

ชิตพงษ์ กิตตินราดร และทีมวิจัย
สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น (ChangeFusion)
เมษายน 2563
ปัญหาการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกว่าข่าวลวง เป็นปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลต่อชีวิตและสังคมอย่างจับต้องได้ ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาปัจจุบันที่โรค COVID-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ข่าวลวงและข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการตรวจหาโรค การป้องกันตัว และการรักษา ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตของคน เพราะถ้าผู้รับข่าวนำเนื้อหาในข่าวลวงไปปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทั้งต่อตนเอง ชุมชน และสังคมได้
การแก้ปัญหาข่าวลวง จึงเป็นวาระที่สำคัญของสังคม องค์กรสื่อ ภาคประชาชน และรัฐบาล ต่างเริ่มตื่นตัวจริงจังในการแก้ปัญหา โดยเกิดศูนย์ข่าวที่มีภารกิจในการแก้ไขข่าวลวงโดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการดำเนินการคล้ายคลึงกันของเพจที่ได้รับความนิยมบนเครือข่ายสังคม อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยแทบจะยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของข่าวลวงว่ามีคุณลักษณะด้านต่างๆ อย่างไร และวิธีการไหนจะสามารถหยุดหรือป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงได้ดีที่สุด การขาดความรู้นี้ทำให้การดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับข่าวลวงขาดความมั่นใจและสิ่งยืนยันว่าดำเนินการอย่างตรงจุดและได้ผล
เมื่อต้นปี 2563 ในช่วงที่ COVID-19 เริ่มระบาด ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมพัฒนาโครงการ Cofact ประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างกลไกการตรวจสอบข่าวลวง ผ่านเว็บไซต์ cofact.org ควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายออนไลน์ของอาสาสมัครที่ทำงานตรวจสอบข่าวลวง หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Cofact บรรลุถึงเป้าหมายนี้ได้ คือการพยายามตอบคำถามว่า “ข่าวลวงเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร และจะหยุดยั้งการระบาดได้อย่างไร” ผู้เขียนจึงได้พัฒนากระบวนวิธีที่จะทำให้ได้มาซึ่งคำตอบดังกล่าว
กระบวนการ เริ่มด้วยใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter, Instagram, Youtube, บล็อก และเว็บข่าวต่างๆ ซึ่งรวบรวมโดยบริการ Zocial Eye ของบริษัท Wisesight โดยข้อมูลแต่ละรายการ ประกอบด้วยวัน เวลา, ข้อความ, แพลตฟอร์ม, URL, Engagement เป็นต้น
จากนั้น นำข้อมูลโซเชียลมีเดียที่มีคำหรือกลุ่มคำตามหัวข้อที่สนใจ มาพล็อตดูรูปแบบการกระจายตัวหรือการกระจุกตัวของข้อความ โดยรูปแบบนี้จะพิจารณาเทียบกับเวลาที่นับตั้งแต่ข้อความแรกปรากฏ ร่วมกับจำนวนปฏิสัมพันธ์ (Engagement) ของแต่ละข้อความ เช่นตัวอย่างหัวข้อ “COVID-19 เป็นอาวุธชีวภาพ” พบว่ามีข้อความที่เกี่ยวข้อง กระจุกตัวเป็นสองกลุ่ม นั่นคือกลุ่มแรก รวมศูนย์อยู่ที่ประมาณวันที่ 10 หลังจากที่พบข้อความแรก และกลุ่มที่สอง รวมศูนย์อยู่ที่ประมาณวันที่ 30 หลังจากที่พบข้อความแรก
เพื่อทำให้การวิเคราะห์เกิดประโยชน์ จึงจำแนกข้อความข่าวแต่ละข้อความเป็นสี่ประเภท ได้แก่
ทั้งนี้ การจำแนกประเภทของข้อความจะดำเนินการโดยการอ่านและวิเคราะห์เนื้อหาข่าวลวงทีละเรื่อง
เมื่อแบ่งประเภทข้อความตามเกณฑ์ข้างต้น พบว่าจาก 194 ข้อความที่พบ เป็น Super-spreader 11 ข้อความ (5.67%), Spreader 119 ข้อความ (61.34%), Super-corrector 42 ข้อความ (21.64%), และ Corrector 22 ข้อความ (11.34%)
