สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมมาต่อเนื่องนานหลายปี เครือข่ายชาวพุทธต่อต้านอิสลามเริ่มขยายพื้นที่การสื่อสารสู่ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมที่มีผู้ใช้ในประเทศไทยมากถึง 50 ล้านบัญชี เนื้อหาที่เผยแพร่มีทั้งล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย บิดเบือนคำสอน และข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายศาสนาของรัฐไทย

“ธนาคารไทยโดนมุสลิมฮุบ”

“แขกเสวยสุข ได้งบประมาณแผ่นดินไปตั้งธนาคารอิสลาม ได้งบสร้างมัสยิด ได้งบไปแสวงบุญ เจ้าหน้าที่ในมัสยิดมีเงินเดือน”

“มุสลิมตั้งใจจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอิสลาม เพราะบ้านเมืองเราอุดมสมบูรณ์” 

“แขกมาอยู่ขอนแก่น สั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูป ที่มีรูปพระราชาออก”

“ลูกสาวมุสลิมแต่งงานกับพ่อได้ ศาสนาอนุญาต”

นี่คือตัวอย่างของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamphobia) ที่เผยแพร่อยู่ใน TikTok ทั้งข้อความและภาพประกอบมีความรุนแรงและมีจำนวนมากในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกำลังบ่มเพาะความเกลียดชังและความหวาดระแวงระหว่างคนต่างศาสนิกในสังคมไทยจนนำไปสู่การประหัตประหารกันได้ในอนาคต ดังที่งานวิชาการหลายชิ้นระบุตรงกันว่า ถ้อยคำอันตรายและปลุกปั่นความเกลียดชัง (dangerous/hate speech) เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง การสังหารหมู่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้

ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น การรวมตัวยื่นหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชุมนุมคัดค้านกฎหมายและนโยบายที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมและไม่เป็นธรรมต่อคนพุทธ รวมทั้งการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังอิสลามและคนมุสลิม ซึ่งนำโดยองค์กรชาวพุทธที่ “เปิดหน้า” ชัดเจนอย่างน้อย 2 องค์กร คือ สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) และองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.)

สปพ. มี น.ส.พาศิกา สุวจันทร์ เป็นนายกสมาคม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 จากการรวมตัวของผู้ที่ไม่พอใจวิดีทัศน์เพลงชาติที่จัดทำขึ้นใหม่เพราะเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและผู้นำศาสนาพุทธ ส่วน อปพส. มีเลขาธิการชื่อนายอัยย์ เพชรทอง อดีตแกนนำลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่มีบทบาทมากในการชุมนุมไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกค้นวัดเพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเมื่อปี 2560 แต่หลังจากถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีหมิ่นประมาทนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเมื่อปี 2565 นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล ก็มารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการและแกนนำ อปพส. แทน 

สปพ. อปพส. ใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารต่อสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ “ไลฟ์สด” การยื่นหนังสือ การชุมนุมของกลุ่มและ “ไลฟ์ทอล์ค” ของประพันธ์และพาศิกาเรื่องการปกป้องศาสนาพุทธจาก “การคุกคามของอิสลาม” แต่เมื่อ TikTok กลายเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวพุทธต่อต้านอิสลามก็เริ่มขยายช่องทางการสื่อสารสู่ TikTok  

แม้ว่าแกนนำ สปพ. และ อปพส. ดูจะยังนิยมสื่อสารทางเฟซบุ๊กและยูทูบมากกว่า แต่การปรากฏตัวของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามและเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับอิสลาม (Islamophobic Disinformation) ใน TikTok ก็เป็นประเด็นที่น่าสำรวจตรวจสอบ เพราะเนื้อหาเหล่านี้กำลังบ่มเพาะความเกลียดชังในใจผู้คนอยู่เงียบ ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งความเกลียดชังนี้อาจทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนต่างศาสนาในสังคมไทย  

ทำไมต้อง TikTok

ความนิยมและจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายงานชิ้นนี้เลือกตรวจสอบเนื้อหาบน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดยบริษัท ByteDance ของจีน เปิดตัวเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ปัจจุบันมีบริษัทย่อยที่ให้บริการผู้ใช้งานในแต่ละภูมิภาค เช่น TikTok Inc. ให้บริการในสหรัฐอเมริกา TikTok Information Technologies UK Ltd. ให้บริการในสหราชอาณาจักร ส่วนผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยให้บริการโดย TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สิงคโปร์

