กกต. ให้ผู้สมัคร ส.ส. ส่งประวัติเป็น “ซีดีรอม” ?

Top Fact Checks Political

โคแฟคตรวจสอบกรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตั้งคำถามต่อการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้ผู้สมัครส่งบันทึกประวัติย่อในรูปแบบของ “ซีดีรอม” ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้ผู้สมัครและพรรคการเมือง เนื่องจากการบันทึกข้อมูลในแผ่นซีดีเป็นเทคโนโลยีเริ่มล้าสมัย และมีวิธีการส่งข้อมูลในรูปแบบอื่นที่ง่ายและคล่องตัวกว่า

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ @taopiphop เมื่อ 29 มี.ค. 2566 ว่า “เพิ่งรู้ว่านอกจากเอกสารที่เป็นกระดาษเเล้ว กกต. ยังให้ทำประวัติย่อเป็น (ไฟล์) word ไรท์ลง CD อีก…งานนี้หินสุดละครับ หาที่ไรท์ที่ไหน ปล. เผื่อเด็กๆ ไม่รู้ CD คือ Compact Disc แผ่นกลมๆ ไว้เก็บข้อมูล”

ข้อความดังกล่าวถูกรีทวีตมากกว่า 3,000 ครั้ง และมีคนแสดงความเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่วิจารณ์ กกต. ว่าไม่ปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยี ไม่อำนวยความสะดวกให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง เนื่องจากปัจจุบันคอมแพ็กดิสก์หรือซีดีรอมไม่เป็นที่นิยมใช้แล้ว และคอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันก็มักจะไม่มีอุปกรณ์บันทึกหรือที่เรียกว่า “ไรต์แผ่นซีดี”

“กกต. ไม่รู้จักแฟลชไดรฟ์เหรอคะ นี่เรายังไม่พูดถึงคลาวด์เลยนะ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่งตั้งคำถาม อีกคนหนึ่งวิจารณ์ว่าข้อกำหนดนี้ “สะท้อนว่า กกต. ยังติดอยู่ในยุค Microsoft ไม่รู้จัก big data, blockchain เทคโนโลยี 4.0 ใดๆ ที่ราชการชอบอ้าง ไม่รู้วิธีรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่ปลอดภัยและรวดเร็ว นึกออกแค่ต้องไรต์ใส่ CD”

โคแฟคตรวจสอบ

นายเท่าพิภพให้ข้อมูลกับโคแฟคเมื่อ 31 มี.ค. ว่า ข้อกำหนดดังกล่าว ปรากฏอยู่ในใบสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง” (แบบ ส.ส. 4/6) ซึ่งโคแฟคได้ตรวจสอบแบบฟอร์มดังกล่าวจากเว็บไซต์ของ กกต. พบว่า ในหน้าที่ให้ผู้สมัครกรอกประวัติย่อ มีหมายเหตุกำกับด้านล่างว่า “กรุณาบันทึกข้อมูลแบบสรุปย่อประวัติฯ นี้ ลงในแผ่น CD จำนวน 1 แผ่น และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครเพื่อนำไปใช้ในการจัดพิมพ์เอกสารส่งให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อไป”

โคแฟคสอบถามไปที่สายด่วน กกต. 1444 ที่เปิดให้ถามข้อมูลหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า ผู้สมัครสามารถส่งประวัติย่อโดยบันทึกลงในซีดีรอมหรือ USB flash drive ก็ได้ แต่เหตุที่ใบสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ระบุว่าให้บันทึกข้อมูลในแผ่นซีดีรอม เพราะเป็นแบบฟอร์มที่ กกต. ใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งในอดีต และยังไม่ได้แก้ไขถ้อยคำ

เจ้าหน้าที่อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อได้รับประวัติย่อของผู้สมัครที่บันทึกมาในแผ่นซีดีหรือแฟลชไดรฟ์แล้ว กกต. จะนำไปพิมพ์เพื่อส่งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. 2566

ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตจะต้องยื่นใบสมัครหรือแบบ ส.ส. 4/6 ต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งภายในระยะเวลาการรับสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ กกต. กำหนดให้วันที่ 3-7 เม.ย. เป็นวันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต และ 4-6 เม.ย. สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ

โคแฟคสำรวจข้อกำหนดในการนำส่งข้อมูลในระเบียบอื่นๆ ของ กกต. เช่น ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่าให้พรรคการเมืองบันทึกเอกสารและหลักฐานประกอบการขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองลงในซีดีรอม (CD-ROM) หรือยูเอสบี แฟลชไดรฟ์ (USB flash drive) และนำมายื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง นอกจากนี้ “คู่มือการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับผู้สมัครและพรรคการเมือง” ที่จัดทำโดย กกต. ก็กำหนดให้พรรคการเมืองยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อโดย “จัดทำเป็นไฟล์ PDF บันทึกลงในแผ่น CD หรือ flash drive” ส่งให้เจ้าหน้าที่ในวันรับสมัครรับเลือกตั้ง

ข้อสรุปโคแฟค: มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

ผู้สมัคร ส.ส. สามารถส่งประวัติย่อได้ทั้งในรูปแบบซีดีรอมและแฟลชไดรฟ์ แต่ข้อความที่ปรากฏในใบสมัคร (แบบ ส.ส. 4/6) ระบุว่าให้บันทึกลงในซีดีรอม ทำให้ผู้สมัคร ส.ส. เข้าใจว่าต้องใช้ซีดีรอมเท่านั้น เมื่อนำข้อมูลนี้ไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียจึงทำให้ กกต. ถูกวิจารณ์ว่าปรับตัวช้าด้านเทคโนโลยีและไม่อำนวยความสะดวกให้ผู้สมัครและพรรคการเมือง

ข้อความที่ผู้สมัคร ส.ส. โพสต์ว่า กกต. ให้ส่งข้อมูลในรูปแบบของซีดีรอมจึงมีเนื้อหาที่ถูกต้องเพียงบางส่วน เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนในเอกสารของ กกต. ซึ่งหากได้ตรวจสอบกับ กกต. ก่อนโพสต์ก็จะไม่นำไปสู่การวิจารณ์บนฐานของข้อมูลที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามการวิจารณ์ระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ของ กกต. ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่ทำได้และ กกต. พึงรับฟังและนำไปพิจารณาปรับปรุง

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 เมษายน 2566

เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3iqeh825yxggx


ปูติน / ไบเดน อุปสมบท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1w7kwn5uk9g5m


รัฐบาลเตรียมสั่งทุบวัดในเขตอุทยาน 6,000 แห่งทั่วประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cev29i7j8pec#_=_


ชนะคดี! ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียกคืนรถ Mazda 2 ปี 2014-2018 ทุกคัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/8be2im2eid21


รฟท. แนะนำผู้โดยสารใช้ระบบ TTS ค้นหาตำแหน่งรถไฟทั่วประเทศ รู้เวลาล่วงหน้าก่อนถึงสถานี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/11y1qhq203ciq


ดื่มน้ำมากเกินไป ทำให้ขาดแร่ธาตุ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2djrvr43udg6t


Heat stroke (ลมแดด) อันตรายถึงชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2csexpqpetofj#_=_


ราชกิจจาฯ ประกาศ กม.ใหม่ ปชช.แจ้งอายัดบัญชีม้าผ่านธนาคารได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/tiyl2gi9ks7j#_=_


เตือนกรณีมุกใหม่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้ “แอปควบคุมโทรศัพท์ทางไกล”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2m2ypgjw3yvfn


Whoscall รายงานประจำปี 2565 เผยยอดสายมิจฉาชีพพุ่ง 165% เบอร์มือถือคนไทยรั่วไหลกว่า 13 ล้านเบอร์

​​

  • สายมิจฉาชีพพุ่งขึ้นเป็น 17 ล้านครั้งจากปีที่แล้ว  และ 7 ใน 10 ของข้อความที่ได้รับ เป็นข้อความหลอกลวงและสแปม    
  • เผยครั้งแรก! เบอร์มือถือคนไทยรั่วไหลมากถึง 45%! 