เห็นได้ว่า ในบรรดากลุ่มข้อความที่แพร่ข่าวลวง Spreader ทั่วไปมีจำนวนมากกว่า Super-spreader มาก ในขณะที่สัดส่วนของกลุ่มผู้แก้ข่าวนั้นเป็นทางตรงกันข้าม นั่นคือ Corrector มีจำนวนน้อยกว่า Super-corrector นั่นหมายถึงว่าคนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะกระจายข่าวลวงที่ได้รับมา แต่ไม่ค่อยจะเป็นผู้แก้ข่าวเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ที่เป็นความจริง
ต่อมา เมื่อพิจารณาดูสัดส่วนของแพลตฟอร์มที่พบข่าวลวงและการแก้ข่าวลวง พบว่า Facebook และ Twitter เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม พบว่า Super-corrector มีสัดส่วนที่จะอยู่บนเว็บข่าวสูง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า องค์กรสื่อมีบทบาทสูงในการเป็นผู้แก้ข่าวลวง
ขั้นตอนต่อมา คือการพิจารณาปฏิสัมพันธ์ระหว่างข้อความที่อยู่ในบทบาทต่างๆ โดยดูรูปแบบการปรากฏและความสัมพันธ์ของข้อความในบทบาทต่างๆ ภายในกลุ่มกระจุกตัว (Cluster) เดียวกัน พบข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือการระบาดของข่าวลวงในกลุ่มกระจุกตัวหนึ่งๆ มีแนวโน้มที่จะยุติลง (จำนวน Spreader ลดลงจนแทบจะหายไป) หากกลุ่มกระจุกตัวนั้นมี Super-corrector จำนวนมากแก้ข่าวในเวลาไล่เลี่ยกันหลังจากที่พบข้อความประเภท Super-spreader ในทางกลับกัน หากกลุ่มกระจุกตัวนั้นขาด Super-corrector ข่าวลวงก็จะระบาดต่อไปโดย Spreader ที่มีจำนวนไม่ลดลง
นั่นหมายความว่า การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ (Coordinated effort) และทันท่วงที (Timely) ขององค์กรสื่อและสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามจำนวนมากในการแก้ข่าวลวง เป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการหยุดยั้งการระบาดของข่าวลวง
สุดท้าย เราสามารถวิเคราะห์เนื้อหา (Text analysis) ของข้อความในการระบาดแต่ละระยะ โดยแบ่งการระบาดภายในกลุ่มกระจุกตัวแต่ละกลุ่มออกเป็นสองระยะ คือระยะเริ่มต้น กับระยะพัฒนา
จะพบว่าในระยะเริ่มต้น การระบาดมักจะเริ่มโดย Spreader ในลักษณะการพูดลอยๆ เป็นความคิด ข่าวลือ ในขณะที่การระบาดในระยะพัฒนา เนื้อหาจะดูมีความน่าเชื่อถือ เป็นวิชาการ หรืออ้างว่ามีที่มาที่เป็นความลับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตนี้ไม่ได้เป็นจริงในทุกกรณี ขึ้นอยู่กับลักษณะเนื้อหาของข่าวนั้นๆ
นอกจากเรื่อง COVID-19 เป็นอาวุธชีวภาพแล้ว ผู้เขียนได้ใช้วิธีการนี้วิเคราะห์ข่าวลวงเรื่องการตรวจ COVID-19 ด้วยการกลั้นหายใจ 10 วินาที, การป้องกัน COVID-19 ด้วยการรักษาความชุ่มชื้นของลำคอ, และการดื่มน้ำอุ่นเพื่อฆ่าเชื้อ COVID-19 รวมสี่เรื่อง ซึ่งได้ผลใกล้เคียงกับข้อสังเกตจากเรื่องแรกที่ได้อธิบายไป (ยกเว้นการวิเคราะห์เนื้อหาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะเนื้อหาของแต่ละข่าว)
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า ผลการศึกษาจากตัวอย่างเรื่อง COVID-19 ทั้งสี่หัวข้อโดยใช้กระบวนวิธีนี้ ชี้ให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของกลุ่ม Super-corrector ซึ่งเป็นผู้แก้ข่าวลวง ที่เป็นได้ทั้งองค์กรสื่อ ศูนย์ตรวจสอบข่าวลวง เพจหรือผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามสูง ที่ต้องคอยติดตาม ตรวจสอบ และเผยแพร่เนื้อหาแก้ไขความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิด โดยจะมีโอกาสสูงในการหยุดยั้งการระบาดได้เมื่อ Super-corrector ร่วมกันแก้ไขข่าวนั้นอย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียงกันเมื่อพบการระบาด
การศึกษาโดยใช้กระบวนวิธีนี้ในครั้งนี้ เป็นความพยายามแรกๆ ในประเทศไทย ในการศึกษาเรื่องการระบาดและการหยุดยั้งการระบาดของข่าวลวงอย่างเป็นระบบ ซึ่งยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ เช่น:
