็บไซต์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมทางหลวง และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม เป็นต้น พบว่าโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. วงเงินลงทุนรวม 84,600 ล้านบาท และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. วงเงินลงทุนรวม 61,034 ล้านบาท ดำเนินงานมายาวนานกว่า 20 ปี และเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหลายชุด จากข้อมูลออนไลน์ที่โคแฟคสืบค้นเมื่อ 16 ก.พ. 2566 สรุปความเป็นมาของโครงการได้ดังนี้ 

มอเตอร์เวยสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6)

1. เป็น 1 ใน 13 โครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองซึ่งได้รับการอนุมัติจาก ครม. เมื่อ 22 เม.ย. 2540 สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
2. รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของโครงการ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อ 23 พ.ย. 2549 ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ โดยได้รับแต่งตั้งหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 
3. กรมทางหลวงดำเนินการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จในปี 2551 สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ต่อด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
4. พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 26 เม.ย. 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
5. รัฐบาลยิ่งลักษณ์บรรจุโครงการนี้ไว้ในแผนงานภายใต้ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ “ร่าง พ.ร.ก.เงินกู้สองล้านล้าน” แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อ 12 มี.ค. 2557 ว่าขัดรัฐธรรมนูญ จึงตกไป
6. ครม. รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มีมติเมื่อ 14 ก.ค. 2558 อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้าง
7. อีไอเอฉบับปรับปรุงได้รับความเห็นชอบเมื่อ 21 ก.ย. 2559 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
8. เปิดทดลองให้ประชาชนใช้ฟรีเฉพาะช่วง อ.ปากช่อง-อ.สีคิ้ว เป็นครั้งแรกช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 และช่วงวันหยุดยาว/เทศกาลปี 2565 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
9. ครม. ประยุทธ์อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติม 4,970 ล้านบาท ขณะที่รองโฆษกรัฐบาลแถลงเมื่อ 25 ม.ค. 2566 ว่าการก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 98 คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2568

มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81)

1. เป็นโครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อนุมัติเมื่อปี 2540 เช่นเดียวกับสายบางปะอิน-นครราชสีมา 
2. รายงานอีไอไอของโครงการช่วงบางใหญ่-บ้านโป่ง ได้รับความเห็นชอบ 29 ก.ค. 2541 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย และอีไอเอของช่วงบ้านโป่ง-กาญจนบุรี ได้รับความเห็นชอบ 25 ส.ค. 2546 สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
3. กรมทางหลวงสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จในปี 2552 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
4. พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 10 ก.ย. 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งบรรจุโครงการนี้ในแผนงานภายใต้ ร่าง พ.ร.ก.เงินกู้สองล้านล้านบาท ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ
5. ครม. ประยุทธ์มีมติเมื่อ 14 ก.ค. 2558 อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้าง
6. อีไอเอฉบับปรับปรุงได้รับความเห็นชอบเมื่อ 21 ก.ย. 2559 สมัยรัฐบาลประยุทธ์
7.รองโฆษกรัฐบาลแถลงเมื่อ 25 ม.ค. 2566 ว่าการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 85 คาดว่าจะเปิดบริการเต็มรูปแบบปี 2568

ข้อสรุปโคแฟค

หากนับมติ ครม. ปี 2540 ที่เห็นชอบแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเป็นจุดเริ่มต้น โครงการมอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สายนี้เกิดขึ้นมากว่า 20 ปีแล้ว โดยรัฐบาลชุดต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องและบทบาทมากน้อยต่างกันไป คำกล่าวอ้างว่าโครงการเหล่านี้เป็นผลงานของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน แต่หากกล่าวเฉพาะการก่อสร้าง มอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สายเริ่มก่อสร้างในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลังจาก ครม. อนุมัติการก่อสร้างเมื่อ 14 ก.ค. 2558

ควรบันทึกด้วยว่าตลอดระยะการดำเนินโครงการ มีเสียงร้องเรียนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต้องถูกเวนคืนที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน และมีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ทั้งการอนุมัติอีไอเอ การประมูลงานและบริหารสัญญากับเอกชน 

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566

ภาพหลวงปู่ทวด เมื่อ 300 ปี พ.ศ. 2268 ฝรั่งถ่ายไว้ได้ ใครเห็นถือเป็นบุญวาสนา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3j1n9o4q1tctw


แว๊กซ์ในถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อันตรายต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/2hnam5pxsgdgx


พรรคก้าวไกลเสนอตัดลดบำนาญราชการ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2p18snt76u74x


13 กพ.66 เกิดเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ 3.7 แมกนิจูด ที่ อ.กะปง จ.พังงา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/380hf3wg8i84q


ภาพสุนัขกู้ภัยไทยช่วยภารกิจที่ตุรกี ที่แท้เป็นภาพปลอม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18tomadxhm11n


พ.ร.บ. อุ้มหาย : มติ ครม. เลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา เหตุจัดซื้อกล้องตำรวจ 1.71 แสนตัวไม่ทัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ejb1tnvt62kc


พนักงานสถานีโทรทัศน์ พักผ่อนน้อย โหมงานหนัก ทำงาน 7 วัน จนร่างกายทรุด ตายหน้าคอม ที่บริษัทเพื่อนร่วมงานคิดว่านอนหลับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/22nf2sdfc0cdo


หยุดใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pfz5xjpu2v7k


WiFi ปลอม ดักข้อมูล-ขโมยรหัส-ดูดเงินเกลี้ยงบัญชี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3b551wsv6p5jj