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 31 มีนาคม 2566: Whoscall ผู้นำด้านแอปพลิเคชันระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก และป้องกันสแปม สำหรับสมาร์ทโฟน  ชี้ถึงปัญหาที่เพิ่มขึ้นของการหลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความ SMS จากรายงานประจำปีพบว่า  มีการหลอกลวงทั้งจากสายโทรเข้าและข้อความ SMS รวม 405.4 ล้านครั้ง ทั่วโลก แม้ว่าตัวเลขโดยรวมจะลดลง จากปีที่แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยการหลอกลวงยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง คนไทยยังต้องรับสายจากมิจฉาชีพเพิ่มขึ้น 165% หรือ 17 ล้านครั้งในปี 2565 รายงานยังเผยสถิติสำคัญครั้งแรก ถึงจำนวนการรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ในประเทศไทยกว่า 45% หรือ 13.5 ล้านเบอร์  การรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์เป็น ปัญหาสำคัญทั่วโลก รวมถึงการหลอกลวงทางข้อความ SMS ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง

แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Gogolook กล่าวว่า “ภัยคุกคามจากการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมต่อต้านการทุจริต (Anti-Fraud Prevention) จากข้อมูลของ Fortune Business Insight อุตสาหกรรมนี้คาดว่า จะมีมูลค่าถึง 129.2 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีที่ 22.8% จากการเพิ่มขึ้นของ เอไอแบบรู้สร้าง (Generative AI) และช่องโหว่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร คาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยี เพื่อหลอกลวง และเกิดผลเสียทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เพื่อต่อสู้กับการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น Gogolook กำลังร่วมมือ กับพันธมิตรหลายแห่งในประเทศไทยและทั่วโลก พัฒนาโซลูชันส์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อจัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ โดยมี เป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงอย่างครอบคลุมและมอบความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ Whoscall”


ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook ได้กล่าวเตือนภัยมิจฉาชีพที่แพร่หลาย และเน้นถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการต่อต้านการหลอกลวงที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเผยสถิติที่น่าตกใจว่า 7 ใน 10 ครั้งของข้อความ SMS ที่คนไทยได้รับเป็นข้อความสแปมและข้อความหลอกลวง หรือคิดเป็น 73%ของข้อความที่ได้รับทั้งหมด ในส่วนของยอดสายโทรศัพท์หลอกลวงพุ่งขึ้น 165% จาก 6.4 ล้านครั้งในปี 2564 เป็น 17 ล้านครั้งในปี 2565  ภัยเหล่านี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง Whoscall จึงมุ่งมั่นสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทย เห็นความสำคัญของการป้องกันการถูกหลอกลวง การรู้ทันทั้งกลอุบายของมิจฉาชีพและรู้ทันว่าใครโทรมาจะสามารถช่วยให้ คนไทยป้องกันตนเองจากการหลอกลวงได้ 

มิจฉาชีพนิยมส่งข้อความหลอกลวงเนื่องจากสามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากด้วยต้นทุนต่ำ ข้อความ SMS ถูกใช้เป็น เครื่องมือเพื่อ “ติดต่อครั้งแรก” โดยหลอกให้เหยื่อกดลิงก์ฟิชชิ่งเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว เพิ่มบัญชีไลน์เพื่อหลอกให้ส่งข้อมูลหรือ โอนเงินให้ กลอุบายที่พบบ่อยได้แก่ การเสนอเงินกู้โดยมักอ้างรัฐบาลหรือธนาคาร  และการให้สิทธิ์เข้าตรงเว็บพนันออนไลน์ ที่ผิดกฎหมาย  คีย์เวิร์ดของข้อความหลอกลวงที่ถูกรายงานที่พบบ่อยที่สุดเช่น “รับสิทธิ์ยื่นกู้” “เครดิตฟรี” “เว็บตรง” “คุณได้รับสิทธิ์” “คุณได้รับทุนสำรองโครงการประชารัฐ” “คุณได้รับสิทธิ์สินเชื่อ” และ “คุณคือผู้โชคดี”   


รูปแบบและประเด็นการหลอกลวงถูกปรับเปลี่ยนไปตาม     บริบทของแต่ละประเทศ จากการค้นหาและระบุการหลอกลวง (รวมการโทรและข้อความ) ต่อผู้ใช้ Whoscall 1 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับต้น     ๆ ที่มีข้อความและสายโทรเข้าหลอกลวง เฉลี่ย 33.2 ครั้งต่อปี (เพิ่มขึ้น 7%) ขณะที่ไต้หวันมี 17.5 ครั้ง (ลดลง 20%) และมาเลเซีย 16.5 ครั้ง  (เพิ่มขึ้น 15%) ตัวเลข ดังกล่าวตอกย้ำว่าการหลอกลวงนั้นยังคงแพร่หลายไปยังหลายประเทศ 

กลหลอกลวงใหม่ๆ ในประเทศไทยมักเกิดขึ้นตามความสนใจและเทรนด์ต่างๆ ขณะนี้ข้อความ SMS และสายหลอกลวง ที่เกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ หลอกส่งพัสดุเพื่อเก็บเงินปลายทาง  หลอกเป็นกรมทางหลวง หลอกให้คลิกไปเล่นพนันออนไลน์  หลอกว่ามีงาน part time  หลอกว่าได้รางวัลจาก TikTokและแพลตฟอร์มต่างๆ  มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

เพื่อต่อสู้กับการหลอกลวงอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลประเทศต่างๆ ได้ร่างนโยบายต่อต้านการหลอกลวง และจัดตั้ง     หน่วยงานพิเศษเพื่อรับมือ รวมทั้งร่วมมือกับบริษัทเอกชนและคนดังเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกลโกงและการหลอกลวง ซึ่งในประเทศไทยได้มีการร่วมมือระหว่างภาครัฐ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน กสทช.) และภาคเอกชน  (Whoscall ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น) เช่นกัน

ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลมักเป็นด่านแรกที่มิจฉาชีพใช้เข้าถึงรายละเอียดการติดต่อเพื่อหลอกลวงเหยื่อ  การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นจาก ฐานข้อมูลขององค์กรหรือรัฐบาลถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือเมื่อผู้ใช้กรอกแบบสำรวจ แบบทดสอบทางจิตวิทยา หรือแบบฟอร์มในเว็บไซต์ฟิชชิ่ง เพื่อลดภัยคุกคามตั้งแต่เริ่มต้น Gogolook ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall และ Constella Intelligence ผู้ให้บริการป้องกันความเสี่ยงทางดิจิทัลระหว่างประเทศ ร่วมกันวิเคราะห์การรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ในหลาย ประเทศ พบว่า ในประเทศไทยมีการรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ 45% ทั้งนี้ รหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ และชื่อ เป็นข้อมูลส่วนตัว ที่มีการรั่วไหลมากที่สุด ตามด้วยสัญชาติ อีเมล ที่อยู่ และวันเกิด

ข้อมูลที่รั่วไหลแต่ละประเภทอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น บัญชีธนาคารออนไลน์หรือบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจถูกขโมยได้หากรหัสผ่านรั่วไหล หรือในกรณีที่มิจฉาชีพได้ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ แม้แต่บันทึกการชำระเงินและการซื้อของ ก็จะสามารถใช้หลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความ SMS ได้อย่างง่ายดาย เพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพเราจึงควร ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้น (Two-Factors Authentication) เมื่อใช้บริการออนไลน์ เปลี่ยนรหัสผ่านที่รัดกุมเป็นประจำ และใช้ Whoscall เพื่อระบุสายโทรเข้าและข้อความ SMS ที่ไม่รู้จัก

บริการออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การหลอกลวงจึงเพิ่มขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง Whoscall ขอแนะนำให้คนไทยปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้เพื่อป้องกันตนเองจากเหล่ามิจฉาชีพ:

– อย่าคลิก: หากคุณได้รับลิงก์ใน SMS อย่าคลิกลิงก์นั้น โดยเฉพาะข้อความที่มาจากธนาคารหรือหมายเลขที่ไม่รู้จัก เนื่องจาก ปัจจุบัน มีข้อห้ามไม่ให้ธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศไทยส่งลิงก์ทาง SMS ให้กับลูกค้าโดยตรง

– อย่ากรอก: หากได้รับ SMS เพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือขออัปเดตชื่อผู้ใช้/รหัสผ่าน หรือข้อมูลทางการเงินที่มีลิงก์ไปยัง เว็บไซต์     ที่น่าสงสัย อย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆเด็ดขาด

– อย่าเพิกเฉย: ผู้ใช้สามารถช่วยกันต่อต้านกลโกงและหลอกลวงทางโทรศัพท์ โดยการรายงานเบอร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัย หรือหลอกลวง ทางแอปพลิเคชัน Whoscall เพื่อป้องกันและช่วยส่งคำเตือนไปยังกลุ่มผู้ใช้รายอื่น

เกี่ยวกับ Gogolook

Gogolook เป็นบริษัทผู้ให้บริการทางด้านเทคโนโลยีเพื่อความเชื่อมั่น (TrustTech) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 โดยมีพันธกิจหลักคือสร้างความเชื่อมั่น “Build for Trust” ให้บริการทางด้านการสื่อสารในหลายรูปแบบเพื่อมุ่งเน้นการต่อต้าน การฉ้อโกง รวมถึงบริการการจัดการความเสี่ยง (Risk Management as a Service) บริการด้านFin-Tech บริการ Software-as-a-Service (SaaS) และ Web3 โดยบริษัท Gogolook ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven)  ในการสร้างระบบเครือข่ายการต่อต้านการฉ้อโกงและการบริหารจัดการในด้านความเสี่ยง เพื่อการสื่อสารที่เราทุกคน สามารถเชื่อมั่นและไว้วางใจได้ทั่วโลก 

นอกจากนี้ Gogolook ยังได้ร่วมมือกับสถาบันต่างๆ มากมาย เช่น สำนักงานสืบสวนคดีอาญาของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติไต้หวัน สำนักงานกำกับดูแลทางการเงินเกาหลีใต้ หน่วยเฉพาะกิจตำรวจไซเบอร์ประเทศไทย รัฐบาลเมืองฟุกุโอกะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซียและรัฐบาลแห่งรัฐสลังงอร์ เพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกง และท้ายที่สุดคือการสร้างเครือข่าย การสื่อสารที่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีฐานข้อมูลจำนวนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เกี่ยวกับ Whoscall