ดังนั้น หากผู้สนใจต้องการที่จะต่อยอดพัฒนากระบวนวิธีนี้ให้ดียิ่งขึ้น ผู้เขียนแนะนำให้มุ่งเน้นการพัฒนาในเรื่องดังต่อไปนี้:
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Cofact ประเทศไทย
1ชาญณรงค์ วงค์วิชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและขับเคลื่อนสังคม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
“ในโลกนี้มีผู้ล่า และผู้ถูกล่า
ในวันหนึ่งเราอาจสนุกในการเป็นผู้ล่า
เราอาจจะรู้สึกตัวในวันที่เราเป็นผู้ถูกล่า”
สถานการณ์สงครามโรค COVID 19 นั้น ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ มากกว่า 2,2202 คน โดยปัจจุบันยังไม่มีแนวทางในการรักษาและป้องกันได้อย่างหายขาด เนื่องจากต้องรอเวลาการพัฒนาวัคซีน โรคอุบัติใหม่ที่สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลกนี้ไม่ได้นำมาเฉพาะโรค แต่นำพาความหวาดกลัว ความตื่นตระหนก ของคนในสังคมทั้งหมด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา มีข่าวที่ครึกโครมเป็นกระแสสังคม ในโลกโซเซียลมีเดีย กรณีผู้โดยสารชาวไทยจำนวน 158 คน เดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยงถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 เมษายน 2563 เนื้อข่าวส่วนใหญ่ระบุการไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการ กักกันตามมาตรการที่กำหนด ข่าวดังกล่าวก่อให้เกิด ปรากฏการณ์ ล่าแม่มด เปิดโปง ชี้เป้า โดยมีโซเซียลมีเดียเป็นเครื่องมือหากเปรียบเสมือนห่วงโซ่อาหารการล่านี้ไม่ใช่เพื่อ “อาหาร” แต่การล่านี้เพื่อ “รอด” ที่ผู้ล่าต้องการ มีพื้นที่ที่อุ่นใจ ปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยง ทำให้สังคมนี้ย่างก้าวเข้าไปสู่ยุคสังคมแห่งความเสี่ยงมากขึ้นทุกที
ในสถานการณ์ที่ประเทศเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ COVID 19 มากกว่า 2,220 คน ความสนใจจึงมุ่งไปที่การรายงาน ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต ความพร้อมทางการแพทย์ มาตรการภาครัฐ แต่ข่าวกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่เชิงเนื้อข่าวแต่เป็นเชิงอารมณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วม ที่ทำให้ผู้รับข่าวสารเกิดการตีตรา (stigmatization) สถานการณ์ดังกล่าวพบว่าสังคมไทย กำลังเกิดกระบวนการตีตราใน 2 รูปแบบ3
ช่วงระยะเวลาการระบาดของ COVID 19 ในประเทศไทย พร้อมของข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ที่หลากหลาย ทั้งการใช้ประทุษวาจา การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ และกรณีข่าวปลอมที่เผยแพร่อย่างมากมาย ณ ขณะนี้ หากเราเชื่อในหลักคิด ปัจจัยทางด้านสังคมที่กำหนดสุขภาพ4 (Social Determinants of Health: SDH) โดยนิยามแล้ว หมายถึง สถานะของประชากรตั้งแต่เกิด ดำรงชีวิต ทำงานและมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น สถานะดังกล่าวเป็นปัจจัยที่นำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพของประชากรทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งสถานะต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งอยุติธรรม (unfair) และสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเรื่องโรคนั้นไม่ได้เป็นแค่โรคแต่เกี่ยวพันกับสังคมโลกที่เรารวมอยู่ ด้วย
กระแสของความเกลียดชัง การหวาดระแวง เนื่องจากไวรัส COVID 19 ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่น่ากลัวหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นรุนแรงและมีการฝังลึกคือการที่เรียกว่าพฤติกรรมการล่าแม่มด หรือการใช้ถ้อยคำ วาจา กลั่นแกล้งเสียดสี ทางโลกออนไลน์ จากเนื้อข่าวในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน 2563 พบปรากฏการณ์ที่หลากหลายและส่งผลต่อการเกลี่ยดชังทางสังคม ดังสามารถรวบรวมได้คือ
ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า หรือ COVID 19 กระแสของความเกลียดชัง การหวาดระแวง กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและฝังลึกคือพฤติกรรมการล่าแม่มด การใช้ถ้อยคำ วาจา กลั่นแกล้งเสียดสี ทางโลกออนไลน์ ที่พบจากเนื้อข่าวในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน 2563 เช่น
กรณีข่าวที่มีการนำเสนอต่อสังคม | ผลกระทบ/พฤติกรรมที่เกิดขึ้น |
---|---|
กรณีที่ 1 การตีตรานักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาท่องเที่ยวในไทย | hate speech, cyber-bullying, stigma |
กรณีที่ 2 พฤติกรรมการตีตราคนย้ายถิ่น/แรงงานกลับต่างจังหวัดเนื่องจากการปิด สถานประกอบการ สถานให้บริการ สถานที่จำหน่ายสินค้า และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ | hate speech, cyber-bullying, stigma |
กรณีที่ 3 คลิปภาพ ดาวะห์ท่านหนึ่ง ถูกเข้าใจว่า จงใจไอเพื่อแพร่ เชื้อ แต่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่า เขาเข้าไปถามเรื่องการเดินทาง | Fake news, hate speech, cyber-bullying, stigma |
กรณีที่ 4 จังหวัดหนึ่งที่ไม่มีผู้ติดเชื้อหรือป่วยจาก COVID-19พอพบก็เกิดพฤติกรรมหมู่ในการตำหนิผู้ติดเชื้อหรือป่วย รวมทั้งผู้อยู่ | Fake news, hate speech, cyber-bullying |
กรณีที่ 5 การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของ 158 ผู้เดินทาง กลับจากต่างประเทศ เกิดการใช้สังคมออนไลน์ก่นดjา กดดัน สร้างความเกลียดชังทางสังคม | Fake news, hate speech, cyber-bullying, stigma, data protection |
จากกรณีต่างๆ ที่ยกมา “ความอยู่รอด” ยามที่สังคมตอนนี้เป็นสังคมแห่งความเสี่ยง5 ถึงอาการของการหลงเข้าไปในโลกแห่งความเสี่ยงที่มองการปกป้องตนเอง เป็นไวรัสทางใจ ไวรัสแห่งความเกลียดชัง
ในความเชื่อและความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีผู้กลับจากต่างประเทศ 158 คน แยกออกเป็น 2 ประเด็น การไม่กักตัวนั้นผิดกฎหมายและขาดความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นประเด็นที่หนึ่ง ประเด็นต่อมาคือ ขบวนการไล่ล่าใช้สังคมออนไลน์ที่กดดันสร้างภาพความผิด เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้และไม่ควรทำ (ทั้งไม่มีสิทธิที่จะทำ)
ขณะที่ การทำงานที่บ้าน (work from home) หรือการอยู่บ้านเพียงอย่างเดียว (stay at home)มีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งไม่สามารถทำได้ทุกคน ขึ้นอยู่กับสถานภาพทางเศรษฐกิจ “คนรวยและชนชั้นกลางพอที่มีเงินเดือน เก็บตัวก่อน ทยอยซื้อของและใช้เงินเก็บ แต่กลุ่มแรงงานหรือคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีงานคือไม่มีเงิน, ไม่มีกิน, ไม่มีค่าเช่าบ้าน” การกลับบ้านเกิดสำหรับบางกลุ่มคือทางออกให้รอด ดังนั้นในความเป็นจริงที่สังคมมีหลายชั้น การกระทำที่ต่างกันจึงบอกถึง “ไม่มีใครที่อยากจะไม่สบาย เป็นผู้ติดไวรัสโคโรน่า ป่วยด้วยโควิด 19 หรือไม่สบายป่วยไข้ด้วยสาเหตุต่างๆ” หรือ ทุกคนอยากเป็นผู้มีชีวิตรอด
แนวทางการอยู่รอดและอยู่ร่วมในสถานการณ์ COVID 19 คือการใช้สื่อรณรงค์และโฆษณาทุกช่องทาง เพื่อสร้างความเข้าใจการป้องกันและการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ “การขับไล่ ไล่ล่า รังเกียจ” ผู้ที่ติดไวรัส โคโรน่า ผู้ป่วยด้วย COVID19 หรือโรคอื่น ให้เป็นคนแปลกในสังคม ทั้งที่สังคมเป็นของทุกคนครับ เรากลัวได้ แต่เราขับเขาออกจากสังคมไม่ได้ครับ กล่าวคือ
“…..การสร้างทัศนคติที่ดีของคนทั่วไปต่อผู้ป่วย เนื่องจากขณะนี้กลุ่มผู้ป่วย กำลังถูก stigmatize หรือ “ตีตรา” ว่าเป็นโรคที่น่ารังเกียจ สถานที่รองรับผู้ป่วย ถูกต่อต้านจากชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งที่อยู่ในสถานที่ปิด มีระบบกำจัดเชื้อตามมาตรฐาน จะทำอย่างไรให้เกิดการยอมรับว่า นี่เป็นการเสียสละและช่วยชาติสู้กับวิกฤตครั้งนี้……
ทั้งนี้หากมองกระบวนการแก้ไขปัญหาในทุกมิติแล้ว เพื่อให้สังคมไทยเกิดการฝ่าฟันวิกฤตการณ์ COVID19 ไปได้ ต้องมี 4แนวทางสำคัญ6คือ
แต่สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ การมองแนวนโยบายที่ดำเนินการอย่างรอบด้านของรัฐบาลที่มองภาพรวมทั้งองค์ประกอบชีวิตและสภาพแวดล้อมภายใต้สังคม (social environment) ที่แนวนโยบายนั้นมีทั้งผลเชิงลบและผลเชิงบวก การรณรงค์ส่งเสริมและให้ความรู้ต้องเป็นการสร้างความเข้าใจและวิธีการป้องกันและอยู่ร่วมอย่างไรใน COVID 19 มิใช่การรณรงค์ที่สร้างภาพความกลัวและความตระหนกเหมือนประสบการณ์ดังอดีตที่ผู้ติดเชื้อ(ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ) HIV/AIDS นั้น ถูกตีตราและเบียดขับออกจากสังคม สิ่งเหล่านั้นก็ไม่นักที่เราจะแก้ภาพอดีตที่ประทับไว้เรื่อยมา โจทย์นี้เป็นโจทย์สำคัญท้าทายมนุษยชาติขณะเดียวเดียวกันก็ท้าทาย
ความเป็นมนุษย์ในตัวเราเช่นกัน
1ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและขับเคลื่อนสังคม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ข้อเขียนดังกล่าวเป็นความคิดของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับหน่วยงานต้นสังกัด
2ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 วันที่ 6 เมษายน 2563
3National AIDS Management Center. AIDS stigma and discrimination in health facility: Survey among AIDS patients. Thailand. Center of Diseases Control. Thailand, MOPH. 2015. การยกนิยามนี้มาใช้ หมายถึง การตีตราเกิดกับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ มีอาการป่วย และเข้ารับการรักษา สำหรับในกรณี กลุ่มเสี่ยง อย่างกรณี คน 158 คน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ใช่ผู้ป่วย แต่เป็นกลุ่มเสี่ยง เดินทางมาจากประเทศ/พื้นที่เสี่ยง จึงต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและกักกันเป็นไปตามกระบวนการ แต่การใช้การไล่ล่าทางโซเซียลมีเดียและการกดดันเปิดเผยรายชื่อ เป็นการมลทินประทับ (Stigma) และการตีตรา (Labeling) ให้ผู้โดยสารทั้ง 158 คนว่าเป็นผู้ผิด
4SDH , (World Health Organization (2018)
5จากการกระจายความเสี่ยง หรือ “สิ่งเลวร้าย”: “ตำแหน่งแห่งที่ของความเสี่ยงทางสังคมปรากฏตัวขึ้นมา” ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีลักษณะแบบเดียวกับการแตกแบ่งรูปแบบเก่าในแง่ของชนชั้นหรือศาสนา ด้วยเหตุผลนี้เบ็คยอมรับว่า “สังคมความเสี่ยงในแง่นี้จึงเป็นโลกของสังคมความเสี่ยง” (a world of risk society) (Beck, 1992: 23)
6ดัดแปลงจากเอกสารการเสนอจัดทำประเด็นรณรงค์ COVID-19 จัดทำโดย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีการประสานรวบรวมจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์การระบาด COVID-19
ที่มา : https://docs.google.com/document/d/1Gp7KiLsmspjfxwAlZVKSp-Vy2tnYWZlCjkf-s1pIx3U/edit
นอกเหนือจากเชื้อไวรัสร้ายที่มองไม่เห็นกำลังแพร่กระจายในอากาศข้อมูลข่าวสารอันท่วมท้นล้นหลามก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กำลังแพร่อยู่ในอากาศ แต่เรามองไม่เห็น โดยเฉพาะ Fake News หรือข่าวปลอม
ในช่วงเทศกาลโควิด-19 นี้ สังคมไทยยังได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่อีกหนึ่งคำ คือ Infodemic หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เอ่ยถึงเมื่อไม่นานมานี้