TikTok เปิดให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยเมื่อกลางปี 2561 และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2568 TikTok ให้ข้อมูลว่ามีบัญชีผู้ใช้คนไทยประมาณ 50 ล้านบัญชี

เว็บไซต์ Statista รายงานว่า TikTok ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 รองจาก Facebook, YouTube, Instagram และ WhatsApp โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกราว 1.58 พันล้านราย ประเทศไทยมีผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก

รายงานการศึกษาเรื่องสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยปี 67 โดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ที่นำเสนอในงานสัมมนาวิชาการของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 พบว่าในปี 2567 TikTok มียอดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน (engagement) สูงสุดในบรรดาโซเชียลมีเดีย 5 แพลตฟอร์ม คือ 1.44 พันล้านครั้ง รองลงมาคือ X (585 ล้านครั้ง) Instagram (498 ล้านครั้ง) และ Facebook (497 ล้านครั้ง)

บัญชีผู้ใช้และเนื้อหาที่นำมาวิเคราะห์

บัญชีผู้ใช้งาน TikTok ที่เผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามที่ศึกษาในรายงานชิ้นนี้มีทั้งหมด 30 บัญชี ซึ่งคัดเลือกและค้นหาจาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้แฮชแท็กที่กลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลามนิยมใช้ เช่น “อปพส.” “รวมพลังคนไทยพุทธ” “ต่อต้านอิสลาม” “ไม่เอาฮาลาล” “ยกเลิก พ.ร.บ.ฮัจย์”
  2. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้ชื่อองค์กรหรือบุคคลที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น เลขาธิการ อปพส. นายกสมาคม สปพ. ทนายความ พระสงฆ์และอดีตพระสงฆ์
  3. บัญชีผู้ใช้ TikTok ที่วิดีโอถูกนำมาแชร์ในเพจเฟซบุ๊กของ สปพ. อปพส. แกนนำองค์กรชาวพุทธ และในกลุ่มเฟซบุ๊กต่อต้านอิสลาม  

ในส่วนของการวิเคราะห์เนื้อหานั้น ผู้เขียนเลือกวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามจากวิดีโอยอดนิยม (popular) 10 อันดับแรกของแต่ละบัญชีมาวิเคราะห์ รวมเนื้อหาวิดีโอทั้งหมด 250 ชิ้น 

ทั้งนี้ การจัดลำดับวิดีโอยอดนิยมของบัญชีผู้ใช้งานแต่ละบัญชีนั้น ระบบของ TikTok ประมวลผลจากยอดการดู (view) จำนวนคนที่กดถูกใจ คนที่เข้ามาให้ความเห็น แชร์ และยอดการบันทึกวิดีโอ 

สิ่งที่พบ

ชื่อผู้ใช้ (nickname): เกือบทั้งหมดใช้ชื่อที่ไม่ระบุตัวตน บางบัญชีเลือกใช้ชื่อที่บ่งบอกถึงการต่อต้าน/ล้อเลียนอิสลามหรือปกป้องศาสนาพุทธ เช่น “ต่อต้าน อิสลาม มุสลิม” “ดับฝันมุดดิน” “คนไทยหัวใจพุทธ” “รวมใจคนไทยพุทธ”

รูปโปรไฟล์: เกือบทั้งหมดเลือกใช้รูปโปรไฟล์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ส่วนใหญ่ใช้รูปทั่วไปจากอินเทอร์เน็ต และมี 5 บัญชีที่ใช้รูปโปรไฟล์ที่มีข้อความล้อเลียนศาสดาของศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยถ้อยคำหยาบคาย

บัญชีผู้ใช้บางรายใช้รูปโปรไฟล์เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เป็นไปได้ว่าเจ้าของบัญชีเป็นคนเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน

วันที่สร้างบัญชีผู้ใช้: TikTok ไม่แสดงวันที่สร้างบัญชีให้บุคคลอื่นเห็น แต่เราพอจะรู้ช่วงเวลาที่บัญชีนั้นเริ่มใช้งานได้จากวิดีโอแรกที่โพสต์ ซึ่งพบว่า 15 จากทั้งหมด 30 บัญชี โพสต์วิดีโอแรกในปี 2567 รองลงมาคือปี 2566 (6 บัญชี) ส่วนบัญชีที่ใช้งานมานานที่สุดได้โพสต์วิดีโอแรกในปี 2561