Whoscall มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 100 ล้านครั้งและฐานข้อมูลมากกว่า 1.6 พันล้านหมายเลขโทรศัพท์ ทีมงาน Whoscall ทุ่มเทให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันการหลอกลวงด้วยเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูล Whoscall จึงสามารถ ระบุเบอร์โทรและแจ้งเตือนสายโทรเข้าที่น่าสงสัย เช่น การหลอกลวงและสายก่อกวน ขณะเดียวกัน Whoscall ยังสามารถ เตือนผู้ใช้ไม่ให้พลาดสายสำคัญ และยังช่วยสแกนลิงก์จากข้อความ SMS ที่อาจเป็นอันตราย สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall ได้ฟรีจาก App Store และ Google Play Store ที่ลิ้งค์ https://whoscallthailand.onelink.me/1Ffj/downloadnow

พรรคการเมืองร่วมลงนามใน “จรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566”

พรรคการเมืองร่วมลงนามใน “จรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566” และ “สัญญาที่พรรคการเมืองขอให้ไว้แก่ประชาชน พ.ศ. 2566” โดยมีตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (เฉพาะในส่วนการลงนามในจรรยาบรรณฯ) จากสถานทูตหลายแห่ง ภาคประชาสังคมและองค์กรสื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม พรรคการเมืองตั้งปณิธานที่จะให้การเลือกตั้งมีความโปร่งใส และจะร่วมกันนำนโยบายที่สัญญาไว้ไปปฏิบัติจริง

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (เฉพาะในส่วนของจรรยาบรรณฯ) ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม WeWatch เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 2566 WeVis มูลนิธิปรีดี พนมยงค์และสถาบันปรีดี พนมยงค์ ศูนย์ประสานงานพูดคุยเพื่อมนุษยธรรม (Centre for Humanitarian Dialogue – HD) โครงการผู้หญิงผู้นำทางการเมือง โคแฟค (ประเทศไทย) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาองค์กรของผู้บริโภค และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดงานพิธีลงนามใน “จรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566” และ พิธีลงนามใน “สัญญาที่พรรคการเมืองขอให้ไว้แก่ประชาชน พ.ศ. 2566” ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะในวันนี้ (29 มีนาคม 2566) เพื่อส่งเสริมให้ “การเลือกตั้งครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ยกระดับระบอบประชาธิปไตยของไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้นไปอีก”

นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า การร่วมลงนามในจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่แสดงให้เห็นถึงความเห็นพ้องต้องกันของพรรคการเมือง ที่จะทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานของกระบวนการติดตามตรวจสอบการเลือกตั้งโดยภาคประชาสังคม ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ กกต.ที่เห็นว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชนทุกคนในชาติ ทุกคนจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อธำรงรักษาและทำให้ประชาธิปไตยงอกงามต่อไป

นายแสวงกล่าวขอบคุณองค์กรร่วมจัดที่ให้ กกต. ได้มีส่วนรับรู้เเละสนับสนุนพัฒนาการของ “จรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566” ตั้งแต่ต้นจนมาถึงพิธีลงนามในวันนี้ และหวังว่าพรรคการเมืองและว่าที่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจะยึดมั่นในจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งที่ได้ลงนามร่วมกัน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตตามมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ     

นายโคทม อารียา ประธานภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และ อดีต กกต. กล่าวว่า การจัดทำจรรยาบรรณในการหาเสียงเลือกตั้งและคำสัญญาของพรรคการเมือง เกิดจากการร่วมมือของพรรคการเมืองและองค์กรหลายองค์กรที่อยากเห็นการเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรมและสร้างสรรค์ โดยจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้งนั้น ยังสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมไปถึง “การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบในหาเสียงเลือกตั้ง” และ “การหาเสียงเลือกตั้งที่เป็นมิตรต่อผู้หญิงและบุคคลทุกเพศสภาพ” เพื่อเป็นการสร้างพื้นที่ในการสื่อสารทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ทั้งในโลกออนไลน์และทางกายภาพ และสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมืองเรื่องการเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ จรรยาบรรณการหาเสียงฯ ยังจะนำไปสู่การวางรากฐานของกระบวนการติดตามตรวจสอบอย่างแข็งขันจากภาควิชาการและภาคประชาสังคมอีกด้วย

ใน “สัญญาที่พรรคการเมืองขอให้ไว้แก่ประชาชน พ.ศ. 2566” พรรคการเมืองเห็นพ้องกันว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล สิ่งที่ต้องทำร่วมกันเป็นวาระสำคัญเพื่อสร้างเสถียรภาพ การฟื้นฟูประชาธิปไตย และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อาทิเช่น การพูดคุยสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการรวมกลุ่มของประชาชน การลดความเหลื่อมล้ำในทุกด้านโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ การสนับสนุนให้แรงงานนอกระบบทุกกลุ่มเข้าสู่ระบบการประกันสังคมอย่างครอบคลุมและทั่วถึง รวมทั้ง การกำกับดูแลไม่ให้สมาชิกของพรรคการเมืองที่เป็นข้าราชการการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบเพื่อให้คุณหรือให้โทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และให้เคารพความเป็นกลางของข้าราชการประจำ

ดร. เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และ อดีตผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เครือข่ายองค์กรประชาธิปไตย ภาคประชาสังคม ภาคประชาชนและสื่อ จะได้ร่วมกันสร้างกลไกในการติดตามว่า พรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ปฏิบัติตามจรรยาบรรณในการหาเสียงเลือกตั้งตามที่ได้ลงนามไว้หรือไม่ และหลังการเลือกตั้ง จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้หรือไม่ 

คุณ ธนิสรา เรื่องเดช ในนามกลุ่มเทคโนโลยีภาคประชาชน WeVis กล่าวว่าพวกเรายินดีอย่างยิ่งที่มีพิธีลงนามนี้เกิดขึ้น ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 พวกเราได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า ‘Promise Tracker’ เพื่อรวบรวมคำสัญญาหรือนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรค และร่วมกันติดตามการทำงานของพรรคการเมืองทุกพรรคและของสมาชิกพรรคอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าพรรคการเมืองจะรับผิดชอบในนโยบายของตน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ WeVis ขอให้พรรคการเมืองทุกพรรค ช่วยส่งนโยบายของพรรคเข้ามายังแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยเราจะยังคงดำเนินการติดตามนโยบายและสัญญาของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิดต่อไป

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า โคแฟคได้ริเริ่มโครงการตรวจสอบความจริงร่วม FactCollabTH ขี้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างโคแฟคและภาคีรวมทั้งสื่อมวลชน ในเบื้องต้นเน้นการตรวจสอบข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่การสื่อสารทางการเมืองที่อิงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เคารพความเห็นต่าง และไม่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงหรือสร้างความแตกแยก ทั้งนี้เพื่อให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเป็นไปอย่างสุจริตและปราศจากความรุนแรง และปูทางไปสู่การบรรลุข้อตกลงทางการเมืองโดยสันติ นอกจากนี้ โคแฟคและภาคียังร่วมกันรณรงค์ให้ภาคการเมืองและสังคมใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างรับผิดชอบในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย สุภิญญายินดีที่เห็นว่า ภาคผนวกของจรรยาบรรณหาเสียงเลือกตั้งมีทั้งเรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์และการเคารพในความแตกต่างหลากหลายทางเพศสภาพ (ดูรายละเอียดในเอกสารต่อท้ายใบแถลงข่าวนี้) 

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา สื่อสังคมออนไลน์ ถูกนำมาใช้ในการจัดตั้งขบวนการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร  เผยแผ่ความเกลียดชังทางการเมือง และสร้างความแตกแยกในสังคม ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและองค์กรเครือข่าย ได้ร่วมกับพรรคการเมืองในการกำหนดข้อปฏิบัติการหาเสียงเลือกตั้งในการใช้สื่อออนไลน์ไปในทางสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใส มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจลงลงคะแนนเสียงบนฐานของนโยบายและข้อมูลที่ถูกต้อง และเพื่อป้องกันความพยายามในการทำลายความชอบธรรมของผลการเลือกตั้ง ตลอดจนความพยายามในปลุกปั่นความรุนแรงภายหลังการเลือกตั้ง 

รศ. ดร. อนุสรณ์ เสริมว่า  ผู้แทนพรรคการเมืองที่มาร่วมในการทำกิจกรรมวันนี้ จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็ต่อเมื่อมีเสียงสนับสนุนรวมกันเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับกลุ่มของพรรคการเมืองที่มีเสียงรวมกันไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ พวกเรามีความคาดหวังว่า  พรรคการเมืองต่าง ๆ เมื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะนำนโยบายและสัญญาพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคใช้ในการหาเสียงมาบูรณาการกันอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติ ความก้าวหน้าและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นอกจากนี้ พรรคการเมืองที่ร่วมลงนามสัญญาว่า จะร่วมมือกับทุกพรรคการเมืองในการดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือไม่

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวในช่วงสุดท้ายว่า พื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะทำให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้า ก็คือการที่เรามีรัฐธรรมนูญที่อยู่บนหลักการที่ถูกต้องและเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน สังคมสมานฉันท์ เศรษฐกิจที่เป็นธรรม การเมืองที่เคารพในสิทธิเสรีภาพจึงเกิดขึ้นได้ องค์กรจัดการเลือกตั้งอย่าง กกต. ที่มีความเป็นกลาง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งนี้ 

เอกสารต่อท้ายใบแถลงข่าว

จรรยาบรรณการหาเสียงทางสื่อสังคมออนไลน์และการหาเสียงที่เป็นมิตรต่อผู้หญิงและบุคคลทุกเพศสภาพ