Infodemic ที่มาจากคำว่า Information ผสมกับ Pandemic ถูกอธิบายว่าคือความสับสนอลหม่านของข้อมูลข่าวสารที่ไหล่บ่าท่วมท้น และมีความบิดเบี้ยวของสารที่ถูกส่งต่อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วแข่งกับภัยโรคระบาดไปทั่ว จนทำให้คนเกิดความตื่นตระหนก และกังวล ซึ่งWHO ชี้ชัดว่า ข่าวปลอมเหล่านี้เป็นภัยร้ายต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง
พีรพล อนุตรโสตถิ์ จากชัวร์ก่อนแชร์ เปรียบเทียบความรุนแรงของข่าวสารในสถานการณ์โควิดว่าไม่ต่างจากมหกรรมใหญ่ ระดับโอลิมปิค หรือ world expo ที่มีข่าวปลอมเกิดขึ้นทุกวันและจัดการได้ยาก และตรวจสอบยากขึ้น โดยในประเทศไทยนั้น ข่าวสารที่มีความอ่อนไหวที่สุด คือจุดที่มีเรื่องวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้อง
“ข่าวปลอมเพิ่มเรื่อยๆ ตามความระบาดของโรค ส่วนหนึ่งเกิดจากความกระหายใคร่รู้ของข้อมูล ซึ่งปรากฏการณ์เรื่อง Infodemic เกิดทั่วโลก มาตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับที่คนทำงานด้าน fact checking เมื่อก่อนข่าวเดียวก็เช็คหนักแล้ว แต่โควิดนี่เยอะจริง
เขาบอกที่มาของข่าวลวงนั้นเกิดทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสื่อ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นแพทย์และไม่ใช่แพทย์ กลุ่มคนที่มีเป้าหมายต้องการขายสินค้า ประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่เข้าใจสถานการณ์แล้วเป็นผู้แชร์ข่าวมา หน่วยงานและนักการเมืองที่มีความสับสนจากการทำงานไม่บูรณาการกัน กลุ่มคนที่ตั้งใจสร้างข่าวลวงที่เรียกว่า “เกรียน” และเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน
“ข่าวปลอม ข้อมูลเท็จ เกิดจากความตื่นตระหนก ความเข้าใจผิด และที่สำคัญส่งผลต่อสุขภาพ นอกจากนั้นบางสื่อควรพาดหัว โดยคำนึงผลกระทบมากกว่าจะเน้นเฉพาะดึงดูดให้คนมาอ่าน ผมแนะนำว่าทุกข่าวเราควรหาต้นตอที่มา ตรวจสอบเนื้อหา สงสัยไว้ก่อน”
ขณะที่ กล้า ตั้งสุวรรณ ซีอีโอ บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลอันดับ 1 ในประเทศไทย สะท้อนว่า เฟคนิวส์เกิดมาเพราะโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนเป็นพันล้านคนที่มารวมกัน ทั้งยังเป็นเรียลไทม์ ซึ่งเฟคนิวส์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ไวรัสโควิด ทำให้เกิดอิมแพคท์ค่อนข้างแรง และเป็นปัญหาที่ฟากฝั่งรัฐบาลและหน่วยงานที่กำกับดูแลเอง ก็ยังตามไม่ทัน
ในมุมคิดของเขา เชื่อว่าปัญหานี้ควร ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ เพราะ “ถ้าใช้แรงงานคนคงไม่ทัน” จึงทำให้เป็นที่มาของการก่อตั้ง wisesite ของเขา โดยมีการนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับบิ๊กดาต้า เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารทั้งหมด แล้วนำมากรองด้วยฟิลเตอร์ง่ายๆ แล้ววิเคราะห์ ซึ่งสามารถทำให้ติดตามสถานการณ์ของข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์
“จากการวิเคราะห์ เราสังเกตพฤติกรรมว่า สถานการณ์เริ่มถูกพูดถึงตั้งแต่ วันที่ 24 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา แต่ตอนนั้นยังมีการแชร์แค่หลักสิบ แต่พอหลัง 25 มกราคมปีนี้ การแชร์เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น และเหตุการณ์ที่เป็นช่วงที่มีการแชร์สูงสุด คือวันที่ 13-16 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อ ก่อนที่รัฐบาลประกาศไม่ให้มีวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งมีการแชร์เฉลี่ย 60,000-70,000 ส่วน engagement เป็นล้าน”
กล้าเผยต่อถึงพฤติกรรมการรับข่าวสารคนยุคนี้ว่า ปัจจุบันข้อมูลล้นมากจนเรารับไม่ทัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังคง เชื่อสื่อหลัก แต่สื่อหลักเองก็มีมากขึ้นกว่าในอดีต ขณะที่ข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดียก็มีทั้งนำสื่อหลักมาแชร์ต่อและบางข้อมูลก็ไม่มีที่มา ขาดความน่าเชื่อถือ
“จริงๆ โซเชียลมีเดียทำให้เราโลกแคบลง เพราะเขาจะสกรีนแต่เรื่องที่เราสนใจมาให้เรา รูปแบบของเฟสบุ๊คมีการสื่อสารแบบเพื่อนบอกเพื่อน ไม่ใช่ทางการอีกต่อไป ทำให้เราไม่แน่ใจว่า ควรเชื่อได้แค่ไหน เพราะส่วนใหญ่มีแต่ opinion”
หนึ่งกรณีศึกษา ที่ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของตนเอง ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ เผยว่าที่ผ่านมาทั้งตนเองและบิดา (ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ์) นั้น ต้องเผชิญกับเฟคนิวส์มาโดยตลอด
“เฟคนิวส์มันแพร่ไปได้เร็วมากกว่าข่าวจริง โดยเฉพาะเฟคนิวส์มีการใส่อารมณ์น้ำเสียง เล่นกับอารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ จะยิ่งโดนแชร์ไปไกลและเยอะมาก”
เขามีความเห็นว่า นอกจากข่าวปลอมสามารถแพร่ระบาดไปได้เร็วกว่าข่าวจริงแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมควรตระหนัก หรือไม่ควรมองข้าม เช่น ยังมีกรณีที่ไม่ใช่เฟคนิวส์ แต่ข่าวจริงบางข่าว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีข้อมูลจริงชุดใหม่มาลบล้างข้อมูลความจริงเก่า เช่น กรณีที่สหรัฐอเมริกาหรือหลายประเทศออกมาประกาศว่า ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก แต่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง เมื่อผลปรากฏว่าการใส่หน้ากากทำให้เชื้อแพร่ระบาดช้ากว่า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับความเห็นที่ผู้รับสารจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้
ด้าน สถาพร อารักษ์วทนะ นักวิชาการมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค เล่าถึงสถานการณ์ ผู้บริโภคในสามเดือนที่ผ่านมาว่ามีการร้องเรียนถึง 1055 ราย โดยปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด คือปัญหาข้อมูลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องคืนค่าตั๋วเครื่องบิน ทัวร์ ทั้งมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ
“เนื่องจากช่วงนี้ ทุกคนมีซื้อสินค้าผ่านช่องทางมาร์เก็ตเพลสเพื่อหาซื้อสินค้าดูแลสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเข้าข่ายผิดกฎหมายหมด คนขายก็ผิด เพราะมีทั้งโฆษณาเกินจริง ข้อมูลเท็จ ขายเกินราคา หรือหลอกลวง อย่างหน้ากากอนามัยราคาขายแพงกว่าราคาจริง ซึ่งมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ไม่มีมาตรการควบคุม จึงทำให้ทำให้ราคายิ่งแพงหลายเท่าตัว แม้ทางผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลบางรายพยายามแบน แต่ผู้ซื้อก็สามาถเลี่ยงใช้คำอื่นแทนได้”
นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมเสริมว่า ในเรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรค เกิดเป็นเฟคนิวส์เพราะบางคนอ่านมาไม่ครบถ้วน ทำให้ตีความผิดไป หรือทำให้ไขว้เขว ผู้นำเสนอข้อมูลเองก็มีการแย่งกันใครจะรายงานข่าวเร็ว ไวที่สุด แต่ในด้านความน่าเชื่อถือ ยังไม่มีกลไกเข้าไปช่วยตรวจสอบข้อมูล ซึ่งอาจต้องอาศัยเวลา
มองว่าอีกกลุ่มคนที่ควรโฟกัส เพราะมีบทบาทต่อความเชื่อถือของประชาชนในยุคนี้ คือ กลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งบางครั้งเป็นผู้ชี้นำ ทำให้ประชาชนตระหนกตกใจกับข่าว
เมื่อการระบาดของข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดข่าวลวงข่าวปลอมแพร่กระจายในสื่อไปทั่วโลก รวมทั้งในไทย สร้างความเข้าใจผิด ๆ ในเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคระบาด และความปลอดภัยของประชาชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ChangeFusion Wisesight Open Dream Center for Humanitarian Dialogue (HD) มูลนิธิ Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF) สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และองค์กรวิชาชีพสื่อ ได้ร่วมกันนำร่องกลไกที่จะเป็นจุดเริ่มในการจัดการกับเฟคนิวส์ ภายใต้โครงการโคแฟค (Collaborative Fact Checking : Cofact) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมตรวจสอบข่าวลวงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะประเด็นโควิด-19
วสันต์ ภัยหลีกลี้ ในฐานะตัวแทนสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เอ่ยว่า แนวคิดโคแฟค คือพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนร่วมกันตรวจสอบ ในเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง เรื่องที่ สงสัย ข่าวลวงข่าวปลอม เรื่องที่เราต้องการให้เกิดความชัดเจนขึ้น
“เราถือว่าประชาชนที่ใช้สื่อออนไลน์ ทุกคนมีส่วนร่วมกันในการที่จะตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในสังคม ทำให้ข้อมูลข่าวปลอมลดลงไป โดยไม่มีใครเป็นผู้ผูกขาด และมีส่วนผลักดันให้นิเวศน์สื่อดีขึ้น”
โคแฟคท์ เป็นกระบวนการผสมผสานใช้เทคโนโลยีของภาคพลเมืองอย่าง Civil Tech กับงานเชิงวารสารศาสตร์ ที่จะมีบรรณาธิการช่วยตรวจสอบข่าว และภาคประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบ จะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นทำงานผ่านเว็บไซต์ cofact.org และโปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติ (Chatbot) ไลน์ @cofact
ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ร่วมก่อตั้ง เอ่ยว่า โครงการโคแฟค เป็นความร่วมมือที่มาแก้ปัญหาร่วมกัน ด้วยแนวคิด “ทุกคนควร Fact Checker” หรือคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข่าวสารด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงภาระของคนใดคนหนึ่ง เป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ทุกคนเปิดรับสื่ออย่างรู้เท่าทัน ร่วมตรวจสอบข่าว นำมาสู่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเท่าทันสื่อของพลเมืองดิจิทัล ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศสื่อและสังคมสุขภาวะ
หนึ่งในทีมคนทำงาน สุนิตย์ เชรษฐา จาก Change Cushion เล่าถึงผลจากการศึกษาเกี่ยวกับเฟคนิวส์ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เขาได้ข้อสังเกตว่า คุณลักษณะของเฟคนิวส์ คือเรามักไม่รู้ที่มา แต่สามารถแพร่ไปไว
“ข่าวลวงมีอาการคล้ายระบาดวิทยา ไม่ต่างกับซุปเปอร์สเปรดเดอร์ (Super Spreader) แต่ขณะเดียวกัน ในการศึกษาเรายังพบกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบ (Corrector) ที่สามารถทำให้การแพร่กระจายข่าวลวงพวกนี้แผ่วลงได้ ผมจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น super corrector”
ดังนั้นเป้าหมายของการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่าโคแฟคท์นี้ เกิดจากแนวคิดที่อยากให้ประชาชนที่รับข่าวมา แล้วมีช่องทางตรวจสอบที่น่าเชื่อถือและไม่ต้องไปค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้นต่างๆ เอง
“พอทำไปสักพัก เราเริ่มเห็นว่า ข้อมูลที่ส่งมา เราสามารถเห็นแพทเทิร์นการเผยแพร่ ว่าเกิดขึ้นมายังไง ขยายแพร่กระจายไป และมีแนวโน้มจะเป็นกระแสแบบไหน”
เสริมด้วย นพ.ไพโรจน์ที่ให้ความเห็นว่า
“การระบาดข้อมูล เราไม่ได้ดูแค่จัดการแค่สถานการณ์ แต่เรายังเข้าไปดูถึงปัจจัยกำหนด เพื่อเข้าไปจัดการให้ถูกต้องชอบธรรม ด้วยกลไกรัฐ กลไกสื่อ และผู้ตรวจสอบข่าวสาร ปัจจุบัน เรายังไม่สามารถเห็น ชัดเจนว่า infodemic มีผลกระทบแค่ไหน และอย่างไร ดังนั้นถ้าเรามีกลไกที่ทำให้เราสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ ตั้งแต่การรายงานผลต่อการจัดการในพื้นที่ได้ก็จะช่วยชี้เป้าถึงต้นตอปัญหาและแนวทางแก้ไข”
นพ.ไพโรจน์ เอ่ยทิ้งท้าย
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/recommended/detail/2116