จำนวนผู้ติดตาม (follower): บัญชีผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีผู้ติดตามหลักพัน บัญชีที่มีผู้ติดตามน้อยที่สุดคือ 53 ราย และผู้ติดตามมากที่สุดคือ 20,100 ราย และพบว่าหลายบัญชีมีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2568 เช่น “รวมพลังคนไทยพุทธ 2” มีผู้ติดตามเพิ่มจาก 3,152 เป็น 6,838 ราย “ดับฝันมุดดิน คนไทยในเยอรมัน” เพิ่มจาก 17,200 เป็น 18,900 ราย “Pasika Suwachun” เพิ่มจาก 1,429 เป็น 1,947 ราย และ “พื้นที่เสี่ยงภัย 24 ชั่วโมง” เพิ่มจาก 8,186 เป็น 10,400 ราย

ช่วงเวลาที่เผยแพร่และการเข้าถึง: วิดีโอทั้ง 250 ชิ้นเผยแพร่ช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2568 ส่วนมากโพสต์ในปี 2567 คือ 177 ชิ้น รองลงมาคือปี 2568 (38 ชิ้น) 2564 (15 ชิ้น) 2566 (12 ชิ้น) และ 2565 (8 ชิ้น)

รูปแบบของเนื้อหา: เกือบทั้งหมดเป็นวิดีโอสั้นที่ประกอบสร้างขึ้นจากภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คลิปข่าว ข้อความ เสียงพูด ที่นำมาจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ แอปพลิเคชันไลน์ รวมจากบัญชี TikTok อื่น ๆ มาตัดต่อ-ใส่เพลงและข้อความประกอบ เกิดเป็นเนื้อหาใหม่ในเชิงล้อเลียนคำสอน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย สร้างความเกลียดกลัวคนมุสลิมด้วยข้อความที่สร้างความเกลียดชัง (hate/dangerous speech) การบิดเบือนข้อเท็จจริง และเนื้อหาเท็จ วิดีโอส่วนใหญ่ไม่บอกต้นตอ/ที่มาของเนื้อหาที่นำมาตัดต่อ ทำให้ยากต่อการประเมินความน่าเชื่อถือหรือตรวจสอบความถูกต้อง

อีกรูปแบบหนึ่งที่พบมากคือวิดีโอจากเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ถ่ายทอดสดกิจกรรมของกลุ่ม อพปส. ที่นำมาตัดให้สั้นลง เช่น การเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก การส่งเสริมกิจการฮาลาล และงบประมาณอุดหนุนธนาคารอิสลาม รวมถึงเนื้อหาจากการ “บรรยาย” ของแกนนำ อปพส. และ สปพ. ทางเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์ศาสนาอิสลามหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายและกฎหมายที่ชาวพุทธกลุ่มนี้มองว่าเอื้อต่ออิสลาม

ยอดการชมวิดีโอ: จากวิดีโอทั้ง 250 ชิ้นที่นำมาวิเคราะห์ มี 11 ชิ้นที่มียอดการรับชมเกิน 1 ล้านครั้ง วิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก มีดังนี้

  1. คลิปเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายปี 2567 พร้อมข้อความ “พวกเราชาวมุสลิมขอไม่รับอาหารที่ไม่มีฮาลาล พวกเรายอมอดตายดีกว่า ถ้าทำผิดต่ออัลเลาะห์” เผยแพร่เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567 วิดีโอนี้มีคนเข้ามาคอมเมนต์เกือบ 18,000 ข้อความ ส่วนใหญ่เข้ามาล้อเลียนเสียดสีคนมุสลิมและคำสอนอิสลาม (เข้าชม 9.7 ล้านครั้ง)
  2. คลิป Shani Louk หญิงสาววัย 22 ปี ลูกครึ่งอิสราเอล-เยอรมัน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อ 7 ตุลาคม 2566 ที่รู้จักกันในชื่อ “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เทศกาลดนตรีที่คิบบุตซ์ เรอิม” ทางตอนใต้ของอิสราเอลใกล้ฉนวนกาซา คลิปนี้โพสต์เมื่อ 2 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “RIP Shani Louk ฉันจะไม่มีวันให้อภัยหรือลืมสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นทำกับคุณ” (เข้าชม 4.5 ล้านครั้ง)
  3. คลิปภาพประกอบเสียงพูดของชายมุสลิมคนหนึ่งกำลังตอบคำถามที่ว่าอัลเลาะห์กับหมอใครช่วยมุสลิมมากกว่ากัน? เขาตอบว่า “อัลเลาะห์ช่วยมากกว่า จากการที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ให้คนนั้นหายจากการรักษาของหมอ…” โพสต์เมื่อ 19 สิงหาคม 2567 จากการสืบค้นของผู้เขียนพบว่าต้นฉบับเสียงนี้เป็นของผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “ฟรีซ เดอะ ทรูธ” คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เผยแพร่คำสอนของอิสลาม พูดในรายการสนทนาทางช่องยูทูบ “สำนักพิมพ์อัซซาบิกูน” เมื่อ 10 ธันวาคม 2566 (เข้าชม 3.1 ล้านครั้ง)
  4. ภาพข่าวงาน AV Expo รวมดาราหนังโป๊ญี่ปุ่นที่จัดในประเทศไทย เผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม 2567 มีข้อความล้อเลียนว่า “ผู้ชายมุสลิมห้ามไปนะ” (เข้าชม 2.8 ล้านครั้ง)
  5. ภาพผู้หญิงสองคนกับโปสเตอร์รณรงค์ยกเลิกการสวมชุดคลุมศีรษะและใบหน้าของหญิงมุสลิม เผยแพร่เมื่อ 16 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “สวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามการคลุมศีรษะของอิสลาม ปิดหน้า ตา จมูก อย่างเป็นทางการ” (เข้าชม 2.5 ล้านครั้ง)
ภาพคลิปวิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก

10 ประเด็นร่วม สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

จากการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอทั้ง 250 ชิ้น พบว่ามีประเด็นร่วมที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม 10 ประเด็น ดังนี้

หมายเหตุ:

* เนื้อหาที่หยิบยกมาด้านล่างนี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง (fact check) ผู้เขียนอ้างถึงเพื่อแสดงตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok เพื่อเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาผลิตซ้ำความเกลียดชัง

** อ่านรายงาน Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok ที่นี่

1) คำสอนและความเชื่อ

นำคำสอนของอิสลามและความเชื่อของคนมุสลิมมาล้อเลียน บิดเบือน อ้างเท็จให้เกิดความเข้าใจว่าอิสลามสอนให้ใช้ความรุนแรงต่อคนต่างศาสนา กดขี่ทางเพศ งมงาย และไม่มีเหตุผล เช่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • อิสลามอนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานกับพ่อได้
  • ผู้หญิงที่ไม่สนองตัณหาสามีจะมีบาปหนา การเชื่อฟังสามีได้ผลบุญเท่ากับการญิฮาด
  • ปัสสาวะและอุจจาระของอิหม่ามไม่เหม็นและไม่สกปรก ผู้ใดดื่มปัสสาวะ อุจจาระและเลือดของอิหม่ามจะได้ขึ้นสวรรค์
  • อิสลามสอนให้เกลียดชังคนต่างศาสนา
  • ศาสนาอิสลามห้ามคนมุสลิมร่วมกิจกรรมประเพณีร่วมกับคนต่างศาสนา ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามสวมชุดไทย
  • อิสลามไม่มองว่าหมอเป็นคนช่วยชีวิตเพราะจะหายป่วยหรือไม่นั้นเป็นไปตามประสงค์ของอัลเลาะห์

2) ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

อ้างถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม” กล่าวหาว่าคนมุสลิมเป็นพวกนิยมความรุนแรง จ้องคุกคามและทำอันตรายคนพุทธและพระสงฆ์เพื่อยึดครองพื้นที่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คนมุสลิมกำลังจะยึดจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเพิ่มจำนวนประชากรเป็นกว่า 1 ล้านคน ขณะที่คนพุทธลดจำนวนจาก 3-4 แสนคน เหลือไม่ถึง 7 หมื่นคน
  • เผยแพร่ภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต การทำร้ายพระสงฆ์ การโจมตีวัด อาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากเหตุระเบิด ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นข่าวใหญ่ในอดีต เช่น กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ถูกจับเป็นตัวประกันและถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต และกรณีตากใบ โดยระบุว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาพรรคประชาชน และ สส. มุสลิม ของพรรคว่า “สนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดน” และ “เป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาว่าโรงเรียนตาดีกาแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้แขวนภาพและเชิดชู “ผู้ก่อการร้ายเบอร์ 1เป็นวีรบุรุษ
  • นำคลิปข่าวจากสื่อมวลชนมาใส่ข้อความบิดเบือนว่าคนมุสลิมกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นในพื้นที่ เช่น ข่าว “ดันมลายูเป็นภาษาราชการภาษาที่ 2″ และข่าวเยาวชนนับหมื่นคนสวมชุดมลายูรวมตัวกันในงานมลายูรายา 2024 ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อเดือนเมษายน 2567  