การใช้สื่อสังคมออนไลน์และการเคารพในความแตกต่างหลากหลายทางเพศสภาพ มีหลักการที่ระบุในภาคผนวกของจรรยาบรรณการหาเสียง ดังนี้

• สื่อสังคมออนไลน์ต้องเป็นพื้นที่ของการสื่อสารที่ปลอดภัย สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ เคารพในศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างแท้จริง 

• พรรคการเมืองไม่พึงวางเฉยต่อพฤติกรรมและกลวิธีทางสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นอันตราย และวางมาตรการเชิงป้องกันโดยการสร้างการตระหนักรู้ต่อสาธารณะ ตลอดจนมาตรการการจัดการและตอบโต้ต่อพฤติกรรมทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างเหมาะสม

• พฤติกรรมและกลวิธีทางสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นอันตรายที่กำหนดไว้ในภาคผนวกนี้ เป็นสิ่งที่พรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ไม่พึงกระทำ

การระบุถึงพฤติกรรมและกลวิธีทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้เพื่อการมุ่งร้าย หลอกลวง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือเพื่อนำไปสู่การคุกคามหรือความรุนแรง เป็นสิ่งที่อันตรายและมีหลายลักษณะ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ถูกใช้ในการทำลายความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกระบวนการเลือกตั้ง เช่น ข้อแรก ต้องไม่ใช้ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ในการชี้นำความเห็นหรือการลงคะแนนเสียงของปนะชาชน ข้อสอง ต้องรณรงค์ไม่ให้หาเสียงด้วยวาทกรรมลดทอนคุณค่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างเชิงอัตลักษณ์ (Identity Discrimination) ตลอดจนการใช้วาทกรรมการป้ายสีเหมารวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเชื่อ  ข้อสาม ต้องช่วยกันลด ละ เลิก การใช้ภาษาหรือเนื้อหาที่เป็นการยั่วยุปลุกปั่นที่มุ่งร้ายให้เกิดความเกลียดชัง หรือความรุนแรงต่อผู้อื่น (Dangerous Speech and Incitement of Violence) ข้อสี่ ปฏิเสธการใช้การข่มขู่คุกคาม (Harassment) ทุกรูปแบบตั้งแต่ข่มขู่คุกคามออนไลน์ คุกคามทางเพศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการจงใจรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล (Doxxing) เพื่อให้นำไปสู่การคุกคามหรืออันตรายในชีวิตจริง ข้อห้า ต้องไม่ให้มีการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (‘IOs’: Information/Influence Operations) หรือการเผยแพร่ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เป็นอันตรายอย่างเป็นระบบร่วมกันผ่านการใช้เครือข่ายบัญชีผู้ใช้งาน (Networks of Coordinated Accounts) ด้วยตนเองหรือจ้างเหมาบุคคลอื่น ในการทำปฏิบัติการฯ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจผิด บิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวบุคคล ข้อมูลเชิงนโยบายและประเด็นสาธารณะ หรือเพื่อปลุกระดมการคุกคามทางสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆหรือความรุนแรงในทางกายภาพ ข้อหก ช่วยกันไม่ให้มีการสร้างบัญชีผู้ใช้งานสวมรอยแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น (Impersonation) ข้อเจ็ด การระดมการแจ้งรายงานต่อผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ให้ลบเนื้อหาหรือถอดถอนบัญชีผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์ (Organized Reporting/Takedowns) ของคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง  เพื่อจงใจปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการเมือง ข้อแปด ต้องรณรงค์ร่วมกันไม่ให้ใช้วิธีการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝง (Politically-motivated Enforcement of Legal Procedures) เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว รวมไปถึงเพื่อกลั่นแกล้งหรือสร้างภาระให้แก่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

การหาเสียงที่เป็นมิตรต่อผู้หญิงและบุคคลทุกเพศสภาพมีข้อพึงปฏิบัติดังนี้

(1) สนับสนุนวิธีการหาเสียงที่เน้นการสื่อสารข้อมูลเชิงนโยบาย เน้นนำเสนอประสบการณ์ ความสามารถ ความสนใจ และความเชี่ยวชาญของผู้สมัครรับเลือกตั้ง

(2) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพในการหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหญิง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความมั่นใจ และน่าเชื่อถือ

(3) ไม่ใช้ข้อความที่สื่อในทางกีดกัน ดูถูก เหยียดหยาม หรือตั้งคำถามเพื่อลดทอนคุณค่าหรือศักดิ์ศรีของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะในด้านอายุ เพศ อาชีพ ภูมิหลัง เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ หรือความพิการ

(4) ไม่ใช้วาทกรรมที่ลดทอนคุณค่า ศักดิ์ศรี สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และการเป็นผู้นำทางการเมืองของผู้หญิง รวมทั้งไม่ลดทอนคุณค่าด้วยเหตุแห่งอายุหรือรูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงและบุคคลทุกเพศสภาพ

(5) ไม่ใช้วิธีการสร้างข่าวลวง ข่าวเท็จ ข้อความที่บิดเบือน แสดงความเกลียดชัง หรือข่มขู่ใช้ความรุนแรงต่อผู้แข่งขันทางการเมือง ไม่ว่าทางกายภาพหรือทางสื่อสังคมออนไลน์ 

เราคาดหวังว่า พรรคการเมืองจะสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ให้ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศได้เป็นผู้นำทางการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้บริหารพรรคการเมืองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

วิกฤตข้อมูลข่าวสารในวิกฤตการณ์ซีเซียม-137

กรณีวัสดุกัมมันตรังสี “ซีเซียม-137” สูญหายจากโรงไฟฟ้าใน จ.ปราจีนบุรี นอกจากจะสะท้อนปัญหาการจัดการวัตถุอันตรายของบริษัทเอกชน ปัญหาของหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแลและการรับมือกับสาธารณภัยจากสารกัมมันตรังสีแล้ว ยังเผยให้เห็นอิทธิพลของข่าวเท็จ ข้อมูลคลาดเคลื่อน และการเชื่อมโยงแบบผิดๆ ที่สร้างผลกระทบรุนแรงไม่น้อยไปกว่าเหตุการณ์วัสดุกัมมันตรังสีสูญหาย

ข่าวเท็จและข้อมูลคลาดเคลื่อนที่สร้างความเข้าใจผิดเหล่านี้ถูกผลิต เผยแพร่และไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียนับตั้งแต่เกิดเรื่องช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งมีลำดับเหตุการณ์โดยสังเขป ดังนี้

  • 10 มี.ค. ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ได้รับแจ้งเหตุกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 สูญหายจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ แพลนท์ 5 เอ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ โดยทางบริษัทคาดว่าวัสดุนี้สูญหายไปตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.
  • 14 มี.ค. ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีแถลงข่าวร่วมกับ ปส. เปิดเผยเหตุการณ์ให้สาธารณชนรับรู้อย่างเป็นทางการครั้งแรก
  • 19 มี.ค. สื่อมวลชนรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบระดับรังสีซีเซียม-137 ในฝุ่นเหล็กที่โรงงานหลอมเหล็กใน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
  • 20 มี.ค. ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี ปส. กรมโรงงานอุตสาหกรรมและตำรวจ แถลงข่าวร่วมเรื่องการพบระดับรังสีซีเซียม-137 ในฝุ่นเหล็กที่โรงงานเคพีพีสตีล คาดว่าเกิดจากการหลอมวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่สูญหายไปจากโรงไฟฟ้า

โคแฟคตรวจสอบข่าวเท็จ-ข้อมูลคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีเซียม-137 ที่สร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนก เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับการรับมือด้านข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสารเคมีและวัตถุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต

1. ซีเซียม-137 หนัก 25 กิโลกรัม

หลังการแถลงข่าวครั้งแรกเมื่อ 14 มี.ค. มีความเข้าใจผิดว่าซีเซียม-137 ที่สูญหายจากโรงไฟฟ้าของเอกชนนั้นมีน้ำหนักมากถึง 25 กก. ใกล้เคียงกับปริมาณซีเซียม-137 ในเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลระเบิดที่มีน้ำหนัก 27 กก.

ความเข้าใจผิดเรื่องน้ำหนักของซีเซียม-137 เป็นผลมาจากการที่หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงคือ ปส. ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าน้ำหนัก 25 กก. นั้นหมายถึงวัสดุห่อหุ้ม และไม่ได้ระบุว่าปริมาณของซีเซียม-137 มีเท่าไหร่ โคแฟคย้อนดูข้อมูลที่ ปส. เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กและเว็บไซต์เมื่อ 14 มี.ค. พบว่า แม้จะให้ข้อมูลละเอียด แต่ก็ใช้ศัพท์เทคนิคที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยาก

“ต้นกำเนิดรังสีที่สูญหายนี้มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก ภายนอกทำด้วยโลหะ ภายในประกอบด้วยตะกั่วสำหรับกำบังรังสี มีขนาดสูงประมาณ 20-30 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 14-20 ซม. มีฐานทำด้วยแผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่าเชื่อมติดอยู่ น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม…ปริมาณของวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่บรรจุอยู่ภายในมีค่าเริ่มต้นที่ 80 มิลลคูรีเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2538 ปัจจุบันเหลือปริมาณอยู่ที่ 41.14 มิลลิคูรี” ปส. ระบุในเอกสารชี้แจง   

โปสเตอร์ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติโพสต์ทางเฟซบุ๊กเมื่อ 17 มี.ค. 2566

เมื่อสื่อมวลชน ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐอื่นๆ นำข้อมูลนี้ไปสรุปให้สั้นและเผยแพร่ต่อ จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามทวีตข้อความว่า “…ล่าสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่หายจากโรงไฟฟ้า อ.ศรีมหาโพธิ สิ่งที่ต้องทำควบคู่คือต้องสอบสวนพนักงานทั้งหมดเพราะสารดังกล่าวหนักถึง 25 กก.” ข้อความนี้ถูกรีทวีตไปเกือบ 2,300 ครั้ง และยังคงเข้าถึงได้ ณ วันที่ 26 มี.ค.

ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทวีตข้อความว่า “ปภ. เผยกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 สูญหายที่ จ.ปราจีนบุรี หาก ปชช. พบเห็นอุปกรณ์ดังภาพ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ความยาว 8 นิ้ว น้ำหนัก 25 กก. ขอให้แจ้งจนท. ทันที” ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดได้เช่นกัน

คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับน้ำหนักของซีเซียม-137 ที่สูญหาย มาจากการให้สัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.นภาพงษ์ พงษ์นภางค์ ประธานวิชาการสมาคมรังสีเทคนิคนิคแห่งประเทคไทยว่า เมื่อนำความแรงของซีเซียม-137 ที่ ปส. รายงานว่าเหลืออยู่ 41.14 มิลลิคูรี มาคำนวณจะพบว่าซีเซียม-137 ที่สูญหายมีน้ำหนักประมาณ 5 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลระเบิดซึ่งมีซีเซียม-137 ถูกปล่อยออกมามากถึง 27 กก. 

2. ซีเซียม-137 แพร่กระจาย 1,000 กิโลเมตร จากปราจีนบุรี  

วันที่ 19 มี.ค. นพ.สมรส พงศ์ละไม โพสต์ในเฟซบุ๊ก “Somros MD Phonglamai” ว่า “ถ้า Caesium-137 ถูกหลอมเผาไหม้และกลายเป็นไอ สามารถออกไปได้เป็นหลักร้อยถึงพันกิโลเมตรขึ้นกับลม” โดยอ้างอิงเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลว่าซีเซียม-137 ปลิวไปไกลถึงสวีเดน เป็นระยะทาง 1,000 กิโลเมตร โดย นพ.สมรสออกตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านปรมาณู และข้อความนี้เป็น “ข้อมูลเบื้องต้นที่ค้นเอง”

วันต่อมา ผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่งได้โพสต์ภาพแผนที่คาดการณ์รัศมีการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่ครอบคลุมประเทศไทยเกือบทั้งหมด พร้อมข้อความว่า “ถ้ารัศมีแพร่กระจายคือ 1,000 กิโลเมตร ก็ประมาณนี้…” โพสต์นี้ถูกรีทวีตไปกว่า 44,000 ครั้ง และยังมีผู้นำไปเผยแพร่ต่อในเฟซบุ๊ก ซึ่งบางโพสต์ถูกแชร์ไปมากกว่า 3,000 ครั้ง  

โคแฟคตรวจสอบเมื่อ 25 มี.ค. พบว่าทวีตนี้ยังคงเข้าถึงได้ แต่หลังจากนั้นได้ถูกลบไป

หลังจากทวีตดังกล่าวกลายเป็นไวรัล นพ.สมรส ได้โพสต์เฟซบุ๊กยอมรับว่าเขาเป็น “ต้นทาง” ของข้อมูลเรื่องการแพร่กระจายของซีเซียม-137 เป็นระยะทาง 1,000 กม. ซึ่งเป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิดเมื่อปี 2529 แต่มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสำนักข่าวบางแห่งตัดข้อความและทำภาพประกอบจนทำให้คนเข้าใจผิดว่า ซีเซียม-137 ที่พบที่โรงงานหลอมเหล็กในปราจีนบุรี สามารถแพร่กระจายไปได้ 1,000 กม.

ขณะที่ ผศ.ดร.นภาพงษ์ อธิบายผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักว่า ซีเซียม-137 ที่สูญหายจากโรงไฟฟ้าและคาดว่าถูกนำไปเข้าเตาหลอมใน จ.ปราจีนบุรี นั้นมีปริมาณน้อยกว่าและมีความแรงน้อยกว่าเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิล50-60 ล้านเท่า ปริมาณรังสีที่ถูกปล่อยออกไปในธรรมชาติอยู่ในระดับต่ำและจะถูกเจือจางไปโดยธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งมีชีวิตในระดับต่ำ ยกเว้นผู้ที่สัมผัสวัสดุกัมมันตรังสีใกล้ชิด ผศ.ดร.นภาพงษ์สรุปว่า เหตุการณ์ที่ปราจีนบุรีจึงเทียบไม่ได้กับกรณีเชอร์โนบิล  

3. “พรัสเซียนบลู” ต้านพิษซีเซียม-137  

ความพยายามในการหาข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากซีเซียม-137 ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำมาซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความกังวลให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา เช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ดร.แกง” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 10,000 ราย โพสต์ภาพยา “พรัสเซียนบลู” (Prussian blue) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Radiogardase และระบุว่าเป็นยาแก้พิษและลดความรุนแรงจากกัมมันตรังสีซีเซียม-137 โดยอ้างอิงข้อมูลส่วนหนึ่งจาก “หนังสือคู่มือการดูแลผู้สัมผัสสารเคมี” ที่จัดทำโดยโรงพยาบาลระยองและศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีเมื่อปี 2559 ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนหนึ่งโพสต์ภาพยาตัวเดียวกันนี้พร้อมข้อความว่า “ผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรมีติดไว้”

การโพสต์ข้อความเกี่ยวกับยาพรัสเซียนบลูที่มีเนื้อหาถูกต้องเพียงบางส่วนในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีออกมาแถลงข่าวให้ข้อเท็จจริงและเตือนภัยประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาชนิดนี้เมื่อ 22 มี.ค. โดย รศ.พญ.สาทริยา ตระกูลศรีชัย ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เภสัชวิทยาและพิษวิทยาคลินิกกล่าวว่า ยาพรัสเซียนบลูใช้รักษาผู้ป่วยที่แพทย์ตรวจพบว่ามีการปนเปื้อนซีเซียม-137 อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น ผู้ป่วยที่จะได้รับยาตัวนี้ต้องมีระดับการปนเปื้อนตามเกณฑ์ที่กำหนด มีข้อบ่งชี้เฉพาะ และยาชนิดนี้ไม่ได้ใช้สำหรับการรักษากรณีที่สัมผัสภายนอกหรือกลุ่มเสี่ยง

รศ.พญ.สาทริยากล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่มีการนำเข้ายาพรัสเซียนบลูมาใช้ สำหรับยาที่มีการขายทางออนไลน์นั้น ประชาชนไม่ควรซื้อมากินเองเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงหรือเกิดพิษขึ้นได้  อีกทั้งยังมีการผลิตพรัสเซียนบลูเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไมใช่ยา ซึ่งหากนำมาใช้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  

เรื่องแนะนำ


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 มีนาคม 2566

อันตรายเชื้อฉี่หนูบนฝากระป๋องเครื่องดื่ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/di4cgywe3u62#_=_


เบตาดีน ป้ายคอ ป้องกันรังสี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q2el10hk8r8m


สิทธิบัตรทองหาหมอฟรี ผ่านแอปฯ Clicknic ครอบคลุม 42 โรค นำร่องเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zdekih20zovx


ครม. เพิ่มยาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ในบัญชียาของ UCEP Plus

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/z81nh3vxo9gs


ยาแก้แพ้ รับประทานปริมาณที่มากเกินไปส่งผลอันตรายต่อร่างกาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t9z3rwopflgg


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2cn0ni5zm5y15


ส.ส.ฝรั่งเศสเห็นชอบร่าง กม.ห้ามพ่อแม่โพสต์รูปลูกลงโซเชียล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fou7t354jr50


กองสลากฯ เตือนประชาชน ระวังการนำสลากในจุดจำหน่ายสลาก 80 บาทมาวนขายซ้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/397ikk2y6djqb


‘The Social Dilemma’ หนังสะท้อนด้านมืดสังคมออนไลน์  ถึงเวลาพรรคการเมืองชูนโยบายสาธารณะ คุ้มครองสิทธิดิจิทัล ส่งเสริมพลเมืองเท่าทัน 

Editors’ Picks
เนื้อหาเป็นจริง

18 มี.ค. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) Netflix และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมสนทนา หัวข้อ “รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์” จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง The Social Dilemma และกิจกรรมเสวนาหลังภาพยนต์ร่วมกับ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีการถ่ายทอดสดการเสวนาผ่านเฟซบุ๊กเพจ “หอภาพยนตร์ Thai Film Archive” นอกเหนือจากการจัดงานแบบ On Site ที่หอภาพยนตร์ ถ.พุทธมณฑลสาย 5 ย่านศาลายา จ.นครปฐม

สุภิญญากล่าวว่า ส่วนตัวแล้วตนยังไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน แต่เคยดูสารคดีข่าวรวมถึงอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องราวทำนองเดียวกัน จึงไม่แปลกใจกับเนื้อหาของภาพยนตร์ซึ่งเป็นการสะท้อนผ่านมุมมองที่ห่วงใยสังคมและอาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แม้เนื้อหาจะดูหนักหน่วงแต่ในตอนท้ายผู้สร้างภาพยนตร์ก็ให้ข้อสรุปว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะต้องเลิกใช้สื่อสังคมออนไลน์ แต่เราจะใช้ให้ปลอดภัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้กัน

หากย้อนไปเมื่อราวๆ 15-20 ปีก่อน ผู้คนต่างคาดหวังว่าอินเตอร์เน็ตจะเข้ามาเปิดพื้นที่แห่งความเป็นประชาธิปไตย หลายคนก็ต้องการปกป้องเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ตและไม่อยากให้รัฐปิดกั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนกลุ่มเดียวกันก็ได้มองเห็นด้านมืดของอินเตอร์เน็ตและพยายามบอกว่าต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วทั้งโลก เช่น ข่าวลวง (Fake News) หรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation)

จากการทำงานของโคแฟคในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เห็นได้ชัดว่าข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน อาทิ การฉีดวัคซีน การป้องกันตนเองจากโรค เราได้เห็นทั้งข้อมูลบิดเบือน รวมถึงข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) อยู่บนพื้นที่สื่อออนไลน์จำนวนมาก และการตัดสินใจเชื่อข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบถึงชีวิตของคนได้ 

ขณะที่ข้อมูลข่าวสารด้านการเมือง แม้สื่อสังคมออนไลน์จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วเลือกข้างทางการเมืองขึ้นในสังคม แต่ก็มีแนวคิด 2 รูปแบบที่ยังถกเถียงกัน ฝั่งหนึ่งมองว่าการปล่อยให้คนทะเลาะกันบนโลกออนไลน์อาจช่วยลดโอกาสที่คนจะออกไปลงไม้ลงมือทำร้ายกันในโลกจริง แต่อีกฝั่งก็กังวลว่าหากปล่อยให้มีการแสดงออกกันบนโลกออนไลน์มากเกินไปอาจลุกลามออกไปสู่การมีเรื่องกันในโลกจริงได้ โดยสรุปแล้ว สุภิญญามีความเห็นว่า ผลกระทบในด้านสุขภาพที่เกิดจากข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่า

น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็งเป็นเคสที่น่าสนใจ จากตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นผู้ป่วยมะเร็งแล้วก็เลยเข้าใจว่าทำไมถึงมีผล คือมันไม่ได้มีผลในการรักษาโรคมะเร็ง แต่คนป่วยมะเร็งจะปากขมเพราะฤทธิ์ยา อย่างตัวเองตอนได้รับคีโมบำบัดก็ไม่อยากกินอะไร แต่บางทีก็อยากกินน้ำมะนาวโซดาให้สดชื่นเท่านั้นเอง แต่มันถูกขยายผลไปจนเวอร์ ซึ่งก็มีคนดื่มน้ำมะนาวเยอะจนต้องไปหาหมอเพราะกรดไหลย้อน อันนี้หมอเล่าให้ฟังว่าต้องถามประวัติผู้ป่วยสูงอายุว่าทำไมเป็นกรดไหลย้อน ซึ่งก็คือดื่มโซดามะนาวเพราะเห็นว่ามีประโยชน์ ฉะนั้นก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ถ้าเราเชื่อโดยที่ไม่ได้กลั่นกรอง 

ประเด็นต่อมาคือเรื่องอิทธิพลของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน จนมีคำกล่าวว่าในยุคนี้ข้อมูลมีค่าราวกับน้ำมัน และมีข้อเสนอว่าควรมีการเก็บภาษีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานกับแพลตฟอร์มเหมือนกับภาษีการใช้น้ำประปาหรือไฟฟ้า รวมถึงเป็นที่มาของการออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ที่ได้รับแนวทางมาจากกฎหมายแบบเดียวกันของสหภาพยุโรป (EU) และปัจจุบันใกล้จะครบ 1 ปีของการบังคับใช้แล้ว ดังนั้น ควรประเมินว่าสถานการณ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้นดีขึ้นหรือแย่ลง และทำอย่างไรกฎหมายจะคุ้มครองได้อย่างจริงจังขึ้น

แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็พึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้และต้องจ่ายเงินให้เพราะไม่เช่นนั้นผู้รับสื่อก็จะมองไม่เห็นเนื้อหา อีกทั้ง ยังมีปัญหาการผลิตเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ เช่น Clickbait หรือการยั่วยุให้กดเข้าไปอ่าน ทำให้บริษัทแพลตฟอร์มเหล่านี้ขยายตัวจากสตาร์ทอัพกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอำนาจเหนือรัฐ เรื่องนี้จริงๆ แล้วภาครัฐของไทยควรมีบทบาทในการเจรจาต่อรองกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็ติดปัญหาว่าประชาชนชาวไทยไม่เชื่อมั่นในภาครัฐ หากรัฐจะเรียกตัวแทนแพลตฟอร์มไปหารือก็จะถูกมองว่ารัฐต้องการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

เนื่องจากที่ผ่านมา ภาครัฐของไทยมักแสดงท่าทีจริงจังขึงขังหากเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่ไม่ค่อยมีท่าทีแบบเดียวกันหากเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค คนส่วนใหญ่จึงไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุน เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา หรือ EU ประชาชนยังค่อนข้างเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของรัฐในการปกป้องประโยชน์สาธารณะ เพราะมีการรักษาสมดุลระหว่างความรับผิดชอบของเอกชนกับหลักการสิทธิมนุษยชน ทำให้มีเสียงสนับสนุนจากประชาชนในการให้ภาครัฐจะไปเจรจากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ

ทำอย่างไรที่เราจะสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วรัฐบาลมาเป็นปากเป็นเสียงของสาธารณะได้ ถ้าเรามีรัฐบาลที่เชื่อมั่นได้ เราก็จะมีตัวแทนที่จะต่อรองได้ วันนี้มีเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค มีสภาองค์กรของผู้บริโภค มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่มีอำนาจต่อรองมากขนาดไหน มันก็ยาก สื่อมวลชนจะมารวมกันมันก็ยาก เราไม่ได้กุมอำนาจรัฐ เราไม่ได้มีอำนาจบอกว่าถ้าคุณไม่ทำเราจะเก็บภาษีคุณ จะดำเนินการไม่ให้คุณทำธุรกิจ ซึ่งอำนาจนี้มันเป็นอำนาจทางปกครองที่รัฐมี ดังนั้นสิ่งที่เราอยากเห็นคือถ้าเรามีรัฐที่ไว้ใจได้ ยึดหลักกฎหมายและใช้กฎหมายที่ควรจะเป็นอย่างยุติธรรมเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ มันก็จะทำให้สถานการณ์ในไทยดีขึ้นระดับหนึ่ง การเลือกตั้งที่จะมาถึงพรคการเมืองต่างๆควรมีนโยบายสาธารณะในเรื่องสิทธิพลเมืองยุคดิจิทัล และ ส่งเสริมการรู้เท่าทันของพลเมือง 

อีกด้านหนึ่ง สุภิญญา ยังกล่าวถึงการทำงานของอัลกอริทึม (Algorithm) ของสื่อสังคมออนไลน์ ที่พยายามคาดเดาว่าผู้ใช้งานแต่ละคนชอบหรือสนใจอะไร ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานหยุดใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้เพราะเจอแต่สิ่งที่ชอบและไม่อยากหยุดใช้จนกลายเป็นการเสพติด (Addiction) จนใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าก็เป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่บริษัทคงไม่คิดว่าจะสามารถทำเงินได้มากมายขนาดนี้ อันที่จริง ก็ไม่ได้ต่างจากสื่อดั้งเดิมที่พยายามผลิตเนื้อหาให้ตรงกับผู้บริโภค เช่น การที่คนชอบดูละครหลังข่าวเพราะวางโครงเรื่องได้ถูกจริตกับคนในยุคนั้น เพียงแต่สื่ออินเตอร์เน็ตทำให้ทรงพลังมากขึ้นกว่าสื่อโทรทัศน์เพราะสามารถเชื่อมร้อยกันได้หมด สามารถแพร่กระจาย (Viral) และมีความถี่ในการเสนอข้อมูลให้เห็นได้ซ้ำๆ กล่าวคือ การดูละครยังมีวันที่เห็นตอนจบของเรื่อง แต่สื่อออนไลน์เมื่อพบว่าผู้ใช้งานมีการใช้งานน้อยลงก็จะส่งเนื้อหาบางอย่างมาให้เห็นเพื่อกระตุ้นให้ใช้งานมากขึ้นโดยไม่ได้มีมนุษย์มานั่งเฝ้าติดตาม แต่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นับวันจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้นปัจเจกชนแต่ละคนก็ต้องรู้เท่าทันด้วย เริ่มจากการตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนและอย่าเพิ่งเชื่อในทันที โดยเฉพาะเมื่อเจอเนื้อหาที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึก เช่น เนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่เรากำลังคิดหรืออารมณ์ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเกลียด ความชอบ ก็มีแนวโน้มที่จิตเราจะปรุงแต่งไปในทางนั้นและเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน หลักการตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนนี้ใช้ได้ตั้งแต่การป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารทางการเมือง 

โดยสรุปคือ ให้ใช้หลักอุเบกขาในการรับข้อมูลข่าวสารเพื่อที่จะหาข้อมูล ไม่เอาอารมณ์ไปใส่กับเรื่องราว มีวิธีคิดที่เปิดกว้าง เผื่อใจไว้เสมอและไม่อินกับเรื่องใดๆ จนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่เริ่มจากจิตใจ นอกนั้นต้องเริ่มหาตัวช่วย เช่น เพิ่มเป็นเพื่อนกับไลน์โคแฟค เพื่อที่จะไว้เช็คข่าว คุยกับกลุ่มเพื่อน สร้างชุมชน รับฟังข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย 

อย่างที่เขาแนะนำในหนังว่าเขาติดตามคนที่เขาไม่เห็นด้วยในทวิตเตอร์ เพื่อที่จะให้ออกจาก Echo Chamber ก็คือห้องแห่งเสียงสะท้อน เหมือนกับเราอยู่ในห้องนี้แล้วทุกคนพูดเหมือนกันหมด แล้วเราก็คิดว่าคนข้างนอกพูดเหมือนกับเราด้วย ซึ่งอันนี้ Social Media ทำให้เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้เลยว่าเราถูกออกแบบมาว่าให้เราคิดอย่างไร เราอาจจะคิดว่าทำไมวันนี้มีแต่คนสนใจข่าวดาราคนนี้ เราก็อาจจะคิดว่าคนทั้งโลกสนใจข่าวดาราคนนี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันก็เป็นเรื่องเราอาจจะต้องออกมาจากฟองสบู่ที่เราถูกกำหนดในมือถือ

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Social Dilemma เป็นภาพยนตร์แนวสารคดี เผยแพร่ครั้งแรกในระบบ Streaming ของ Netflix เมื่อปี 2563 เป็นผลงานของ เจฟฟ์ ออร์โลวสกี (Jeff Orlowski) เล่าเรื่องระหว่างนักแสดงในบทบาทผู้คนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตัดสลับกับการสัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เคยทำงานกับบริษัทแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ระดับยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งมาเปิดเผยว่าบริษัทเหล่านี้ใช้วิธีการอะไรให้ผู้คนอยู่กับแพลตฟอร์มจนถึงขั้นเสพติด และการทำแบบนี้ก็ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่บริษัทแพลตฟอร์มก็มีอิทธิพลต่อสังคมมากขึ้นทั้งด้านบวก และ ด้านลบ ทำให้เกิดสภาวะ หรือความย้อนแย้งในการใช้งาน และ กำกับดูแล 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เบื้องหน้า-เบื้องหลัง “โพล” กระทรวงสาธารณสุข ประชาชน 90% เห็นด้วย ย้าย ผอ. รพ. จะนะ?

การสำรวจความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ที่จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถูกนำมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียโดยขาดบริบทและคำอธิบายเกี่ยวกับระเบียบวิธีการสำรวจ จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในอำเภอจะนะและสร้างความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้อง ขณะที่โฆษก สธ. เปิดเผยกับโคแฟคว่าจำนวนกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน “หลักร้อย” จากจำนวนประชากรทั้งหมดในอำเภอจะนะกว่า 1 แสนคน

สธ. มีคำสั่งลงวันที่ 25 ม.ค. 2566 ย้าย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.จะนะ ไปเป็นผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้ นพ.สุภัทร รวมทั้งบุคลากรการแพทย์และชาวจะนะบางส่วนออกมาคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมและเชื่อว่ามีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง เพราะ นพ.สุภัทรมักออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณสุขของรัฐบาลอยู่เสมอ และร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการของรัฐ เช่น นิคมอุตสาหกรรมจะนะ แต่สุดท้าย สธ. ก็เดินหน้าตามคำสั่งโยกย้าย

วันที่ 14 มี.ค. หรือราว นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษก สธ. ได้เผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการโยกย้าย ผอ.รพ.จะนะ ในเพจเฟซบุ๊ก “โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข” ระบุว่าประชาชน 90.7 % “เห็นด้วย ดีใจกับการเปลี่ยนแปลง” มีเพียง 2.1% อยากให้ นพ.สุภัทรอยู่ต่อ ขณะที่ 7.2% ไม่ทราบและไม่สนใจเรื่องการโยกย้ายผู้อำนวยการโรงพยาบาล

ในโพสต์ดังกล่าว โฆษก สธ. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสำรวจเพียงสั้นๆ ว่า เป็นการสำรวจความเห็นประชาชนตามหลักวิชาการ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพโดยนักวิชาการอิสระในพื้นที่ระหว่างวันที่ 1-13 มีนาคม 2566 และสรุปว่าผลการสำรวจนี้ “เท่ากับว่าการตัดสินใจในการบริหารของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขระดับพื้นที่นั้นถูกต้อง”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบเมื่อ 16 มี.ค. พบว่า หลังจากโฆษก สธ. เผยแพร่ผลการสำรวจ ได้มีสื่อมวลชนกระแสหลัก ผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์นำไปเผยแพร่ต่อ โดยเฉพาะเพจเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาสนับสนุนรัฐบาล เช่น

  • เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Vision” โพสต์ว่า “ผลโพลชาวจะนะ หนุนหมอสุภัทรอยู่ต่อ 2.1%  อีก 90.7% ดีใจ อยากให้ รพ.พัฒนา” 
  • เพจเฟซบุ๊ก “สถาบันทิศทางไทย” โพสต์ว่า “ชาวจะนะอยากให้หมอสุภัทรอยู่ต่อแค่ 2.1%
  • เพจเฟซบุ๊ก “Sound of Thailand” โพสต์ว่า “ไม่อายหรือ ประชาชน 90% ไม่เอา”
  • เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Fact Today” ซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สธ. โพสต์ว่า “ประชาชนกว่า 90% เห็นด้วย เปลี่ยน ผอ. รพ.จะนะ”
เพจเฟซบุ๊ก Sound of Thailand ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 43,000 คน นำเนื้อหาจากเพจ “โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข”
มาเผยแพร่ต่อพร้อมจัดทำภาพประกอบ

โพสต์เหล่านี้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก มีทั้งผู้ที่ตั้งคำถามต่อวิธีการสำรวจ และผู้ที่อ้างอิงผลการสำรวจเพื่อสนับสนุนคำสั่งโยกย้ายของ สธ. และโจมตี นพ.สุภัทร ขณะที่สื่อกระแสหลัก เช่น มติชน ผู้จัดการ และแนวหน้า พาดหัวข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ประชาชน 90% เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้อำนวยการ รพ.จะนะ ส่วนเนื้อข่าวเป็นการนำข้อความจาก สธ. มาเผยแพร่ต่อทั้งหมด โดยไม่มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจหรือให้บริบทของการสำรวจความเห็นที่ทำขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวคัดค้านการย้าย นพ.สุภัทร

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจความเห็นนี้ โดยสัมภาษณ์ นพ.รุ่งเรือง โฆษก สธ. เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นพ.รุ่งเรืองเปิดเผยว่า กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจความเห็นมีจำนวน “หลักร้อยคน” จากประชากรในอำเภอจะนะทั้งหมด 108,245 คน

นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า การสำรวจความเห็นประชาชนครั้งนี้ “ไม่ใช่การทำโพล” แต่เป็นการทำวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนพื้นที่ละ 1-2 คน เพื่อสัมภาษณ์ความคิดเห็นเชิงลึก โดยตั้งคำถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของ รพ.จะนะหลังจากเปลี่ยนผู้อำนวยการจาก นพ.สุภัทรเป็น นพ.หมัด และอยากเห็น รพ.จะนะพัฒนาในด้านไหน

สำหรับผู้จัดทำการสำรวจและประมวลผลนั้น นพ.รุ่งเรืองระบุว่าเป็นนักวิจัยอิสระ ไม่ได้สังกัดสถาบันการศึกษาใดๆ แต่เป็นเครือข่ายของสำนักงานบริหารการวิจัยและนวัตกรรมสาธารณสุขที่อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง สธ. ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้เพื่อปกป้องนักวิจัย

นพ.รุ่งเรืองยอมรับว่าช่วงเวลาในการสำรวจ ซึ่งจัดทำขึ้นกว่า 1 เดือนหลังจากการโยกย้าย มีผลต่อความเห็นของประชาชน ซึ่งปัจจัยนี้ สธ. ไม่ได้ระบุไว้ในการเปิดเผยผลการสำรวจที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กเมื่อ 14 มี.ค.

“ต้องเรียนตามตรงว่าเราสำรวจหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ (การโยกย้าย นพ.สุภัทร) นานพอสมควร ซึ่งเรามีการลงไปพัฒนา มีการเปิดห้องผ่าตัด ออกหน่วยเชิงรุก จึงทำให้ผลออกมาอย่างนี้”  นพ.รุ่งเรืองอธิบาย และให้ความเห็นว่า หากสำรวจความเห็นก่อนมีการโยกย้าย อัตราส่วนของผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้อำนวยการรพ. จะนะ) อาจจะอยู่ที่ 50-50

นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า สธ.พร้อมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนประชาชนที่ทำการสำรวจและวิธีการสำรวจความเห็น แต่จะต้องทำจดหมายขอข้อมูลไปที่สำนักงานปลัดฯ ซึ่งโคแฟคจะดำเนินการในขั้นต่อไป

ข้อสรุปโคแฟค: งดแชร์เพราะขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็น

สธ.จะยืนยันว่าการสำรวจครั้งนี้จะทำตามหลักวิชาการ แต่การนำผลการสำรวจมาเผยแพร่โดยปราศจากข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับขนาดของกลุ่มตัวอย่าง การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ชุดคำถามในการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิธีการประมวลผล ทำให้เกิดคำถามต่อความน่าเชื่อถือของการสำรวจ และเปิดช่องให้มีการนำผลการสำรวจนี้ไปบิดเบือนให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่ากว่า 90% ของชาวอำเภอจะนะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการ รพ.จะนะ และมีประชาชนเพียง 2.1% ที่ต้องการให้ นพ.สุภัทรเป็นผู้อำนวยการต่อ

ข่าวเกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็นของ สธ. เป็นเนื้อหาประเภท misleading หรือข้อมูลที่โน้มน้าวให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความขัดแย้ง โคแฟคแนะนำให้ผู้อ่านแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริง ความเชื่อ และความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้ใช้โซเชียลมีเดียควรงดเผยแพร่ผลการสำรวจนี้ จนกว่า สธ. จะออกมาชี้แจงและเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนผู้ให้ความเห็น ชุดคำถามและวิธีการประมวลผล ขณะที่สื่อมวลชนควรนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นด้วยความระมัดระวังและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และป้องกันไม่ให้มีการนำโพลหรือผลการสำรวจความคิดเห็นมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมหรือโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เรื่องแนะนำ

ปฏิบัติการปล่อยข่าวเท็จ-บิดเบือนเรื่องศาสนา จากเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 2565 ถึงเลือกตั้งทั่วไป 2566

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 22 พ.ค. 2565 ชาวพุทธบางกลุ่มได้ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้คนกรุงเทพฯ ไม่เลือกผู้สมัครจาก “พรรคฝักใฝ่อิสลาม” และนำนโยบายของผู้สมัครบางคนมาบิดเบือนว่าเป็นนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมุสลิม 

แม้เนื้อหาเหล่านั้นจะไม่แพร่หลายนักและวัดไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด แต่ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ว่าศาสนาได้ถูกนำมาเป็นประเด็นในการโจมตีกันทางการเมืองในช่วงเลือกตั้ง และมีสัญญาณว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือน พ.ค. 2566

สัญญาณดังกล่าว ได้แก่ การวนกลับมาของข่าวเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยานับถือศาสนาอิสลาม และการเผยแพร่เนื้อหาในโซเชียลมีเดียเพื่อโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าพรรคการเมืองบางพรรคมีความเชื่อมโยงกับอิสลาม เช่น ภาพถ่ายหมู่ของชาวมุสลิมที่สำนักงานพรรคพลังประชารัฐ และงานทำบุญใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งจัดทั้งพิธีตามหลักศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ เป็นต้น 

สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการอภิปรายของนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 16 ก.พ. 2566 ที่กล่าวหานายกฯ ว่าปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ไม่ดูแลพระสงฆ์และชาวพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายนิยมกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนเกิดคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ “นับถือศาสนาอะไรกันแน่” และปิดท้ายว่า “ขอให้ชาวพุทธทั้งประเทศพิจารณาถึงพฤติกรรมที่นายกฯ คนนี้ได้เหยียบย่ำและทำลายศักดิ์ศรีของชาวพุทธมาตลอด 8 ปี…พี่น้องชาวพุทธต้องสั่งถอดนายกฯ คนนี้ออกไปโดยใช้บัตรเลือกตั้งในการเลือกตั้งคราวหน้า”

คลิปการอภิปรายของนายนิยมถูกนำมาเผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก “รวมใจคนไทยพุทธ ทั่วไทย” ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) โดยมีผู้เข้ามาคอมเมนต์ชื่นชมนายนิยมว่าเป็น “ส.ส.หัวใจพุทธ” อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า “เลือกเพื่อไทยไม่เอาอิสลาม”

อพปส. เป็นหนึ่งในสององค์กรชาวพุทธที่เผยแพร่เนื้อหาต่อต้านอิสลามในโซเชียลมีเดีย อีกองค์กรหนึ่งสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.สกลนคร 

โคแฟคคาดว่าในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง จะมีการผลิตและเผยแพร่ข่าวลวง ข่าวบิดเบือน และข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนามากขึ้น เรื่องนี้น่ากังวลแค่ไหนและสังคมไทยควรรับมืออย่างไร โคแฟคสัมภาษณ์พิเศษ ผศ. เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อหาคำตอบ และเรียบเรียงเป็นบทถาม-ตอบ  

ถาม: ข้อมูลบิดเบือนทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับศาสนา ส่งผลต่อการเมืองไทยอย่างไร?

ตอบ: การศึกษาเรื่อง “สำรวจถ้อยคำ ‘ประทุษวาจา’ บนชานชาลาเฟซบุ๊ก กรณีความสัมพันธ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ในสังคมไทย” ซึ่งจะเผยแพร่เร็วๆ นี้พบว่า กลุ่มชาวพุทธที่ส่งต่อข้อมูลที่มีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1) กลุ่มจัดตั้งของชาวพุทธชาตินิยมที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง และ 2) คนพุทธที่มีเจตนาดีในการปกป้องพระพุทธศาสนาแต่หลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนและส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง 

ตัวอย่างการจงใจสร้างข้อมูลเท็จที่เชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามเพื่อสร้างความเสียหายต่อนักการเมือง เช่น การเผยแพร่ข้อมูลว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อยู่เบื้องหลังกลุ่มมุสลิมติดอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งศาลได้ตัดสินแล้วว่าผู้เผยแพร่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ข้อมูลเท็จลักษณะนี้ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เปิดพื้นที่ให้กับคนมุสลิม โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำงานลำบากมากขึ้น และสุดท้ายอาจทำลายความเชื่อมั่นต่อการเมืองในระบบรัฐสภาโดยรวม ที่สำคัญคือหน่วยงานความมั่นคงอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มักจะรับไม้ต่อด้วยการนำข้อมูลของกลุ่มพุทธชาตินิยมเหล่านี้ไปขยายผล

ข้อมูลบิดเบือนที่เจตนาสร้างความเสียหาย (disinformation) ทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่เข้ามาทำงานการเมือง เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนที่ทำให้เขากลายเป็นบุคคลอันตราย ไม่ต่างจากการกล่าวหาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองว่าเป็น “ขบวนการล้มเจ้า” ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายและทำให้การเมืองในระบบประชาธิปไตยไม่ขยับไปไหน เป็นการเมืองแบบหวาดระแวง 

ถาม: นักการเมือง-พรรคการเมืองทำอะไรได้บ้าง?

การที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองเอาเรื่องศาสนามาพูดในลักษณะที่เป็นการรับลูกจากกลุ่มชาวพุทธชาตินิยมเพื่อหวังคะแนนเสียงจากชาวพุทธ จะส่งผลให้การเมืองในระบอบรัฐสภาไม่สามารถแยกออกจากศาสนาได้ และนอกจากจะไม่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์แล้ว ยังทำให้การจัดการความขัดแย้งทางศาสนายากขึ้น

ภายใต้บรรยากาศทางสังคมการเมืองไทยที่เปราะบางมากในขณะนี้ หน้าที่อย่างหนึ่งของพรรคการเมืองคือการสร้างความกลมเกลียวทางสังคม พรรคการเมืองต้องยึดมั่นในหลักการที่ว่ารัฐกับศาสนาต้องแยกเป็นอิสระจากกันเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) พรรคการเมืองจะต้องเป็นผู้นำทางความคิดในเรื่องการอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนา ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คะแนนเสียง พรรคการเมืองจะต้องแสดงจุดยืนในบางเรื่อง แม้ว่าจุดยืนนั้นจะแตกต่างจากความเชื่อของฐานคะแนนเสียงของพรรคก็ตาม

ถาม: ประเด็น “ปกป้องพุทธ-ต่อต้านอิสลาม” จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่?

ตอบ: ในประเทศไทย เรื่องศาสนาไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ ต่างจากศรีลังกาหรือเมียนมาที่มีความขัดแย้งทางศาสนาอย่างชัดเจน สังคมไทยมีต้นทุนที่ดีในระดับหนึ่งที่ทำให้ชาวพุทธและมุสลิมในหลายชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันได้จริงๆ จากการลงพื้นที่ชุมชนที่คนพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันในหลายจังหวัด ยังไม่พบสัญญาณความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ดังนั้นเมื่อมองในมิติการเมือง ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีผลถึงขนาดที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการลงคะแนนเสียงได้

แต่เราก็มีความกังวลว่า การใช้ข้อมูลบิดเบือนในเรื่องศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง จะสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยในระยะยาว เพราะต้นทุนทางสังคมที่ทำให้คนต่างศาสนาอยู่ร่วมกันได้เริ่มร่อยหรอไป เราไม่อยากให้ไทยเป็นเหมือนศรีลังกาหรือเมียนมาที่ความขัดแย้งทางศาสนานำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตผู้คน ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องตื่นตัวกับเรื่องนี้และสร้างมาตรการรองรับ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีองค์กรหรือหน่วยงานที่มีความเข้าใจเรื่องความแตกต่างทางศาสนาคอยตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลที่บิดเบือน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะการแก้ไขปัญหาก่อนที่มันจะบานปลายจนเกิดความสูญเสียย่อมทำได้ง่ายกว่าและใช้ทรัพยากรน้อยกว่า  

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง