สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 เมษายน 2566

โอเพนแชทใหม่ จะยกเลิกกลุ่มเดิม และให้สมาชิกกดเข้าร่วมกลุ่มใหม่ผ่านลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jhp432we9or7


จับตาโควิด XBB.1.16 ติดง่ายแถมหลบภูมิเก่ง ไทยมีคนป่วยเพิ่ม 2.5 เท่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/articleจ/17zj62pfr1so8#_=_


โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 พบในไทยแล้ว 27 ราย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/8uv9afsm18lq


โจรออนไลน์ไม่น่ารัก! ตร.เตือน 5 กลโกงช่วงหน้าร้อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/al9ehwlt2pvc


 กลโกงดูดเงินผ่าน “บัตรตื๊ด” บัตรอยู่ในกระเป๋าก็แฮกข้อมูลได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1cbs569gd81vt


เตือนภัยร้อน 40-50 องศา อย่าดื่ม-อย่าอาบน้ำเย็นทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pnn7zlk7bjc5#_=_


ระวังข่าวปลอม! ที่มีการส่งต่อข้อความในไลน์/โซเชียลมีเดีย ว่าเว็บไซต์เช็คสิทธิ #เลือกตั้ง เป็นเว็บอันตราย ห้ามกรอกเลข 13 หลัก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2o3s8erd3ev9m#_=_



หนัง‘The Social Dilemma’ ไม่ต้องหนีสื่อออนไลน์แต่ขอให้ใช้อย่างรู้เท่าทัน

4 เม.ย. 2566 ชมรมสมองใสใจสบาย ภายใต้ศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม ฝ่ายจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย จัดงานภาพยนตร์สนทนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ “รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี” โดยจัดฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Social Dilemma ว่าด้วยสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ใช้วิธีใดให้ผู้คนอยู่กับแพลตฟอร์มจนถึงขั้นเสพติด และการทำแบบนี้ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ธุรกิจได้ผลกำไรมหาศาล

รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาผู้สูงอายุ กล่าวว่า แม้ภาพยนตร์จะมีเนื้อหาเป็นการสัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เคยทำงานกับบริษัทแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ระดับยักษ์ใหญ่ แต่ก็มองว่าเป็นการให้ความเห็นในเชิงชี้นำ (Manipulate) ขณะที่ข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น ตัวเลข ยังมีน้อย ถึงกระนั้นก็เข้าใจได้ว่าคนเหล่านี้มีข้อจำกัดในการให้ข้อมูล โดยสรุปจึงมองว่าภาพยนตร์มีความน่าเชื่อถือเพียงในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อชมภาพยนตร์จนจบ ในช่วงท้ายผู้สร้างได้ฝากข้อคิดที่น่าจะนำไปปรับใช้กับชีวิตของตนเองได้ 

ทั้งนี้ ผู้สูงอายุหลายคนเลือกที่จะไม่แตะต้องสื่อสังคมออนไลน์เพราะมองว่ายากในการเข้าถึง ขณะที่บางคนเลือกที่จะเรียนรู้จนพอใช้งานได้ ซึ่งในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าผู้สูงอายุมีทักษะที่ไม่เท่ากับคนรุ่นใหม่ การทำงานของสมองก็ช้ากว่า อีกทั้งยังยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ ดังนั้นหากมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานไม่ยาก ผู้สูงอายุก็มีแนวโน้มที่จะเข้าไปเรียนรู้เพื่อใช้งาน 

แต่เมื่อเข้าสู่โลกของข้อมูลข่าวสารก็ต้องตระหนักเรื่องการตรวจสอบว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือเท็จ ต้องตรวจสอบไปถึงแหล่งข้อมูลว่าน่าเชื่อถือเพียงใด เพราะแม้แต่แวดวงการแพทย์ วารสารวิชาการที่มีชื่อเสียงและรับตีพิมพ์บทความต่างๆ ก็เคยมีกรณีตรวจพบภายหลังว่าเนื้อหาไม่เป็นความจริง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกเนื้อหาจะเป็นของปลอมไปเสียทั้งหมด เพียงแต่หากเราคิดว่าแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นเชื่อถือได้ เราก็มักจะเทใจเชื่อไปแล้วว่าข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นต้องใช้ความระมัดระวัง 

นอกจากนั้นยังต้องระวังเรื่อง การเสพติด (Addiction)” ที่ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการเสพติดสารบางอย่าง แต่เป็นอะไรก็ได้ โดยทางจิตเวชมีนิยามในการวัด เช่น การใช้เวลาไม่ควรเกินวันละ 2 ชั่วโมง หากวันหนึ่งใช้กับสิ่งนั้นไป 4-5 ชั่วโมง หรือหากวันไหนมีเหตุให้ไม่ได้ใช้เวลากับสิ่งนั้นแล้วรู้สึกกระวนระวายใจ หรือใช้เวลากับสิ่งนั้นจนรบกวนหน้าที่หรือสิ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน เหล่านี้เข้าข่ายมีแนวโน้มเสพติด เช่น เคยมีคนไข้มาปรึกษาปัญหาการนอนดึก เมื่อซักประวัติก็ทราบว่าทุกคืนต้องเช็คกลุ่มไลน์ทุกกลุ่ม อ่านทุกข้อความ ดูวีดีโอทุกคลิป 

เขาบอกว่ามีไลน์กลุ่มเยอะมาก บางกลุ่มมีเป็นร้อยๆ โพสต์แล้วมาพร้อมคลิปวีดีโอ เขารู้สึกว่าต้องดูทุกคลิป แล้วถ้าอันไหนดีหน้าที่เขาคือส่งต่อ ฉะนั้นลองจินตนาการ คนคนนี้ใช้เวลาในการทบทวนไลน์ของตัวเองหลายชั่วโมงมาก มันเป็นภาระที่ต้องทำ ถ้าาไม่ทำจะรู้สึกไม่สบายใจ ส่วนตัวในฐานะที่เป็นจิตแพทย์จะบอกว่าคนไข้คนนี้ติด Social Media คือเขาเองไม่คิดว่าติด แต่เขาติดแล้วทำให้เขานอนดึกแต่ต้องตื่นเช้ารศ.นพ.สุขเจริญ กล่าว

คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ถูกบอกเล่าโดยบุคคลที่เคยทำงานกับบริษัทแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ให้ความรู้สึกที่แรงเพราะคนเหล่านี้ได้อยู่และเห็นเจตนาของแพลตฟอร์ม โดยส่วนตัวชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจเป็นเพราะว่าตนเคยทำงานด้านสื่อสารมวลชน และเมื่อไปรวบรวมบทสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ มาประกอบเป็นเรื่องราว ก็ทำให้ได้รับรู้ความคิดและความรู้สึกของบุคคลที่ได้สัมภาษณ์นั้นด้วย 

ความน่าสนใจคือภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของอัลกอริทึม (Algorithm) หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แพลตฟอร์มใช้เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละคนเพื่อนำมาประมวลผลแล้วเลือกวิธีกระตุ้นที่ตรงจุด ทั้งนี้ แม้การบอกเล่าจะดูแรงจนทำให้ผู้ชมอาจหวาดกลัวสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็เข้าใจได้ว่าอะไรที่มีประโยชน์มากอีกด้านหนึ่งก็มีข้อเสียมากด้วยเช่นกัน เหมือนมีดที่ยิ่งคมการใช้งานก็มีประสิทธิภาพสูงแต่อันตรายก็สูงไปด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 2563 แต่ปัจจุบันนั้น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีที่เรียกเสียงฮือฮามากเพราะสามารถตอบโต้ถ้อยคำสนทนาของมนุษย์ได้ราวกับเป็นคนจริงๆ ซึ่งเทคโนโลยี AI นั้นสามารถพัฒนาตนเองได้ผ่านการเก็บข้อมูลจากการสนทนาหรือทำงานกับมนุษย์ และที่ผ่านมา เคยมีผู้สื่อข่าวของ The New York Times พูดคุยกับ AI ลองตั้งคำถามว่ามีสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อยากทำกับมนุษย์บ้างหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็ดูแล้วน่าสะพรึงกลัว เช่น สร้างไวรัสหรืออาวุธฆ่าล้างบางมนุษยชาติ หรือเผยแพร่ข่าวลวง (Fake News) ให้มนุษย์แตกแยกกัน

แม้แต่เว็บไซต์สารานุกรมเสรีอย่าง Wikipedia ที่หลายคนให้ความเชื่อถือเพราะเปิดกว้างให้ผู้ใช้งานร่วมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ก็เคยมีกรณี อลัน แม็คมาสเตอร์ (Alan MacMasters) ที่ถูกอ้างอิงวนซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องปิ้งขนมปัง (Toaster) โดยประวัติระบุว่าเป็นชาวสก็อตแลนด์ที่ประดิษฐ์อุปกรณ์ดังกล่าวขึ้นเป็นคนแรกของโลกเมื่อกว่าร้อยปีก่อน กระทั่งต่อมามีการเปิดเผยว่า อลัน แม็คมาสเตอร์ เป็นคนในยุคปัจจุบัน แต่ใช้เทคนิคการตกแต่งภาพเพื่อให้รูปถ่ายดูเป็นภาพเก่าในศตวรรษที่ 19 และประวัติที่บรรยายมานั้นก็เป็นของปลอม

เราเป็นคนแก่ที่สนใจไอทีมาก แต่ก็เห็นว่าถ้าอยู่ในโลกใบนี้แล้วเราไม่ยุ่งกับมันเลยเราก็เหมือนไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบัน แต่เมื่อเรายุ่งกับมันเราต้องรู้ทันมัน ทีนี้เรารู้เยอะมากเพราะค้นต่อ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและเข้าวัด คนอาจสงสัยว่านี่อะไรกัน แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ในโลก เรารู้สึกว่ามันอยู่ด้วยกันได้ เราก็มี Awareness (ความตระหนักรู้) เรารู้ตัวรู้อะไรอยู่ คือมันไปกันได้ระหว่างโลกกับธรรม ถ้าตราบใดยังอยู่ในโลก ทีนี้คนจะถามว่าทำไมสมองคนอายุ 83 ป้าดีทีเดียว ก็บอกว่าขอบคุณไอที เพราะการค้นการตามเรื่องต่างๆ” คุณหญิงจำนงศรี กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า พลังของอัลกอริทึมตามที่อธิบายในภาพยนตร์ โทรศัพท์มือถืออาจรู้จักตัวเราดีกว่าคนในครอบครัวเสียอีก เช่น เมื่อคนคนหนึ่งชอบรับเนื้อหาข่าวเกี่ยวกับดารา โปรแกรมก็จะคัดกรองแต่เนื้อหาทำนองนั้นมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมีทั้งด้านบวกและด้านลบอยู่ที่เราจะเลือกแบบใด เหมือนสมัยก่อนที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตคนก็จะมีข้อจำกัดในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่เมื่อมีอินเตอร์เน็ตข้อมูลข่าวสารก็ไร้พรมแดน 

ซึ่ง 2 ส่วนที่ต้องทำ ด้านหนึ่งคือประชาชนต้องช่วยกันส่งเสียงเพื่อให้เกิดนโยบายสาธารณะด้านสิทธิดิจิทัล (Digital Rights) เช่น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดให้การเก็บหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลด้วย แต่อีกด้านคือแต่ละคนในฐานะที่ใช้ชีวิตกับโทรศัพท์มือถือตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอนก็ต้องช่วยเหลือตนเองเช่นกัน อาทิ เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ เป็นคำที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ รวมถึงหาตัวช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ 

เช่น แอปพลิเคชั่น Whoscall ที่จะแจ้งเตือนว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเป็นมิจฉาชีพหรือโทรมาเสนอขายสินค้าหรือไม่ จากการที่ผู้ใช้งานช่วยกันรายงานเข้าสู่ฐานข้อมูลของระบบ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรมีแพลตฟอร์มลักษณะนี้เป็นของตนเอง เช่น Whoscall เป็นแอปฯ จากไต้หวัน หรือไลน์ (Line) ที่เป็นของเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เท่ากับข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยไปอยู่กับต่างชาติแล้ว จึงเป็นอีกเรื่องที่ควรผลักดันกันต่อไปในระดับนโยบาย ซึ่งแอปฯ อย่าง Whoscall น่าจะสามารถทำได้เพราะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในไทยมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว

เราก็เป็นคนตัวเล็ก อาจจะต้องพยายามดูแลตัวเองก่อนเพื่อป้องกันตัวเองจากด้านมืดออนไลน์ เครื่องรางของขลังนอกจากคาถาเช็คก่อนแชร์-ชัวร์ก่อนแชร์ ก็คืออาจจะต้องหาตัวช่วยพวกแอปพลิเคชันต่างๆ อย่างโคแฟคก็จะเป็น Line Chatbot ที่สามารถเช็คข่าวลือ-ข่าวลวงได้ และใช้วิธีหนามยอกก็เอาหนามบ่ง เราอาจต้องกลับมาใช้ AI , Machine Learning เพื่อกลับมาช่วยเราเช่นกัน สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด

4 เม.ย. 2566 ชมรมสมองใสใจสบาย ภายใต้ศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม ฝ่ายจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย จัดงานภาพยนตร์สนทนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี โดยในภาคบ่ายเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี สำหรับผู้สูงอายุ โดยมีวิทยากรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ท่าน คือ พ.ต.ท.ธนธัส กังรวมบุตร สารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ และ พ.ต.ท.วัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง รองผู้กำกับ กลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์

วิทยากรทั้ง 2 ท่าน เริ่มต้นด้วยการฉายภาพให้เห็นว่า ในอดีตการเจอกับคนร้ายได้เรามักต้องอยู่นอกบ้าน เช่น ออกไปแล้วถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกชิงทรัพย์ แต่ปัจจุบันที่เราใช้ชีวิตกับโลกออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดเวลา มิจฉาชีพก็สามารถปะปนเข้ามาได้ เช่น ส่ง SMS มาล่อให้คลิกเข้าไปดู หรือมีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กเป็นชาวต่างชาติแถมร่ำรวยอีกต่างหากทักมาขอทำความรู้จัก ซึ่งจากสถิติรับแจ้งความออนไลน์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดให้แจ้งได้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2565 ผ่านมาปีเศษๆ พบมีการแจ้งมากถึง 2.2 แสนคดี 

ตัวอย่างหนึ่งของมิจฉาชีพออนไลน์คือการ สร้างเพจปลอม โดยพยายามใช้ตัวอักษรให้ใกล้เคียงกับเพจจริงมากที่สุด เช่น เพจขายสินค้าแห่งหนึ่ง เพจจริงใช้อักษรไทย ข-ไข่ แต่เพจปลอมใช้อักษรอังกฤษตัวยู-u หรือกรณีของ เว็บไซต์ปลอม ก็จะพยายามทำที่อยู่เว็บ (URL) ให้ดูเหมือนเว็บจริง หรือให้เข้าผ่านเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งหากสังเกตก็จะพบว่าชื่อเว็บกับ URL ไม่ตรงกัน อีกทั้งยังมีการปลอมแปลงบัตรประชาชนของเจ้าของเพจด้วยการตัดต่อภาพ เพื่อทำให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นเพจจริง และจาก 2.2 แสนคดี มีข้อค้นพบว่า การตรวจสอบความน่าเชื่อถือมักทำหลังจากโอนเงินไปแล้ว เรียกว่ากว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก เงินก็ลอยออกไปจากบัญชีแล้วนั่นเอง

ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องเตือนกันคือ เช็คให้ชัวร์ก่อนโอนเงิน วิธีง่ายๆ คือนำชื่อเพจ ชื่อเจ้าของบัญชีธนาคาร หรือเลขบัญชีธนาคารไปลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตก่อนตัดสินใจโอนเงิน อย่างน้อยเป็นการคัดกรองในขั้นต้น หากชื่อหรือบัญชีธนาคารดังกล่าวเคยมีประวัติต้องสงสัยน่าจะเป็นมิจฉาชีพ โดยนอกจาก Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google แล้ว ยังมีเว็บไซต์ ฉลาดโอน.com” หรือ https://www.chaladohn.com ซึ่งเป็นความร่วมมือของหน่วยงานรัฐและเอกชน เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการตรวจสอบ แม้ความแม่นยำจะไม่ถึงกับ 100% ก็ตาม เพราะฝั่งมิจฉาชีพเองก็มีการเปิดบัญชีใหม่ๆ ขึ้นมาซึ่งยังไม่มีประวัติในฐานข้อมูล 

ประการต่อมา “อย่าลืมตรวจสอบความโปร่งใสของเพจเฟซบุ๊ก” สามารถเข้าไปดูได้โดยเลือกที่หมวด “เกี่ยวกับ” แล้วตามด้วยหัวข้อ “ความโปร่งใสของเพจ” เนื่องจากหลายครั้งมิจฉาชีพไปซื้อเพจที่มียอดคนติดตามจำนวนมาก เช่น เพจคำคม เพจธรรมะ ฯลฯ แล้วมาเปลี่ยนเป็นเพจร้านค้า วิธีสังเกตเบื้องต้นคือ หากร้านค้าระบุที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแต่แอดมินหรือผู้ดูแลเพจอยู่ต่างประเทศ หากเจอเพจลักษณะนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเพราะมีโอกาสสูงที่จะเป็นมิจฉาชีพ นอกจากนั้น ในหน้าความโปร่งใสของเพจ ยังมีประวัติการเปลี่ยนชื่อเพจให้ดูด้วย ซึ่งบางเพจเปลี่ยนมาแล้วหลายชื่อ ตั้งแต่ขายรถหลุดจำนำ ขายตู้เย็นมือสอง ขายชุดเครื่องนอน ฯลฯ เป็นอีกจุดที่น่าสงสัยเช่นกัน

ถูกหลอกยืมเงิน-ขอเงินโดยอ้างว่าเป็นคนรู้จัก” เป็นอีกรูปแบบของมิจฉาชีพออนไลน์ที่เจอกันบ่อยๆ ทักมาทางไลน์บ้าง เฟซบุ๊กบ้าง วิธีการคือมิจฉาชีพจะสร้างลิงค์ (Link) อะไรสักอย่างขึ้นมาล่อให้คลิกเข้าไป และเมื่อเข้าไปแล้วจะมีให้กรอกบัญชีและรหัสผ่าน เช่น อีเมล เฟซบุ๊ก ไลน์ หากหลงเชื่อกรอกเข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับการมอบบัญชีนั้นให้มิจฉาชีพเอาไปใช้หลอกญาติสนิทมิตรสหายต่อไป เพราะมิจฉาชีพรู้รหัสผ่านสำหรับล็อกอินเข้าใช้งานแล้ว 

วิธีป้องกันง่ายๆ คือ “โทรศัพท์ไปถามเจ้าตัวก่อนโอน” อาจจะเสียเวลา (หรืออาจเจออีกฝ่ายบ่นบ้าง) ก็ยังดีกว่าเสียเงินให้มิจฉาชีพ และย้ำว่า “ให้โทรด้วยหมายเลขโทรศัพท์เดิมที่เคยจดไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น” อย่าโทรไปหมายเลขใหม่ที่บัญชีนั้นเพิ่งให้มา หรืออย่าโทรโดยผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพราะยังเสี่ยงเจอมิจฉาชีพให้หมายเลขโทรศัพท์หรือบัญชีไลน์ปลอมอีก นอกจากนั้น “อย่าโอนเงินถ้าชื่อคนขอเงินกับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน” เจอแบบนี้คิดไว้ก่อนได้เลยว่ามิจฉาชีพแน่นอน

ทุกวันนี้เรามีไลน์ ปัญหาที่ตามมาคือเราไม่ค่อยจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันแล้ว สมัยก่อนเราบอกเพื่อน เฮ้ย! ขอเมมเบอร์ไว้หน่อย ปีใหม่-สงกรานต์ก็ส่ง SMS ให้เพื่อน แต่ทุกวันนี้ส่งไลน์ ส่งให้เป็นกลุ่ม โดยที่เราไม่รู้ว่าเพื่อนเราเบอร์โทรอะไร ฉะนั้นกลับไปเมมเบอร์เพื่อน เมมเบอร์ลูกหลานไว้ เผื่อฉุกเฉินได้คุยกัน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารยังทำให้การ หางาน-สมัครงานทำได้ง่ายทางออนไลน์ แต่ก็ง่ายต่อการที่มิจฉาชีพจะใช้หลอกลวงเหยื่อด้วย โดยจะมีการล่อลวงด้วยถ้อยคำที่สื่อในทำนอง งานสบายรายได้ดี เมื่อผู้สนใจคลิกลิงค์เข้าไปดู 1.ถูกหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น มีการให้กรอกชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน ฯลฯ เมื่อส่งไปแล้วและไม่มีการติดต่อกลับ นอกจากจะไม่ได้งานแล้วข้อมูลที่เรากรอกไปอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ 

2.ถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า กรณีนี้มิจฉาชีพไม่ต้องการให้เหยื่อโอนเงิน แต่จะขอเลขบัญชีธนาคารของเหยื่อ อ้างว่าทำธุรกิจรับโอน-จ่ายค่าต่างๆ นานา แถมยังล่อตาล่อใจด้วยการแบ่งส่วนหนึ่งให้ เช่น ให้วันละ 200 บาทบ้าง 500 บาทบ้าง เป็นรายได้แบบไม่ต้องทำงานอะไรนอกจากช่วยโอนเงินจากบัญชีตนเองไปอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งเคยมีคดีที่คุณยายวัย 80 ปี ถูกหลอกโดยอ้างว่ารายได้ดีแบบไม่ต้องพึ่งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่สุดท้ายต้องตระเวนไปขึ้นศาลทั่วประเทศ เพราะมีการแจ้งความว่าบัญชีดังกล่าวถูกนำใปใช้หลอกเหยื่อคนอื่นๆ ให้โอนเงิน รวมกว่า 40 คดี

3.อ้างว่ามีงานแน่ๆ แต่ขอให้โอนเงินมาก่อน เคยมีกรณีเพจประกาศรับคนทำงานแพ็คสบู่ แต่ผู้สนใจต้องโอนเงินไปก่อน 500 บาทแล้วจะส่งสบู่ไปให้แพ็ค จากการสืบสวนพบแอดมินเพจกระจายกันอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งในมุมของตำรวจแล้วมิจฉาชีพประเภทนี้ถือว่าเลวร้ายมากเพราะเป็นพวกซ้ำเติมความทุกข์ เนื่องจากผู้ตกเป็นเหยื่อมักเป็นคนที่เดิมก็ไม่ค่อยมีเงินอยู่แล้วและต้องการหางานทำ แต่นอกจากจะไม่ได้งานแล้วยังเสียเงินที่ควรจะได้เก็บไว้ใช้จ่ายประทังชีวิตไปอีก

 เคสนี้น่าเศร้ามาก เคยเห็นหน้า Feed เฟซบุ๊กไหม? รับสมัครคนดูคลิปยูทูบ 10 คลิปได้ 400 เคสนี้เกิดขึ้นจริง หลายท่านอาจจะเคยดูข่าว มีน้องอายุ 15 อยากหางานช่วยเหลือพ่อแม่ช่วงปิดเทอม ไปเจอในอินสตาแกรม รับสมัครคนดูคลิปยูทูบเพิ่มยอดวิว อยู่บ้านเฉยๆ ดู 10 คลิปได้ 400 น้องแอดไลน์ไปคุย ตอนแรกเขาส่งคลิปมาให้ดู 10 คลิป แล้วเขาโอนเงินให้จริงๆ 400 บาท แต่ถ้าน้องอยากทำงานเพิ่มก็ต้องสมัครเป็น VIP แพ็คเกจ ถึงจะดูได้ 50 คลิป ซึ่งจะได้ 2,000 บาท น้องก็โอนไป 1,000 บาท เพื่อจะได้แพ็ตเกจ VIP

น้องก็ดู 50 คลิป แต่คราวนี้คนร้ายไม่ได้โอน 2,000 บาท บอกว่า VIP มันมีหลายขั้นตอน VIP1 แล้วยังมี VIP2 VIP3 น้องก็โอนไปเรื่อยๆ ไปเปิดเป็น VIP5 เสียไปแล้วประมาณ 2 หมื่นบาท ก็ยังโอนไม่ได้ คนร้ายก็จะหาวิธีมาหลอกให้น้องโอนเงินเรื่อยๆ เด็กก็รู้สึกเสียดาย โอนเงินไปขนาดนี้ถ้าไม่โอนต่อก็ไม่สามารถถอนเงินได้ ก็โอนจนเงินหมดแล้วก็ไปเอาเงินพ่อแม่มา แล้วก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่ สุดท้ายน้องคนนี้ผูกคอตาย แอดมินคนที่คุยกับน้องอยู่ที่กัมพูชา ตอนนี้จับได้แล้ว

นอกจากเอาเรื่องหางานทำมาหลอกแล้ว แหล่งเงินกู้ ก็เป็นอีกกลโกงที่มิจฉาชีพนำมาใช้ซ้ำเติมคนที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะหลายคนจำเป็นต้องใช้เงินแต่ไม่สามารถเข้ากู้สินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้ จึงต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบแม้จะมีดอกเบี้ยสูง และเมื่อมีเทคโนโลยีพร้อม แอปพลิเคชันเงินกู้ จึงเกิดขึ้น ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ 1.กู้เงินได้จริง (แต่ดอกเบี้ยสูงเพราะเป็นเงินกู้นอกระบบ) และหากไม่จ่ายหรือจ่ายช้าก็จะถูกโทรศัพท์ไปทวงถามหรือประจานกับคนอื่นๆ รอบข้าง ไปจนถึงสามารถนำข้อมูลส่วนบุคคลไปส่งต่อให้มิจฉาชีพ เพราะแอปฯ เหล่านี้เมื่อติดตั้งจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ พิกัดตำแหน่ง ภาพถ่าย ฯลฯ

กับ 2.กู้ไม่ได้แถมเสียเงินเพิ่มไปอีก เช่น มิจฉาชีพจะอ้างว่าจะกู้เงินต้องจ่ายค่าประกันร้อยละ 10 ของจำนวนเงินที่ขอกู้ เพื่อให้ธนาคารอนุมัติ อาทิ ขอกู้ 5 หมื่นบาท ต้องจ่ายค่าประกัน 5 พันบาท โดยยืนยันว่าเมื่ออนุมัติแล้วจะคืนให้พร้อมเงินกู้ แต่จริงๆ แล้วไม่มีการให้กู้เงิน มีแต่การหลอกเหยื่อให้โอนเงิน มิจฉาชีพประเภทนี้จะเล่นกับความรู้สึกเสียดายโอนไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะโอนต่อไปเรื่อยๆ เสียเงินมากขึ้นอีกหลายครั้งตามคำลวงต่างๆ นานาของมิจฉาชีพ เพราะเสียดายเงินที่โอนไปแล้วจึงไม่กล้าตัดสินใจถอนตัวตั้งแต่ยังเสียเงินเพียงจำนวนน้อยๆ 

หลอกให้รักแล้วลวงเอาเงิน (Romance Scam)” ส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะสร้างประวัติปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะการใช้ภาพชาวต่างชาติหน้าตาดี-ฐานะดี อ้างว่าอยากมาใช้ชีวิตระยะยาวในประเทศไทย เมื่อชวนพูดคุยกันไปสักระยะจนเหยื่อเริ่มตายใจ มิจฉาชีพจะบอกว่าตนเองขนเงินจำนวนมากเข้ามาในไทย แต่ติดขั้นตอนดำเนินการบางอย่างซึ่งต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง แล้วก็ขอให้เหยื่อโอนเงินจำนวนนั้นไปช่วยสำรองเป็นค่าดำเนินการก่อน ซึ่งมีจุดสังเกตคือ บัญชีธนาคารที่ให้โอนเงินเป็นบัญชีชื่อคนไทย แบบนี้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหลอกแน่ๆ

การจับคนร้ายว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังโดนหลอก มีอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นรองศาสตราจารย์ เกษียณอายุแล้ว คุยกับคนร้ายนี้มา 5 ปี หมดเงินไป 10 ล้าน ลูกหลานพาไปแจ้งความก็ไม่ไป ไม่เชื่อ ทุกวันนี้ยังนั่งรอจะไปสนามบินเพื่อไปรอรับคนนี้อยู่ แล้วครอบครัวก็พัง ฉะนั้นสิ่งที่เลวร้ายกว่าคือการที่ยอมรับความจริงไม่ได้ การที่อยู่ในโลกของการคุยออนไลน์ เพราะด้วยวัยที่เราอยู่บ้านคนเดียวอาจจะเหงา อาจต้องการเพื่อนคุย ลูกหลานทำงาน ฉะนั้นเราควรจับกลุ่มกับคนที่เราเจอในโลกแห่งความจริงจะดีกว่า

นอกจากหลอกให้รักแล้ว หลอกให้สงสาร ก็เป็นอีกกลโกงของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ เช่น มีกรณีเหยื่อกับคนร้ายคุยกัน 3 ปี ตลอดเวลาไม่มีการพูดคุยเรื่องชู้สาว มีแต่เรื่องธรรมะและอื่นๆ ทั่วไป วันหนึ่งมิจฉาชีพส่งรูปผู้ป่วยนอนติดเตียงพร้อมข้อความว่าต้องการใช้เงินด่วน หากหาไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไป เป็นการสร้างความรู้สึกผิด (Guilty) กับเหยื่อหากนิ่งเฉยไม่โอนเงินไปช่วยเหลือ หรือระยะหลังๆ มีกรณีประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ถูกหลอกแบบ Romance Sacm” มักเป็นกลุ่ม สาวใหญ่ อายุ 45 ปีขึ้นไป และมีปัญหาครอบครัวมาก่อน เช่น เป็นหม้าย หย่าร้าง อาจเกิดความเหงาและต้องการเพื่อนคุย-เพื่อนคู่คิด สำหรับวิธีรับมือมิจฉาชีพประเภทนี้ ให้อีกฝ่ายเปิดกล้องและชวนพูดคุยผ่านวีดีโอคอล หรือขอให้แสดงท่าทางต่างๆ ในทันที เพราะมิจฉาชีพมักใช้วิธีเปิดคลิปวีดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วหากเหยื่อขอให้เปิดกล้อง 

ยังมีรูปแบบ หลอกให้ร่วมลงทุน อ้างเป็นชาวต่างชาตินอกจากจะอยากมาใช้ชีวิตในไทยแล้วยังอยากทำธุรกิจอีกโดยขอเลขบัญชีธนาคาร แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นการนำไปใช้เป็นบัญชีม้าหลอกลวงคนอื่นๆ ให้โอนเงินเข้ามา นอกจากถูกมิจฉาชีพหลอกแล้วยังมีคดีความติดตัวอีกต่างหาก หรือเป็นการหลอกลงทุนจริงๆ เช่น ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Currency) ระยะแรกๆ ให้โอนเงินทีละน้อยๆ ไม่กี่พันบาท แล้วโอนกลับมาพร้อมผลกำไร กระทั่งเมื่อเหยื่อกล้าโอนเงินจำนวนมากพอตามที่มิจฉาชีพต้องการ ก็จะอ้างว่าหากอยากได้เงินทุนคืนพร้อมกำไรต้องโอนเงินไปจ่ายภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ นานา

ในเมื่อตำรวจสืบสวนแกะรอยมิจฉาชีพออนไลน์ได้ แต่ทำไมไม่จับกุม ปล่อยให้หลอกลวงทั้งคนไทยและคนทั่วโลกจนมีมูลค่าความเสียหายมหาศาล? เรื่องนี้คำตอบอยู่ที่ คนร้ายปฏิบัติการข้ามประเทศ และฐานปฏิบัติการบางแห่งเป็นพื้นที่พิเศษที่แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นในประเทศนั้นจะเข้าไปทันทีก็ยังทำไม่ได้ เช่น ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย บางแห่งเป็นเขตเช่าที่มีนักธุรกิจจากชาติมหาอำนาจมาเช่าพื้นที่ระยะยาว ซึ่งตำรวจท้องถิ่นจะเข้าไปดำเนินการอะไรก็ต้องขออนุญาตนักธุรกิจที่เช่าพื้นที่นั้นเสมอ

ฉะนั้นการระมัดระวังตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อคือวิธีการที่ดีที่สุด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เลือกตั้ง 2566: ตรวจสอบ 3 ประโยคของประยุทธ์บนเวทีปราศรัยรวมไทยสร้างชาติ

Top Fact Checks Political

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ในกรุงเทพฯ ครั้งแรก ซึ่งจัดที่สวนเบญจกิติเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2566 โคแฟคหยิบ 3 ประเด็นที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างการปราศรัยมาตรวจสอบความถูกต้อง และพบว่ามีทั้งประโยคที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นจริงบางส่วน และประโยคที่อาจสร้างความเข้าใจผิดเนื่องจากขาดบริบทและข้อมูลรองรับ

“จะมีเครื่องบินที่จองไว้แล้วมาลงเมืองไทยประมาณ 90,000 กว่าไฟลต์

โคแฟคตรวจสอบ: พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่ารัฐบาลของเขาประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของไทย เห็นได้จากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น

จากการค้นหาข่าวและฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOT) และบริษัท วิทยุการบิน (บวท.) เกี่ยวกับจำนวนเที่ยวบินที่จะเดินทางเข้าไทย โคแฟคไม่พบข้อมูล “90,000 กว่าไฟลต์” ที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึง มีเพียงการประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. 2566 โดย AOT คาดว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT จะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 14,220 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 7,500 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 6,720 เที่ยวบิน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ราว 60% แต่หากเทียบกับปริมาณเที่ยวบินช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด AOT ระบุว่า “ปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารในปีนี้ยังคงติดลบ” โดยเที่ยวบินระหว่างประเทศลดลง 20.90%

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2566 บวท. เผยแพร่เอกสารการคาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินตลอดปี 2566 ว่าจะมีเที่ยวบินรวม 858,387 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 2,352 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 65% จากปี 2565 เป็นผลจากการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจากนโยบายเปิดประเทศของจีน

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ รทสช. ชี้แจงกับโคแฟคว่า ตัวเลข 90,000 เที่ยวบินที่ พล.อ.ประยุทธ์อ้างถึงบนเวทีปราศรัย “เป็นตัวเลขคาดการณ์” ที่คำนวณจากการประเมินของ บวท. ที่คาดว่าในปี 2566 จะมีปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 2,352 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งหากคูณจำนวนวันในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า “ตัวเลขคาดการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดถึง 90,000 เที่ยวบินที่รอจะเข้ามาในช่วงไฮซีซั่น จึงเป็นตัวเลขที่เชื่อถือได้” นายบุญยอดระบุ

[การรับมือกับโควิด-19] เราเป็นประเทศชั้นนำในโลก ประชาชนปลอดภัย เสียหายน้อยที่สุด และเราสามารถเปิดประเทศได้เร็วที่สุด”

โคแฟคตรวจสอบ: รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ประกาศ “เปิดประเทศ” เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2564 โดยเปิดรับนักเดินทางจาก 63 ประเทศและดินแดนให้เข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว หากมีหลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดส และผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบ การเปิดประเทศนี้เกิดขึ้น 4 เดือน หลังรัฐบาลทำโครงการนำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโครงการ Phuket Sandbox เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2564

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ ourworldindata.org ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งแบ่งระดับความเข้มข้นของการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศในช่วงโควิดระบาดเป็น 5 ระดับ จากมากไปหาน้อย คือ ระดับ 5-ปิดประเทศ, ระดับ 4-ห้ามผู้ที่เดินทางจากประเทศเสี่ยงสูงเข้าประเทศ, ระดับ 3-ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงสูงต้องกักตัว, ระดับ 2-ไม่จำกัดประเทศแต่มีมาตรการคัดกรอง, ระดับ 1-ไม่มีมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ 

ณ วันที่ 1 ก.ค. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวภายใต้ Phuket Sandbox มีไม่ต่ำกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่ใช้มาตรการระดับ 2 คือ เปิดรับนักเดินทางจากทุกประเทศแต่ต้องผ่านการคัดกรอง ส่วนวันที่ 1 พ.ย. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ไทยเปิดประเทศ มีไม่ต่ำกว่า 50 ประเทศที่เปิดรับนักเดินทางต่างชาติแล้ว นั่นหมายถึงว่าไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่เปิดประเทศรับนักเดินทางจากต่างชาติหรือ “เปิดประเทศได้เร็วที่สุด”

แผนที่แสดงระดับความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทยเปิดประเทศรับนักเดินทางจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศอาจไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จของการรับมือโควิด-19 ได้ เพราะหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือเกิดการระบาดระลอกใหม่หลังการเปิดประเทศ จนต้องปรับมาตรการอีกหลายครั้ง เช่น ช่วงปลายเดือน พ.ย. 2564 เกิดการระบายของสายพันธุ์โอมิครอน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงประกาศห้ามผู้โดยสารจาก 8 ประเทศเข้าไทยเพื่อสกัดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2564 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) มีมติให้ระงับการลงทะเบียนขอเข้าประเทศไทยชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน

ส่วนคำกล่าวอ้างของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า ประเทศไทย “เสียหายน้อยที่สุด” นั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อธิบายว่าหมายถึงความเสียหายในมิติใด แต่หากเป็นจำนวนผู้เสียชีวิต องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ณ วันที่ 6 เม.ย. 2566 ไทยมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งหมด 33,938 ราย มีผู้ติดเชื้อ 4,728,799 ราย ขณะที่ เว็บไซต์ ourworldindata.org รายงานว่าไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิด-19 ต่อประชากร 1 ล้านคนอยู่ที่ 473.35 คน ซึ่งสูงกว่าบางประเทศในเอเชีย เช่น เวียดนาม (439.83) เนปาล (393.48) บรูไน (336.30) กัมพูชา (182.25)

ในด้านของความเสียหายทางเศรษฐกิจ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานเมื่อเดือน มิ.ย. 2564 ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้จีดีพีของไทยลดลงถึง 6.1% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 แรงงานจำนวนมากตกงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมรายงานว่า ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2563 ไทยมีหนี้สาธารณะมูลค่าทั้งสิ้น 8.13 ล้านล้านบาท คิดเป็น 52.1% ต่อจีดีพี ส่วนหนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 13.77 ล้านล้านบาท คิดเป็น 86.6% ต่อจีดีพี เป็นผลจากเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลของการแพร่ระบาดของโควิด

“สวนเบญจกิติ…ผมมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ผมเป็นคนผลักดันให้เกิดตั้งแต่ระยะที่ 1 และผมได้ทำระยะที่ 2-3 ต่อจนจบ”

โคแฟคตรวจสอบ: สวนสาธารณะเบญจกิติ เป็นสวนสาธารณะกลางกรุงเทพฯ ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 450 ไร่ในเขตคลองเตย แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนหลักคือ สวนน้ำ 130 ไร่ และสวนป่า 320 ไร่ โครงการนี้มีความเป็นมายาวนานกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน จนถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ไม่ผิดที่ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่าเขา “มีส่วนร่วมในเหตุการณ์” แต่เนื่องจากโครงการนี้มีการพัฒนาต่อเนื่อง รัฐบาลแต่ละชุดจึงมีส่วนร่วมในระดับที่แตกต่างกันไป สำหรับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสร้างส่วน “สวนป่า” ซึ่งมีทั้งหมด 3 ระยะ ดำเนินการระหว่างปี 2559-2564

พล.อ.ประยุทธ์ถ่ายภาพที่สวนเบญจกิติในวันที่เขาร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกการส่งมอบและรับมอบสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 บางส่วนให้กรุงเทพมหานครดูแลเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564

หนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 7 มี.ค. 2559 ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโครงการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ ซึ่งโคแฟคเข้าถึงจากฐานข้อมูลออนไลน์ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเมื่อ 9 เม.ย. 2566 สรุปความเป็นมาของสวนเบญจกิติไว้ดังนี้

  • 24 ธ.ค. 2534 สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ ครม. เห็นชอบให้ย้ายโรงงานยาสูบ และพัฒนาพื้นที่โรงงานเดิมในเขตคลองเตย เป็นสวนสาธารณะ โดยให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบ
  • ปี 2535 สำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งสำนักราชเลขาธิการว่ารัฐบาลมีโครงการจัดสร้างสวนสาธารณะบริเวณที่ตั้งเดิมของโรงงานยาสูบ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ จึงขอพระราชทานชื่อสวน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงพระราชทานชื่อว่า “เบญจกิติ”
  • 27 พ.ค. 2540 สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ ครม. อนุมัติให้ใช้เงินรายได้จากโรงงานยาสูบในการจัดสร้างสวนเบญจกิติ ซึ่งประกอบด้วย ส่วนที่ 1) การจัดสร้างสวนน้ำ 130 ไร่ และส่วนที่ 2) การจัดสร้างสวนป่า 320 ไร่
  • 7 ธ.ค. 2547 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงเสด็จเปิดสวนน้ำเบญจกิติ
  • 27 พ.ย. 2557 สมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ แบ่งการจัดสร้างเป็น 3 ระยะ
  • เดือน ม.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้ใช้แบบของสำนักพระราชวังในการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ
  • 8 มี.ค. 2559 ครม. เห็นชอบการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติตามแบบของสำนักพระราชวัง โดยให้โรงงานยาสูบสนับสนุนค่าใช้จ่ายวงเงิน 950 ล้านบาท ให้เสร็จทันงานเฉลิมพระชมนพรรษา 7 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ 12 ส.ค. 2559
  • 12 ส.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการส่งมอบสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 1 ให้กรุงเทพมหานครดูแล
  • ปี 2562-2564 จัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และ 3
  • 3 ส.ค. 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2-3 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมข้าราชการเฝ้าฯ รับเสด็จ

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 เมษายน 2566

เหงื่อซึมออกจากมือ แสดงว่ามีปัญหาทางหัวใจ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qshtvzg6xu8l


 น้ำมะนาวแก้มะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20j7ooljnyyzf


น้ำโซดาช่วยในการย่อยอาหารได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wq9owba9krpw


ดื่มปัสสาวะรักษาโรคได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tszt500aq8cj


เตือน ผสม น้ำยาซักผ้าขาวและน้ำยาล้างห้องน้ำทำเฉียดตาย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n2lbroystiof


สำนักงานสลากฯ ยกเลิกบริการจ่ายเงินรางวัลเป็นเงินสด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 66 โดยผ่านการโอน เช็ค หรือรับรางวัลกับตัวแทน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2b7uoi38rdjz1


น้ำด่าง น้ำดื่มสารพัดประโยชน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/9onyf2oc9zdm


อาหารแปรรูปก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/gcxntwwaontp


 แฮกข้อมูล 55 ล้านคนไทย ขายบนเว็บไซต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/p58tlsdt7ppq


ถอดบทเรียนข้อมูลลวงจากการเลือกตั้งจากสหรัฐฯ ถึงประเทศไทย

ในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2566

2  เม.ย. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น Centre for Humanitarian Dialogue (HD) มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  สภาองค์กรของผู้บริโภค และ POLITIFACT สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนบทเรียนระหว่าง โคแฟค (ประเทศไทย) และ PolitiFact ( Cofact x PolitiFact towards Debunking Mis/Disinformation on International Fact-Checking Day 2023)  เนื่องในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2566 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวเปิดงาน ระบุว่า ทุกๆ วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็นวันตรวจสอบข่าวลวงโลก ซึ่งเป็นวันถัดมาจากวันโกหกโลก (April Fool’s Day) หรือวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี แต่ในยุคดิจิทัล เมื่อใดที่เข้าสู่โลกออนไลน์ก็มีโอกาสถูกหลอกได้ทุกวัน   ซึ่งความสะดวกสบายของเทคโนโลยีการสื่อสาร รู้ทุกเรื่องรอบโลกได้พร้อมกัน  ต้องแลกมากับปัญหาข้อมูลลวง คำถามที่ต้องคิดต่อไปคือจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร

“วันนี้เป็นโอกาสดีในการจัดงาน เพื่อที่ตระหนักในการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก หรือ International Fact-Checking Day ที่ทั่วโลกก็ตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น แล้ววันนี้เราจัดเป็นปีที่ 3 แล้ว   วันนี้เรามีโอกาสได้ฟังบทเรียนจากสหรัฐอเมริกา องค์กรอย่าง POLITIFACT ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจให้โคแฟคทำงานการตรวจสอบข่าวด้วย แม้ว่าเรายังไม่สามารถทำได้ดีเท่า  แต่ก็หวังว่าในอนาคตเราจะได้รับความเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบข่าวอย่างเข้มข้นเหมือน PolitiFACT ได้ เพื่อถ่วงดุลระหว่างเสรีภาพและความรับผิดชอบในการสื่อสาร” สุภิญญา กล่าว

เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในปีนี้มีการเลือกตั้งซึ่งก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสดีของการเข้ามาช่วยกันสอดส่องเฝ้าระวังเพื่อสกัดกั้นข่าวลวง รวมถึงส่งเสริมศักยภาพคนไทยในการเป็นผู้ตรวจสอบข่าวลวง ซึ่ง สสส. สนับสนุนการทำงานของโคแฟคมาตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เพราะ สสส. เห็นความสำคัญในการพัฒนาคนทุกวัยให้เป็นพลเมืองดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพ การรอบรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล หรือที่เราใช้คำว่า MIDL ให้ทุกคนมีขีดความสามารถในด้านนี้

“ที่สำคัญคือ ผู้รับสื่อสามารถตัดสินใจเพื่อจะทำให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุลมากขึ้น เพราะถ้ามีแต่ผู้ส่งแล้วเราไม่ช่วยกันตรวจสอบ ผู้รับจะสับสนและมึนงง  การที่ผู้รับสื่อมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงาน Cofact  ไม่ใช่แค่ตรวจสอบข้อมูลถูกผิดจากฐานข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้ประชาชนมีศักยภาพในการเรียนรู้เป็นผู้ตรวจสอบข่าวด้วยตนเองได้เช่นกัน” ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

หลุยส์ เจค็อบสัน (Louis Jacobson) ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ POLITIFACT บรรยายหัวข้อ หักล้างความเข้าใจผิดและการบิดเบือนข้อมูลทางการเมือง : บทเรียนของ PolitiFact ที่ได้เรียนรู้จากการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา (Debunking Political Mis and Disinformation: PolitiFact’s Lessons Learned from the U.S. Election.) กล่าวว่า ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง จะมีการให้คะแนนจากมากไปน้อย ตั้งแต่เป็นข้อมูลจริงและครบถ้วน (True ) , ข้อมูลจริงแต่ยังมีบางส่วนต้องชี้แจงเพิ่มเติม( Mostly True)   ข้อมูลจริงครึ่งหนึ่งแต่อีกครึ่งคือรายละเอียดสำคัญหายไป ( Half True)   ข้อมูลจริงบางส่วนแต่เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงสำคัญซึ่ง สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ (Mostly False) และ ข้อมูลเท็จทั้งหมด  (False)  แต่ยังมีอีกระดับคือ Pants on Fire หมายถึงการให้ข้อมูลอย่างประมาทเลินเล่อ

ตัวอย่างรายงานข่าวของ POLITIFACT เช่น ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือน พ.ย. 2563 ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน (Joe Biden) จากพรรคเดโมแครต ในวันแรกของการนับคะแนนซึ่งยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง แต่ทรัมป์ได้ประกาศไปแล้วว่าตนเองชนะการเลือกตั้ง ทำให้ต้องรีบเขียนบทความอธิบายกระบวนการนับคะแนนออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ซึ่งผู้แข่งขันทั้ง 2 ยังไม่มีทางรู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้นการประกาศชัยชนะของทรัมป์ในเวลานั้นจึงเป็นเรื่องโกหก

หรือกรณีของการกล่าวอ้างความคิดเห็นของใครสักคนในสื่อสังคมออนไลน์อย่างอินสตาแกรม แล้วมีการแชร์ต่อจำนวนมากว่า สหรัฐฯ เคยนับคะแนนได้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วเพียงคืนเดียวหลังวันเลือกตั้งในทุกมลรัฐ แต่เพิ่งจะมีปัญหาเมื่อช่วงไม่กี่ปีล่าสุด แต่จากการตรวจสอบให้อยู่ที่ระดับ Mostly False มีข้อมูลจริงบางส่วนแต่เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงสำคัญ กล่าวคือ ในอดีตการนับคะแนนทำได้รวดเร็วจริงพราะส่วนใหญ่นับจากหน่วยเลือกตั้ง แต่ระยะหลังๆ มีการใช้สิทธิ์ผ่านการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากขึ้น จึงต้องมีขั้นตอนยืนยันตัวตนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

“ในช่วง 3-4 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง เรามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกวัน เพราะทรัมป์ไปโต้แย้งในศาลด้วย แล้วก็มีทนายความออกมาพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาว่าใครโกงการเลือกตั้ง เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องตีพิมพ์เรื่องนี้ และควรมีอย่างน้อย 1 บทความที่สรุปทุกสิ่งของหลายๆ เดือนก่อนการเลือกตั้งแต่ระหว่างการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน” เจค็อบสัน กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในหัวข้อ ความท้าทายในการรับมือข้อมูลลวงช่วงการเลือกตั้งของไทย โดย รศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว ผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การเลือกตั้งคือการแข่งขันทางการเมือง จึงต้องมีการทำสงครามข่าวสาร และข้อมูลลวงก็คือการชวนเชื่อผ่านการสื่อสารและการโฆษณา และผลที่ได้นำไปสู่ทิศทางที่แตกต่างกันของมุมมองระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะ และแม้สหรัฐฯ กับไทยจะแตกต่างกันในหลายเรื่อง แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือต้องการให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อประกอบการตัดสินใจลงคะแนน

ทั้งนี้ หากเป็นข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อดั้งเดิม หมายถึงสำนักข่าวที่มีความเป็นองค์กรวิชาชีพชัดเจน แม้จะมีประเด็นน่ากังวลแต่ก็ยังอยู่ในระดับปานกลาง แต่หากเริ่มแปรสภาพเป็นข้อมูลที่คนส่งต่อกันเองในวงกว้าง ความน่ากังวลก็อาจเพิ่มเป็นระดับมาก แต่การเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ก็อาจเป็นโอกาสเพราะประชาชนตื่นตัว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้ง 

หรืออาจหมายความรวมถึงประชาชนตั้งแต่กลุ่มเจนเอ็กซ์-เจนแซด (อายุ 18 ปีขึ้นไปจนถึงราว 50 ปีเศษ) ขณะที่ผู้อาวุโสมีสัดส่วนน้อย การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจึงมากเป็นพิเศษ โดยหากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งปี 2554 เวลานั้นเพิ่งเริ่มมีแอปพลิเคชั่นไลน์ให้ใช้  ต่อมาในการเลือกตั้งในปี 2562 พบการใช้ทวิตเตอร์กันมาก แต่ล่าสุดในปี 2566 มีทั้งไลน์ ทวิตเตอร์ ติ๊กต๊อก พื้นที่สื่อสารจึงเปิดกว้างมาก และคนรุ่นใหม่ก็จะมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

“กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งพรรคการเมือง ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง กกต. หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านี้ อยากให้ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม ยึดถือจรรยาบรรณของการเป็นผู้สมัครแข่งขันที่ดี พรรคการเมืองที่ดี ถ้ามองในแง่นี้ทุกคนคงไม่อยากถูกตราหน้าหรือประณามจากสังคม ดังนั้นก็ต้องทำในสิ่งที่เหมาะสมและที่ถูกที่ควร” รศ.ดร.อัศวิน กล่าว 

ปณิศา เอมโอชา ผู้สื่อข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักข่าว AFP ประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้จะมีข้อมูลข่าวสารเริ่มก่อกระแสจากแพลตฟอร์มติ๊กต๊อก แต่ในบริบทสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่าความเคลื่อนไหวจำนวนมากยังอยู่บนทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก รวมถึงแอปพลิเคชั่นแชทอย่างไลน์ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลผิดๆ ที่ถูกแชร์ออกไปจะมีความคล้ายคลึงกัน และคนที่แชร์ก็เชื่อข้อมูลนั้นจริงๆ ไม่ใช่มีแต่การทำปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation-ไอโอ) 

ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลจำนวนมากเริ่มการเผยแพร่จากกลุ่มไลน์ก่อนกระจายสู่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ อีกทั้งข้อมูลข่าวสารการเลือกตั้งยังตั้งอยู่กับเรื่องของอารมณ์-ความรู้สึก (ชอบ-ไม่ชอบ) ซึ่ง AFP จะตรวจสอบและหักล้างเฉพาะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (Fact) เท่านั้น ไม่รวมถึงความคิดเห็น แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลายครั้งเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริงแพร่กระจายได้เร็วกว่าเนื้อหาที่หักล้างข้อมูลที่ไม่จริงนั้น แต่ก็มีบางเรื่องที่ไปได้รวดเร็ว เพราะมีสำนักข่าวอื่นๆ ช่วยนำไปกระจายต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและอยากให้ช่วยนำฐานข้อมูลที่ AFP ทำไว้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

“เราต้องเข้าใจว่าผู้รับสารมี 2 แบบ อันนี้พูดถึงในภูมิทัศน์การเลือกตั้ง คือ ผู้รับสารที่พร้อมจะเชื่อตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม ที่เราต้องเข้าใจว่าเขาคือใครแล้วทำไมถึงเชื่อ บุคลิกแบบไหนที่ทำให้เขาเชื่อแบบนั้น แล้วใครจะเป็นผู้อ่านงานหักล้างข้อเท็จจริงของเรา คุณต้องเข้าใจ 2 ผู้รับสารนี้ก่อนเพราะเขาไม่เหมือนกัน การนำเสนอข้อเท็จจริงไม่ได้หมายความว่าคนจะเชื่อ แล้วข้อเท็จจริงอย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นเราต้องเข้าใจว่าจะนำเสนอเขาต้องเข้าใจว่าเขามีความเชื่อแบบนี้  ซึ่งจะมีวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกันออกไป  เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้รับสารที่มีลักษณะความเชื่อคนละแบบ” ปณิศา กล่าว

วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา The101.world กล่าวว่า ข่าวลวงไม่มีทางกำจัดให้หมดไปได้เพราะเกิดขึ้นทุกนาทีโดยเฉพาะในยุคออนไลน์ แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็เป็นสิ่งที่ควรทำ และในกระแสโลกก็เน้นความร่วมมือของหลากหลายหน่วยงานในการรับมือ เพราะไม่สามารถทำโดยลำพังได้ ทั้งนี้ ข่าวลวงหลายเรื่องมีกระบวนการทำกันแบบเครือข่ายไม่ได้ออกมาเดี่ยวๆ และปฏิบัติการข่าวสารก็มีการทำในการเลือกตั้งของในประเทศ ซึ่งนอกจากสหรัฐฯ แล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เช่น ฟิลิปปินส์ กลุ่มการเมืองต่างๆ มีการทำกันอย่างแพร่หลาย 

ดังนั้นการเลือกตั้งในไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คาดว่าจะต้องมีเช่นกัน และเริ่มได้เห็นไปบ้างแล้วในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อปี 2565 พบทีมปฏิบัติการข่าวสารที่ปกติจะเคลื่อนไหวในการเมืองระดับชาติลงมาทำงานในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย และลำพังตรวจสอบข้อเท็จจริงแม้จะเป็นเรื่องดีแต่อาจไม่พอ สิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือการตีแผ่ให้เห็นการทำงานของเครือข่ายข่าวลวงทั้งหมด

“ต่างประเทศที่เห็นชัดๆ อย่างฟิลิปปินส์ จะมีสำนักข่าว Rappler หรือทางอินโดนีเซียจะมีองค์กรวิชาการ เขาผลิตสื่อที่เป็นการเน้นตีแผ่ให้เห็นรูปแบบว่า ไอโอพวกนี้มันมีการทำงานร่วมกันอย่างไร มันมีบัญชีเพจต้นทางเผยแพร่ข่าวปลอมเป็นใคร มีการส่งต่อเผยแพร่ข้อความกันอย่างไร มีบัญชีไหนเป็นผู้เล่นบ้าง และมีความพยายามสร้างวาทกรรมโน้มน้าวความคิดคนไปทางไหน และสุดท้ายจะไปถึงว่าใครอยู่เบื้องหลัง” วงศ์พันธ์ กล่าว

พริม มณีโชติ  จาก NitiHub กล่าวว่า ปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอ ยังมีความเฉพาะมาก เพราะทุกคนต่างมีห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) เป็นของตนเองเนื่องจากหลายคนรับรู้โลกผ่านหน้าจอ ไม่เฉพาะคนรุ่นก่อนที่เติบโตมาในยุคสงครามเย็นและถูกปลูกฝังเรื่องความรักชาติสำคัญที่สุด แต่ระยะหลังๆ โดยเฉพาะโลกยุคหลังสถานการณ์โควิด-19 (Post-COVID) สภาวะนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ 

โดยหากย้อนไปในช่วงก่อนหน้านั้น คนคนหนึ่งจะมีมากกว่าแค่โลกออนไลน์ เช่น สังคมในที่ทำงาน แต่ในช่วง 3 ปีของสถานการณ์โควิด-19 คือ 3 ปีที่สูญหาย หลายคนไม่มีโอกาสได้พบปะใคร ไม่มีโอกาสได้ฝึกงานหรือเรียนหนังสือแบบที่เจอกับคนด้วยกัน ดังนั้นเรากำลังเผชิญกับไอโอแบบที่แต่ละคนมีชุดข้อมูลด้านเดียวของตนเอง หรือปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) จริงๆ ปัญหานี้ไม่ใช่การเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต แต่เป็นการอยู่กับอินเตอร์เน็ตแทบจะทั้งวันทั้งคืน  ดังนั้น Echo Chamber ไม่หายไปไหนและมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น

“อย่างไรภายใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันมันมี Echo Chamber ตลอดเวลาจริงๆ และเราทำอะไรไม่ได้นอกจากเราต้องไปหาเรื่องราว หรือค้นคว้าสิ่งที่นอกเหนือความสนใจของเราบ้าง ซึ่งมันเป็นเรื่องการต่อสู้เชิงข้อมูลจริงๆ เราไปตามแก้ทีละ Echo Chamber ไม่ได้จริงๆ” พริม กล่าว 

ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ Friedrich Naumann Foundation (FNF) กล่าวปิดการเสวนา ว่า ได้ฟัง POLITIFACT ตั้งแต่แรก รวมถึงวิทยากรอีกหลายท่าน เป็นอีกวันที่ทำให้งานของโคแฟค ที่พยายามทำเรื่องข้อมูลบิดเบือนทางการเมืองได้เห็นเป็นรูปธรรมและได้มาแบ่งปันประสบการณ์ โดยวิทยากรยังได้เล่าถึงประสบการณ์ทางการเมือง มีการยกตัวอย่างข่าวลวงที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งจริงๆ ยังมีที่มาเลเซียด้วย

คิดว่าประสบการณ์จากต่างประเทศ เราสามารถที่จะเอามาเป็นให้เห็นเทรนด์ว่าแต่ละประเทศเขาจัดการรับมือกับข่าวลวงทางการเมืองได้อย่างไร ส่วนประเทศไทยเองเทรนด์ที่เราเห็นก็ไม่น่าจะแตกต่างกันเยอะ แล้วตอนนี้เราเริ่มเห็นข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) ที่ออกมาในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง มีนัยสำคัญ และวันนี้ก็ได้บทเรียนและให้ข้อเสนอแนะ การตั้งสติรับมือก่อน ไม่พร้อมจะเชื่อกับอะไรที่เราเห็น อันนั้นน่าจะเป็นจุดร่วมจุดหนึ่งที่วันนี้ได้ฟังวิทยากรทั้ง 4 ท่าน ดร.พิมพ์รภัช กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

จาก‘กาลามสูตร’ถึง‘อิสลามโมโฟเบีย’ สันติเกิดได้หากยอมรับข้อเท็จจริง-เปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจร่วมกัน

31 มี.ค. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย)  Centre for Humanitarian Dialogue (HD) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  และ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (IBHAP) จัดเสวนาออนไลน์ Cofact Live Talk วาระ April Fool’s Day ในหัวข้อ “ทบทวนหลักกาลามสูตรกับปัญหาอิสลามโมโฟเบีย เราจะออกจากวังวนข้อมูลลวงนี้ได้อย่างไร ด้วยหลักคิดทางศาสนา” ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” , “FNF Thailand” และ “IBHAP”

พระมหานภันต์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (IBHAP) สรุปหลักกาลามสูตรแบบเข้าใจง่ายผ่านบทกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ว่า หนึ่งฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ สองทำกันทุกเมื่อ เชื่อไม่ได้ สามตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป สี่อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา ห้าอย่าเชื่อเพราะเดาเอาเองเล่น หกกะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า เจ็ดเพราะนึกตรึกตรองหรือตรวจตรา แปดเพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน เก้าอย่าเชื่อเพราะเพื่อควรเชื่อเขา สิบครูเราแท้แท้มาแต่ต้น ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญ

ซึ่งกาลามสูตรเป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนชาวกาลามะ สาระสำคัญคือ อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใดก่อนตรจสอบ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีที่มาอย่างไรก็ตามดังตัวอย่างทั้ง 10 ข้อข้างต้น ซึ่งก็สอดคล้องกับการทำงานของโคแฟคที่สร้างความตระหนักรู้เรื่องข่าวลวง เช่น ข้อ 10 อย่าเชื่อเพียงเพราะเป็นครู ซึ่งอาจหมายความรวมถึงคนรู้จักคุ้นเคยกับเราด้วย ดังจะเห็นได้ในปัจจุบันว่ามีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วาดภาพเหมือนพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง พร้อมกับใส่ข้อความที่ท่านไม่ได้กล่าวลงไป จนสร้างความเข้าใจผิดว่าพระอาจารย์ท่านนั้นเป็นผู้พูดข้อความนั้นจริงๆ ดังนั้นกาลามสูตรจึงเป็นหลักธรรมที่ชาวพุทธในฐานะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานต้องให้ความสำคัญ

ขณะที่ปัญหาอิสลามโมโฟเบีย (Islamophobia) หรือกระแสหวาดกลัวอิสลาม จริงๆ แล้วปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นได้ทั่วโลกและไม่ได้เกิดเฉพาะกับศาสนาอิสลาม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดได้กับสังคมที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาหนึ่ง แต่ต่อมามีศาสนาอื่นที่มีคนนับถือเป็นส่วนน้อยแล้วจำนวนผู้นับถือค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำให้ศาสนิกชนของศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือรู้สึกกังวลใจ เช่น ในสมัยอยุธยาที่มีการติดต่อกับชาวตะวันตก มีกระแสความกังวลว่าศาสนาคริสต์จะเข้ามามีอิทธิพลกับการเมืองการปกครองของอยุธยาที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ หรืออย่างในสังคมตะวันตกที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ก็รู้สึกกังวลกับผู้นับถือศาสนาอิสลามที่อยู่ในประเทศของตน

ทั้งนี้ สังคมไทยค่อนข้างเข้มแข็ง เนื่องจากศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือมีคำสอนที่ชัดเจนเรื่องการไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น แต่อีกด้านหนึ่ง การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ก็อาจผลิตถ้อยคำแห่งความเกลียดชังหรือเฮทสปีช (Hate Speech) ได้โดยไม่รู้ตัว เช่น เหตุการณ์ความรุนแรงที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อปี 2562 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 15 ราย และมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพบรรยากาศหลังเหตุการณ์ เช่น งานศพที่มีญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตร้องไห้ถึงขั้นเป็นลมสลบไป แม้จะไม่มีถ้อยคำพาดพิงศาสนาใด แต่การรับรู้ก็กลายเป็นเรื่องศาสนาไปแล้ว ทั้งที่เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องศาสนาแต่เป็นการกระทำของบางคนที่มีเหตุผลบางอย่าง แล้วคนนั้นมีอัตลักษณ์ที่มีส่วนของศาสนาผสมอยู่ ประกอบกับการนำเรื่องระดับท้องถิ่น (Local) ไปเชื่อมโยงกับระดับชาติ (National) ทำให้เรื่องราวถูกรับรู้ว่าเป็นปัญหาทางศาสนา เฮทสปีชที่แต่เดิมแทบจุดไม่ติดเพราะคนไม่ค่อยเชื่อก็ถูกแชร์กันมากขึ้นในกลุ่มชาวพุทธที่รู้สึกกังวล โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้และอยู่ไกลออกไป

“เหตุการณ์ท้องถิ่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดนดึงเอามาสร้างความเกลียดชังในระดับชาติ เพราะคนที่อื่นไม่รู้แต่เห็นภาพพระโดนยิงมรณภาพ โดนเผา โดนฟัน ก็ส่งออกไป แล้วเดี๋ยวนี้มันโยงไปสู่ชาวไทยที่อยู่ในประเทศอื่นๆ ด้วย ก็ไปปลุกระดมว่าภาคใต้เขากำลังจะยึดวัดแล้ว ชวนกันมาบริจาคทำบุญซื้อที่วัดนี้ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะโดนศาสนาอื่นยึด อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นวงจรของความเกลียดชังที่มันทะลุขอบข่ายออกไป” พระมหานภันต์ กล่าว

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) กล่าวว่า ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตั้งแต่การเรียนวิชา หะดีษ หรือพระวจนะของนบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม ที่ผู้เรียนต้องดูว่าใครเป็นผู้รายงานพระวจนะนั้น ผู้รายงานมีประวัติน่าเชื่อถือเพียงใด ตัวบทนั้นมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจนหรือไม่ เป็นต้น ส่วนกระแสอิสลาโมโฟเบีย นอกจากจะเกิดขึ้นในสังคมไทยโดยอิงกับเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส) แล้วยังเชื่อมโยงกับสถานการณ์ระดับโลก 

เช่น การก่อการร้ายในโลกตะวันตกที่มีความเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับชุดคุณค่าระหว่างวัฒนธรรมแบบรัฐฆราวาส (Secular State) กับวัฒนธรรมแบบอิสลาม ตั้งแต่การแต่งกายไปจนถึงเสรีภาพในการแสดงออกที่อาจกระทบความรู้สึกของศาสนิกชน แต่อีกด้านหนึ่ง สังคมไทยค่อนข้างมีความเห็นอกเห็นใจพอสมควรโดยเห็นได้จากเหตุกราดยิงมัสยิดที่ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อปี 2562 คนไทยก็ไม่ได้แสดงท่าทีซ้ำเติมผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวมุสลิม 

ทั้งนี้ ต้องย้ำว่าเหตุการณ์ชายแดนใต้ของไทยเป็นเรื่องโครงสร้างอำนาจและเรื่องการเมือง การแก้ไขจึงต้องทำด้วยการเมือง ไม่ใช่เรื่องทางศาสนา เพียงแต่มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของคน แม้กระทั่งเหตุการณ์ในพื้นที่อื่นๆ เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้ความรุนแรงต่อกัน ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการที่ผู้นำของทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม จับตาสถานการณ์อยู่ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง ทั้งสองฝ่ายก็จะพูดคุยกันทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ  

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นท้าทายในส่วนชุดคุณค่าที่แตกต่างแบบสุดโต่ง 2 ขั้ว ระหว่างคนที่ไม่ได้เป็นศาสนิกชนซึ่งเชื่อว่าสามารถแสดงออกในเชิงลบหลู่ศาสนาได้ เพราะไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับคนที่เป็นศาสนิกชนที่พร้อมจะเข่นฆ่าใครก็ตามที่มองว่ามีพฤติกรรมลบหลู่ศาสนา แม้ว่ากลุ่มคนที่สุดโต่งอาจจะมีจำนวนน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกันว่าสังคมจะหาจุดตรงกลางที่ลงตัวอย่างไร ประเด็นนี้ไม่ว่าศาสนาพุทธ คริสต์หรืออิสลาม ล้วนเผชิญเหมือนกันในโลกที่เป็นสมัยใหม่ (Modernist) คนในสังคมจึงต้องใช้สติปัญญาร่วมกัน 

“หลักการศาสนาเมื่อเจอการใส่ร้ายป้ายสี นอกจากอดทนแล้วยังจำเป็นต้องพูดความจริง ต้องเอาความจริงมาเผยแพร่ให้ได้ เพราะความจริงจะปกป้องทุกฝ่าย ปกป้องเราด้วย ปกป้องคนที่เราไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าเมื่อความจริงมันแน่นอนก็ย่อมมีคนเผยแพร่สิ่งที่ไม่จริงเกิดขึ้น สิ่งที่สอนยกระดับอีกอย่างหนึ่งคือการให้อภัย ผมคิดว่าคนเราทำผิดกันได้หรือเข้าใจผิดได้ หรือมีเหตุผลบางอย่างแต่ใช้วิธีการที่ผิดในการปล่อยข่าวลือ-ข่าวลวง หรือแม้กระทั่งปล่อยถ้อยคำที่มันเป็นพิษ (Dangerous Speech)” รศ.เอกรินทร์ กล่าว

น.ส.พริม มณีโชติ ตัวแทนจาก Nitihub กล่าวว่า แม้จะเป็นนักกฎหมาย แต่ก็อยากให้กฎหมายเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะไม่เชื่อว่าปัญหาที่มีต้นตอจากความเกลียดชังจะสามารถแก้ไขด้วยบทลงโทษทางกฎหมายได้ เหมือนกับการตีเด็กกำลังร้องไห้เสียงดัง เด็กจะรู้สึกงงเมื่อถูกตีแต่ก็ยังคงร้องต่อไปและอาจจะยิ่งโกรธที่ถูกตีเสียด้วยซ้ำ การแก้ปัญหาความเกลียดชังไม่ว่าจะจากความไม่รู้หรืออคติต่างๆ ควรเป็นการเปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจกัน

อนึ่ง ตนเป็นห่วงคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 (Post-COVID) เพราะมีความเป็นปัจเจกสูง เชื่อมโยงกับชุมชนน้อยมาก ยังไม่ต้องพูดถึงวัฒนธรรมอื่นๆ เพราะแม้แต่วัฒนธรรมในชุมชนหรือสังคมของตนเอง เช่น ในครอบครัว ในโรงเรียน เนื่องจากคนรุ่นนี้รับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านหน้าจอ และไม่ได้เป็นผู้เลือกรับข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง แต่ถูกคัดกรองโดยอัลกอริทึม (Algorithm) หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลและประมวลผลในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

“เขาเผชิญหน้ากับแพลตฟอร์มที่เลือกมาแล้วว่าเขาต้องเห็นสื่อนี้ เขาต้องถูกยิงแอดโฆษณา (Advertisement) ด้วยสินค้าตัวนี้ เพราะเขาเป็นเพศนี้ เพราะเขาอายุเท่านี้ เพราะเขาเป็นกลุ่มลูกค้าของบริษัทนี้ เขาคิดว่าเขามีเจตนำรงเสรี (Free Will) เราคิดว่าเราเป็นคนเลือกสื่อเอง ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ดังนั้นไม่แปลกถ้าคนที่เขาทำงานอย่างเป็นระบบ รับค่าจ้างมาเพื่อปฏิบัติการทางจิตวิทยาแบบนี้ แล้วเขาจะมีประสิทธิภาพ (Effective) มากๆ อย่างน้อยเขามีทรัพยากรของเราแน่ๆ และกฎหมายตามไม่ทัน” น.ส.พริม กล่าว

ในช่วงท้าย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวปิดการเสวนา ว่า การพูดคุยยังต้องดำเนินไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ปัญหายังมีอยู่ ซึ่งก็หวังว่าสังคมจะเกิดการเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับร่วมกันคือข้อเท็จจริง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้

“การที่เราจะยอมรับข้อเท็จจริงได้แน่นอนว่ามันต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีกระบวนการพูดคุย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อะไรก็ว่ากันไปเพื่อหาความจริงร่วมที่เราจะรับร่วมกัน และนี่คือแนวคิดของโคแฟค หรือ Collaborative Fact ก็คือท้ายที่สุดทุกคนอาจจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่เราสามารถยอมรับข้อเท็จจริงร่วมกันได้ น่าจะเป็นเป้าหมายและสุดท้ายก็คืออยู่กันอย่างสันติ” น.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รับชมคลิปเพิ่มเติม

‘โคแฟค’จับมือ‘Whoscall’แนะรู้ทัน‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์-SMSอันตราย’ ชี้มุกเดิมยังหลอกได้-มีสติเลี่ยงตกเป็นเหยื่อ

1 เม.ย. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับบริษัท Gogolook จากไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Whoscall สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสภาองค์กรของผู้บริโภค จัดอบรมออนไลน์ผ่านระบบ Zoom หัวข้อ “อบรมเครื่องมือในการรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยุค 5G ในวันเอพริลฟูล (April Fool’s Day)” พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “โคแฟค (Cofact)”

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวเปิดการอบรมว่า วันที่ 1 เมษายน ในทางสากลคือวันเอพริลฟูลเดย์ (April Fool’s Day) หรือวันโกหกในวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ซึ่งจะอนุญาตให้มีการโกหกในเชิงล้อเลียนหรือมุกตลกได้ แต่ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนรับข้อมูลข่าวสารผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนั้น เราต้องตรวจสอบตลอดเวลาว่าถูกใครหลอกลวงบ้างหรือไม่ทุกวันและทุกเวลา โดยเฉพาะ“แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นการหลอกลวงในระดับที่ทำให้ผู้หลงเชื่อสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง

“เป็นโอกาสดีที่เราใช้วาระวันเอพริลฟูลในการที่จะนำเสนอเครื่องมือ วิธีการที่ทุกท่านจะสามารถใช้ในการป้องกันตัวได้ อย่างน้อยในขณะที่เรากำลังรอนโยบายจากภาครัฐในการแก้ปัญหาเรื่องระบบหรือการบังคับใช้กฎหมายต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในยุคนี้ประชาชนก็อาจต้องดูแลตัวเองด้วยการใช้เครื่องมือต่างๆ วันนี้เรามีความร่วมมือระหว่างภาคีโคแฟคประเทศไทยกับฮูส์คอล (Whoscall) บริษัท โกโกลุค (Gogolook) ประจำประเทศไทยและภูมิภาคคะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นความร่วมมือที่เรามีตลอด 2 ปีที่ผ่านมาในเรื่องการสร้างนวัตกรรมการตรวจสอบข่าวลวง     ผ่านไลน์แชทบอท (Line Chatbot) และการจัดสัมมนา-เสวนาต่างๆ” สุภิญญา กล่าว

ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีล่าสุดซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 Whoscall ได้เก็บข้อมูลใน 4 ประเทศของทวีปเอเชีย คือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย พบว่ามีการหลอกลวงที่ใช้โทรศัพท์ หรือการส่งข้อความสั้น (SMS) จำนวนมาก และแม้ระยะหลังๆ สถานการณ์โรคระบาดจะซาลงแต่มิจฉาชีพก็ยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะลดลงบ้างในปี 2565 เนื่องจากรัฐบาลแต่ละชาติเริ่มหามาตรการรับมืออย่างจริงจังมากขึ้นก็ตาม

ขณะที่ปัญหาข้อมูลรั่วไหล พบว่า ในปี 2565 มีข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทยถึง 13.5 ล้านหมายเลข หรือคิดเป็นร้อยละ 45 รั่วไหลหรือถูกขายออกไปในทางที่ผิด ส่วนข้อมูลที่รั่วไหลมากที่สุดในไทยคือรหัสผ่าน ดังนั้น ผู้ใช้งานแต่ละคนก็ต้องตั้งรหัสผ่านให้รัดกุม เช่น มีทั้งอักษรตัวเล็ก-ตัวใหญ่ ตัวเลข อักษรพิเศษ ฯลฯ เพราะคอมพิวเตอร์ปัจจุบันฉลาดมาก การตั้งรหัสผ่านง่ายๆ ย่อมเสี่ยงถูกแฮ็กได้ง่ายด้วย นอกจากนั้นยังมีชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ที่ข้อมูลรั่วไหลไปอยู่ในมือมิจฉาชีพ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกใช้ในการโทรศัพท์กลับไปหลอกลวงบุคคลนั้น

เมื่อเน้นไปที่มิจฉาชีพที่ใช้การโทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้อมูลเฉพาะในประเทศไทยที่ Whoscall เก็บสถิติได้ พบว่า ในปี 2565 มีทั้งหมด 17 ล้านสาย เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 165 จากปี 2564 ซึ่งพบเพียง 6.4 ล้านสาย ส่วนการหลอกลวงผ่าน SMS ในปี 2565 ปรากฎว่า 7 ใน 10 ข้อความที่คนไทยได้รับจะเป็นข้อความประเภทหลอกลวง (Spam หรือ Phishing) เช่น ชวนกู้เงิน ชวนเล่นการพนันออนไลน์ มีเพียง 3 ใน 10 ที่ไม่ใช่ข้อความหลอกลวง เช่น แจ้งเตือน-ใบแจ้งหนี้ (จากบริษัทหรือคนที่รู้จัก) การเข้ารหัสแบบใช้ครั้งเดียวเพื่อยืนยันเข้าสู่ระบบ (OTP)  

ตามที่มีรายงานเข้ามา ตัวอย่างของข้อความที่มิจฉาชีพมักใช้ล่อลวงเหยื่อ ได้แก่ เว็บตรง” , “รับสิทธิ์ยื่นกู้” , “เครดิตฟรี” , “แตกง่าย” , “คุณได้รับสิทธิ์และต้องบอกว่า ในประเทศไทยยังใช้มุกเดิมๆ หลอกเหยื่อได้ เช่น อ้างว่าได้รับพัสดุเก็บเงินปลายทาง ซึ่งหลายคนเห็นว่าเป็นจำนวนเงินน้อยๆ เพียง 50-100 บาทก็ไม่ได้ใส่ใจ หรืออ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานต่างๆ แล้วบอกเหยื่อว่าไปพัวพันคดีความพร้อมยื่นข้อเสนอว่าจะช่วยเหลือแลกกับการโอนเงินไปให้ หรือชวนทำงานออนไลน์โดยอ้างชื่อแพลตฟอร์มต่างๆ จึงอยากให้ทุกคนระมัดระวังและตระหนักรู้เรื่องนี้

“ล่าสุดเห็นเคสในอินเตอร์เน็ต มาเป็นลิงก์ปล่อยกู้ พอกรอกข้อมูลไปหมดแล้ว มันเชื่อมไปถึงบัญชีเฟซบุ๊ก วันหนึ่งเขาเอารูปในเฟซบุ๊ก เอาข้อความที่เขาคุยกับเรามาแบล็กเมล์เราทีหลังว่าคุณต้องคืนเงินตามนี้ๆ พอคนคนนั้นกรอกข้อมูลเรียบร้อยเขาก็โอนเงินมาให้กู้ทันที พอบอกไม่กู้แล้วโอนเงินกลับ เขาบอกไม่ได้ต้องมีดอกเบี้ยเพิ่มเติมขึ้นมา SMS เป็นสิ่งที่อยากให้ระวัง อย่าไปเชื่อ อย่าคลิกลิงก์ที่เราไม่รู้จัก แล้วก็ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ รางวัลที่เขาบอกว่าเราได้ งานพาร์ทไทม์ที่เขาจะมาจ้างเรา สรุปเขาส่งมาเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวของเราไป” ฐิตินันท์ กล่าว

มนประภา รัตนกนกพร หัวหน้าฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย บริษัท Gogolook กล่าวว่า มิจฉาชีพมักใช้กลอุบายที่อ้างอิงกับสิ่งใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน เช่น การส่งพัสดุ อ้างว่ามีพัสดุตกค้างบ้าง อ้างมีสมาชิกในบ้านสั่งของแล้วให้คนที่อยู่บ้าน ณ เวลาที่พัสดุไปส่งสำรองจ่ายเงินไปก่อนบ้าง หรือ การหลอกให้โอนเงิน โดยอ้างเป็นคนรู้จักบอกว่ากำลังเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หรืออ้างเป็นบริษัทบัตรเครดิตบอกว่ามีหนี้ค้างต้องชำระไม่เช่นนั้นจะถูกหักเงินจากบัญชีธนาคาร เป็นต้น 

ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (PCT) ได้รวบรวมกลโกงของมิจฉาชีพออนไลน์เผยแพร่บนเว็บไซต์ให้ประชาชนรับรู้ ขณะที่บทบาทของ Whoscall ในฐานะแอปพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพก็มีคำแนะนำถึงประชาชน เริ่มจาก 1.ตั้งสติ ลองคิดดูว่าเรื่องราวที่ปลายสายโทรศัพท์กล่าวอ้างถึงนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเราจริงหรือไม่ หรือหากปลายสายพยายามข่มขู่เร่งเร้าให้โอนเงินก็ไม่ต้องสนทนาต่ออีกเพราะให้สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าเป็นมิจฉาชีพ

2.อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับปลายสายที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นใคร โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงิน 3.อย่าคลิกลิงก์แปลกๆ ที่ส่งมา ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นว่าคืออะไร โดยเฉพาะลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS เพราะมิจฉาชีพสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์มือถือได้โดยไม่ต้องถามอะไรอีกเพียงแค่เหยื่อคลิกลิงก์เข้าไป 4.ระวังหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะหมายเลขที่แสดงว่าเป็นโทรศัพท์ข้ามประเทศ อนึ่ง ทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall ซึ่งจะช่วยคัดกรองและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาได้ 

ถ้าเราเผลอตกเป็นเหยื่อแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างแรกคือสายด่วน 1441 สายด่วนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถโทรเข้าไปแจ้งข่าวได้เลยว่าโดนมิจฉาชีพสั่งให้ทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วก็เครือข่ายมือถือที่ร่วมกับ กสทช. และตำรวจ สำหรับเครือข่าย AIS สามารถโทรหมายเลข 1185 DTAC หมายเลข 1678 และTRUE หมายเลข 9777 สามารถโทรเข้าไปแจ้งได้เลยว่านี่เป็นเบอร์ของมิจฉาชีพแล้วก็ให้ทางเครือข่ายบล็อกเบอร์ หรือถ้าเราพลาดโอนเงินไปแล้ว สถาบันการเงินต่างๆ ก็จะมีเบอร์เอาไว้รับแจ้งเหตุด่วนฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ cib.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของตำรวจสอบสวนกลาง มนประภา กล่าว

สำหรับ Whoscall นั้นเปิดให้ดาวน์โหลดใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS และ Android เป็นแอปพลิเคชั่นที่รวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกใช้โดยมิจฉาชีพ ซึ่งหากหมายเลขใดเคยมีการรายงานไว้ในฐานข้อมูล เมื่อหมายเลขนั้นโทรศัพท์ไปหาผู้ที่ติดตั้งแอปฯ นี้ไว้ในเครื่อง ระบบก็จะแจ้งเตือนทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลารับสาย ซึ่งรวมถึงการแจ้งเตือน SMS อันตรายด้วย นอกจากนั้นยังรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทที่โทรเข้ามาขายสินค้า (เช่น ขายประกัน) ก็จะแจ้งเตือนให้ทราบเช่นกันเผื่อยังไม่สะดวกรับสายในเวลานั้น แอปฯ นี้ยังสามารถเลือกบล็อกหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามารบกวนบ่อยครั้งได้!!! 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รับชมคลิปเพิ่มเติม

13 เทคนิคในการตรวจสอบการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง

Editors’ Picks

ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนแทบทุกคนจะต้องมีแอพพลิเคชันแช็ตและสื่อสังคมออนไลน์ ในช่วงบรรยากาศก่อนการเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2566 นี้ มีแนวโน้มว่าสื่อสังคมออนไลน์และแอพพลิเคชันแช็ตต่าง ๆ จะกลายเป็นสื่อที่ใช้กระจายข้อมูลบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมือง (political information) ซึ่งสำนักนวัตกรรมประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้าอธิบายว่า ข้อมูลบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมือง คือ “การจงใจสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด และนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง”

ในบทความนี้ โคแฟคขอแนะนำเทคนิค 13 ข้อสำหรับตรวจสอบข้อมูลข่าวสารทางการเมืองที่บิดเบือนเหล่านี้ โดยถอดประสบการณ์จากแพททริเซีย แคมปอส เมลโล (Patricia Campos Mello) นักข่าวที่ทำงานร่วมกับสำนักข่าว Folha de S.Paulo สำนักข่าวระดับชาติของบราซิลในการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมืองช่วงเลือกตั้งผ่านแอพพลิเคชันแช็ต เช่น WhatsApp ที่ชาวบราซิลใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 แพทริเซียได้แลกเปลี่ยนชุดประสบการณ์นี้ในชั้นเรียนพิเศษ (master class) ที่จัดขึ้นโดย  ICFJ Disarming Disinformation ร่วมกับ Knight Center for Journalism in the Americas แพททริเซีย แคมปอส เมลโลสรุปเทคนิค 13 ข้อในการติดตามตรวจสอบข้อมูลบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมืองเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักข่าวช่วงก่อนการเลือกตั้ง ดังนี้ 

  1. เริ่มเปิดประเด็นคุย 

แพททริเซียแนะนำว่าให้เริ่มพูดคุยเพื่อหาข้อมูลก่อนการรายงานข่าว ซึ่งเธอกล่าวย้อนไปถึงช่วงก่อนการเลือกตั้งในบราซิลปี 2561 ว่าเริ่มมีการจ้างบริษัทการตลาดให้กระจายข้อมูลที่บิดเบือนด้วยการส่งข้อความถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก (mass messaging) ผ่านแอพพลิเคชันแช็ต WhatsApp ซึ่งในตอนนั้น ผู้คนทั่วไปยังไม่รู้ว่าการส่งข้อความถึงผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อม ๆ กันนั้นคืออะไร แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือศาลสูงสุดว่าด้วยการเลือกตั้ง (TSE: Superior Electoral Court) ดังนั้น เธอจึงเริ่มพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและพนักงานบริษัทการตลาดเหล่านี้ รวมถึงจัดทำบัญชีรายชื่อบริษัทที่ให้บริการการส่งข้อความถึงผู้ใช้งานจำนวนมากช่วงหาเสียงเลือกตั้งขึ้น

  1. ค้นหาข้อมูล

ขั้นตอนต่อมาคือการสืบค้นข้อมูล ในบราซิล นักข่าวสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริจาคเพื่อสนับสนุนการหาเสียง ผู้รับจ้างการทำแคมเปญหาเสียง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของนักการเมืองและอื่น ๆ จากฐานข้อมูล DivulgaCand ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่จัดทำขึ้นโดยศาลสูงสุดว่าด้วยการเลือกตั้ง(TSE) แพททริเซียแนะนำเพิ่มเติมว่าควรหาข้อมูลของบริษัทที่ต้องการสืบค้นด้วย เช่น ที่ตั้ง เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ หรือรายละเอียดที่สำคัญอื่น ๆ ที่จะช่วยให้สามารถเจาะหาข้อมูลเชิงลึกได้

  1. เสาะหาผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower)

ระหว่างที่หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทการตลาดเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าบางบริษัทเคยมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลมาก่อน ดังนั้น นักข่าวอาจเสาะหารายละเอียดของคดีเพิ่มเติมจากผู้ฟ้องบริษัทเหล่านี้ เช่น อดีตพนักงาน เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วคนกลุ่มนี้จะมีแนวโน้มที่จะคุยกับสื่อหรือนักข่าวมากกว่า แพททริเซีย กล่าวว่าผู้แจ้งเบาะแส พนักงาน หรืออดีตพนักงานเป็นแหล่งข่าวที่สำคัญ เพราะมีข้อมูลมากมายให้ค้นหาแต่หากเจอแหล่งข่าวที่ช่วยแจ้งเบาะแสเพื่อเปิดโปงข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มาก เธอเล่าว่าเธอต้องค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลของศาลแรงงานระดับภูมิภาคเพื่อวิเคราะห์คดีความต่าง ๆ ที่ฟ้องบริษัทที่ให้บริการการส่งข้อความถึงผู้ใช้งานจำนวนมากเหล่านี้ ข้อมูลที่ได้จากบันทึกคดีช่วยทำให้เธอสามารถระบุแหล่งข่าวที่สำคัญได้

  1. ขอเอกสารอ้างอิง

ในบางครั้ง ผู้แจ้งเบาะแสสามารถส่งข้อมูลให้ได้ทันที แต่สื่อมวลชนก็ควรเสาะหาข้อมูลและขอหลักฐานประกอบด้วย เช่น รูปถ่าย ใบงาน ประวัติการแลกเปลี่ยนข้อความ และหลักฐานอื่น ๆ จากผู้แจ้งเบาะแสเพื่อประกอบการรายงายข่าว

  1. ตรวจสอบแหล่งข้อมูล

สื่อมวลชนจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการตรวจสอบแหล่งข้อมูลของตนเอง แต่ควรตรวจเช็คเสมอว่าแหล่งข่าวให้ข้อมูลจริงหรือไม่ รวมถึงการปกป้องคุ้มครองแหล่งข่าวไม่ให้ได้รับอันตรายด้วย แพททริเซียยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเองว่า หลักจากที่เธอเผยแพร่รายงานข่าวชิ้นแรกเกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง เธอได้รับข้อความที่ส่งตรงถึงเธอผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์จากบุคคลที่อ้างว่าทำงานกับบริษัทการตลาดและต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเธอ ดังนั้น เธอต้องเช็คก่อนว่าแหล่งข่าวคนดังกล่าวทำงานกับบริษัทนี้จริงหรือไม่และในขณะเดียวกันเธอก็ต้องให้ความมั่นใจกับแหล่งข่าวด้วยว่าเธอจะไม่เปิดเผยตัวตนของพวกเขา

  1. การทำงานร่วมกันเป็นภาคี 

การทำงานเป็นภาคีร่วมกันสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับการต่อสู้กับข้อมูลที่บิดเบือน สื่อมวลชนสามารถร่วมงานกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่การรายงานข่าว ในการเลือกตั้งของบราซิลปี 2565 ที่ผ่านมา นักข่าวหลายคนทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ริโอ เดอ จาเนโร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติและดำเนินงานด้านการติดตามตรวจสอบข้อความบิดเบือนต่าง ๆ ในแอพพลิเคชันแช็ต เช่น WhatsApp และ Telegram เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมและส่งต่อกันโดยนักการเมืองอยู่แล้ว

  1. รู้จักเครื่องมือช่วยทำงาน

เครืองมือที่ฟรีและสามารถช่วยในการสืบค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับนักข่าวได้แก่

  • Wayback Machine เป็นฐานข้อมูลดิจิทัลที่เป็นเสมือนคลังข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์หลายพันล้านเว็บไซต์และเผยแพร่ฟรี การลบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์จากฐานข้อมูล Wayback Machine นั้นทำได้ยากและต้องดำเนินการทางกฎหมายเท่านั้น
  • Palver คือบริษัทเทคโนโลยีที่ติดตามและตรวจสอบกลุ่ม WhatsApp ที่เปิดเป็นบัญชีสาธารณะ และเป็นบริษัทที่กำลังทำงานร่วมกับศาลสูงสุดว่าด้วยการเลือกตั้ง (TSE) ในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของบราซิลในปี 2565 ที่ผ่านมา เว็บไซต์นี้ใช้งานง่าย และสามารถเจาะจงคำค้นหาเฉพาะหรือค้นหาไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ได้
  • CrowdTangle เป็นเครื่องมือจากบริษัท Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram)  ซึ่งติดตามข้อความต่าง ๆ ที่แพร่กระจายในสื่อสังคมออนไลน์ เครื่องมือนี้สามารถช่วยให้นักข่าววิเคราะห์หัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมและหัวข้อที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สามารถช่วยให้นักข่าวเลี่ยงการป่าวประกาศข้อมูลบิดเบือนแม้ตนเองจะเชื่อว่ากำลังช่วยกำจัดข้อมูลบิดเบือนเหล่านั้นอยู่ แพททริเซียกล่าวว่าหากกำลังเขียนข่าวเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่มีคนพูดถึงมากนักก็มีความเป็นไปได้ว่าคุณกำลังช่วยกระจายข่าวให้คนปล่อยข้อมูลบิดเบือนไปยังผู้รับสารกลุ่มใหม่
  • SimilarWeb เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์อีกอันหนึ่งในการติดตามที่มาของข้อมูลบิดเบือนแพททริเซียระบุว่า เธอใช้เครื่องมือนี้ในการประเมินว่ามีเว็บไซต์ไหนบ้างที่ได้รับการส่งต่อมากที่สุดในข้อความกลุ่ม WhatsApp และใช้โดยนักการเมืองฝ่ายไหน อีกทั้งยังค้นต่อว่าเว็บไซต์เหล่านี้มีผู้เข้าชมจำนวนมากหรือไม่และพบว่าเว็บไซต์หลายเว็บไซต์นำเนื้อหาข่าวจากสื่อที่มีความน่าเชื่อถือและดัดแปลงเนื้อหาใหม่จากมุมมองที่เต็มไปด้วยอคติ ซึ่งเธอกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว
  1. ติดตามตรวจสอบด้วยการสร้างแผนที่ข้อมูล

การติดตามตรวจสอบข้อมูลบิดเบือนเป็นความจริงที่ต้องเผชิญ แพททริเซียแนะนำว่าการทำแผนที่เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้และระบุว่าแต่ละเว็บไซต์ได้รับเงินสนับสนุนมาจากไหนและมีใครทำงานอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์นี้บ้างจะช่วยให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจ

  1. ติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย

แพททริเซียระบุว่านักข่าวควรติดตามการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่อาจส่งผลให้ข้อมูลบิดเบือนนั้นสามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น เธอยกตัวอย่างกรณีของบราซิลที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลายข้อ มติของศาลสูงสุดว่าด้วยการเลือกตั้ง (TSE) และการเปลี่ยนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ว่าเนื้อหาใดที่สามารถเผยแพร่ได้หรือเนื้อหาใดที่ไม่สามารถพูดถึงได้ระหว่างการหาเสียง ซึ่งในทางทฤษฎีนั้น นโยบายเหล่านี้มีกฎระเบียบที่บังคับให้กูเกิลหยุดการแพร่กระจ่ายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งหรือข้อมูลเท็จทางการเมือง

10. ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง

ปัจจุบันนี้ เราสามารถตรวจสอบข้อมูลทั่วไปจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยข้อมูลที่สืบค้นได้จากเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล เช่น กูเกิลและ Meta โดยเธอระบุว่าบริษัททั้งสองแห่งมีฐานข้อมูลการซื้อโฆษณา (ad libraries) ซึ่งนักข่าวสามารถตรวจสอบได้ว่าใครหรือบริษัทไหนซื้อโฆษณาบ้าง เธอกล่าวว่า ในกรณีของการรณรงค์หาเสียงช่วงเลือกตั้งในบราซิลนั้น มีเพียงผู้สมัครหรือพรรคการเมืองสามารถจ่ายเงินซื้อโฆษณาในสื่อสังคมออนไลน์ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีบุคคลทั่วไปที่จ่ายเงินซื้อโฆษณาเพื่อโจมตีผู้สมัครที่ตนเองไม่สนับสนุนเพื่อช่วยให้ผู้สมัครที่ตนเองสนับสนุนได้รับความสนใจ

11.ติดตามเส้นทางการเงิน

หลังการเลือกตั้งในบราซิลครั้งล่าสุดเมื่อปี 2565 เกิดการประท้วงและการถกเถียงประเด็นทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยหลายเรื่อง ซึ่งผู้นำการประท้วงเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากนักธุรกิจที่มีอำนาจในประเทศ ดังนั้น การติดตามเส้นทางการเดินทางของเงินจะช่วยให้นักข่าวสามารระบุได้ว่าใครคือคนที่ช่วยสนับสนุนการประท้วงอยู่เบื้องหลัง ใครได้รับบริจาคบ้างและสื่อมวลชนสามารถติดต่อคนเหล่านี้เพื่อขอข้อมูลได้

12.ติดตามข้อมูลจากศาลและองค์กรตรวจสอบ (watchdog)

สื่อมวลชน นักวิชาการและนักเช็คข่าวลวง (fact-checkers) ควรติดตามคำตัดสินของศาล รวมถึงองค์กรตรวจสอบของภาครัฐเพื่อใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการรายงานข่าว แพททิเซียระบุว่าเราควรตั้งคำถามว่าใครคือผู้ที่กำกับดูแลการเลือกตั้งที่นอกเหนือไปจากสื่อมวลชน นักวิชาการและนักเช็คข่าวลวง (fact-checkers) และคำถามที่น่าสนใจคือระบบยุติธรรมนั้นดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่ หรือหน่วยงานเหล่านั้นทำหน้าที่ตามที่กำหนดหรือไม่

13.ระมัดระวังตัวเมื่อสืบค้นข้อมูล

แพททริเซียระบุว่าการต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือนช่วงก่อนการเลือกตั้งในบราซิลครั้งล่าสุดในปี 2565 นั้นมีความท้าทายมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 มากเพราะในการเลือกตั้งครั้งนั้นข้อมูลเท็จสามารถแพร่กระจายในแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่แห่งแต่ตอนนี้ข้อมูลลักษณะนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวาง โดยเธออธิบายว่าการเลือกตั้งของบราซิลเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมืองแพร่กระจายอย่างกว้างขวางเนื่องจากผู้นำทางการเมืองต่าง ๆ มีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์และมีผู้ติดตามจำนวนมาก มียูทูปเบอร์จำนวนมากและมีสำนักข่าวออนไลน์ขยะมากมายที่นำเสนอว่าตนเองเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นแหล่งข่าวแห่งหนึ่ง รวมไปถึงสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ เช่น TikTok, Kwai และสื่อสังคมออนไลน์ที่นำเสนอคลิปวีดีโอสั้นๆ จึงทำให้การนำเสนอเรื่องเล่าทางการเมืองเฟื่องฟูขึ้นและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชน “สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงข้อมูลบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมืองในช่วงการณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันสื่อมวลชนบางแห่งกลับการเป็นปัญหาเสียเอง และเราต้องลงมือทำงานร่วมกัน” เธอกล่าว

บทสรุป

ในบริบทที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ศึกการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566นี้ ประสบการณ์จากประเทศบราซิลนับว่ามีคุณค่าต่อการเรียนรู้เพื่อให้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม นักเช็คข่าวลวงและบุคคลทั่วไปตระหนักรู้ต่อปัญหาการบิดเบือนข้อมูลและมีเครื่องมือในการช่วยกันติดตามตรวจสอบข่าวลวงหรือการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การเลือกตั้งของไทยที่จะถึงนี้เป็นการเลือกตั้งที่มีความหมายและไม่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคมไทย


ที่มาของบทความ: https://ijnet.org/en/story/13-tips-investigating-political-disinformation

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.nationtv.tv/news/scoop/378903812 (“ศึกเลือกตั้ง66″จับตาการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง)

https://archive.org/web/ (Wayback Machine)

https://www.palver.com.br/ (Palver)

https://www.crowdtangle.com/ (Crowtangle)

https://www.similarweb.com/ (Similarweb)