3) ตราฮาลาล

องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านสินค้าฮาลาลและนโยบายสนับสนุนกิจการฮาลาลมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในเดือนกันยายน 2565 อปพส. รวมตัวกันที่บริษัทซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ถ.สีลม เรียกร้องให้ร้านเซเวนอีเลเวนทุกสาขาจัดชั้นวางจำหน่ายสินค้าที่ไม่มีตราฮาลาลแยกออกจากสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าชาวพุทธที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ การคัดค้านฮาลาลเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกนำมาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมใน TikTok

ตัวอย่างเนื้อหา

  • กล่าวหาว่าการขอตราฮาลาลทำให้คนไทยต้องซื้อสินค้าแพง เพราะผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นในการขอรับรองตราฮาลาล
  • กล่าวหาว่ารายได้จากการรับรองฮาลาลถูกนำไปใช้อย่างไม่โปร่งใส

4) การสร้างมัสยิดและห้องละหมาด

การเพิ่มขึ้นของมัสยิดและการจัดให้มีห้องละหมาดถูกนำมาบิดเบือนว่ารัฐไทยให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาอื่น ๆ และยังถูกนำไปโยงในทฤษฎีสมคบคิดว่าอิสลามกำลัง “รุกคืบ” เพื่อขยายอิทธิพลและจำนวนประชากร

ตัวอย่างเนื้อหา

  • เลขาธิการ อปพส. อ้างว่างบประมาณในการสร้างวัดมาจากการบริจาคของชาวพุทธ แต่งบประมาณในการสร้างมัสยิดมาจากงบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุน “แปลว่ามุสลิมยึดรัฐบาลแล้ว”
  • สมาชิก อปพส. อ้างว่าสนามบินสุวรรณภูมิไม่มีห้องพระสำหรับพระสงฆ์และคนพุทธ แต่มีห้องละหมาดสำหรับคนมุสลิม
  • ภาพตำแหน่งที่ตั้งมัสยิดบนแผนที่ประเทศไทย พร้อมข้อความว่า “ใกล้เป็นรัฐอิสลามเข้ามาทุกขณะ” และ “ประเทศไทยทำไมถึงมีมัสยิดเยอะจัง? เขาสร้างไว้ทำไม? เอาเงินจากไหนมาสร้าง”
  • ภาพป้ายคัดค้านการสร้างมัสยิดในจังหวัดต่าง ๆ

5) นโยบายเอื้อคนมุสลิม

โจมตีและกล่าวหารัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันว่าใช้งบประมาณสนับสนุนศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมากกว่าศาสนาอื่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์: เลขา อปพส. โจมตีรัฐบาล สส. และ สว. ที่อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของชาวมุสลิมในไทย
  • ธนาคารอิสลาม: กล่าวหารัฐบาลว่าใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาทในการแก้ปัญหาหนี้เสียและการขาดทุนของธนาคารอิสลาม และอ้างว่าคนมุสลิมมีสิทธิกู้เงินธนาคารอิสลามได้ทันทีในวงเงิน 2 แสนบาท
  • ทุนการศึกษา: อ้างว่าเด็กมุสลิมได้เรียนฟรี มีโควตาให้เด็กมุสลิมเข้าโรงเรียนนายร้อยและมหาวิทยาลัย 12 แห่ง ปีละ 44 คน โดยไม่ต้องสอบแข่งขันและไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
  • สิทธิพิเศษในการรับเข้าทำงาน: อ้างว่าหน่วยงานของรัฐมีโควตาพิเศษรับคนมุสลิมเข้าทำงานโดยไม่ต้องแข่งขันตามระบบ

6) “แผนการยึดครองประเทศไทย”

ผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าอิสลามมีแผน “ยึดประเทศไทย” โดยอ้างถึงการเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิม การเพิ่มจำนวนมัสยิด บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองมุสลิมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การแฝงตัวของคนมุสลิมเข้ามาเป็นพระสงฆ์เพื่อทำลายวงการสงฆ์ และการผลักดันการใช้กฎหมายอิสลามทั่วประเทศ

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงของ น.ส.พศิกา นายกฯ สปพ. อ้างถึง “แผนการยึดครองประเทศไทยภายใน 10 ปี” ด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มจำนวนโรงเรียนปอเนาะเพื่อปลุกกระดมเยาวชนมุสลิม เร่งให้มุสลิมชายหญิงอายุ 12-13 ปีแต่งงานเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมให้มากที่สุด ผู้เขียนตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นข้อความที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2550 อ้างว่ามาจาก “เอกสารลับเฉพาะของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและยึดครองประเทศไทย” ที่แปลจากภาษายาวี
  • การบรรยายของ พล.อ.ณพล บุญทับ อดีตรองสมุหราชองครักษ์ ในการสัมมนาเชิงปฎิบัติการแนวทางสร้างอาสาสมัครคุ้มครองพระพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 7-8 กันยายน 2556 ที่วัดราชาธิวาส เนื้อหาการบรรยายของ พล.อ. ณพล ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลาม ในคลิปนี้ พล.อ. ณพลพูดถึงการผลักดันร่างกฎหมายอิสลามเข้าสู่สภา โดยอ้างว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ ทั้งคนมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยแฝงมาตราที่ระบุว่าจังหวัดที่มีมัสยิดตั้งแต่ 3 แห่งขึ้นไปจะต้องมีกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น
  • กล่าวหาว่าผู้นำทางการเมืองและการทหารในอดีต เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน นายอารีย์ วงศ์อารยะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนในการส่งเสริมให้อิสลาม “รุกราน” พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมชาวพุทธ เช่น ตัดวิชาส่งเสริมพุทธศาสนาออกจากตำราเรียน ตัดงบบำรุงวัดและพระสงฆ์ ตัดงบโครงการบรรพชาฤดูร้อน ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อ “เปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามในชื่อ Thailand Darussaram”

7) ข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อคนมุสลิมด้วยการนำข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิมมาเผยแพร่ต่อโดยใส่ข้อความชี้นำให้เข้าใจว่าหลายประเทศกำลังต่อต้านคนมุสลิม เพราะศาสนาอิสลามเป็นที่มาของความขัดแย้งและความรุนแรง

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปข่าวจากสำนักข่าวอัลจาซีรากรณีชาวมุสลิมในจีนปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามเข้าไปรื้อสิ่งปลูกสร้างภายในมัสยิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำพร้อมข้อความว่า “รัฐบาลจีนสั่งปราบปรามกลุ่มมุสลิมที่คิดแบ่งแยกการปกครองเพราะคัมภีร์เขียนไว้มุสลิมต้องปกครองตนเองด้วยกฎหมายอิสลาม จึงกลายเป็นการปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐในทุก ๆ ดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่ ปัญหาความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นตลอดไป”
  • คลิปจากวอยซ์ทีวีที่พิธีกรข่าวพูดถึงข้อเสนอของนายกเนเธอร์แลนด์ให้ปิดมัสยิดทั้งประเทศ ถูกนำมาใส่ข้อความประกอบว่า “นายกเนเธอร์แลนด์เสนอให้ปิดมัสยิดทั่วประเทศ มัสยิดคือแหล่งปัญหา”
  • ข่าวทางการอินเดียสั่งถอดลำโพงกว่า 45,000 ตัว จากศาสนสถาน รวมทั้งมัสยิด
  • ข่าวนักเรียนมุสลิมในกรุงลอนดอนแพ้คดีที่เธอฟ้องร้องโรงเรียนข้อหาละเมิดสิทธิเพราะห้ามไม่ให้เธอละหมาดที่โรงเรียน

8) ออกจากอิสลาม

นำเสนอเรื่องราวของคนที่ออกจากอิสลาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊ก “กุรอานศึกษาแนววิพากษ์ – Critical Quran Studies” ที่เผยแพร่ซีรีส์ “ทำไมฉันจึงออกจากอิสลาม” มาตั้งแต่ปี 2566 โดยอ้างว่าเป็นเรื่องราวจริงของคนที่ส่งข้อมูลมาให้ทางเพจเผยแพร่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านเรื่องราวของชายชาวนครศรีธรรมราชที่เปลี่ยนจากอิสลามมานับถือพุทธ
  • คลิปวิดีโอชายมุสลิมกำลังร้องไห้คร่ำครวญเป็นภาษาต่างประเทศ มีข้อความว่า “อิหม่ามร้องไห้เมื่อมุสลิมออกจากการนับถืออิสลามมาก”

9) อิสลาม vs พุทธ

เปรียบเทียบคำสอนของศาสนาอิสลามกับศาสนาพุทธ ยกย่องว่าศาสนาพุทธดีกว่าศาสนาอื่น ๆ หรืออ้างถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนพุทธและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านบทความเรื่อง “ศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ตรงข้ามกัน” ซึ่งพูดถึงศาสนาพุทธในทางที่ดี แต่อิสลามในทางที่ไม่ดี
  • คลิป น.ส. พาศิกา นายกฯ สปพ. พูดว่าโรงเรียนวัดในกรุงเทพฯ มีนักเรียนมุสลิมเข้ามาเรียนจำนวนมากและเรียกร้องขอแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามและขอให้มีอาหารฮาลาล ซึ่งเธอบอกว่า “แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะคุกคาม รุกราน รุกคืบเข้ามาในพื้นที่ของชาวพุทธที่เป็นคนดั้งเดิมของแผ่นดินไทย”

10) ล้อเลียนอิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok มีการนำภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และข้อความต่าง ๆ จากหลายแหล่ง มาตัดต่อเป็นเนื้อหาเชิงล้อเลียน เสียดสี กล่าวหา สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่ออิสลามและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้ช่วงปลายปี 2567 เขียนบรรยายว่าชาวมุสลิมไม่รับอาหารจากหน่วยกู้ภัยเพราะไม่ใช่อาหารฮาลาล
  • ภาพประชาชนรอรับแจกของในงานเทกระจาดที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ยะลา มีข้อความเสียดสีชาวมุสลิมที่มารับอาหาร
  • คลิปทำขาหมูพะโล้ เขียนข้อความ “เมื่อเราเป็นอิสลาม แต่เพื่อนไทยพุทธ ให้ลองเปิดใจกินหมู ทุกคนว่าไงดี”

บทสรุปและข้อสังเกต

จากการศึกษาวิดีโอสั้นที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามจำนวน 250 ชิ้น ที่เผยแพร่โดย 30 บัญชีผู้ใช้ TikTok ระหว่างเดือนสิงหาคม 2564-มีนาคม 2568 แสดงให้เห็นว่า TikTok เป็นช่องทางในการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม นอกเหนือจาก Facebook, YouTube และ X แม้รูปแบบและลักษณะของเนื้อหาจะแตกต่างไปตามแพลตฟอร์มที่เน้นการนำเสนอวิดีโอสั้น (short video) แต่ประเด็นหรือ narratives ที่ถูกนำมาใช้สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ยังคงเป็นประเด็นเดียวกับที่พบในแพลตฟอร์มอื่น เช่น การสร้างภาพว่าอิสลามเป็นศาสนาที่สนับสนุนความรุนแรง การเชื่อมโยงอิสลามกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วย “การล้างเผ่าพันธุ์ชาวพุทธ” และการสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชุมชนคนพุทธกับมุสลิม

การสร้างความเกลียดกลัวอิสลามผ่านวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ใน TikTok มีทั้งการล้อเลียนและการใช้เนื้อหาเท็จ-ข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดภาพลบต่อชาวมุสลิม และสร้างความเข้าใจผิดต่อคำสอนของอิสลาม กฎหมายและนโยบายของรัฐ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหลายฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) เนื้อหาเท็จ/บิดเบือนเหล่านี้ เช่นเดียวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาประเด็นอื่น ๆ อย่างเรื่องสุขภาพและการเมือง

ผู้เขียนพบว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เป็นวิดีโอสั้นใน TikTok มีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อหาในแพลตฟอร์มอื่น เพราะผู้สร้างวิดีโอสั้นเหล่านี้มักผสมผสานเนื้อหาหลายรูปแบบจากหลายแหล่ง ทั้งข้อความในไลน์ ข้อเขียนจากบล็อกและเว็บไซต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ไลฟ์สตรีม คลิปข่าวต่างประเทศ วิดีโอจากผู้ใช้งานอื่น (user-generated content) ฯลฯ มาตัดต่อเข้าด้วยกัน โดยไม่ระบุหรืออ้างอิงที่มา และใส่ข้อความที่ชี้นำความเห็นหรือสร้างความเข้าใจผิด

การวิเคราะห์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาวิดีโอ TikTok จึงไม่ใช่แค่เพียงการนำข้อความหรือภาพมาตรวจสอบ แต่ต้อง แยกองค์ประกอบของวิดีโอนั้นออกเป็นส่วน ๆ สืบค้นต้นตอของเนื้อหาแต่ละส่วน แล้วจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาแต่ละส่วน ทำให้การตรวจสอบเนื้อหาใน TikTok ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลามาก

ข้อสังเกตประการสุดท้ายคือ เนื้อหาหลายชิ้นมีถ้อยคำและภาพที่รุนแรงมาก ยังไม่นับข้อความในคอมเมนต์ที่ปลุกปั่นและยั่วยุในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างเช่นหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เนื้อหาเหล่านี้ปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มมาเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี ทำให้เกิดคำถามต่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์มถึงประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการใช้งานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน

3 คำถาม 3 คำตอบกับ TikTok

ผู้เขียนได้สอบถาม TikTok เกี่ยวกับหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนและการจัดการเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังทางศาสนาและได้รับคำตอบจาก คุณสิริประภา วีระไชยสิงห์ Outreach and Partnerships Lead, Trust and Safety – TikTok ดังนี้

ถาม: TikTok มีหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาหรือไม่ อย่างไร?

