Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค
อิสลามเป็นศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น, ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลามและอยู่เบื้องหลังนโยบายเอื้อคนมุสลิม – นี่คือตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามด้วยการใช้ข้อมูลเท็จและบิดเบือน (Islamophobic disinformation) ที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมานานหลายปี และเมื่อ TikTok เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อกลางปี 2561 เนื้อหาเหล่านี้ก็ตามมาปรากฏตัวในแพลตฟอร์มนี้ด้วย
ในวาระที่ TikTok ให้บริการในไทยครบรอบ 7 ปี ในปี 2568 นี้ โคแฟคซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการตรวจสอบข่าวลวงและรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเรื่อง “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok” โดยวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ 250 ชิ้นที่มีเนื้อหาต่อต้านอิสลามที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ TikTok 30 บัญชี วิดีโอเหล่านี้มีทั้งเนื้อหาล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย ไปจนถึงเนื้อหาเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอนของอิสลามและคนมุสลิม
เพื่อให้เห็นภาพของการใช้เนื้อหาเท็จและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ผู้เขียนได้เลือกวิดีโอ TikTok 3 ชิ้น มาตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) และนำเสนอผลการตรวจสอบในรายงานชิ้นนี้
1. ประเทศญี่ปุ่นปฏิเสธอิสลาม-คนมุสลิม
เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพย่านธุรกิจในญี่ปุ่น (ลิงก์บันทึก) ความยาว 5 นาที พร้อมเสียงบรรยายในประเด็น “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร” สรุปใจความได้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ข้องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิมโดยเด็ดขาด มีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อชาวมุสลิมและศาสนาอิสลาม เช่น ไม่ให้สัญชาติคนต่างชาติที่เป็นมุสลิม ไม่ให้คนมุสลิมพำนักอย่างถาวร ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้สอนภาษาอาหรับ ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอ่านเข้าประเทศ ไม่ให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์ วิศวกร หรือผู้บริหารบริษัทต่างชาติ บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎไม่รับคนมุสลิมเข้าทำงาน ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้ ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิม หญิงชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นที่รังเกียจและสังคมไม่ยอมรับ และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานทูตของประเทศอิสลามอยู่น้อยมาก
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ
เสียงบรรยายนี้นำมาจากวิดีโอที่เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนราย ปัจจุบันไม่พบวิดีโอเรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร?” ในช่องยูทูบนี้แล้ว แต่เนื้อหาวิดีโอที่ถูกตัดมาบางช่วงยังคงถูกเผยแพร่ซ้ำโดยบัญชีผู้ใช้ TikTok อย่างน้อย 10 ราย
เมื่อถอดเสียงคำบรรยายและนำไปค้นหาในกูเกิลพบว่าเนื้อหาเดียวกันนี้ถูกเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2558 เช่น ในเว็บไซต์พันทิป Blogspot และเฟซบุ๊กเพจของ อปพส.

โคแฟคตรวจสอบจากฐานข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นและสื่อมวลชนญี่ปุ่นพบว่าเนื้อหาว่าด้วย “ญี่ปุ่น ‘แบน’ อิสลาม” ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในรูปแบบของข้อเขียนและคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์มานานนับสิบปี มีเนื้อหาที่เป็นเท็จ กล่าวคืออิสลามไม่ใช่ศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีผู้ที่นับถืออิสลามอยู่หลักแสนคน มีมัสยิดอยู่นับร้อยแห่ง มีตั้งศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศญี่ปุ่น (Islamic Center of Japan) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2509 มหาวิทยาลัยชั้นนำมีการสอนภาษาอาหรับ และรัฐบาลญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหลายประเทศ และผู้นำระดับสูงของประเทศเหล่านั้นก็เคยมาเยือนญี่ปุ่น ตามข้อมูลต่อไปนี้
- สำนักข่าว Nikkei และ Asahi Shumbun รายงานตรงกันว่าจำนวนประชากรมุสลิมในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ Nikkei ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ญี่ปุ่นมีชาวมุสลิมอยู่ราว 350,000 คน เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวในเวลา 18 ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่น แต่ในจำนวนนี้ก็มีคนสัญชาติญี่ปุ่นที่นับถืออิสลามอยู่ด้วย Asahi Shimbun รายงานว่ามัสยิดในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนจากสิบกว่าแห่งในปี 2542 เป็น 113 แห่งในปี 2564
- มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐและเอกชนในญี่ปุ่นเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษา เช่น Center for Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยเกียวโต, Middle Eastern and Islamic Studies ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และ Institute of Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยโซเฟีย
- เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลาม เช่น การเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอิหร่าน (ปี 2543) และรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน (ปี 2566) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีอินโดนีเซียประชุมทวิภาคีพัฒนาความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (ปี 2566) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและปากีสถานประชุมทวิภาคีว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ปี 2567
- ประเทศที่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลในญี่ปุ่นในฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมีประเทศมุสลิมอยู่หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ซาอุดิอารเบีย และตุรกี
ข้อมูลของทางการญี่ปุ่นและรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่หยิบยกมานี้ยืนยันได้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ห้าม ปิดกั้นหรือปฏิเสธศาสนาอิสลาม และมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหรือมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
2. ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง
เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นโดยตัดต่อภาพของชายมุสลิมคนหนึ่งเข้าไปด้วย และฝังข้อความว่า “แขกมาอยู่ขอนแก่นสั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูปที่มีรูปพระราชาออก ระวังเขาจะไม่ต้อนรับนะมุส” (ลิงก์บันทึก) โพสต์นี้มียอดการดูเกือบ 4.8 แสนครั้ง นอกจากนี้ยังมีบัญชีผู้ใช้ TikTok อีกรายหนึ่งโพสต์เนื้อหาประเด็นเดียวกันเมื่อ 18 มิถุนายน 2566 โดยโพสต์คลิปภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นที่มีเสียงบรรยายประกอบว่า “ซุ้มประตูเมืองขอนแก่น อิสลามจะเอาลง มีพระพุทธรูปของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนักปกป้องชาวพุทธได้รวมตัวกันต่อต้านและขอไว้ มิเช่นนั้นก็โดนสอยร่วง…”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง
เนื้อหาของโพสต์ TikTok นี้กล่าวหาว่าผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งน่าจะหมายถึงบุคคลในภาพ สั่งให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ออกจากซุ้มประตูเมือง
ประตูเมืองขอนแก่น ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2549 ด้วยงบประมาณ 15.5 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของเทศบาลนครขอนแก่น 14.5 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 1 ล้านบาท เมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญ “พระพุทธพระลับ” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดขอนแก่น จากวัดธาตุ พระอารามหลวง จำนวน 2 องค์ ขึ้นประดิษฐานบนมณฑปประตูเมืองขอนแก่นหลังใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล
โคแฟคตรวจสอบพบว่าชายมุสลิมในภาพคือ พ.ต.อ.สมหวัง เนตรทิพยานนท์ อดีตประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่น ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ว่ามีผู้นำภาพของเขาไปใช้เพื่อสร้างความเข้าใจผิด พร้อมกับยืนยันว่าเนื้อหาในวิดีโอ TikTok นี้ไม่เป็นความจริง เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงซุ้มประตูเมือง
พ.ต.อ.สมหวังยืนยันว่าไม่เคยมีกรณีที่คนมุสลิมในจังหวัดขอนแก่นเรียกร้องให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง และตนก็ไม่มีอำนาจหน้าที่จะทำเช่นนั้นได้
เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหานี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกราวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น คาดว่าผู้ที่ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จนี้ต้องการสร้างความเข้าใจผิดต่อคนมุสลิมในขอนแก่นเพื่อให้คนทั่วไปร่วมคัดค้านการจัดตั้งมัสยิด
โคแฟคสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไม่พบรายงานข่าวของสื่อมวลชนหรือข้อมูลอื่นว่ามีความพยายามในการนำพระพุทธรูปประจำเมืองและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น เมื่อประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.สมหวังจึงสรุปในเบื้องต้นได้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเนื้อหาในโพสต์ TikTok นี้เป็นความจริง
3. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลาม
เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์คลิปนายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) สนทนากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ระบุว่าเป็น “อดีตสาวมุสลิม” เรื่องการใช้ระบอบการปกครองแบบอิสลามในประเทศไทย ความยาวเกือบ 5 นาที มีภาพประกอบและข้อความที่ชักนำให้เข้าใจว่าระบบการเมืองการปกครองของไทยถูกกำหนดและครอบงำโดยอิสลามและคนมุสลิม หนึ่งในนั้นคือภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยกมือดุอาในวาระต่าง ๆ พร้อมข้อความว่า “พิธีเข้ารับอิสลาม” นอกจากนี้ยังมีภาพและข้อความที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์นับถือศาสนาอิสลามจึงมีนโยบายและอนุมัติงบประมาณจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมโดยไม่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ (ลิงก์บันทึก)
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ
เนื้อหาเท็จว่าด้วย พล.อ.ประยุทธ์และนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา นับถือศาสนาอิสลามถูกผลิตและเผยแพร่ในเฟซบุ๊กมานานกว่า 6 ปี และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื้อหาเท็จนี้ก็มาปรากฏอยู่ใน TikTok ด้วยเช่นกัน
พล.อ.ประยุทธ์เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างน้อย 2 ครั้งระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกเมื่อ 8 มีนาคม 2559 หลังจากมีผู้โพสต์ภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่ได้รับจากกลุ่มชาวมุสลิมและภาพนางนราพรยืนอยู่กับผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม
“(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เดือนธันวาคม 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม พล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาชี้แจงอีกครั้งเมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ว่า “…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”
นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นยังได้โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”
แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 แต่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของเขาและภรรยาก็ยังคงถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในทุกแพลตฟอร์ม
สำหรับภาพและข้อความที่ถูกเผยแพร่ใน TikTok ที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าพิธีรับอิสลามนั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพการปฏิบัติภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การเข้าร่วมพิธีเปิดและปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2561 และภาพจากการร่วมรับประทานอาหารค่ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนพระราชทานเลี้ยงเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ภาพทั้งหมดไม่ใช่พิธีเข้ารับอิสลามตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง

โดยสรุป จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาจาก TikTok ทั้ง 3 ชิ้น พบว่าเรื่องญี่ปุ่นแบนศาสนาอิสลามและ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพิธีรับอิสลามมีเนื้อหาเป็นเท็จ ส่วนเรื่องการปลดพระพุทธรูปจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น บุคคลที่ถูกนำภาพมาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้เสนอให้นำพระพุทธรูปลงจากซุ้มประตูเมืองยืนยันว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง
โพสต์ TikTok 3 ชิ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน (disinformation) เพื่อสร้างความเข้าใจผิดที่นำไปสู่ความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิม เนื้อหาเหล่านี้เป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเนื้อหาเท็จ-บิดเบือน ไม่เพียงปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชัง แต่ส่งผลในระดับที่ลึกกว่านั้น คือสร้างความเข้าใจผิด ทำให้ผู้คนหลงเชื่อและแยกไม่ออกว่าอะไร “จริง-ไม่จริง” เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิม
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
- สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok
- ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย”
- ปฏิบัติการปล่อยข่าวเท็จ-บิดเบือนเรื่องศาสนา จากเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 2565 ถึง เลือกตั้งทั่วไป 2566
- เฝ้าระวัง ‘Islamophobia’ กระแสความหวาดกลัวทางศาสนาที่ผลิตซ้ำจากข้อมูลลวงออนไลน์
- Cofact Live talk ทบทวนหลักกาลามสูตรกับปัญหาอิสลามโมโฟเบีย