ตอบ: หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนของ TikTok ไม่อนุญาตให้ใช้ถ้อยคำและการแสดงพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังหรือการส่งเสริมแนวคิดที่สร้างความเกลียดชังทั้งโดยชัดเจนหรือโดยนัยที่เกี่ยวข้องกับศาสนา รวมถึงกลุ่มที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชาติกำเนิด ศาสนา ชนเผ่า วรรณะ รสนิยมทางเพศ เพศ เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ โรคร้ายแรง ความทุพพลภาพ และสถานะการอพยพ

เนื้อหาที่ลดคุณค่าทางอ้อมของกลุ่มที่ได้รับการคุ้มครอง อาจไม่มีคุณสมบัติสำหรับการเผยแพร่ใน “หน้าฟีดสำหรับคุณ (For You Feed- FYF)

ถาม: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวกับการสร้างความแตกแยกระหว่างคนต่างศาสนาเป็นอย่างไร หากพบเนื้อหาเท็จที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามจะดำเนินการอย่างไร?

ตอบ: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความรุนแรงและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาควบคู่นโยบายหรือกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการคัดกรองเนื้อหาในระดับต่าง ๆ เช่น ลบเนื้อหาที่ไม่อนุญาต จำกัดเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน หรือจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง FYF

TikTok ปรับปรุงนโยบายและบังคับใช้กฎให้เข้มงวดยิ่งขึ้นอยู่เสมอ และฝึกอบรมทีมผู้เชี่ยวชาญในการคัดกรองเนื้อหาเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชัง สัญลักษณ์ คำศัพท์ และภาพจำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นอกจากนี้ TikTok ยังทำงานร่วมกับองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับรองจากเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ (IFCN) โดยระหว่างการตรวจสอบ วิดีโอนั้นจะไม่มีสิทธิ์ใน FYF หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ชัดเจน วิดีโอนั้นจะมีป้ายกำกับว่าเนื้อหาไม่ได้รับการตรวจสอบ ไม่อนุญาตให้ปรากฏใน FYF และแนะนำให้ผู้ใช้พิจารณาก่อนแชร์

ถาม: บัญชีผู้ใช้หลายบัญชีเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัว/ดูหมิ่นศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมาเป็นเวลาหลายปี และเนื้อหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ เหตุใดบัญชีและเนื้อหาเหล่านี้จึงไม่ถูกนำออกจากระบบ?

ตอบ: ถ้อยคำและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังจะถูกดำเนินการเมื่อตรวจพบ TikTok ฝึกอบรม ทีมงานผู้เชี่ยวชาญและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นประจำเพื่อตรวจจับแนวโน้มของเนื้อหาดังกล่าว

ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ระบบของ TikTok ตรวจจับได้ลบเนื้อหาที่มีการละเมิดกฎของชุมชน 2.8 ล้านวิดีโอในประเทศไทย

แม้ว่าระบบจะมีความแม่นยำในการตรวจจับ แต่ก็ยังมีเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ เสียง การ์ตูน มีม สิ่งของ ท่าทาง และสัญลักษณ์ ซึ่งการถ่ายทอดบางอย่างอาจไม่ชัดเจน TikTok จึงต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและภาคประชาสังคมเพื่อให้การตรวจจับเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้น

ทั้งนี้ TikTok มีชุมชน #MuslimTok ซึ่งรวบรวมผู้สร้างคอนเทนต์มุสลิมมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก และเปิดโอกาสให้คนทุกศาสนาและชุมชนมุสลิมได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอิสลามและประสบการณ์ของชาวมุสลิมความหลากหลายนี้เป็นหัวใจสำคัญของ TikTok ซึ่งมีเป้าหมายให้ชาวมุสลิมมีประสบการณ์เชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้สร้างสรรค์หรือผู้ใช้ทั่วไปของแพลตฟอร์ม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง